———— 13 ————
“พรุ่งนี้ไปดูหนังกัน”
“อื้อ— พรุ่งนี้เหรอ” ส่งเสียงครางในลำคออย่างไม่มั่นใจ ไม่ใช่ไม่มั่นใจในตัวเองหรอกนะ “เธอไม่ได้มีเวรวันพรุ่งนี้เหรอ”
“ก็มีสิ แต่ว่าคงไม่เป็นอะไรหรอก ถ้าจองรอบดึกหน่อยนะ” ปลายสายตอบกลับมาแบบนั้น “แถมเธอบอกอยากดูตั้งนานแล้วนี่”
“ก็ไม่ได้ขนาดนั้น”
คิดไปถึงหนังเรื่องที่เปรยว่าอยากดูเมื่อคราวก่อนกับคุณ ถามว่าอยากดูไหมก็ใช่ แต่ระยะเวลาการเข้าโรงมาเกือบสองอาทิตย์และเสียงวิจารณ์ต่างๆ นานาก็ไม่ได้ถือว่ามีความต้องการอยากดูเท่าก่อนหน้า จริงอยู่ที่ดูหนังบ่อย และการดูหนังคนเดียวถือเป็นเรื่องง่ายสำหรับผมมาก
“ไม่อยากดูแล้วเหรอ” คุณหมอถามเสียงอ่อนลงกว่าเดิม
แต่ที่ยังไม่ไปดู— ก็เพราะคุณนั่นแหละ
“ไม่อยากจริงๆ หรอ”
ผมหลุดขำ “อยากดูก็บอกมาตรงๆ น่า”
“ฮึ่ย” ได้ยินเสียงหายใจฟึดฟัดดังมาจากปลายสาย “รู้สึกผิดอ่ะ เธอไม่ไปดูเพราะเค้าบอกว่าอยากดูเหมือนกันใช่ไหม”
อยากจะตอบว่าใช่ แต่ปากตอบกลับไปอีกอย่าง “คิดมาก”
“แต่เค้าก็อยากดูอ่ะ พรุ่งนี้เวรก็เลิกสามทุ่ม เนี่ย ดูรอบที่พารากอนยังมีอยู่เลยนะ”
“ถ้าเธอยืนยันว่าไม่เหนื่อยก็ได้”
“เย้” คุณเหมือนเด็กนิดหน่อย ถึงจะใช้น้ำเสียงนุ่มๆ ที่พูดคำว่าเย้ออกมาอย่างกับไม่มีอารมณ์ร่วมแบบนั้น แต่ก็รู้แหละว่าคุณหมอกำลังรู้สึกดีใจอยู่ “แล้วงานใกล้เสร็จหรือยัง”
ผมมองหน้าจองานคอมพิวเตอร์ของตัวเองที่เปิดโปรแกรมตัดต่อวีดีโอ เป็นงานนอกเหนือจากงานประจำที่รับเข้ามาหาเงินเพิ่มเติมบ้างตามประสา เหลืออีกไม่มากแต่ก็ไม่น้อย ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาที่ตอนนี้บอกเวลาเที่ยงคืนกว่าเข้าไปแล้ว
“อีกสักพักแหละ”
“อยากให้อยู่เป็นเพื่อนไหม”
“อยากอยู่ไหม” ถามปลายสายอย่างไม่คิดอะไรมาก “จริงๆ ก็ยังไม่ง่วง”
“จริงนะ”
“อื้อ”
บทสนทนาเรียบง่ายดำเนินต่อไปเรื่อยๆ – เรื่อยเปื่อยเสียจนนึกแปลกใจ เรียบง่ายเสียจนใครมาเห็นต้องคิดว่ามันน่าเบื่อจริงๆ แน่ – เราไม่ได้คุยกันบ่อยเท่าไหร่ ส่วนมากก็แค่ห้านาทีที่คุณหมอว่าง เน้นพิมพ์หากันมากกว่าว่าวันๆ ทำอะไร ใช่ว่าไม่เคยจะเห็นว่าคุณหมอไปไหนมาไหนผ่านทางโซเชี่ยลอื่นๆ อย่างอินสตาแกรม (ที่ในที่สุดผมก็ยอมกด follow ไปสักที) แต่ตามนิสัยของคุณหมอแล้วก็นั่นแหละ, เหมือนถือคติว่าไปก่อนแล้วค่อยบอก ซึ่งผมก็เข้าใจดีเพราะตัวเองก็ไม่ต่างเท่าไหร่นัก
มักจะโดนไอ้โย่งทักทายด้วยรอยยิ้มมีเลศนัยตอนที่พิมพ์ไลน์ในเวลางาน แต่เหมือนจะเริ่มขี้เกียจแซวขึ้นมาแล้วมั้ง หรือไม่ก็คงเป็นเพราะประเด็นเด็ดตอนนี้ไปอยู่ที่พี่เอกกับพี่ข้าวที่กำลังจะถึงงานแต่งในวันเสาร์นี้มากกว่า
“เดี๋ยวพี่ออกไปหาเพื่อนนะ จะลองชุดเพื่อนเจ้าสาว”
“จ้า” ผมขานรับอีกฝ่าย “ไอ้ลูกจ้างมันก็ต้องทำงานอยู่ตรงนี้”
“แหมอีน้อง ทำมาพูด ทำให้มันจริงๆ เถอะงานน่ะ ไม่ใช่นั่งตอบไลน์สาวอยู่”
“แค่กกกก!”
