———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————  (อ่าน 45186 ครั้ง)

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Jiraapp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 380
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เพิ่งมาอ่านยิงยาวเลยจ้า ลุ้นมากกกกกในที่สุดณะก็พูดออกมา พออ่านตอนที่ 10 จบ แล้วเลื่อนมาเจอตอนที่ 11 ก็คือดีใจมากๆๆๆ เค้าค่อย ๆ เริ่มความสัมพันธ์น่ารักมากกกก อยากบอกว่าแอบลุ้นให้หมอคุณมางานถ่ายรูปรับปริญญากับณะมาก

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
อ่ะจีบกันใหม่จ้า

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
น่ารักมากกกก เปิดใจกันแบบนี้อ่ะดีแล้ว

ออฟไลน์ พลอย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เย้ มาต่อแล้วววว

ออฟไลน์ SMiLD

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ฮื้อออ ชอบความจีบกัน อุ่นๆละมุน พี่คุณน่ารักมากเลยอ่าา
แต่ค้างง่า รอต่อนะค้าาา เป็นกำลังใจให้คนเขียนด้วยค่าา :mew1:

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
เขินตัวจะแตกแล้ว รีบมาต่อน้าาา อยากอ่านต่อแล้ว

ออฟไลน์ yanggi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
 :katai1:ดีมากเลยอะ อานแล้วฟินมาก

ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บอกได้คำเดียวว่า “น่ารักมากกกกกกกกกก”  :-[
น่ารักทุกอย่าง บทสนทนา ท่าทาง ความสัมพันธ์ และคุณคุณ
รอตอนต่อไปนะคะ :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4
———— 12 ————


     “เธอรับงานถ่ายรูปด้วยเหรอ”

     ผมเงยหน้าขึ้นมองคณณัฐ์ที่นั่งเล่นอยู่ที่ปลายเตียงของผมพร้อมกับกล้อง DSLR ในมือ อีกฝ่ายยิ้มตาหยี หันกล้องที่เป็นรูปผู้หญิงในชุดสวยงามตามประสาเชียร์ลีดเดอร์สมัยมัธยม

     ผมส่ายหน้า “เปล่า อันนั้นน้องที่เป็นญาติ” ผมอธิบาย “น้องมันเป็นหลีดฯ ไง เลยไปช่วยถ่ายรูป”

     “ถ่ายสวยเนอะ”

     “แน่นอน คนมันเก่ง”


     คุณแลบลิ้นทำเสียงแหวะออกมา ในขณะที่ผมหัวเราะแผ่วเบา

     ผมเดินเข้าไปทิ้งตัวข้างๆ “ทำไม เค้าทำไม่เก่งเหรอ”

     “เก่งก็ได้”
ว่าที่คุณหมอหันตัวมา “แต่ไม่ชมมากหรอก เดี๋ยวเธอเหลิง”

     ว่าแบบนั้นพลางเอาแขนคล้องแขนของผมไว้ในขณะที่เล่นกล้องผมเหมือนเดิม เป็นวิธีการสัมผัสกันโดยที่เราได้ไปทำอย่างอื่น ผมสังเกตมาสักพักแล้วว่าคุณชอบที่จะอยู่ด้วยกันใกล้ๆ สัมผัสตัวกันเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่กอดก่ายหรือจับมือเหนียวแน่น

     “เคยคิดจะรับจ๊อบถ่ายรูปไหม” คุณเงยหน้าขึ้นมาถาม

     “เคยดิ แต่คงต้องฝึกฝีมืออีกหน่อย คณะเค้ามีคนทำเต็มเลย”

     “ก็เด็กฟิล์มอ่ะเนอะ”

     “เอกอื่นก็มี คณะเค้าเล่นกล้องเยอะ”
ผมว่าพลางมองชายหนุ่มข้างกาย เผลอมองไล่ไปตั้งแต่ปลายเส้นผม, ดวงตากับไฝสองจุดตรงนั้น, จมูก เรื่อยไปจนริมฝีปากและข้อมือที่ขนาดใกล้เคียงกัน “เธอชอบเป็นแบบไหม”

     คุณหมอเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงงก่อนจะถามเสียงหลง “เค้า?”

     ผมพยักหน้า

     “โหย เค้าไม่ชอบถ่ายรูปอ่ะ” คุณว่าแบบนั้น เอียงศีรษะลงมาซบบนต้นแขนของผมขณะที่เลื่อนรูปในกล้องของผมไปเรื่อยๆ “เฮ้ย เพื่อนน้องสวยอ่ะ— อ๋อ ใช่ ไม่ใช่ถ่ายไม่ได้แต่ไม่ค่อยชิน เกร็งๆ กล้อง”

     “ไว้วันหลังถ่ายให้”
ผมว่าแบบนั้น เอียงหัวซบศีรษะของคุณต่ออีกทอด

     “แบบเป็นกิจจลักษณะเลยเหรอ”

     ผมพยักหน้า “แบบเป็นกิจจลักษณะเลย”

     “ไม่เอาอ่ะ เขินแย่”


     คุณว่าแบบนั้นพลางซูมรูปเพื่อนๆ ของน้องผม เล่นเอาคิ้วกระตุกนิดหน่อยเพราะรู้สึกว่าอีกฝ่ายชอบจริงแต่ก็ไม่อยากจะไปหึงอะไรมั่วซั่ว มันดูเป็นคนงี่เง่าไปเสียหน่อย ว่าก็ว่าเถอะ, คุณชอบผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อย ท่าทางอาหมวยนิดๆ สุดๆ จนตัวผมนึกขำไม่ได้ที่ผม – ซึ่งเป็นแฟนคุณ – เป็นเพียงผู้ชายตัวสูงโย่งหน้าตาไม่โดดเด่น แถมยังจะไว้เคราบางช่วงเพราะงานเยอะอีกต่างหาก

     “งั้นวันรับปริญญาฯ”

     “นานไป”

     “จะไม่อยู่เหรอ”


     คุณถามคำถามที่ไม่ค่อยถาม

     ผมไม่ได้ตอบ – ยอมรับว่าไม่เก่งกาจเรื่องการสัญญา จริงๆ แล้วเป็นคนซีเรียสเรื่องคำพูดค่อนข้างมาก และคุณเองก็ดูจะเข้าใจ อีกฝ่ายยิ้มและหัวเราะแหะๆ แล้วก็เอ่ยขึ้นมาว่า

     “งั้นวันรับกาวน์ เธอช่วยมาถ่ายรูปให้ด้วยนะ”

     ผมคิดไปถึงในระยะเวลาอีกครึ่งปีข้างหน้า ก่อนที่จะพยักหน้ารับคำ

     คุณยิ้มตาหยี น่ารักเหมือนเดิม ก่อนที่จะทำนั่นทำนี่กับกล้องผมต่อ

     เชื่อไหม, ผมเพิ่งถือกล้องไปถ่ายรูปให้คุณวันรับกาวน์ไม่ถึงเดือนดีด้วยซ้ำ เราก็เลิกกันเสียแล้ว

     ไม่ต้องไปสนใจวันรับปริญญาหรอก,

     มันไม่มีวันนั้นเลยสักนิด




     
     “น้อง น้องคนนั้นอ่ะ— ลองมายืนข้างหน้าๆ เอ้ย ถอยอีกนิด”

     “มันจำชื่อน้องไม่ได้นะ ไม่จ่ายค่าจ้างนะพี่”

     “โหย” ผมเงยหน้าขึ้นมาจากช่องมองภาพ “น้องไม่จ่ายพี่ก็ไม่กดชัตเตอร์อ่ะ เอาดิ”

     กลุ่มสาวๆ หัวเราะคิกคัก ทั้งที่เป็นผู้หญิงแต่ด้วยความห้าวแล้วน้องๆ ก็ถือว่าคุยกับผมได้เร็ว อันที่จริงนี่เป็นเคล็ดลับในการทำให้คนถูกถ่ายรูปผ่อนคลายด้วย ขืนถามคำตอบคำภาพก็เกร็งยันชาติหน้า

     “พี่คุณยังจำชื่อพวกหนูได้เลยนะ”

     ผมหันไปมองคุณหมอที่วันนี้มาเป็นผู้ช่วยแบกของแบกน้ำจำยอม คณณัฐยักคิ้วหลิ่วตา ท่าทางน่าจะโดนหยิกสักทีแต่ก็ไม่อยากออกตัวมากเกินไป

     หันกลับไปจับกล้องเป็นมั่นเป็นเหมาะ “น้อง— สรุปชื่ออะไรนะ”

     “หวาน!”

