ป ฐ ม บ ท ¬• จ้ า ว ธ า ร า
-๖-
กิ่งโลหะแตะกระทบเส้นสายที่ถูกขึงไว้หย่อนตึงไล่เรียงกันไปส่งเสียงหวานถี่ระรัวเป้นทำนองเพลงสรวล ดังกังวาลกระทบไปทั่วทั้งเรือน เสนาะเพราะจนคนฟังหลายต่อหลายคนต้องหลับตาลงปล่อยให้เนื้อเสียงนุ่มนวลนั้นไหลผ่านโสตประสาท คลอเคล้าเสียงขลุ่ยผิวแทรกเป็นจังหวะจากห้องหนึ่งสู่อีกห้องหนึ่ง
เด็กหนุ่มเหยียดหลังขึ้นตรง ขยับข้อมือซ้ายขวาพร้อมบรรเลงไปอย่างเชื่องช้า เขานึกขอบคุณเส้นเสียงเครื่องดนตรีชั้นดีที่แสนหวานล้ำ ยามลงมือบรรเลงจึงได้ความไพเราะเช่นนี้แม้ไม่ได้มากด้วยความสามารถมากมายก็ตาม
ทุกคนในที่นั้นนั่งกันสงัดนัก ปล่อยให้ห้วงทำนองไหลไปกระทบตามกิ่งไม้ไหว บรรยากาศเย็นสบายในยามเช้าชวนให้ต้องยิ้มออกมาเสียทุกผู้คน
จ้าวแสนตายังคงจับจ้องร่างโปร่งบางไม่วางตา
แม้กระนั้นแม่หญิงที่นั่งอยู่เคียงข้างก็มิปริปากขัดสิ่งใด
จวบจนกระทั่งดนตรีบรรเลงมาถึงท่อนจบ หนุ่มสาวทั้งสองจึงได้ขยับตัวหันมาเผชิญหน้ากันท่ามกลางสักขีพยานทั้งหมด โดยมีจ้าวโคจรเนี่ยแหละที่นั่งเป็นประธานโดดเด่น
พันวังเงยหน้ามามองเพียงชั่วครู่ แต่ก็จับรอยยิ้มฝืดฝืนของนายเหนือหัวตนเองได้
…ไม่เป็นไร…
…วันนี้…หลังจากที่ทุกอย่างเป็นไปตามประเพณี ความทรมานจึงจะสิ้นสุด ครั้งเมื่อโน้ตตัวสุดท้ายได้ถูกบรรเลงออกไป เสียงลมหายใจของทุกคนก็ดังออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน เด็กหนุ่มยกมือขึ้นจากขิม รวบวางไม้ไผ่ทั้งสองชิ้นวางไว้ด้านข้าง ปล่อยให้เส้นเสียงที่ยังคงสั่นอยู่นั้นกรีดร้องออกมาเพียงชั่วอึดใจ จึงค่อยยกมือไหว้
“ข้า อ้ายพันวัง แห่งพิจิตรนคร ขอถวายบทเพลงเมื่อครู่นั้นเป็นของกำนัลเนื่องในวันร่วมหอ แด่จ้าวแสนตาและแม่หญิงบุหลัน”
เขาระบายยิ้มกว้าง ให้สุขด้วยจากหัวใจ
“ขอให้ชีวิตคู่ของอ้ายพี่ทั้งสอง…งดงามดั่งเช่นในเนื้อเพลง”
จ้าวแสนจะระบายยิ้มบาง “ข้ายินดีนัก”
“เพราะมากจ้ะน้องพันวัง เจ้าประพันธ์เองรึ?”
“ขอรับ” เด็กหนุ่มถูแก้มแดงของตนเองไปมา “ข้ามิถนัดงานทางนี้นัก แต่ก็ทำสุดความสามารถ”
“ใยจึงถ่อมตนเช่นนั้นเล่า ข้าสิบอกว่าไพเราะนัก แรกนึกว่าเจ้ามีพรสวรรค์เสียอีก” แม่หญิงคนงามหัวเราะเบาๆ กวักมือเรียกให้เด็กหนุ่มลุกขึ้นไปหา “น้องพันวังสิช่างน่ารัก มิน่าเล่าทั้งจ้าวพี่แสนตาและจ้าวพี่โคจรถึงได้เอ็นดูนักหนา”
“พูดไปนั่น แปลว่าอ้ายพี่หญิงมิเอ็นดูข้าหรอกรึ?”
