เมื่อผมต้องกลายเป็นแม่พันธุ์ ตอน วิหคแสนกล
ณ กลางป่าใหญ่ คล้ายมีงานรื่นเริงเกิดขึ้น เมื่อมีการรวมตัวของเหล่าสมาชิกของครอบครัวผู้พิทักษ์ป่าที่มายืนออกันอยู่บริเวณหน้าถ้ำของเทพอรุณอย่างพรั่งพร้อมหน้า
อาโปกรอกตาเล็กน้อยเมื่อมองบรรดาพี่ๆและน้องๆ ที่พากันดูตื่นเต้นดีใจจนเกินเหตุเมื่อเห็นพี่หมี่ซอจูงมือลูกชายคนแรกที่เกิดได้หนึ่งอาทิตย์ออกมาพบพวกเขา
ซึ่งหลังจากที่พี่หมี่ซอได้ออกเรือนมาอยู่กับอรุณได้เจ็ดปีเต็มๆ ก็ได้แวะเวียนไปหาพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่คราวนี้ดูต่างออกไป เพราะพวกเขาทั้งครอบครัวได้มาเยี่ยมเยือนถึงถิ่นของอรุณเมื่อทราบข่าวว่าหมี่ซอได้ให้กำเนิดเด็กน้อยแล้ว
ภาพเด็กชายตัวกลมป๊อกที่เดินด้วยเท้าคู่ป้อมๆ จับจูงมือพ่อแม่ไม่ยอมปล่อย แต่ปากจิ้มลิ้มนั้นส่งยิ้มแก้มปริอย่างเป็นมิตร นั่นทำให้เขานึกเอ็นดู แต่ไม่ได้แสดงอาการเห่อจนออกนอกหน้าเหมือนพวกพี่ๆและน้องๆ เพราะเขารู้สึกชินเสียแล้ว กับการปรากฏตัวของสมาชิกใหม่ตัวเล็กๆที่มักเกิดขึ้นในครอบครัวทุกๆสองปี
เพราะหลังจากที่ท่านแม่คลอดน้องคนที่เจ็ด ซึ่งก็คือเจ้าชเวที่ตอนลืมตาดูโลกนั้นมีขนาดลำตัวที่เล็กกว่าพี่ๆทุกคน และดูอ่อนแอมากนัก ทำให้ท่านแม่กังวลและเป็นห่วงว่าเจ้าชเวจะเป็นอะไรไป จึงไม่ยอมมีน้องออกมาอีกเลย
จนกระทั่งเจ้าชเวได้ขวบเศษนั้นดูแข็งแรงและร่าเริงขึ้นมากผิดจากคราแรกเกิด ท่านแม่ที่มิอาจทนการรบเร้าของท่านพ่อได้ จึงให้กำเนิดน้องๆเพิ่มตามมาในครอบครัวทุกสองปี นั่นคือเพิ่มมาอีกสามคน คือ โซ ตาอู และยาติ ซึ่งเจ้าสามคนนั้นดูจะอยากเล่นกับลูกพี่หมี่ซอมากที่สุด ดูจากการที่ ไปรุมล้อมอยากจะอุ้มน้องกันใหญ่เชียว
“พอวา มาหายายนะลูก..ฮึ้บ” มะเหมี่ยวอ้าแขนออกรับหลานชายตัวน้อยเมื่อหมี่ซออุ้มส่งให้ โดยที่เด็กน้อยยอมอยู่ในอ้อมแขนของมะเหมี่ยวอย่างเต็มใจ
แก้มกลมแดงเรื่อ ถูกยายหอมดังฟอดด้วยความเอ็นดู อมฤทธิ์มองเมียรักกับหลานชายแล้วพูดยิ้มๆ
“พอวาช่างน่ารักน่าชังนัก...เมียข้า เจ้าว่าเราควรมีลูกเพิ่มอีกสักคนมาเป็นเพื่อนกับเจ้าพอวาดีหรือไม่” รอยกรุ้มกริ่มในแววตาเทพพิทักษ์ป่าทำให้มะเหมี่ยวยิ้มอย่างเขินอาย ก่อนบอกความลับที่เขาเก็บไว้นานเป็นสัปดาห์กับสามีและลูกๆ ด้วยความยินดี
“ก็มีแล้วไง อยู่ในท้องของผม” คำบอกเล่านั้นทำให้อมฤทธิ์ยิ้มเป็นปลื้ม ยกมือลูบท้องเมียรักอย่างอ่อนโยน แต่หางตากลับเหลือบมองเจ้าลูกเขยอีกตนที่เขาไม่ค่อยถูกชะตานัก แล้วกล่าวอย่างเกทับ
“เฮ้อ..ข้านี่มันน้ำยาดีเสียจริง มีลูกจวนจะครบโหลอยู่แล้ว ส่วนท่านนะอรุณถ้าขยันเดี๋ยวก็ตามข้าทันเป็นแน่.. ต่างจากใครอีกคนที่เอาลูกข้าไปอยู่ด้วยตั้งนานไม่เห็นจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย จะหมดหวังเรื่องทายาทเสียแล้วกระมัง...”