     ผมหัวเราะ “ขอโทษๆ น้องหวานเข้าไปหน่อย”

     หญิงสาวทำหน้างออย่างไม่จริงจัง ผมทำงานของตัวเองไปตัวบรรยากาศเฮฮา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าอายุใกล้เคียงกัน น้องขิมเองก็ไม่ปล่อยให้มีเดดแอร์ แต่ที่มากไปกว่านั้น—

     ผมเหลือบมองคุณหมอ รอยยิ้มหวานเหมือนเดิมถูกมอบให้กัน

     คุณเอียงคอและยักคิ้ว “แค่นี้ก็จะไม่ได้ กา-จอก” ไม่ลืมที่จะพูดจากวนกันปิดท้ายจนผมอดไม่ไหว เอื้อมมือไปบีบปากนั้นจนได้

     คุณนิ่วหน้าแต่เหมือนจะไม่จริงจังในขณะที่ผมหัวเราะ ผมหันไปหากลุ่มสาวๆ ก่อนที่จะเห็นว่าพวกหล่อนหัวเราะไปด้วย ไม่ได้มีทีท่าตกใจหรืออะไร น้องขิมมองผมนิ่งๆ แต่ยามเราสบตากันก็ยิ้มให้ ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนนิดหน่อย คงเพราะหล่อนเป็นเพียงคนเดียวที่รู้จักกับคนรู้จักของผมต่ออีกทอด และก่อนหน้านี้ก็ใช่จะไม่รู้ว่าเธอค่อนข้างจะสนใจผมไม่ใช่น้อย
     เรียกว่าเซ้นส์ก็คงได้ – ไม่ใช่แค่ผู้หญิงหรอก ผู้ชายเองก็มีเหมือนกัน

     “เอ้า ถ่ายต่อ เดี๋ยวคิดชั่วโมงเพิ่มนะ”
     
     “ไม่ใจดีเลยอ่ะ”

     “ให้พี่ทำมาหากินเถอะน้อง”

     น้องๆ หัวเราะ ไม่นานเราก็ถ่ายที่ตึกเรียนเสร็จ คงเพราะคนไม่เยอะ แถมในวันเสาร์-อาทิตย์แบบนี้ก็ไม่ค่อยเจอใคร ที่สำคัญคือแสงดี

     ผมปล่อยให้น้องๆ เดินพาผมไปที่หอสมุดซึ่งเป็นโลเคชั่นถัดไป รอบนี้คงจะเย็นขึ้นมาหน่อยหลังจากเดินวนอยู่ในตึกร้อนๆ เสียนาน

     “เหนื่อยไหม” คุณหมอเดินมาถามพร้อมกับพัดลมตัวเล็กที่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวไปเอามาจากไหน หันมาจ่อให้ที่ใบหน้าของผม “ร้อน”

     “พกด้วยเหรอ”

     “ไปยืมน้องมา มันชอบใช้ตอนมันไปคอนเสิร์ต”

     “อ๋อ” พยักหน้าและไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมให้มากความ

     คณณัฐยิ้มหวาน เลื่อนมือที่ถือพัดลมพกพามาให้ที่ใบหน้า จ่อเข้าที่หน้าผาก ขยับปากถามโดยไร้เสียงว่าหายร้อนยัง ซึ่งทั้งหมดนั่นโคตรจะน่ารัก เป็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้พบเจอมานานมากแล้ว

     คุณเก่งกาจเรื่องรอยยิ้มที่ทำให้โลกสดใสไม่พอ ยังเก่งกาจเรื่องทำให้คนที่อยู่ใกล้ๆ รู้สึกดีด้วย
     
     เราเดินมาถึงห้องสมุด รอบนี้เริ่มจากการถ่ายเดี่ยวกันก่อน น้องผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนแรกที่นั่งลงพิงชั้นหนังสือ ผมเหลือบเห็นภาพกระโปรงนักศึกษาของหล่อนร่นขึ้นไปเลยลดกล้องลง มองซ้ายขวาก็พบว่าเพื่อนๆ น้องเขาคุยกันอยู่เลยไม่สังเกต แต่ไอ้ครั้นจะเตือนเองก็กระอักกระอ่วน

     “น้องครับ” และคนช่วยชีวิตผมคือคุณหมอที่ยืนอยู่ข้างหลังผม “นั่งระวังหน่อยน้า” ใช้น้ำเสียงในการเตือนให้ดูน่ารักมากกว่าดูน่าเขินอาย

     เธอรีบเปลี่ยนท่านั่ง ผมเลยโล่งใจหน่อยและเริ่มทำงานต่อ

     คุณไม่ได้เก่งแค่เรื่องรอยยิ้มทำให้โลกสดใส แต่ยังเก่งเรื่องการวางตัวให้ไม่มีใครสักคนเกลียด จะไม่ชอบหน้าคณณัฐได้ก็คงจะมีความคิดที่ซับซ้อนน่าดู คุณวางตัวดีกับผู้หญิงและผู้ชาย ถนอมน้ำใจแต่ไม่ให้ความหวัง อ้างอิงจากตอนที่สาวๆ สมัยมหา’ ลัยชอบที่จะขายขนมจีบให้อีกคนเหลือเกิน

     “เมื่อยไหม” คุณเดินเข้ามาถามผมตอนที่ผมเดินมาหยิบขวดน้ำขึ้นดื่ม

     ผมเงยหน้าขึ้น ส่ายหน้าน้อยๆ “นั่งรอเบื่อไหม”

     “เฉยๆ”

     “วันหลังต้องเอาไฟอะไรมาให้ถือแล้ว”

     “งั้นวันหลังไม่มาแล้ว”

     “โหย” แล้วคุณก็หัวเราะที่แหย่ผมได้ – แหงล่ะ, คุณถือไพ่เหนือกว่าผมเสมอแหละ “ตอนนี้เธอก็มาเดินตามต้อยๆ แล้วนะ อุตส่าห์แนะนำว่าเป็นผู้ช่วย ไม่ได้ช่วยอะไรสักอย่าง”

     “เค้าถือกระเป๋ากล้องให้ไง ช่วยแล้ว”

     “กินแรง”

     คณณัฐยักไหล่เป็นเชิงบอกว่าช่วยไม่ได้ ผมเอื้อมมือไปหมายจะดึงแก้มอีกคนด้วยความมันเขี้ยว แต่จังหวะนั้นเองที่คุณเบี่ยงตัวออก

     เหมือนบรรยากาศรอบข้างของเราน่าอึดอัดขึ้นมาภายในเสี้ยววินาทีกับการกระทำนั้น คุณดูตกใจ ผมเองก็เหมือนกัน ถึงได้ลดมือกลับในวินาทีถัดไป

     “เอ่อ—”

     “พี่ณะๆ”

     เสียงเรียกของใครคนหนึ่งทำให้ผมกลืนคำพูดลงคอ คุณคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อน น้องขิมเป็นคนที่เรียกผมเมื่อกี้นี้ เธอเดินเข้ามาหาพร้อมกับชี้ที่กล้อง

     “หนูขอดูรูปหน่อยได้ไหมคะ”

     “อ๋อ, ได้ๆ”

     ผมหยิบกล้องขึ้นมาเปิดที่อัลบั้มภาพที่เพิ่งถ่ายไป หันกล้องให้ด้วยความเคยชิน

     น้องขยับเข้ามาหนึ่งก้าว กลิ่นหอมแฮะ— น้ำหอม, ไม่สิ, แชมพู? ผมตั้งคำถามกับกลิ่นที่แทรกเข้ามาในเสี้ยววินาทีก่อนที่จะได้ยินสัญญาณร้องเตือนเมื่อพบว่าระยะห่างนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ การใกล้กันจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวหล่อนคงไม่ใช่ระยะธรรมดา

     ผมเงยหน้าขึ้น เป็นจังหวะเดียวกันที่สบตากับคุณที่กำลังมองอยู่แล้ว แววตาของคุณดูปกติดีราวกับผมกำลังยืนคุยกับน้องเฉยๆ ทั้งๆ ที่น้องกำลังก้มหน้ามองหน้าจอกล้องที่คล้องคอผมอยู่

     ผมกลืนน้ำลาย “แป๊บนะน้องขิม” เอ่ยแบบนั้นก่อนจะถอยมาหนึ่งก้าว ยื่นกล้องให้เธอ

     น้องทำหน้างุนงงในจังหวะแรก ก่อนจะเหลือบตาไปมองออกฝั่ง “อะ- อ๋อ ค่ะ” ตอบมาแผ่วเบาก่อนจะถอยออกไปอีกหนึ่งก้าว

     ผมเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ไม่รู้หรอกว่าตัวเองทำหน้าตาแบบไหนออกไป แต่คุณถึงกับหลุดหัวเราะออกมาก่อนที่จะยกมือป้องปากและหันไปทางอื่นแทน

     “ชอบรูปประมาณนี้อ่ะ” น้องขิมหันหน้าจอกล้องมาทางผม “ขอโทษนะพี่”

     “ฮะ?” ผมร้องเสียงฉงน

     “เมื่อกี้ลืมตัว”

     “ไม่เป็นไรๆ พี่ไม่ได้— เอ่อ ซีเรียสอะไร”

     “อ๋อ” เธอพยักหน้า “พี่โย่งไม่มาด้วยเหรอคะวันนี้”

     ผมขมวดคิ้ว “ปกติพี่รับงานนอกก็ไม่มาด้วยนะ ปกติพี่ก็มาคนเดียว”