เด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นเง้างอด แต่ก็ลุกจากตั่งเข้าไปนั่งพับเพียบเทียบเคียงอยู่ด้านล่าง
คนฟังหัวเราะอีกครั้ง ท่าทางมีความสุขนัก
“เจ้าทำตัวเช่นนี้ จะมิให้ข้าเอ็นดูได้เยี่ยงไรเล่า”
“ชิชะสองคนนี้ อยู่ไปมิวายจะลืมข้าด้วยกันทั้งคู่”
อ้ายแสนตาหมุ่นคิ้วดุ แต่ท่าทางก็ไม่ได้จริงจังอะไรอย่างที่ปากว่า ซ้ำยังมีกระดกยิ้มมุมปากนิดๆประดับบนใบหน้าคมคาย วันนี้จ้าวแสนตาช่างดูมีราศีนัก อาจเพราะแดดอ่อนๆยามเช้าที่จับต้องบนผิวสีเข้มนั่น หรืออาจจะเพราะนี่คือจุดเริ่มต้นแห่งวันมงคลก็เป็นได้
แม่หญิงบุหลันอึกอัก “พูดกระไรน่ะจ้าวพี่แสนตา พันวังสิเป็นเหมือนน้องชายข้าแท้ๆ”
“หากมินานน้องพันวังเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มหล่อกล้า เจ้าสิพูดคำเดิมอยู่รึไม่?”
“บ๊ะ น้องชายก็คือน้องชายสิขอรับ อ้ายพี่แสนตานี่ขี้หึงขี้หวงนัก” ร่างโปร่งเง้างอด ตีหน้าขาอีกคนไปเสียที “พูดจาดูถูกข้ายังมิพอ กล้าสบประหม่าอ้ายพี่หญิงเสียอีก”
“เอ้า นี่ก็ลูกอีช่างตี” แสนตาตรวญครางแกล้งทำเป็นเจ็บ “ดูสิใครเป็นจ้าวเป็นบ่าวกันแน่”
พันวังแยกเขี้ยว “จ้าวชีวิตข้ามีเพียงจ้าวโคจรเท่านั้น รู้แล้วยังจะทำ”
“ป๊าดด ดูสิ ปากคอนี่น่าเอาขี้เถ้าอุดเสีย”
“ฮ่าๆๆ ข้าล้อเล่นหรอก”
“เอ้า ทางนั้นอย่ามัวเล่นหรอกกันอยู่เลย”
ผู้สูงวัยที่สุดกล่าวออกมา แล้วรีบโบกมือปัด
“หากชักช้าเกรงจะเสียฤกษ์เสียยามหมด เอ้า พันวัง..เจ้าสิถอยมานี่”
เด็กหนุ่มยังคงหัวเราะอยู่ แต่ก็คลานเข่าออกมาตามคำสั่ง..มองซ้ายมองขวา จ้าวพี่โคจรก็นั่งอยู่มิได้ไกลตัวนัก จึงเข้าไปนั่งพับเพียบอยู่ข้างม้านั่ง แล้วหันกลับไปทอดมองพิธีตรงหน้า
ทั้งสองหันไปกราบทิศใต้หนึ่งหน ทิศเหนืออีกหนึ่งหน แล้วจึงหันมากราบหน้ารูปภาพของท้าวรำไพ พ่อผู้ให้กำเนิดจ้าวทั้งสองอีกหนึ่งหน ก่อนหญิงสาวโน้มตัวกราบคู่ชีวิตที่หน้าตัก ท่ามกลางเสียงระนาดตีคลอเบาๆสร้างบรรยากาศนั้นเอง
เด็กรับใช้คลานเข่าถือหมอนสีแดงเลือดนกที่มีแหวนสีทองสองวงอยู่ตรงกลางไปให้ทั้งคู่สวมให้แก่กัน ท่าทางเก้อเขินมิน้อยด้วยกันทั้งคู่ ยินว่าอ้ายพี่แสนตามิเคยแตะเนื้อต้องตัวแม่หญิงบุหลันเลยสักหนด้วยซ้ำ ครานี้คงเป็นครั้งแรกที่คนทั้งคู่ได้ใกล้ชิดกันต่อหน้าประชาชีขนาดนี้
ยามเสร็จสิ้นพิธีสวมแหวน อ้ายพี่สหัสจึงได้ตะโกนออกมาลั่น
“หอมเลย! หอมเลย!” เท่านั้นแหละเสียงหัวเราะระร่วนก็ดังขึ้นมาจากรอบสารทิศ ไม่เว้นแม้แต่พันวังก็ด้วย
“หอมเลยอ้ายพี่แสนตา” เด็กหนุ่มร่วมตะโกนไปพร้อมกัน “หอมเลย!”
