ตำราบทที่ 11
'I need you only one'
ผมต้องการคุณเพียงคนเดียว
หลังจากวันที่เพลย์โผล่มาแสดงตัวว่าเป็นปีศาจนามว่าคาสนั้น อัสโมดายแทบไม่ห่างกายผมไปไหนเลยด้วยซ้ำ เหมือนว่าเขามีความระแวงอะไรบางอย่าง จะว่าเป็นห่วงกันคงไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะเจ้าตัวไม่ได้แสดงอาการแบบนั้นสักเท่าไหร่ ในตอนนี้ผมกำลังนั่งเหยียดขาอยู่ตรงสวนสาธารณะแถวๆ คอนโดเพื่อรับลมในตอนเย็นโดยมีปีศาจกับสัตว์พาหนะตามมาด้วย... ยิ่งกว่าตังเมซะอีก
"นี่... ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม"
ผมหันไปมองคนที่นั่งข้างๆ กัน อัสโมดายเพียงแค่เลิกคิ้วแล้วพยักหน้าอนุญาตก่อนจะเบนสายตาไปจับจ้องบึงน้ำกลางสวนสาธารณะอีกรอบ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมีอะไรดี ส่วนเจ้ามังกรเด็กน้อยวิ่งเล่นตะครุบแมลงไปเรื่อย คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเอาแต่หัวเราะ ส่วนสาวๆ กลับกรี๊ดกร๊าดในความน่ารัก อืม... หนุ่มหล่อทำแบบนั้นก็น่ารักนั่นล่ะ ผมไม่เถียง
"อเมมอน... ตามตัวอัสโมดายกลับนรกเหรอ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงเบาหวิว เพราะไม่แน่ใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสองคนอยู่ในรูปแบบไหน แต่ภายนอกคือนายกับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วที่มันลึกลงไปกว่านั้นล่ะ ที่คิดมากเพราะคำว่า 'นอกใจ' จากปากคาสนั่นล่ะ
"ก็... ตามนั้น"
เขาตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะถือวิสาสะทิ้งตัวลงบนตักของผมโดยไม่ขออนุญาต ซึ่งก็ไม่แปลกเท่าไหร่ที่ปีศาจจะเอาแต่ใจแบบนี้ ดวงตากลมลอบมองใบหน้าหล่อเหลาที่ยามนี้หลับตาพริ้มเหมือนต้องการพักผ่อน และนี่เป็นโอกาสดีสำหรับคนที่เผลอหลงใหลเขาจริงๆ ได้มองโดยไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ
"อ่า ไม่อยากกลับไปเหรอครับ"
ผมยังคงถามต่อไปเพราะความอยากรู้ มือเรียวเผลอยกขึ้นลูบเส้นผมสีดำเงางามนั้นเพียงแผ่วเบา ตอนแรกๆ ก็กลัวว่าการทำแบบนี้จะเล่นของสูงไปหรือเปล่า แต่ปีศาจกลับบอกกันว่า 'เจ้าสามารถลูบหัวเราได้ตามใจชอบ' แปลกดี ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวผมดูเหมือนจะมีอภิสิทธิ์เหนือใครๆ ทั้งนั้น
"ถ้าอยากกลับไปคงไม่อยู่กับเจ้าเหมือนทุกวันนี้หรอก"
คำตอบแสนเอาแต่ใจจนผมต้องย่นจมูกใส่ เกลียดความรู้สึกตัวเองที่เหมือนหัวใจพองโตอย่างน่าประหลาด หรือจะเรียกว่าหลงใหลปีศาจจนโงหัวไม่ขึ้นกันนะ ทั้งๆ ที่สมองร้องตะโกนอย่างหนักว่าห้ามตกหลุมพราง แต่สุดท้ายความรู้สึกก็ห้ามกันไม่ได้ ถึงแม้จะรู้ว่าสักวันคงเสียใจ เพราะปีศาจไร้หัวใจและไร้รัก
"เลือกอยู่กับคนอื่นได้นี่ครับ ไม่เห็นต้องเป็นผมเลย"
ดวงตาสีแดงเรืองรองเปิดขึ้นเพื่อมองสบตากันในขณะที่ผมยังก้มหน้ามองเขาอยู่ อยากหลบสายตานั่นแทบแย่แต่เหมือนมีแรงดึงดูดที่ยากจะจัดขวาง อีกแล้ว...
