ตอนที่๒๑...เวลาที่แตกต่าง...หากคนหนึ่งคนจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสองช่วงเวลา ทั้งอดีต และ ปัจจุบัน...จะเป็นไปได้ไหมที่เขาจะเลือกใช้ชีวิตอยู่ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง...เพียงช่วงเวลาเดียว...โดยไม่หวนกลับไปยังที่ที่จากมาอีกเลย...
"เมื่อยหรือไม่พ่อ"แว่วเสียงนุ่มถามขึ้น เมื่อเจ้าของร่างสูงที่กำลังนอนเหยียดตัวยาวอยู่บนม้านั่งของศาลาไม้สักริมท่าน้ำที่เรือนไม้ทรงฝรั่ง...หากแต่ถามขึ้นเพียงเพราะเขากำลังนอนหนุนตักของผมอยู่...ในมือยังคงกางหนังสือเล่มหนาเกี่ยวกับการบริหารการปกครองของแต่ละประเทศ...ท่าทีผ่อนคลายขัดกับหนังสือที่กำลังอ่านยิ่งนัก
"ไม่ครับ...แต่..."ผมส่ายหน้าตอบ...ไม่ได้เมื่อย แต่กังวลต่างหาก...อีกฝ่ายเพียงละสายตาจากหนังสือตรงหน้าขึ้นมองเป็นเชิงถาม
"ถ้าใครมาเห็นเข้า..."นั่นแหละปัญหา...ไอ้ศาลานี่ก็อยู่ริมน้ำ แล้วยังพวกบ่าวในเรือนอีก...ถึงแม้เจ้าคุณผู้เป็นเจ้าของเรือนจะไม่อยู่ก็เถอะ...อีกฝ่ายเพียงหัวเราะเบาในลำคอ
"กลัวรึ"น้ำเสียงยียวนชัดเจน แต่สายตากลับจดจ้องไปยังตัวหนังสือตรงหน้า
"ผมน่ะไม่เป็นไรหรอกนะครับ...แต่คุณหลวงนี่สิ"
"เรามิเห็นกลัว...พ่อธีร์จะกลัวอะไร"กลับมายังไม่ทันพ้นสามวันก็แหย่ผมเล่นเหมือนเดิมเสียแล้ว
"ถือเป็นการทำโทษ ที่คราวก่อนหนีเราไปเสียได้"เพิ่งรู้ว่าสมัยก่อนเขามีวิธีทำโทษแบบนี้ด้วย
"ผมไม่ได้หนี"ได้แต่บ่นด้วยความไม่พอใจ...ใครว่าหนีกันล่ะ...ไม่ได้อยากไปเสียหน่อย
"แล้วจะเล่าให้ฟังได้หรือยังเล่า"คราวนี้กลับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังจนผมนิ่งไป...หนังสือในมือถูกวางลงบนโต๊ะ พร้อมกับสายตาคมกริบที่ช้อนมองนิ่งเนิ่นนาน
...นับจากวันที่ผมกลับมาก็เพิ่งจะมีโอกาสได้พบกับเขาอีกครั้ง...เพียงเพราะงานที่กรมที่เขาต้องรับผิดชอบ และยังมีงานเลี้ยงท่านทูตที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าคุณทั้งสองให้ช่วยอีก...กว่าจะมีเวลาว่างได้ก็ผ่านไปสามวัน แถมยังบังคับให้ผมมาที่เรือนทั้งๆที่ไม่มีงานอะไรต้องทำแล้ว หากแต่คนตัวสูงให้เหตุผลกับเจ้าคุณจิตราว่าผมต้องมาช่วยดูงานที่เขาทำเอาไว้ในช่วงที่ผมไม่อยู่...ใครว่าหลวงพิสิษฐอ่อนโยน ใจดี และมีเหตุผล...ผมเถียงขาดใจ...ก็เขาน่ะ...ดื้อเงียบ และเอาแต่ใจเป็นที่หนึ่งต่างหากเล่า
"คุณหลวงอาจจะไม่เชื่อที่ผมเล่าก็ได้นะครับ"สบตาอีกฝ่าย...พอเอาเข้าจริงกลับไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน
"พ่อธีร์เพียงเล่า...แล้วเราจะบอกเองว่าเชื่อหรือไม่"คาดคั้นด้วยเสียงเรียบ หากแต่ผมรู้ว่าเขากำลังไม่พอใจ
การจะเปิดปากเล่าถึงเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผมแม้แต่น้อย...หากแต่เพราะรับปากคนตัวสูงเอาไว้ และไม่อยากให้ทุกอย่างมันแย่ไปมากกว่านี้อีกแล้ว...สองครั้งที่ผมหายไปโดยที่เขาไม่รู้เลยว่าผมไปไหน...มากไปกว่านั้นคือการที่ผมหายไปต่อหน้าต่อตาเขาในครั้งที่สอง...เป็นใครก็ต้องอยากรู้...