“หอมเลย! หอมเลย!”
“หอมเลย! หอมเลย!”
“หอมเลย! หอมเลย!”
“พวกเจ้าน่ะเงียบไปเลย!” อ้ายแสนตาแก้มแดงจนปลั่ง หันมาชี้หน้าใส่จระเข้ทั้งหลายเรียงตัว แต่แทนที่หลายคนจะนึกกลัว กลับทวีเสียงเฮฮาให้ดังขึ้นเพียงเท่านั้น
ชายหนุ่มโคลงศีรษะไปมา เหลือบสายตามอง ‘เจ้าสาว’ ของตนที่กำลังก้มหน้าเขิน จึงลอบผ่อนลมหายใจ…แล้วจับเชยคางมนให้เงยหน้าขึ้นมาสบตานิ่ง แล้วบรรจงจุมพิตลงที่ข้างแก้มเนียนอย่างที่กองเชียร์ทั้งหลายเรื่องร้องนักหนา
เท่านั้นแหละเสียงวี๊ดวิ้วผิวปากจึงได้ดังหนักกว่าเดิมนัก
“จ้าวแสนตาคนกะล่อน!”
“ชี่! หุบปากมิเป็นกันบ้างรึพวกเจ้าน่ะ” ชายหนุ่มว่า ยกมือชี้ปราดไปทั่วด้วยกิริยาเดิม “ดูสิ แสดงกิริยาห่ามๆเช่นนั้น…แม่หญิงของข้าสิอายม้วนหมดแล้ว”
“คนที่อายน่ะท่านจ้าวมิใช่รึ? ฮ่าๆๆๆ”
“ยังจะปากมากมิรู้ดี”
“เอ้า หยุดล้อเล่นกันได้แล้วหนุ่ม” อ้ายอินทรปรบมือเรียกสติให้ทุกคนลดเสียงลง “เสร็จพิธีแล้วจักได้ยกสำรับอาหารไปถวายพระแม่คงคาเสีย ส่วนนึงจึ่งนำไปถวายวัด คืนนี้ยังมีงานเลี้ยงฉลองใหญ่ พวกเจ้าก็อย่าลืมกันจนเผลอสนุกสนานกันแต่หัววันเล่า ไป ไปทำงาน”
“ขอร้าบบ”
ใครสักคนลากเสียงยาว เท่านั้นแหละเสียงหัวเราะจึงได้ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
พันวังเองก็ร่วมหัวเราะด้วย ความสุขบางอย่างเอ่อล้นออกมาจนแก้มแทบปริ..แม้กว่าครึ่งหนึ่งของหัวใจจะมิสู้ดีนักด้วยมัวแต่เฝ้าภาวนาให้ช่วงเวลานี้ผ่านไปเร็วๆ
ดวงตากลมโตมองกลับไปยังอ้ายพี่แสนตาและอ้ายพี่หญิง…ทั้งคู่ประคองมือทั้งสองไว้แนบกันพร้อมสบตาอยู่เสียเนิ่นนาน เห็นเป็นข้อพิสูจน์ชัดว่าจ้าวแสนตาคงมิได้ถนัดรับมือกับผู้หญิงจริงดังคำเล่าลือ แต่ก็ไม่ใช่ชายหนุ่มไร้เดียงสาเกินกว่าจะเข้าใคความหมายของการแต่งงาน..ที่จัดขึ้นเพื่อสืบเผ่าดำรงพันธุ์ต่อไป
ไม่นานนักคนข้างตัวก็ขยับบ้าง เด็กหนุ่มละสายตาจากคู่สามีภรรยานั้นขึ้นไปหาจ้าวเหนือหัวของตน ร่างสูงลุกเดินออกไปท่ามกลางบ่าวไพร่ที่ทยอยเก็บข้าวของ ตระเตรียมงานสำหรับในช่วงมื้อเย็น
เขามิได้หายไปอย่างรวดเร็วจนมิอาจทักท้วง
แผ่นหลังที่ค่อยๆเล็กลงนั่นไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆจนน่ากลัว