"วันนี้หมดสิทธิ์สงสัยแล้ว"
ปีศาจพูดจบก็ยกมือขึ้นมาดีดกลางหน้าผากกันเบาๆ แล้วยกยิ้มมุมปากที่แทบทำให้ใจละลาย ผมเบนหน้าหนีแล้วแสร้งทำเสียงฮึดฮัดราวกับไม่พอใจ ทั้งๆ ที่หัวใจเต้นรัวจนเจ็บอกไปหมด อยู่ด้วยกันไม่กี่วันยังเป็นได้ถึงขนาดนี้ อีกไม่นานผมคงไม่สามารถถอนตัวไปรักใครได้อีกแน่ๆ บ้าจริง
"งก คนจะสงสัยห้ามได้ด้วยหรือไง"
ผมบ่นพึมพำโดยไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายที่ยังไม่ยอมเคลื่อนตัวออกไปไหน คาอินกำลังสาวเท้าเข้ามาหากันด้วยใบหน้าระรื่นแววตาสีเหลืองสดใสส่อแววล้อเลียรอย่างไม่ปิดบัง อยากตะโกนไล่คนบนตักแต่กลัวว่าจะโดนฆ่าซะก่อน ทำไมทรมานกันแบบนี้วะเนี่ย
"หึ"
อัสโมดายหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่งท่วงท่าเดิมก่อนที่เจ้ามังกรตัวยุ่งจะถลาลงมานอนกลิ้งตรงหน้าพวกเรา แล้วหันมาจ้องผมตาเป็นมัน แทนที่จะล้อเลียนเจ้านายตัวเองกลับเบนเข็มมาเป็นคนที่โดนกระทำซะอย่างนั้น
"นี่... เกรงใจมนุษย์คนอื่นบ้างสิ พลอดรักกันกลางที่แจ้งไม่ดีนา ~"
มังกรเจ้าเล่ห์พูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นจนผมหันกลับไปถลึงตาใส่ก่อนจะผลักไหล่แรงๆ ไปเพราะความว้าวุ่นในใจ ดวงตากลมเหลือบมองผู้ถูกพาดพิงอีกคนไปด้วย แต่เขากลับนิ่งเงียบไม่รับรู้สิ่งใดๆ ลักษณะนิสัยคล้ายๆ กับเซนไม่ผิดเพี้ยนจริงๆ แต่ติดจะขี้เล่นมากกว่าเท่านั้นเอง
"ใครพลอดรัก คิดไปเองทั้งนั้นล่ะคาอิน!"
ผมพูดเสียงลอดไรฟันแล้วเสมองไปทางอื่นอีกครั้ง ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงสักเท่าไหร่ เพราะสุดท้ายคนที่แพ้ก็คือคนที่คิดจริงและหวั่นไหวจริง ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองใจง่าย แต่ความใกล้ชิดค่อยๆ เพิ่มความรู้สึกบางอย่างขึ้นในใจแทบทุกวินาทีโดยที่ปีศาจไม่ต้องทำอะไร ลำเอียงเนอะ
"หวั่นไหวกับปีศาจไม่ดีนะ..."
