อวยปีใหม่
ไม่ว่าปีนี้หรือปีไหน กูก็อยากจะอวยพรปีใหม่กับมึงต่อไปในทุกๆปี
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“แล้ม”
“ฮือออ”
“แล้ม”
“วูฟ...มึง...เบามือกับกูหน่อย”
“อีกนิดกูจะไม่ทนแล้วนะ”
พรึ่บ!! สายตาหวานเบิกโพลงมองกรอกเป็นวงกลมก่อนมาสบเข้ากับผมแล้วจ้องนิ่ง
“ไอ้วูฟ”
“มึงตื่นแล้วสินะ”
“...”
“เลิกสีกูซักทีเถอะ...ท่อนล่างกูจะตื่นตามมึงไปด้วยแล้ว” “อะ...ไอ้บ้าวูฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ” ผมแม่งอยากจะเก็บฟ.ฟันของมันมาเป็นภาคแสดงแล้วแปลงตัวมันเป็นกรรมเสียจริง แต่ก่อนที่ผมจะฟันมันจริงๆขอปิดปากมันให้หยุดใช้ฟ.ฟันจนหมดโลกก่อนนะ
“อื้ออ” ร่างพึ่งตื่นย่อมไร้เรี่ยวแรง ด้วยกำลังแขนและตัวตอนนี้จะลากมันออนท็อป คว่ำหน้า ตะแคงข้าง หรือตีลังกาผมทำได้หมด แต่ผมเลือกที่จะไม่ทำแล้วหันมาจัดจุมพิตร้อนๆ เสิร์ฟอีกฝ่ายให้นอนระทวย หลงใหลไปตามความหวานละมุนแทน
แต่ความดื้อดึงของไอ้แล้มไม่มีที่สิ้นสุด มันพยายามเม้มปากตัวเองแน่น สองมือกำผ้าห่มจนยับยู่ยี่ หลับตาปี๋ไม่มองหน้าผม ส่วนคนที่ต้องการป้อล้อร่างตรงหน้ามีหรือจะยอมแพ้ให้กับการกระทำเพียงแค่นี้ ขาที่ยังว่างอยู่พับงอขึ้นสัมผัสส่วนเร้าอารมณ์จนอีกคนหลุดเสียงครางออกมา
“อ๊ะ...ไอ้วูฟ...ไอ้เชี่ย...มึงเอาขามึง...”
“มึงฝันเห็นอะไร”
“ฮะ?”
“เมื่อกี้มึงฝันเห็นอะไร” นั่นไง...สายตาหลุกหลิกกูฟันธงได้เลยว่าคำต่อไปแม่งโกหกชัวร์
“ห้า แปด เก้า”
“ฮะ?” จากที่แยกประสาทช่วงล่างกับบนได้ เล่นเอาผมต้องหยุดชะงัก
“มึงรู้ว่ากูฝันเห็นเลขเด็ดใช่มั้ย เลยจะมาเค้นคอกู ไอ้เชี่ยวูฟ” แถเก่งสะบัดจะเป็นใครไม่ได้ ก็ไอ้แล้มนี่แหละครับ
“อ๋อ...เลขเด็ดเหรอ ทีหลังมึงไม่จำเป็นต้องบอกกูก็ได้นะ เดี๋ยวกูจะขัดของมึงให้เห็นเลขเอง” “เชี่ย มึงปล่อยกู อ๊ะ...ฮือออออ”
จบเรื่องเร่าร้อนกึ่งบังคับของผมกับไอ้แล้มไว้ก่อน แล้วมาคุยกันดีกว่า วันนี้วันที่สามสิบเอ็ดธันวาคม แค่กลั้นหายใจให้ผ่านไปอีกหนึ่งวันก็จะปีใหม่แล้ว เริ่มตั้งเป้าหมายให้กับชีวิตในปีหน้าฟ้าใหม่รึยังครับ คิดว่าหลายคนคงตั้งเป้าไว้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็น การเงิน การเรียน การทำงาน สุขภาพ หรือความรัก ส่วนของผมน่ะเหรออย่างน้อยหนึ่งในนั้นถ้าเป็นเรื่องความรัก ก็จะต้องมีเรื่องการยัดเยียดความเป็นเมียให้ไอ้แล้ม...ซึ่งมันช่าง...
...ไม่ง่ายเอาเสียเลย...
ผ่านมาเกือบสองเดือนหลังจากที่ผมสารภาพรักกับอีกฝ่ายในวันลอยกระทง ตัวผมยังไม่ได้รับคำตอบตกลงใดใดจากไอ้แล้ม แต่เสือกได้รับความเห็นใจโดยการมาค้างที่ห้องผมทุกครั้งที่มันต้องทำรายงานจนดึก หรือการที่ยอมกลับบ้านด้วยกันทุกวัน ออกไปทานข้าวด้วยกันบ่อยๆ จนกลายเป็นความเคยชินระหว่างผมกับมัน
แต่อย่าถามถึงความสัมพันธ์ของผมกับเด็กสหเวชฯอย่างไอ้แล้มนะครับ เพราะขนาดผมที่เคยบอกทุกคนไปแล้วว่าได้เป็นแฟนกับมัน มาจนถึงวันนี้ผมยังจำกัดนิยามความรักของพวกเราไม่ออกเลย เพราะแล้มมันปากแข็งมากถึงมากที่สุดพอๆกับเจ้าหนูมันที่ชอบแข็งโด่ทุกวันเวลามานอนข้างผม
“พี่วูฟ พี่วูฟคะ” ผมหันไปหาเสียงหวานๆ ข้างหลังที่ตะโกนเรียกชื่อระหว่างเดินลงมาใต้ตึกคณะ น้องแพรวดาวแพทย์ปีหนึ่งเพื่อนสนิทน้องมนหลานรหัสผม ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกตอนรับน้องมา ดูเหมือนเธอจะติดผมเป็นพิเศษยังไงก็ไม่รู้
“พี่วูฟมาแถวนี้ได้ไงคะ”
“เดินมาครับ” เธอดูหน้าเจื่อนไป อ้าวผมพูดอะไรผิดเหรอ
“เออ แพรวหมายถึงมาทำธุระหรือว่า...”
