Chapter 10
เค ‘s Partว่ากันว่า.... หนึ่งในหกเรื่องลึกลับของมหาลัยฯ เรา นั้นเป็นเรื่องของหอสมุดกลางที่ว่ากันว่า เคยมีรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งเผลอหลับไปในช่วงหัวค่ำของเย็นวันหนึ่งที่โต๊ะตัวในสุดของมุมอ่านหนังสือบนชั้นสาม และกว่าจะรู้ตัว ทุกอย่างรอบตัวก็มืดลงไปหมดแล้ว ด้วยความกลัว...โรคหอบของเธอจึงได้กำเริบขึ้น ความรีบเร่งและมือที่สั่นเทาทำให้ขวดยาพ่นเพื่อบรรเทาอาการหล่นลงพื้นและกลิ้งหายไปในความมืด ท่ามกลางสภาวะกดดัน เขาควานหามันบนพื้นมืดมิดด้วยสติที่แตกกระเจิง แต่ไม่ว่าจะพยายามยังไงเธอก็หามันไม่เจอ จนในที่สุดเธอก็สิ้นใจลงบริเวณนั้น... เช้าวันต่อมาเจ้าหน้าที่ของหอสมุดก็มาพบศพเธอกลายเป็นศพในสภาพที่เหมือนเธอกำลังตะเกียกตะกายหาขวดยาที่อยู่ห่างออกไปจากเธอเพียงแค่ไม่ถึงสองเมตร แต่เรื่องต่อมาหลังจากนั้นก็คือ... ใครก็ตามที่มานั่งอ่านหนังสือเพียงลำพังบริเวณชั้นสามของหอสมุดกลางในช่วงเวลาที่หอสมุดใกล้จะปิด คุณอาจจะได้พบเสียงแปลกๆ ดังมาจากที่ไหนสักแห่ง เสียงของคนที่หายใจหอบถี่และกำลังจะขาดใจพลางร้องตระโกนถามหาขวดยา และหากคุณไม่รีบออกไปจากบริเวณดังกล่าวคุณอาจจะได้เจอกับเธอที่กำลังคลานอย่างตะเกียกตะกายตรงเข้ามาหาคุณ..... ก็เป็นได้....
ภารกิจคืนนี้ของผมก็คือการไปนั่งยังบริเวณที่อ่านหนังสือของชั้นสามเป็นเวลา 15 นาทีท่ามกลางความมืดพร้อมกับถ่ายคลิประหว่างที่นั่งอยู่นั้นเอาไว้เป็นหลักฐาน....
ทุกคนถูกจับคู่ซึ่งบอกเลยครับว่ามันไม่ยุติธรรม กันต์คู่กับพี่กิจ ไอ้เรย์คู่กับแพร ไอ้เจมส์ไปกับไอ้แน๊คและไอ้ธัน ส่วนพี่บิวนั้นไปกับพี่คิม และก็คงไม่ต้องถามใช่มั้ยครับว่าผมมากับใคร ถูกต้องครับ... พี่พี
แต่ละคู่ต้องไปทำภารกิจในสถานที่ต่างกันของในมหาลัยฯ และด้วยเส้นสายของพวกพี่กิจนั้น เลยทำให้เราได้กุญแจสำหรับเข้าสถานที่ต่างๆ จากพี่ รปภ. กันทุกทีม
จริงๆ แล้วผมไม่ใช่คนที่เชื่อเรื่องผีเลยนะครับ แต่พอมาเข้ามายังสถานที่จริงแล้วมันก็อด...หวั่นๆ ขึ้นมาไม่ได้อยู่เหมือนกัน ดูสิครับนี่ขนาดแค่หน้าหอสมุดนะครับ ถ้าเข้าไปแล้วมันจะขนาดไหนกันวะเนี่ย
ผมมองไปรอบๆ บริเวณ ซึ่งค่อนข้างมืด มีแสงไฟอยู่ตรงถนนไกลๆ แต่บริเวณนี้... อืม... มืดและน่ากลัวชิบ...
