Ai Adore You.
#ขอรักแค่คุณ
ตอนที่ 29
“...ปัญหาสงครามกลางเมืองของประเทศตะวันออกกลางยังรุนแรง รัฐบาลที่รัฐประหารขึ้นมาก็น่าจะอยู่ได้ไม่นาน เศรษฐกิจแถบนั้นยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นตัวได้เร็วๆนี้ ตลาดโลกยังผันผวนกับวิกฤติเศรษฐกิจคราวก่อน การส่งออกของบ้านเราก็เลยพลอยชะงักไปด้วย ผมคาดว่าแนวโน้มเศรษฐกิจในปีหน้าน่าจะชะลอตัวลงนะครับ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลประกาศออกมาเมื่อเดือนก่อน คุณพิชช์ฌานคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง ...”
อาคิราห์เหลือบมองหน้าสามีที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับไตรภพพี่ชายคนโตของเขา เห็นพิชช์ฌานแสดงความเห็นตอบกลับไปยาวเหยียดดูมีหลักการก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“....ผมว่ากว่าจะถึงตอนนั้น ผู้ค้ารายย่อยน่าจะตายกันหมดก่อน ผลประโยชน์จะตกอยู่กับผู้ค้ารายใหญ่ที่ทุนหนา ...ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับนโยบายนั้นครับ”
“ที่คุณพิชช์ฌานพูดมาก็น่าสนใจ ...เป็นอะไรเจ้าอัยย์ นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่” ประโยคหลัง ท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังหันไปขมวดคิ้วใส่น้องชายคนเล็ก “ผู้ใหญ่เขาคุยกัน ไปนั่งเล่นตรงนู้นไป”
“อยากฟังด้วยไม่ได้เหรอ”
“ฟังไม่รู้เรื่องหรอกเราน่ะ ไม่ใช่เรื่องของเด็ก” ไตรภพพูด แม้เสียงจะเคร่งดุ แต่พิชช์ฌานก็สังเกตได้ว่าสายตาที่มองน้องชายไม่ได้มีแววดุจริงจังอย่างน้ำเสียง อาคิราห์ก็คงรู้ดีเช่นกันเพราะเจ้าตัวไม่ยอมขยับไปไหน
“อัยย์อยากนั่งฟังพี่ภพพูด ไม่ได้เจอพี่ภพมานานแล้ว อัยย์คิดถึง” เจ้าโอเมก้าตอบกลับไป
รอยยิ้มผ่านแวบในดวงตาของพี่ชายคนโตก่อนจะจางหายไป ไตรภพไม่ได้ไล่น้องไปไหนอีก เขาหันไปถกปัญหาเศรษฐกิจกับน้องเขยต่ออย่างจริงจัง มุมมองของพิชช์ฌานน่าสนใจและแปลกใหม่แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งหลักการ ไม่ใช่พูดลอยๆอย่างนักการเมืองคนอื่นที่รู้ไม่จริง ไตรภพไม่ได้เจอคนที่คิดทันกันแบบนี้มานานแล้ว น่าเสียดายที่ไม่ได้อยู่ฝั่งเดียวกัน
“ผมชักจะเชื่อแล้วสิว่ากุนซือเศรษฐกิจของพรรคคุณคือหัวหน้าพรรคเอง” ไตรภพพูดยิ้มๆ มองชายหนุ่มรุ่นน้องอย่างพอใจ “แนวคิดของคุณดีมากคุณพิชช์ฌาน ไม่สนใจมาร่วมงานด้วยกันหน่อยเหรอ”
“ผมอยากจะถามคุณไตรภพมากกว่าว่าไม่สนใจมาทำงานด้วยกันหรือ ไอเดียของผมที่พูดไปยังไม่ได้ครึ่งของนโยบายเศรษฐกิจพรรคของผมเลยนะ ทีมของผมก็เป็นคนที่มีประสบการณ์ทั้งหมด ไม่มีลูกท่านหลานเธอฝากเข้ามาให้เหนื่อยใจ ทุกคนเข้ามาด้วยความสามารถของตนเอง ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพาประเทศนี้ออกจากกรอบเดิม ๆ” พิชช์ฌานพูดยิ้ม ๆ