คาอินขยับขึ้นมานั่งข้างๆ กันและผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนั้นเองว่าอัสโมดายย้ายไปยืนอยู่ริมบึงที่ห่างออกไปเป็นสิบๆ ก้าวแล้ว พระอาทิตย์ยามเย็นยังคงส่องแสงสีส้มอ่อนเรืองรองไปทั่วท้องฟ้า มันใกล้ลาลับโลกนี้เต็มทน ถ้าสังเกตสักหน่อยจะพบว่าพระจันทร์คอยท่าอยู่แล้ว
"ก็นะ... มีวิธีถอนตัวให้ผมไหมล่ะคาอิน"
ผมถามก่อนจะทอดสายตามองแผ่นหลังกว้างของปีศาจ บางครั้งเขาก็ให้ความรู้สึกที่เหมือนกับใครบางคนที่ผมเคยรัก แต่จำไม่ได้ซะแล้วว่าคนๆ นั้นคือใคร คิดเท่าไหร่ก็เจอแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น
"ไม่มีหรอก วิธีไร้สาระแบบนั้น คู่พันธะสัญญาจะหลงรักกันก็ไม่แปลก... ไม่สิ มีแค่มนุษย์เท่านั้นล่ะ"
ผมถึงกับอ้าปากค้างกับคำตอบของคาอิน อะไรมันจะโคตรลำเอียงขนาดนี้ไม่ทราบ มีคนที่ต้องรู้สึกและจมปรักอยู่แค่ฝ่ายเดียวอย่างนั้นเหรอ ผมควรยกเลิกพันธะสัญญาไหม... แต่มันต้องแลกกับอะไรอีกเท่าไหร่กันล่ะ บางครั้งอาจจะหมายถึงชีวิตทั้งชีวิตทั้งชีวิตที่พยายามยื้อไว้ก็เป็นได้
"ลำเอียงเนอะ"
ผมพึมพำออกมาเบาๆ สายตายังคงจับจ้องปีศาจที่ในขณะนี้กางแขนออกกว้างราวกับโอบกอดธรรมชาติและพยายามซึมซับมันเอาไว้ ถึงจะบอกไปว่าโลกนี้ลำเอียงมากแค่ไหนแต่ต้องยอมรับว่าถึงหวั่นไหวแค่เพียงคนเดียวก็เต็มใจ
"เราไม่คิดว่าลำเอียงหรอกนะ ปีศาจทุกตนเกิดมาพร้อมรูปโฉมงดงามเพียงเพื่อหลอกลวงให้ทุกสรรพสิ่งลุ่มหลงแล้วล่วงหล่นลงสู่นรก บางครั้งแม้แต่ญาติสนิทมิตรสหายก็ไม่เว้น"
ผมขมวดคิ้วยุ่งเมื่อได้ฟังเรื่องที่ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ ปีศาจมีความสัมพันธ์แบบนั้นกับคนที่อยู่นอกเหนือจากนรกด้วยอย่างนั้นเหรอ... และเหมือนว่าคาอินจะเดาสิ่งที่ผมสงสัยออกเขาเลยอธิบายต่อ
"บางครั้ง ปีศาจก็เกิดจากพ่อหรือแม่ที่เป็นมนุษย์ได้เหมือนกัน นานวันไปเจ้าอาจจะได้รู้เรื่องพวกนี้เพิ่มขึ้นก็เป็นได้ ฮ่า... แต่ตอนนี้เรากลับห้องกันเถอะ พระอาทิตย์ตกดินแล้ว"
เขาตัดบทก่อนจะลุกขึ้นปัดเศษหญ้าออกจากก้นแล้วตะโกนเรียกอัสโมดายที่ไม่มีท่าทีจะขยับไปไหนให้กลับพร้อมกัน ผมถอนหายใจเบาๆ แล้วลุกขึ้นอย่างไม่อิดออดเดินตามพวกเขาไปเงียบๆ
ภายในรถเงียบสนิทจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจดังสลับกัน ชวนให้รู้สึกอึดอัดยังไงชอบกล แต่ก่อนจะออกรถผมเหลือบสายตาไปเห็นที่ปัดน้ำฝนยังไม่ได้เอาลง ใครดึงขึ้นเนี่ย
"ผมลงไปจัดการที่ปัดน้ำฝนก่อนนะ"
ผมบอกก่อนจะทำท่าลงจากรถแต่มือเรียวของอัสโมดายกลับรั้งไหล่กันไว้แล้วส่งสัญญาณให้คาอินลงไปแทน ด้วยความสงสัยทำให้หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเป็นเชิงถามอีกคนว่าทำไมไม่ยอมให้เจ้าของรถลงไปเอง แต่คำตอบที่ได้กลับมานั้นทำให้ผมต้องตัวแข็งทื่อแทบทันที
"คาส..."