"ผม...ไม่ได้มาจากที่นี่"เพียงแค่เริ่มประโยค...คิ้วดกหนาของคนที่นอนหนุนตักอยู่ก็ขมวดมุ่น ราวกับมีคำถามมากมายอยู่ในใจ
"ที่ที่ผมอยู่...เค้าเรียกว่ากรุงเทพ"
"เรื่องนี้พ่อเล่าให้เราฟังแล้ว"คนตัวสูงแย้ง ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงวันนั้นที่ผมได้มีโอกาสคุยกับเขาจริงจังเป็นครั้งแรก
"ฟังให้จบสิครับ"โดนว่าเข้าเลยได้แต่นอนเงียบ
"กรุงเทพที่ผมอยู่..."สูดหายใจลึก...พลางมองหน้าอีกฝ่ายที่มีสีหน้าอยากรู้เต็มที
"คือพระนครในอีกร้อยกว่าปีข้างหน้า"คำตอบที่ทำเอานัยน์ตาคมเบิกกว้างอย่างตกใจ..คนตัวสูงลุกขึ้นนั่งตัวตรงแทบจะทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น
"พ่อว่าอะไรนะ!"
"ผม...มาจากอนาคต...ในปีพุทธศักราช๒๕๕๗"เขาเพียงสบตา ที่ทั้งนิ่งและไม่ไหวติงของผม...ราวกับกำลังคาดคั้นให้ผมพูดออกมา ว่าผมเพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น...แต่สายตาของผมคงตอบคำถามทั้งหมดได้ดี...ว่าผมพูดความจริงทุกคำ
"พ่อธีร์...นี่มิใช่เรื่องที่พ่อจะมาล้อเล่นกับเรานะ"มือใหญ่ยื่นมาจับแขนของผมแล้วเขย่าเพียงเบาๆ ราวกับกำลังเรียกสติของผมให้กลับมา...หากแต่เป็นเขาเองต่างหากที่ต้องการมัน
"ผมไม่ได้ล้อเล่น...วันนั้นคุณหลวงก็เห็น"คนตัวสูงขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย
"วันนั้นคุณหลวงเห็นอะไร บอกผมได้มั้ยครับ"
"เราเห็นพ่อธีร์ ถือสิ่งหนึ่งอยู่ในมือ แต่มันสว่างจ้าเสียจนเรามิรู้ว่ามันคืออะไร...แล้วพ่อก็หายตัวไปต่อหน้าเรา"อีกฝ่ายนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้นโดยที่ผมเพียงแค่พยักหน้ารับ
"มันคือที่ทับกระดาษบนโต๊ะไม้สักของคุณหลวงน่ะครับ...โต๊ะตัวที่อยู่ในห้องของคุณหลวงกับตัวที่อยู่ที่เรือนของเจ้าคุณจิตราทำให้ผมสามารถเดินทางย้อนเวลากลับมายังพระนครได้"
"เรามิเข้าใจ"
"เอาเป็นว่า...โต๊ะทั้งสองตัวนั้นเป็นตัวเชื่อมเวลาของที่นี่กับเวลาในโลกปัจจุบันของผม...และผมก็ต้องกลับไปเมื่อมันส่งเสียงเรียกอีกครั้ง"ความเงียบเข้าปกคลุม...อีกฝ่ายเพียงแค่นิ่งไปหากแต่นัยน์ตาคมฉายแววไม่เข้าใจอย่างเห็นได้ชัด
"ผมรู้ว่ามันยากที่จะเชื่อ...แต่ในเมื่อคุณหลวงถาม ผมก็ตอบตามความจริง...สิ่งที่จะสามารถยืนยันคำพูดของผมได้...ก็คงเป็นเพียงสิ่งที่คุณหลวงได้เห็นในวันนั้นแหละครับ"