“อ๋อ พี่เอารายงานมาส่งอาจารย์น่ะ งั้นพี่ไปนะ”
“เดี๋ยวสิคะ!!” แขนซ้ายถูกคว้าเข้าอย่างจังจนผมต้องหันไปมองเธอใหม่อีกรอบ
“แพรวมีอะไรกับพี่รึเปล่า”
“พี่วูฟมีธุระต่อที่ไหนรึเปล่าคะ”
“ไม่มีนี่”
“แล้วทำไมรีบร้อนจังเลย”
“พี่แค่อยากกลับหอ ถ้าไม่มีอะไรแล้วพี่ขอตัวนะ”
“เดี๋ยวสิพี่วูฟ ใครว่าไม่มีล่ะคะ คนที่มีน่ะไม่ใช่แพรว แต่เป็นยัยมนต่างหาก”
“ยัยมน?”
“เมื่อไรพี่วูฟจะเลี้ยงสายซักทีล่ะคะ ยัยมนบ่นว่าอยากคุยกับลุงรหัสจะแย่อยู่แล้ว แต่ไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็นเลย ไหนๆวันนี้ถ้าพี่วูฟไม่มีธุระที่ไหน พี่วูฟไปหาอะไรกินกับพวกแพรวนะคะ แพรวนัดยัยมนไว้ที่นี่พอดี”
“เออ...” เคยมีช่วงเวลาไหนที่คำว่าเลี้ยงสายมันค้ำคอบ้างมั้ยครับ แต่ผมดันเป็นคนของประชาชนงานสังคมเลยไม่ค่อยออก เบื่อการไปไหนมาไหนแล้วมีแต่คนตามให้วุ่นวาย
“น่านะ พี่วูฟไปเถอะนะ ร้านที่พวกแพรวจะไปกันเป็นร้านเปิดใหม่ใครๆเขาก็ว่าแซลมอนโส๊ดสด” ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ทันทีที่ได้ยินคำชวน เออะ...มีใครเคยบอกมั้ยว่าอย่าเอาแซลมอนมาล่อพี่
“ไว้คราวหน้าละกัน พี่สะดวกเมื่อไรจะติดต่อไป”
“ไหนพี่วูฟบอกไม่มีธุระยังไงล่ะคะ”
“เออ...” ผมแม่งไม่น่าปากไวบอกออกไปเลยจริงๆ “คือพี่...”
“แม่มันรออยู่ที่คอนโดน่ะ” เสียงคุ้นหูดังขึ้นขัดบทสนทนาระหว่างเราทั้งสอง ผมเงยคอมองผ่านน้องแพรวไปบรรจบกับคนที่อยู่ในประมวลความคิดของผมจนถึงเมื่อครู่
“ไอ้แล้ม”
“มึงจะกลับไปกินกับข้าวฝีมือคุณน้า หรือมึงจะไปล่าแซลมอนกับน้องแพรว...มึงเลือก” น้ำเสียงมันไม่โหดเท่าความหมายในประโยค ขนาดเป็นแค่ว่าที่เมียนะครับ แล้วคิดดูถ้าขึ้นแท่นเป็นเมียจะขนาดไหน แต่ไม่เป็นไรผมชอบให้เมียหึง ยิ่งหึงมากๆยิ่งดี เพราะการแสดงความรักของไอ้แล้มมันนานๆจะมาทีอย่างดาวหางฮัลเลย์ ผมแม่งแทบจะต้องจดบันทึกเอาไว้เวลาเจออะไรพิเศษหรือแปลกใหม่ระหว่างผมกับมันเลย
“ก็ต้องกลับไปกินข้าวกับแม่ดิวะ” ไอ้แล้มมันสายเชือดนิ่มๆ ครับ ทันทีที่ได้รับคำตอบจากผมมันก็เลื่อนสายตาไปมองน้องแพรวพลางจ้องนิ่งๆ
“อ้าว สรุปแม่พี่วูฟมาหาที่คอนโดเหรอ ทำไมไม่บอกแพรวแต่แรกอ่ะ เลยชวนเก้อเลย ถ้างั้นไว้โอกาสหน้าละกันนะคะ แพรวขอตัวก่อนนะ” ดาวคณะบอกลาแล้วเดินจากไปอีกทาง ผมหันไปมองหน้าไอ้แล้ม มันยกไหล่สองข้างขึ้นแล้วแบมือใส่ผมเหมือนกับว่าช่วยไม่ได้มึงเลือกเอง จนผมอดยิ้มขำไม่ได้
“กูว่าไม่ใช่แม่หรอกมั้ง เมียมากกว่า”
“แม่มึงต่างหากล่ะ”
“ทำไมมึงชอบทำให้กูหลงรักมากขึ้นเรื่อยๆวะ”
“กูทำอะไร กูเปล่าซะหน่อย” แหนะ มีเขิน
“มึงรู้ว่ากูไม่ชอบกินแซลมอน”
“...”