“หากท่านไม่กลั่นแกล้งข้า ป่านนี้ข้าคงมีทายาทได้ไม่น้อยกว่าท่านนักหรอกท่านพ่อตา” จ้าวรัตติกาลหนุ่มกล่าวอย่างเหลืออด หน้าเข้มอย่างไม่พอใจ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาอนธการกับบีซอต้องนอนแยกห้องกันเพราะคำสั่งของอมฤทธิ์ที่ว่าบีซอต้องอายุครบสิบห้าถึงจะอยู่ร่วมห้องกันได้ ทั้งที่บีซอเป็นเมียของเขา แต่เขากลับแตะต้องมากไม่ได้ เพราะเมียตัวน้อยในตอนนั้นเชื่อฟังคำสั่งพ่อเสียเหลือเกิน จนจ้าวรัตติกาลอดน้อยใจไม่ได้ แต่เพราะรักบีซอเหลือเกินเขาจึงทนได้ถึงป่านนี้
“ข้าจำได้ว่าไม่เคยทำเช่นนั้นนะ” อมฤทธิ์ปฏิเสธคำกล่าวหา ทั้งที่ในใจรู้ดีว่าเขาเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ลูกเขยอย่างอนธการแทบกระอักเลือดตาย
“ท่านนี่มัน..” อนธการแทบจะพุ่งตัวเข้าใส่เทพพิทักษ์ป่าอย่างลืมตัว
“เอ่อ...ข้าว่าเราเปลี่ยนเรื่องอื่นดีไหม เดี๋ยวพอวาได้ขวัญเสียกันพอดี” บีซอกลัวว่าจะมีการปะทะที่รุนแรงระหว่างสามีกับบิดาจึงได้พูดแทรกขึ้นมา ซึ่งทั้งสองก็เลิกต่อบทสนทนาแต่โดยดี แล้วกลับมาให้ความสนใจกับหลานตัวน้อยแทน
เป็นอันว่าพวกเขาจะมีน้องเพิ่มมาอีกคน อาโปยิ้มมุมปาก มองความสุขที่เกิดขึ้นบนหน้าของแต่ละคนในครอบครัวด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก แม้เขาจะรู้สึกยินดีแต่เขากลับพาตัวเองค่อยๆเดินถอยห่างออกมาจากความภาพความสุขตรงหน้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจตนเองนัก
.
.
.
.
“มานั่งอยู่นี่เองรึอาโป เจ้าไม่เข้าไปเล่นกับพอวาหน่อยล่ะ เจ้ารู้ไหมหลานของพวกเราพูดจาฉอเลาะน่าเอ็นดูเชียว” เสียงทักจากเบื้องหลัง ทำให้ชายที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่หันไปมองเพียงนิด ก่อนจะหันกลับมามองท้องฟ้าอันเวิ้งว้างเบื้องหน้าดังเดิม
เมื่อเห็นว่าน้องชายมิได้สนใจในคำพูดของตนเลย พูแซจึงเดินไปนั่งลงข้างๆคนโลกส่วนตัวสูง มือหนาตบเบาๆบนไหล่แกร่งของน้องชาย
“เจ้ากังวลเรื่องที่ต้องไปปกครองป่าแดนอื่นอยู่รึ” ประโยคนั้นหาได้รับความสนใจจากน้องชายไม่ อาโปยังคงนิ่งเฉย ราวกับไม่อยากจะสนทนาอะไรทั้งสิ้น
น้องชายนั่งกอดเข่าแล้วทำมึนใส่เขาเช่นนี้โดยไม่คิดอะไรอยู่ เขาไม่เชื่อเด็ดขาด นั่นทำให้พี่ชายอย่างพูแซต้องดึงความสนใจจากน้องชายที่ชอบทำตัวแปลกแยกจากคนอื่นให้กลับมาสนใจตนเพียงนิดก็ยังดี
“ข้าก็คิดมากอยู่นะ..” พูแซเกริ่น ลอบถอนหายใจเมื่อปฏิกิริยาจากน้องชายไม่เปลี่ยนไปจากเดิมสักนิด แล้วกล่าวต่อ
“เฮ้อ...ข้าออกจะรูปงามเช่นนี้ ควรจะใช้ชีวิตอย่างหนุ่มเจ้าสำราญให้เต็มที่เสียก่อน เหตุใดจึงต้องไปเป็นเทพฝึกหัดและต้องอยู่กับเทพพิทักษ์ป่าแก่ๆที่ใกล้เกษียนนั่นด้วยนะ น่าหงุดหงิดใจนัก...”
