แทนทัพ ตอนที่ 2
อยากจะตะโกนบอกคนบนโลกใบนี้เหลือเกินว่ากูง่วงงงงงงงงงง...
เพิ่งจะหลับไปตอนตีสี่ ตอนนี้หกโมงเช้า ผมโดนลุงเอี่ยมสะกิดแล้วครับ สาวๆเมดมากันอื้อพร้อมๆกับหัวเราะคิกคักกับทรงผมตอนตื่นนอนของผม
“ลุง ไม่ไปได้มั้ย” ผมโวยวาย “กะทันหันเกิน ไม่พร้อมอ่ะ”
“ทำเพื่อคุณผู้ชายนะครับคุณหนู”
พูดแบบนี้ผมจะพูดอะไรได้อีกล่ะ...ให้ตายเถอะ...นี่ผมเป็นเจ้าของเงินหมื่นล้านจริงๆป่ะ...ทำไมทำตามใจตัวเองไม่ได้เลยเนี่ย แต่อยู่นี่มันดีอย่างงี้ครับ สาวๆเมดมาช่วยผมแต่งเนื้อแต่งตัวใหญ่ ส่งแปรงสีฟันมาให้ ส่งโฟมล้างหน้าห้าสิบขั้นตอนมาให้ผมทีละอันๆ(เวอร์ไปนั่นมีแค่สองสามอย่างเอง) แต่ไม่ได้เข้าไปช่วยผมอาบฝักบัวนะครับอย่าเข้าใจผิด ถ้าทำงั้นผมก็ทารกแล้ว...
“ทรงไหนดีคะคุณหนู”
ครีมก็ไม่ต้องทาเองมีคนทาให้ แถมหน้ายังมีคนทาบีบีให้อีกแน่ะ ตอนนี้เหลือแค่เซ็ทผม...ผมที่ง่วงเกินกว่าจะทำอะไรก็ได้แต่พูดงึมงำว่าตามใจ เลือกหยิบนาฬิกาข้อมือจากกล่องที่มีนาฬิกาเรียงกันเป็นตับมากกว่าสิบเรือน และก็เลือกหยิบเครื่องประดับ
ทั้งหมดทั้งมวลนี่คือสิ่งที่ลุงเอี่ยมซื้อระหว่างรอผมกลับมา...เลือกเพลินเลยตูมีตั้งแต่ถูกสุด(หลักหมื่น)ไปจนถึงหลักแพงสุด(หลักล้าน)
นิยายเรื่องนี้ชักจะเวิ่นเว้อเกินจริงไปแล้ว...แต่เชื่อเถอะครับว่ามันคือชีวิตผมจริงๆ
ผมเอาแค่ร่างเมื่อยๆมากินข้าว วิญญาณของผมจริงๆน่ะกำลังหลับอยู่บนเตียงโน่น โต๊ะกินข้าวที่ยาวสุดลูกหูลูกตามีผมทานอยู่คนเดียวโดยมีคนดูผมทานเป็นสิบ
กว่าจะปฏิบัติภารกิจทุกอย่างเสร็จ มันก็เจ็ดโมงกว่าเข้าให้แล้ว ลุงเอี่ยมนั่งอยู๋ข้างหน้าคู่กับคนขับรถของบ้าน ในขณะที่ผมนั่งงีบอยู่ข้างหลัง เป็นการเรียนวันแรกที่แหม่...ตื่นเต้นจนง่วงจริงๆ...อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดขึ้นล่ะงานนี้...
“ผมมีเรื่องจะขอคุณหนูครับ”
“งืมมมม” ได้ยินนะ แต่ตอบได้แค่นั้นจริงๆ...
“ที่มหาลัยคุณหนูเป็นได้แค่ ทัพฟ้า แก้วเนตร ไม่ใช่ทัพไทย สุวรรณศักดิ์ศิริ ตกลงมั้ยครับ” แก้วเนตรนามสกุลลุงเอี่ยม...
“ทำไมล่ะ”
“คนได้แตกตื่นกันตายหากรู้ว่าคุณหนูเป็นใคร เกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัย...”