“มึงถึงมาช่วยกู”
“...”
“มึงใส่ใจกู”
“...”
“กูโคตรดีใจเลยว่ะ”
“...”
“มันเหมือนมึงไม่ได้โหยหาอยากเอาใจกูในสิ่งที่กูชอบอย่างเดียว แต่มึงพร้อมที่จะเลี่ยงในสิ่งที่กูไม่ชอบ พร้อมที่จะรับรู้ทั้งสุขและทุกข์ไปกับกู” “...”
“ขอบใจนะแล้มที่แคร์กูหลายๆเรื่อง”
“เชี่ยวูฟมึงจะทำอะไรวะ” อ้าว ผมเผลอเดินเข้าไปประชิดตัวแล้วกุมมือสองข้างมันไว้ตั้งแต่เมื่อไร เอาวะไหนๆก็ไหนๆแล้ว
“แล้มแต่งงานกับกูนะ” “ฝัน”
“ที่เป็นจริง”
“เพ้อเจ้อแล้วมึง”
“กูเปลี่ยนใจแล้ว ทำมึงท้องแล้วค่อยแต่งดีกว่า มึงจะได้ปฏิเสธกูไม่ลง” “สัด”
“ขอจูบทีดิ”
“เชี่ยกลางที่สาธารณะมึงพูดมาได้”
“ถ้าอยู่ในห้องจะยอมใช่ป่ะ”
“ไปผสมพันธุ์กับแซลมอนไป ไอ้ทะลึ่ง”
“กูไม่ใช่หมี”
“แล้วใครว่ามึงเป็นหมีวะ”
“แต่กูเป็นผัวมึง” “...!!”
“ยอมยัง”
“ยอมบ้านมึงดิ” บ้านมึงก็บ้านกูล่ะวะ ดูทรงอีกไม่นานเดี๋ยวก็ได้เป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว กูรู้ กูเรียนมา
คนจริงสองพันสิบเจ็ดต้องยกให้ไอ้แล้มครับ พอก้าวเข้าห้องเท่านั้นแหละผมก็รับรู้ความจริงว่ามารดามาหาจริง แถมยังยกตะหลิวควงฉวัดเฉวียนตามสไตล์คุณนายก้นครัวแสดงฝีมือทำอาหาร ให้ไอ้แล้มมันตบมือดีใจอย่างกับเด็กเห็นโชว์โลมากระโดดลอดห่วงในสวนซาฟารีอยู่
“กูไม่อยากเป็นคนขี้โกหกว่ะ เลยแอบโทรเรียกคุณน้ามา” มีแอบไปแลกบงแลกเบอร์กันตอนไหน ทำไมลูกชายอย่างกูถึงไม่รู้ “แล้วกูก็อยากกินต้มแซ่บกระดูกหมูอ่อนฝีมือแม่มึงด้วย”
“เพราะแล้มโทรไปอ้อนหรอกนะ แม่ถึงยอมมา ไม่เหมือนแกหรอกตาวูฟ สี่ซ้าห้าปีถึงจะโทรไปหา แถมพอทำอาหารให้ทานก็กินอย่างกันแมวดม” แม่ผมเปรยขึ้นมาทั้งที่ง่วนกับการปรุงรสในหม้อน้ำแกงอยู่ ผมเหลือบไปมองหน้าคนโชว์เหนือราวกับชนะในการเป็นลูกรักอันดับหนึ่งแล้วก็อดขำไม่ได้
“ตะกละ” หน้ามันสะดุดทันทีที่ผมกัด
“อาหารฝีมือแม่มึงอร่อยต่างหากเล่า กูไม่ได้ตะกละ” หึ...น่ารักชะมัด มาเป็นลูกสะใภ้บ้านกูดิ รับรองมึงได้กินทุกวัน แต่กูขอกินมึงก่อนละกันนะ ผมก้มตัวลงไปจุ๊บที่ริมฝีปากอีกฝ่ายเบาๆอย่างอดใจไม่ไหว
“เชี่ยวูฟทำอะไรของมึงวะ!!” แทบพุ่งมาประกบปากผมตอบเลยครับ แต่ไม่ใช่ปากนุ่มๆของมันนะเป็นมือสองข้างที่ตะปบเข้าปากผมอย่างจัง เสียงมันเบาลงราวกับกระซิบ จากนั้นผมแทบจะหยิบมือมันออกทันที
“ก็จูบมึง”
“มันใช่เวลามั้ย!!”
“มึงทำให้กูอยากจูบทำไมล่ะ”
“ถ้าคุณน้าเห็นจะทำยังไง”
เคร้ง!!