"พ่อกำลังบอกเราว่า ที่พ่อหายไปวันนั้น พ่อกลับไปยังอนาคตเช่นนั้นรึ"คิ้วดกหนาขมวดมุ่น หากแต่ผมเพียงแค่พยักหน้ารับ
"แล้วทุกครั้งที่พ่อได้ยินเสียงเรียก พ่อก็ต้องกลับไปรึ"คำถามที่ถูกถามไม่หยุดหย่อน แต่คำตอบของผมก็มีเพียงคำเดียว
"ใช่ครับ"
"ไม่ไปไม่ได้รึพ่อ"แววตาคมสบนิ่งราวกับจะคาดคั้นเอาคำตอบ...คำถามที่ผมก็อยากตอบ เพียงแต่ผมเองก็ไม่รู้เช่นกัน...ที่ทำได้ก็เพียงหลบตาสวยคมคู่นั้น
"พ่อธีร์"น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกช่างต่างกับทุกครั้ง...ราวกับคนตรงหน้ากำลังร้องขอ...ไม่ใช่เพียงถามเพราะอยากรู้
"ผมไม่รู้"
นั่นคือสิ่งเดียวที่ผมตอบได้...และมันทำให้เขานิ่งไปเช่นกัน
"พระนครในอีกร้อยกว่าปีข้างหน้า เป็นอย่างไรหรือพ่อ"เมื่อเห็นว่าผมตอบรับในสิ่งที่เขาร้องขอไม่ได้ ก็ทำได้เพียงแค่เปลี่ยนเรื่องถาม...แว่วเสียงคนตัวสูงถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจ
"อย่างที่ผมเคยเล่าให้คุณหลวงฟัง...กรุงเทพสมัยนั้นเจริญก้าวหน้ามาก...เรามีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ไม่ว่าอยากจะทำอะไรก็ง่ายไปหมด"คนตัวสูงเพียงนั่งฟังอย่างเงียบๆ แววตาฉายแววสนอกสนใจในอนาคตของประเทศตัวเองอย่างเห็นได้ชัด
"แล้วสยามในเวลานั้นตกเป็นอาณานิคมของประเทศอื่นหรือไม่พ่อ"ผมส่ายหน้าตอบ
"ไม่ครับ...เรารักษาเอกราชเอาไว้ได้จนถึงตอนนั้น"รอยยิ้มปรายปรากฎบนใบหน้าของอีกฝ่าย
"แต่...เรากลับสูญเสียความเป็นตัวของเราเอง...เราหลงไหลไปกับวัฒนธรรมของต่างชาติ...ทั้งตะวันตก...อเมริกา หรือแม้แต่ญี่ปุ่นกับเกาหลี...เรารับค่านิยมจากชาติพวกนี้จนเราแทบไม่เหลือเอกลักษณ์ของตัวเอง"สีหน้าของเขาสลดลงอย่างเห็นได้ชัด...แน่ล่ะ ในเวลานี้บรรพบุรุษของเรากำลังต่อสู้อย่างหนักเพื่อรักษาไว้ซึ่งเอกราชของประเทศ เพื่อให้ลูกหลานในภายภาคหน้าได้สืบทอดเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของสยามไว้สืบชั่วลูกชั่วหลาน หากแต่ความจริงแล้ว ถึงแม้เราไม่เคยสูญเสียเอกราช...แต่ในทางนามธรรม เราไม่เหลือแม้แต่เอกราชของชาติเอาไว้ให้ลูกหลานได้สืบทอดแม้แต่น้อย
"โธ่ น่าเสียดายยิ่งนัก"ผมเห็นด้วยกับคำพูดนี้...มันน่าเสียดาย...โดยเฉพาะเมื่อผมได้มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่ชาวสยามทุกคนพยายามรักษาบ้านเมืองเอาไว้...เวลาที่ศิลปะ วัฒนธรรมของเรา ยังคงโดดเด่นจนแม้แต่ชาวต่างชาติเองก็ยังทึ่งในความงดงาม
"แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เหลือซะทีเดียว ยังมีกลุ่มคนบางกลุ่มที่พยายามอนุรักษ์และรักษาวัฒนธรรมของเราไว้เพื่อให้ลูกหลานในภายภาคหน้าได้ศึกษาเรียนรู้"
"แต่ก็น้อยเหลือเกิน"คำพูดของเขาทำให้ผมเพียงแค่พยักหน้าตอบ
"คุณหลวงเคยบอกว่าอยากเห็นกรุงเทพ...ตอนนี้คงไม่อยากเห็นแล้วสินะครับ"ผมยังจำคำพูดของเขาวันนั้นได้ดี...เขาดูตื่นเต้นกับสิ่งที่ผมเล่า นั่นเพียงเพราะเขาไม่รู้เลยว่ามันคือสถานที่เดียวกัน หากเพียงต่างกันด้วยเวลาร้อยกว่าปีกั้น
"อยากเห็นซี...เราอยากเห็นว่าต่อไปภายภาคหน้าชาวสยามใช้ชีวิตกันเยี่ยงไร...แต่ช่างน่าเสียดายที่ศิลปะวัฒนธรรมอันงดงามของชาวสยามได้เลือนหายไปเสียเกือบหมด"
"สยามในตอนนั้น ต่างกับเวลานี้มากเหลือเกินครับคุณหลวง"ผมไม่อยากเห็นสีหน้าหดหู่เช่นนี้ของเขาแม้แต่น้อย หากแต่สิ่งที่ผมเล่ามันคือความจริงที่แม้แต่ตัวผมเองก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันช่างต่างกันมากเหลือเกิน
"พ่อธีร์"เสียงนุ่มเอ่ยเรียกอีกครั้ง
"ไม่กลับไปมิได้หรือพ่อ"น้ำเสียงเว้าวอนนั้นทำให้ผมต้องเบือนหน้าหนี หันไปมองภาพแม่น้ำสายหลักตรงหน้าแทน
"อยู่กับเราที่นี่มิได้รึ"ผมกำมือแน่น...ทำไมผมจะไม่อยากอยู่ที่นี่...หากแต่ผมไม่ใช่คนควบคุมกลไกทั้งหมดนี้...แล้วผมจะให้คำตอบอะไรได้...มือใหญ่เอื้อมมาแตะมือข้างที่กำแน่นของผมเอาไว้เพียงแผ่วเบาราวกับรับรู้ว่าผมกำลังหนักใจ...ผมได้ยินเสียงถอนหายใจยาวจากคนตัวสูงอีกครั้งเมื่อไม่ได้รับคำตอบใด
"เราขอโทษที่ทำให้พ่อเป็นกังวล"ผมคลายมือออกแล้วกุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้แทน...ไม่ว่าเมื่อไหร่ เขาก็ทำให้ผมผ่อนคลายได้เสมอ
"ถ้าผมเลือกได้..."
"ผมก็อยากอยู่ที่นี่ตลอดไปครับ"หากผมสามารถขอพรได้หนึ่งข้อ...ขอให้ผมได้สมปรารถนาได้หรือไม่...
"เราช่างเห็นแก่ตัวยิ่งนัก...ขอให้พ่ออยู่กับเรา ทั้งที่พ่อเองก็ต้องมีคนที่เป็นห่วงอยู่ทางนั้น"คนที่เป็นห่วง...ก็คงมี...หากแต่คนตรงหน้านี้ ก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าใคร
"ถ้าคุณหลวงเห็นแก่ตัว...ผมเองก็คงเห็นแก่ตัวไม่น้อยไปกว่าคุณหลวงหรอกครับ"มือที่ยังเกาะกุมกันอยู่สั่นเล็กน้อย...ยิ่งได้กลับมา...ผมก็ยิ่งรู้ตัวเองว่า ผมอยากอยู่ที่นี่มากขนาดไหน...ไม่ใช่เพียงเพราะคนตรงหน้า...แต่เป็นเพราะทุกสิ่งรอบตัวมันทำให้ผมรู้สึก...ว่าผมได้ค้นพบที่ของตัวเองเสียที