“อืม...” คนที่หวิดการถูกลักพาตัวสี่หนโดนมาตั้งแต่เล็กจนโตเห็นด้วยกับลุงเอี่ยม “ผมคือทัพฟ้า แก้วเนตร” ด้วยความง่วง ผมจะถือซะว่ามันเข้ากับผมละกัน...ปกติผมคงเสียเวลานั่งคิดสารพัดชื่อให้มันเท่เข้ากับผมไปแล้ว
เมื่อรู้แล้วผมก็หลับต่อ(เจริญจริงๆ)...ไม่นานนักรถผมก็จอดกึก
ผมมองหน้าลุงเอี่ยมเป็นเชิงถาม...ดูกลายๆก็รู้ว่านี่คือรั้วของมอทัพไทย แต่ว่าทำไมต้องจอดที่รั้ว ไม่ไปจอดที่ประตูรั้วหรือไม่ก็หน้าคณะผมแทน
เทลมีวาย?
“จะให้โรลส์รอยซ์ขับไปส่งทัพฟ้า แก้วเนตรไม่ได้หรอกน่ะครับ...เด่นตายเลย”
“นี่ผมต้องเดินจากนี่ไปเหรอ!” มันบ่แม่นใกล้ๆเด้อลุง...ขานี่อาจจะลากได้เลย
“ใกล้ที่สุดแล้วครับ เข้ารั้วตรงนั้นเลี้ยวซ้ายก็ถึงคณะของคุณหนูเลย”
จะบ้าตาย...ลุงเอี่ยมนี่หาเรื่องเซอร์ไพรส์ผมได้ตลอด ผมทำหน้าหงิกใส่ลุงเอี่ยม แต่ก็ยกมือไหว้ เปิดประตูลงไปจากรถเพื่อสัมผัสการเป็นชีวิตนักศึกษาวันแรก...
มองซ้ายมองขวาเห็นคนใส่ชุดนักศึกษามอผมเต็ม ไม่มีใครที่ผมรู้จักเลยสักคน ผมกลืนน้ำลายแล้วค่อยๆเดินทำตัวไม่แตกต่างจากชาวบ้านชาวช่อง เดินเข้าประตูรั้วสุดอลังการงานสร้างแล้วก็เลี้ยวขวาเพื่อเข้าคณะบริหาร
ไหนบอกว่าใกล้ ใกล้ที่ว่านี่สองร้อยสามร้อยเมตรเลยมั้ง!
โชคดีที่มอวิวสวย อากาศก็ดี ผมเลยไม่หงุดหงิดเท่าไหร่ คนอื่นๆเขาก็เดินกันได้ ทำไมผมจะเดินไม่ได้ ผมต้องทำตัวไม่ผิดแผกกับชาวบ้านชาวช่องเขาสินะ...
...แต่เมื่อถึงหน้าคณะ ผมต้องผิดแผกต่างไปจากคนอื่นเขาล่ะ...
จู่ๆน้ำสีขุ่นจากชั้นสองก็สาดเทลงมาใส่ผมตั้งแต่หัวจรดเท้า โดนผมคนเดียวเต็มๆไม่มีใครคนใดคนอื่นที่โดน ผมนิ่ง ชาแข็งไปทั้งหน้าและก็ตัว ทุกคนที่อยู่บริเวณหน้าคณะมองผม
เหี้ยอะไรเนี่ย...
อายแต่เช้าเลยกู...
“เชี่ยทัพ” ไอ้แทนคุณในชุดนักศึกษาโผล่มาจากไหนไม่รู้ทำหน้าตกใจเมื่อเห็นสภาพผม...มันมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วทำหน้างง “...โง่หรือบ้าไปยืนให้คนสาดน้ำใส่”
พ่อมึงสิ! มันคงจะอยากหัวเราะผมแทบแย่สินะ
แปลกแต่จริงที่มันไม่หัวเราะ อีกทั้งมันยังถอดเสื้อนอกลายทหารแนวๆของมันมาคลุมตัวผมแล้วลากไปที่อื่น...ที่อื่นที่ว่าก็ไม่ใกล้ไม่ไกลหรอก ข้างตึกคณะนี่แหละ
และตอนที่ผมอยู่กับมันสองคน ผมจึงมีสิทธิ์ได้ตะโกน
“กูจะไปฆ่ามัน!!!! ไอ้เหี้ยไหนมันสาดน้ำใส่กู กูจะไล่ออก ไล่ออก ไล่ออก!!!”
ผมร้องอย่างเหลืออด ตัวเปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้า หมดกันที่เมดสาวแต่งให้ซะดิบดี หมดกัน...
“อุบัติเหตุ มึงโง่เอง”
“กูไม่ได้โง่ คนอื่นไม่โดน แต่กูโดน มันจงใจแกล้ง กูจะแก้แค้นแม่ง เอาเจี๊ยวมันมาเจื๋อน!”