แค่ชื่อที่ได้ยินออกจากปากของเขาเพียงเท่านั้นก็ตอบทุกอย่างได้โดยง่ายไม่ต้องอธิบายขยายความอะไรทั้งนั้น ผมหวาดระแวงและเริ่มหันมองไปรอบๆ ตัว ทั้งที่ถนนสายนี้เปิดไฟสว่างแต่กลับเงียบเชียบผิดปกติ เวลาเพิ่งจะหนึ่งทุ่มทำไมผู้คนถึงหายไปหมด มันพิสดารเกินไปแล้ว
"อีกแล้วเหรอ... คาสจะตามผมไปถึงไหนกัน"
ผมว่าด้วยน้ำเสียงสั่นๆ บอกตามตรงว่าแค่ไล่อัสโมดายกลับไปในที่ที่เขาควรอยู่เรื่องมันจะจบด้วยดี แต่เชื่อไหมว่าคนที่เกิดปัญหากลับปากหนักและไม่ออกปากไล่ กลัวว่าถ้าเขากลับไปแล้วจะหายไปตลอดกาล ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นผมตายแน่ๆ หัวใจน่ะนะที่ตาย
"ถึงเราจะยอมกลับไปกับคาส เจ้าก็คงไม่รอดอยู่ดีล่ะเทวิน รู้ตัวหรือเปล่าว่าวิญญาณของเจ้ามันช่างหอมหวนและดึงดูดปีศาจตนอื่นมาแค่ไหน"
คำบอกเล่ากึ่งคำถามทำให้ผมตัวแข็งทื่อ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองจะมีอะไรดึงดูดปีศาจพวกนั้นได้เลย ก็เป็นแค่คนธรรมดาที่รอดตายหวุดหวิดมาได้ครั้งหนึ่งก็เท่านั้นเอง อุบัติเหตุรถชนเมื่อหลายปีก่อน เพื่อนสามคนตายผมรอดคนเดียว...
ผมกำลังจะอ้าปากตอบอัสโมดายแต่เสียงเคาะกระจกรถดังขึ้นทำให้สะดุ้งสุดตัว เหลือบหางตาไปเห็นว่าเป็นคาอินจึงพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะยอมกดปุ่มลดกระจกลง
"ขยับไปนั่งด้านหลัง เดี๋ยวเราขับรถเอง"
คาอินพูดด้วยน้ำเสียงรีบร้อนจนผมที่ยังสงสัยอดถามกลับไปไม่ได้ แต่พอจะอ้าปากกลับโดนอัสโมดายดึงคอเสื้อด้านหลังไว้ แค่ก... เกือบหายใจไม่ออกแล้วนะเว้ย
"อย่าเพิ่งถาม รีบข้ามไปเร็วเข้า"
เขาละมือออกจากคอเสื้อในขณะที่ผมหันไปจ้อง เจอดวงตาสีแดงเข้าให้เลยรีบสงบปากสงบคำแล้วปีนจากเบาะหน้าไปสู่ด้านหลังแทบจะทันที คาสอดตัวเข้ามาและเหยียบคันเร่งพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว คือเกรงใจคนที่ยังตั้งหลักไม่ได้บ้างสิเว้ย หัวโหม่งเบาะด้านหลังจนมึนไปหมดเแล้วเนี่ย ดีแค่ไหนที่ไม่ชนเข้ากับกระจก
"โอย เบาๆ ไม่ได้หรือไงวะ ผมยังไม่นั่งเลยนะเว้ย"
ผมบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะพาร่างกายที่กระแทกเข้ากับเบาะหลังนั่งประจำที่ดีๆ บิดซ้ายบิดขวาเพื่อไล่ความปวดเมื่อยทั้งหมดออกไป ใบหน้าบูดบึ้งเมื่อไม่มีใครเห็นใจสักคน เอาแต่ทำหน้าตึงไม่พูดไม่จาแถมยังขับรถไปอีกทางที่ไม่ใช่ทางกลับคอนโดอีก