พันวังเองก็มิรู้จะพูดอย่างไรดี…นอกจากทอดสายตามองจ้าวพี่ของตนเดินกลับเข้าห้องไปอย่างเงียบงันเช่นนั้น แล้วจึงค่อยตัดสินใจลุกไปช่วยงานอ้ายอินทรบ้าง
…จ้าวพี่คงเสียใจมิใช่น้อย… เด็กหนุ่มรำพึงรำพันในใจ หอบกระจาดปลาไปตากที่ศาลาด้านหลัง
จริงอยู่ที่เขาภาวนาให้ทุกเรื่องมันจบสิ้นลงไปโดยเร็ว แต่เมื่อเห็นสีหน้าสลดสลัวท่าทางมัวหมองเช่นนั้น ก็อดที่จะนึกเสียใจกับความคิดของตนเองมิได้
…ใยใจเจ้าถึงเอาแต่ใจนัก มิห่วงความสุขท่านจ้าวหรืออย่างไร…
…ข้านี่ช่างเป็นบ่าวรับใช้ที่แย่เสียจริง… ว่าแล้วก็เงยหน้ามองไปยังเรือนหลับนอนของจ้าวโคจรเสียหนึ่งครั้ง เห็นชายม่านปลิวสไวจากขอบหน้าต่าง อากาศดีลมแรง
เช่นนี้หวังว่าจ้าวพี่คงจะรีบอารมณ์ดีโดยเร็วพลัน มิใช่เอาแต่ปั้นหน้าเรียบเฉย..ไม่ยิ้มไม่หือรือแบบที่เป็นหลายวันมานี้
…แบบที่คนมองไม่สบายใจเอาเสียเลย
= = = = = = = = = =
“จ้าวแสนตามีรับสั่ง ให้เปลี่ยนรายการอาหารวันนี้เป็นแต่ของที่จ้าวโคจรชอบ”
อ้ายอินทรกล่าวขึ้น ก่อนลอบถอนหายใจ
“ยิ่งดูวันนี้ท่านจ้าวอารมณ์มิสู้ดีนัก หน้าตาอมทุกข์อย่างไรชอบกล”
..เงียบ.. “ฤๅอาหารที่ใหม่นี่มิถูกปาก? อากาศวันนี้ก็ไม่ได้ร้อนนัก เมฆเยอะออกจะสลัวเสียทั้งวัน”
..เงียบ.. “อ้ายรดิน” ชายวัยกลางขึ้นเสียง “ข้าสิถามเจ้าอยู่ บักนี่..ทำเป็นเมิน”
เจ้าของนามกลืนกล้วยน้ำว้าลงคอ แล้วรีบหันมาทำท่าหน้าตาตื่น
“ชะอ้าว เจ้าถามข้าอยู่กระนั้นรึ?”
“ไม่ถามเจ้าคงถามกับเห็บไรแถวกกหูนี่อยู่กระมัง”
“จะไปรู้เสียที่ไหน ปกติท่านเคยเอาความอะไรมาถามความเห็นข้าบ้างเล่า…”
“เอ๊ะเจ้านี่ นายตัวป่วย มิห่วงบ้างรึไร?”
“ข้าสิทักไปตั้งแต่วันก่อน พอมาตระหนักดูก็อาจเป็นเพียงอารมณ์ท่าน” รดินตอบ ตีท่าทางคร่ำเครียดมิแพ้กัน “แปลกที่ต่างเมือง คงหงุดหงิดนัก”
“จะแปลกกระไร จะมาพักเรือนนี้หนแรกก็มิใช่”
“เอ้า แล้วข้าจะหาเหตุใดมาอ้างได้อีกเล่า”
อินทรฮึดฮัดไม่พอใจ ด้วยรู้ว่าปรึกษาไปก็คงไม่มีใครพอจะให้คำตอบของคำถามนั้นได้ “ข้าสิเกรงท่านจ้าวจักเป็นหวัด อีกไม่ช้านานอาจจะออกอาการสาหัส ล้มป่วยไปมากกว่านี้ทางเราคงสั่นคลอนมิใช่น้อย…จะทำอย่างไรดีกันเล่า?”
“อ้ายแม่พิกุลก็ไม่อยู่ให้ดูอาการ รึจะให้ข้าไปเรียนถามจ้าวแสนตาขอยารักษารึ?”
