[ต่อ2]
กลิ่นหอมของปลาย่าง ปลุกให้คนที่นอนใต้เพิงไม้ลืมตาตื่น ท้องประท้วงหนัก จนคนที่กำลังย่างปลาอยู่หันมามองด้วยยิ้มขำ
“ตื่นแล้วหรือ ปลาใกล้สุกแล้วล่ะ อีกเดี๋ยวคงกินได้”
คนฟังแกล้งขยี้ตากลบเกลื่อนความอับอายกับเสียงท้องที่ไม่ไว้หน้าตนเลย พยักหน้าว่าเข้าใจอย่างส่งๆ
กนต์ธรรู้สึกเหนียวเหนอะตัว อยากอาบน้ำเหลือเกิน แต่มันคงลำบากเกินไป เพราะเขาอยู่ในสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยถนัดเลย
เทพหนุ่มถือไม้ที่เขาใช้เสียบปลาตัวขนาดเท่าฝ่ามือส่งให้คนที่กำลังยกไม้ยกมือลูบคอตัวเองด้วยสีหน้าที่หงุดหงิด
“อะ สุกแล้วล่ะ...เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า หน้าเจ้าดูไม่ค่อยดีเลย”
“ขอบคุณ” มือเรียวรับอาหารมาถือไว้ในมือ ปากบางขมุบขมิบบอกเบาๆ
“ข้าไม่ค่อยสบายตัวน่ะ”
“เจ้าอยากอาบน้ำ?”
“เอ่อ..ข..ข้า..”
“กินเสร็จแล้ว เดี๋ยวข้าพาไป”
“หือ? ข้าไม่เป็นไรหรอก ข้าแค่...”
“คืนนี้เจ้านอนไม่หลับแน่ถ้ายังไม่ได้อาบน้ำ เชื่อข้าเถอะ เพราะข้าก็จะไปอาบเช่นกัน”
“อืม”
อาโปยิ้มอย่างพอใจในคำตอบของอีกฝ่าย เขากลับมาจัดการอาหารของเขาต่อ เนื้อปลาย่างนี่รสชาติดีกว่าที่เขาเคยกินเสียอีก
คนตัวโตหารู้ตัวไม่ว่าใบหน้าเปื้อนยิ้มของตนนั้นดึงดูดให้อีกคนมองเขาด้วยสายตาเช่นไร
อาหารที่เขาไม่ได้ลิ้มรสมานาน ทำให้เจ้านกหนุ่มกินเหลือเพียงแค่ก้างเท่านั้น ทำเอาคนทำให้กินยิ้มแก้มปริ
“ไปกันเถอะ”ตาเรียวเบิกกว้าง เมื่ออาโปช้อนเอวเขาสู่อ้อมแขนกว้างโดยไม่ทันตั้งตัว แขนเรียวตวัดคล้องคอชายหนุ่มอย่างไว มองอีกฝ่ายด้วยความเกรงใจ
“เดี๋ยวข้าใช้ไม้เท้าที่เจ้าหามาให้ก็ได้ ปล่อยข้าลงเถอะ” กนต์ธรบอกด้วยสีหน้าลำบากใจ
“หากใช้ไม้เท้า แล้วจะถึงลำธารเมื่อใดกันเล่า? ข้าอุ้มไปไม่นานก็ถึงแล้ว เจ้าไม่ต้องเกรงใจข้าหรอก” อาโปบอกด้วยท่าทีสบายๆ นั่นทำให้เจ้านกหนุ่มจำยอมแต่โดยดี
“ก็ได้...หากเจ้าอุ้มข้าไม่ไหวก็ปล่อยข้าลงนะ”
“อืม” ร่างสูงยิ้ม คนมองใจสั่นเมื่อเผลอมองยิ้มนั้นอย่างไม่ตั้งใจ กนต์ธรไม่อยากให้ตนเองต้องทำอะไรแปลกๆออกไป จึงซบหัวลงบนอกของอาโปเพื่อว่อนแววตาของตนเองอย่างหวั่นใจ
แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังเห็นยิ้มของอาโปอยู่ดี เพราะมันคงฝังเข้าไปในหัวของเขาเสียแล้ว
เมื่อถึงจุดหมาย ร่างสูงก็จัดการถอดเสื้อผ้าทั้งของตนเองและของหนุ่มอีกคนออก จากนั้น อาโปก็เดินลงไปในน้ำแล้ววางคนเจ็บลงบนก้อนหินขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างจากริมลำธารประมาณสามเมตร น้ำสูงขนาดช่วงเอวของอาโปพอดี
ชายหนุ่มคอยวักน้ำ รินรดลงบนตัวของกนต์ธรแล้วขัดถูให้อีกฝ่ายอย่างตั้งใจ ทั้งที่คนเจ็บนั้นคอยปัดป้องไม่ให้เขาคอยช่วย แต่เขาอาสาทำให้ด้วยความเต็มใจ โดยให้เหตุผลว่าเขามีน้องชายหลายคน อาบน้ำให้กันก็บ่อย เรื่องแค่นี้สบายมาก ซึ่งคนเจ็บก็ต้องยินยอมแต่โดยดี เมื่อไม่ว่าจะบอกเช่นไร ชายหนุ่มตรงหน้าก็ต้องหาเหตุผลมาหักล้างเขาจนได้