"นี่... จะไปไหนกัน พูดอะไรบ้างดิ"
ผมว่าก่อนจะยื่นหน้าไประหว่างเบาะทั้งสอง คาอินยังคงตั้งหน้าตั้งตาเหยียบคันเร่งที่ไมล์ทะลุไปร้อยสี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง เห็นตัวเลขแล้วหัวใจหล่นอยู่แทบเท้า ถ้ามีอะไรทะเล่อทะล่าออกมาตอนนี้คือเบรกไม่ทันแน่นอน
"บะ เบาๆ หน่อย มันอันตราย"
ผมพูดเสียงสั่น ไม่กล้าใช้อารมณ์รุนแรงเพราะรู้สึกว่าบรรยากาศตอนนี้ช่างอึมครึมและเต็มไปด้วยความเครียดมหาศาล ทำตัวไม่ถูกจนต้องมองออกไปนอกรถก่อนจะเบิกตาโพลงเมื่อเห็นอะไรบางอย่างวิ่งตามมา ไอ้เหี้ย! ตัวบ้าอะไรยั้วเยี้ยคล้ายโครงกระดูกคนแต่มีน้ำสีดำๆ แดงๆ ไหลเยิ้มจนน่าขยะแขยง กะคร่าวๆ ด้วยสายตาน่าจะประมาณสิบตัว
"เฮ้ย ตัวอะไรเนี่ย!!"
ผมแหกปากลั่นขยับไปด้านหน้าจนแทบจะปีนเบาะไปนั่งตักอัสโมดาย เขาหันมามองกันก่อนจะใช้มือเรียวลูบหัว ไม่เอาความอ่อนโยนตอนนี้ได้ไหมวะ มันไม่เข้ากับสถานการณ์เลยไง แต่ต้องยอมรับว่ามันทำให้ความตื่นตะหนกเมื่อครู่คลายลงไปมากจริงๆ
"แค่ลูกสมุนชั้นต่ำที่อเมมอนส่งมาเล่นกับเราก็เท่านั้นล่ะ"
เขาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่ต้องกลัวอะไร แต่ถ้าเขาจัดการได้ทำไมเราต้องหนีหัวซุกหัวซุนแบบนี้ด้วยล่ะ
"ทำไมเราต้องหนี..."
ผมถามเสียงสั่นและเผลอจับมือของอัสโมดายเอาไว้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงอยากเอามือเขามาแนบแก้มไว้แบบนี้ บ้าไปแล้ว ทำไมต้องอยากอ้อนเขาขนาดนี้ด้วยวะ
"ก็แค่เล่นด้วยเท่านั้นเอง อีกไม่นานเรื่องก็จบ"
เขาตอบแบบกั๊กสุดตัวจนทำให้ผมไปต่อไม่ถูก รู้อยู่แก่ใจว่าถามอะไรไปคงไม่ได้อะไรไปมากกว่านั้น สุดท้ายแล้วก็ต้องปล่อยเลยตามเลย และเรื่องก็จบง่ายอย่างที่อัสโมดายว่าจริงๆ แค่พริบตาเดี๋ยวที่เขาลงจากรถแล้วโบกมือแค่ครั้งเดียว ทุกอย่างก็หายวับไปกับตาเหมือนไม่เคยมีตัวประหลาดนั่นอยู่บนโลกนี้มาก่อน
เรากลับไปที่คอนโดตอนเกือบสามทุ่มเล่นเอาคาอินที่ออกลวดลายขับรถถึงกับนอนแผ่บนโซฟาอย่างหมดสภาพ ผมอดไม่ได้ที่จะเข้าไปแซวเจ้ามังกรยักษ์นั่นว่าเหนื่อยเป็นกับเขาด้วยหรือไง
"เหนื่อยเหรอคาอิน"
ผมทักก่อนจะวางอาหารมื้อดึกลงที่โต๊ะตัวเล็ก เขาดีดตัวลุกขึ้นทันทีเมื่อได้กลิ่นอาหาร สเต็กเนื้อมีเดียมแรร์ชิ้นโตทำให้เจ้ามังกรทำตาเป็นประกายวาววับ และยิ่งเป็นฝีมือของอัสโมดายด้วยแล้วทุกอย่างจึงออกมาดีมาก
"เหนื่อยมาก แทบจะกินวัวได้ทั้งตัว!"
