- 23 -
(part2)
หลังจากที่ผมคุยกับคุณแม่ของไอ้โทเสร็จจึงเดินไปช่วยยกของเยี่ยมและกลับมายังห้องคนไข้ ไอ้บูมก็ทำหน้าที่เสือกอย่างรวดเร็ว
“ไง คุยกันซะนานเชียว เรียกสินสอดไปเท่าไหร่วะ 555555”
ผมขยับปากด่ามันแบบไม่ออกเสียง เนื่องจากที่นี่เป็นโรงพยาบาล งดใช้คำหยาบคายครับ
หันไปมองดูคนป่วย ไอ้โทหลับไปแล้วเพราะฤทธิ์ยา เนื่องจากเวลาล่วงเลยมาจนค่ำ พวกผมจึงขอตัวลากลับ แม่เกศเดินเข้ามาตบหลังผมเบาๆ เหมือนเรียก ผมจึงหันกลับไป
“อาทิตย์หน้าโทเขาออกจากโรงพยาบาลแล้ว ยังไงลูกโมก็เตรียมตัวเก็บของไว้เลยนะจ๊ะ”
ผมยิ้มรับก่อนจะหันไปมองขวางที่ไอ้บูม แม่งทำท่าล้อเลียน เดี๋ยวเหอะ
ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้าน ก่อนเข้าหอพักผมแวะร้านเฮียโกว เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังแบบคร่าวๆ พี่ๆในร้านทุกคนมีสีหน้าตกใจพลางเอามือลูบคลำตัวผมว่าแขวนพระอะไรถึงรอดมาได้ อันที่จริงผมอยากจะบอกว่าคนที่ควรถามคำถามนี้น่าจะเป็นไอ้โทมากกว่า
“เฮียครับ คือผมมีเรื่องอยากจะคุยด้วย” หลังจากที่ทุกคนพากันไปทำหน้าที่ของตนเอง ผมจึงใช้เวลานี้คุยเป็นการส่วนตัว
“ว่ามาเร็วๆ” ถึงลักษณะคำพูดจะฟังไม่ค่อยสบายหู แต่นี่แหละคือการพูดธรรมดาๆของเฮียเค้า
“คือปิดเทอมนี้ผมคงไม่ได้ทำงานที่ร้านเฮียเดือนนึง ต้องไปดูแลเพื่อนที่โดนยิงแทนผมน่ะครับ” รวบรัดตัดตอนสั้นง่ายได้ใจความ เฮียโกวย่นคิ้วเข้าหากันพลางคิดพิจารณา
“พอเปิดเทอมเดี๋ยวผมกลับมาทำเหมือนเดิมครับ” อันนี้มันแค่ปิดเทอมเล็ก ช่วงเวลาสั้นๆแค่ 1 เดือน ไม่ใช่ปิดเทอมใหญ่ ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร
“เออๆ”
“ขอบคุณครับเฮีย”
บอกแล้วว่าเฮียเป็นคนใจดีแต่ปากร้าย ถ้าพูดตรงๆ ไม่โกหก ไม่อ้างแต่งเรื่องยังไงเฮียก็เข้าใจ จะมีเจ้านายที่ไหนใจดีขนาดนี้อีกมั้ย
ขณะที่ผมเดินออกจากร้านเพื่อกลับไปนอนที่ห้อง ระหว่างทางก็เจอเด็กมัธยมปลายที่หายไปตั้งแต่ช่วงผมใกล้สอบไฟนอล ปกป้องยิ้มกว้าง เร่งฝีเท้าเข้ามาใกล้
“โมสอบเสร็จแล้วใช่เปล่า? ละนี่ไปไหนมา ไม่ไปทำงานที่ร้านเฮียโกวหรอ ผมกำลังจะไปเนี่ย”
“อ่าใช่เพิ่งสอบเสร็จ” ผมตอบคำถามแรก “ส่วนวันนี้ขอลาหยุด
ทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายก็ถามกลับทันที
“ลาหยุดทำไมอะ?”