"ไม่คิดแล้วนะพ่อ...เราขอโทษ"ยกมือขึ้นลูบผมเพียงแผ่วเบาราวกลับจะปลอบโยน...อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องขอโทษเลยแม้แต่น้อย...ผมเองต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายพูดคำนั้น...เพราะมันคือผมเอง ที่ทำให้เขาไม่สบายใจหลายต่อหลายครั้ง
"ขอบคุณคุณหลวงมากนะครับที่ช่วยพูดกับทุกคนให้พวกผม"หันกลับไปสบตาอีกฝ่ายนิ่ง...หากไม่ได้เขา ผมคงไม่พ้นถูกผู้ใหญ่ดุเสียเป็นการใหญ่...อีกฝ่ายเพียงยิ้มบางๆรับ
"เกรงว่าจะถูกดุเหมือนคราก่อน"ว่าพลางทิ้งตัวลงมานอนหนุนตักผมอีกครั้ง...เอื้อมมือไปหยิบหนังสือเล่มเดิมขึ้นมาเปิดอ่านต่ออย่างสบายใจ...แต่ผมรู้ว่าเขายังคงมีอะไรติดอยู่ในใจอีกมาก...ผมเองก็เช่นกัน
"ว่าแต่...ตอนที่ผมไม่อยู่ คุณหลวงแต่งกลอนไว้ให้ผมรึเปล่าครับ"ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ก่อนจะถามออกไป...ส่วนหนึ่งเพราะไม่อยากเห็นคนตรงหน้าเป็นกังวล...อีกฝ่ายเพียงแค่ยิ้มปรายตอบกลับมา
"มิได้เขียน"
"แล้วกัน...ไหนบอกว่าจะเขียนให้ทุกวัน"ผมขมวดคิ้วมองหน้าอีกฝ่ายที่กำลังกลั้นหัวเราะกับท่าทางไม่พอใจของผม
"มิได้พูดเสียหน่อย พ่อธีร์พูดเองเออเองอยู่ฝ่ายเดียว"แล้วไหงมาโบ้ยว่าเป็นความคิดผมคนเดียวเสียล่ะ
"ถ้างั้นคงต้องอ่านที่มีอยู่ซ้ำไปซ้ำมาอีกแล้ว"เบือนหน้าหนีไปอีกทางเมื่อเห็นรอยยิ้มยียวนของอีกฝ่าย ราวกับกำลังถูกแกล้ง
"บอกว่าไม่ได้เขียน มิได้บอกว่าไม่ได้แต่งให้เสียหน่อย"คำตอบที่ทำให้ผมตาลุกวาว หันกลับไปมองคนตัวสูงที่ยังยิ้มปรายให้อย่างอารมณ์ดี...ก่อนที่ริมฝีปากหยักหนาได้รูปจะขยับเอื้อนเอ่ยคำกลอนเพียงแผ่วเบา หากแต่ทำให้ผมคลี่ยิ้มออกมาได้
'แว่วเสียงครวญของนธีร์ว่าคิดถึง
ให้คำนึงถึงน้องที่ห่างหาย
หากแม้นเจ้าได้ยินเสียงหัวใจ
พี่ฝากไปกับสายลมบอกเจ้าที
วอนนธีร์ให้หวนคืนมาอีกครั้ง
จักไม่พลั้งเผลอปล่อยเจ้าให้หายหนี
จักโอบกอดแนบชิดสายนธีร์
วอนน้องพี่ช่วยดูแลดวงหทัย'
ราวกับเสียงกล่อมอันนุ่มนวลคลอกับสายลมเอื่อยยามเย็น...แม้เขาไม่ได้เขียนมันเป็นลายลักษณ์อักษร หากแต่ทุกถ้อยคำกลับสลักลงในใจของผมไม่จางหาย...คนตัวสูงเพียงหลับตาแล้วขับกล่อมกลอนเพียงแผ่วเบาแต่กลับชัดเจนในทุกถ้อยคำ...