เขาว่าเสียงดังและพอดีกับที่อัสโมดายวางจานผักสลัดลงบนโต๊ะ ดวงตาสีเหลืองฉายแววขยะแขยงแทบจะทันที เดาว่าไอ้มังกรเกลียดผักแน่ๆ
"วันนี้เจ้าต้องกินผัก"
จานผักถูกเลื่อนไปตรงหน้าคาอิน เขาเบ้ปากแล้วใช้มือเลื่อนจานมาให้ผมแทน สรุปว่าขัดคำสั่งอัสโมดายแถมให้คนอื่นจัดการแทนอีก คืออะไรวะ ไม่กลัวโดนทำโทษบ้างหรือไง
"หึ ท่านก็รู้ว่าเราไม่กินผัก ทำไมต้องยัดเยียด"
คาอินบ่นงุ้งงิ้งเหมือนเด็กน้อยที่กำลังโดนพ่อแม่บังคับให้กินผัก ใบหน้าหล่อบูดเบี้ยวไปหมดจนผมเผลอขำออกมาเบาๆ ทั้งตลกทั้งน่ารัก โอย... อยากจับบีบแก้ม เกือบจะเอื้อมมือออกไปแล้วถ้าไม่โดนดวงตาสีแดงก่ำจ้องมา หวงเหรอ ไม่จับก็ได้วะ
"อย่าดื้อ บอกให้กินก็กินเข้าไป อย่าให้เราต้องใจร้าย"
อัสโมดายว่าด้วยน้ำเสียงเย็นแล้วเลื่อนจานผักสลัดกลับไปให้คาอินอีกครั้ง และเลื่อนจานสเต็กเนื้อมาให้ผมแทนอีก กลิ่นหอมหวนของเนื้อชั้นดีเกือบทำให้น้ำลายหยด อาวุธส้อมมีดโดนยื่นมาให้อีกครั้งด้วยรอยยิ้มบางๆ
"กินซะ"
เขาบอกเพียงสั้นๆ แล้วยัดอาวุธลงในมือของผมแล้วเดินออกไปที่ริมระเบียง สงสัยหลายต่อหลายครั้งว่าเขาทำอาหารให้พวกเรากินแต่เขากลับไม่แตะมัน พอจะรู้ว่าอิ่มทิพย์แต่... รสชาติที่ได้ลิ้มลองมันโคตรมหัศจรรย์จริงๆ
"ขอเนื้อหน่อย"
เสียงของคาอินทำลายความคิดฟุ้งซ่านของผมแทบจะทันที ดวงตาสีเหลืองมองชิ้นเนื้อหอมกรุ่นอย่างอ้อนวอน เกือบจะใจอ่อนอยู่แล้วถ้าไม่ได้ยินเสียงอัสโมดายดุออกมา...
"ห้ามทำตามที่คาอินบอก ไม่อย่างนั้นทั้งมนุษย์ทั้งมังกรจะโดนงดอาหาร"
ผมรีบยกจานสเต็กของตัวเองหนีทันที ไอ้การโดนงดอาหารทุกมื้อมันแย่ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ไอ้ครั้นจะลงมือทำเองก็ไม่อร่อยเท่าที่อยากกิน จะให้ไปซื้อมากินเองก็ไม่อยากทำเท่าไหร่ สรุปง่ายๆ คือติดใจฝีมือการทำอาหารของปีศาจแล้วนั่นเอง และเขาก็รู้ตัวเลยใช้คำขู่นี่ได้ผล เกลียดชะมัด!