อ้อ...ปกป้องยังไม่รู้เรื่องทั้งหมดสินะ นี่มันก็ถึงเวลาแล้วที่เด็กตรงหน้าจะได้รู้ความจริงสักที นับตั้งแต่วันที่ปกป้องเข้ามาช่วยเหลือผม พาไปคลินิก (เสริมความงาม) ในวันที่ผมถูกย่ำยี คอยอยู่กับผมในวันที่อ่อนแอ แม้จะไม่ได้รับสิ่งตอบแทนอะไรเลย ปกป้องช่วยเหลือผมมาตลอด แต่ถึงอย่างนั้นผมกลับเลือกที่จะปิดบังบางสิ่งเอาไว้
ครั้งก่อนหน้านั้นที่ผมตั้งใจจะบอกมันกลับล้มเหลว แต่ครั้งนี้จะไม่เป็นอย่างนั้นแน่นอน หากไม่บอกออกไป ผมคงอึดอัดไม่กล้าสู้หน้าเด็กนี่เท่าไหร่
ผมมองนาฬิกาข้อมือ ยังมีเวลาเหลือเล็กน้อยให้ได้พอคุยกันก่อนที่ปกป้องจะเข้างาน
“ไปนั่งคุยในร้านตรงโน้นดีกว่า” ผมชี้ไปยังร้านกาแฟที่นักศึกษาชอบมานั่งอ่านหนังสือ เป็นร้านสงบ คนไม่เยอะ ไม่วุ่นวายดี นานๆทีผมถึงจะเข้ามาซื้อกาแฟสักครั้ง
ปกป้องเดินตามเข้ามาในร้านเงียบๆ ผมสั่งลาเต้เผื่อเขาไปแก้วนึง เมื่อได้เครื่องดื่มแล้วผมกลับมานั่งที่โต๊ะ ยื่นแก้วในมือให้
“มีอะไรรึเปล่า ดูโมจริงจัง ไม่เหมือนทุกที”
ผมนั่งลงและเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาทุกอย่างให้คนตรงหน้าฟัง นี่เป็นการเล่ารอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ เหมือนกับว่าเรื่องที่บอกมันจะซ้ำๆกัน แต่ผมบอกได้เลยว่าครั้งนี้มันต่างกันออกไป ขอบเขตในการบอกทุกอย่างที่ผมประสบพบเจอขึ้นอยู่กับความสำคัญของผู้ฟัง ยกตัวอย่าง เฮียโกวและพี่ๆในร้านกุ้งเต้นผมก็เล่าแค่ผิวเผิน เพื่อนๆในภาคบอกเพียงแค่บางส่วน ไม่ได้เจาะจงลึกถึงเหตุผลว่าทำไมไอ้หลามมันคลั่งถึงขนาดจะเอาปืนมาจ่อยิงผม ส่วนไอ้บูมและจ๊อบมันรู้ทุกอย่างอยู่แล้วไม่ต้องอธิบายอะไรมาก
แต่กับปกป้องผมจะเล่าแบบผิวเผินอย่างนั้นไม่ได้ เด็กนี่ดีกับผมมากเกินไป มากกว่าที่มนุษย์ร่วมโลกคนนึงจะเป็นได้ จนอดคิดไม่ได้ว่าปกป้องนั้นหวังผลตอบแทนอะไรสักอย่าง ที่ไม่ใช่เงินทองของนอกกาย แต่เป็นความรู้สึกพิเศษ ผมไม่ได้โง่ขนาดมองไม่ออก แค่ยังไม่อยากยอมรับ อีกอย่างเด็กนี่ก็ไม่ได้มีทีท่าเกินเลย ทำเหมือนพี่น้องสนิทสนมกันธรรมดา ทว่ามีบางอย่างในบรรยากาศระหว่างผมกับปกป้องที่มันแปลกไปเพราะเด็กนั่นสร้างขึ้นมา
ผมไม่ได้รังเกียจ เพียงแค่ไม่อาจตอบรับความรู้สึกพิเศษนั้นได้ มันคงไม่แฟร์ถ้าหากปกป้องคิดเกินเลยกับผมแต่กลับไม่รู้ความจริงอะไรเลย
“ทำไมโมไม่บอกกับผมตั้งแต่แรก” ปกป้องใช้น้ำเสียงนิ่งแบบที่ผมคาดไว้ไม่ผิด ใครจะไปรับได้ คนที่ตัวเองดูแลและดีด้วยมาตลอดกลับปกปิดมลทินบางอย่างเอาไว้ หากปกป้องขยะแขยงผมก็คงไม่แปลก
จะตอบว่าไม่มีโอกาสได้บอกก็เกรงว่าจะเป็นเหตุผลที่แย่ไปหน่อย เลยเลี่ยงไปพูดอย่างอื่นแทน
“บอกแล้วมันทำให้รู้สึกดีขึ้นมารึเปล่าล่ะ?”