เนื้อตัวขาวเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อปรากฏต่อหน้าอาโป ชายหนุ่มคิดว่าเขาคงจะขัดตัวอีกฝ่ายแรงไป จึงเบามือขึ้น ไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าอีกฝ่ายนั้นเขินอายเพียงใด ที่เกิดมาทั้งชีวิตเพิ่งจะมีใครได้แตะต้องตัวเขาได้มากขนาดนี้
เมื่ออาบน้ำจนชุ่มปอดทั้งคู่ก็พากันกลับที่พัก ในตอนตะวันตกดินพอดี อาโปก่อฟืนหน้าเพิงไม้ ทั้งคู่นั่งข้างกัน มองแสงไฟตรงหน้าด้วยอารมณ์แตกต่างกัน
“นานแล้วที่ข้าไม่ได้มานั่งตรงนี้ มันแปลกดีนะ ที่ข้าไม่ได้รู้สึกเหมือนครั้งก่อน” กนต์ธรเพ้อออกมาเป็นคำพูดที่ชวนให้อีกคนหันมาถามอย่างสนใจ
“เหตุใดเจ้าจึงเอ่ยเช่นนั้น? เจ้ามิได้อยู่ที่นี่ประจำหรอกรึ?”
เมื่อได้สติ เจ้านกหนุ่มก็กลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มเก้กัง
“ห..หากข้าไม่อยู่ที่นี่แล้วข้าจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ เจ้าก็ถามแปลกนะ” ตาเรียวตวัดมองคนถาม
“ก็เจ้าพูดเหมือนว่าเจ้าเพิ่งจะกลับมาอยู่ที่นี่ ข้าก็เลยสงสัย...ความจริงข้าก็ชักสงสัยว่าเหตุใดเจ้าจึงอยู่ที่นี่เพียงลำพังได้มาถึงขนาดนี้ ทั้งที่เจ้าบอกว่าใครก็ตามที่เข้ามาในป่าแห่งนี้ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องตาย...แล้วเจ้าทำไมถึงได้อยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ได้ล่ะ”
กนต์ธรอึ้งกับคำถามที่เขาไม่ได้เตรียมคำตอบมาก่อน ร่างบางขยับตัวออกมาห่างอาโปอย่างอึดอัด เขาถอนหายใจ กุมมือตัวเองแน่น สมองครุ่นคิดหาคำตอบที่ดูดีและมีความเป็นไปได้ที่สุด สองตาลอกแลกเมื่อร่างสูงมองเขาอย่างจับผิด
“ข..ข้า ไม่รู้จะเริ่มต้นเช่นไร ข้าไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังมาก่อน” สีหน้าลำบากใจของกนต์ธร ทำให้คนที่จ้องอยู่ค่อยๆคว้ามือที่เขาบีบกันเสียแน่นออกมากุมไว้
สองมือใหญ่ของอาโปกุมมือเรียวไว้อย่างอ่อนโยน ยิ้มใจดีถูกส่งให้คนที่มองเขาด้วยสายตาตื่นตะลึง
นกหนุ่มกลืนน้ำลายเมื่อเผลอมองยิ้มนั้นอย่างเผลอใจ นานแล้วที่เขาไม่ได้รับความอบอุ่นจากใครเช่นนี้ เมื่อรับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่อีกฝ่ายส่งมาทางการสัมผัสที่นุ่มนวล คำบอกเล่าจึงพรั่งพรูออกมาจากปากบาง
“ความจริงข้าไม่ได้อยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรกหรอก พ่อแม่ของข้ารับจ้างหาของป่าไปให้พวกคนเมืองน่ะ ข้าในตอนนั้นอายุแค่ห้าขวบก็ตามพ่อแม่มาด้วย พวกท่านมักเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อย จนกระทั่งมาถึงที่นี่ ..ที่ที่พวกท่านมาเป็นที่สุดท้ายในชีวิต...”