ผมขยับตัวไปชิดร่างสูงข้างๆ มากขึ้นกว่าเดิมจนตัวเราสัมผัสกัน ก่อนจะได้ยินน้ำเสียงนิ่งๆ ถามกลับมาว่า “ กลัวเหรอ “
“ บ้าดิ... ใครไปกลัวกัน เรื่องไร้สาระทั้งนั้น “ ผมพูดเสียงอ้อมแอ้มพร้อมทั้งขยับตัวออกห่าง แต่ก็ห่างไม่มากหรอกนะครับ เพราะใกล้ๆ กันไว้มันก็อุ่นใจดี
แต่จะว่าไปวันนี้พี่พีเขาจู่ๆ ก็ดูนิ่งไปนะครับ ถึงเขาจะเป็นคนนิ่งๆ อยู่แล้วก็เถอะ แต่เวลาอยู่กับผมเขาก็ไม่ได้เงียบขนาดนี้หรอกนะ อย่างน้อยก็จะคอยกวนผมอยู่บ่อยๆ ตั้งแต่ที่บอกว่าจะจีบผมนั่นแหละ.... แล้วจู่ๆ ตอนนี้กลับมาเงียบไปเหมือนเมื่อก่อนเสียอย่างนั้น... ทำไมกันนะ หรือว่า... ไม่อยากจีบผมแล้วรึเปล่า... แต่ก็ดี... ใครใช้ให้มาตามจีบกันล่ะ ไม่จีบก็ไม่ต้องจีบ ใครสนกัน....
พี่พีไขประตูกระจกก่อนจะเปิดมันออกและเดินนำผมเข้าไปยังภายในซึ่งมืดสนิท ผมและพี่พีเอาโทรศัพท์มาเปิดแอปไฟฉายส่องสว่าง...
เชี่ย... น่ากลัวเป็นบ้า ไม่เคยคิดเลยว่าหอสมุดตอนกลางคืนมันจะน่ากลัวได้ขนาดนี้...
“ ถ้ากลัวก็เข้ามาชิดๆ พี่ไว้ “ พี่พีหยุดเดินพลางหันมาบอกผมเสียงเรียบครับ
“ ไม่ได้กลัวสักหน่อย “ ผมแค่นตอบไปครับ
“ ให้จริงเห๊อะ “
“ อื้ม! “
หนักกว่าความมืดก็ตรงที่บรรยากาศระหว่างเราเนี่ยแหละครับ มาคุกันสุดๆ เลย ซึ่งผมเองก็ยังไม่เข้าใจถึงสาเหตุของท่าทีที่เปลี่ยนไปของพี่เขานี้ด้วยเช่นกัน แต่จะให้ถามไปตรงๆ นั้น... บอกเลยครับว่า.... ไม่มีทาง!
ระหว่างทางเดินขึ้นไปยังชั้นสามของหอสมุด นอกจากเสียงฝีเท้าแล้วก็ไม่มีเสียงใดๆ อีกเลย ตอนนี้เราทั้งสองราวกับกำลังอยู่ในอีกโลกหนึ่งซึ่งมีแค่ความมืดเพียงเท่านั้น ทั้งๆ ที่เมื่อสักครู่นี้เรายังพอพบเห็นแสงไฟสลัวจากภายนอกตัวอาคารอยู่บ้าง แต่เมื่อเข้ามาภายในแล้ว บอกได้เลยครับว่าอย่างกับคนละโลกกันเลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่าจากที่ไม่เคยรู้สึกกลัวมันได้เปลี่ยนไปแล้ว... ราวกับว่าความกลัวมันได้เดินตามหลังเรามาติดๆ และไม่อายจะพูดได้เต็มปากว่าในครั้งต่อๆ ไป ไม่มีทางที่ผมจะเข้ามาในสถานที่แห่งนี้เพียงลำพังอย่างแน่นอน หรือเพียงแค่จะอยู่อ่านหนังสือที่นี่จนไม่เหลือใคร ผมก็คงจะไม่ทำอย่างเด็ดขาด
ทั้งๆ ที่ความคิดของผมมันไม่ได้ถูกเปล่งออกมาเป็นเสียง แต่คนที่เดินนำหน้าผมทำราวกับว่าได้ยินความคิดของผมสียอย่างนั้น เมื่อเขาหยุดลงและหันหน้ามามองพร้อมกับยื่นมือเข้ามากอบกุมมือผมเอาไว้ให้ได้รู้สึกอุ่นใจ