"ตอนที่พ่อไม่อยู่ เราฝันถึงพ่อบ่อยครั้ง"หนังสือเล่มหนาในมือถูกกางพาดไว้บนอก...มือใหญ่เอื้อมมาจับมือของผมเอาไว้
"ฝันว่าอะไรครับ"ผมขมวดคิ้วมุ่นกับคำบอกเล่าจากอีกฝ่าย
"ฝันว่าพ่อคิดถึงเรา"รอยยิ้มยียวนปรากฎบนใบหน้าทำเอาผมชะงักกึก
"คุณหลวงคิดไปเองนะครับ"ผมหัวเราะเบาในลำคอ...จริงอยู่ที่เขาฝัน...แต่เรื่องอะไรผมจะยอมรับง่ายๆเสียล่ะ
"จริงรึ...แต่เราได้ยินเสียงพ่อธีร์ชัดเจนทีเดียว...พ่อบอกเราว่า..."ยกยิ้มมุมปากก่อนจะช้อนตามองผมนิ่ง
"ธีร์คิดถึงพี่แก้ว"
คำพูดที่ทำเอาหน้าร้อนวูบขึ้นมาทันที...นี่มันเหลือเชื่อ...ผมเคยได้ยินเสียงของเขาบ่อยครั้ง...แต่ไม่เคยคิดเลยว่าคำพูดของผมที่พร่ำบอกกับตัวเองอยู่ทุกวัน...เขาจะรับรู้มันเช่นกัน
"ไม่เคยพูดซักหน่อย"เสตามองไปทางอื่น ทั้งที่รู้ตัวเองว่าปิดอย่างไรก็คงไม่มิด
"แล้วกัน เราคิดถึงพ่ออยู่คนเดียวหรือนี่"แล้วไอ้น้ำเสียงน้อยอกน้อยใจนี่ใครเขาสอนกันมาครับหลวงพิสิษฐ
"พูดให้ฟังอีกครั้งได้หรือไม่พ่อ"มือใหญ่ที่จับอยู่กระตุกมือผมเบาๆให้ผมหันกลับมามอง
"พูดอะไรครับ"ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แก้เขินไปอย่างนั้น
"พูดอย่างที่พ่อพูดให้เราฟังในฝัน"
"ฝันของคุณหลวงผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าผมพูดอะไร"
"เราเพิ่งบอกพ่อไปเมื่อครู่"ยังคงคาดคั้นไม่หยุดหย่อน...ช่างเอาแต่ใจเสียจริง
"งั้นคุณหลวงก็ได้ยินแล้ว"แต่จะให้ยอมตอนนี้ไม่มีทางเสียล่ะ...คนตัวสูงเพียงแค่ชักสีหน้าเล็กน้อยพอให้รู้ว่าไม่พอใจ...ทำเอาผมที่กำลังเก๊กหน้าขรึมแทบหลุดหัวเราะออกมา ก่อนที่เขาจะหยิบหนังสือเล่มหนาขึ้นมาอ่านตามเดิม...น้อยใจเป็นกับเขาเหมือนกันนะหลวงพิสิษฐ
"ธีร์คิดถึงพี่แก้วครับ"ทั้งๆที่เป็นคนพูดเองแต่กลับมานั่งเขินเอง ไม่ไหวเลยครับไอ้ธีร์...แอบเห็นคนตัวสูงยิ้มปรายบางๆแต่ยังไม่ละสายตาจากหนังสือตรงหน้า...มือใหญ่ยังคงเกาะกุมมือของผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
"แต่ตอนนี้ธีร์ต้องกลับเรือนแล้วครับคุณหลวง"พยายามขืนตัวเล็กน้อยเป็นการเตือนอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าตอนนี้เย็นมากแล้ว...อีกไม่นานเจ้าคุณไพศาลคงกลับมาถึง...และคงไม่ดีแน่หากท่านมาเห็นภาพตรงหน้า
"ใครว่าจะให้กลับเล่า"คำตอบที่ทำให้ผมขมวดคิ้วแน่น...อีกฝ่ายลุกขึ้นนั่งก่อนจะส่งยิ้มยียวนมาให้เช่นเคย
"มิได้เจอเสียหลายวัน จะใจร้ายทิ้งเรากลับเรือนได้ลงคอเชียวหรือพ่อ"ใครก็ได้บอกผมทีว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี่คือหลวงพิสิษฐตัวจริงเสียงจริง...ไม่ได้ถูกวิญญาณเด็กน้อยเอาแต่ใจที่ไหนมาสิงร่าง
"แต่เจ้าคุณจิตรา..."กำลังหาข้ออ้างร้อยแปด
"เราเรียนเจ้าคุณท่านแล้วว่าพ่อจะค้างที่นี่เพราะงานยังมิเสร็จดี"แล้วไปแอบบอกกันตอนไหนเล่า!