“ไอ้เหี้ยโทมันอยู่โรงบาลไหน ผมจะไปฆ่ามัน ทำไมไม่โดนยิงตายห่าไปเลยวะ” ปกป้องพูดด้วยแรงอารมณ์ กำหมัดแน่น ซึ่งนานๆทีผมจะได้เห็นเขาในมุมนี้
“พี่ขอโทษที่บอกช้า”
“โมควรบอกผมเร็วกว่านี้ จะได้ตามไปกระทืบแม่ง”
ผมมองอารมณ์ร้อนของปกป้อง เหมือนผมในตอนแรกๆที่ไม่คิดจะยอมตกเป็นฝ่ายถูกกระทำอยู่เพียงฝ่ายเดียว หาวิธีแก้แค้นเอาคืนจนเรื่องบานปลายมาถึงขนาดนี้ บางทีเรื่องร้ายๆก็เหมือนของสกปรก ยิ่งเราไปยุ่งเราก็ยิ่งสกปรก
แต่การได้เห็นเด็กตรงหน้าโมโห เดือดเนื้อร้อนใจแทนผมแล้วมันก็ทำให้ผมคลายกังวล เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่าปกป้องไม่ได้รังเกียจหรือขยะแขยงที่ผมโดนผู้ชายด้วยกันขืนใจมาก่อน ช่วงเวลานั้นผ่านมาแล้ว ผมผ่านมันมาได้ด้วยความทุลักทุเล เมื่อถูกเล่าถึงเหตุการณ์เลวร้ายนั้นอีกครั้งผมกลับไม่รู้สึกอะไร เหมือนเล่าเรื่องทั่วไป คงเป็นเพราะผมปล่อยวางแล้ว อย่างที่แม่เกศบอก ผูกใจเจ็บไปก็ไม่ได้อะไร ปล่อยให้มันเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำที่ผมคงไม่มีวันลบ ให้มันเป็นบทเรียนบทหนึ่งของชีวิต
“แล้ว...ตอนนี้โมโอเครึเปล่า?”
เมื่อกี้ยังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จู่ๆปกป้องก็ปรับอารมณ์จนผมเกือบตามไม่ทัน
“โอเคแล้ว”
“ผมหมายถึง..เรื่องที่โมโดน..เอ่อ...นั่นแหละ...” เด็กหัวเกรียนอ้ำๆอึ้งๆ ไม่กล้าพูด แต่ผมพอจะจับใจความได้ “แล้ว..แล้วถ้าหากมีผู้ชายมาชอบโมอีก...โมจะรับได้มั้ย?”