“ข้าไปเอง” พันวังโพล่งขึ้น
“ข้าจักไปเรียนอ้ายพี่แสนตา หากตามหมอหายูกยาได้ก็จักทำ”
ว่าแล้วก็ลุกพรวดออกจากแคร่ไม้ไผ่ไม่รอฟังคำทัดทาน ร่างโปร่งวิ่งผ่านเรือนบ่าวรับใช้ไปยังเรือนใหญ่ ซอยเท้าขึ้นกระไดตึกๆตักๆตรงไปหาอ้ายพี่แสนตาของตนถึงที่ห้อง
ตลอดทั้งวันที่ผ่านมาจ้าวโคจรมิรับสั่งสิ่งใด สำหรับอาหารกลางวันก็ขอให้จัดไปถวายถึงเรือนนอน ใครจะเข้าไปหาก็ไม่อนุญาตใดๆทั้งสิ้น รวมไปถึงคนสนิทอย่างพันวังก็ด้วย เพราะตนเองยังรู้สึกผิดอยู่บ้าง..จึงไม่กล้าเง้างอนปั่นปึ่งใส่อีกคน ไม่แม้กระทั่งจะเข้าไปอ้อนหาในยามนี้แบบที่ควรจะเป็น
หลังจากทูลความเสร็จ จึงได้หอบกันมาทั้งสองคนยังหน้าเรือนรับรอง พ่วงบ่าวใช้มาอีก2-3คนเป็นต้นเผื่อรองรับสถานการณ์
เด็กหนุ่มเหลือบสายตามองจ้าวแสนตาเพียงเล็กน้อย ซึ่งร่างสูงกว่าก็พยักหน้าให้สัญญาณ ก่อนมือเล็กจะค่อยบรรจงเคาะประตูบานใหญ่นั้นเบาๆ
ก๊อกๆๆ ..ไร้เสียงตอบรับ.. ก๊อกๆๆ “จ้าวพี่ขอรับ” พอได้เอ่ยชื่อไป ถึงได้รู้ว่ามันเบากว่าที่ตนตั้งจะจะเอื้อนเอ่ยนัก “จ้าวพี่โคจรขอรับ”
..เงียบ.. เมื่อไร้เสียงตอบกลับ เด็กหนุ่มจึงหันกลับมามองคนข้างหลังอีกเสียรอบหนึ่งด้วยใบหน้าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ คนมองเลยสะดุ้งใหญ่ สาวเท้าเข้าไปใกล้แล้วลูบหัวปลอบ
“มิเป็นไรดอกน้องพันวัง” แสนตากล่าว “จ้าวพี่ของเจ้าคงจะหลับอยู่กระมัง”
“ข-ข้าเกรงว่าจ้าวพี่เป็นแบบนี้จะไม่สบายเอา..”
“อ้ายโคจรสิแข็งแรงแค่ไหน เจ้าน่าจะรู้นัก ลมแดดอากาศเช่นนี้มิเป็นไรมากดอก เผลอๆตกค่ำจะได้ออกมาเริงรื่นหัวร่อ เรียกบ่าวใช้มาปรนเปรอด้วยซ้ำไป”
นั่นเป็นคำพูดที่พยายามทำให้ติดตลก แต่คนฟังมิได้ยิ้มตามไปด้วย
“ข้าขอโทษอ้ายพี่แทนจ้าวพี่โคจรด้วย”
สองมือประนม ซบลงบนอกกว้าง
“ทำให้เดือดร้อนเสียฤกษ์ในวันมงคล ฟ้าดินมิรู้จะเป็นเช่นไร”
“พอเทอด นี่เป็นเหตุสุดวิสัย” จ้าวแสนตายิ้มอ่อน “ข้ากับแม่หญิงไม่ได้ติดใจเรื่องนั้นนัก เกรงก็แต่กลัวอ้ายโคจรสิจะเป็นกระไรมาก ไว้ดึกค่ำค่อยมาใหม่ หากเตรียมอาหารถูกใจคงจะได้ยอมก้าวเท้าออกจากเรือน”
“ขอรับ..”