“ รู้ว่ากลัว... ไม่ต้องขืนตัวก็ได้ พี่ไม่บอกใครหรอก “
ใบหน้านิ่งเฉยที่ต้องแสงไฟจากโทรศัพท์มือถือของผมพูดขึ้น ซึ่งผมก็ได้แต่จ้องเขม็งในความมืดตอบไปเพียงเท่านั้น หากแต่ไม่กล้าที่จะปฏิเสธไมตรีนี้ จากนั้นพี่เขาก็จูงมือผมเดินขึ้นไปต่อยังชั้นที่สามซึ่งเป็นชั้นบนสุดของหอสมุด
ที่ชั้นนี้มีชั้นหนังสือตั้งเป็นแถวกว้างและลึกเข้าไปจนดูลึกลับแม้ในยามที่มีแสงไฟสว่าง ชั้นนี้เป็นชั้นที่มีหนังสือเยอะที่สุดเรียกได้ว่าทุกสาขาและแขนงวิชา อีกทั้งยังมีมุมอ่านหนังสือมากมาย ทั้งที่เป็นโต๊ะเก้าอี้ปกติ แบบโซฟา หรือช่องส่วนตัวสำหรับอ่านหนังสือคนเดียว ซึ่งที่ที่เรากำลังจะไปกันนั้นก็คือด้านในสุดซึ่งเป็นบริเวณโซฟาอ่านหนังสือ โดยแบ่งเป็นชุดๆ ประกอบไปด้วยโซฟายาวสองฝั่งและโต๊ะกลาง เป็นมุมที่มักจะถูกจับจองจนเต็มไวที่สุด เพราะนอกจากจะเหมาะแก่การอ่านหนังสือกับเพื่อนแบบชิลๆ แล้ว มันยังเหมาะมากสำหรับการใช้เป็นที่แอบหลับของพวกที่ชอบความเงียบและแอร์เย็นๆ
เราตรงไปทำภารกิจยังโซฟาชุดสุดท้าย ซึ่งด้านข้างฝั่งหนึ่งรายล้อมไปด้วยชั้นหนังสือตระหง่านเหนือหัวราวกับป่าดงดิบ ผมกับพี่พีนั่งกันคนละฝั่ง จากนั้นพี่พีก็ใช้โทรศัพท์ตัวเองตั้งถ่ายวีดีโอเอาไว้ โดยมีแสงไฟจากโทรศัพท์ผมที่อยู่บนโต๊ะกลางคอยให้ความสว่างในตอนนี้
รู้สึกเงียบจังเลยครับ แถมไม่กล้าเหลือบตามองไปรอบๆด้วย... เพราะกลัวว่าจะได้เห็นอะไรที่ไม่อยากจะเห็นในตอนนี้ ดังนั้นที่ทำได้ก็เพียงแค่การโฟกัสไปยังใบหน้าเข้มๆ ที่นิ่งเฉยราวกับปูนปั้นของคนตรงหน้า
“ วันนี้พี่เงียบไปป่ะ “
สุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายที่เริ่มชวนคุยขึ้นก่อน
“ ก็ปกตินี่ ไม่ชอบรึไง “
…..
“ อือ.... “
.....
ถึงจะขานรับไป แต่กลับให้ความรู้สึกขัดใจอย่างบอกไม่ถูก เอาจริงผมไม่ได้ชอบที่เราไม่ค่อยคุยกันแบบนี้เลยล่ะครับ แต่ผมก็ไม่รู้สาเหตุจริงๆ ว่าเพราะอะไรพี่เขาถึงเงียบกับผมไปแบบนี้
เราเงียบกันไปอีกครู่หนึ่ง และก็เป็นผมอีกครับที่ทนไม่ไหวกับบรรยากาศแบบนี้
“ เหนื่อยแล้วเหรอ... “ ผมถามขึ้นก่อนที่คนตรงหน้าซึ่งเอนหลังพิงโซฟานุ่มอยู่ปลายตามองมาให้เห็นภายใต้แสงสลัว
“ เหนื่อยอะไร “
“ ก็... ที่บอกว่าจะจีบผมไง “
เชี่ย!! นี่ผมพูดอะไรออกไปวะเนี่ย รู้นะว่าผมเป็นคนอารมณ์ร้อนและปากไว แต่เรื่องนี้ทำไมไม่คิดก่อนจะพูดว้า.... โคตรน่าอายเลยโว้ย!!! แถมสายตาที่มองกลับมานั่นอีก คงคิดล่ะสิว่าผม.... กำลังสนใจเรื่องนี้อยู่....