     “อ้าวเหรอคะ” น้องเอียงศีรษะเล็กน้อย ก่อนที่จะเอ่ยถามคำถามที่ทำให้ผมจนมุมในที่สุด “แล้วทำไมวันนี้พี่คุณถึงมาด้วยล่ะคะ”

     ผมถึงกับอึ้งไปเลยจังหวะนั้น

     ไม่ได้ตอบอะไรไปสักคำเดียวทั้งๆ ที่ขยับปากออกแต่สุดท้ายก็หุบปากฉับ

     น้องขิมครางต่ำในลำคอ “อ๋อ” แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านี้ ทั้งๆ ที่ยิ้มให้กันแต่ผมก็ทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ ตอบกลับไป

     ขอโทษนะครับน้อง





     
     ผมเสร็จงานตอนช่วงบ่าย นานกว่าที่คิดไว้เล็กน้อย จริงๆ พวกน้องๆ ชวนกันไปทานร้านชาบูแต่ผมก็ปฏิเสธไปเพราะรู้ดีว่ายังมีนัดกับคนที่มาด้วยกันในที่ที่คุณเคยส่งมาว่าอยากไปเลยได้บอกลากับทุกคนไปเลย

     “เป็นแมปให้ด้วยนะ”

     “รู้แล้วน่า” คุณว่าแบบนั้น “จริงๆ ให้เค้าขับไหม ตอนเช้าเธอขับแล้ว”

     “คิดมาก – เดี๋ยวเค้าขับให้แหละ”

     ผมตอบปัดพลางคาดเข็มขัด สตาร์ทรถที่ตอนนี้ร้อนฉิบหายเพราะจอดไว้บริเวณที่โดนแดด คุณกดเร่งแอร์ในขณะที่ผมวางมือลงบนพนักเก้าอี้ของอีกฝ่ายเพื่อถอยรถ

     จังหวะที่ทุกอย่างเสร็จสิ้นก็เผลอสบตากับคุณที่มองมาที่ผมอยู่ เพียงแค่เราสบตากันคุณก็หลบสายตาไปทางอื่น

     “มีอะไรเหรอ”

     “เปล่า”

     ผมมองหน้าอีกฝ่ายที่บ่นงึมงำก่อนจะยักคิ้ว “หล่ออ่ะดิ”

     “เอ้า ก็หล่อน่ะสิถึงได้มอง”

     ถ้าคิดว่าจะชนะคุณได้ ผมก็คิดผิดอีกตามเคย

     ทั้งที่คิดว่าจะหยอดไปแล้วจะทำให้อีกฝ่ายเขิน คำตอบคือใช่เลยสักนิด ในเมื่อคุณตอบกลับอย่างไม่มีรีรอ ไม่มีแม้แต่จังหวะจะเขินด้วยซ้ำ

     พอผมเป็นฝ่ายเงียบ กลายเป็นคุณเสียอีกที่เอานิ้วชี้ว่า “แหน่ะ เขินล่ะสิ”

     จะเหลือเหรอพ่อคุณ

     มื้อกลางวันตอนบ่ายสองไม่ได้แย่ ถึงแม้ว่าจะมีคนบ่นอิดออดนิดหน่อยที่หิวมาก แต่เพราะร้านอาหารไม่หนาแน่นเท่าช่วงเที่ยงเลยได้มาเร็ว มื้ออาหารไม่ได้กร่อยมาก ผมนั่งฟังคุณพูดเรื่องกองทุนไปจนถึงนินทาเจ้าหมา
ของตัวเองที่ผมเคยไปช่วย พร้อมกับนินทาเพื่อนสนิทที่ผมไม่ได้ยินชื่อมานาน

     “แมคจะแต่งงานแล้วนะ”

     “แมค? อ๋อ” นั่งคิดหน้าเพื่อนไปชั่วครู่ คงเพราะถึงจะเป็นเพื่อนกับเพื่อนของคุณในเฟซบุ๊กเหมือนเดิม แต่ว่าไม่ได้มีบทสนทนาต่างๆ นานแล้ว “มันจะแต่งแล้วเหรอ”

     “ไม่ได้เจอเลยเหรอ”

     “ตั้งแต่มันรับปริญญาก็ไม่ได้เจอเลยนะ แรกๆ ก็คุยกันบ้าง แต่สักพักก็หาย”

     คุณขมวดคิ้วมุ่น “เธอไปงานรับปริญญามันด้วยเหรอ”

     ผมครางต่ำในลำคอ สบถในใจว่าพลาดแล้ว

     คนเรามีเรื่องที่อยากจะฝังเก็บไว้, ผมเองก็เหมือนกัน

     จริงๆ แล้วผมก็มีเพื่อนที่เรียนหมอคณะเดียวกับคุณสองสามคน อย่างที่บอกว่าปีแรกเรียนวิทยาเขตเดียวกัน เพราะฉะนั้นวันรับปริญญาของพวกมัน ถ้าหากผมว่างก็จะไปหา

     ผมยังจำความบ้าบิ่นของตัวเองเมื่อก่อนได้อยู่เลย, ตอนนั้นเราน่าจะเลิกกันไปสักสองปี— ไม่สิ, ประมาณปีกว่าๆ มากกว่าล่ะมั้ง ใช่, ประมาณนั้นแหละ

     ผมไปงานรับปริญญาที่รู้ว่าคุณกำลังรับปริญญาด้วย แต่ไม่ได้ไปหา

     ไม่มีดอกไม้ ไม่มีคำยินดี ไม่ได้เจอหน้าตรงๆ ด้วยซ้ำ ผมไปถ่ายรูปกับไอ้แมคสองสามภาพและพูดคุยไม่กี่ประโยคก่อนจะแยกตัวออกมาหาเพื่อนคนอื่นๆ จำได้ว่าตอนนั้นเราคลาดกันเพราะสาเหตุอะไรบางอย่าง มันถามผมว่าอยากเจอคุณไหมและผมตอบว่าไม่เป็นไร

     ถ้าตอนนั้นผมตอบว่าอยากเจอจะเป็นอย่างไรนะ หรือถ้าผมรอนานกว่านั้นผมจะทำอย่างไร

     จำได้ว่าตอนนั้นไม่ได้จะเป็นจะตายแล้ว แต่ในหัวก็คิดแค่ว่าไม่ต้องเจอคงจะดีกว่า คิดอยู่แค่นั้นจริงๆ

     “ไปแหละ” ผมตอบเสียงแผ่ว

     คุณวาดยิ้มแต่แววตาเศร้าลงนิดหน่อย “แต่วันนั้นเราไม่ได้เจอกันเนอะ”

     “อื้อ”

     แล้วอาหารก็ดูจะรสชาติจืดชืดลงนิดหน่อยหลังจากนั้น

     เราเปลี่ยนเรื่องราวไปที่ชีวิตของแมคที่ยังเป็นเพื่อนสนิทของคุณอยู่ ช่วงนี้ได้ยินเรื่องการแต่งงานบ่อยเสียเหลือเกิน ผมแอบนินทาพี่สะใภ้ของตัวเองให้คุณฟัง อย่างเช่นเรื่องแปลกๆ ตอนท้อง แต่คุณกลับอธิบายมาอย่างวิทยาศาสตร์ตามประสาคนเป็นหมอ โดนผมแซวว่ายังเนิร์ดเหมือนเดิมแล้วมันก็กลายเป็นเรื่องขำขัน

     กว่าเราจะเดินออกมาจากร้านอาหารก็ใช้เวลาไปเป็นชั่วโมงพร้อมท้องที่อิ่มเกินกว่าที่คิด

     “ไปไหนต่อดี” คณณัฐเอ่ยถามขึ้นมา “รอบนี้ณะเลือก เค้าเลือกร้านอาหารแล้ว”

     “ยากว่ะ”

     “งั้นกลับเลยดีไหม”

     “คุณณณ” ผมลากเสียงยาวในขณะที่เจ้าของชื่อหัวเราะแผ่วเบาที่แหย่ผมได้อีกครั้ง

     ลงท้ายเราก็จบกันที่การจอดรถไว้แถวข้างทางแล้วลงไปเดินตลาดงานอาร์ตและของมือสองใกล้ๆ นี้ตามที่ผมหาในอินเตอร์เน็ตว่ามีอะไร ผมหยิบกล้องลงไปด้วย ถือว่าถ้ามีอะไรน่าสนใจคงจะได้ทำงาน

     แต่น่าแปลกนะ, ของที่น่าสนใจที่สุดสำหรับผมตอนนี้คงเอาไปเสนอไม่ได้แน่

     ทั้งที่ถือกล้องอยู่พร้อมกับเลนส์ที่เปลี่ยนจากตอนกลางวันเป็นระยะภาพที่กว้างขึ้นเพื่อถ่ายให้เห็นบรรยากาศมากกว่าภาพบุคคลแล้วแท้ๆ แต่ทำไมจุดโฟกัสเวลาผมมองผ่านกล้องถึงเป็นคุณมากกว่าบรรยากาศเหล่านั้นได้ก็ไม่รู้

     “ณะๆ” คุณเรียกชื่อผมพลางสะกินต้นแขน “เค้าขอไปดูต้นไม้ร้านนั้นนะ”