“รู้เหรอว่าใครแกล้ง”
“มึงไง” ผมสวนทันที พร้อมกับชี้หน้า “เจอหน้ากันเมื่อวานมึงก็ไม่ชอบกูแล้ว เพราะงั้น...มึงนั่นแหละบงการ”
ป๊าบ...ไอ้แทนตบหัวผมเบาๆ
สาบานดิ๊ว่าเพิ่งรู้จักกันไม่ถึงสองวัน...
“กูไม่เสียเวลาไปแกล้งมึงหรอก กูไปเล่นกับหมาดีกว่า”
“ไอ้เหี้ย”
แทนคุณมองผมอย่างเบื่อหน่ายแกมเหนื่อยหน่ายหัวใจ ดูมันเซ็งที่จะต้องมายุ่งกับผมตั้งแต่เช้า...ใครใช้ให้มึงมาไม่ทราบ...
แต่ถ้าไม่มีมันเดินลากผมออกมาจากตรงนั้น ผมก็คงจะเปียกโชก...และก็นิ่งอยู่อย่างนั้น
เฮอะ ถึงจะอย่างนั้น...ผมก็ไม่ขอบคุณมันหรอก
“ตรงสหกรณ์ตรงนั้นมีชุดพละ ซื้อมาเปลี่ยนแล้วค่อยขึ้นไปเรียน ห้องเลคเชอร์รวมมันหนาว” มันชี้มือไปที่สหกรณ์ของมหาลัยที่อยู่อีกตึก พูดจบก็ตั้งท่าจะเดินหนี
เห้ย... “เดี๋ยว!”
“อะไร หลงรักขี้หน้ากูขึ้นมาแล้วเหรอ”
ใช้อะไรคิดวะ...
“ตลกแดกแล้วครับ...เสื้อมึงอ่ะ?” ผมชูเสื้อของมันที่ผมถือให้มันดู
แทนคุณส่ายหน้า “เวทนามึง...วันนี้ให้มึงใช้เหอะ”
ไม่เห็นจะรู้สึกอยากขอบคุณมันเลยสักนิด...
เป็นคาบแรกของชีวิตการเป็นนักศึกษาที่เหี้ยมาก...
เข้าสายไปครึ่งชั่วโมง อาจารย์เพ่งมองอย่างคาดโทษ และเพื่อนปีหนึ่งที่มีอยู่ร้อยกว่าชีวิตมองดูผมว่าผมคือใครมาจากไหน ท่าทางพวกนี้จะสนิทกันมาแล้วจากกิจกรรมรับน้อง
ผมยังไม่อยากจะสนิทกับใครทั้งนั้น...รู้เลยว่าวันนี้จะไปโวยวายกับลุงเอี่ยมว่าอะไร...แม่งโคตรไม่แฮปปี้...สถานที่เรียนก็ดีครับ...อาจารย์สอนเก่ง...เพื่อนรอบตัวก็ท่าทางเรียนเก่งดูดีสภาพแวดล้อมใช้ได้ แต่เรื่องโดนสาดน้ำใส่เมื่อเช้าแม่งฝังใจกว่าเรื่องไอ้แทนคุณขโมยหอมแก้มผมอีก ผมยังคิดเรื่องนี้ไม่ตกจนกระทั่งหมดคาบอาจารย์สอน
เพื่อนปีหนึ่งทุกคนลุกฮือราวกับว่ามีคนเอาเข็มมาจิ้มตูด...ผมยังไม่ลุก เพราะเอาแต่คิดเรื่องการอับอายจากการถูกสาดน้ำใส่ต่อหน้าประชาชีชาวบริหาร...วันนี้ผมยังไม่มีเพื่อนเลยสักคน แน่นอนว่าผมยังไม่มีอารมณ์สร้างมิตรอะไรในตอนนี้ เพราะผมค่อนข้างจะคิดหนักกับเรื่องโดนแกล้งเมื่อเช้า ยังไม่อยากจะไว้ใจใครทั้งสิ้น
ผมเห็นด้วยกับตัวเองอย่างหนักที่ว่า...แม่งต้องไม่ใช่อุบัติเหตุ
ว่าแต่ปีหนึ่งพวกนี้หนึ่งในนี้จะมีใครเห็นมั้ยวะ...อย่าเห็นเลยนะ...กูยังอยากมีชีวิตที่เท่อยู่ พลีส...