กนต์ธรในวัยเยาว์นั้น สดใสร่าเริง บิดามารดาต่างรักใคร่เอ็นดู พ่อแม่ของเขาเป็นคนชอบการผจญภัยในป่า การหาของป่านั้นสร้างรายได้ได้ค่อนข้างดีทีเดียว
เป้าหมายที่พ่อแม่เขาหานั้นคือกล้วยไม้ป่าพันธุ์หายาก มีสรรพคุณคือสามารถนำมาสกัดเป็นยารักษาโรคภัยต่างๆให้หายได้ในเร็ววัน แต่วันนั้นคงเป็นโชคร้ายของพวกเขาที่นอกจากจะหาไม่เจอ ในตอนค่ำคืนกลับต้องเผชิญกับพายุโหมกระหน่ำทั้งที่ตอนกลางวันฟ้านั้นแจ้งสดใส เขาในตอนนั้นหวาดกลัวต่อเสียงฟ้าผ่า ฝนซัดสาดตัวจนเจ็บตัวไปหมด พ่อแม่ของเขาพยายามหาที่กำบังให้ แต่ด้วยแรงลมที่พัดอย่างไม่ปรานี ได้พัดพาร่างของพ่อหายไปท่ามกลางสายฝนที่ตกไม่ลืมหูลืมตา แม่เป็นห่วงพ่อมากจึงบอกให้เขารออยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ แล้วท่านก็ออกไปตามหาพ่อ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไม่กลับมาหาเขาอีกเลย
เขานั่งร้องไห้เฝ้ารอนานเท่าใดก็ไม่มีการปรากฏตัวของทั้งคู่ จนผ่านไปสามวันที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องของเขาเลยเลย ร่างกายเริ่มหมดแรง ไข้ขึ้นสูง ในวาระสุดท้ายในชีวิตของเขา เด็กน้อยหวังเพียงแค่ได้เห็นหน้าบุพการีเพียงสักครั้งเขาจะได้นอนตายตาหลับ แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่เห็นใครสักคน
น้ำตาเด็กน้อยเริ่มแห้งเหือด มีเพียงหัวใจที่เต้นช้าลงเรื่อยๆ เขาหลับตาลงช้าๆ เมื่อเขาทนฝืนต่อไม่ไหวอีกแล้ว
ทั้งที่คิดว่าตัวเองคงไม่รอดแล้ว ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนนอนอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งมองเขาด้วยความเป็นห่วง ทั้งคู่รู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับเขา รู้แม้กระทั่งว่าพ่อแม่นั้นไม่มีใครอยู่กับเขาอีกแล้ว
เด็กน้อยร้องไห้ อยากกลับบ้าน ทั้งสองสามีภรรยาจึงถามเขาว่าจะกลับเช่นไร เขาในตอนนั้นได้แต่พร่ำบอกว่าหากเขาบินได้ เขาก็จะบินกลับ ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วถามกับเด็กน้อยว่าอยากจะเป็นนกอะไร ด้วยความที่ที่บ้านมีนกแก้วอยู่ตัวหนึ่ง มันเป็นนกที่เขารักมาก เด็กน้อยจึงตอบว่าอยากเป็นนกแก้ว
ทั้งคู่จึงบอกว่าเขาสามารถเป็นนกแก้วได้ อยากจะเป็นจริงๆหรือเปล่า เด็กน้อยตอบอย่างไม่ลังเลว่าอยากเป็นที่สุดแล้ว
เด็กน้อยในตอนนั้นได้เป็นนกแก้วสมใจ มันมหัศจรรย์มากที่คนอย่างเขาแปลงกายเป็นนกตัวน้อยได้ ด้วยความคิดถึงบ้าน เด็กน้อยรีบบินไปยังจุดหมายทันที โดยไม่ได้เอะใจว่าทั้งสองเป็นใคร รู้แต่ว่าเป็นผู้วิเศษและเป็นผู้มีพระคุณกับเขาที่สุดรองจากพ่อแม่
เขากลับมาใช้ชีวิตเป็นนกแก้วอยู่กับเจ้านกแก้วที่เขาเคยเลี้ยงมันไว้ เขาเศร้าเสียใจจากการที่พ่อแม่จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ แต่เขาก็มีความสุขที่ได้มาอยู่กับเจ้าแก้วเพื่อนรัก