ผมหันขวับไปมองไอ้โย่งที่ “ตีนติดคอเหรอมึง”
“ใช่เลย ช่วงนี้ไม่ค่อยสบาย” มันกระแอมไอ “สงสัยต้องไปหาหมอสักหน่อย”
ผมสบถไอ้สัดออกมาเบาๆ ในขณะที่พี่ข้าวหรี่ตา เอ่ยปากแซว “สอยของสูงนะคุณน้อง มิน่า น้องสาวพี่มันแค่เด็กบัญชี”
“โอ๊ย ไปเรื่อย” ผมพยายามบ่ายเบี่ยงประเด็น “ไม่เกี่ยวกับเรียนคณะไหนสักหน่อย”
“หรือเกี่ยวกับอายุ” เจ้ปันเอ่ยถามแทรกเข้ามา “จริงๆ แกไม่ชอบเด็กๆ ใช่ไหมล่ะน้องณะ!”
“เกี่ยวกับถ่านไฟกะ—”
ผมเอื้อมมือไปตะปบปากไอ้โย่งแทบไม่ทัน อาชีพยังไม่เท่าไหร่ แต่ไม่อยากให้ใครรับรู้เท่าไหร่ว่าคุยกับแฟนเก่าอยู่ ผมถลึงตามองเพื่อนสนิท ล็อกคอมันแน่นก่อนจะยอมคลายออกเมื่อเห็นว่ามันดูจะยอมเงียบแล้ว
“ไอ้ณะ ไอ้เวร ฉิบหาย มือเค็มมาก”
“อี๋” ผมมองมือตัวเอง “มึงเลียมือกูปะเนี่ย”
“พวกแกทุกคนโสโครกมาก” นั่นเป็นเสียงปรามจากว่าที่เจ้าสาว หล่อนหัวเราะก่อนจะหันไปมองพี่เอกที่กำลังควงกุญแจรถรออยู่ “ชวนมางานพี่ได้นะ พี่อยากเห็นหน้า”
ผมหัวเราะ “ประโยคเหมือนจะตบอ่ะ”
“ใช่จ้า เพราะพี่รักน้องณะ” พี่ข้าวแซวเล่นขำๆ ก่อนจะโบกมือลาเดินไปหาแฟนตัวเองที่กำลังจะเลื่อนขั้นเป็นสามี
“พี่เอกเผลอแล้วเจอกัน” ผมแกล้งตะโกนแซวต่อ
พี่ๆ ที่จ่ายเงินเดือนให้กันเดินออกไปแล้ว ผมหันมามองฟุตเทจในหน้าจอต่อ ไม่ถึงวินาทีด้วยซ้ำ เจ้ปันก็เปลี่ยนไปชวนคุยประเด็นใหม่
“เออ ฉันอยากกินเนื้อย่าง เย็นนี้ไปด้วยกันปะ”
“ไหนเจ้บอกจะไปวิ่ง”
“ก็เมื่อวานวิ่งแล้วไง” สาวโสดวัยสามสิบถลึงตา “เมื่อวานก็ส่วนเมื่อวาน วันนี้ก็ส่วนวันนี้สิวะ”
“แต่น้ำหนักมาจากสิ่งที่กินจากเมื่อวานนะ”
“ไอ้โย่ง!”