"แต่พรุ่งนี้คุณหลวงต้องตื่นเช้าเข้ากรมไม่ใช่เหรอครับ"พรุ่งนี้เป็นวันจันทร์เขาควรจะต้องเข้ากรมทำงานสิ
"วันพรุ่งตอนบ่ายเราต้องไปทำงานให้เจ้าคุณไพศาล ท่านขอตัวเราจากกรมไว้แล้ว"
"พ่อมีอะไรจะถามอีกหรือไม่"รอยยิ้มกวนของอีกฝ่ายทำเอาผมอยากจะหยิบหนังสือเล่มหนาในมือเขาขึ้นมาฟาดหน้าเสียให้...ถ้ารู้ว่าจะต้องมาค้างผมไม่ยอมหลวมตัวมาแต่แรกหรอก...ถึงผมจะเป็นผู้ชายแต่ก็รักนวลสงวนตัวเหมือนกันนะครับ
"กลัวเรารึ เราเคยบอกพ่อแล้วว่าเรามิทำอะไรพ่อหรอก"ก็รู้อยู่ว่าไม่ได้ทำอะไร
"หากพ่อมิยอม"ยกยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดี...ส่วนผมน่ะเหรอ
"คุณหลวง!"ก็หยิบหนังสือในมือนั่นฟาดเข้าให้ดังพลั่กน่ะสิ!...ใครมันจะไปยอมวะ...ก็ผมยังไม่เคย...ไม่ใช่!...พอเถอะครับ ชักจะไปกันใหญ่แล้วความคิด
"พ่อธีร์นี่ตลกนัก ฮะๆ"ยังหัวเราะร่วนอยู่ได้...โดนฟาดไปทีนึงเห็นทีจะไม่เข็ด ถึงกับต้องยกมือขึ้นมาป้องตัวเองเมื่อเห็นผมตั้งท่าจะฟาดให้อีกรอบ แต่ก็ยังไม่หยุดหัวเราะ
"พอแล้วพ่อ เราเจ็บ ฮะๆ"ก็หยุดหัวเราะคิกคักแบบนี้เสียทีสิวะ
"อยากให้พ่ออยู่ด้วย...มิได้รึ"ไม่พูดเปล่ายังยื่นหน้าเข้ามาถามเสียชิด...น้ำเสียงยียวนกับรอยยิ้มกวนนี่ผมว่าผมได้เห็นมันบ่อยเกินไปแล้วนะ
"ก็ไม่ได้บอกว่าไม่ได้ซักหน่อย"ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียง...ยอมให้วันหนึ่งก็ได้...แค่เพราะขี้เกียจจะเถียงด้วยเท่านั้นนะครับ ไม่มีอะไรอย่างอื่นจริงๆ!
...ยิ่งได้มาใช้เวลาอยู่ตรงนี้มากเท่าไหร่...ผมก็ยิ่งรู้ตัวว่าผมมีความสุขมากขนาดไหน...ถึงจะโดนแกล้งโดนแหย่สารพัด แต่มันกลับทำให้ผมหัวเราะออกมาได้บ่อยครั้ง...อย่างตอนนี้ที่เป็นอยู่...ผมรู้ว่าคงไม่มีใครเข้าใจ...แน่ล่ะ...ผู้ชายคนหนึ่งที่สามารถเดินทางข้ามเวลาได้...เพื่อได้มาพบกับผู้ชายอีกคน...มันตลกนะครับ...แค่ในโลกปัจจุบันการใช้ชีวิตแบบนี้มันก็ยากพอแล้ว...แต่ผมนี่ทั้งต่างที่ ต่างเวลา...ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็ไม่เห็นแม้แต่แสงสว่างของทางออก...แต่ผมก็ยังยืนยันคำเดิม...ขอให้ผมได้อยู่ตรงนี้ให้นานที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้...
...เพราะผมอยากเห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้านี้ไปอีกนาน...
.
.
.
วันนี้ป้าชื่นทำแกงเลียงกับน้ำพริก...ผมเห็นลวดลายสลักบนผักเคียงแล้วแทบกินไม่ลง...เพราะมันวิจิตรงดงามจนผมเสียดายหากต้องกินมันเข้าไป...นี่เพียงแค่บ่าวในเรือนธรรมดายังมีความสามารถมากขนาดนี้...ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชาวต่างชาติถึงได้ทึ่งกับฝีมือทำอาหารของคนไทยนัก เพราะมันครบเครื่อง ทั้งรูป รส และกลิ่นนี่เอง...ถ้าเป็นเวลาปัจจุบันของผม คงจะสรรหาความงามครบเครื่องแบบนี้ได้ยาก...แต่การมาอยู่ที่นี่มันทำให้ผมรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ผมสามารถหาดูได้ทุกวัน