     ผมมองปลายนิ้วไปที่ร้านขายกระบองเพชร “เธอเลี้ยงด้วยเหรอ”

     “เพิ่งลองเลี้ยงก่อนหน้านี้ไม่นาน” คณณัฐตอบแบบนั้น “เบื่อๆ ก็หาอะไรทำ” ว่าแบบนั้นแล้วก็เดินดุ่มๆ ออกไปเลย

     ผมถ่ายรูปถนนที่ไม่ค่อยมีผู้คนในเวลานี้เนื่องจากตลาดเพิ่งตั้ง อีกสักพักก่อนที่จะหันกลับไปที่คุณหมอ ตั้งใจจะเดินไปหาแต่พอมองคุณที่ก้มหน้าทำหน้าเคร่งเครียดกับต้นไม้จิ๋วต่างๆ แล้วก็อดระบายยิ้มออกมาไม่ได้

     คุณตอนเรียนมหาวิทยาลัยเคยบ่นว่าเลี้ยงต้นไม้ไม่เคยรอด ไม่กินปลาดิบ หน้าตาเคร่งเครียดกับหนังสือเรียนแต่เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กันทุกที

     ห้าปีไม่ใช่เวลาน้อยๆ เลยนะ จำไม่ได้แล้วว่าตั้งแต่เจอกับคุณผมคิดคำนี้มากี่ครั้งแล้ว แต่มันก็ยังผุดขึ้นมาอีกที

     มันจะไปรอดจริงๆ ใช่ไหม

     จู่ๆ คำถามแบบนี้มันก็เคลื่อนตัวเข้ามาในหัวสมอง เป็นจังหวะที่ทำให้ลังเลจะกดชัตเตอร์จากมุมนี้

     แต่เสี้ยววินาทีนั้นคุณเงยหน้าขึ้นมา ริมฝีปากนั่นไม่ได้ยิ้มเหมือนเดิมแต่กัดเม้มน้อยๆ ก่อนที่จะกวักมือเรียกผมให้เข้าไปใกล้

     “ณะ มาช่วยเลือกหน่อย”

      ผมลดกล้องลงหลังจากกดชัตเตอร์ตอนที่เราสบตากันผ่านกล้อง

     เดินเข้าไปหา, ให้อีกฝ่ายบ่นงึมงำใส่และหันกลับมาถามด้วยคำถามง่ายๆ ว่าคุณจะเลือกอะไรดี ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้เข้าถึงเรื่องต้นไม้ใบหญ้าและไม่เข้าใจว่าต้นไหนแตกต่างกันอย่างไรด้วยซ้ำ แต่คุณก็ถามความคิดของผม สุดท้ายคุณก็ได้ต้นไม้ทั้งสองต้นนั้นใส่ถุงกระดาษมา

     “ป่ะ ไปต่อกัน” คุณว่าแบบนั้นก่อนที่เราจะเดินต่อ

     หลังมือของเราสัมผัสกันแผ่วเบา,

     มันคงจะเร็วไปที่จะจับมือกันแน่นเหมือนที่เคยทำ

     แต่ความอ่อนไหวที่โดนบนหลังมือของผมทำให้รู้สึกดีพอๆ กับรอยยิ้มทำให้โลกสดใสของคุณ – เพราะฉะนั้นผมจะยินดีกับช่วงเวลาเช่นนี้ไปก่อนแล้วกัน

     อย่างน้อยมันก็ใกล้พอที่ทำให้มือของเราโดนกันได้



-------------------------

จริงๆ มันใกล้จบแล้วน้า ; - ;
กะไว้ประมาณ 15 ตอนค่ะ

ถ้ามีโอกาสรวมเล่มคงจะดี
แต่ถ้าเขียนช้าแบบนี้ก็คือ--- 5555555555555555555

เจอกันในแท็กนะคะ
#ตอนนี้ยังเป็นคุณ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
คุณคุณน่ารักมากกกกกก เป็นคนดีที่ดีมากกกกกก
ดูเหมือนคุณจะไม่โกรธณะเลย คุณคุณดีมากกกกก

ออฟไลน์ Aimlovelove

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คุณหมอเป็นตัวละครที่อ่านความคิดยากจริงๆ ทั้งที่มีพาร์ทคุณหมอแล้วแต่เราก็ยังเดาใจคุณหมอไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่
แต่เค้าก็ชอบเรื่องนี้ ชอบการเดินเรื่อง ชอบตัวละครเองของเรื่อง ชอบค่ะ

ออฟไลน์ Jiraapp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 380
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
คุณคุณน่ารักเหลือเกิน ชอบเวลาเขาคุยกันทั้งตอนปัจจุบันทั้งตอนอดีตที่ยังเป็นแฟนกัน

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ขอให้เป็นเรื่องราวดีๆ

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4
———— 13 ————


     “พรุ่งนี้ไปดูหนังกัน”

     “อื้อ— พรุ่งนี้เหรอ” ส่งเสียงครางในลำคออย่างไม่มั่นใจ ไม่ใช่ไม่มั่นใจในตัวเองหรอกนะ “เธอไม่ได้มีเวรวันพรุ่งนี้เหรอ”

     “ก็มีสิ แต่ว่าคงไม่เป็นอะไรหรอก ถ้าจองรอบดึกหน่อยนะ” ปลายสายตอบกลับมาแบบนั้น “แถมเธอบอกอยากดูตั้งนานแล้วนี่”

     “ก็ไม่ได้ขนาดนั้น”

     คิดไปถึงหนังเรื่องที่เปรยว่าอยากดูเมื่อคราวก่อนกับคุณ ถามว่าอยากดูไหมก็ใช่ แต่ระยะเวลาการเข้าโรงมาเกือบสองอาทิตย์และเสียงวิจารณ์ต่างๆ นานาก็ไม่ได้ถือว่ามีความต้องการอยากดูเท่าก่อนหน้า จริงอยู่ที่ดูหนังบ่อย และการดูหนังคนเดียวถือเป็นเรื่องง่ายสำหรับผมมาก

     “ไม่อยากดูแล้วเหรอ” คุณหมอถามเสียงอ่อนลงกว่าเดิม

     แต่ที่ยังไม่ไปดู— ก็เพราะคุณนั่นแหละ

     “ไม่อยากจริงๆ หรอ”

     ผมหลุดขำ “อยากดูก็บอกมาตรงๆ น่า”

     “ฮึ่ย” ได้ยินเสียงหายใจฟึดฟัดดังมาจากปลายสาย “รู้สึกผิดอ่ะ เธอไม่ไปดูเพราะเค้าบอกว่าอยากดูเหมือนกันใช่ไหม”

     อยากจะตอบว่าใช่ แต่ปากตอบกลับไปอีกอย่าง “คิดมาก”

     “แต่เค้าก็อยากดูอ่ะ พรุ่งนี้เวรก็เลิกสามทุ่ม เนี่ย ดูรอบที่พารากอนยังมีอยู่เลยนะ”

     “ถ้าเธอยืนยันว่าไม่เหนื่อยก็ได้”

     “เย้” คุณเหมือนเด็กนิดหน่อย ถึงจะใช้น้ำเสียงนุ่มๆ ที่พูดคำว่าเย้ออกมาอย่างกับไม่มีอารมณ์ร่วมแบบนั้น แต่ก็รู้แหละว่าคุณหมอกำลังรู้สึกดีใจอยู่ “แล้วงานใกล้เสร็จหรือยัง”

     ผมมองหน้าจองานคอมพิวเตอร์ของตัวเองที่เปิดโปรแกรมตัดต่อวีดีโอ เป็นงานนอกเหนือจากงานประจำที่รับเข้ามาหาเงินเพิ่มเติมบ้างตามประสา เหลืออีกไม่มากแต่ก็ไม่น้อย ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาที่ตอนนี้บอกเวลาเที่ยงคืนกว่าเข้าไปแล้ว

     “อีกสักพักแหละ”

     “อยากให้อยู่เป็นเพื่อนไหม”

     “อยากอยู่ไหม” ถามปลายสายอย่างไม่คิดอะไรมาก “จริงๆ ก็ยังไม่ง่วง”

     “จริงนะ”

     “อื้อ”

     บทสนทนาเรียบง่ายดำเนินต่อไปเรื่อยๆ – เรื่อยเปื่อยเสียจนนึกแปลกใจ เรียบง่ายเสียจนใครมาเห็นต้องคิดว่ามันน่าเบื่อจริงๆ แน่ – เราไม่ได้คุยกันบ่อยเท่าไหร่ ส่วนมากก็แค่ห้านาทีที่คุณหมอว่าง เน้นพิมพ์หากันมากกว่าว่าวันๆ ทำอะไร ใช่ว่าไม่เคยจะเห็นว่าคุณหมอไปไหนมาไหนผ่านทางโซเชี่ยลอื่นๆ อย่างอินสตาแกรม (ที่ในที่สุดผมก็ยอมกด follow ไปสักที) แต่ตามนิสัยของคุณหมอแล้วก็นั่นแหละ, เหมือนถือคติว่าไปก่อนแล้วค่อยบอก ซึ่งผมก็เข้าใจดีเพราะตัวเองก็ไม่ต่างเท่าไหร่นัก

     มักจะโดนไอ้โย่งทักทายด้วยรอยยิ้มมีเลศนัยตอนที่พิมพ์ไลน์ในเวลางาน แต่เหมือนจะเริ่มขี้เกียจแซวขึ้นมาแล้วมั้ง หรือไม่ก็คงเป็นเพราะประเด็นเด็ดตอนนี้ไปอยู่ที่พี่เอกกับพี่ข้าวที่กำลังจะถึงงานแต่งในวันเสาร์นี้มากกว่า

     “เดี๋ยวพี่ออกไปหาเพื่อนนะ จะลองชุดเพื่อนเจ้าสาว”

     “จ้า” ผมขานรับอีกฝ่าย “ไอ้ลูกจ้างมันก็ต้องทำงานอยู่ตรงนี้”

     “แหมอีน้อง ทำมาพูด ทำให้มันจริงๆ เถอะงานน่ะ ไม่ใช่นั่งตอบไลน์สาวอยู่”

     “แค่กกกก!”