เวลาล่วงเลยมาสองปี ความสุขที่เคยมีกลับถูกความตายมาพรากเจ้าแก้วให้จากเขาไปอย่างตลอดกาล เจ้านกน้อยร้องไห้ปริ่มจะขาดใจ เมื่อที่พึ่งสุดท้ายของเขานั้นทิ้งเขาไว้แต่เพียงผู้เดียว ด้วยสภาพจิตใจที่บอบช้ำ เขาอยากได้เจ้านกกลับคืนมา
นกแก้วบินกลับเข้าไปที่ป่าแห่งนั้นอีกครั้ง เขาไปหาชายหญิงคู่เดิมที่เขามารู้ทีหลังว่าทั้งคู่เป็นเทพที่คอยดูแลป่าแห่งนี้ เขาแปลงร่างเป็นคน เข้าไปขอความช่วยเหลือ ขอให้ช่วยเพื่อนของเขาด้วย แต่ทั้งคู่กลับปฏิเสธเขา บอกว่าสิ่งใดที่สิ้นอายุขัยไปแล้ว ไม่สามารถช่วยให้กลับคืนชีพได้ เขาร้องไห้อย่างเศร้าเสียใจเมื่อไม่มีใครช่วยเขาได้เลย
ในวันที่เขาตัดสินใจจะกลับบ้าน แต่แล้วเขาไม่สามารถกลับคืนในร่างนกได้ เขาจึงต้องอาศัยอยู่กับทั้งคู่ต่อจนครบสามสิบวันจึงจะคืนร่างนกได้ เด็กน้อยนั้นไม่พอใจในตัวทั้งสองคนที่ไม่ยอมช่วยนกเพื่อนของเขา จึงมีท่าทีปั้นปึ่งใส่ทั้งคู่ แต่เมื่อได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทุกวัน ด้วยความใจดีและความเอาใจใส่ หรือแม้กระทั่งความเมตตาต่อเขา มันทำให้เด็กน้อยรู้สึกดีกับสองสามีภรรยา
ทำให้เขาได้เปลี่ยนความคิดว่าหากเขากลับไป ที่นั่นก็ไม่มีใครรอเขาอยู่ หากเขาอยู่ที่นี่ อย่างน้อยเขาก็จะได้อยู่กับพ่อแม่ แม้จะไม่เห็นตัวตนก็ตาม แต่เขาเชื่อว่าพวกท่านต้องอยู่ที่นี่และอยู่ใกล้ๆเขาแน่
หลังจากนั้นเด็กชายจึงไม่กลับไปที่บ้านอีกเลย ใช้ชีวิตอยู่ในป่าโดยแยกมาอยู่ตัวคนเดียว เนื่องจากเกรงใจเทพทั้งสอง เขาคอยขับไล่คนที่บุกรุกมายังป่าแห่งนี้ให้ออกไปให้พ้น ด้วยไม่อยากเห็นใครต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ เพราะอาจทำให้คนที่เฝ้ารอคนเหล่านั้นกลับบ้านอาจต้องรอเก้อ เพราะการสูญเสีย ดังเช่นเขา
.
.
.
.
“เจ้าง่วงหรือยัง? หืม” มือหนายกลูบผมคนที่เหม่อราวกับกำลังปลอบขวัญจากเหตุการณ์อันหนักหน่วงใจที่เจ้าตัวได้พานพบมาตลอดหลายปี คนโดนถามได้แต่ยิ้มเลื่อนลอยก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ
“งั้นนอนกันเถิด ข้าก็ง่วงแล้วเช่นกัน” อาโปประคองให้อีกฝ่ายนอนลงก่อนแล้วเขาจึงตามลงไปนอนข้างกัน เทพหนุ่มมองคนที่พลิกตัวนอนหันหลังให้เขาด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก นึกไม่ถึงที่เจ้านกตัวแสบที่ก่อกวนเขาเมื่อวันก่อนจะเป็นคนๆเดียวกับคนที่นอนอยู่กับเขาตอนนี้
ชายหนุ่มนอนหนุนแขนตัวเอง มองอีกฝ่ายที่นอนหันหลังให้เขาด้วยความอ่อนโยน ยิ้มบางๆ ก่อนที่จะพริ้มตาหลับ
“ฝันดีนะ” เสียงกระซิบบางเบาจากด้านหลัง ทำให้หัวใจของกนต์ธรอบอุ่นอย่างประหลาด ชายหนุ่มไม่ได้ตอบกลับไป เขาเพียงแค่ยิ้มมุมปาก คืนนี้คงเป็นคืนที่ไม่โดดเดี่ยวสำหรับเขาในรอบหลายปี .