คนมองผ่อนลมหายใจเบาๆ “มาเทอดคนดี เหตุเพียงเท่านี้จะร่ำไห้ทำไมกันเล่า”
ร่างโปร่งยกมือเช็ดน้ำตาที่ข้างแก้มทันที ก่อนสูดลมหายใจฟืดกลั้นเสียงร้อง
“เหตุใดจึงขี้แยเช่นนี้เล่า” อีกคนหัวเราะเบาๆ โอบไหล่บางพาเดินลงไปที่ชานพักผ่อน “มิมีสิ่งร้ายใดเกิดขึ้นดอก พระแม่คงคาสิคุ้มครองเราอยู่ นั่น เห็นไหม”
ชายหนุ่มพาอีกคนเดินมาที่มุมชาน แลเห็นคลองใหญ่ที่ตัดผ่านหน้าบ้าน จึงชี้ไปที่แพสำรับอาหารรวมถึงดอกไม้ธูปเทียนที่เพิ่งจัดพิธีบูชาพระแม่คงคาไปเมื่อเช้า
“เหตุร้ายใดที่พึงจะเกิดจงปล่อยให้ไหลไปตามสายน้ำ นานหลายพันปีแล้วที่เราปล่อยให้เป็นเช่นนั้น” คนฟังทอดมองไกลออกไป แล้วพยักหน้ารับคำนั้นอย่างเลื่อนลอย
..หากค่ำคืนนี้จบลงเร็วๆเสียคงจะดี..= = = = = = = = = =
และแม้จะเป็นเช่นนั้น..ก็ไม่เห็นวี่แววของจ้าวพี่โคจรจะออกมาจากห้องแม้ตอนตกเย็นพลบค่ำ
บ่าวรับใช้ไปเคาะประตูก็มิมีเสียงตอบอันใด หนำซ้ำยังไม่มีใครหาญกล้าพอจะเปิดประตูเข้าไป ด้วยกลัวว่ารบกวนจ้าวยามที่หงุดหงิดคงมิใช่เรื่องดีนัก จ้าวแสนตาจึงสั่งให้เตรียมสำรับอาหารไปวางไว้หน้าประตูห้อง หากสหายรักของตนตื่นขึ้นมาจะได้ทานเสียตรงนั้น ไม่ต้องออกมาให้ลำบากใจ
งานเลี้ยงในตอนค่ำจึงเริ่มโดยไม่มีจ้าวโคจร
และแม้ว่าสถานการณ์เช่นนี้ทุกคนจะดูตึงเครียดไม่น้อย แต่ยามที่เหล้ายาเข้าปาก บทสนทนาเฮฮาก็ออกมาเคล้าบรรยากาศให้ได้อรรถรส
พันวังนึกขอบคุณฤทธิ์สุราอยู่มากกว่าพันรอบ ที่แม้จ้าวโคจรจะเสียใจ แต่อย่างน้อยเจ้าของงานอย่างอ้ายพี่แสนตาที่เขาผูกพันก็ยังสามารถยิ้มออกมาได้
จนกระทั่งตกดึกค่ำ อ้ายพี่สหัสที่เริ่มได้ที่แล้วจึงหยอกล้อ
“แล้วท่านจ้าวเล่าขอรับ ดึกดื่นมืดป่านนี้แล้วยังมิคิดอยากจะขึ้นหอบ้างหรอกรึ?”
เท่านั้นแหละคนถูกค่อนแคะจึงได้หยิบเม็ดถั่วมาปาใส่หน้า “เจ้านี่ก็ปากมากไม่หยุด”
“เอ้า ฉไนจึงดุข้าเช่นนั้นเล้า”
“จริงด้วยท่านจ้าว คืนแรกของวันแต่งงานนั้นสำคัญนัก ใยจึงไม่รีบเข้าไปเล่า”
“ข้าสิอดใจรอเห็นจ้าวตัวเล็กตัวน้อยมาวิ่งเล่นอยู่แล้วนะ”
“ไปเลย ไปเลย!”
“เผด็จศึกเลย!”
“ชะพวกเจ้า! มานี่เลย ข้าสิจะเตะให้เรียงตัว” ร่างสูงลุกพรวดชี้หน้าทั้งหน้าแดงก่ำ “ยกคำว่าล้อนายนี่บ่าวที่ไหนเค้าจักทำกัน”
“แล้วใยจึงมิรีบไปเล่า?”