     ผมหันขวับไปมองไอ้โย่งที่ “ตีนติดคอเหรอมึง”

     “ใช่เลย ช่วงนี้ไม่ค่อยสบาย” มันกระแอมไอ “สงสัยต้องไปหาหมอสักหน่อย”

     ผมสบถไอ้สัดออกมาเบาๆ ในขณะที่พี่ข้าวหรี่ตา เอ่ยปากแซว “สอยของสูงนะคุณน้อง มิน่า น้องสาวพี่มันแค่เด็กบัญชี”

     “โอ๊ย ไปเรื่อย” ผมพยายามบ่ายเบี่ยงประเด็น “ไม่เกี่ยวกับเรียนคณะไหนสักหน่อย”

     “หรือเกี่ยวกับอายุ” เจ้ปันเอ่ยถามแทรกเข้ามา “จริงๆ แกไม่ชอบเด็กๆ ใช่ไหมล่ะน้องณะ!”

     “เกี่ยวกับถ่านไฟกะ—”

ผมเอื้อมมือไปตะปบปากไอ้โย่งแทบไม่ทัน อาชีพยังไม่เท่าไหร่ แต่ไม่อยากให้ใครรับรู้เท่าไหร่ว่าคุยกับแฟนเก่าอยู่ ผมถลึงตามองเพื่อนสนิท ล็อกคอมันแน่นก่อนจะยอมคลายออกเมื่อเห็นว่ามันดูจะยอมเงียบแล้ว

“ไอ้ณะ ไอ้เวร ฉิบหาย มือเค็มมาก”
     
     “อี๋” ผมมองมือตัวเอง “มึงเลียมือกูปะเนี่ย”

     “พวกแกทุกคนโสโครกมาก” นั่นเป็นเสียงปรามจากว่าที่เจ้าสาว หล่อนหัวเราะก่อนจะหันไปมองพี่เอกที่กำลังควงกุญแจรถรออยู่ “ชวนมางานพี่ได้นะ พี่อยากเห็นหน้า”

     ผมหัวเราะ “ประโยคเหมือนจะตบอ่ะ”

     “ใช่จ้า เพราะพี่รักน้องณะ” พี่ข้าวแซวเล่นขำๆ ก่อนจะโบกมือลาเดินไปหาแฟนตัวเองที่กำลังจะเลื่อนขั้นเป็นสามี

     “พี่เอกเผลอแล้วเจอกัน” ผมแกล้งตะโกนแซวต่อ

     พี่ๆ ที่จ่ายเงินเดือนให้กันเดินออกไปแล้ว ผมหันมามองฟุตเทจในหน้าจอต่อ ไม่ถึงวินาทีด้วยซ้ำ เจ้ปันก็เปลี่ยนไปชวนคุยประเด็นใหม่

     “เออ ฉันอยากกินเนื้อย่าง เย็นนี้ไปด้วยกันปะ”

     “ไหนเจ้บอกจะไปวิ่ง”

     “ก็เมื่อวานวิ่งแล้วไง” สาวโสดวัยสามสิบถลึงตา “เมื่อวานก็ส่วนเมื่อวาน วันนี้ก็ส่วนวันนี้สิวะ”

     “แต่น้ำหนักมาจากสิ่งที่กินจากเมื่อวานนะ”

     “ไอ้โย่ง!”

     ผมมองสาวใหญ่กับเพื่อนสนิทตัวเองที่ปากหมาไปทั่ว เรียกได้ว่าไม่สนิทกันจริงทำแบบนี้คงจะได้โดนด่าเข้าให้

     หลังจากที่ตีกันเสร็จแล้วหล่อนถึงกลับมาขายเนื้อย่างให้ผมใหม่ สายตาออดอ้อนตามประสาคนอยากกิน และเห็นว่าอย่างไรวันนี้คณณัฐก็ออกจากเวรสามทุ่มอยู่แล้ว และร้านที่เจ้ปันชวนไปเองก็ไม่ได้ไกลจากที่นี่มากนัก

     “ชวนหมอมาด้วยไหม” โย่งหันมาถาม

     “ไม่ล่ะ” ผมปฏิเสธ “ไม่อยากให้มาเจอเจ้”

     “ร้ายกาจมากนังน้อง! ฉันก็อยากเห็นหน้าหมอเธอ”

     “ขาวๆ สูงๆ”

     “นางแบบเลยไหม”

     โย่งเหลือบมองผม ส่วนผมหัวเราะ บ่ายเบี่ยงไปเป็นประเด็นอื่น – จริงอยู่ที่ไม่ได้ปิดบังหรือรู้สึกแย่ที่กำลังคุยๆ กับผู้ชาย แต่คิดว่าเดี๋ยวให้มั่นใจไปสักระยะก่อนน่าจะดีกว่า

     “คบหมอไม่เหนื่อยเหรอวะ”

     “ยังไม่ได้คบ”

     “นั่นแหละ” เจ้ปัดมือไปมา “สงสัยๆ เพราะเขาก็คงยุ่งจริงๆ”

     ผมส่ายหน้า – ไม่ใช่ปฏิเสธแต่หมายถึงไม่รู้ต่างหาก

     รู้ดีว่าคณณัฐยุ่งกว่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันเสียอีก ตอนนั้นแทบจะไม่มีเวลาปิดเทอมด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้คุณเรียนจบแล้ว เป็นนายแพทย์เต็มตัว อีกฝ่ายเคยพูดถึงว่าอยากเรียนเฉพาะทางในอีกสอง – สามปีอีกต่างหาก

     ขนาดตอนนั้นแค่นั้นเรายังไปกันไม่รอดเลย

     เพราะเด็กหรืออย่างไรนะ เพราะหลายๆ อย่างมันหล่อหลอมให้เราจัดลำดับความสำคัญกันและกันไว้ท้ายสุด หรือเพราะเราไม่มีภูมิคุ้มกันมากพอกันแน่นะ

     พอในหัวมีคำถามเหล่านี้ มันก็พาลมีคำถามอื่นเพิ่มขึ้นมาในหัว

     ตอนนี้— ผมมีภูมิคุ้มกันเรื่องนี้ดีขึ้นหรือยังนะ

     ดีมากพอหรือยังสำหรับการสานสัมพันธ์กับคุณอีกครั้ง




     คุณไม่ตอบผมมาสักพักแล้ว – สักพักในที่นี้หมายถึงสี่ชั่วโมง – คำพูดสุดท้ายที่พูดคือมีลางว่าวันนี้จะยุ่งแน่ๆ เลย มีคนหิ้วเคเอฟซีมาจากนั้นก็หายไป คาดว่าที่วอร์ดคงได้ยุ่งเหมือนที่อีกฝ่ายคาดการณ์ไว้จริงๆ ถึงเป็นแบบนี้ ฟังดูตลกพิลึกที่คนเรียนวิทยาศาสตร์จ๋าเชื่อเรื่องโชคลาง แต่ผมก็เข้าใจ บางครั้งตัดต่อวีดีโอแล้วเรนเดอร์ไม่ได้ก็แทบจะพนมมือกราบกรานสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน

     เนื้อย่างเป็นอะไรที่ตอบโจทย์กันในวันนี้ดี ครั้งนี้มากันแค่หนึ่งสาวกับสองหนุ่ม โสดทั้งทีม แม้ไอ้โย่งจะบ่นอิดออดเพราะคนเยอะเสียจนต้องรอคิวนาน

     “แล้วแกไม่รีบกลับเหรอ”

     “ณะเหรอ? ไม่อ่ะ” ผมปฏิเสธตอนที่เห็นว่าเราอาจจะต้องรอคิวกันอีกราวๆ ชั่วโมงหนึ่ง

     “ไม่ต้องไปหาใคร” เจ้ปันหรี่ตา “แน่นะ”

     “ไม่จ้า” ไม่ใช่ตอนนี้ ผมทดคำเหล่านั้นในใจ “ไม่รีบอะไรเลย กินๆ ไปเถอะ ขี้เกียจฟังเจ้บ่น”