ผมมองสาวใหญ่กับเพื่อนสนิทตัวเองที่ปากหมาไปทั่ว เรียกได้ว่าไม่สนิทกันจริงทำแบบนี้คงจะได้โดนด่าเข้าให้
หลังจากที่ตีกันเสร็จแล้วหล่อนถึงกลับมาขายเนื้อย่างให้ผมใหม่ สายตาออดอ้อนตามประสาคนอยากกิน และเห็นว่าอย่างไรวันนี้คณณัฐก็ออกจากเวรสามทุ่มอยู่แล้ว และร้านที่เจ้ปันชวนไปเองก็ไม่ได้ไกลจากที่นี่มากนัก
“ชวนหมอมาด้วยไหม” โย่งหันมาถาม
“ไม่ล่ะ” ผมปฏิเสธ “ไม่อยากให้มาเจอเจ้”
“ร้ายกาจมากนังน้อง! ฉันก็อยากเห็นหน้าหมอเธอ”
“ขาวๆ สูงๆ”
“นางแบบเลยไหม”
โย่งเหลือบมองผม ส่วนผมหัวเราะ บ่ายเบี่ยงไปเป็นประเด็นอื่น – จริงอยู่ที่ไม่ได้ปิดบังหรือรู้สึกแย่ที่กำลังคุยๆ กับผู้ชาย แต่คิดว่าเดี๋ยวให้มั่นใจไปสักระยะก่อนน่าจะดีกว่า
“คบหมอไม่เหนื่อยเหรอวะ”
“ยังไม่ได้คบ”
“นั่นแหละ” เจ้ปัดมือไปมา “สงสัยๆ เพราะเขาก็คงยุ่งจริงๆ”
ผมส่ายหน้า – ไม่ใช่ปฏิเสธแต่หมายถึงไม่รู้ต่างหาก
รู้ดีว่าคณณัฐยุ่งกว่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันเสียอีก ตอนนั้นแทบจะไม่มีเวลาปิดเทอมด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้คุณเรียนจบแล้ว เป็นนายแพทย์เต็มตัว อีกฝ่ายเคยพูดถึงว่าอยากเรียนเฉพาะทางในอีกสอง – สามปีอีกต่างหาก
ขนาดตอนนั้นแค่นั้นเรายังไปกันไม่รอดเลย
เพราะเด็กหรืออย่างไรนะ เพราะหลายๆ อย่างมันหล่อหลอมให้เราจัดลำดับความสำคัญกันและกันไว้ท้ายสุด หรือเพราะเราไม่มีภูมิคุ้มกันมากพอกันแน่นะ
พอในหัวมีคำถามเหล่านี้ มันก็พาลมีคำถามอื่นเพิ่มขึ้นมาในหัว
ตอนนี้—
ผมมีภูมิคุ้มกันเรื่องนี้ดีขึ้นหรือยังนะ ดีมากพอหรือยังสำหรับการสานสัมพันธ์กับคุณอีกครั้ง
คุณไม่ตอบผมมาสักพักแล้ว – สักพักในที่นี้หมายถึงสี่ชั่วโมง – คำพูดสุดท้ายที่พูดคือ
มีลางว่าวันนี้จะยุ่งแน่ๆ เลย มีคนหิ้วเคเอฟซีมาจากนั้นก็หายไป คาดว่าที่วอร์ดคงได้ยุ่งเหมือนที่อีกฝ่ายคาดการณ์ไว้จริงๆ ถึงเป็นแบบนี้ ฟังดูตลกพิลึกที่คนเรียนวิทยาศาสตร์จ๋าเชื่อเรื่องโชคลาง แต่ผมก็เข้าใจ บางครั้งตัดต่อวีดีโอแล้วเรนเดอร์ไม่ได้ก็แทบจะพนมมือกราบกรานสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน
เนื้อย่างเป็นอะไรที่ตอบโจทย์กันในวันนี้ดี ครั้งนี้มากันแค่หนึ่งสาวกับสองหนุ่ม โสดทั้งทีม แม้ไอ้โย่งจะบ่นอิดออดเพราะคนเยอะเสียจนต้องรอคิวนาน
“แล้วแกไม่รีบกลับเหรอ”
“ณะเหรอ? ไม่อ่ะ” ผมปฏิเสธตอนที่เห็นว่าเราอาจจะต้องรอคิวกันอีกราวๆ ชั่วโมงหนึ่ง
“ไม่ต้องไปหาใคร” เจ้ปันหรี่ตา “แน่นะ”
“ไม่จ้า”
ไม่ใช่ตอนนี้ ผมทดคำเหล่านั้นในใจ “ไม่รีบอะไรเลย กินๆ ไปเถอะ ขี้เกียจฟังเจ้บ่น”
“ตอนนี้แกบ่นฉันอยู่อ่ะ”
“เปล่านะ” ผมหัวเราะ