สหัสร้อง
“ฤๅจะบอกจ้าวแสนตาผู้ยิ่งใหญ่แห่งอโยธยานคร…กลัวคืนแต่งงานกระนั้นรึ?” คำสบประหม่าเช่นนั้นทำเอาทุกคนหัวเราะร่วน
ก่อนชายหนุ่มจะตบเข่าฉาด พร้อมกระทืบเท้าไม่พอใจ
“พวกเจ้าสิยังมีหน้ามาว่าข้าอีกกระนั้นรึ? บางตัวแม้แต่จะสัมผัสกายสาวยังมิเคยด้วยซ้ำ จะตื่นประหม่าก็มิใช่เรื่องน่าประหลาดอะไรเสียหน่อย ซ้ำนี่ยังเพิ่งพ้นฤดูมามินาน จะให้ปลุกเร้าอารมณ์เข้าหอได้รวดรัดดั่งมนุษย์น่ะเป็นไปได้ที่ไหน”
สารพัดคำอ้างพวกนั้นไม่ได้ทำให้เสียงหัวเราะร่าพวกนั้นลดลงเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังทวีลั่นมาขึ้นอีกด้วยซ้ำ บ่าวรับใช้คนนึงลุกขึ้นไปรินของเหลวบางแล้วเดินกลับมาถวาย
คนจะกินหมุ่นคิ้วมอง “อะไรน่ะ?”
“ยาขอรับ” สหัสกล่าวตอบแทน “ดื่มเสีย จักได้คึกคักนัก”
“บ๊ะ อ้ายนี่…ปากมันน่า…เอ้า! น้องพันวัง! เจ้าก็ร่วมชวนหัวไปกับเขาด้วยกระนั้นรึ!!”
พอโดนดุเด็กหนุ่มเลยหุบปากฉับ แต่ก็กลั้นยิ้มเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
“หามิได้ขอรับ พวกข้าสิอดเป็นห่วงอ้ายพี่แสนตามิได้ แม้จะไม่ใช่การหลับนอนร่วมกันครั้งแรกกับอ้ายพี่หญิง ก็มิได้หมายความว่าจะเลี่ยงการขึ้นหอได้เสียหน่อย” พันวังรีบพูด พร้อมรอยยิ้มกว้าง “ดื่มยาเสีย แล้วทุกอย่างข้างในจะมาเองขอรับ”
คนฟังชี้หน้าควับ ขยับปากคาดโทษเป็นคำว่า ‘ข้าสิจะใช้กับเจ้าเป็นคนแรก’
..เคราะห์ดีที่ไม่มีใครเห็นตอนนั้น.. เจ้าของผิวสีเข้มดูฮึดฮัดขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยอมหันไปคว้าขึ้นมากระดกเสียหมดแก้ว แล้วกระแอมกระไอท่ามกลางสายตาสู่รู้ของคนมอง
“วู้ววว~ เก่งมากขอรับ”
“ทีนี้ก็ปล่อยไก่ลงชนได้แล้วเน้อ”
“ฮ่าๆๆๆๆ”
“พวกเจ้าสิจักหัวเราะกันอีกนานมั้ย? ลุกขึ้นมารำวงให้ข้าดูชมบัดเดี๋ยวนี้!”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วหมุ่น หงุดหงิดจนเลิกด่าเลยออกคำสั่งแทน แล้วก็นั่งลงที่เดิมเหมือนเคย ก่อนจะหันมากระซิบกระซาบกับพันวังที่นั่งเทียบอยู่ตั่งข้างเคียงกัน
“หากอ้ายโคจรมาด้วยคงจะสนุกมิเช่นน้อย ข้าสิภาวนาให้เจ้านั่นหายโดยไว”
“ข้าก็เช่นกันขอรับ”
“ฤๅเจ้าจักไปดูเสียหน่อย เกลี้ยกล่อมตะล่อมให้มันออกมาทีจะได้รึไม่?”