ฉิบหายแล้ว ผมได้ยินเสียงแล้มมันอุทานแบบนั้นก่อนหันไปเจอแม่บังเกิดเกล้าของตนเองยืนมองมาทางนี้ตาค้าง หลังจากปล่อยตะหลิวในมือทิ้งดิ่งกลางอากาศไปจูบพื้นอยู่นานหลายนาที
“นี่พวกเราสองคน...ทำอะไรกันน่ะ” มือไอ้แล้มที่ผมกุมอยู่จู่ๆก็สั่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดก่อนมันจะผละออกจากตัวผม
“คะ...คุณน้าครับ เมื่อกี้วูฟมันก็แค่ล้อเล่นเอง อย่าไปสนใจเลยนะครับ ผมกับมันไม่ได้เป็นอะไรแบบนั้นจริงๆ” แอบเจ็บนะครับ แต่หน้าไอ้แล้มที่ซีดเผือดยิ่งกว่าผ้าสีถูกแช่ลงไฮเตอร์ซักผ้าขาวทำให้ผมไม่กล้าพูดอะไรออกไป หรือว่าความสัมพันธ์ของพวกเราจะไม่ได้รับการยอมรับจากพ่อแม่ซะแล้ววะ ผมเหลือบไปเห็นร่างโปร่งที่ยืนกัดริมฝีปากจนน้ำตาเริ่มซึมออกมาแล้วอดสงสารไม่ได้
“ห้ามมาเรียกแม่ว่าน้านะ!!” ได้เรื่องแล้วไง ถึงบทแม่กูจะดราม่าใครก็ห้ามไม่อยู่ ผมเลยรีบเดินอ้อมเคานเตอร์ไปเก็บตะหลิวขึ้นมาแล้วสวมกอดที่เอวของร่างอวบอัดเบาๆ
“โธ่แม่...ไม่เอาน่า ไม่ใส่อารมณ์สิครับ ค่อยๆคุยกันนะ แม่ดูไอ้แล้มสิมันเครียดไปหมดแล้ว” อีกนิดกูว่าแล้มมันได้ปล่อยน้ำตาร่วงลงมาเป็นสายแน่ ปกติแม่ผมไม่เป็นคนจริงจังขนาดนี้นะ เว้นเสียแต่ว่า...
“ก็แม่ไม่อยากให้แล้มเรียกว่าน้าหนิ แม่อยากให้แล้มเรียกว่าแม่มากกว่าน่ะ!!” “!!!” นั่นไง ทำเอาว่าที่เมียกูใจหายเลยมั้ย ผมหันไปสบตาไอ้แล้มที่มองมาอย่างเด๋อด๋าราวกับจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้วได้แต่ถอนหายใจเบาๆ
“แล้ม...กูลืมบอกมึงไปว่ะ...แม่กูจบนิเทศศาสตร์ เอกการแสดง”
“บอกกูชาติหน้าเลยมั้ยนั่น!!”
“อิ่มชะมัด”
“...”
หลังจากส่งแม่ผมขึ้นแท็กซี่แล้วเดินมาตามทางกลับหอ บรรยากาศรอบตัวระหว่างผมกับแล้มจู่ๆก็ดูน่าอึดอัดขึ้นมา ปกติมันก็ไม่ได้เป็นคนพูดมากอะไร แต่ครั้งนี้มันดันเงียบไปจนผิดสังเกต อย่าบอกนะว่ามึงยังโกรธกูเรื่องเมื่อกี้อยู่น่ะ
“กับข้าวแม่กูไม่อร่อยหรือไง”
“เปล่านี่”
“หรือกระดูกหมูติดคอ?”
“กระดูกหมูอ่อนรึเปล่าวะ”
“งั้นกระดูกหมีติดคอ”
“มึงยังอยากแดกแซลมอนอยู่ใช่มั้ย”
“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวคนแถวนี้หึง”
“หึงเหี้ยอะไร” แหนะ มีมองค้อน กูพูดแทงใจดำก็บอกมาเหอะ พูดมา
“ไอ้แล้ม...ถ้ามึงยอมกินกู รับรองกูไม่ทำให้มึงติดคอหรอก แต่กูจะทำให้มึงสำลักความรักเลย”
“ก่อนกูจะสำลัก กูขออ้วกก่อนได้มั้ย”
“มึงอ้วกมาเหอะ เดี๋ยวกูเก็บให้ กูอยากเป็นสามีที่ดี”
“เชี่ยวูฟ” มันอมยิ้มแล้ว อย่างนี้ผมค่อยโล่งใจหน่อย
“มึงบอกกูได้มั้ย มึงคิดอะไรอยู่”
“...” เงียบอีก กูอยากให้มึงเงียบอย่างนี้บ้างจัง...ตอนที่กูจะจับกดมึงอ่ะน่ะ
“มีอะไรไม่พอใจกูอยากให้มึงเล่า” เพราะกูจะต้องอยู่กับมึงไปอีกนาน กูไม่อยากให้กลายเป็นปัญหาครอบครัวตามมาในภายหลัง
“แม่มึงรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไรวะ”
“เมื่อหกเดือนก่อนตอนที่กูเริ่มคลั่งมึงมั้ง” ไม่รู้ก็บ้าแล้ว กูเล่นเปิดมือถือให้แม่ดูทุกวันแล้วเฝ้าแต่ถามว่าคนนี้หน้าตาดีมั้ย น่ารักมั้ย ต่อให้คนไม่คิดอะไรมันก็ต้องตั้งแง่ว่ามีลับลมคมในอะไรกับบ้างล่ะวะ
“ทำไมแม่มึงไม่รังเกียจอะไรเลยวะ ไม่โกรธบ้างเลยเหรอที่กูมายุ่งกับมึง”
“อันนี้กูเลือกเองมั้ยล่ะ ที่สำคัญไม่ใช่มึงที่มายุ่งกับกู แต่กูเป็นคนเลือกที่จะไล่ตามมึงเองนะแล้ม”
“ก็ใช่ แต่ถ้าคิดถึงเรื่องทางสังคมแล้ว มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยอมรับรึเปล่าวะว่าลูกชายกำลังคบกับ...เออ..ผู้ชายด้วยกัน”
“ไม่ว่าลูกอยากจะเป็นอะไร ให้ทำตามใจต้องการ แต่ขออย่างเดียวให้สัญญาว่าจะเป็นคนดี แม่กูบอกไว้อย่างนี้ว่ะ” “...”
