รักบังตา
Chapter 13
เพราะเข้าใจผิด
[ Pun ]
วันนี้ร้านพี่ปัทมีลูกค้าบางตา ผมนั่งมองลูกค้าไม่กี่โต๊ะตรงหน้า บางโต๊ะก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน บางโต๊ะก็พากันกอดคอร้องไห้ออกมาท่ามกลางดนตรีสดที่ไม่ได้เล่นเพลงเศร้า ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ผมนั่งมองภาพตรงหน้าอยู่อย่างนั้น จู่ ๆ ในหัวก็มีภาพใครบางคนผุดขึ้นมาทำให้ผมเผลอมองไปยังที่นั่งประจำของเขาโดยไม่ตั้งใจ
“ปัน มองไรอะ” เสียงทักของพี่ปัททำให้ผมสะดุ้งไปเล็กน้อย
“ห้ะ.. อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกพี่ปัท”
“ไม่ต้องมาโกหกพี่เลยนะ สายตาเราเหมือนกำลังมองหาใครอยู่งั้นแหละ แอบไปมีแฟนไม่บอกพี่รึเปล่า” ผมรีบปฏิเสธพี่ปัททันทีที่ได้ยินแบบนั้น
“ไม่มีอะไรจริง ๆ พี่ปัท”
“ไม่มีก็ไม่มี อย่าให้พี่รู้ละกันว่าเราแอบซุกสาวไว้ไม่บอกพี่ เออ แล้วเรื่องเงินค่าใช้จ่ายของปัน ปันบอกพี่มาได้เลยนะว่าจะเอาเท่าไหร่ เดี๋ยวพี่โอนให้”
“ไม่ต้องหรอกพี่ปัท ปันว่าจะบอกพี่ปัทอยู่พอดีว่าหลังจากนี้ปันจะหางานพาร์ทไทม์ทำ อาจจะไม่ได้มาช่วยพี่ปัทแล้ว” พี่ปัทขมวดคิ้วกับคำพูดของผม เดาได้ไม่ยากว่าประโยคถัดไปที่พี่เขาจะพูดคืออะไร
“ก็ทำงานกับพี่ไง ปันไม่เห็นต้องไปทำงานที่อื่นเลย หรือว่าปันไม่อยากทำงานกับพี่”
“เปล่า ไม่ใช่อย่างงั้น ปันแค่เกรงใจพี่ปัท ปันไม่ได้ทำงานให้พี่ปัทเต็มที่ขนาดนั้น”
“ไม่เห็นต้องเกรงใจเลย ปันเป็นน้องพี่นะ ถ้าทำได้พี่ก็อยากให้เงินปันไปเฉย ๆ เสียด้วยซ้ำ แต่พี่รู้ว่าปันไม่เอาแน่ ๆ ทำไมปันถึงชอบทำให้ตัวเองเหนื่อยด้วย”
“คือ..”