.
.
.
“บอกหลายหนแล้วว่าจะไปไหนต้องบอกข้าก่อน ขาเจ้ายังไม่หายดี หากกระทบกระเทือนขึ้นมาก็ไม่หายกันพอดี” อาโปอดไม่ได้ที่จะดุคนที่ชอบขัดคำสั่งของเขาอยู่เรื่อย
คนโดนดุทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม หัวเราะเก้อๆ เขาแค่จะเดินไปปลดทุกข์แค่นี่ทำไมต้องดุเขาราวกับว่าเขาเป็นเด็กตัวเล็กๆกระนั้นแหล่ะ
“ข้าปวดหนัก...แล้วอีกอย่างไม้เท้าก็มี ให้ข้าใช้มันบ้างเถอะ”
อาโปส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย
“อยู่ด้วยกันมาจะครบเดือนอยู่แล้ว เจ้ายังจะเกรงใจข้าอยู่อีกรึ หากเจ้าก้าวพลาดเกิดล้มไป ขาเจ้าจะยิ่งแย่ไปใหญ่”
“ข้าแค่อยากช่วยเหลือตัวเองบ้าง จะคอยพึ่งพาแต่เจ้าได้อย่างไร แค่นี้ข้าก็ไม่รู้จะตอบแทนเจ้าอย่างไรแล้ว”
“แค่เชื่อฟังข้าก็พอแล้ว..นะ” น้ำเสียงที่กล่าวอย่างอ่อนโยน ทำเอาคนฟังหน้าร้อนผ่าว เจ้านกหนุ่มเสหลบตา เมื่อรอยยิ้มของคนพูดมันสว่างจ้าจนเขาทนมองต่อไปไม่ไหว
“อือ” ถึงจะกล่าวเช่นนั้น แต่กนต์ธรกลับจับไม้เท้าแน่น แล้วพยุงตนเองจะเดินกลับที่พัก
“เจ้ามันดื้อจริงๆ” อาโปก้าวตามแล้วช้อนเอว ยกร่างบางเข้าสู่อ้อมแขน กนต์ธรปล่อยไม้เท้าล่วงอย่างตกใจ มองอาโปอย่างไม่ชอบใจนัก
“เอาอีกแล้วนะ เจ้าชอบทำข้าตกใจอยู่เรื่อยเลย”
“ข้าชอบเวลาเจ้าตกใจ มันตลกดี” ใบหน้าเปื้อนยิ้มของเทพหนุ่ม ทำเอาคนที่กำลังจะต่อว่าหุบปากฉับ เจ้านกหนุ่มพ่ายแพ้ราบคาบอีกเช่นเคย เขาซบลงที่อกอุ่น สูดกลิ่นหอมของร่างหนา หลับตาพริ้ม แล้วกล่าวเสียงเบา
“พรุ่งนี้ข้าก็จะคืนร่าง ท่านคงไม่ได้เห็นหน้าตลกของข้าอีกแล้วล่ะ”
ร่างสูงหยุดเดินทันที เมื่อได้ฟังประโยคนั้น คิ้วเข้มขมวดเป็นปม เพ่งมองหน้าด้านข้างของคนที่อยู่ในอ้อมแขน เขารู้ดีว่าวันที่ต้องจากกันต้องมาถึง แต่ไม่ทันได้เตรียมใจว่ามันจะไวขนาดนี้
“เจ้าหิวหรือยัง”
กนต์ธรเงยหน้ามอง สายตาคนพูดดูปกติ แต่เขานี่สิที่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เขาไม่สามารถปิดซ่อนความรู้สึกของตนเองได้เลย ทั้งที่รู้แต่ดูเหมือนว่าอาโปจะทำเป็นมองไม่เห็นเสียมากกว่า
“อืม”
.
.
.