“...”
“ไม่น่าให้แม่มึงกลับเลย น่าจะอยู่เคาท์ดาวน์ด้วยกัน”
“รักแม่กูแล้วดิ”
“รักนานแล้ว”
“อย่าลืมรักลูกชายด้วยนะ”
“เกลียดว่ะ”
“เกลียดแบบที่กูเกลียดมึงเปล่าวะ”
“เออเกลียด เกลียดมากเลยเว้ย”[พาร์ตของแล้ม]
“นั่นมัน...คนที่หมอวูฟอยู่ด้วยตอนงานลอยกระทงหนิ”
“เฮ้ย...จริงด้วยอ่ะแก คนเดียวกับในรูปที่เขาปล่อยออกมาเลย ที่แอบยืนกอดจูบกันกับหมอวูฟใช่มั้ย” แก้วโอวัลตินเย็นในมือแทบแพ้แรงโน้มถ่วงไปกระแทกกับพื้น ณ ร้านสะดวกซื้อที่เชี่ยวูฟมันตื้อว่าอยากจะแวะเข้าก่อนกลับ ผมค่อยๆเหลือบไปมองสองสาวที่นินทาในระยะเผาขนอย่างช้าๆ จนสบตาเข้ากับอีกฝ่ายอย่างจัง เชี่ย...แล้วทำไมต้องเป็นกูที่หลบตาด้วยวะ
“เออ...ขอโทษนะคะ” ผมสะดุ้งเฮือก ไม่คาดคิดมาก่อนว่าสองคนนี้จะเข้ามาทัก
“คะ..ครับ”
“ไม่ทราบว่าใช่คนในรูปถ่ายนี้รึเปล่าคะ”
“!!!” แม้จะมืดไปนิด แต่ก็เห็นหน้าตาและคนกระทำชัดเจน มันเป็นฉากจูบร้อนๆกลางลาน ณ วันงานลอยกระทงที่ไอ้วูฟมันมอบให้ผมหลังจากตกน้ำป๋อมแป๋ม
“เป็นแฟนกับหมอวูฟเหรอคะ”
“ปะ..เปล่าครับ” ผมพลั้งปากพูดออกไปอย่างลืมตัว อีกใจก็กลัวอีกฝ่ายจะเสียหายเพราะผม
“หรือว่าแค่สนิทกันกับหมอวูฟเฉยๆ”
“อะ...เออ ประมาณนั้นครับ”
“กรี๊ดดด หมอวูฟยังไม่มีแฟนจริงๆด้วยอ่ะแก” คนข้างๆตีแขนเพื่อนแบบไม่ออมมือ...เล็งไอ้วูฟไว้สินะ
“ถ้าอย่างนั้นช่วยแนะนำเพื่อนเรากับหมอวูฟให้หน่อยได้มั้ยคะ เพื่อนเราน่ะชอบหมอวูฟมากเลย แต่รายนั้นหาตัวจับยากมากไม่ค่อยเผยตัวต่อหน้าสาธารณะชนซักเท่าไร ถ้ายังไงช่วยเพื่อนเราหน่อยนะ ถือว่าเราขอร้อง” เห็นกูเป็นบริษัทคิวปิดสื่อรักหรือไงถึงมาขอให้จับคู่กันซึ่งๆหน้าอย่างนี้เนี่ย ผมยืนคิดทบทวนอยู่พักใหญ่ก่อนเงยหน้าตอบสองสาวไปตามตรง
“ขอโทษครับ เรื่องนี้ผมช่วยไม่ได้จริงๆ”
“อ้าว...ทำไมล่ะ ไหนว่าสนิทกันไง”
“เพราะผม...ก็ชอบไอ้วูฟมันเหมือนกัน”[จบพาร์ตของแล้ม]
ผมว่าอาการแล้มมันแปลกๆวะ ตั้งแต่เดินออกจากร้านสะดวกซื้อเมื่อซักครู่นี้แล้ว มันเดินล่องลอยออกมาราวกับวิญญาณยังไม่เข้าร่าง ทั้งที่คิดว่าเคลียร์กับมันชัดเจนแล้วนะ ผมเลยยื่นกระเป๋าสตางค์ที่ยืมมาจากเจ้าตัวไปสะกิด
“อ่ะ...เดี๋ยวถึงห้องแล้วกูใช้คืนนะ” เดินลงมาส่งแม่แล้วกะว่าจะแวะซื้อของกลางทาง แต่ดันลืมเอาเงินลงมาซะได้เลยต้องยืมเงินว่าที่เมียไปก่อน ส่วนไอ้แล้มพอได้กระเป๋าตังค์คืนก็ไม่สนใจอะไรเปิดกระเป๋าตังค์ดูก่อนเลย ถ้าให้มาใช้กระเป๋าเดียวกันมีหวังผมได้เป็นพ่อบ้านใจกล้าของแท้
“เชี่ยวูฟแบงค์ที่อยู่ตรงนี้มันหายไปไหนวะ” เอาแล้วไง
“เมื่อกี้กูเอาไปจ่ายค่าของที่ร้านสะดวกซื้อไง”
“...”