“ไม่รู้แหละ พี่ไม่ให้ปันปฏิเสธ ถ้าปันจะทำงานที่อื่น ปันก็ไม่ต้องเข้ามาเหยียบร้านพี่อีกเลย พี่จะถือว่าปันไม่ชอบที่นี่” ไม่คิดจริง ๆ ว่าพี่ปัทจะมาไม้นี้ ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของพี่ปัททำให้ผมรู้ว่าพี่ปัทไม่ได้พูดเล่น
“พี่ปัทเล่นพูดงี้ ปันจะทำไรได้อีกอะ”
“ว่านอนสอนง่ายแบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย แล้วนี่จะกลับเลยไหม ดึกแล้วนะ”
“น่าจะอีกสักพักอะพี่ปัท”
“โอเคเลย จะกลับตอนไหนก็บอกพี่นะ” พูดจบพี่ปัทก็เดินหายไปหลังร้าน
ผมมองจอโทรศัพท์และพบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน ที่จริงผมส่งข้อความไปบอกซิกแล้วว่าใกล้เสร็จแล้ว จนผ่านไปราว ๆ เกือบครึ่งชั่วโมงก็ยังปราศจากการแจ้งเตือนใด ๆ ที่ตอบกลับมา ผมคิดเอาเองว่าเขาอาจจะหลับไปแล้วก็ได้ แต่แวบหนึ่งมันก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาว่าเขาอาจจะเป็นอะไรรึเปล่า ผมนั่งทำรายการของวันนี้จนเสร็จ ถึงได้เดินไปบอกลาพี่ปัทและเรียกแท็กซี่กลับบ้าน
เมื่อมาถึงบ้านผมก็ต้องแปลกใจมากกว่าเดิม รถมอเตอร์ไซค์ของซิกไม่อยู่ บ้านทั้งหลังเต็มไปความมืดเนื่องจากไม่มีไฟเปิดเลยสักดวง แม้แต่ไฟหน้าบ้านก็ไม่ได้เปิด เสียงหมาหอนที่ดังมาจากไกล ๆ ทำให้ผมรีบไขกุญแจเข้าบ้าน ผ่านไปเกือบสัปดาห์แล้วที่ไม่รู้สึกถึงบรรยากาศวังเวงแบบนี้ พอเข้าบ้านได้ผมก็รีบล็อคประตูทันที
ผมมองไปท่ามกลางความมืด เงาผ้าม่านและสิ่งของภายในบ้านต่างก็ชวนให้จินตนาการถึงบางอย่างที่ไม่ควรนึกถึง ผมค่อย ๆ เดินเลียบผนังไปเปิดไฟ พอมีแสงสว่างเข้ามาแทนที่ผมถึงได้ถอนหายใจออกมา โทรศัพท์ถูกกดโทรออกไปหาซิก แต่เขากลับปิดเครื่อง ผมเริ่มร้อนใจขึ้นมาเพราะกลัวว่าเขาจะเกิดอุบัติเหตุรึเปล่า ก่อนจะรีบโทรหาคนที่ซิกน่าจะอยู่ด้วย
“ฮัลโหลฟลุ๊ค ซิกอยู่กับมึงปะ”
“อือ.. ไม่อยู่” ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
“เหรอ โอเค ถ้าซิกโทรหามึง มึงโทรมาบอกกูหน่อยนะ”
“เออ ๆ มึงลองโทรถามไอ้เฮียดูดิ” ผมโทรหาเฮียเตตามที่ฟลุ๊คบอก
“เฮีย ซิกอยู่กับมึงไหม” ผมภาวนาให้ปลายสายตอบกลับมาว่าใช่ หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้ผมรู้ว่าซิกยังปลอดภัยดีอยู่
“ไม่นะ ทำไมวะ มันยังไม่กลับเหรอ”
“ใช่ กูโทรหามันไม่ติดมาสักพักแล้วเลยเป็นห่วงว่าจะเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า”
“ใจเย็น มันอาจจะกลับบ้านรึเปล่า เดี๋ยวกูลองโทรหาแม่มันให้ละกัน”
“ยังไงก็โทรบอกกูหน่อยนะ ขอบใจมากนะมึง”
หลังจากวางสายจากเฮียเตไปผมก็ฟุ้งซ่านขึ้นมาทันที ในสมองก็คิดไปต่าง ๆ นา ๆ เพราะกลัวว่าซิกจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นมารึเปล่า จนผมต้องไปอาบน้ำเพื่อให้ลดความกังวลใจที่เกิดขึ้นแทน ใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำไม่นานผมก็เดินออกมา ในตอนที่กำลังจะเดินเข้าห้องก็ดันมีเสียงบางอย่างดังเข้าโสตประสาทผมมาเสียก่อน ผมหันกลับไปมองยังบานประตูห้องตรงข้าม ห้องที่ผมไม่เคยเปิดเข้าไปอีกเลยหลังจากวันแรกที่ย้ายเข้ามา
พรึบ !