คนฟังหัวเราะหึ ๆ
“ผมได้ยินมาแล้วว่าทีมของคุณแข็งแกร่งทีเดียว ผมยังเคยคิดเล่น ๆ เลยว่าถ้าผมย้ายไปอยู่พรรคคุณ มันจะเป็นยังไง” ไตรภพพูดทีเล่นทีจริง “ผมไม่ใช่คนยึดติดกับธรรมเนียมเดิม ๆ อย่างเช่นพ่อลูกต้องอยู่พรรคเดียวกัน อะไรทำนองนั้นหรอกนะ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับอุดมการณ์”
พิชช์ฌานเก็บความประหลาดใจเอาไว้ ชายหนุ่มแทบไม่เปลี่ยนสีหน้า
“เป็นเรื่องน่ายินดีครับ พรรคของผมพร้อมเปิดรับอยู่แล้ว ขอแค่คุณมาจริง ๆ เท่านั้นแหละ”
“ไม่รู้ว่าคนในพรรคของคุณจะคิดเหมือนคุณหรือเปล่าน่ะซิ”
“ถ้าเป็นเรื่องที่ดี ทุกคนในพรรคก็ต้องยินดีอยู่แล้วครับ” พิชช์ฌานพูดเรียบ ๆ อีกฝ่ายมองหน้าเขาแล้วก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาพลางเอื้อมมือมาตบที่ไหล่กว้าง
“ผมล้อเล่นหรอกน่า ไม่เห็นจะต้องระวังตัวขนาดนั้นเลย” ไตรภพว่า หันไปหาน้องชายของตน “สามีของเราเขาเป็นคนเก็บอารมณ์เก่งมากเลยนะ แถมระวังตัวแจทีเดียว ชักอยากรู้แล้วสิว่าตอนที่อยู่ด้วยกันสองคนเขาได้แสดงอารมณ์อะไรออกมาบ้างมั้ย”
อัยย์อมยิ้ม เหลือบมองคนนั่งข้างๆแวบนึง
“เขาคงกลัวพี่ภพล้วงความลับมั้งครับ”
“จริงหรือเปล่าคุณพิชช์ฌาน ไม่สิ เราเกี่ยวดองกันแล้ว แถมผมก็กำลังจะได้เป็นลุงอีก ขอเรียกแทนตัวว่าพี่ก็แล้วกันนะ”
“ครับผม” พิชช์ฌานรับ ก้มศีรษะให้เล็กน้อย
นั่งพูดคุยกันได้ไม่นาน ท่านนายกฯก็กลับมาจากการเล่นกีฬาที่โปรดปราน ท่าทางของไตรคุณดูเหน็ดเหนื่อยแต่ก็ยิ้มแย้มอารมณ์ดี อาคิราห์ลุกเดินเข้าไปหาบิดา ก่อนจะพากันย้ายไปนั่งคุยกันต่อในห้องอาหารที่จัดเตรียมมื้อเย็นเอาไว้พร้อม
คุณหญิงอารยาเองก็กลับมาจากธุระข้างนอก เธอทักทายลูกชายคนเล็กสั้นๆก่อนจะเดินหายลับขึ้นไปด้านบนและไม่ได้มาร่วมโต๊ะอาหารด้วย ท่านไตรคุณเลยแทบจะเป็นคนผูกติดการสนทนาอยู่คนเดียวบนโต๊ะ อาคิราห์ฟังพ่อพูดถึงชื่อคนนู้นบ้างคนนี้บ้างผ่าน ๆ หู รู้จักบ้างไม่รู้จักบ้างจนกระทั่งจบที่ของหวานปิดท้าย
“กลับมากินข้าวที่บ้านเป็นไงบ้าง รสชาติสู้ที่บ้านคุณพิชช์ฌานเขาได้มั้ย อัยย์” เจ้าโอเมก้าเกือบสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นจากจานขนมหวานที่ใช้ช้อนกวาดจนเกลี้ยง
“อร่อยเหมือนเดิมครับ” อาคิราห์ตอบ
“แล้วที่ไหนอร่อยกว่ากัน” บิดาถามต่อมาอีก
“อร่อยพอๆกันครับ” ชายหนุ่มตอบกลับไป
“อยู่เป็นนี่เรา ถ้าตอบไม่อร่อย คุณพิชช์ฌานเขาคงได้ทิ้งเอาไว้ที่นี่แน่” ไตรคุณหัวเราะ
“ผมไม่ทิ้งอาคิราห์หรอกครับ แต่ว่าจะไปหาแม่ครัวคนใหม่มาแทน”
“อย่าไปเอาใจเจ้าเด็กนี่มากเลยครับ เดี๋ยวเหลิงหมด” ไตรภพพูด เห็นน้องชายยิ้มหน้าบานกับคำตอบของสามีก็จุ๊ปาก “เอ้า ยิ้มจมูกบานอยู่นั่นแหละ เอาของหวานอีกไหมล่ะ” เขาหันไปเรียกแม่บ้านมาบริการน้องชายแล้วก็ลุกขึ้นยืน “คุณพ่อครับ พอดีผมมีธุระต่อต้องขอตัวก่อน ...เชิญตามสบายนะครับคุณพิชช์ฌาน ดีใจที่ได้คุยกันวันนี้” หนุ่มใหญ่พูดยิ้มๆกับน้องเขย