“เป็นไรไอ้แล้ม” กูใช้เกินงบมึงเหรอวะ บอกแล้วไงว่ากลับห้องแล้วเดี๋ยวใช้คืน
“อ๋อเปล่า รีบกลับเหอะ กูง่วงแล้ว” มันเดินนำออกไปโดยไม่รอผม ผิดสังเกตโคตรๆ เกิดอะไรขึ้นวะ ผมรีบไล่หลังจนตามมาทันขนาบข้าง เจ้าตัวเดินก้มหน้าน้อยๆ มาตลอดทางจนผมแทบมองไม่เห็นเลยต้องก้มตัวแล้วขยับเข้าไปใกล้จนอีกฝ่ายตกใจ
“เชี่ยมึง!!ทำไรวะ”
“ไอ้แล้ม...มึง...ร้องไห้ทำไมวะ”
“ฮะ?” อย่าบอกนะว่ามันไม่รู้ตัว อีกฝ่ายยกมือขึ้นแตะหน้าเป็นการใหญ่ พอสัมผัสได้ถึงความชื้นมันก็ยอมจำนนกับคำถามผม
“กูทำตัวน่าทุเรศต่อหน้าตัวเด่นคณะแพทย์อย่างมึงอีกแล้ว”
“ต่อหน้าแฟน ทำตัวทุเรศขนาดไหนก็ทำไปเถอะ ทำไมมึงชอบเอาตัวเองมาเปรียบกับกูจังวะ รู้ทั้งรู้ว่าเปรียบไม่ได้ กูเท่กว่ามึง หล่อกว่ามึงตั้งหลายเท่า”
“สัดวูฟ จะเหยียบกูให้จมดินเลยมั้ยวันนี้”
“แต่มึงน่ารักกว่ากูล้านเท่า” แยกไม่ถูกเลยทีเดียวว่าหน้าที่แดงขึ้นเป็นผลจากการร้องไห้หรือเขินกันแน่
“ชมว่าน่ารักกูไม่ดีใจซักนิด”
“แล้วมึงเศร้าเรื่องอะไร”
“มึงอาจจะหาว่ากูงี่เง่า”
“ไอ้ตัวงี่เง่า”
“...!!”
“ด่าแล้ว มึงจะได้เล่าซักที”
“เวรวูฟ” มันด่าเสร็จแล้วรีบจ้ำเท่าตีตัวออกห่างอย่างไวราวกับงอน
“เฮ้ย เดี๋ยวดิไอ้แล้ม” ผมรีบจับแขนมันไว้อย่างว่องจนมันหันมามองผมอีกรอบแล้วตะโกนใส่
“แบงค์พันที่มึงใช้ไปเป็นของมึงที่กูได้ในวันลอยกระทงไงล่ะเว่ย” “!!!”
“กูก็แค่...เสียดาย”
“กลัวไม่ได้เป็นเมียกูในอนาคต?”
“เชี่ยวูฟ มึงหัดจริงจังอะไรกับเขาบ้างดิ”
“กับเรื่องมึงกูจริงจังเสมอ...”
“...!!”
“แล้ม...มึงเคยเห็นคนตอนอธิษฐานอะไรรึเปล่า เขาแค่จุดธูปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บริจาคตังค์แล้วของพวกนั้นมันก็หายไป มันทำให้รู้ว่าแต่ละอย่างมันไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนเลย สำคัญมันอยู่ที่ใจของพวกเราต่างหาก” “...”
“แล้ม กูได้ยินสิ่งที่มึงพูดในร้านนะ”
“พูด...กูพูดอะไร”
“ที่มึงพูดกับสาวสวยสองคนที่ยื่นมือถือมาให้มึงดูน่ะ”
“!!!”
“ใจมึงให้กูมาแล้วมึงยอมรับเถอะ สิ่งของไม่ได้สำคัญอะไรเลย แล้วตัวกูตอนนี้ก็ชอบมึง รักมึงมากๆ จนเมื่อกี้อยากจะพุ่งไปประกาศตัวด้วยซ้ำว่าเป็นแฟนมึง แต่ก็กลัวมึงจะไม่พอใจเลยเงียบไป มึงไม่ต้องสนใจแบงค์พันที่หายไปหรอก เพราะกูเอาไปต่อยอดในสิ่งที่จะทำให้มึงเป็นเมียกูแล้ว”
“ต่อยอด? มึงเอาไปใส่ตู้ทำบุญแล้วเหรอ”
“เปล่า กูเอาไปซื้อถุงยางมา” “สัดวูฟ ไอ้โรคจิต!!”
ทำไมผมชอบให้ว่าที่เมียด่าวะ สงสัยดูท่าว่าจะโรคจิตอย่างที่มันพูดจริง
“ไอ้วูฟ ปล่อยกู!!”