ผมสะดุ้งไปตอนที่ไฟทั้งบ้านกลับมาดับอีกครั้ง เสียงที่เหมือนมีใครกำลังเคาะอยู่หลังบานประตูนั้นดังเด่นชัดท่ามกลางความเงียบ สายตาของผมจับจ้องไปยังบานประตูของห้องตรงข้าม คราวนี้เสียงเคาะที่ดังมาจากหลังบานประตูดังขึ้นจนผมตกใจ ผมรีบเปิดประตูห้องตัวเองและวิ่งเข้าไปข้างใน
ถึงแม้ว่าจะมาอยู่ในห้องแล้ว แต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกเบาใจขึ้นเลยแม้แต่น้อยเพราะเสียงเคาะนั้นเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ จนเปลี่ยนเป็นเสียงทุบแทน ยิ่งเวลาผ่านไปผมก็ยิ่งได้ยินทุบดังขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับว่าเสียงทุบนั้นมันดังมาจากหน้าห้องนอนที่ผมอยู่ ผมพยายามห้ามตัวเองไม่ให้ไปสนใจ โดยการข่มตานอนหลับและเอาหมอนมาอุดหูไว้ กระทั่งเสียงทุบนั้นเงียบไป
ทีแรกผมคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะจบลงแค่นั้น แต่เหมือนผมจะคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป ในตอนที่กำลังสะลึมสะลือจนเกือบจะหลับ ผมก็รู้สึกได้ว่าด้านหนึ่งของเตียงยวบลงไป นั่นทำให้ผมรู้ได้เลยในทันทีว่าค่ำคืนนี้จะมีใครบางคนมานอนเป็นเพื่อนผมแน่นอน
“มาเร็วจังวะปัน” เสียงเรียกทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะเรียน
“เชี่ย.. ทำไมหน้ามึงเป็นยังงั้นวะ เมื่อคืนมึงนอนกี่โมงเนี่ย” ผมยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา
“ไม่รู้ดิ พอดีกูนอนไม่ค่อยหลับ”
“มึงไหวปะวะ ไม่ไหวก็โดดไปนอนเหอะ คาบนี้ไม่เช็คชื่อหนิ”
“ไม่ดีกว่า กูขี้เกียจกลับไปละ” ผมตอบปัดไป เพราะต่อให้กลับบ้านไปตอนนี้ก็คงไม่ได้นอนอยู่ดี ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะเจออะไรอีกถ้ากลับไปอยู่คนเดียว
เมื่อเช้าผมแทบจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าลากสังขารตัวเองมาถึงห้องเรียนได้ไง รู้แค่ว่าผมนอนไม่หลับเลยทั้งคืน พอพระอาทิตย์ขึ้นก็รีบพาตัวเองออกมาจากบ้านมาห้องเรียนทันที เพิ่งได้นอนจริง ๆ ก็คือตอนที่ฟุบหน้าลงไปนอนบนโต๊ะเมื่อสองชั่วโมงก่อนนี้เอง ผมกวาดตามองไปรอบห้องและเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีนักศึกษาบางกลุ่มเข้ามานั่งในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“เออ แล้วนี่มึงเจอไอ้ซิกยัง” ผมส่ายหัวให้แทนคำตอบ เมื่อเช้าผมรีบมากจนลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน ตอนนี้เลยติดต่อใครไม่ได้สักคน