แสงไฟของฟืนที่เกิดจากการเผาไหม้ สะท้อนเงาของคนคู่หนึ่งที่นั่งเคียงกันใต้เพิงไม้เก่า ทั้งสองต่างเพ่งมองไปยังแสงสว่างนั้นด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน
“ความจริงข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า...ข้าจะกลับบ้านพรุ่งนี้ตอนรุ่งเช้า” อาโปบอกโดยเสหลบสายตาของอีกฝ่ายที่มองมาก่อนจะเอ่ยต่อ
“ที่เจ้าเคยถามข้าว่าข้าหนีเรื่องทุกข์ใจมาที่นี่หรือไม่..อันที่จริงข้าไม่ได้มีเรื่องทุกข์ใจมากมายเท่าใดหรอก ข้าแค่รู้สึกว่าควรจะมีเวลาให้ตนเองทำอะไรที่ต้องการบ้าง...ข้ามีพี่น้องมากมาย มีท่านพ่อกับท่านแม่ที่รักพวกข้าอย่างจริงใจ..แต่พอพวกท่านมีน้องๆมาให้พวกข้ามากขึ้น มันกลับทำให้ข้ารู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่ว่าข้าไม่รักน้องๆนะ ข้าคงอิจฉาน้องกระมัง ที่ได้รับความเอาใจใส่จากท่านพ่อและท่านแม่ โดยข้าก็ลืมไปจริงๆว่าข้าก็ได้รับความรักจากท่านทั้งสองไม่ต่างกันกับน้องเลย ข้านี่แย่ชะมัด”
กนต์ธรยิ้มอ่อน บอกอีกฝ่าย
“มันธรรมดามากกับความคิดแบบนั้น ใครๆที่มีพี่น้องหลายคนก็เป็น เจ้าไม่ต้องรู้สึกแย่หรอก มีพี่น้องเยอะสิดี น่าสนุกดีออก..ดีกว่าอยู่ตัวคนเดียวเสียอีก” แววตาฉายแววเศร้าของกนต์ธรนั้นทำให้เทพหนุ่มรู้สึกผิดยิ่งนัก
“เอ่อ..ข้า”
“อาโป”
“หืม?” เทพหนุ่มมองคนเรียกที่มองเขาอยู่ก่อนแล้วด้วยใบหน้าตั้งคำถาม
“ที่เจ้าเคยบอกข้าว่าความรักนั้นไม่มีข้อจำกัด...ความรักเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะเพศใด..รู้ไหมว่าข้าไม่อยากจะเชื่อเลย จนกระทั่งข้ารู้ว่า...เมื่อรักแล้ว ข้ากลับไม่สนใจสิ่งนั้นเลย ข้าแค่อยากเก็บเกี่ยวความสุขกับคนที่ข้ารักไว้ให้นานที่สุด..” กนต์ธรหันมายิ้ม แววตาเผยความในใจหมดเปลือก ตาคลอด้วยน้ำใสที่เจ้าตัวพยายามสกัดกั้นไม่ให้มันไหลออกมา
เทพหนุ่มมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก หัวใจของเขาเต้นแรง เลือดสูบฉีดมาตรงใบหน้าเกิดสีแดงจัด
“อ..เอ่อ เจ้า..” ชายหนุ่มกล่าวตะกุกตะกัก เมื่อพบว่าเขานั้นก็ดูจะไม่เดียงสาเรื่องรักใคร่มากนัก การเหมือนโดนสารภาพรักโดยไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ก็ทำให้เขาอึ้งเช่นกัน
เจ้านกหนุ่มตัดสินใจแล้ว ว่าหากคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่จะได้อยู่ด้วยกัน เขาก็ควรได้พูดความในใจของตนเองก่อนที่จะจากกัน โดยไม่รู้ว่าภายภาคหน้าจะมีโอกาสได้พบกันอีกหรือไม่
“ข้าคิดว่าเจ้ารู้ว่าข้ารู้สึกเช่นไร...ข้าไม่สามารถห้ามความรู้สึกของตนเองได้ ช้ารู้ว่ามันไม่ควรที่คิดเช่นนั้น แต่เพราะความใจดีของเจ้า มันทำให้ข้ามีความสุขในทุกวันที่อยู่ด้วยกัน...ข้าขอโทษนะ”