ผมอึ้งไปเล็กน้อย จ้องไปยังคนที่หลบตาทำเป็นดูดน้ำ
โอเค ผมว่าผมได้คำตอบแล้วล่ะว่าไอ้เด็กนี่มันรู้สึกพิเศษกับผมจริงๆ หากเป็นผู้หญิงมานั่งแทนผมตรงนี้คงเขินตัวม้วนไปแล้ว แต่ผมกลับนิ่งเฉย เรื่องความรักมีฟงมีแฟนเป็นเรื่องใกล้ตัวสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับผมแล้วมันคืออารมณ์อีกอย่างหนึ่งที่ผมถือคติว่ามีความรักแล้วต้องมีความสุขให้มากกว่าความทุกข์ ดังนั้นตั้งแต่เกิดมาผมจึงยังไม่มีแฟนเลยสักคน เคยแอบชอบผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนม.ต้น เธอตัวโตกว่าผม ตาตี่ หน้ากลม ผมเข้าไปตีสนิทแบบเนียนๆ แต่พอหลังจากได้สนิทก็พบว่าเธอเป็นคนที่จู้จี้จุกจิกและเจ้าบงการมาก เอะอะสั่ง เอะอะชี้นิ้ว ผมเลยล่าถอยออกมา
นับตั้งแต่เข้ามหาลัยอยู่กับไอ้พวกนี้ก็มีบ้างที่มองสาวๆ แต่อย่าลืมสิครับว่าพวกเพื่อนๆในกลุ่มผมมันคือใคร ไอ้โทไง หล่อ ดูดี บ้านรวย แค่นี้ก็เป็นเป้าหมายแรกแล้วล่ะครับ รองลงมาก็ไอ้หลาม ไอ้จ๊อบนี่เก็บงานแบบเงียบๆ น้องบูมก็มัวแต่ค้นหาตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ส่วนผมเหรอ ตัวเลือกไว้ทีหลังสุดโน่นนนน คิดแล้วก็เจ็บช้ำ ยังไม่ทันได้ลองเปิดซิงสาวกลับต้องมาเสียตูดให้ไอ้คนที่สาวๆหลายคนหลงแต่เปลือกนอก
“ไม่รู้สิ ตอนนี้ยังตอบไม่ได้” กลับมาตอบคำถามที่ค้างไว้ ไม่ได้รังเกียจคนรักเพศเดียวกัน ผมยังไม่อยากให้ความหวังเด็กมันนัก กับไอ้โทที่ผมถูกมันบอกรักมา3-4รอบยอมรับว่าใจแกว่งแบบสาวแรกรุ่น ถ้าหากมันไม่หน้ามืดเข้าใจผิดจนลงมือทำสิ่งเลวร้าย ผมว่าผมก็คงหวั่นไหวได้เหมือนกันเพราะสิ่งที่มันทำตลอดเวลาที่รู้จักกันมาคงไม่มีเพื่อนสนิทคนไหนทำให้แบบนี้หรอก
คนถามหน้าจ๋อยไปแป๊บนึง ก่อนจะกลับมาทำหน้าสดใสใหม่
“แสดงว่าตอนหน้าตอบได้ ถูกมะ?”
กวนตีน กระตุกคิ้วให้ผมหนึ่งที ผมนี่เกือบกระตุกตีนใส่ไอ้เด็กปีนเกลียวนี่เลย
“นับแต่นี้ไปโมห้ามเจอไอ้สารเลวนั่นอีกนะ” สรรพนามที่ฟังดูรุนแรงนั่นทำให้ผมต้องดึงอารมณ์กลับมาโหมดจริงจังอีกครั้ง คนพูดมองผมด้วยสายตาขึงขัง “ต่อให้มันจะเป็นจะตายก็ช่างแม่ง เจอกันอีกทีก็โน่น ให้มันนอนอยู่ในโลง โมค่อยไปหามัน”
คืออยากจะบอกว่าพี่เพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาลเองน้องเอ๊ยยย แต่ผมไม่กล้าพูดขัดออกไป อารมณ์รุนแรงแบบนี้อย่าเพิ่งไปขัด