“หรือมันมีแฟน ไปอยู่ห้องแฟนรึเปล่า”
“ตลกละไอ้ฟลุ๊ค มึงเคยเห็นมันอยู่กับใครนอกจากพวกเราไหมล่ะ”
“ใครจะรู้วะ กูเห็นไอ้เฮียก็อยู่กับเราตลอด ไปคุยกับน้องหลินตอนไหนก็ไม่เห็นมีใครรู้เลย” สิ่งที่ฟลุ๊คพูดทำเอาเฌอแตมเถียงไม่ออก คนที่เพิ่งถูกพูดถึงเปิดประตูเดินเข้ามา ผมมองไปข้างหลังเขาเพราะหวังว่าจะเจอใครอีกคน แต่มันก็ไม่มี
“ไม่รับสายกูวะปัน เมื่อคืนกูโทรไปตั้งหลายสาย” สิ่งที่เฮียเตพูดทำให้ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“เหรอวะ.. โทษที กูไม่ได้ยิน” สาบานได้ว่าตลอดทั้งคืนผมไม่ได้ยินหรือรู้สึกถึงการสั่นของโทรศัพท์เลยแม้แต่นิดเดียว
“กูแค่จะโทรบอกมึงว่าซิกมันกลับไปนอนบ้านแม่ เดี๋ยวมันก็มาเรียน มึงไม่ต้องเป็นห่วงมันหรอก” ผมคลายความกังวลลงไปเมื่อรู้ว่าซิกไม่ได้เป็นอะไร
หลังจากที่เริ่มเรียนไปได้ครึ่งชั่วโมง ซิกก็เดินเข้ามาทางประตูหลัง เขามองมาที่ผมและมองผ่านไปเลยราวกับไม่เห็นว่าผมนั่งอยู่ตรงนั้น สีหน้าของซิกนิ่งเสียจนผมไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ทั้ง ๆ ที่คาบเรียนวันนี้ก็ปกติเหมือนอย่างทุกคาบ แต่ผมกลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวเพราะผมไม่รู้จริง ๆ ว่าซิกตั้งใจเมินผมหรือผมคิดไปเองกันแน่
“เลิกเรียนแล้วไปหาไรแดกกันเพื่อน” เสียงของฟลุ๊คทำให้ผมหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างเฮียเต เขาเก็บของโดยไม่ได้สนใจอะไร พอเสร็จก็ลุกออกไปเลย
“ไอ้ซิก ! รีบไปไหนของมันวะ”
“กูไม่ไปนะ มีนัดแล้ว”
“กูก็ไม่ไป กูขี้เกียจ” ทั้งเฮียเตและเฌอแตมต่างก็ปฏิเสธ จนฟลุ๊คต้องหันมามองผมด้วยสายตาคาดหวัง น่าเสียดายที่ตอนนี้ผมเองก็กินอะไรไม่ลงเหมือนกัน
“กูว่าจะกลับไปนอน กูง่วง”
เมื่อคำตอบของทุกคนเป็นเสียงเดียวกัน แต่ละคนเลยต่างแยกย้ายกันกลับ ผมเดินออกมาจากห้องเรียนและก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นคนที่ยืนรออยู่ด้านหน้า เมื่อเจ้าคุณก้าวเข้ามาหา มันทำให้ผมเผลอถอยหลังไป เขาหน้าเสียไปเล็กน้อย ผมเกือบจะตัดสินใจเดินหนีไปอยู่แล้ว แต่เพราะสายตาของเจ้าคุณที่มองมาด้วยความรู้สึกผิดทำให้ผมเดินผ่านเขาไปไม่ลง
“มึงมีอะไรจะคุยกับกูรึเปล่า”
“เราแค่อยากจะมาขอโทษที่วันนั้นเราทำตัวไม่ดีใส่ปัน”
“..”