ตัดสินใจจะไปเดินดูอุปกรณ์กีฬาตามใจไอ้โย่งแทนการรอเวลา ผมวนเวียนอยู่กับรองเท้าวิ่งอยู่นาน แต่ก่อนหน้านี้เพิ่งเจ็บหนักกับโทรศัพท์เครื่องใหม่เพราะคิดว่ามันถึงเวลาเปลี่ยนไปแล้วเลยคิดว่าต้องพักก่อน อีกอย่างตัวเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนออกกำลังกายอะไรเสียเท่าไหร่ ซื้อรองเท้าวิ่งมาเดินเฉยๆ ตลอดแหละผมน่ะ
napat
ไม่เป็นไร ไม่รีบอยู่แล้ว
เธอเสร็จเมื่อไหร่บอกแล้วกัน
ให้วนไปรับก็ได้นะ เผื่อไม่อยากขับรถมา
วันนี้ไม่ได้เอามอเตอร์ไซค์มาอยู่แล้ว
k. ทำไงดีเธอ
เค้าว่าเค้าเยินจริงๆ แน่เลย
ผมหยิบโทรศัพท์มาดูขณะที่เราได้เข้าร้านเนื้อย่างสุดโปรดของเจ้ปัน คณณัฐตอบมันมาแบบนั้นเมื่อห้านาทีก่อน ท่าทางจะหนักจริงไม่ล้อเล่น
napat
ไม่เป็นไร ไม่รีบอยู่แล้ว
เพิ่งเข้าร้านข้าวเย็นเอง 5555
เธอเสร็จเมื่อไหร่บอกแล้วกัน
แล้วคุณก็หายไป –
สุดยอดไปเลย จริงๆ คุณก็มาๆ หายๆ อยู่แล้ว แต่ยังไม่มีเหตุการณ์แบบนี้ตอนที่เรานัดกันเท่าไหร่ เดาได้ว่ายุ่ง แต่เอาเข้าจริงก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อตอนที่มื้ออาหารจบลง
“กลับเลยไหมมึง” โย่งหันมาถามหลังจากเจ้ปันแยกตัวไปที่รถของตัวเอง “เดี๋ยวไปส่งที่บีทีเอสเอามะ”
“ไม่ว่ะ คงเดินๆ ก่อน”
“เอ้า แล้วกลับยังไง”
ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ตอนนี้บ่งบอกว่าอีกสิบห้านาทีสามทุ่ม – คณณัฐออกเวรตอนสามทุ่มพอดี แต่หายไปแบบนี้ใจไม่ดีเท่าไหร่ อาจจะช้ากว่านั้นไปอีก หมอเองก็ไม่ใช่พนักงานออฟฟิศที่ฟันเวลาเลิกทำงานได้ตลอดเสียด้วย – ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนเมื่อคิดได้ถึงความเป็นจริงข้อนั้น
“จริงๆ นัดคุณไว้”
ไอ้โย่งขมวดคิ้ว “ถามจริง?”
“เออ”
“นัดที่ไหนเนี่ย”
“ไม่รู้ว่ะ” ผมตอบตามจริง “ตอนนี้คุณน่าจะเวรเยินอยู่”
“มึงไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาลไหม”
“ออกเวรสามทุ่ม กลัวไปแล้วคลาดกันน่ะ”
“โดนเทแล้วเพื่อนกู” มันแซวเสียจนผมหัวเราะ แต่ดูจะเป็นเสียงหัวเราะที่แห้งเกินไปเล่นเอาไอ้โย่งเลิ่กลั่ก “เฮ้ย เอาน่ะมึง หมอไง เดี๋ยวก็ตอบมามั้ง ให้รอเป็นเพื่อนปะ”
ผมปัดมือไปมา “ไม่ต้องอ่ะ ไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง”
แต่มันก็ขนาดนั้นแหละ โย่งกลับไปประมาณครึ่งชั่วโมงแล้ว ผมเดินวนไปเวียนมาในห้าง กดโทรหาไปตอนที่เลยจากเวลาเวรมาสิบห้านาทีแล้วแต่คุณก็ไม่ตอบ
บอกว่าตัวเองไม่น่ารู้สึกแย่ – แต่ก็นั่นแหละ, ผมรู้สึก – มันไม่ได้รู้สึกดีนักหรอกตอนที่โดนผิดนัด
เหมือนความทรงจำเก่าๆ กลับมา
ติดต่อยากก็ไม่ว่าหรอก แต่เรานัดกันแล้วไม่ใช่หรือ รู้ดีว่ามันไม่ใช่อาชีพที่เล่นโทรศัพท์ได้ตลอดเวลา เป็นปกติก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง แต่พอเป็นช่วงเวลาที่รู้ว่ามีคนรออยู่ก็—