ผมเอาหัวโขกโต๊ะตัวเองอย่างรู้สึกอยากจะหนีหน้าไปให้พ้นๆ โขกเบาๆครับ โขกแรงทำไมล่ะ...มันเจ็บเน้อ...รู้ตัวอีกทีผมก็กลายเป็นคนสุดท้ายที่อยู่ในห้อง...อืม...ท่าทางผมจะใช้เวลากับการโขกโต๊ะนานไปหน่อย...ไปหาข้าวกินสักหน่อยดีกว่า ผมเดินเนือยๆจากโต๊ะแล้วกำลังจะผลักประตูกระจกออก
แจ็คพ็อตแตกใส่กูอีกแล้วววววววววววว...เหี้ยไหนมันล็อคประตูวะ!!!!!
เวรตะไลไข่เจียวไหม้ แม่มึงเอ้ย...ผมทุบประตูเสียงดังมองซ้ายมองขวาเรียกคนให้คนช่วย จะบ้าตาย เมื่อเช้าก็แล้วตอนนี้ก็อีก ท่าทางผมต้องไปทำบุญเพิ่ม อะไรจะซวยซ้ำซวยซ้อนปานนั้นวะ!
ผมรีบกดโทรศัพท์ทันที ชะงักกึกเมื่อไม่รู้ว่าจะโทรออกหาใครดี แต่เชื่อผมเหอะลุงเอี่ยมทำได้ทุกอย่าง ผมจัดการโทรหาลุงเอี่ยมทันที ลุงเอี่ยมแกโวยวายใหญ่จะส่งหน่วยSWATเข้ามาช่วยผมเลยทีเดียว(ล้อเล่น ผมแค่เปรียบเปรย ก็แค่ตำรวจหนึ่งกองพันเอง....เอ่อ...เชี่ยทัพ มึงเลิกเล่นได้แล้ว!)
คนที่มาช่วยผมไม่ใช่หน่วยสวาท ไม่ใช่หนึ่งในตำรวจหนึ่งกองพัน
มันคือไอ้คนบ้าหมา ผู้ชายบ้านอยู่ฝั่งตรงข้ามผม
มันทำหน้าตกใจนิดหน่อย ก่อนที่จะบิดกุญแจที่ไม่รู้แม่งเอามาจากไหนแล้วไขออกมาให้ผมได้ออกไปสูดอากาศอิสระข้างนอกหลังจากถูกขังมากกว่ายี่สิบนาที
“โง่ไม่พอยังซวยอีก” นั่นคืออย่างแรกที่มันพูด มันส่ายหน้าใส่ผมราวกับว่าผมเป็นคนโง่ที่ทำให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น กูไม่ได้ตั้งใจโว้ย!
“พูดได้แค่นี้เหรอวะแม่ง” ผมอารมณ์เสียขั้นสุด... “กูจะกลับบ้านละ กูไม่เรียนแม่งแล้ว”
“ปัญญาอ่อนป่ะวะ เรื่องแค่นี้เอง” ไอ้แทนเอื้อมมือมาช่วยผมถือถุงเสื้อที่เริ่มจะแห้ง(แอบวางผึ่งไว้ที่เก้าอี้ข้างๆ) ผมสะบัดหนี
“ไม่เป็นกูไม่เข้าใจหรอก วันนี้แม่งซวยผิดปกติ”
“แต่กูก็มาช่วยมึงตลอดป่ะ”
“มึงคิดว่าครั้งต่อไปมึงมาช่วยกูทันเหรอ”
“มึงคิดว่าเรื่องซวยของมึงยังจะมีครั้งต่อไปอีกเหรอ”
ผมกับมันแยกเขี้ยวใส่กันเหมือนร็อดไวเลอร์กับพิทบูล(ตกลงผมบ้าหมาเหมือนไอ้แทนมั้ยเนี่ย...) ในที่สุดสิ่งที่มาห้ามทัพก็คือเสียงลิฟต์เปิด ผมยังอารมณ์เสียเข้าขั้นสุดและไอ้เชี่ยแทนก็ดูเซ็งๆ
ลิฟต์เปิด...
คนที่สบตาผมคือพี่อิง...และนั่นทำให้ผมกับเชี่ยแทนอึ้งมาก
เพราะในความคิดเธอผมกับไอ้แทนเป็นแฟนกัน...
เชี่ยแทนแม่งรีแอคชั่นไวมากผมขอคารวะ มันคว้ามือของผมมาจับหมับพร้อมๆกับดึงให้ออกไปจากลิฟต์ ถุย...เมื่อกี้ยังทำหน้าเซ็งอยู่เลย
ผมพยายามเขย่าให้มันปล่อยมือ แทบจะก้มหน้าลงไปกัดมือมันอยู่แล้ว แต่ไอ้เชี่ยแทนจับมือผมไว้แน่นมากแถมยังประสานด้วย มึงต้องการอะไรจากกูวะถามจริง...