“เรารู้สึกผิดจริง ๆ นะที่ตอนนั้นเราใช้อารมณ์กับปัน แต่ปันก็รู้ใช่ไหมว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเรารู้สึกกับปันยังไง”
“กูไม่ได้รู้สึกกับมึงแบบนั้น”
“เรารู้ เราถึงได้พยายามอดทนที่จะอยู่ข้างปันในฐานะเพื่อนมาตลอด”
“กูขอโทษนะ” ผมรู้ดีว่ามันไม่ใช่ความผิดของเจ้าคุณคนเดียว หลายต่อหลายครั้งที่การกระทำของเขามันชัดเจน แต่ผมเลือกที่จะใช้คำว่าเพื่อนมองข้ามการกระทำเหล่านั้นไป จนมันกลายเป็นความเพิกเฉยต่อความรู้สึกของเจ้าคุณไปโดยที่ผมไม่รู้ตัว
“ถ้าเราบอกว่าเราอยากจะเป็นเพื่อนกับปันอีกครั้ง.. ปันจะว่าอะไรไหม”
“กูเป็นเพื่อนกับมึงมาตลอดนะเจ้าคุณ.. มันอยู่ที่มึงต่างหาก ไม่มีใครต้องอดทนเพื่อที่จะเป็นเพื่อนกันหรอกนะ กูไม่อยากให้มึงต้องรู้สึกแย่เพราะการเป็นเพื่อนกับกูอีกแล้ว” ผมมองหน้าเจ้าคุณตรง ๆ เพราะอยากให้เขารู้ว่าผมหมายความตามที่พูดจริง ๆ เจ้าคุณเองก็ไม่ได้หลบสายตา เขายิ้มออกมาเมื่อฟังผมพูดจนจบ ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่ดูฝืนมากจนผมอดที่จะสงสารขึ้นมาไม่ได้
“ปันแม่ง.. ใจร้ายมากเลยรู้ตัวไหม”
“..”
“ถ้างั้นเราขออะไรปันสักอย่างได้ไหม อย่างน้อยก็ช่วยกอดปลอบที่เราอกหักหน่อย” คำขอของเจ้าคุณทำให้ผมมองหน้าเขาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะอ้าแขนกว้าง เจ้าคุณเดินมาทิ้งตัวลงในอ้อมกอดนั้น ผมยกมือลูบหลังและตบบ่าคนที่ตัวสูงกว่าเล็กน้อยเป็นเชิงปลอบ
“สักวันหนึ่ง.. เดี๋ยวมึงก็เจอคนที่ใจดีกับมึงมากกว่ากู” ผมปลอบเจ้าคุณได้ไม่นานก็ขอตัวกลับก่อน ถึงแม้สายตาเจ้าคุณจะรั้งให้ผมอยู่ต่อแค่ไหน แต่ผมก็ดีใจที่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา
เมื่อผมเดินกลับบ้านมา ก็เห็นมอเตอร์ไซค์ของซิกจอดอยู่และประตูบ้านที่ไม่ได้ปิด พอเดินเข้าไปในบ้าน ซิกก็เดินออกมาจากห้องนอนพอดี ในมือของเขาถือกระเป๋าอยู่ใบหนึ่ง ซิกสบตากับผมแวบหนึ่งและละสายตาไปราวกับไม่อยากมอง ผมรู้สึกได้ว่าเขาแปลกไปและผมไม่รู้ว่าทำไม เหตุการณ์เดียวที่เกิดขึ้นระหว่างเราคือเรื่องจูบวันนั้น ถ้าหากจะมีสักเรื่องที่ทำให้ซิกเป็นแบบนี้ ผมคิดออกแค่เรื่องนั้นเรื่องเดียว
“มึงเป็นอะไรรึเปล่าวะซิก”
“เปล่า” ซิกตอบโดยที่ไม่มองหน้าผมด้วยซ้ำ ผมจับแขนเขาเอาไว้ในตอนที่เขากำลังจะเดินผ่านไป
“แต่กูดูออกว่ามึงเป็น.. มึงบอกกูได้ทุกเรื่องเลยนะซิก ถ้ากูทำให้มึงไม่สบายใจอะ”
“กูยังไม่อยากคุยกับมึงตอนนี้ปัน” คำพูดของซิกทำให้ผมมั่นใจว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้
“ถ้ามันเป็นเพราะมึงจูบกูตอนนั้น มึงไม่ต้องคิดมากก็ได้นะ กูเข้าใจว่ามึงเมา มึงจะลืมมันไปก็ได้ถ้ามึงรู้สึกไม่โอเค” คราวนี้ซิกหันมามองหน้าผมตรง ๆ และเขาดูอารมณ์ไม่ดีเอาเสียมาก ๆ
“มึงคิดว่ากูจูบมึงเพราะกูเมาเหรอ กูไม่ใช่มึงนะปัน ที่จะกอดหรือจูบกับใครก็ได้”