พอถึงห้องผมก็เลิกเก๊ก แล้วใส่สโตรกพุ่งเข้าหาไอ้แล้มไม่ยัง จนมันใจหายใจคว่ำสติสตังไปไกล
“กูจะอ่อนโยน”
“กูไม่เชื่อมึงหรอก!!เห็นกี่เรื่องกี่เรื่องมันก็ขึ้นต้นด้วยประโยคนี้แล้วก็ไม่เห็นจะอ่อนโยนซักที” แล้มมึงไปอ่านนิยายเรื่องอะไรมาวะ
“มึงเชื่อกูเหอะ ถ้ามึงเจ็บมึงบอก”
“มึงจะหยุดให้กูเหรอ”
“เปล่า กูจะย้ำซ้ำๆจนมึงเจ็บและชินไปเอง”
“เชี่ยวูฟ...อื้ออออ” เอาล่ะ ได้เวลาผสมน้ำลายกันแล้วครับ บอกตามตรงต่อให้ผมจูบไอ้แล้มมาแล้วกี่ครั้งมันก็ไม่เคยพอ เห็นตัวมันสูงสูสีไม่แพ้ผมอย่างนี้แล้วแต่ริมฝีปากมันหวานอย่าบอกใคร ครั้งแรกที่ได้สัมผัสในวันลอยกระทงผมแม่งแทบอยากจะรวบหัวรวบห่างมันเอาตรงนั้นเลย แต่ก็พยายามห้ามใจกอปรกับแรงดิ้นสุดชีวิตของมันผมเลยไม่ได้ทำตามใจหวัง กลับกันกับวันนี้กูสาบานเลยว่าจะเอามึงมาเป็นภรรยาให้จงได้!!
ช่วงเวลาเกือบสองเดือนที่ผ่านมาผมฝึกปรือให้มันชินกับจูบผม จนมันสามารถหายใจทางจมูกและจูบแลกลิ้นกันได้นานกว่าปกติ ความดื้อดึงของมันเป็นสเน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้คนเกลียดความพ่ายแพ้อย่างผมพยายามสุดชีวิตที่จะเล้าโลมให้อีกฝ่ายมีอารมณ์คล้อยตาม ผมดันแล้มไปชิดกำแพงแล้วรีบตามไปประทับริมฝีปากดันลิ้นเข้าไปพัวพันเกี่ยวกระหวัด ร่างสูงโปร่งพยายามเบี่ยงองศาหลบความอ่อนนุ่มที่ผมประเคนเข้าไปให้ ถ้าเสกให้ลิ้นหายไปได้ไอ้แล้มคงทำไปนานแล้ว สบโอกาสที่มันเคลิ้มหนักถอนลิ้นออกแล้วกัดไปเบาๆที่ริมฝีปากอย่างหมั่นเขี้ยว
“โอ๊ย!!” อ้าวกูกัดแรงไปเหรอ “ขามึงอย่าดันมาแรงนักได้มั้ย”
หืม?
ผมก้มลงไปมองช่วงล่าง โอ้โหแฮะ...ร่างกายผมมันแยกประสาทได้จริงๆ ขณะที่ด้านบนขยันป้อล้อโลมเลียกระตุ้น ด้านล่างก็ขยับเสียดสีส่วนที่เริ่มเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์และดุนดันเนื้อผ้าออกมา
“เข่ากูแข็ง...มึงเจ็บใช่มั้ย”
“มะ...มึงจะทำอะไรน่ะ” ในเมื่อเจ็บกูก็จะจัดของที่อ่อนนุ่มให้แทน ผมย่อตัวลงแต่ยังไม่วายรวบข้อมือของแล้มไว้ข้างหลังกันคนดิ้น เรียกได้ว่าเป็นโชคดีเพราะวันนี้เจ้าตัวใส่เสื้อผ้าชิลสุดๆ แม้กระทั่งกางเกงยังเป็นยางยืด เลยไม่ต้องเสียเวลาใช้ปากกัดปลดหัวกระดุมออกจากรังแล้วลากซิบในสภาวะมือเดียวแบบนี้
แค่ลาก ทุกอย่างก็ถูกกระชากลงไปกองกับพื้น ยกเว้นแต่อาภรณ์ชิ้นน้อยของมันที่ยังคงปกป้องแล้มตัวน้อยตัวนิดนั้นไว้อยู่
“มึงอย่า...อื้อ” จัดไปสิครับอย่าให้เสีย องศานี้ยังหมิ่นเหม่เกรงว่าว่าที่ภรรยาจะไม่สุขสมอารมณ์หมายตามที่คาด ผมเลยขบด้วยริมฝีปากเบาๆผ่านเนื้อผ้าชิ้นน้อยให้ส่วนด้านในได้ผงาดออกมามากขึ้น “ฮะ..วูฟ กูไม่ไหวแล้ว กูจะไม่เอากับมึงตรงนี้นะ”
“งั้นไปทีเตียงกัน”
“ที่เตียงกูก็ไม่เอา!!”
“มึงนี่เรื่องมากเรื่องสถานที่จัง คราวนี้ทำที่นี่ไปก่อน ไว้คราวหน้ากูจะพามึงขึ้นดอยไปทำในที่ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเป็นสิบเท่าเลย”
“ที่ไหนกูก็ไม่ทำทั้งนั้นแหละ มึงปล่อยกู” ในเมื่อมึงดื้อขนาดนี้...ผมก็ปล่อยมือมันจริงๆครับ แล้วผุดตัวลุกขึ้นยืนเสมอกันก่อนเอาหน้าผากแนบกับเหม่งอีกฝ่าย
“แล้ม...กูรักมึงนะ” “!!!”