พิชช์ฌานก้มศีรษะนิดหนึ่ง ขณะที่อาคิราห์มองตามหลังจนลับร่างพี่ชายไป ตั้งแต่เด็กจนโตไตรภพเป็นพี่ที่เจอตัวได้ยากมากเพราะมักจะมีธุระยุ่งเหยิงอยู่ตลอดเวลา แต่ทุกครั้งที่เจอกันชายหนุ่มก็จะพูดคุยกับเขาอย่างดี อาจจะมีของมาฝากบ้างเป็นครั้งคราว นับเป็นพี่ที่ดูแลน้องชายฝาแฝดทั้งสองคนพอๆกัน ไม่ค่อยลำเอียงเข้าข้างอคินทร์มากเท่ากับพี่สาวคนรอง
ท่านนายกฯพาลูกชายและลูกเขยเข้าไปคุยกันต่อในห้องทำงานของตัวเอง พิชช์ฌานแปลกใจไม่น้อยที่อีกฝ่ายยอมให้เขาเข้าไปในห้องที่ควรจะเป็นส่วนตัวแบบนี้ ชายหนุ่มกวาดตามองสำรวจรอบห้องอย่างสนใจเงียบๆ ห้องทำงานของท่านนายกรัฐมนตรีตกแต่งได้เรียบง่ายและเคร่งขรึมสมกับบุคลิกของเจ้าของห้อง
“ห้องสวยมากครับ” พิชช์ฌานพูด ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้รับแขกข้างๆอาคิราห์ “ท่านคงชอบสีโทนน้ำตาล”
“เป็นสีโปรดของฉันเลย” ไตรคุณตอบ ลุกขึ้นเดินไปหยิบกล่องใบหนึ่งมาส่งให้อาคิราห์รับเอาไว้ “ว่าจะเอาไปให้หลายรอบแล้วแต่ก็มัวติดนู่นติดนี่ทุกที ...ของขวัญแต่งงานของพวกเธอน่ะ ฉันสั่งทำพิเศษเอาไว้ให้ ชอบหรือเปล่า”
อาคิราห์เบิกตากว้าง เปิดกล่องใบนั้นออกดู ข้างในเป็นตุ๊กตากระเบื้องเคลือบอย่างดีเป็นรูปผู้ชายสองคนยืนควงแขนกันเอาไว้ คนหนึ่งสูงใหญ่สวมชุดทักซิโด้สีดำ ส่วนอีกคนบอบบางกว่าหน้าตาบ้องแบ๊วน่าเอ็นดู เนื้อกระเบื้องเนียนเรียบลงสีเอาไว้สวยประณีตบ่งบอกราคา
“สวยมากเลยครับ” อัยย์พึมพำ น้ำตาคลอด้วยความปลาบปลื้ม เขาไม่คิดมาก่อนว่าพ่อจะให้ของขวัญแต่งงานด้วย “ขอบคุณนะครับพ่อ”
“ขอบคุณมากครับท่าน” พิชช์ฌานพูด รับมาพิจารณาดูบ้าง
“เก็บไว้ให้ดี อย่าทำแตกเสียล่ะ” ไตรคุณพูดแกมหัวเราะ
ท่านนายกฯชวนคุยเรื่องสัพเพเหระจนกระทั่งคนที่เด็กที่สุดในห้องอ้าปากหาวถึงได้ไล่ให้อาคิราห์ขึ้นไปนอนก่อน พิชช์ฌานไม่ได้ลุกตามออกไป เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการที่จะคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวตั้งแต่แรกแล้ว
“ดื่มอะไรหน่อยมั้ย คุณพิชช์ฌาน” เจ้าของบ้านเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบเครื่องดื่มออกมา “ไม่ต้องเกรงใจน่า พ่อตากับลูกเขยก็ควรจะต้องมีช่วงเวลาสังสรรค์กันบ้างเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ”
“ครับ” พิชช์ฌานตอบ รับแก้วเครื่องดื่มมาถือเอาไว้แล้วยกขึ้นจิบพอเป็นพิธี “ท่านมีอะไรจะคุยกับผมหรอครับ”
“คุณไม่ชอบปล่อยเวลาให้เสียเปล่าสินะ” ผู้สูงวัยกว่าหัวเราะเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นฉันจะไม่อ้อมค้อม ...ได้ข่าวว่าช่วงนี้พรรคของเธอกำลังมีปัญหาภายในไม่ใช่เหรอ”
“.........”