     “ตอนนี้แกบ่นฉันอยู่อ่ะ”

     “เปล่านะ” ผมหัวเราะ

     ตัดสินใจจะไปเดินดูอุปกรณ์กีฬาตามใจไอ้โย่งแทนการรอเวลา ผมวนเวียนอยู่กับรองเท้าวิ่งอยู่นาน แต่ก่อนหน้านี้เพิ่งเจ็บหนักกับโทรศัพท์เครื่องใหม่เพราะคิดว่ามันถึงเวลาเปลี่ยนไปแล้วเลยคิดว่าต้องพักก่อน อีกอย่างตัวเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนออกกำลังกายอะไรเสียเท่าไหร่ ซื้อรองเท้าวิ่งมาเดินเฉยๆ ตลอดแหละผมน่ะ

     
napat
     ไม่เป็นไร ไม่รีบอยู่แล้ว
     เธอเสร็จเมื่อไหร่บอกแล้วกัน
     ให้วนไปรับก็ได้นะ เผื่อไม่อยากขับรถมา
     วันนี้ไม่ได้เอามอเตอร์ไซค์มาอยู่แล้ว
     
     k.
     ทำไงดีเธอ
     เค้าว่าเค้าเยินจริงๆ แน่เลย
     
     ผมหยิบโทรศัพท์มาดูขณะที่เราได้เข้าร้านเนื้อย่างสุดโปรดของเจ้ปัน คณณัฐตอบมันมาแบบนั้นเมื่อห้านาทีก่อน ท่าทางจะหนักจริงไม่ล้อเล่น

     
napat
ไม่เป็นไร ไม่รีบอยู่แล้ว
เพิ่งเข้าร้านข้าวเย็นเอง 5555
เธอเสร็จเมื่อไหร่บอกแล้วกัน

     แล้วคุณก็หายไป – สุดยอดไปเลย

     จริงๆ คุณก็มาๆ หายๆ อยู่แล้ว แต่ยังไม่มีเหตุการณ์แบบนี้ตอนที่เรานัดกันเท่าไหร่ เดาได้ว่ายุ่ง แต่เอาเข้าจริงก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อตอนที่มื้ออาหารจบลง

     “กลับเลยไหมมึง” โย่งหันมาถามหลังจากเจ้ปันแยกตัวไปที่รถของตัวเอง “เดี๋ยวไปส่งที่บีทีเอสเอามะ”

     “ไม่ว่ะ คงเดินๆ ก่อน”     

     “เอ้า แล้วกลับยังไง”

     ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ตอนนี้บ่งบอกว่าอีกสิบห้านาทีสามทุ่ม – คณณัฐออกเวรตอนสามทุ่มพอดี แต่หายไปแบบนี้ใจไม่ดีเท่าไหร่ อาจจะช้ากว่านั้นไปอีก หมอเองก็ไม่ใช่พนักงานออฟฟิศที่ฟันเวลาเลิกทำงานได้ตลอดเสียด้วย – ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนเมื่อคิดได้ถึงความเป็นจริงข้อนั้น

     “จริงๆ นัดคุณไว้”

     ไอ้โย่งขมวดคิ้ว “ถามจริง?”

     “เออ”

     “นัดที่ไหนเนี่ย”

     “ไม่รู้ว่ะ” ผมตอบตามจริง “ตอนนี้คุณน่าจะเวรเยินอยู่”

     “มึงไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาลไหม”

     “ออกเวรสามทุ่ม กลัวไปแล้วคลาดกันน่ะ”

     “โดนเทแล้วเพื่อนกู” มันแซวเสียจนผมหัวเราะ แต่ดูจะเป็นเสียงหัวเราะที่แห้งเกินไปเล่นเอาไอ้โย่งเลิ่กลั่ก “เฮ้ย เอาน่ะมึง หมอไง เดี๋ยวก็ตอบมามั้ง ให้รอเป็นเพื่อนปะ”

     ผมปัดมือไปมา “ไม่ต้องอ่ะ ไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง”

     แต่มันก็ขนาดนั้นแหละ

     โย่งกลับไปประมาณครึ่งชั่วโมงแล้ว ผมเดินวนไปเวียนมาในห้าง กดโทรหาไปตอนที่เลยจากเวลาเวรมาสิบห้านาทีแล้วแต่คุณก็ไม่ตอบ

     บอกว่าตัวเองไม่น่ารู้สึกแย่ – แต่ก็นั่นแหละ, ผมรู้สึก – มันไม่ได้รู้สึกดีนักหรอกตอนที่โดนผิดนัด

     เหมือนความทรงจำเก่าๆ กลับมา

     ติดต่อยากก็ไม่ว่าหรอก แต่เรานัดกันแล้วไม่ใช่หรือ รู้ดีว่ามันไม่ใช่อาชีพที่เล่นโทรศัพท์ได้ตลอดเวลา เป็นปกติก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง แต่พอเป็นช่วงเวลาที่รู้ว่ามีคนรออยู่ก็— อา ให้ตาย ผมสบถใส่ตัวเองเป็นพันครั้งตอนที่รู้ว่าตัวเองกำลังหงุดหงิดในสิ่งที่คณณัฐเองก็จัดการให้ไม่ได้

     มันไม่ใช่อาการหัวเสียเหมือนสมัยมหา’ ลัย คงเพราะเคยเผื่อใจไว้แล้ว แต่ยอมรับว่าผิดหวังอยู่เหมือนกัน

     เดินวนไปเรื่อยเปื่อย ไปๆ มาๆ ก็จะสี่ทุ่มเสียแล้ว

     คุณยังคงไม่ตอบไลน์ ไม่รับสาย เริ่มจะเป็นห่วงจริงๆ เสียแล้วว่าเกิดอุบัติเหตุหรือมีเหตุฉุกเฉินอะไรหรือเปล่า

     ขอบคุณที่ยังไม่ได้ซื้อตั๋วหนังและไม่มีความคิดจะรอกินข้าวด้วยกัน – ผมบอกตัวเองแบบนั้น – ร้านรวงในห้างใกล้จะปิดแล้ว ผมถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ กำลังจะเปิดแอพพลิเคชั่น grab เสียแล้วด้วยซ้ำ โทรศัพท์ถึงได้ดังขึ้นมา

     คณณัฐเป็นคนโทรเข้ามา

     ผมมองหน้าจอด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย จะบอกว่าไม่อารมณ์เสียเลยคงจะโกหก แต่รู้ดีว่าแสดงออกไปไม่ได้แน่ๆ – ไม่งั้นคงพังอีกแน่ๆ

     “ขอโทษ” ปลายสายตอบกลับมาแบบนั้น “ขอโทษจริงๆ มันแบบ— ไม่ได้จับมือถือเลยตั้งแต่ที่ตอบเธอ มีผ่าตัด”

     “อือ”

     “ขอโทษจริงๆ”

     ผมสูดลมหายใจเข้าปอด “ตอนนี้อยู่ที่ไหน”

     “เพิ่งออกจากโรงพยาบาล กำลังจะไปที่รถ” ผมเชื่อว่าคณณัฐกำลังรีบแล้ว สังเกตได้จากลมหายใจที่มีจังหวะเหมือนกับกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งอยู่ “เธอ รอบหนังมันจะยังมีอยู่ไหม ตอนนี้เธออยู่ไหนนะ”

     ยิ่งฟังยิ่งทำให้รู้สึกโกรธไม่ลง – จะว่าโง่เง่าก็ได้ แต่การที่เห็นว่าคุณไม่ได้นิ่งดูดายกับเรื่องของผมก็พาลให้รู้สึกดีอยู่บ้างเหมือนกัน

     “ผ่าตัดนานกี่ชั่วโมงเนี่ย” ผมถามเสียงอ่อนลงนิดหน่อย “ตั้งแต่ที่ไม่ได้ตอบใช่ไหม”

     “ใช่ – ทำไงดีวะเธอ เค้าขอโทษจริงๆ”

     “ไม่เหนื่อยเหรอ” ผมถาม “ยังจะขับรถอีก”

     “แต่เค้า—”

     “กลับห้องก็ได้นะ” ปลายสายเงียบเหมือนกับจะชะงักไป “เธอมาแล้วคงเหนื่อยจนนอนในโรงอีก”

     “เธออยากดูนี่”

     “ดูคนเดียวก็ได้”

     “ณะ” คุณหมอเรียกชื่อผมเสียงอ่อน “ขอโทษจริงๆ”

     ผมถอนหายใจ “รู้แล้วครับ” ตอบกลับไปแบบนั้นสั้นๆ

     แล้วเราก็มีความเงียบให้กัน  - นั่นไม่ค่อยจะน่ารักเท่าไหร่ – มันทำให้บรรยากาศในโทรศัพท์เราแย่ลงเป็นกองในเสี้ยววินาทีได้เลยด้วยซ้ำ

     “ขอโทษจริงๆ” คุณตอบแบบนั้น

     “อื้อ, รู้ว่าเธอต้องเหนื่อย”