“ ตะแต่... เหนื่อยแล้วก็ดี จะได้... ไม่ต้องมาตามผมอีก “ วลีหลังนี้ผมพูดได้ไม่ค่อยเต็มเสียงสักเท่าไหร่ เพราะผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอยากจะให้เขาได้ยินมันจริงๆ มั้ย
“ ไม่ได้เหนื่อยหรอก แต่แค่ไม่แน่ใจ... “
“ ไม่แน่ใจอะไร “ แล้วนี่ผมจะต้องมาสนใจทำไมเนี่ย.... ถึงได้ถามต่อไปไวขนาดนั้น
“ ก็ไม่แน่ใจว่าที่กำลังทำอยู่มันถูกรึเปล่า “
“ แล้วทำไมพี่ถึงคิดอย่างนั้น “
“ ก็... ตอนที่เห็นเรากับแฟนเก่าคุยกันเมื่อตอนกลางวัน ท่าทีเรามันแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด จนพี่รู้สึกว่าจริงๆ แล้วเราอาจจะยังชอบเขาอยู่ แล้วการที่พี่ดึงดันจะจีบอยู่เนี่ย มันถูกแล้วเหรอ... ที่จะทำให้ผู้ชายแท้ๆ มาชอบผู้ชายด้วยกันแบบนี้ ยิ่งถ้าเรายังชอบเขาอยู่... มันจะดีกว่ามั้ย... ถ้าให้เราได้มีความสุขอย่างที่คนปกติเขาควรจะเป็น ไม่ใช่... กับผู้ชายด้วยกันแบบนี้... “
ที่แท้ก็เพราะเรื่องเมื่อตอนเที่ยงนี่เอง... ตัวก็โตทำใจเสาะไปได้...
“ แล้วใครว่าผมจะไม่มีความสุขถ้าคบกับผู้ชาย.... คิดเองเออเองไปรึเปล่า “ ผมเถียงไปครับ เพราะถ้าเรื่องแค่นี้ก็มาท้อแล้วก็ไม่ต้องมาจีบผมเหอะ
“ หมายความว่า... “ พี่เขาถามต่อด้วยสายตาที่ดูมีไฟมากกว่าดวงตาหม่นๆ เหมือนช่วงที่ผ่านมาครับ
“ ก็... “ ผมผลุบตาต่ำลง ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบไป
“ ไม่ได้หมายความว่าไง... แค่จะบอกว่าสมัยนี้แล้ว... เขาไม่ได้มานั่งสนใจเรื่องเพศกันแล้ว “ ผมพูดเสียงเบาจบ ก็เปรยตามองคนตรงหน้า ก่อนจะเห็นรอยยิ้มอย่างที่เคยเห็นเหมือนเช่นทุกครั้ง แล้วจู่ๆ ผมก็รู้สึกเขินอย่างบอกไม่ถูก ให้มันได้อย่างนี้สิน่าไอ้เค.... โครตน่าอายเลยโว้ย!!!
“ แต่บอกไว้ก่อนนะ....ว่าผมไม่หมายความว่าผมโอเคกับพี่แล้วนะ แค่... บอกไปตามที่ผมคิดก็เท่านั้น “ แล้วผมก็รีบพูดสวนขึ้นมาทันทีเมื่อคนตรงหน้าไม่ยอมหุบยิ้มลงเสียที
“ คร้าบ... แล้ว... แฟนเก่าเรา... “ พี่เขาถามต่อด้วยน้ำเสียงประหม่าเล็กๆ
“ แฟนเก่าก็คือแฟนเก่าดิ ผม... ไม่ได้คิดอะไรแล้ว และอีกอย่างผมกับเขาก็จบกันไม่ค่อยดีด้วย จะให้ทำตัวยังไงล่ะ... เวลาเจอเขาอะ... “ ผมพูดไปตามจริงครับ เพราะผมไม่ได้รู้สึกรักแล้วจริงๆ และถ้าจะให้พูดตรงๆ ผมก็ยังโกรธเขาไม่หายเรื่องที่เธอเอาไอ้เสือผมไปปล่อย ซึ่งการที่ผมพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองได้มากขนาดนั้นก็ถือว่าดีเท่าไหร่แล้ว
“ ดีใจจังที่ได้ยินอย่างนี้ สบายใจละ “
ในที่สุดรอยยิ้มกวนๆ ก็กลับมาอีกครั้ง....