“เรื่องในบ้านมักจะเสียงดังแบบนี้ล่ะ ไม่ต้องแปลกว่าทำไมฉันถึงรู้หรอก เหมือนที่คุณรู้เรื่องในพรรคของฉันนั่นแหละนะ” คิ้วเข้มของคนฟังขมวดเข้าหากัน “ฉันยอมรับว่าตัวเองเบื่อกับการแก่งแย่งนี้เต็มทน ฉันแก่แล้ว อยากใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสุขสงบ”
“ท่านหมายความว่าอะไรครับ”
“ฉันจะยกตำแหน่งนายกฯสมัยหน้าให้คุณ คุณพิชช์ฌาน” ไตรคุณพูดเรียบๆ ราวกับพูดเรื่องดินฟ้าอากาศแทนที่จะเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าอะไรในประเทศนี้ “ขอแค่คุณย้ายมาอยู่พรรคของเราเท่านั้น ฉันพร้อมที่จะสนับสนุนคุณเต็มที่ ความสามารถของคุณเป็นสิ่งที่น่าเสียดายถ้าไม่ได้นำมาทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ”
“ขอบคุณมากครับที่ท่านมองเห็นความสามารถของผม แต่ว่า..อุดมการณ์ของเราต่างกันคงจะเป็นไปไม่ได้” ชายหนุ่มตอบอย่างสงบ
“อุดมการณ์ของคุณคืออะไรล่ะ คุณอ้างคำว่าอุดมการณ์ให้ได้ยินหลายครั้งแล้ว แล้วอุดมการณ์ของคุณคืออะไรกันแน่ คือการทำยังไงก็ได้ให้ชนะเหรอ ถ้างั้นฉันเสนอตำแหน่งนายกฯให้ ไม่ดีหรือไง ฉันพร้อมจะหลีกทางให้แล้วถ้าคนๆนั้นเป็นคุณ”
“เพื่อแลกกับอะไรครับ”
“ความเจริญของประเทศชาติ” ไตรคุณตอบทันควัน
“ผมคิดว่าถึงผมอยู่พรรคเดิม ก็จะสามารถเป็นนายกฯได้อยู่ดี” ชายหนุ่มตอบอย่างถือดี ยิ้มมุมปาก “อย่าเอาตำแหน่งมาล่อผมเลย ผมทำเองได้โดยไม่ต้องให้ใครช่วยหรือแม้แต่หลีกทาง คุณแค่สู้เต็มที่ก็พอ ผมจะได้ภูมิใจมากๆตอนที่เอาชนะคุณได้แล้ว”
“ฉันชอบความมั่นใจของคุณนะ คุณเป็นคนหนุ่มที่น่าสนใจ” ไตรคุณว่า “ฉันมองคุณแล้วเหมือนเห็นตัวเองเมื่อวัยหนุ่ม ยอมรับว่าตอนแรกฉันไม่ถูกชะตากับคุณ แต่ว่าถ้าไม่นับเรื่องพ่อของคุณแล้ว คุณก็เป็นคนที่ฉันเลื่อมใสและเป็นห่วง ไม่อยากให้เดินทางผิด”
“ผมคิดว่าตัวเองแยกแยะเองได้ว่าทางไหนถูกทางไหนผิดครับ”
“ฉันเคยผ่านมาแล้วคุณพิชช์ฌาน มันไม่ง่ายเลย...เส้นทางที่คุณเลือกเดิน คุณจะพบกับความพ่ายแพ้และเจ็บปวด” แววยอกแสยงปรากฏขึ้นในดวงตาของผู้สูงวัยกว่า “คุณจะพบกับความสูญเสีย ต่อให้คุณพยายามหลีกเลี่ยงหรือป้องกันแค่ไหนก็ตาม มันจะไม่สำเร็จ ...ฉันผ่านมาก่อนแล้ว ถึงอยากช่วยคุณ ฉันอยากเสนอทางเลือกที่ตอนนั้นฉันไม่มี”
“ขอบคุณในความหวังดีของท่านครับ”