“แต่เอ๊ะ ผมจำได้ลางๆว่าโมเคยบอกว่าไอ้นั่นเป็นแค่อดีตเพื่อน แสดงว่าโมเกลียดมันตั้งแต่เกิดเรื่องแย่ๆขึ้นสินะ หึหึ ดีแล้วครับ...โมน่าจะบอกผมตั้งแต่แรก ไม่น่าเก็บไว้ ผมจะได้ช่วยกันโมออกห่างจากมัน”
“ก็ไม่ใช่เรื่องภูมิใจที่น่าบอก”
“ว่าแต่โมเข้มแข็งมากเลยนะที่ผ่านมาได้ หวังว่าโมจะไม่เจอเรื่องร้ายๆอีก ขอให้โมแฮปปี้ ไม่เจ็บไม่ไข้ รอดพ้นปลอดภัยจากมารผจญทั้งหลาย เจ้ากรรมนายเวรอย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย มีแต่ความสุขความเจริญ อายุวัณโณสุขังพลัง”
“สาธุ” รับมุขมันหน่อย ก่อนจะ “ถุ๊ยยยย นรกจะแดกกบาลเอา เล่นพระเล่นเจ้า”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ”
อยากจะตบหัวเกรียนๆ ติดที่ว่าเอื้อมไม่ถึง ปัดโธ่
ก้มมองดูนาฬิกาบนข้อมือพบว่าไอ้เด็กที่ยังต้องไปทำงานพิเศษสายไป10นาทีแล้ว เลยไล่มันไปทำงาน ส่วนผมขอกลับห้องนอนพักเฉยๆ เหนื่อยมาทั้งวัน
เมื่ออาบน้ำเสร็จเรียบร้อยก็เปิดคอมฯ เพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่มีโทรศัพท์ใช้ ว่าจะเสิร์ชหาซะหน่อย เอาแบบถูกๆ ไม่แพง โทรเข้าโทรออกได้ก็พอ เฟสไลน์อะไรไม่ต้อง
ว่าแล้วก็อัพเดทความเคลื่อนไหวสักหน่อย มีแจ้งเตือนว่ามีคนแท็กรูปผมมา กดเข้าไปดูไม่ใช่ใคร ไอ้จ๊อบที่ลงรูปเพื่อนๆพากันไปถล่มห้องคนไข้ ร้อยละ90ของคนที่อยู่ในรูปหมู่จะซูมหาใบหน้าตนเองก่อน เพื่อเช็คสภาพหน้าว่าโอเคไหม ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ขณะที่ผมกำลังหาว่าอันตัวผมนั้นอยู่ที่ใดในรูป ไอ้เต้ก็คอมเม้นต์ชิงถามซะก่อน
WattanaThaithae ไหนนะโมวะนั่นดิ คือไม่มีกูในรูปไม่ต้องแท็กกูก็ได้ ยังไงๆมันก็เด้งขึ้นหน้าฟีดอยู่แล้ว เดี๋ยวกูตามไปไลค์
Boooom Tanupol Dechapuk นั่นสิ อยู่ไหนน้าศดิศ จันทรโชค ลองหาดีๆสิKasidech Triamornlert หรือแอบอยู่ใต้เตียง 555555First Settawut กูว่าที่มันยืนตรงของฝากเพราะหานมแดกแน่ๆPhobthum Putthamapisut ห่าเฟิส เม้นต์เกรงใจกูหน่อยก็ได้เพื่อนผมไล่ตามอ่านคอมเม้นต์ของพวกมันที่โต้ตอบกันวินาทีต่อวินาที พวกมึงไปเปิดกรุปแชทเถอะ
จนกระทั่งชื่ออันคุ้นตาได้แสดงความคิดเห็นบ้างทุกคนถึงกับงง
Tho Kitphakin S2ว้อท? อะไรของมันครับ คือมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เพื่อนกำลังคุยเล่นอย่างสนุกสนาน ไอ้นี่ดันมาเม้นต์ตัวย่ออะไรของมันเนี่ย
Boooom Tanupol Dechapuk อุต๊ะ
ศดิศ จันทรโชค โอโห
Yaraphorn Jirathummasorn คือไรอ่าโท?