“ ไม่ต้องมายิ้มแบบนี้เลย ผมไม่ได้บอกว่าผมโอเคกับพี่นะ “
ทันทีที่ผมพูดจบรอยยิ้มบนใบหน้าพี่พีก็หายไปแทบจะในทันที ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าเหวอๆ และตาที่เบิกโพรงขึ้น ราวกับกำลังตื่นกลัวอะไรสักอย่างอยู่ แต่จะว่าไป... เรามัวแต่ปรับความเข้าใจกันจนลืมสถานการณ์ในตอนนี้ไปเสียสนิท หวังว่า.... คงจะไม่ใช่อะไรอย่างที่ผมคิดไว้หรอกนะครับ
“ ผะ...พี่... ทะทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ อย่าบอกนะว่า..หะเห็น... “
พี่พีรีบจุ๊ปากตัวเองเพื่อให้ผมหยุดพูดต่อ ก่อนจะเบือนสายตาไปจากทางด้านหลังผมทันทีครับ
เชี่ย!! เสียวสันหลังจนขนลุกไปทั้งตัวแล้วเนี่ย และไม่ต้องรอให้พี่เขาพูดอะไรต่อ ผมก็รีบกระโจนไปยังโซฟาตรงหน้าพลางหลับตาปี๋ จับมือและซุกหน้าเข้าไปที่ต้นแขนของพี่เขาทันที
“ ไม่ต้องพูดอะไรต่อนะรู้มั้ย... “
น้ำเสียงเรียบๆ ที่พี่พีบอกมายิ่งทำให้ผมมั่นใจในความคิดตัวเองมากขึ้น จากนั้นพี่พีก็จับมือผมออกจากแขนซ้ายของเขาก่อนจะเปลี่ยนเป็นโอบผมเข้าไปซบอกหนาของพี่เขาแทน ผมยังคงหลับตาปี๋เหมือนเดิม แถมหัวใจก็เต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอกซ้ายเสียให้ได้แล้วในตอนนี้ ก็ใครจะไปคิดกันละครับว่าเรื่องเล่ามันจะเป็นเรื่องจริง ไม่น่าลองดีเลยโว้ยไอ้เคเอ้ย!!!
“ ไม่ต้องกลัวนะ อยู่นิ่งๆ แบบนี้ไปก่อน และไม่ต้องพูดอะไรอีก “
แน่นอนอยู่แล้ว... ผมไม่กล้าหรอก และพี่เองก็ห้ามทิ้งผมไปด้วยนะ ไม่อย่างนั้นล่ะน่าดู
ดีนะครับที่การทดสอบนี้ไม่ต้องมาทำคนเดียว ไม่อย่างนั้นผมเป็นบ้าแน่ๆ แต่จะว่าไปตอนนี้ก็อุ่นดีแฮะ ได้กลิ่นกายบางๆจากตัวพี่พี ซึ่งผมจำมันได้ดี หลังจากคืนนั้นที่เรามีอะไรกันผมก็สะบัดกลิ่นนี้ออกไปจากหัวไม่ได้เลย มันเป็นอะไรที่เซ็กส์ซี่และเย้ายวนพิลึก แถมอกนี่ก็ไม่รู้จะแน่นไปไหน เข้าใจว่าเป็นนักกีฬาลักบี้แต่มันก็เกินชาวบ้านไปอยู่นะผมว่า แต่รวมๆแล้วก็คือ... ดีอะ....
ผ่านไปสักพักหนึ่งท่ามกลางความเงียบสนิท ทว่ากลับดูไม่มีทีท่าว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจึงเอ่ยปากถามกับพี่พีขึ้นมาเสียงเบา
“ พี่พี... ผมว่า... เรากลับกันเถอะ “
“ แต่พี่ยังอยากอยู่แบบนี้อะ “ พี่พีตอบมาด้วยน้ำเสียงที่ปกติเอามากๆ ทางพี่เขาจะไม่กลัวสิ่งลึกลับนี้เอาเสียเลย...
“ มันยังไม่โอเคอีกเหรอพี่...”
“ โอเคสิ โอเคมากด้วย... พี่ล่ะโครตชอบเลย “
เอ๊ะ!...???