"ฮือ! ทำไมท่านชอบขัดใจเราตลอด เอาใจแต่เทวินๆ"
ผมอ้าปากหวอเมื่อคาอินงอแงเป็นเด็ก แถมยังลงไปชักดิ้นชักงอจนผมกลัวว่าโต๊ะจะพังอีก... ถ้าสลัดหกขึ้นมาคงมีการลงโทษครั้งยิ่งใหญ่แน่ๆ
อัสโมดายไม่ได้ตอบในทันทีแต่กลับเดินเข้ามายืนข้างๆ แล้วใช้สายตาเรียบเฉยมองคาอินที่ยังไม่ยอมหยุดดิ้นสักที เขาไม่ได้ดุด่าต่อว่ากับพฤติกรรมไม่ควรอะไรทั้งนั้น เงียบสงบแบบนี้น่ากลัวกว่าโดนถูกด่าอีก
"เทวินเป็นคู่พันธะสัญญาของเรา ส่วนเจ้าเป็นแค่สัตว์พาหนะ"
เพียงแค่นั้นก็ไม่ต้องอธิบายความสำคัญอะไรต่ออีกแล้ว ถึงจะรู้สึกดีนิดหน่อยที่เขาดูแลผมดี แต่สงสารเจ้ามังกรนี่สิ มีเจ้านายใจดำชะมัดเลย...
"ใช่สิ ท่านไม่ได้รักเราเหมือนที่ท่าน... อุบ"
คาอินหยุดพูดไปทันทีเมื่อเท้าสวยๆ ของอัสโมดายเตะเข้าที่สีข้างไม่เบาไม่แรงมากนัก ใบหน้าหล่อเหล่าเหยเกจนผมต้องรีบวางจานสเต็กแล้วเข้าไปพยุง ปีศาจทำเพียงแค่ยกยิ้มมุมปากแล้วเดินผ่านเข้าห้องนอนไปซะอย่างนั้น ถ้าเป็นคนเหมือนๆ กันผมคงด่าเขาไปแล้ว
"เจ็บมากปะเนี่ย"
ผมถามในขณะที่คาอินยังชักสีหน้ายุ่งเหยิงไม่เปลี่ยน ดูเหมือนเขาไม่ได้เจ็บอะไรสักเท่าไหร่แต่แค้นเคืองในใจมากกว่า เพราะสายตาที่มองไปตรงประตูห้องนอนแข็งกร้าวจนน่ากลัว
"ไม่เจ็บ เจ้าระวังตัวไว้เถอะเทวิน สักวันเราจะลักพาตัวเจ้า"
ดวงตาสีเหลืองตวัดกลับมามองผมด้วยท่าทางจริงจัง ไม่เข้าใจว่าไปเกี่ยวอะไรกับเขาด้วยล่ะเนี่ย แค้นอัสโมดายก็ไปลงที่เขาสิมาลงที่ผมทำไมล่ะเนี่ย
"เกี่ยวอะไรกับผมเนี่ย"
ผมขมวดคิ้วแน่นมองเขาแล้วผละตัวออกมาตั้งหลัก คาอินยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์แล้วขยับเข้ามาใกล้กันก่อนจะออกแรงผลักให้ผมนอนราบลงกับพื้นแล้วเขาคร่อมไว้... เชี่ยอะไรอีกเนี่ย
ดวงตากลมเบิกกว้างพยายามผลักมังกรตัวยักษ์ออกไป แต่คาอินกลับโน้มหน้าลงมาต่ำจนผมหลับตาปี๋ไม่กล้ามองว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ไม่นานก็ได้ยินเสียงกระซิบดังขึ้นข้างหู
"ขอแกล้งอัสโมดายหน่อยนะ"
"ละ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมด้วยล่ะ"
"หืม เกี่ยวกับเจ้าเต็มๆ เลย ยังไม่รู้ตัวอีก"
"อะ อะไรนะ หมายความว่ายังไง"
"หมดเวลาจะถามแล้ว"