“แต่คุณคงไม่ต้องการจริงๆสินะ” ไตรคุณหัวเราะหึๆ “ลองฟังข้อเสนอเสียหน่อยไหมล่ะ ฉันพูดตามตรงว่าเสียดายคนอย่างคุณมาก ถ้าจะต้องตกไปเป็นฝ่ายค้านอีกรอบในสมัยหน้า อาคิราห์เองก็คงจะดีใจถ้าคุณอยู่ฝ่ายเดียวกันกับพ่อของเขา”
“ผมคิดว่าอาคิราห์แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ครับ” ชายหนุ่มตอบอย่างสงบ “เขาโตพอแล้วที่จะเข้าใจเรื่องนี้”
“คุณมาเป็นนักการเมืองทำไมคุณพิชช์ฌาน” ไตรคุณถาม “อะไรคือสิ่งที่คุณต้องการ อำนาจ ชื่อเสียง เงินทอง หรือว่าความภาคภูมิใจเฉยๆ หรือไม่ใช่ที่พูดมาเลย”
“ถูกหมดทุกข้อครับ ผมเป็นนักการเมืองด้วยเหตุผลเดียวกับท่านและสมาชิกผู้แทนราษฎรทั้งหลาย เพิ่มเติมอีกนิดหนึ่งก็คือเพื่อพัฒนาประเทศครับ เพื่อประชาชน”
“อัยย์บอกว่าคุณชอบพูดเหมือนหาเสียงตลอดเวลา ฉันชักจะเชื่อแล้วสิ” นายกฯหัวเราะ “แต่คุณไม่ได้ตอบความจริงกับฉัน เรื่องของเรื่องก็คือ ตัวคุณเองต้องการอะไร คุณเคยถามตัวเองเรื่องนี้บ้างมั้ย หรือว่าหลอกตัวเองตลอดเวลาจนเคยชินไปแล้ว”
“ผมไม่เข้าใจที่ท่านพูด”
“แล้วคุณจะเข้าใจ ไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้หรือจนกว่าคุณจะเริ่มรับรู้ถึงความสูญเสีย อำนาจไม่ใช่ทุกอย่าง ชื่อเสียงเงินทองมีได้ก็หมดได้ แต่บางอย่าง...สำคัญมากจนเรายอมเสียไปไม่ได้ เรามีชีวิตอยู่เพื่อปกป้องสิ่งๆนั้น แต่ว่า...ความต้องการของเรามักจะส่วนทางกับความจริงเสมอ และเราจะไม่มีสิทธิ์เลือก”
“ผมเข้าใจว่าท่านเป็นห่วงลูกชาย ผมสัญญาต่อหน้าท่านและคนอื่นๆในพิธีแต่งงานไปแล้วว่าจะดูแลอาคิราห์ให้ดีที่สุด ถึงแม้ว่าผมกับท่านจะมีอุดมการณ์ต่างกัน อยู่กันคนละฝั่ง แต่นั่นจะไม่มีผลอะไรต่อความสัมพันธ์ของผมกับอาคิราห์ครับ”
“ฉันยังยืนยันที่จะเสนอทางเลือกให้คุณ มาอยู่พรรคของฉัน...แล้วฉันจะทำให้คุณได้เป็นนายกฯที่หนุ่มที่สุดในประวัติศาสตร์ พ่อของคุณจะต้องยอมรับและภูมิใจในตัวลูกชายอย่างคุณมาก” คนฟังขยับตัวทำให้คนพูดซ่อนยิ้มในใจ ไตรคุณพูดต่อเนิบๆ “ฉันรู้จักกับพ่อของคุณมานานแล้ว จะเรียกว่าโตมาด้วยกันก็ได้ พ่อของคุณเป็นคนยังไงฉันรู้จักดี รู้ด้วยว่าเขาเลี้ยงลูกมายังไง”
“ผมทราบว่าท่านกับคุณพ่อเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมาก่อน” พิชช์ฌานรับ