เมื่อยังไม่ได้รับความสนใจ พูแซก็เริ่มกล่าวอย่างจริงจังขึ้น
“ก็นะ..แม้ข้าจะไม่ชอบใจนัก..แต่มันคือหน้าที่ของพวกเราที่ถูกเลือก..เป็นผู้สืบทอดสายเลือดของท่านพ่อ จะปฏิเสธก็ไม่สมควรนัก เฮ้อ...”
“พวกเราทุกคนต่างมีหน้าที่...เจ้าก็ยังไม่ได้ไปมิใช่รึ ช่วงนี้เจ้าก็เต็มที่กับชีวิตของเจ้าไปสิพี่ชาย”
“อ้อ! ช..ใช่แล้วล่ะ ...แล้วเจ้าเตรียมใจพร้อมแล้วรึ?”
“จะพร้อมหรือไม่ สักวันก็ต้องไปมิใช่รึ?”
พูแซพูดไม่ออก แม้อาโปจะกล่าวอย่างไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนใดๆ แม้เพียงวินาทีเดียวแต่เขาก็พอทันได้เห็นแวววูบไหวในแววตาคมที่ทำเหมือนไม่ได้สนใจสิ่งใดนั่น จึงพอรู้ว่าน้องชายนั้นต้องมีเรื่องให้ครุ่นคิดอยู่ในใจเป็นแน่ แต่เขาคงไม่อาจเข้าไปก้าวก่ายได้ จึงได้แต่บอกน้องชายด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าเป็นน้องของพี่นะอาโป หากมีเรื่องอันใดที่รบกวนใจเจ้า...เจ้าบอกพี่ได้เสมอเลยนะน้องรัก”
มุมปากของชายหนุ่มยกยิ้ม อาโปพยักหน้าตอบรับคำ แต่ดวงตาคมคู่นี้กลับมีความลังเลว่ามันสมควรหรือไม่กับสิ่งที่จะพูดต่อจากนี้
“พูแซ..หากว่าข้า...หายไปสักพักจะเป็นไรหรือไม่” เสียงแผ่วจากริมฝีปากหนาที่เม้มเป็นเส้นตรง สองตาคมมองพี่ชายอย่างขอความเห็น
พูแซนั่งนิ่งเผลอถอนหายใจอย่างคิดหนัก ด้วยอาโปไม่เคยเอ่ยขอคำปรึกษาที่เหมือนกับคำขอเช่นนี้กับเขา ทำให้เขาลำบากใจยิ่งนัก ไหนจะท่านแม่อีก ท่านต้องเป็นห่วงแน่ถ้าอาโปไปที่ใดสักที่โดยไม่บอกกล่าว
“เจ้าจะไปที่ใดรึ บอกพี่ได้หรือไม่” พูแซตะล่อมถาม ด้วยหวังว่าน้องชายจะบอก
แต่อาโปนั้นตั้งใจไว้แล้ว ว่าเขาอยากไปยังที่ๆสงบสักระยะหนึ่งแล้วจึงจะกลับมาหาครอบครัวก่อนที่จะไปทำหน้าที่เทพพิทักษ์ป่าฝึกหัดในแดนห่างไกล
“ข้าคงบอกเจ้าไม่ได้ว่าจุดหมายของข้าคือที่ใด แต่ในไม่ช้าข้าจะกลับมา...กลับมาหาทำหน้าที่ของข้า...ข้าสัญญา”
สองพี่น้องนั่งคุยกันได้สักพัก ก่อนที่อาโปจะกล่าวลาแล้วเดินห่างออกไปยังผืนป่าเบื้องหน้าและหายลับไปจากสายตาของเขา พูแซได้แต่หวังว่าน้องชายจะกลับมาโดยเร็ว กลับมาให้ทันก่อนที่เขาจะต้องเดินทางไปยังที่แสนไกลเช่นเดียวกัน
.