     “แล้วเธอจะกลับยังไง”

     “มี Grab นะ”

     “—อา” คนทางนั้นส่งเสียงออกมาอย่างกับเสียดาย “เธออยากดูหนังเรื่องนี้มากไหม”

     เป็นคำถามที่ทำให้ผมเม้มปากแน่น “ไม่รู้สิ” จริงๆ ก็ไม่ได้อยากดูมากขนาดนั้น – แต่รอคุณมาขนาดนี้แล้ว จะไม่ทำอะไรเลยคงจะเสียดายเวลา ผมคิดแบบนั้นในใจ รู้ว่าไม่มีวันพูดออกไปได้แน่

     “ถ้าเป็น Netflix สักเรื่อง” คณณัฐเว้นจังหวะ “ชดเชยได้ไหม”
     
     ผมงุนงงกับคำถามนั้นอยู่ชั่วครู่ แต่คนผิดนัดกลับเอ่ยพูดออกมาเสียงแผ่วเบา เล่นเอาหัวใจผมอ่อนยวบไปหมด

     “—เพราะเค้าก็อยากดูหนังกับเธอเหมือนกัน”




     ห้าทุ่ม, ร้านรวงที่ปิดทั้งหมดจนไม่เหลืออะไรนอกจากเซเว่น ขอบคุณที่ที่ห้างยังมีแมคโดนัลที่เปิดรับผมเป็นลูกค้าคนสุดท้ายก่อนที่จะปิด ให้ผมได้เฟรนฟรายเหี่ยวๆ มาในปริมาณมากกว่าปกติ

     คณณัฐเดินเข้ามาในห้องของผม – ซึ่งผมไม่มีเวลาเก็บกวาดด้วยซ้ำ – ผมมองเสื้อกันหนาวที่ฟาดไว้บริเวณโซฟาและกองเสื้อผ้าที่ตัวเองรีบเก็บเข้ามาตอนเช้าเพราะกลัวฝนจะตก ยังไม่ทันเก็บเข้าตู้หรือพับใดๆ ด้วยซ้ำ

     “ห้องสวยเนอะ”

     “อา—” ผมกระแอมไอ “นั่งได้เลย”

     เราตกลงกันว่าจะมาที่ห้องของผม ตอนแรกผมคิดว่าจะไปหาคุณที่ห้องของอีกฝ่ายแต่คณณัฐบอกว่าเดี๋ยวมาหาเองเพราะเป็นการไถ่โทษ ในมือของคุณมีบัวลอยกับเต้าทึงอย่างละสองถุง เรียกได้ว่าซื้อมาชนกัน แต่คุณก็หัวเราะแล้วก็บอกว่ากินได้ทั้งคู่

     “เธอมีเสื้อใช่ไหม”

     “มีๆ” คุณหมอพยักหน้า “ต้องเตรียมไว้ที่รถตลอดแหละ บางวันก็ไม่ไหว”

     “อ๋อ— ก็ดีนะ”

     “ต้องนอนโรงพยาบาลน่ะเหรอ ไม่ดีมั้ง” คณณัฐพูดติดขำ “แต่ก็ขอโทษจริงๆ”

     “ช่างเถอะ” ผมว่าพลางวางกระเป๋าของตัวเอง เดินไปหยิบเสื้อผ้าที่กองไว้เดินเข้าไปในห้องนอน เปิดประตูทิ้งไว้ให้รู้ว่าผมมาเก็บผ้าเฉยๆ ก่อนจะหันไปมองคณณัฐที่มองซ้ายมองขวาราวกับจะหาที่นั่ง “โซฟาก็ได้นะ หรือเธออยากกินก่อน แป๊บ เดี๋ยวหยิบจานให้”

     “เหนียวตัวอ่ะ ขออาบน้ำก่อน—”

     คำพูดนั้นหยุดชะงักไปก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม

     “awkward จัง” อีกฝ่ายพึมพำออกมาเบาๆ พลางยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอ คณณัฐคงคิดเหมือนกันถึงความทะแม่งของประโยคที่ตัวเองเพิ่งพูดออกมา

     ผมให้คุณหมอไปอาบน้ำก่อน หยิบผ้าขนหนูที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าออกมาให้ ใช้ช่วงเวลาที่คณณัฐเข้าไปในห้องน้ำเพื่อมองห้องนอนรกๆ ของตัวเองอย่างวิตกกังวล ทำอะไรไม่ได้นอกจากโยนนั่นโยนนี่เข้าตู้เสื้อผ้า นานมากแล้วที่ไม่มีคนมาที่ห้อง ถ้ามีก็จะเป็นพี่ผม ไม่ก็พ่อแม่ หรืออาจจะเพื่อนๆ บ้าง แต่ห้องขนาดกลางๆ แบบนี้ก็ไม่ใช่ตัวเลือกแรกๆ ที่เพื่อนจะมาหากันอยู่ดี

     อา— ให้ตาย พอคิดแบบนี้ผมก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อยที่คณณัฐก้าวเข้ามาในห้อง

     ไม่นานนักหรอกที่คณณัฐเดินออกมาพร้อมกับเสื้อยืดและกางเกงขายาวลายสก๊อต “นี่ชุดนอนเธอเหรอ”

     “ให้ถอดเสื้อนอนไหมล่ะ” คุณหมอเอ่ยถาม “ก็ชุดที่เก็บไว้เผื่อต้องนอนโรงพยาบาล ขอแบบรัดกุมหน่อยไม่ได้เหรอ” บ่นงุบงิบเสียจนน่าบีบปากนั่นตรงนี้จริงๆ

     ผมต่อสายเข้าทีวีที่ปกติไม่ได้ใช้เพราะชอบดูหนังในคอมพิวเตอร์เสียมากกว่า วางถุงบัวลอยกับเฟรนฟรายไว้บนโต๊ะญี่ปุ่นตรงหน้าโซฟา “เลือกเรื่องเลยนะ”

     “ไม่รู้จะดูอะไรเลย”

     “เลือกๆ มาเถอะครับ”

     คุณหมอบ่นอะไรสักอย่างอยู่ที่หน้าจอพร้อมกับกดรีโมทของผมอย่างเลือกไม่ได้ พลางโบกมือไปมาเป็นเชิงไล่ให้ผมไปอาบน้ำเสียที

     ไม่นานเท่าไหร่ผมก็เป็นคนเดินออกมา คณณัฐดูจะยอมแพ้กับการเลือกหนังไปแล้วแต่ไปเปิดกล่องเฟรนฟรายเหี่ยวๆ มาทานแทน พอผมเดินออกมาอีกฝ่ายก็ตบที่ว่างข้างๆ เป็นเชิงเรียกไปหา เถียงกันไม่กี่คำกับหนังที่อยากเปิด เชื่อไหมว่าสุดท้ายแล้วเราเปิดหนังแมสๆ อย่างแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่คณณัฐชื่นชอบหนักหนา แล้วเราก็เถียงกันอีกครั้งว่าจะดูกันในภาคไหน คุณอยากดูภาคสาม ส่วนผมอยากดูภาคห้า ลงท้ายเราก็มาจบกันที่ภาคเจ็ดจุดสองที่ไม่ได้อยู่ในตัวเลือกเราตอนแรกเลยแม้แต่น้อย

     ชอบช่วงเวลาคุณทำเหมือนดูมันครั้งแรกทั้งที่น่าจะดูฉากแฮร์รี่บุกเข้าไปในธนาคารนี้มาเป็นสิบรอบแต่ก็ยังอุตส่าห์หันมาป้อนเฟรนช์ฟรายผม – แม่งโคตรของโคตรน่ารัก – และผมเหมือนจะกลายเป็นง่อยอย่างไรไม่รู้

     “บัวลอยต่อไหม” ผมหันไปถามเบาๆ เมื่อเห็นว่าเฟรนช์ฟรายของเราหมดแล้ว

     คุณส่ายหน้า “อิ่มอ่ะ” ไม่หันมามองกันด้วยซ้ำตอนที่ตอบกัน

     ไม่รู้ว่าทำไมผมจุดสนใจของผมถึงเริ่มเปลี่ยนจากแดเนียล แรดคลิฟฟ์บนทีวีมาเป็นคุณหมอที่นั่งอยู่ข้างๆ กันเสียอย่างนั้น ชอบเวลาที่ริมฝีปากนั้นเม้มเข้าหากันน้อยๆ หรือมือที่กำลังกอดหมอนหลังจากที่เดินไปล้างมือมาเพราะเป็นคนซีเรียสเรื่องความสะอาดสะอ้าน

     เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ พอลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเป็นฉากสุดท้ายที่ฮอกวอตส์เสียแล้ว คุณยังมองหน้าจอตาแป๋ว ก่อนจะหันกลับมาเอ่ยถามเสียงแผ่ว “ง่วงแล้วเหรอ”

     “อื้อ” ผมหยัดกายขึ้นนั่งดีๆ ดึงหมอนอีกใบมากอดไว้ “เธอไม่เหนื่อยเหรอ”