“นิมมานกับฉันเราร่วมก่อตั้งพรรคขึ้นมาด้วยซ้ำ ก่อนที่พ่อของคุณจะแยกออกไปตั้งพรรคการเมืองของตัวเองใหม่ แต่สุดท้าย....ก็เป็นอย่างที่เห็น คุณคงรู้ดีกว่าฉันกระมัง เพราะฉันไม่ได้ติดต่อกับเขานานแล้ว แต่ถ้าให้ฉันเดาล่ะก็ เขาก็คงจะอยากเห็นลูกชายประสบความสำเร็จในสิ่งที่เขาทำไม่ได้ มากกว่าจบเส้นทางการเมืองด้วยตำแหน่งหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านเหมือนกันกับเขา คุณคงไม่คิดว่าการแพ้เลือกตั้งสองครั้งซ้อนจะทำให้คุณยังรักษาอำนาจภายในพรรคได้อยู่หรอกนะคุณพิชช์ฌาน”
“ผมมีแนวทางของผมครับ ขอบคุณท่านมากที่เป็นห่วงอนาคตของผม แต่ว่า...การที่พ่อของผมแยกตัวออกมาจากท่านก็เป็นเหตุผลเพียงพอแล้วที่ผมจะไม่กลับไปร่วมกับพรรคที่พ่อเห็นต่างครับ” พิชช์ฌานพูดเรียบๆ “อีกอย่างก็คือ...ผมไม่คิดว่าตัวเองจะแพ้การเลือกตั้งสมัยนี้ครับ”
“อย่าประมาทคุณพิชช์ฌาน อย่าประเมินคู่ต่อสู้ของคุณต่ำเกินไป คุณอาจจะไม่รู้ว่ากำลังสู้อยู่กับอะไร” นายกฯพูดอย่างมีนัย “ถ้าเป็นไปได้ ถอยออกไปตอนนี้จะดีกว่า ก่อนที่จะสายเกินไป”
“คุณขู่ผมงั้นเหรอครับ” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “ผมคิดว่าไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยนะครับท่านนายกฯ”
“ฉันเตือนคุณด้วยความเป็นห่วงและหวังดี ไม่ใช่ขู่คุณ ฉันไม่มีปืนในมือด้วยซ้ำ”
“การข่มขู่ก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้ปืนอย่างเดียวนี่ครับ มีหลายอย่างที่ใช้เป็นอาวุธได้ อย่างเช่น คำพูด”
“ลมปากทำอะไรไม่ได้หรอก ไม่เหมือนกระสุนปืน”
“ลมปากอาจจะพากระสุนปืนมาสู่ตัวได้ครับ” ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ “อย่างไรก็ตาม ผมก็ขอบคุณมากที่ท่านเตือนผม ผมรู้สึกถึงความหวังดีที่ท่านส่งมาให้”
“ฉันไม่อยากให้หลานของฉันเป็นกำพร้าหรอกนะ” ไตรคุณถอนหายใจยาว “แต่จะทำไงได้ คุณมันหัวแข็งเหลือเกิน เอาเถอะ ถือว่าฉันได้ทำหน้าที่ของพ่อตาแล้วนะ หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรก็อย่ามาว่ากันทีหลัง”
“ครับผม” พิชช์ฌานก้มศีรษะให้ต่ำกว่าปกติราวกับล้อเลียนกึ่งเยาะหยันอยู่ในที “ผมจะทำหน้าที่ของลูกเขยที่ดีด้วยการทำให้อาคิราห์ได้เป็นโอเมก้าหมายเลขหนึ่งของประเทศนี้ก็แล้วกันนะครับ”
“ฉันจะรอดูว่าคุณจะทำได้สมกับคำคุยโวของคุณมั้ย” ไตรคุณยิ้มมุมปาก