อา ให้ตาย ผมสบถใส่ตัวเองเป็นพันครั้งตอนที่รู้ว่าตัวเองกำลังหงุดหงิดในสิ่งที่คณณัฐเองก็จัดการให้ไม่ได้
มันไม่ใช่อาการหัวเสียเหมือนสมัยมหา’ ลัย คงเพราะเคยเผื่อใจไว้แล้ว แต่ยอมรับว่าผิดหวังอยู่เหมือนกัน
เดินวนไปเรื่อยเปื่อย ไปๆ มาๆ ก็จะสี่ทุ่มเสียแล้ว
คุณยังคงไม่ตอบไลน์ ไม่รับสาย เริ่มจะเป็นห่วงจริงๆ เสียแล้วว่าเกิดอุบัติเหตุหรือมีเหตุฉุกเฉินอะไรหรือเปล่า
ขอบคุณที่ยังไม่ได้ซื้อตั๋วหนังและไม่มีความคิดจะรอกินข้าวด้วยกัน – ผมบอกตัวเองแบบนั้น – ร้านรวงในห้างใกล้จะปิดแล้ว ผมถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ กำลังจะเปิดแอพพลิเคชั่น grab เสียแล้วด้วยซ้ำ โทรศัพท์ถึงได้ดังขึ้นมา
คณณัฐเป็นคนโทรเข้ามา
ผมมองหน้าจอด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย จะบอกว่าไม่อารมณ์เสียเลยคงจะโกหก แต่รู้ดีว่าแสดงออกไปไม่ได้แน่ๆ –
ไม่งั้นคงพังอีกแน่ๆ “ขอโทษ” ปลายสายตอบกลับมาแบบนั้น “ขอโทษจริงๆ มันแบบ— ไม่ได้จับมือถือเลยตั้งแต่ที่ตอบเธอ มีผ่าตัด”
“อือ”
“ขอโทษจริงๆ”
ผมสูดลมหายใจเข้าปอด “ตอนนี้อยู่ที่ไหน”
“เพิ่งออกจากโรงพยาบาล กำลังจะไปที่รถ” ผมเชื่อว่าคณณัฐกำลังรีบแล้ว สังเกตได้จากลมหายใจที่มีจังหวะเหมือนกับกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งอยู่ “เธอ รอบหนังมันจะยังมีอยู่ไหม ตอนนี้เธออยู่ไหนนะ”
ยิ่งฟังยิ่งทำให้รู้สึกโกรธไม่ลง – จะว่าโง่เง่าก็ได้ แต่การที่เห็นว่าคุณไม่ได้นิ่งดูดายกับเรื่องของผมก็พาลให้รู้สึกดีอยู่บ้างเหมือนกัน
“ผ่าตัดนานกี่ชั่วโมงเนี่ย” ผมถามเสียงอ่อนลงนิดหน่อย “ตั้งแต่ที่ไม่ได้ตอบใช่ไหม”
“ใช่ – ทำไงดีวะเธอ เค้าขอโทษจริงๆ”
“ไม่เหนื่อยเหรอ” ผมถาม “ยังจะขับรถอีก”
“แต่เค้า—”
“กลับห้องก็ได้นะ” ปลายสายเงียบเหมือนกับจะชะงักไป “เธอมาแล้วคงเหนื่อยจนนอนในโรงอีก”
“เธออยากดูนี่”
“ดูคนเดียวก็ได้”
“ณะ” คุณหมอเรียกชื่อผมเสียงอ่อน “ขอโทษจริงๆ”
ผมถอนหายใจ “รู้แล้วครับ” ตอบกลับไปแบบนั้นสั้นๆ
แล้วเราก็มีความเงียบให้กัน - นั่นไม่ค่อยจะน่ารักเท่าไหร่ – มันทำให้บรรยากาศในโทรศัพท์เราแย่ลงเป็นกองในเสี้ยววินาทีได้เลยด้วยซ้ำ
“ขอโทษจริงๆ” คุณตอบแบบนั้น
“อื้อ, รู้ว่าเธอต้องเหนื่อย”
“แล้วเธอจะกลับยังไง”
“มี Grab นะ”
“—อา” คนทางนั้นส่งเสียงออกมาอย่างกับเสียดาย “เธออยากดูหนังเรื่องนี้มากไหม”
เป็นคำถามที่ทำให้ผมเม้มปากแน่น “ไม่รู้สิ” จริงๆ ก็ไม่ได้อยากดูมากขนาดนั้น – แต่รอคุณมาขนาดนี้แล้ว จะไม่ทำอะไรเลยคงจะเสียดายเวลา ผมคิดแบบนั้นในใจ รู้ว่าไม่มีวันพูดออกไปได้แน่
“ถ้าเป็น Netflix สักเรื่อง” คณณัฐเว้นจังหวะ
“ชดเชยได้ไหม” ผมงุนงงกับคำถามนั้นอยู่ชั่วครู่ แต่คนผิดนัดกลับเอ่ยพูดออกมาเสียงแผ่วเบา เล่นเอาหัวใจผมอ่อนยวบไปหมด