กล่าวจบพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปแตะริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากหนาของอีกคนอย่างแผ่วเบา ก่อนจะถอยหน้าห่างออกมาด้วยสีแก้มระเรื่อ มือบางยกเช็ดน้ำตา ฝืนยิ้มให้อีกฝ่ายทั้งที่ใจปวดแปลบ เมื่อแววตาของอาโปมีแต่ความตกตะลึง ไม่ได้มีแววหวั่นไหวดังเช่นเขาเลย
ราวกับวิญญาณได้หลุดจากร่าง หัวใจของเทพหนุ่มสั่นรัว เขาอึกอัก ทำตัวไม่ถูก แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นดูเศร้าจนเขาปวดใจ ชายหนุ่มจึงคว้าไหล่บางเข้าหาตัว กอดอีกฝ่ายไว้ ลูบผมนุ่มอย่างปลอบประโลม เขาคงจะปล่อยให้อีกฝ่ายใจเสียอยู่เช่นนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
“ข้าไม่เคยรักใครมาก่อน จึงไม่รู้ว่าจะพูดจาเช่นไรจึงจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดี” เทพหนุ่มเชยคางกนต์ธรขึ้นมาสบตาตนเอง แววหวานจากดวงตาคม ทำเอาคนมองแทบละลายไปในอ้อมแขนของอีกฝ่าย
“ข้าจึงทำได้เพียงดูแลเขาให้ดีที่สุดเท่าที่ข้าจะทำได้...ข้าก็เหมือนเจ้าที่อยากอยู่กับคนที่รักให้นานที่สุด” นิ้วเรียวยาวลูบบนริมฝีปากบาง สองตาคมค่อยๆเผยความรู้สึกให้คนตรงหน้าได้รับรู้
“เพราะฉะนั้นกนต์ธร..เจ้าไปอยู่กับข้าเถิดนะ ไปอยู่ด้วยกันเถิด”
เจ้านกหนุ่มพยักหน้าตกลงทันที ทั้งสองโน้มหน้าเข้าหากันช้าๆ ริมฝีปากของทั้งคู่แตะกันแผ่วเบา ก่อนที่เทพหนุ่มจะค่อยๆละเลียดชิมริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างเชื่องข้า ความหอมหวานจากรสจูบทำให้อาโปมัวเมาจนไม่อาจยับยั้งช่างใจ มือแกร่งค่อยๆเปลื้องอาภรณ์ของอีกฝ่ายออก โดยที่เจ้านกหนุ่มนั้นยอมให้ความร่วมมืออย่างเต็มใจ
มือหนาลูบไล้ทั่วเรือนร่างบางของกนต์ธรอย่างทะนุถนอม สัมผัสอันอ่อนโยนของเทพหนุ่มทำให้เจ้านกน้อยเผยรอยยิ้มอย่างมีความสุข ความเสียวซ่านปรากฏเป็นสีแดงเรื่อทุกพื้นที่ที่นิ้วแกร่งไล้ผ่าน
ริมฝีปากหนาสีอ่อนละเลียดจูบลงบนไหล่ขาวผ่อง แล้วจึงวกขึ้นมาประกบปากสีหวานที่เริ่มบวมเจ่อจากจุมพิตอันหนักหน่วง ลิ้นสากล่วงล้ำเข้ามาในโพรงปากของเจ้านกน้อยที่นอนระทวยใต้ร่างหนา มือบางเกาะไหล่แกร่งแน่น เมื่อรับรู้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมพยายามจะเข้ามาทางช่องรักของเขา
แววตากนต์ธรสั่นระริก เมื่อความเจ็บปวดเริ่มคืบคลานเข้ามาจนเขาแทบทนไม่ไหว แต่เมื่อมองใบหน้าคมที่ทรมานของคนที่คร่อมตนอยู่ ทำให้ชายหนุ่มค่อยๆผ่อนอาการเกร็งของตนเองลง