เจษดา คนเดิม ไม่มีเพิ่มเติม ใบ้หวยหรอมึง
Meawmaw Chotika หวยบ้านมึงมีตัวอักษรภาษาอังกฤษเหรอหะ
เจษดา คนเดิม ไม่มีเพิ่มเติม เออ หวยบ้านกูอยู่ที่อังกฤษครับผม พอเถอะ ถึงคนอื่นจะไม่รู้ว่าที่ไอ้โทมันเม้นหมายถึงอะไร แต่ผมมั่นใจว่าไอ้บูมกับไอ้จ๊อบต้องรู้แน่นอน ผมปล่อยผ่านโพสนั้นไป ไม่ได้เข้าไปคอมเม้นต์อะไรอีก แม้แจ้งเตือนจะเด้งเรื่อยๆก็ตาม
ตกดึกผมได้ยินเสียงเปิดประตู คงเป็นปกป้องที่เพิ่งเลิกงานแล้วกลับมานอนพักห้องผมเหมือนปกติ แต่คราวนี้กลับไม่ปกติเพราะหลังจากที่ปกป้องอาบน้ำเสร็จแล้วล้มตัวลงนอนข้างๆ ผมรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่ทิ้งตัวลงบนท้อง
ผมยังคงหลับตา ครึ่งหลับครึ่งตื่น เหมือนฝันแต่ก็ไม่ได้ฝันเพราะเมื่อพลิกตัวนอนหันตะแคงช่วงแขนอีกฝ่ายก็ตามมาพร้อมไออุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วแผ่นหลัง
ปกป้องกอดผม...แค่นั้น
“ไปเยี่ยมไอ้โทกัน”
หืมมม ผมเกือบสำลักน้ำเต้าหู้ที่เย็นชืดเพราะเด็กนี่ซื้อมาพร้อมปาท่องโก๋ในตอนเช้า ส่วนตัวผมตื่นประมาณ10โมงกว่าๆ เห็นปกป้องนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่
“คิดไง?”
“อยากเจอ”
“ไม่ใช่จะไปต่อยเค้าหรอกหรอ”
“รู้ทันอีก”
“ไปต่อยไม่ว่าหรอก แต่ดูสภาพอีกฝ่ายด้วย รอมันหายดีก่อนไหม จะต่อยกี่ยะ...”
“กี่ยกเดี๋ยวเป็นกรรมการให้” ปกป้องชิงคำพูดของผม “คราวที่แล้วก็บอกงี้ ผมยังไม่ได้เอาคืนเลยเนี่ย”
แหม๊ มีทำงอน
“จะเตะจะต่อย กระทืบ อยากทำไรทำเลย ไม่มีการห้ามครั้งที่3แล้วจริงๆ”
“พูดละนะ”
“เอออออออออ” ผมลากเสียงยาว “ถ้าห้ามอีกมาต่อยพี่แทนก็ได้มา”
“ไม่ต่อยหรอกแต่จะทำอย่างอื่น หึหึ”
“ปีนเกลียวจริงๆ” พูดพลางส่ายหัว “แล้วนี่จะไปเยี่ยมไอ้โทมั้ยหรือแค่พูดเล่น”
“ไปดิ อยากดูว่ามันใกล้ตายรึยัง”
ปากเสียจริงๆ ไอ้เด็กนี่
ตึกสีขาวตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า บรรยากาศร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้ที่ช่วยบดบังแสงแดด พอได้ก้าวเข้ามาในตึกที่ผมมาเป็นครั้งที่สองแล้วก็อดชื่นชมกับดีไซน์ของตึกและนางพยาบาลสวยๆไม่ได้ สมกับเป็นโรงพยาบาลเอกชนจริงๆ ราคาห้องนอนพักฟื้นหนึ่งคืนทำเอาผมไม่กล้าเดาราคา
ขณะที่ผมกับปกป้องอยู่ในลิฟต์ ไอ้เด็กหัวเกรียนก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าควรมีของเยี่ยม และไล่ให้ผมไปซื้อ ผมถอนหายใจแต่ก็ยอมไปซื้อแต่โดยดี
“ห้อง 513 นะ”
“อืม”
“เลขอัปมงคลดี”
ถ้าแม่เกศได้ยินเข้าคงร้องไห้และรีบทำเรื่องย้ายลูกเปลี่ยนห้องโดยเร็วที่สุด
ผมเดินหาซื้อกระเช้าอยู่นานแต่ก็ไม่มีเลย ช่างแม่ง ของเยี่ยมในห้องไอ้โทก็เยอะอยู่แล้วนี่ เปลืองเงิน ไม่ต้องซื้อ จบ
ผมเดินกลับไปในโรงพยาบาล ตรงไปยังจุดมุ่งหมาย หรือคิดอีกทีผมควรรอที่ห้องตรวจ เผื่อสองคนนั่นมีเรื่องกันผมจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินกลับไปมา
พอเปิดประตูห้อง ทั้งคูก็จ้องหน้ากันอย่างกินเลือดกินเนื้อ โดยมุมน้ำเงินยืนกอดอกอย่างน่าเกรงขาม ส่วนมุมแดงกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงไม่ยอมละสายตาเช่นกัน
“นะโม/โม” สองเสียงเรียกขึ้นมาพร้อมกัน ผมเลิกคิ้ว ควรตอบรับคนไหนก่อนดี
“มีไร” งั้นไม่เจาะจงละกัน ผมเดินไปนั่งที่โซฟาตัวยาว
“กลับกันเถอะ/ขอคุยด้วยหน่อยสิ”
ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดูท่าว่าการเป็นกรรมการคู่ชกนี้คงไม่ใช่เรื่องง่าย
ว่าแต่ไอ้โทมันมีเรื่องอะไรจะคุยกับผม? ข้อสงสัยนี้ทำให้ผมตอบรับมันไป ปกป้องโวยวายไม่พอใจ
“เพิ่งมาถึงเอง” ผมถอนหายใจบอกเบาๆ
“งั้นผมขออยู่คุยด้วย ผมไม่ยอมให้โมอยู่กับไอ้นี่สองต่อสองหรอกนะ เดี๋ยวมันทำร้ายโมอีก”
“ขี้เสือกจริงๆ” คนบนเตียงบ่นเบาๆแต่ได้ยินทั้งห้อง
“มีไรก็ว่ามา” ไม่ได้ลุกจากโซฟาเพื่อไปคุยใกล้ๆ ปล่อยให้คนป่วยลุกตะแคงจ้องมายังผม โดยมีเด็กหัวเกรียนคอยจะเอาร่างบังผมออกจากสายตาไอ้โทอยู่เรื่อย
“นี่ มีมารยาทหน่อย” ไอ้โทดุเสียงเข้ม
“นั่งลงเถอะ ยืนแบบนั้นพี่คุยกับมันไม่ถนัด” ปกป้องเดินมานั่งลงข้างผมอย่างช่วยไม่ได้ แถมยังจงใจเบียดร่างทั้งๆที่พื้นที่เหลืออีกเยอะ ไอ้โทมองการกระทำของปกป้องด้วยสายตาอาฆาต
“พรุ่งนี้กูออกจากโรงบาล”
แล้วยังไง?
“มึงสัญญาอะไรกับแม่กูไว้ละ?” เมื่อเห็นผมทำหน้างงไอ้โทถึงได้เตือนความจำ คนข้างๆรีบถามทันทีเมื่อเหมือนว่าตัวเองจะเป็นส่วนเกิน
“สัญญาอะไรโม?”
“ไม่มีไรหรอก” ตอบปัดไป เดี๋ยวค่อยอธิบายทีหลัง
“พรุ่งนี้เจอกันที่นี่ 10 โมงแล้วไปพร้อมกู พี่เอกและแม่เลย”
แสดงว่าต้องเริ่มดูแลมันที่บ้านตั้งแต่พรุ่งนี้จนกว่าจะเปิดเทอมสินะ ไหนแม่เกศบอกว่ามันออกจากโรงบาลได้อาทิตย์หน้าไงวะ ทำไมถึงเลื่อนมาเป็นพรุ่งนี้
“ไม่เจอ เจอทำไม โมไปสัญญาอะไรกับแม่มันไว้”
“ให้นะโมมาเป็นพยาบาลส่วนตัวดูแลกูไง” โดนถามมากๆเข้าก็รำคาญ ไอ้โทเลยยอมบอก ท่าทางตอนนี้มันเหนือชั้นอย่างน่าหมั่นไส้
“ไม่ต้องเลยโม พยาบาลมีเยอะแยะไปจ้างเอาสิ” ปกป้องรีบหันมาพูดกับผม ค้านสุดเสียง
“ก็ไม่ได้อยากไปดูแลหรอกแต่พี่รับปากคุณแม่เขาไปแล้ว ผิดคำพูดกับผู้ใหญ่มันไม่ดีนะ”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ คนป่วยนอนมองดูผมกับเด็กหัวเกรียนคุยกัน ส่วนผมก็ปวดหัวไม่รู้จะอธิบายออกไปยังไง ที่ตกลงรับดูแลมันก็แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ถือเป็นการตอบแทนที่เอาตัวเป็นโล่บังกระสุนให้ด้วย
ในเมื่อไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกและผมเกลียดความอึดอัดแบบนี้จึงขอตัวกลับ ตามที่ตกลงไว้คือปกป้องจะพาไปเลือกซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ ทว่าตลอดทางปกป้องนั่งเงียบไม่คุยกับผมเลย
“ปกป้อง” เรียกชื่ออีกฝ่ายให้หันมาสนใจ “ที่พี่ยอมไปดูแลมันเพราะคุณแม่เขามาขอร้อง อีกอย่างพี่ก็รู้สึกผิดด้วยที่ทำให้ลูกชายเขาตกอยู่ในสภาพแบบนั้น ดูแลมันแค่ช่วงสั้นๆไม่นานหรอกน่า อีกอย่างตอนนี้หอพักเขาไล่คนออกจากตึกหมดแล้ว เหลือแค่ห้องเรานี่แหละที่ไม่ยอมไปไหนสักที ระหว่างนี้พี่คงหาที่พักใหม่ไปพลางๆด้วย”
“งั้นมาอยู่กับผม” เด็กหัวเกรียนยอมพูดแล้ว “อันที่จริงโมไม่จำเป็นต้องไปตอบแทนบุญคุณไรนั่นก็ได้ มันทำกับโมไว้ขนาดนั้นยังจะดีกับมันอีกหรอ”
ไม่ได้ดีด้วยว้อย แค่ทำตามหน้าที่
“แล้วแบบนี้โมจะทำงานที่ร้านกุ้งเต้นได้รึไง”
“อ้อเรื่องนั้นพี่บอกเฮียโกวแล้วว่าขอลาพักยาวๆจนกว่าจะเปิดเทอมเดี๋ยวมาทำใหม่”
“โมทิ้งผม” สีหน้าเศร้าๆนั่นทำเอาผมรู้สึกผิดแต่ตลกไปในเวลาเดียวกัน ร่างสูบแบบนักกีฬาห่อไหล่ ศีรษะก้มลงอย่างหมดกำลังใจ จนอดไม่ได้ที่จะตบแปะบนบ่าเบาๆ
“ไม่ได้ทิ้งซะหน่อย บอกแล้วไงว่าพี่เปิดเทอมก็กลับมาทำเหมือนเดิม ถ้ากลัวเหงาก็ไปคุยกับพี่ๆป้าๆหรือลูกค้าที่ชอบเอาของฝากมาให้เราซะสิ ฮ่าๆๆๆๆๆ”
“โห่ ไม่เอาหรอก อยากคุยกับโมคนเดียว”
ยิ้มรับประโยคเอาแต่ใจนั่น เหมือนเด็กจริงๆเลย
“ชีวิตนี้จะไม่คุยกับคนอื่นเลยรึไง?”
“ก็ถ้าได้คุยกับโมตลอดไปแบบนี้ก็ยอม”
โอเค เด็กสมัยนี้ไม่ใช่โตไวอย่างเดียวแต่ยังหยอดเก่งอีกด้วย
Surprise!
วันนี้มาอัพให้2ตอน คึๆ
อ่านต่อได้เยย