“—เพราะเค้าก็อยากดูหนังกับเธอเหมือนกัน” ห้าทุ่ม, ร้านรวงที่ปิดทั้งหมดจนไม่เหลืออะไรนอกจากเซเว่น ขอบคุณที่ที่ห้างยังมีแมคโดนัลที่เปิดรับผมเป็นลูกค้าคนสุดท้ายก่อนที่จะปิด ให้ผมได้เฟรนฟรายเหี่ยวๆ มาในปริมาณมากกว่าปกติ
คณณัฐเดินเข้ามาในห้องของผม – ซึ่งผมไม่มีเวลาเก็บกวาดด้วยซ้ำ – ผมมองเสื้อกันหนาวที่ฟาดไว้บริเวณโซฟาและกองเสื้อผ้าที่ตัวเองรีบเก็บเข้ามาตอนเช้าเพราะกลัวฝนจะตก ยังไม่ทันเก็บเข้าตู้หรือพับใดๆ ด้วยซ้ำ
“ห้องสวยเนอะ”
“อา—” ผมกระแอมไอ “นั่งได้เลย”
เราตกลงกันว่าจะมาที่ห้องของผม ตอนแรกผมคิดว่าจะไปหาคุณที่ห้องของอีกฝ่ายแต่คณณัฐบอกว่าเดี๋ยวมาหาเองเพราะเป็นการไถ่โทษ ในมือของคุณมีบัวลอยกับเต้าทึงอย่างละสองถุง เรียกได้ว่าซื้อมาชนกัน แต่คุณก็หัวเราะแล้วก็บอกว่ากินได้ทั้งคู่
“เธอมีเสื้อใช่ไหม”
“มีๆ” คุณหมอพยักหน้า “ต้องเตรียมไว้ที่รถตลอดแหละ บางวันก็ไม่ไหว”
“อ๋อ— ก็ดีนะ”
“ต้องนอนโรงพยาบาลน่ะเหรอ ไม่ดีมั้ง” คณณัฐพูดติดขำ “แต่ก็ขอโทษจริงๆ”
“ช่างเถอะ” ผมว่าพลางวางกระเป๋าของตัวเอง เดินไปหยิบเสื้อผ้าที่กองไว้เดินเข้าไปในห้องนอน เปิดประตูทิ้งไว้ให้รู้ว่าผมมาเก็บผ้าเฉยๆ ก่อนจะหันไปมองคณณัฐที่มองซ้ายมองขวาราวกับจะหาที่นั่ง “โซฟาก็ได้นะ หรือเธออยากกินก่อน แป๊บ เดี๋ยวหยิบจานให้”
“เหนียวตัวอ่ะ ขออาบน้ำก่อน—”
คำพูดนั้นหยุดชะงักไปก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม
“awkward จัง” อีกฝ่ายพึมพำออกมาเบาๆ พลางยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอ คณณัฐคงคิดเหมือนกันถึงความทะแม่งของประโยคที่ตัวเองเพิ่งพูดออกมา
ผมให้คุณหมอไปอาบน้ำก่อน หยิบผ้าขนหนูที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าออกมาให้ ใช้ช่วงเวลาที่คณณัฐเข้าไปในห้องน้ำเพื่อมองห้องนอนรกๆ ของตัวเองอย่างวิตกกังวล ทำอะไรไม่ได้นอกจากโยนนั่นโยนนี่เข้าตู้เสื้อผ้า นานมากแล้วที่ไม่มีคนมาที่ห้อง ถ้ามีก็จะเป็นพี่ผม ไม่ก็พ่อแม่ หรืออาจจะเพื่อนๆ บ้าง แต่ห้องขนาดกลางๆ แบบนี้ก็ไม่ใช่ตัวเลือกแรกๆ ที่เพื่อนจะมาหากันอยู่ดี
อา— ให้ตาย พอคิดแบบนี้ผมก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อยที่คณณัฐก้าวเข้ามาในห้อง
ไม่นานนักหรอกที่คณณัฐเดินออกมาพร้อมกับเสื้อยืดและกางเกงขายาวลายสก๊อต “นี่ชุดนอนเธอเหรอ”
“ให้ถอดเสื้อนอนไหมล่ะ” คุณหมอเอ่ยถาม “ก็ชุดที่เก็บไว้เผื่อต้องนอนโรงพยาบาล ขอแบบรัดกุมหน่อยไม่ได้เหรอ” บ่นงุบงิบเสียจนน่าบีบปากนั่นตรงนี้จริงๆ
ผมต่อสายเข้าทีวีที่ปกติไม่ได้ใช้เพราะชอบดูหนังในคอมพิวเตอร์เสียมากกว่า วางถุงบัวลอยกับเฟรนฟรายไว้บนโต๊ะญี่ปุ่นตรงหน้าโซฟา “เลือกเรื่องเลยนะ”