“แทน...” พี่อิงรำพึงอึ้งๆ
“ไงอิง...โทษทีที่ออกมากกลางคัน เดี๋ยวบ่ายนี้ไปช่วยนะ” แทนเอ่ยกับพี่อิง เดี๋ยวนะ นั่นหมายความว่ามันโดดงานกลุ่มมาช่วยผมเหรอ...ผมควรรู้สึกผิดมั้ยเนี่ย “ตอนนี้เราไปทานข้าวก่อนนะ”
ไอ้แทนไม่ปล่อยให้ผู้หญิงเขาพูดเลยครับ...มันดึงมือผมให้เดินไปกับมันจนสุดทาง(สาบานว่ามีคนมองมามากกว่าพี่อิงคนเดียวแน่ๆ...เขามองเพราะผมหล่อรึเปล่าครับ?...อ้าว...ไม่ใช่เหรอ) และพอลับสายตาพี่อิงเท่านั้นแหละ ผมสะบัดมือผมจนหลุดจากมือไอ้แทน
“อะไรที่ทำให้มึงต้องหลอกผู้หญิงเขาขนาดนั้นวะ...” ผมเอ่ยอย่างหงุดหงิด แม่ง เรื่องหงุดหงิดจะมีเยอะไปไหน...
“กูติดหนี้มึงอีกแล้ว”
“กูถามว่าอะไรที่ทำให้มึงต้องหลอกเขา หลบเขา”
“…มึงไม่เข้าใจ” แทนทำหน้าอารมณ์ขุ่น “...เขาร้ายและเขาไม่ยอมปล่อยกูไปสักที”
อืม จากที่ดูๆอยู่ก็พอจะเข้าใจ...
หน้าตาไอ้แทนก็น่าจะทำให้สาวรักสาวหลงได้อยู่...ตัวสูงมากแถมหน้ายังหล่อแบบฝรั่งก็ได้เอเชียก็ดีอีก
อย่าไปบอกมันเชียวว่าผมชมมัน...แค่อยู่ในใจก็พอแล้วมั้งมันคือความจริงนี่...แต่ผมจะไม่มีวันพูดให้มันได้ยินเด็ดขาด
“ในฐานะที่กูติดหนี้มึง...วันนี้มึงซวยอะไรอีกกูจะมาช่วยมึงละกัน” แทนคุณเอ่ยในที่สุด “เดี๋ยวกูเลี้ยงข้าว”
เออ มึงนี่แม่งก็มีมุมเป็นคนดีกับเขาเหมือนกันนะเนี่ย...(ตั้งนานเพิ่งรู้สึก...เห็นแก่ของฟรี)
“แต่ซวยๆแบบนี้...แม่งไม่ดีเลยว่ะ”
มันรำพึงกับตัวเอง...
แหงล่ะ...ซวยแบบนี้แม่งดีตรงไหน...
ผมคิดในใจอย่างขุ่นมัวก่อนที่จะล้วงกางเกงเพื่อหยิบโทรศัพท์ตัวเอง
เรื่องซวยเรื่องที่สามของวันนี้ครับ...
โทรศัพท์ของผมหายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ยัวฟาเธอร์ดายยยยยยยยยยยยยยยยย
ตอนนี้ผมอยากให้คนเขียนเรื่องนี้เปลี่ยนชื่อนิยายเหลือเกิน...เอาเป็นชื่อนี้เป็นไง!
‘ตัวซวยหน้าหล่อ’
ก็ยังจะมีอารมณ์มาเล่นได้...
แม่ง...หงุดหงิดชิบหาย อะไรมันจะปานนั้นวะ
ผมลืมคิดไป...อันที่จริงผมอาจจะซวยตั้งแต่เมื่อคืนแล้วก็ได้
ไอ้ข้อความจาก ‘unknown’ นั่น...
TBC*
TALK : เดี๋ยวนะ...เรื่องนี้มีอะไรลึกล้งลึกลับด้วยเหรอ ความเกรียนของทัพยังไม่ถึงขีดสุด ส่วนความหล่อของแทนก็ยังไม่ถึงขีดสุดเช่นกัน(คนเขียนผู้บ้าเมะโคตรสองมาตรฐาน) ติดจะเวอร์วังไปนิดอย่าใส่ใจเลยนะคะ คนเขียนชอบเพ้อชอบฝันแบบสุดๆ #หัวเราะดังมาก ปล.ฝากถึงน้องฟฟฮ นายเอกเจ้รวยทุกเรื่องมันเป็นความบังเอิญ5555555555555555