ผมผละตัวออกมามองใบหน้ายิ้มขำก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าบางที.... ผมอาจจะพลาดแล้วก็เป็นได้
“ อย่าบอกนะว่า... พี่แกล้งผมอะ “ ผมแค่นถามไปด้วยสายตาดุๆ และก็เป็นจริงตามที่คิดไว้ เมื่อคนตรงหน้าเผยรอยยิ้มทะเล้นตอบกลับมา ผมเลยใช้โอกาสนี้ชกไปที่ต้นแขนพี่เขาหนึ่งที ซึ่งคนตรงหน้าก็ทำเป็นร้องเจ็บพลางลูบแขนตัวเองป้อยๆ แต่เชื่อผมเถอะกล้ามหนาขนาดนี้ไม่สะเทือนพี่แกหรอกครับ
ผมทำหน้ายุ่งเดินกลับไปนั่งที่โซฟาตัวเก่าท่ามกลางน้ำเสียงชอบใจของคนตัวโตที่แกล้งผมได้สำเร็จชนิดที่ว่า ผมเชื่อซะสนิทใจเลยล่ะครับ อายเป็นบ้าเลยโว้ย !
“ ขำอะไร ไม่ตลกนะ... “
“ โอเคไม่ขำก็ไม่ขำ พี่ไม่อยากให้บรรยากาศมันเงียบอะ เคจะได้ไม่กลัวไง “
“ บอกหลายรอบแล้วว่าไม่ได้กลัว แล้วเนี่ยเกิน 15 นาทีละ กลับกันได้แล้ว “ ผมดุไปครับ และจากการประมาณการคร่าวๆมันก็น่าจะเลยเวลาแล้วด้วย ดังนั้นออกไปจากที่นี่ให้ไวที่สุดน่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้วล่ะครับ
“ ยังไม่อยากกลับเลยอะ ยิ่งไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันสองคนแบบนี้ด้วย “ ผมถอนหายใจให้กับคนตรงหน้าแรงๆ อย่างเบื่อหน่ายความเอาแต่ใจที่ไม่ควรจะมีเลยกับคนๆ นี้
“ อยู่ไปคนเดียวก็แล้วกัน ผมจะกลับละ “ ว่าแล้วผมก็ลุกขึ้นยืนทันที ถ้าอยากอยู่ก็อยู่ไปคนเดียวเถอะ
“ จะลงไปคนเดียวเหรอ... หืม... “
ทันทีที่ได้ยินคำถามนี้ผมก็ถึงกลับชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวออกไปทันที คือลืมไปเลยครับว่าถ้าต้องลงไปคนเดียวท่ามกลางบรรยากาศที่น่ากลัวแบบนี้... มัน...
ผมหันกลับมามองพี่พีด้วยสีหน้ายุ่งๆ แต่ก็ไม่กล้าด่าอะไรพี่เขาเลยนะครับ เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าผมกำลังเสียเปรียบอยู่
“ จะกลับไม่กลับ... “ ผมถามไปเสียงห้วนครับ
“ อืม... จะกลับดีมั้ยนะ.... “
อยากจะด่าเชี่ยอย่างเหลืออด แต่ก็ไม่กล้าครับ ก็อย่างที่บอกว่าพี่เขากำลังถือไพ่เหนือผมอยู่
“ พี่พี! “
“ คร้าบ... ว่าไง “
“ อย่ากวนดิ “
“ ไม่ได้กวน “
“ ก็เห็นอยู่ว่าแกล้งผมอยู่เนี่ย “
“ โอเคๆ นั้นเรามาทำข้อตกลงกันดีกว่า “
นั่นไง โลกเราไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ เลยจริงๆ
“ ตกลงอะไรล่ะ “
“ 5 ลูก “
อะไรวะ 5 ลูก อันนี้งงจริงครับ..
“ 5 ลูกอะไรพี่ “
“ ก็ที่เราตกลงกันไว้ไงเรื่องแข่งแบด... ถ้าเราต่อให้พี่ 5 ลูก พี่ก็จะยอมกลับกับเราตอนนี้เลย “
“ ไอ้พี่พี! “
ผมจิ๊ปากอย่างขัดใจพร้อมกับร่นคิ้วครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมตกลงครับ เพราะถึงต่อให้ยังไง พี่เขาก็ไม่มีทางเอาชนะผมได้หรอก ที่สำคัญ... การออกไปจากที่นี่เร็วเท่าไหร่ถือว่าเป็นเรื่องที่ควรจะทำที่สุดแล้วในตอนนี้
ทันทีที่ผมยอมตกลงด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ คนตรงหน้าก็ยิ้มกว้างอย่างชอบใจพร้อมกับลุกขึ้นยืนและหยิบเอาโทรศัพท์ที่ตั้งกล้องไว้อย่างอารมณ์ดีทันที ก่อนจะถือวิสาสะจับมือผมเดินจูงพาออกไปท่ามกลางความมืดที่เงียบสงัด....