.
.
.
การที่มีสามสายเลือดอยู่ในตัวทำให้ร่างกายของเขาเติบโตอย่างรวดเร็ว เพียงแค่แปดปีตัวของเขาก็สูงใหญ่มากกว่าพวกมนุษย์ทั่วไป นั่นทำให้อาโปหงุดหงิดใจเล็กน้อย ที่เขาโตไวเกินไป จนทำอะไรที่คนตัวใหญ่อย่างเขาทำแล้วไม่ค่อยเหมาะกับรูปร่าง ดังเช่นการเดินข้ามสะพานไม้ผุพัง ที่เชื่อมจากฝั่งที่เขายืนอยู่ไปยังอีกฝั่งหนึ่งที่ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของเขา
ความจริงชายหนุ่มสามารถใช้พลังวิเศษที่มีอยู่ให้ข้ามไปอย่างง่ายดายได้ แต่เขาตั้งใจไว้แล้ว ว่าตลอดการที่ได้มาท่องเที่ยวในป่าเพียงลำพังนี้จะไม่ใช้พลังวิเศษใดๆทั้งสิ้น
เขาแค่อยากลองเป็นมนุษย์ธรรมดาสักครั้ง
แต่ละก้าวที่เดินไปบนแผ่นไม้ที่ไม่แข็งแรงตามสภาพกาลเวลาที่ผ่านมายาวนาน ทำให้ชายหนุ่มอดตื่นเต้นไม่ได้ หากสะพานหัก แล้วเขาตกลงไปในธารน้ำเบื้องล่างคงน่าขันน่าดู
แม้จะทุลักทุเลบ้าง แต่อาโปก็ข้ามมาถึงอีกฝั่งหนึ่งได้อย่างน่าหวาดเสียว ชายหนุ่มมองไปยังเบื้องหน้า ภาพที่ปรากฏทำให้เขายิ้มออกมาอย่างภูมิใจในความพยายามของตนที่ทำให้ได้พบกับสิ่งที่งดงามเช่นนี้
ป่าที่อุดมสมบูรณ์ สรรพสัตว์น้อยใหญ่ต่างส่งเสียงตอบรับกันไปมาราวกับกำลังสื่อสารกันในภาษาของตน
ต้นไม้ที่ออกผลออกดอกอยู่เต็มทั้งต้น หรือแม้แต่ดอกไม้หลายสายพันธุ์ ผสมผสานหลากสีส่งกลิ่นหอมทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายจนแทบหายเมื่อยล้าจากการเดินทาง ที่นี่ช่างดูแปลกตากว่าที่เขาอยู่ยิ่งนัก ราวกับว่าเขาได้เดินเข้ามาในสวนสวรรค์
อาโปเดินผ่านกลุ่มกระต่ายป่าขนสีน้ำตาลปุกปุยไปโดยที่พวกมันต่างมองตามเขาอย่างสนใจใคร่รู้ เพราะไม่เคยมีมนุษย์คนใดมาที่นี่นานแล้ว แต่แล้วพวกมันกลับแตกฮือวิ่งไปตัวละทางเมื่อชายหนุ่มหันมามอง
อาโปยิ้มขันเมื่อเขาคิดว่าคงเหมาะแล้วกับคำกล่าวที่ว่ากระต่ายมักตื่นตูม
พื้นหญ้าสีเขียวชอุ่มแนบลงกับพื้นดินปรากฏเป็นรอยเท้าของเทพหนุ่มเป็นทาง กบตัวหนึ่งกระโดดหลบ เมื่ออาโปแทบจะเหยียบมันอยู่แล้ว
“เจ้ามนุษย์นี่ จะฆ่าข้าหรืออย่างไรนะ” เจ้ากบน้อยตกใจ มองมนุษย์แปลกหน้าอย่างไม่พอใจ