พันวังเลิกคิ้ว หันไปสบตา “แล้วถ้าหากข้าโดนตะเพิดออกมาเล่า”
“อ้ายนั่นเคยขึ้นเสียงใส่เจ้าที่ไหน จะห่วงไรไป น่า…เพื่อข้า”
“แล้วอ้ายพี่มิไปเองเล่า ข้าสิกลัวนายโกรธเป็นเหมือนกันนะขอรับ”
“เอ้า! เจ้านี่…นับวันยิ่งต่อล้อต่อเถียงกับข้านัก จะบิดปากเล็กๆนี่เสียให้เข็ด”
“โอ้ยไม่ พอแล้วขอรับ ข้าไปก็ได้”
ร่างโปร่งรีบเอี้ยวตัวหลบมือที่ยื่นเข้ามา แล้วหัวเราะคิกคักระริกระรี้ ก่อนเสียงเชียร์ลุ้นให้จ้าวแสนตาเข้าหอไปเสียทีจะดังตามมา ครานี้สิมาเป็นวงร้องรำทำเพลงสนุกสนาน ท่าจะเมาหนักขนาดเอาเรื่องจ้าวมาล้อเล่นกัน ซึ่งนายเหนือหัวตัวดีก็มิได้ว่าอะไร…นอกจากการอายม้วนต้วนให้ใครต่อใครผิวปากแซวกันต่อ
..ยังโชคดีที่อ้ายพี่แสนตามีความสุขนัก คงวางใจไปได้หนึ่งเปราะ
ความสัมพันธ์ของแสนตาและพันวังยังคงเป็นแบบเดิมเหมือนเช่นที่พวกเขาเคยเป็น คือเป็นห่วงเป็นใยกันฉันพี่น้อง แม้ว่าทั้งคู่อาจจะมีอาการเก้อเขินบ้างในบางเวลา…แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้แตะต้อง ฉวยจับโน่นจับนี่เหมือนก่อนหน้านี้
…เป็นระยะห่างที่ให้รู้สึกปลอดภัย แต่กระนั้นข้างในดวงใจก็ยังโหวงเหวงอย่างไรมิรู้
ซึ่งประเด็นนั้นคงตกไปเมื่อเขาใกล้จะได้เดินทางกลับพิจิตรในอีกสองวันข้างหน้า คำมั่นที่จะพาเด็กหนุ่มไปเที่ยวชมอโยธยานครก็เป็นอันตกไป ด้วยวันหนึ่งยุ่งวุ่นวายนัก จะปลีกตัวจากเสียก็เห็นมิได้
ซ้ำจ้าวโคจรยังมีอาการซึมเศร้าเช่นนี้อีก ใยจะจับลากไปเดินเล่นก็คงผิดที แต่ความกังวลมากกว่าที่พันวังจะรู้สึกเสียดาย
..ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจ้าวพี่โคจรจะเสียใจขนาดนี้
..ยิ่งย้ำก็ยิ่งช้ำในอกนัก ก๊อกๆๆ ร่างโปร่งมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้อง ออกแรงเคาะประตูเป็นรอบที่เท่าไหร่มิรู้ของวัน
..ไร้เสียงตอบกลับเช่นเดิม.. เด็กหนุ่มผ่อนลมหายใจสั้นๆ นึกท้อแท้ในอกอย่างบอกไม่ถูก แต่วินาทีที่กำลังจะกลับลำหมุนตัวเดินจาก..ดวงตาปราดมองไปเห็นสำรับอาหารมื้อเย็นที่ยังคงวางอยู่หน้าห้องโดยไม่มีท่าทีว่าจะมีใครเคยแตะต้องมาก่อน จึงได้ฉุกใจคิด
“จ้าวพี่” ว่าแล้วก้มลงไปจนเกือบติดประตู “จ้าวพี่ขอรับ พันวังเอง…ได้ยินรึเปล่าขอรับ?”
..เงียบ.. “จ้าวพี่โคจรขอรับ!” เขาออกแรงทุบประตูห้องอีกครั้งอย่างกระวนกระวาย “จ้าวพี่โคจร!”
..เงียบ.. พันวังรู้สึกในอกเต้นแรงนัก เขามองซ้ายมองขวาเผื่อหาคนแถวนั้นมาช่วย แต่ก็เปล่า นอกจากเสียงหัวเราะร่วนจากวงเหล้าที่อยู่ไกลๆแล้วก็ไม่มีเสียงอะไรอีก
จึงกลืนน้ำลาย แล้วตัดสินใจผลักบานประตูให้เปิดเข้าไป
“ขออนุญาตขอรับ!”
เช่นกัน
นอกจากเสียงเปิดประตูผลัวะนั้นแล้ว ไม่ได้ยินเสียงใดๆอื่นอีก
กลางอกเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆอย่างห้ามไม่ได้ ดวงตาปราดมองไปรอบเรือนนอนที่ว่างเปล่า..จ้องดูทุกจุดมากพอจะรู้ว่าไม่มีใครอยู่ข้างใน ทั้งเตียงที่เรียบสนิทราวกับไม่มีใครเคยนอนมาก่อน หน้าต่างก็เปิดเอาไว้..ปล่อยให้สายลมพัดผ้าม่านปลิวสไวโบกพัดหัวใจให้เย็นชืด
“จ้าวพี่…?”