“รักมึงมากๆ ยิ่งได้มาอยู่ใกล้กับมึงกูยิ่งรักขึ้นเรื่อยๆ นิสัยของมึงมักมีแรงดึงดูดตัวกูเสมอ มึงห่วงใยดูแลใส่ใจกูในทุกๆเรื่อง จนบางครั้งกูก็อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้จริงๆว่ะ ว่ามึงก็รักกูเหมือนกัน กับหลายๆคนกูมีความมั่นใจว่ากูหล่อ หน้าตาดี มีแต่คนอยากเข้าหา แต่กับมึงกูแทบไม่กล้าคิด เพราะกูยังไม่ได้ฟังจากปากมึงโดยตรง กูโคตรไม่แน่ใจเลยว่ะ กูกลัวที่จะเสียมึงไป ความคิดกูอาจจะเด็ก แต่กูคิดจริงๆว่าถ้าทำให้มึงเป็นของกูได้ ใจมึงก็จะต้องเป็นของกูด้วย กูขอโทษนะที่เร่งรัดมึงมากเกินไป กูขอโทษจริงๆ”
“เชี่ยวูฟ...”
“...” ทำไมจู่ๆกูก็ดราม่าวะ แต่มันเป็นความรู้สึกจากใจผมจริงๆ
มือบางยกขึ้นมาแตะคางของผมลูบไล้ข้างแก้มอย่างเบามือ ก่อนรั้งขึ้นสบกับดวงตาแววใส
“วูฟ...กูขอโทษที่แสดงท่าทีไม่ชัดเจน...แต่กูอยากให้มึงรู้เอาไว้ ถึงกูจะไม่พูดอะไร แต่กู...ก็รัก...มึงเหมือนกัน” ริมฝีปากบางแนบจุมพิตลงมา มันทั้งหนักแน่นแนบสนิทเหมือนความรู้สึกของอีกฝ่ายที่พยายามจะถ่ายทอดมาให้ผม เป็นครั้งแรกที่แล้มเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ผมทั้งดีใจและตื่นเต้นจนตัวแทบลอย ถึงแม้เป็นจูบที่ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรแต่มันโคตรตราตรึงในใจผม จนอดเสียดายที่อีกฝ่ายถอนหน้าออกไปไม่ได้ “ปีหน้ากูก็อยากเคาท์ดาวน์กับมึงเหมือนปีนี้ มึงให้สิทธิ์นั้นกูได้มั้ย” เสียงไอ้แล้มโคตรแหบพร่ามีสเน่ห์ มันไม่ยอมสบตาผมทิ้งไว้แต่แววเขินอายฉายชัดเต็มใบหู
“กูให้มึงมาตั้งแต่แรกแล้ว”
“ขอบคุณนะ...ที่เข้ามาทักกูในวันนั้น”
ห้า
เสียงตะโกนนับถอยหลังดังลอดหน้าต่างเข้ามาจากลานจัดงานบริเวณใกล้ๆ
“เพราะเป็นมึงหรอกนะกูถึงได้ทัก จำไว้ด้วย”
สี่
“หึ...กูควรดีใจใช่มั้ย ที่หมอวูฟคนดังคณะแพทย์มาชอบกู”
สาม
“มึงเตรียมภูมิใจได้เลยที่กำลังจะมีสามีดีขนาดนี้”
สอง
“หลงตัวเองชะมัด”
หนึ่ง
“หลงเมียต่างหาก”
ปัง!! แสงพลุเป็นประกายวาบสาดสะท้อนเข้ามาในห้อง แต่ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของเราทั้งคู่จากคนตรงหน้าไปได้เลย
“สุขสันต์วันปีใหม่ เป็นลูกรักแม่กูตลอดไปนะ ไอ้แล้ม” “อื้อ แถมต้มแซ่บกระดูกหมูให้กูตลอดชีพด้วยนะ เชี่ยวูฟ!!”จบ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ วันที่วูฟตัวเด่นคณะแพทย์กับแล้มที่เพิ่งมาเฉลยตอนนี้ว่าเป็นเด็กสหเวชฯได้ออกมาโลดแล่นเป็นหนึ่งในตัวละครเรื่องสั้นอีกครั้ง
สาธุให้กับพลังแรงใจของคอมเมนต์ที่ว่าน่ารัก(รวมทั้งการร้องขอว่าอยากอ่านต่อ)กับการชอบตั้งอีเวนท์ของไรท์ในการแต่งนิยายวันสำคัญ
ขอบคุณทุกคนมากๆเลยค่ะ ที่ยอมอ่าน อยากจะเดินทางสายนี้ต่อไปเรื่อยๆ
ถึงแม้ภาษาจะยังไม่ราบรื่นเรียบหูหรูหราซักเท่าไร แต่ก็อยากจะฝึกฝนพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ
ชอบความฟินและจบปิ๊งในตัวเอง55
สวัสดีปีใหม่2018 ขอให้ทุกคนมีความสุขสมหวังและเป็นปีที่ดีจากนี้และตลอดไปนะคะ
ขอบคุณค่ะ