อาโปเดินผ่านไปโดยหารู้ตัวไม่ว่ามีสายตาอีกคู่กำลังจับจ้องการปรากฏตัวของเขาด้วยความไม่พอใจนัก
“ออกไปจากป่าของข้า” เสียงเล็กๆจากที่ไหนสักที่ดังขึ้นด้านหลังอาโป ชายหนุ่มหยุดเดินหันหลังไปมองหาที่มาของเสียงปริศนานั่น มองอย่างไรก็ไม่เห็นว่าจะมีใครพูดกับเขาได้ แต่แล้วสายตากลับไปสะดุดเข้ากับเจ้านกแก้วตัวหนึ่งที่เกาะอยู่บนต้นไม้ใหญ่
เทพหนุ่มเดินไปใต้ต้นไม้แล้วเงยหน้ามองเจ้านกแก้วตัวเล็กที่มีขนสีเขียวแซมเหลือง ขนอกสีแดงอมส้ม มันมองมายังตนด้วยดวงตากลมที่กระพริบปริบๆ ก่อนมันจะใช้จะงอยปากสั้นๆจิกลงบนขนปีกตนเองราวกับว่ามันคันอยู่อย่างนั้น
“ใช่เจ้าหรือไม่ที่พูดเมื่อสักครู่” อาโปร้องถาม เจ้านกน้อยหยุดกิจกรรมของตนทันที มองเจ้ามนุษย์เบื้องล่าง หัวเล็กๆโคลงไปมาคล้ายไม่เข้าใจคำถาม ก่อนที่เสียงเล็กๆจะออกมาจากจะงอยสั้นๆนั่น
“ใช่เจ้าหรือไม่ที่พูดเมื่อสักครู่” แม้เสียงจะไม่เหมือนกันกับเขา แต่เทพหนุ่มรู้สึกได้ว่าเจ้านกนี่แหล่ะที่พูด แต่ทำไมมันต้องพูดตามเขาด้วย อาโปไม่อยากเสียเวลาเดินทาง จึงกล่าวกับนกแก้วน้อยสั้นๆ
“เอาล่ะ เจ้านกน้อย ข้าไม่กวนเจ้าแล้ว” ว่าพร้อมกับเดินไปยังทิศทางข้างหน้า แต่เจ้านกแก้วดันบินตามเขามาด้วย
“เอาล่ะ เจ้านกน้อย ข้าไม่กวนเจ้าแล้ว” อาโปคิ้วกระตุก นี่เขากำลังโดนนกตัวนี้กวนประสาทอยู่ใช่ไหม แม้จะรู้ว่านกสายพันธุ์นี้สามารถพูดตามคนได้ แต่เขาก็อดที่จะหงุดหงิดไม่ได้
ชายหนุ่มหยุดเดิน พร้อมกับที่เจ้านกนั่นบินไปเกาะต้นไม้อีกต้นเบื้องหน้าเขา มันไม่ได้มองมาทางเขา แต่ยุ่งอยู่กับการทำความสะอาดขนของตนเองอย่างตั้งอกตั้งใจ
อาโปไม่อยากให้อารมณ์ของตนต้องขุ่นไปมากกว่านี้ เลยมองข้ามเจ้านกนั่นไป ก้าวเดินอีกครั้ง แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวเจ้านกแสบก็บินตามเขามาอีก ชายหนุ่มหยุดเดิน กัดฟันกรอดอย่างข่มอารมณ์
“หากเจ้ายังตามมากวนใจข้าอีกแม้แต่ก้าวเดียว ข้าจะจับเจ้าปิ้งกินซะ”
“หากเจ้ายังตามมากวนใจข้าอีกแม้แต่ก้าวเดียว ข้าจะจับเจ้าปิ้งกินซะ”
หนอย เจ้านกตัวแสบ!
อาโปโมโหหนัก คว้าเจ้านกปากดีจอมล้อเลียนมาไว้ในกำมือได้ โดยที่มันไม่ทันได้ตั้งตัว
เจ้านกแก้วแสบดิ้นขลุกขลักอยู่ในอุ้งมือใหญ่ด้วยความหวาดกลัว มันใช้จะงอยเล็กๆจิกลงบนมือของอาโปเต็มแรง แต่เทพหนุ่มหาได้ปล่อยตัวมันไม่ กลับยิ่งทวีแรงบีบอีก จนมันหายใจแทบไม่ออก
“ม..นุษย์อย่าง จ..เจ้า มัน น..น่ารังเกลียด” เสียงเล็กที่ออกมาจากจะงอยของนกแสบตัวนี้ ทำให้อาโปผ่อนแรงลงเป็นกำมันไว้หลวมๆ
ดวงตากลมเล็ก มองเทพหนุ่มเหมือนกับคำพูด อาโปใจกระตุกในแววตาเกลียดชังของเจ้านกแสบ
“มันก็สมควรแล้วมิใช่รึ ที่เจ้ามากวนใจข้า” เสียงทุ้มบอกอย่างไม่ใส่ใจ
“ที่นี่ไม่ต้อนรับมนุษย์เช่นเจ้า...ออกไปซะ” อาโปคิดว่าเจ้านกนี่ดื้อเสียจริง
“ข้าไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของเจ้า ข้าจะไปเมื่อข้าอยากไป...รู้ไว้ซะเจ้านกแสบ”
อาโปวางเจ้านกแก้วตัวน้อยลงกับพื้น มองมันเพียงครู่แล้วเอ่ยก่อนจากไป
“อย่าได้คิดมาลองดีกับข้าอีก ถ้าเจ้าไม่อยากเป็นอาหารของข้าจริงๆ”
.
.
.
.
อาโปเดินทอดน่องลึกเข้ามาในป่าอย่างไม่เร่งรีบ เขารู้สึกสงบขึ้นเมื่อไม่ได้มีเจ้านกตัวนั้นตามมากวนใจอีก แม้จะบอกตนเองเช่นนั้นแต่เขาก็รู้ดีว่าตนนั้นกังวลที่ทำรุนแรงกับนกนั่นเกินไป
พื้นที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่สยายกิ่งใบใหญ่โตพร้อมทั้งมีลำธารอยู่เบื้องหน้าดูเหมาะที่เขาจะใช้พักในคืนนี้ เทพหนุ่มเด็ดใบไม้มาปูเป็นที่นอน แล้วเก็บแอปเปิ้ลลูกสีแดงสดมากินรองท้อง เพราะเขาตั้งใจว่าจะไม่ล่าสัตว์ป่าในตอนนี้ เนื่องจากตะวันจะตกดินแล้ว
เทพหนุ่มหาฟืนมากองรวมกันแล้วก่อกองไฟ ก่อนจะเปลื้องผ้าเดินลงไปแช่ตัวในลำธาร
สองมือหยาบขัดถูตามลำตัว หลังแกร่งยืนพิงกับหินก้อนใหญ่ริมลำธาร ตาคมปิดลงเมื่อเขารู้สึกผ่อนคลายจนแทบจะหลับเสียให้ได้กับความเย็นของน้ำใส แต่แล้วกลับมีเสียงแหวกน้ำมาทางเขา ทำให้เทพหนุ่มลืมตาขึ้นมาแล้วคว้าสิ่งที่มันบังอาจมารบกวนการพักผ่อนของเขา
อาโปผงะเล็กน้อยเมื่อสิ่งที่เขาจับอยู่เป็นมือเรียวของมนุษย์ เมื่อมองหน้าก็ต้องตะลึงหนัก เมื่อมนุษย์เบื้องหน้าช่างดูงดงามราวภาพฝันยิ่งนัก
ดวงหน้าหวาน พวงแก้มสีเรื่อ ริมฝีปากเป็นกระจับ ผมยาวถึงช่วงเอวคอด และที่ดึงดูดเขามากที่สุดคือดวงตาเรียวที่แววหวานสะท้อนออกมาชวนน่าลุ่มหลง หน้าอกแต่งตึงปราศจากสิ่งใดบดบัง ทำให้เลือดในกายเดือดพล่าน
ราวกับสติหลุดลอย อาโปคว้าหญิงสาวแปลกหน้าเข้ามาใกล้ตัว สองมือแกร่งจับไหล่บางไว้ มีเพียงแววตาที่บอกได้ถึงความปรารถนาในเรือนร่างนี้มากเพียงใด
“เจ้าเป็นใคร”
สาวงามไม่ตอบ ส่งเพียงยิ้มหวานอย่างเอียงอาย
ราวกับสตินึกคิดจะเลือนหายไปจากหัวเทพหนุ่มเสียแล้ว เมื่อเขาค่อยๆโน้มหน้าลงหมายจุมพิตลงบนริมฝีปากสีหวาน ที่เจ้าของไม่ได้ขัดขืนกลับหลับตาพริ้มอย่างยินยอม
ป้อก!
ไม่ทันจะได้ลิ้มรสให้สมใจ เมื่อก้อนหินก้อนหนึ่งพุ่งตรงมายังหน้าผากของเขา ทำให้อาโปผละห่างจากหญิงสาว กุมส่วนที่โดนด้วยความเจ็บ แม้เลือดจะไม่ออก แต่เขารู้สึกว่ามันจะต้องบวมช้ำแน่นอน
“ใครบังอาจมาปาหินใส่ข้า! ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!” อาโปกำหมัดแน่น หายใจฟึดฟัดเมื่อความโกรธนั้นแทบจะทะลุออกมานอกอก โดยไม่สนใจหญิงสาวปริศนาที่ตอนนี้เริ่มมีบางสิ่งเปลี่ยนแปลงบนร่างขาวนวลนั้นแล้ว
ใบหน้าขาวผ่องเปลี่ยนเป็นเขียวช้ำ เลือดไหลออกมาจากทางหัวตาที่แดงก่ำ เล็บมือยาวแหลมคม
“หึ หึ.” เสียงหัวเราะแหบๆ เรียกความสนใจจากอาโปให้หันมามอง ตาคมเบิกโพลง เมื่อตรงหน้าเขาไม่ใช่หญิงสาวแสนสวยอีกต่อไปแล้ว
“รีบขึ้นมาจากน้ำ! ถ้าเจ้าไม่อยากให้นางดูดวิญญาณ”เสียงผู้ชายที่มองไม่เห็นตัวร้องเตือนเขาอยู่ในความมืด
อาโปมองปีศาจตรงหน้าเขม็ง กล่าวด้วยเสียงอันดุดัน
“หากยังไม่อยากตายเป็นครั้งที่สอง จงกลับไปยังที่ของเจ้าซะ”
นางปีศาจพรายน้ำหาได้สนใจคำขู่ไม่ กลับแสยะยิ้ม ไร้สิ้นความงดงามที่นางได้เคยหลอกตาเขา
“อย่าใจร้ายกับข้านักเลย..ในเมื่อท่านก็หลงใหลในตัวข้ามิใช่รึ? เหตุใดถึงได้ขับไล่ข้าเสียล่ะ หึๆ” เล็บยาวไล้ไปตามโครงหน้าหล่อเหลาอย่างยั่วยวน แต่อาโปสะบัดหน้าหนี นั่นทำให้นางปีศาจหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง มือหยาบเหี่ยวคว้าคอของชายหนุ่มเข้ามา แล้วประกบจูบลงบนปากหนาอย่างรวดเร็ว
เทพหนุ่มไม่ทันได้ตั้งตัวพยายามจะผลักนางออก แต่เพียงชั่วครู่เขากลับรู้สึกถึงความปรารถนาที่พวยพุ่งขึ้นมาจนไม่อาจจะมีสติ ปากหยักหนาจึงบดขยี้ลงบนปากนางปีศาจอย่างรุนแรงอย่างลืมตัว
อาโปร้อนไปทั้งตัว แก่นกายเครียดขึง เขาอยากปลดปล่อยความตึงเครียด แต่สติที่ยังหลงเหลืออยู่เพียงนิด กู่ร้องให้เขาหยุด ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะอยู่ภายใต้การควบคุมของนางปีศาจได้ แต่เพียงไม่นานความรุ่มร้อนจากความปรารถนาปรับเปลี่ยนเป็นความรู้สึกล่องลอย ราวกับเขากำลังลอยไปในห้วงอากาศ เรี่ยวแรงที่มีเริ่มถดถอย
และก่อนที่เขาจะหมดความเป็นตัวของตัวเองไป มีใครบางคนมากระชากเขาออกจากนางปีศาจ เสียงหวีดร้องอย่างฉุนเฉียวและเจ็บปวดนั้นไม่ได้ช่วยทำให้สติของเขาคืนมามากเท่าใดนัก
เทพหนุ่มไม่รู้ว่านางปีศาจพรายน้ำยอมถอยไปเพราะอะไร แต่เขายังพอได้เห็นหน้าใครบางคนก่อนที่สติจะดับวูบไป
[ต่อข้างล่าง]