กระบอกรักของเทพหนุ่มปวดหนึบ ใบหน้าอันเจ็บปวดแต่แฝงไปด้วยความรัญจวนของกนต์ธรส่งผลให้เขาค่อยๆชำแรกแทรกท่อนลำอันคับพองของตนลงบนช่องทางรักสีหวานอย่างเร่งร้อนแต่ทว่ากลับแฝงด้วยความอ่อนโยน
ช่องทางอันคับแน่นรับตัวตนของเทพหนุ่มไว้ทั้งหมด อาโปสะกดกั้นความปรารถนาของตนไม่ให้บุ่มบ่ามเร่งร้อนมากจนเกินไป ด้วยเกรงว่าเจ้านกหนุ่มจะบาดเจ็บเอาได้ แต่เมื่อแววตาที่สะท้อนออกมาจากตาเรียวไม่ปรากฏร่องรอยแห่งความทรมานแล้ว เทพหนุ่มจึงเริ่มขยับตัวอย่างเชื่องช้า
จังหวะเนิบนาบแต่ทว่ากลับสร้างความเสียวซ่านให้แก่ทั้งคู่ยิ่งนัก แต่ดูเหมือนว่ากนต์ธรอยากได้มากกว่านี้ ร่างบางจึงบดเบียดตัวให้แนบชิดกันมากขึ้น แขนเรียวโน้มคอร่างสูงไว้ ยื่นหน้าขึ้นจุมพิตริมฝีปากหนาอย่างเรียกร้อง เทพหนุ่มเองก็อยากจะทำให้บทรักดูเร่าร้อนมากขึ้น
ความนุ่มนวลในคราแรกเริ่มกลายเป็นรุ่มร้อนด้วยไฟแห่งความปรารถนา ร่างสองโถมเข้าหากันอย่างกระหายในรสรัก เสียงครางเครือดังออกมาจากปากเจ้านกหนุ่มไม่ขาดสาย ดวงตาสองคู่เฝ้าสบมองกันด้วยความลุ่มลึกของอารมณ์ ในช่วงสุดท้ายที่อารมณ์ทะยานเข้าสู่จุดสูงสุด อาโปปล่อยให้ธารน้ำใสของตนไหลสู่ช่องทางรักทุกหยาดหยด โดยที่กนต์ธรนั้นตอดรัดกักไว้ด้วยความเต็มใจ
เสียงหอบหายใจก้องป่าที่มีเสียงหริ่งหรีดเรไรแว่วมา ทั้งสองร่างเปลือยเปล่าตระกองกอดกัน เทพหนุ่มจูบลงบนหน้าผากชื้นเหงื่อของกนต์ธรด้วยความรัก รอยยิ้มหวานของเทพหนุ่มที่เจ้านกหนุ่มชอบนักหนาปรากฏบางๆ
“รู้ไหมว่าใบหน้าของเจ้า ข้าชอบรอยยิ้มของเจ้าที่สุด”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น อาโปกลับยิ้มหวานมากขึ้น นั่นทำให้กนต์ธรยิ่งหน้าร้อนด้วยความเขินอาย เนื้อที่แนบกันยังร้อนอยู่ เขาก็ยิ่งคิดว่าคืนนี้อาจจะไม่จบที่รอบเดียว มือบางจึงเริ่มดันอกคนที่เริ่มขยับเข้ามากอดเขาแน่นกว่าเดิมออก
“ข้าไม่คิดว่าแค่รอยยิ้มของข้าเท่านั้นที่เจ้าชอบหรอกนะ...”สายตากรุ้มกริ่มของเทพหนุ่มพานทำให้คนมองหน้าแดงซ่าน
“ข..ข้าอยากนอนแล้ว” ร่างบางทำท่าจะผละตัวออกห่างแต่อาโปที่ตอนนี้กลายร่างเป็นชายหื่นแล้วคว้าอีกฝ่ายเข้ามากอดแนบแน่น แม้กนต์ธรจะทำทีขัดขืนแต่ก็ไม่ได้จริงจังนัก ยอมให้เทพหนุ่มจูบแต่โดยดีเพราะเขาเองก็ชอบรสสวาทที่อาโปมอบให้เช่นกัน
และแล้วบทรักเริ่มบรรเลงอีกครั้ง
กนต์ธรนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก หากอาโปต้องการเขาก็ยอมได้อยู่แล้ว ไม่มีเรื่องใดต้องกังวล เพราะเขาก็ชาย อาโปก็ชาย หมดปัญหาเรื่องตั้งครรภ์ไปได้เลย
เจ้านกหนุ่มคิดอย่างสบายใจ...
สวัสดีค่ะ กลับมาแล้วน้าาา เป็นตอนยาวที่เนื้อเรื่องอาจจะเรื่อยๆนะคะ แต่ก็ดีใจที่แต่งตอนนี้จบจนได้ 555
มีอะไรผิดพลาดต้องขออภัยด้วยนะคะ
เจอกันโอกาสหน้าจ้า