     “ไม่เหนื่อย อาบน้ำแล้วตื่น”

     “ไหนตื่นจริงเปล่า”

     “ณะ!” อีกคนถลึงตาเมื่อผมแกล้งเย้าแหย่ เอื้อมมือฟาดลงมาบนต้นแขน “ไปนอนเลยไป”

     ผมเหลือบมองหน้าอีกฝ่ายวางหมอนลงบนตักที่ว่างอยู่ของอีกคน “นอนตรงนี้ไม่ได้เหรอ” ถามอย่างออดอ้อน แต่ดูเหมือนจะไม่เคยทำให้คณณัฐใจอ่อน

     “ไปนอนดีๆ ไป เดี๋ยวเค้าปิดพวกนี้ให้”

     ผมแสร้งยกมือขึ้นกอดอด มันคงอ้อนมืออ้อนเท้ามากพอที่จะทำให้คุณหมอดีดหน้าผากผม ไม่ได้เบามือเสียด้วย คุณหัวเราะ ก้มลงมองผมที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนตักของอีกฝ่าย ตอนนี้คณณัฐมองผมเป็นอะไรหนอ— ลูกหมาตัวโต? หรืออาจจะเป็นหมาของแฮกริดก็ได้

     ผมดึงมือของอีกฝ่ายมาเล่น ไล้ปลายนิ้วไปที่หลังมือ เกาะกุมไว้หลวมๆ แต่คนกระชับมันคือคุณหมอเสียเอง

     อีกฝ่ายปรามกัน “รุ่มร่าม”  แผ่วเบาเสียจนคิดว่าคุณคงไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่า

     “เขิน”

     “เปล่า”

     “เปล่าก็ได้”

     คุณหมอขมวดคิ้ว “โอเค เขินนิดหน่อย” เอ่ยราวกับยอมแพ้ “ไม่ง่วงจริงๆ เหรอ”

     “นิดหน่อย” ในเมื่อคณณัฐยอมรับแล้ว เกรงว่าเป็นผมที่ต้องยอมรับบ้าง “แต่ยังไม่อยากไปนอนเลย”

     พูดในสิ่งที่คิด, คิดอย่างไรก็พูดไปแบบนั้น ไม่ได้คิดหวังว่าอีกคนจะเขิน แต่ก็นั่นแหละ – คุณเขินอีกแล้ว

     คุณสบตากัน เอามืออีกข้างขึ้นมาบังช่วงปากไปจนถึงจมูก นั่นโคตรของโคตรน่ารักอีกแล้ว, ผมเหมือนคนคลั่งรักหลังจากไม่ได้เป็นแบบนี้มานานแสนนาน คุณอีกแล้ว คุณเสมอ คุณตลอดเลยที่เป็นสาเหตุของการคลั่งรักของผม ความคิดพรรณาต่างๆ ลอยเข้ามาในหัว และมันคงสื่อออกไปจากอะไรสักอย่าง คณณัฐถึงได้มองผมด้วยสีหน้าแบบนั้น

     ผมเอื้อมมือไปดึงมือที่ปิดหน้าอีกฝ่ายออกมา กดจูบลงบนฝ่ามือขาวนั่นอย่างไร้สาเหตุ คณณัฐไม่ได้ชักมือกลับ แต่ปล่อยให้ผมจับมือข้างนั้นต่อ

     ชอบคุณ

     คงเผลอขยับปากพูดไปโดยไร้เสียง

     และคนที่อยู่ตรงหน้าก็ตอบกลับมาโดยไร้เสียง – ไม่ใช่การขยับปากพูด หากแต่เป็นการโน้มศีรษะลงมาใกล้เสียจนผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่รินรดระหว่างกัน ได้ยินเสียงหัวใจเต้น รับรู้ถึงการลังเลเพียงจังหวะเดียวทั้งที่ระยะห่างระหว่างเราเหลือเพียงไม่กี่เซนติเมตร

     แต่คุณก็หลับตาลงและเป็นผมที่หยัดกายขึ้นเพียงเล็กน้อย

     กลีบปากของคุณเอ่ยคำตอบโดยที่ไม่ต้องเปล่งเสียงใดด้วยการยินยอมให้ผมกดจูบซ้ำๆ แบบนั้น บางคราก็ตอบกลับมา มือของอีกฝ่ายไล้บนแผ่นอกของผมเบาๆ ตอนที่ผมหยัดกายให้เราไม่ละริมฝีปากจากกันในขณะที่มือของผมเองก็ชื่นชอบที่จะไล้วนอยู่บริเวณหัวไหล่ของอีกฝ่าย

     “—ณะ” ชื่อของผมน่าฟังเป็นบ้า แม้ว่าคุณจะเอ่ยเสียงแผ่วจนอีกนิดเป็นการกระซิบกันแล้วก็ตาม “ไม่ใช่ Netflix and Chill นะวันนี้”

     “อื้อ” ผมตอบกลับไป ซุกศีรษะบนลาดไหล่อีกฝ่าย “รู้แล้ว”

     “งั้นก็ปล่อยเค้า” คณณัฐเอ่ยปราม “เดี๋ยวไปกันใหญ่หรอก”

     ผมไม่ปล่อยตามคำขอนั้นหรอก ไม่ได้คิดจะทำอะไรเพียงแต่ขอกอดคุณนานกว่านี้อีกสักหน่อย

     แล้วก็ช่างแม่งแฮร์รี่ พอตเตอร์กับลอร์ดโวลเดอร์มอร์ด้วย ในหัวของผมมีอยู่แค่เพียงคำๆ เดียววิ่งไปมา

     —ขอบคุณอะไรก็ตามบนโลกที่เหวี่ยงคุณกลับมาเจอผมอีก



-------------------------
หายไปนานเนอะ //หัวเราะแห้งๆ
แต่ก็มาต่อแล้วนะคะ ; - ; ตอนนี้ยาวมากเลยด้วยนะ!

คิดว่าไหนๆ ก็ใกล้จบแล้ว อยากจะพิมพ์นิยายเรื่องนี้เองค่ะ
ส่วนหนึ่งเพราะไม่ได้เขียนนิยายนานแล้ว พอได้เขียนก็อยากจะได้ทุกอย่างที่อยากได้
เช่นปก การจัดหน้าต่างๆ แบบนี้ เอาแต่ใจเนอะ
ส่วนเรื่องราคาจะพยายามบีบให้ได้มากที่สุดค่ะ

เดี๋ยวจะมาทำแบบสอบถามถึงความสนใจของนักอ่านด้วยนะคะ
ติดตามได้ในทวิตเตอร์ @ninewnn_novel ได้นะทุกคน

#ตอนนี้ยังเป็นคุณ



ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
อีกนิดเดียวเท่านั้นนน

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Jiraapp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 380
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
มันก็จะเขิน ๆ หน่อย เพิ่งเริ่มกันใหม่อย่าพลาดโอกาสนะคุณณะ

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ค่อยๆปรับกันน้ออออ

ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อ่านแล้วมีความสุขจัง :o8:

ชอบที่เค้าทั้งคู่ปรับตัวเข้าหากัน รู้แหละว่านะอยากโวยวายที่หมอคุณมาช้า แต่นะก็เปลี่ยนตัวเองให้ใจเย็นเพราะเข้าใจคุณ ส่วนคุณก็ไม่ละความพยายามที่จะมาดูหนังกับนะ เราว่าหมอก็ง่วงแหละ  :hao5:

รู้เลยว่าทั้งคู่อยากอยู่ด้วยกันมาก พยายามกันทั้งคู่ ฮืออออ มันดีจริงๆ  :sad4:

ออฟไลน์ YNS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เพิ่งได้มาอ่านเรื่องนี้รวดเดียว 13 ตอนเลย
ก่อนอื่นขอชื่นชมคนเขียนก่อน แต่งได้ดีมากเลย ภาษา ถึงจะยังมีคำผิดบ้างแต่การเรียบเรียงดีมาก บรรยายดีมากอ่านไปไม่มีช่วงที่รู้สึกว่าน่าเบื่อเลย
ในความรู้สึกส่วนตัว ตัวละคร character ชัดมาก ตัวหลักสองตัวให้ความรู้สึก contrast บางอย่างที่เรายังสรุปไม่ได้ แต่คิดว่าสิ่งนี้อาจเป็นปัญหาในอนาคตของทั้งคู่ ซึ่งในตอนล่าสุดกลิ่นเริ่มออกละ
รอติดตามและส่งกำลังใจให้คนเขียนนะ ดีใจมากๆที่ได้มาเจอเรื่องนี้นะ
 :impress2:

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
คือมันดีมาก mood & tone อย่างชัด  ทั้งตอนเค้าอึดอัดใส่กันก็รู้สึกได้
ทั้งตอนที่เค้ากระอักกระอ่วน ก็รู้สึก

เขินมากกกกกกก ในความเป็นทั้งสองคน
รอฟินนน

ออฟไลน์ พลอย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ว่าละ ไม่ใช่ netflix and chill น๊า เป็นเขินเลยดิแกร

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ megatef4

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
น่ารักมากๆเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ :กอด1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด