หมอนั่น ชื่อ ‘ยูล’
ผมแปลกใจที่ชื่อเขาดูคล้ายกับคนทางเอเชียมากกว่า แต่หมอนั่นกลับอธิบายให้ฟังว่าชื่อของเขามาจากคำว่า จูเลียต ในภาษารัสเซีย เราสนิทกันไวมาก ครั้งแรกๆ ก็เจอและคุยกันในปาร์ตี้เฉยๆ แต่มาสักพักหนึ่งก็เริ่มนัดกันออกมาเที่ยวข้างนอก ยูลเป็นคนพูดเก่ง เขายิ้มง่าย และชอบสังเกตว่าอะไรคือสิ่งที่ผมชอบ หรือไม่ชอบ
ราวหนึ่งเดือนครึ่งหลังจากเจอกันครั้งแรก เราสองคนก็จบวันอันแสนสุขในฤดูร้อนบนเตียง ยูลอ่อนโยนและใจดีกับผมมาก ครั้งแรกที่เจ็บเสียดเสียจนน้ำตาผมอาบแก้มก็ถูกหมอนั่นดูแลจนหายดี ผมคิดว่าเช้าหลังจากที่มีเซ็กส์กัน ยูลจะเอาไปโพนทะนาว่าผมวางยาเขาและอาศัยช่วงโอกาสที่กำลังคึกศึก ร่วมหลับนอนกับเขา
ทว่าสิ่งที่ยูลทำกลับไม่ใช่แบบนั้น หมอนั่นยังกอดผมเอาไว้ในเช้าวันถัดมา เช็ดตัวให้ผมที่ไข้ขึ้นสูงเกือบสี่สิบองศา แม่ของยูลเองก็ดีกับผมมาก ทั้งๆ ที่รู้ว่ายูลกับผมเป็นอะไรกัน ท่านก็ยังดูแลราวกับผมเป็นลูกชายอีกคนหนึ่ง ผมเคยคิดอยากเป็นคนรักของหมอนี่ แต่ยิ่งอยู่ด้วยกันไป ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าเราสองคนเหมือนเพื่อนกันมากกว่า พอใจเมื่อไหร่ก็ขึ้นเตียง
ยูลเองก็แค่เอ็นดู และชอบที่ผมไม่เรื่องมาก ผมก็แค่อยากได้ใครสักคนมาหยุดผมเอาไว้ก็เท่านั้น...
มีช่วงหนึ่งที่ยูลเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยทำให้เราไม่ได้เจอกันเกือบสามเดือน ผมทำตัวเหลวแหลก ออกเที่ยวบ่อยขึ้น เริ่มมั่วมากขึ้น มีเซ็กส์ได้กับทุกคนถ้าพอใจ แต่ในทุกครั้งผมจะผสมโทนาฟีลลงในเหล้าของตัวเองนิดหน่อย เพื่อความราบรื่นและไม่ต้องคิดอะไรมากกับคู่นอนที่จำหน้าแทบไม่ได้
เซ็กส์กลายเป็นสิ่งที่ผมเสพติดไปเสียแล้ว...
การสอบเข้ามหาวิทยาลัยของยูลผ่านพ้นไปได้ด้วยดี หมอนั่นเข้ามาจัดระเบียบในชีวิตผมอีกครั้ง ไปส่งที่โรงเรียนและมารับกลับบ้าน พาไปเที่ยวบ้างในบางที แต่ก็ยังบังคับให้ผมอ่านหนังสือและทำการบ้านอยู่ทุกวัน
ผมไม่รู้ว่าแม่รู้เรื่องยูลจากใครและเมื่อไหร่ และสิ่งที่ผมได้รับก็คือฝ่ามือที่ทาบลงบนผิวแก้มอย่างแรงจนปากแตก...
“ฉันไม่เคยสอนให้แกเป็นเกย์ ทีเรื่องดีๆ ต้องให้สอน ทีเรื่องเหี้ยๆ ไม่เคยต้องให้กระดิกปากเลยนะ!!”
ผมนิ่ง ไม่โต้ตอบอะไรทั้งนั้น ผมเลือกที่จะเงียบและเดินขึ้นห้อง ทว่าแม่กลับจิกให้ผมกลับลงมาแล้วตบซ้ำที่เดิม
“ใครสั่งสอนให้แกเดินหนีฉัน หา!!!”
“ไม่มีใครสอนครับ ไม่เคยมีใครสอนให้ผมทำดีหรือทำชั่วทั้งนั้น”
“เดี๋ยวนี้กล้าต่อปากต่อคำกับฉันเรอะ!!” แม่ตะคอก
ผมยืนนิ่ง ไม่ตอบอะไร ถ้าแม่โมโห ก็ปล่อยให้เขาพูดไป แต่กว่าผมจะได้กลับขึ้นไปโทรศัพท์หายูล ปากผมก็แตกจนรู้สึกไม่อยากกินอะไรไปหลายวันเลยทีเดียว
“เจ็บมากมั้ย” ยูลพาผมมาที่บ้านเพื่อทำแผลที่ปากในวันรุ่งขึ้น วันนี้แม่ของยูลไปทำงาน ทำให้เราอยู่บ้านกันแค่สองคน
“อืม”
“คราวนี้เรื่องอะไร” เขาแตะยาลงที่มุมปากผมเบาๆ ทว่ามันกลับเจ็บจนผมเผลอสะบัดหน้าออกห่าง แต่ยูลก็จับหน้าผมให้กลับมาแล้วเริ่มแต้มยาให้อีกครั้ง
“แม่หาว่าฉันเป็นเกย์”
ยูลชะงักมือที่ทายา ถอนหายใจออกมาแรงๆ
“เพราะฉันใช่มั้ย..ขอโทษนะ”
“ขอโทษทำไม” ผมกระซิบถาม แล้วซบลงที่ไหล่กว้างๆ ของนักบาสผู้แสนอ่อนโยนคนนั้น ยูลกอดผมเอาไว้พลางยกมือขึ้นลูบผมของผมเบาๆ “ถ้าไม่มีนายเข้ามา ฉันอาจจะฆ่าตัวตายไปแล้วก็ได้”
“ไม่เอาน่า นายเป็นน้องชายที่รักของฉัน จำได้มั้ย อย่าพูดเรื่องนี้อีก นายรู้สึกแย่เมื่อไหร่ก็มาที่บ้านเรา แม่เองก็อยากให้นายอยู่ที่นี่จะตาย” แม่ของยูล หรือที่ผมเรียกว่า มัม เป็นคนใจดีจริงๆ ครับ รับได้ที่ลูกชายเป็นเกย์ เพราะเธอถือว่าลูกชายไม่ได้ก่อเรื่องเดือดร้อนให้ใคร ซ้ำยังเรียนเก่ง ไหนจะเป็นนักบาสเก็ตบอลเสียอีก มัมเองก็รู้เรื่องของผมดี เธอเลยยิ่งเอ็นดูผมมากขึ้น
“ขอบคุณนะยูล”
ตอนผมอายุสิบเจ็ดปีเศษเพิ่งจบมัธยมปลายได้หมาดๆ เราสองคนก็ไปเที่ยวฉลองที่ผมเรียนจบ(สักที) ผมไม่มีเพื่อนสนิทคนไหนอีกนอกจากยูล เพื่อนบางคนที่ผมรู้จักจากในห้องเรียนก็คุยกันบ้างแต่ไม่มาก เพราะผมเป็นคนเก็บตัวและพูดน้อยทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อนคนไหนอยากคบกับผมเท่าไรนัก
เราสองคนนอนอาบแดดอยู่ริมทะเลที่ไมอามี่ ตอนผมได้รับโทรศัพท์ตามตัวจากที่บ้าน แม่บอกผมด้วยเสียงเย็นๆ ว่าน้าอิ่มมาหา และผมต้องกลับบ้านเดี๋ยวนี้...มันเป็นยิ่งกว่าประกาศิตที่ตัดความสุขของผม ไม่สามารถปฏิเสธหรืออ้างใดๆ ได้เลย ผมต้องขอให้ยูลพากลับบ้านในวันนั้นทั้งๆ ที่ตามกำหนดแล้ว เรายังมีเวลาเที่ยวในไมอามี่กันอีกสองวันเต็มๆ
“ขอโทษนะยูล” ผมพึมพำขณะนั่งอยู่ในรถ ผู้ชายที่ใจดีกับผมเสมอยิ้มให้ เขาชะลอรถลงตอนที่ติดไฟแดงแล้วก้มลงมาจูบปากผมเบาๆ ทีหนึ่ง
“ไม่เอาน่า ไว้เรามาเที่ยวกันเมื่อไหร่ก็ได้”
น้าอิ่มมาหาผมที่บ้านเพื่อบอกข่าวดีว่าเธอกำลังจะแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่ง และเธอต้องการจะพาผมกลับไปเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยที่ไทย นอกจากนี้เธอก็จะดูแลผมเองด้วย แน่นอนว่าถ้าน้าอิ่มบอกประโยคนี้กับผมเมื่อห้าปีที่แล้ว ผมจะดีใจมาก แต่นาทีนี้ผมกลับรู้สึกว่างเปล่าในอก...ไม่อยากจากยูลไปไหน
ไม่รู้ว่าจะหาคนที่ดีแบบยูลได้จากไหนอีก ผมกลัวการเปลี่ยนแปลง เพราะการเปลี่ยนแปลงเมื่อเก้าปีที่แล้วทำให้ผมทรมานแทบขาดใจ จนวันนี้ผมก็ยังกังวลกับการย้ายกลับไปอยู่ที่ไทย ไม่ว่ามันจะให้ผลที่ดีหรือแย่กว่าก็ตามที
“ผม..คือ ผมไม่อยากไป...” ผมพึมพำข้างๆ น้าอิ่ม ทว่ามันคงไม่เบาพอ เพราะแม่แหวขึ้นทันที
“ทำไม หรือว่าแกรักไอ้เกย์นั่นมากกว่า”
“แม่อย่าพูดถึงยูลแบบนั้นนะ”
“ฉันจะพูด แกจะทำไม!!”
ผมก็ได้แต่เงียบ ทำอะไรไม่ได้...เพราะไม่ว่ายังไง แม่ก็คือแม่
“พี่อร อิ่มขอคุยกับฝุ่นสองคนนะ” น้าอิ่มบอกอย่างนั้นแล้วลุกขึ้นจูงมือผมออกไปนอกตัวบ้าน รถของยูลยังจอดอยู่ที่เดิม หมอนั่นลงจากรถมายืนมองผมด้วยความเป็นห่วง
“ฝุ่น...แม่เราบอกว่า เราติดผู้ชาย แล้วก็เสียคนมาก”
“ผมไม่ได้ติดผู้ชาย..ยูลเป็นเพื่อน เป็นครอบครัวคนเดียวที่ผมมี!!” ผมตะโกนขึ้น ถึงตอนนี้น้ำตาผมเริ่มคลอที่ดวงตาอีกครั้ง ยิ่งคิดว่าถ้าต้องจากยูลไป ผมจะทำยังไง “ถ้าแม่จะบอกอย่างนั้น น้าอิ่มก็ควรถามแม่ ว่าแม่เคยดูแลผมบ้างรึเปล่า”
ผมเริ่มเสียงอ่อนลงบ้าง น้าอิ่มเอื้อมมือมาลูบแก้มผมเบาๆ สี่ปีที่ไม่ได้เจอกันเป็นเวลาที่นานพอดู ผมสูงขึ้นจากเดิมมาก โตขึ้น ด้านชามากขึ้น...และไม่ยอมโดนคำพูดหรือการกระทำของใครทำร้ายอีกต่อไป
“น้าอยากพาเรากลับบ้านนะฝุ่น น้าสัญญาว่าจะดูแลเราอย่างดีที่สุด แฟนของน้า..คนที่น้าจะแต่งงานด้วยน่ะ เขาใจดีมาก ตอนที่พี่สินรู้เรื่องของฝุ่น เขายิ่งคะยั้นคะยออยากให้ฝุ่นกลับไปอยู่ที่บ้านด้วยกัน”
“ผมขอโทษ แต่ผม..ผม ไม่มีใครนอกจากยูล ผมไม่อยากไปที่อื่น” ผมบอกไว้แค่นั้นแล้วค่อยๆ ถอยหลังออกจากสัมผัสอุ่นๆ ของน้าอิ่ม ผมเดินไปทางรถของยูลที่จอดทิ้งเอาไว้หน้าบ้าน ขึ้นไปนั่งโดยที่ไมได้พูดอะไร ผมไม่รู้ว่าก่อนที่ยูลจะเข้ามาในรถและเริ่มสตาร์ทนั้นน้าอิ่มพูดอะไรรึเปล่า แต่ตอนที่เรามาถึงบ้านของยูลกัน หมอนั่นกลับบอกผมว่า
“ทำไมไม่อยากกลับไทย”
“ไม่อยากจากยูลกับมัมไป” ผมตอบตามตรง
“เด็กโง่ อนาคตนายต้องเลือกเองนะ จะมายึดติดกับฉันได้ไง”
“ฉันไม่มีครอบครัวที่ไหนนอกจากนายนะยูล ไล่ฉันเหรอ” ผมน้อยใจ
“เฮ้ย ไม่ได้ไล่” ยูลร้องเสียงดังแล้วดึงผมไปกอดเอาไว้เหมือนกอดเด็ก “ฉันรักนายเสมอ อยากอยู่กับนาย แต่ลองคิดดูนะ ถ้านายอยู่ที่นี่ต่อไป นายจะมีความสุขจริงๆ เหรอ ไม่ลองกลับไปลองอะไรใหม่ๆ ที่ไทย ถ้าไม่ชอบก็ค่อยกลับมาไง เรื่องบางเรื่องก็ควรพบกับการเปลี่ยนแปลง”
ผมงับเอาแถวๆ ต้นคอยูลแรงๆ เป็นการบอกทางอ้อมให้หมอนี่เลิกพูด ผมไม่อยากห่างจากคนที่ดีกับผมเสมอต้นเสมอปลายแบบคนนี้ แต่ก็ถูกอย่างที่ยูลพูด...
บางทีเรื่องบางเรื่องก็สมควรพบกับการเปลี่ยนแปลง....
ผมโทรหาน้าอิ่มในวันถัดมา เพื่อบอกว่าผมจะกลับไทย แต่ผมขอเวลาจัดการเคลียร์ทุกสิ่งทุกอย่างสักเดือนนึง น้าอิ่มดีใจมาก บอกใหญ่ว่าเธอจะเตรียมห้องรอผมกลับไป
ผมตัดสินใจว่าระยะเวลาหนึ่งเดือนที่เหลือ จะอาศัยอยู่ในบ้านของยูล มัมดูเศร้าไปถนัดตาตอนที่รู้ว่าผมจะกลับไทย ผมกลับไปเก็บของที่บ้าน แต่สิ่งที่ผมเห็นวางกองอยู่หน้าห้องกลับทำให้หัวใจผมหล่นลงไปกองอยู่บนพื้น...
กระเป๋าเดินทางใบเขื่องสองใบถูกวางไว้ลวกๆ ที่หน้าประตูห้อง ของทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ในนั้น รวมถึงเสื้อผ้าของผมด้วย
ผมไม่คิดจะเอ่ยคำลากับใครทั้งนั้น ยกเว้นอลิซ เด็กน้อยน่ารักวัยเกือบๆ สิบขวบ แม่ไม่ค่อยชอบให้อลิซเล่นกับผม เพราะกลัวว่าผมจะทำน้องเสียคน แต่เจ้าตัวเล็กก็แสนดี ยังคอยมาทักทายและยิ้มอวดฟันหลอให้ผมเสมอ
“ฝุ่น พี่จะไปไหน” เจ้าตัวเล็กขี้สงสัยโผล่หน้ามาตรงบันไดพลางถามผม
“ไปเที่ยว”
“ไปด้วยสิ” อลิซยิ้มกว้าง
“ไม่ได้ อยู่บ้านนี่แหละ” ผมตอบแล้วขยี้หัวเธอ แต่เสียงที่ดังมาจากด้านหลังผมก็ทำให้ผมต้องละมืออกจากเรือนผมสีน้ำตาลเข้มนั้น
“อย่าเล่นหัวอลิซ”
“ขอโทษครับ” ผมพึมพำตอบแม่ แล้วก้มลงหยิบกระเป๋าเดินทางขึ้นมาสะพายไหล่ ผมไม่คิดจะเข้าไปดูในห้องว่ามีอะไรเหลือมั้ย เพราะถ้าเหลือแม่ก็คงจัดการทิ้งไปหมดแล้ว “อลิซ..พี่ไปนะ”
“เดี๋ยวสิ นี่...ฝุ่น ฝุ่น” น้องเรียก แต่ผมไม่คิดจะหันกลับไปอีกแล้ว ผมเดินออกจากบ้านเพื่อเอากระเป๋าไปโยนใส่หลังรถของยูลที่นั่งรออยู่ข้างนอก หมอนั่นไม่พูดอะไรตอนขับรถกลับบ้าน
หนึ่งเดือนที่เหลือให้ผมอยู่กับคนที่แสนดีคนนี้ตามลำพังมันสั้นเสียจนใจหาย เขาใช้เวลาที่มีอย่างคุ้มค่า พาผมไปเที่ยวบ้าง กินข้าวด้วยกัน หรือบางทีก็แค่นอนดูหนังกันสองคน มัมเองก็ยังขยันทำกับข้าวที่ผมชอบให้ทานทุกวันจนน้ำหนักผมขึ้นเอาๆ
วันที่ผมต้องเดินทางกลับประเทศไทย มีเพียงมัมและยูลแค่สองคนที่มาส่งที่สนามบิน มัมร้องไห้ไม่หยุด ยูลก็ได้แต่ประคองแม่เอาไว้พลางแซวขำๆ ผมเองก็เศร้า ไม่อยากจากหมอนี่ไป ผมจะหาเพื่อนคนไหนดีเท่านี้ได้อีกมั้ย...ไม่สิ ถ้าจะพูดถึงจะเพื่อนที่ดี ถามว่าผมจะได้เพื่อนหรือเปล่า น่าจะดีกว่า...
“โทรมาหาฉันทันทีที่ถึงไทยนะ” ยูลกอดผมเอาไว้ตอนพูด เขากดริมฝีปากลงที่ข้างกกหู กระซิบพึมพำอยู่อย่างนั้น “อย่าลืมฉันนะฝุ่น ฉันรักนายมาก ขอให้นายมีเพื่อนที่ดีเยอะๆ ขอให้คนที่นู่นรักนายเหมือนที่มัมรัก ขอให้นายเจอคนที่นายรักด้วยหัวใจ..แต่ยังไง ก็อย่าลืมฉัน มีเรื่องอะไรก็โทรมา ฉันรักนายเสมอ รักมาก ได้ยินมั้ย”
“อืม รู้แล้ว รักเหมือนกัน เตรียมห้องไว้ให้ฉันด้วยนะ สัญญาว่าจะกลับมา” ผมตอบแล้วออกแรงกอดยูลแน่นขึ้น
วันนั้นผมตัดสินใจจากอ้อมแขนของคนที่ผมกล้าเรียกว่าพวกเขาคือ “ครอบครัว” มา เพื่อรอคอยการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ผมไม่ได้หวังให้ตัวเองพบเจอคนรัก แค่ใครสักคนที่อบอุ่นมากพอจะหยุดความเหงาของผมได้...
“ฝุ่น...ใช่ไหม” เจอกันตอนสิบเอ็ดค่ะ
eiizes’s talk
สวัสดีค่า หายไป(นับ) ห้าวันเนอะ
ที่จริง จะอัพตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว แต่ก็ธุรกิจรัดตัวมาก ไปเกษตรแฟร์ ไปเอาหนังสือที่เพื่อน บลาๆ
ได้อยู่บ้านแบบจริงจังก็วันนี้เอง 5555
อ่านตอนนี้ก็ให้น้องฝุ่นออกมาเคลียร์เนอะ ว่าที่จริงยูลไม่ใช่คนเกาหลีนะคะ 555
คืออยากบอกนานแล้ว แต่ให้ฝุ่นเป็นคนเคลียร์ดีกว่า คนเค้าเคยๆ กัน คริคริ
วันนี้เรามีคำถาม อ่านตอนนี้แล้ว ใครอยากให้ยูลเป็นพระเอกยกมือขึ้น ถามเล่นๆ นะ พระเอกยังคนเดิม 5555
อ่อ อีกอย่างนึง สวัสดีทุกท่านที่มาใหม่นะคะ อาจจะไล่ชื่อไม่ครบ หรือไม่ได้ทักทายบ้างบางคนก็ขอโทษมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
แต่อ่านทุกความเห็นน้า~~
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ค่ะ
eiizes