“ไม่รู้จะดูอะไรเลย”
“เลือกๆ มาเถอะครับ”
คุณหมอบ่นอะไรสักอย่างอยู่ที่หน้าจอพร้อมกับกดรีโมทของผมอย่างเลือกไม่ได้ พลางโบกมือไปมาเป็นเชิงไล่ให้ผมไปอาบน้ำเสียที
ไม่นานเท่าไหร่ผมก็เป็นคนเดินออกมา คณณัฐดูจะยอมแพ้กับการเลือกหนังไปแล้วแต่ไปเปิดกล่องเฟรนฟรายเหี่ยวๆ มาทานแทน พอผมเดินออกมาอีกฝ่ายก็ตบที่ว่างข้างๆ เป็นเชิงเรียกไปหา เถียงกันไม่กี่คำกับหนังที่อยากเปิด เชื่อไหมว่าสุดท้ายแล้วเราเปิดหนังแมสๆ อย่างแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่คณณัฐชื่นชอบหนักหนา แล้วเราก็เถียงกันอีกครั้งว่าจะดูกันในภาคไหน คุณอยากดูภาคสาม ส่วนผมอยากดูภาคห้า ลงท้ายเราก็มาจบกันที่ภาคเจ็ดจุดสองที่ไม่ได้อยู่ในตัวเลือกเราตอนแรกเลยแม้แต่น้อย
ชอบช่วงเวลาคุณทำเหมือนดูมันครั้งแรกทั้งที่น่าจะดูฉากแฮร์รี่บุกเข้าไปในธนาคารนี้มาเป็นสิบรอบแต่ก็ยังอุตส่าห์หันมาป้อนเฟรนช์ฟรายผม – แม่งโคตรของโคตรน่ารัก – และผมเหมือนจะกลายเป็นง่อยอย่างไรไม่รู้
“บัวลอยต่อไหม” ผมหันไปถามเบาๆ เมื่อเห็นว่าเฟรนช์ฟรายของเราหมดแล้ว
คุณส่ายหน้า “อิ่มอ่ะ” ไม่หันมามองกันด้วยซ้ำตอนที่ตอบกัน
ไม่รู้ว่าทำไมผมจุดสนใจของผมถึงเริ่มเปลี่ยนจากแดเนียล แรดคลิฟฟ์บนทีวีมาเป็นคุณหมอที่นั่งอยู่ข้างๆ กันเสียอย่างนั้น ชอบเวลาที่ริมฝีปากนั้นเม้มเข้าหากันน้อยๆ หรือมือที่กำลังกอดหมอนหลังจากที่เดินไปล้างมือมาเพราะเป็นคนซีเรียสเรื่องความสะอาดสะอ้าน
เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ พอลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเป็นฉากสุดท้ายที่ฮอกวอตส์เสียแล้ว คุณยังมองหน้าจอตาแป๋ว ก่อนจะหันกลับมาเอ่ยถามเสียงแผ่ว “ง่วงแล้วเหรอ”
“อื้อ” ผมหยัดกายขึ้นนั่งดีๆ ดึงหมอนอีกใบมากอดไว้ “เธอไม่เหนื่อยเหรอ”
“ไม่เหนื่อย อาบน้ำแล้วตื่น”
“ไหนตื่นจริงเปล่า”
“ณะ!” อีกคนถลึงตาเมื่อผมแกล้งเย้าแหย่ เอื้อมมือฟาดลงมาบนต้นแขน “ไปนอนเลยไป”
ผมเหลือบมองหน้าอีกฝ่ายวางหมอนลงบนตักที่ว่างอยู่ของอีกคน “นอนตรงนี้ไม่ได้เหรอ” ถามอย่างออดอ้อน แต่ดูเหมือนจะไม่เคยทำให้คณณัฐใจอ่อน
“ไปนอนดีๆ ไป เดี๋ยวเค้าปิดพวกนี้ให้”
ผมแสร้งยกมือขึ้นกอดอด มันคงอ้อนมืออ้อนเท้ามากพอที่จะทำให้คุณหมอดีดหน้าผากผม ไม่ได้เบามือเสียด้วย คุณหัวเราะ ก้มลงมองผมที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนตักของอีกฝ่าย ตอนนี้คณณัฐมองผมเป็นอะไรหนอ— ลูกหมาตัวโต? หรืออาจจะเป็นหมาของแฮกริดก็ได้
ผมดึงมือของอีกฝ่ายมาเล่น ไล้ปลายนิ้วไปที่หลังมือ เกาะกุมไว้หลวมๆ แต่คนกระชับมันคือคุณหมอเสียเอง
อีกฝ่ายปรามกัน “รุ่มร่าม” แผ่วเบาเสียจนคิดว่าคุณคงไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่า