พิชช์ฌานกลับออกมาจากห้องทำงานของพ่อตาด้วยความรู้สึกตึงเครียด รอยยิ้มที่แต้มอยู่บนใบหน้าขณะที่พูดคุยจางหายในพริบตา แทนที่ด้วยริ้วรอยเครียดขึ้ง โดยเฉพาะตอนที่มือขวาคนสนิทเข้ามากระซิบบอกว่าการประชุมลับของฝ่ายรัฐบาลถูกยกเลิกไปแล้วอย่างไม่มีกำหนด
“ท่านไตรคุณขู่ฉัน เจนภพ...วางยามรักษาความปลอดภัยที่บ้านเราเพิ่มขึ้นอีกหน่อยนะ ตรวจเช็คกล้องวงจรปิดด้วย อย่าให้ใครเล็ดลอดเข้าไปได้ ฉันว่าหลังจากนี้เกมน่าจะสกปรกขึ้น”
“ได้ครับคุณฌาน แล้วเรื่องประชุมลับ”
“ไม่เป็นไร ปล่อยให้มันเลื่อนไป ดีเสียอีก...เลื่อนมากเข้าความน่าเชื่อถือของฝั่งมันก็จะลดลงไปเอง อย่างน้อยวันนี้เรามาค้างที่นี่ก็เป็นข่าวสมใจฉันแล้ว ถ้ารู้ว่าพวกมันจะประชุมกับเมื่อไหร่ ก็ประกาศออกไปเลยว่าเราจะจัดงานเลี้ยงในพรรควันนั้น”
“จัดชนกันหรอครับคุณฌาน”
“ใช่ ถึงเวลาต้องเลือกข้างกันแล้ว” ชายหนุ่มเคาะนิ้วลงกับระเบียง ทอดสายตามองสนามเทนนิสข้างหลัง “เรื่องบุกบ้านจักรกฤตไปถึงไหนแล้วเจนภพ”
“คุณฌานรอฟังข่าวดีได้เลยครับ” เจนภพตอบกลับมา “ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้แล้ว”
“ดีมาก แต่ก็อย่าประมาทนะเจนภพ อ้อ อีกอย่างหนึ่ง.. ท่านไตรคุณให้ของขวัญงานแต่งงานมากับอาคิราห์ เป็นตุ๊กตากระเบื้อง ว่างๆเธอช่วยเอาไปตรวจสอบทีนะว่ามีอะไรหรือเปล่า ฉันเบื่อมุขซ่อนกล้องเต็มทีแล้ว”
“ได้ครับคุณพิชช์ฌาน ผมจะจัดการให้”
“อย่าให้อาคิราห์รู้นะ ฉันไม่อยากให้เขารู้สึกว่าฉันระแวงพ่อของเขามากเกินไป ถึงฉันจะระแวงจริงๆก็เถอะ” พิชช์ฌานพูดเป็นประโยคสุดท้ายก่อนจะแยกจากมือขวาคนสนิทกลับขึ้นบันไดมายังชั้นที่อาคิราห์พักอยู่
ร่างสูงสง่าได้สัดส่วนของผู้หญิงคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่หน้าประตูห้องนอนของอาคิราห์ ชายหนุ่มชะงัก จะหลบเข้ามุมก็หลบไม่ทัน สายตาคมกริบของคุณหญิงอารยาเหลือบมาเห็นเข้าเสียก่อน เธอนิ่งไปครู่ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปเงียบๆ
“เดี๋ยวก่อนครับ คุณหญิงมีธุระกับอาคิราห์ใช่ไหมครับ ...ทำไมไม่เข้าไปล่ะครับ”
“ไม่มีอะไร ฉันแค่แวะผ่านมาเฉยๆ” เธอตอบสั้นๆ “เชิญพักผ่อนตามสบาย”
พิชช์ฌานมองตามหลังไปอย่างไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้เขาเคยสังเกตเห็นแล้วว่าแม่ของอาคิราห์ไม่ได้สนิทสนมกับลูกชายคนเล็กอย่างที่ควรจะเป็น ตอนแต่งงานที่เป็นวันสำคัญที่สุดของลูก เขาก็ไม่เห็นว่ามารดาของฝ่ายนั้นจะมีท่าทียินดียินร้ายอะไร