“เขิน”
“เปล่า”
“เปล่าก็ได้”
คุณหมอขมวดคิ้ว “โอเค เขินนิดหน่อย” เอ่ยราวกับยอมแพ้ “ไม่ง่วงจริงๆ เหรอ”
“นิดหน่อย” ในเมื่อคณณัฐยอมรับแล้ว เกรงว่าเป็นผมที่ต้องยอมรับบ้าง “แต่ยังไม่อยากไปนอนเลย”
พูดในสิ่งที่คิด, คิดอย่างไรก็พูดไปแบบนั้น ไม่ได้คิดหวังว่าอีกคนจะเขิน แต่ก็นั่นแหละ – คุณเขินอีกแล้ว
คุณสบตากัน เอามืออีกข้างขึ้นมาบังช่วงปากไปจนถึงจมูก นั่นโคตรของโคตรน่ารักอีกแล้ว, ผมเหมือนคนคลั่งรักหลังจากไม่ได้เป็นแบบนี้มานานแสนนาน คุณอีกแล้ว คุณเสมอ คุณตลอดเลยที่เป็นสาเหตุของการคลั่งรักของผม ความคิดพรรณาต่างๆ ลอยเข้ามาในหัว และมันคงสื่อออกไปจากอะไรสักอย่าง คณณัฐถึงได้มองผมด้วยสีหน้าแบบนั้น
ผมเอื้อมมือไปดึงมือที่ปิดหน้าอีกฝ่ายออกมา กดจูบลงบนฝ่ามือขาวนั่นอย่างไร้สาเหตุ คณณัฐไม่ได้ชักมือกลับ แต่ปล่อยให้ผมจับมือข้างนั้นต่อ
ชอบคุณ คงเผลอขยับปากพูดไปโดยไร้เสียง
และคนที่อยู่ตรงหน้าก็ตอบกลับมาโดยไร้เสียง – ไม่ใช่การขยับปากพูด หากแต่เป็นการโน้มศีรษะลงมาใกล้เสียจนผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่รินรดระหว่างกัน ได้ยินเสียงหัวใจเต้น รับรู้ถึงการลังเลเพียงจังหวะเดียวทั้งที่ระยะห่างระหว่างเราเหลือเพียงไม่กี่เซนติเมตร
แต่คุณก็หลับตาลงและเป็นผมที่หยัดกายขึ้นเพียงเล็กน้อย
กลีบปากของคุณเอ่ยคำตอบโดยที่ไม่ต้องเปล่งเสียงใดด้วยการยินยอมให้ผมกดจูบซ้ำๆ แบบนั้น บางคราก็ตอบกลับมา มือของอีกฝ่ายไล้บนแผ่นอกของผมเบาๆ ตอนที่ผมหยัดกายให้เราไม่ละริมฝีปากจากกันในขณะที่มือของผมเองก็ชื่นชอบที่จะไล้วนอยู่บริเวณหัวไหล่ของอีกฝ่าย
“—ณะ” ชื่อของผมน่าฟังเป็นบ้า แม้ว่าคุณจะเอ่ยเสียงแผ่วจนอีกนิดเป็นการกระซิบกันแล้วก็ตาม “ไม่ใช่ Netflix and Chill นะวันนี้”
“อื้อ” ผมตอบกลับไป ซุกศีรษะบนลาดไหล่อีกฝ่าย “รู้แล้ว”
“งั้นก็ปล่อยเค้า” คณณัฐเอ่ยปราม “เดี๋ยวไปกันใหญ่หรอก”
ผมไม่ปล่อยตามคำขอนั้นหรอก ไม่ได้คิดจะทำอะไรเพียงแต่ขอกอดคุณนานกว่านี้อีกสักหน่อย
แล้วก็ช่างแม่งแฮร์รี่ พอตเตอร์กับลอร์ดโวลเดอร์มอร์ด้วย ในหัวของผมมีอยู่แค่เพียงคำๆ เดียววิ่งไปมา
—ขอบคุณอะไรก็ตามบนโลกที่เหวี่ยงคุณกลับมาเจอผมอีก
-------------------------
หายไปนานเนอะ //หัวเราะแห้งๆ
แต่ก็มาต่อแล้วนะคะ ; - ; ตอนนี้ยาวมากเลยด้วยนะ!
คิดว่าไหนๆ ก็ใกล้จบแล้ว อยากจะพิมพ์นิยายเรื่องนี้เองค่ะ
ส่วนหนึ่งเพราะไม่ได้เขียนนิยายนานแล้ว พอได้เขียนก็อยากจะได้ทุกอย่างที่อยากได้
เช่นปก การจัดหน้าต่างๆ แบบนี้ เอาแต่ใจเนอะ
ส่วนเรื่องราคาจะพยายามบีบให้ได้มากที่สุดค่ะ
เดี๋ยวจะมาทำแบบสอบถามถึงความสนใจของนักอ่านด้วยนะคะ
ติดตามได้ในทวิตเตอร์ @ninewnn_novel ได้นะทุกคน
#ตอนนี้ยังเป็นคุณ