สิ้นคำพูดนั้นเขาก็ขยับใบหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกของเราชนกัน ลมหายใจอุ่นร้อนตกกระทบใบหน้าจนผมได้แต่หลับตาแน่นขึ้นกว่าเดิม ไม่กล้ากระดุกกระดิกไปไหนเลยสักนิดเพราะกลัวว่าเขาจะทำอะไรมากกว่านั้น หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศมาคุทั้งที่ยังไม่ได้ลืมตา... อัสโมดายออกมาจากห้องแล้วแน่ๆ
"คาอิน"
เสียงเรียกชื่อมังกรบนร่างผมย้ำเตือนได้เป็นอบ่างดีว่าอัสโมดายอยู่ใกล้กันแค่ไหน ใกล้จนหายใจรดใบหน้าผมอีกคนแล้วเนี่ย โอย อยากเห็นสภาพตรงหน้าใจจะขาดแต่ไม่กล้าลืมตาอะ ทำยังไงดี กลัวจะตายไปซะก่อนที่เห็นพวกเขาอยู่ใกล้ขนาดนี้
"หืม... ท่านมาขัดจังหวะน้า เรากำลังแสดงความรักกับเทวินอยู่"
เจ้ามังกรว่าเสียงติดทะเล้นอย่างไม่กลัวเกรงเท่าไหร่ ผมพยายามปรือตาขึ้นมองแล้วพบว่าเขากำลังจ้องมิงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านไปมาด้วยล่ะ... จะลงมือฆ่ากันเสือดสาดไหมเนี่ยผมกลัวใจเขาจริงๆ นะเว้ย
"เจ้าไม่มีสิทธิ์จะพูดหรือทำแบบนี้"
น้ำเสียงเย็นยังคงเอ่ยต่อ เขายังสงบนิ่งไม่เอะอะโวยวายหรือทำร้ายร่างกายคาอินแต่อย่างใด นั่นไม่ได้ทำใจผมเบาใจเลยแม้แต่นิดเดียวในเมื่อหางตาดันเหลือบไปเห็นว่าอัสโมดายกำหมัดแน่นแค่ไหน นี่เขาหวงผมหรือหวงเจ้าคาอินกันแน่นะ
"ท่านก็แค่คู่พันธะสัญญาน้า ไม่ได้เป็นเจ้าของหัวใจเทวินสักหน่อย"
น้ำเสียงคาอินยังยียวนไม่เลิก ผมไม่ได้ห้ามปรามเพราะในใจกลับอยากรู้เหมือนกันว่าอัสโมดายจะตอบอะไรกลับมา เขาไม่ใช่เจ้าของหัวใจก็จริง แต่จิตใต้สำนึกกำลังส่งเสียงบางอย่างเตือนว่าบางครั้งเขาอาจจะใช่ในอีกไม่นานนี้ และมีบางอย่างทำให้คุ้นเคยและเผลอนึกไปถึงเซนเวลาที่อุ่นเข้าใกล้ผมแบบนี้ จะเรียกว่าหวงได้หรือเปล่านะ แต่กับเซนผมไม่รู้สึกอะไรกับเขานี่... ใช่ไหม สับสนว่ะ เหมือนอะไรบางอย่างถูกขโมยอาจจะเป็นความรู้สึกบางส่วนต่อคนบางคน
"เลิกเล่นได้แล้วคาอิน อย่าให้เราต้องใช้กำลัง"
ผมเริ่มหายใจติดขัดเมื่อได้ยินคำขู่ รู้แน่ๆ ว่าเขาต้องทำจริงๆ อยากจะบอกว่าคาอินแค่แกล้ง แต่ปากหนักพูดไม่ออกซะอย่างนั้น ไอ้แต่นอนหายใจแรงแล้วกรอกตาไปมาด้วยความหวาดระแวง ถ้าจะต่อยกันก็ถอยห่างผมไปก่อนได้ไหมครับคุณ...
"ไม่เล่น กำลังเอาจริง ถ้าท่านไม่ได้ชอบเทวินก็ปล่อยเขาให้ผม"
"คาอิน... เจ้ากำลังพูดไม่รู้เรื่อง"
"เราพูดในสิ่งที่ท่านก็รู้อยู่แก่ใจนะอัสโมดาย"
"ออกไปคุยกับเราข้างนอก"
"หึ"
จบประโยคทั้งปีศาจทั้งมังกรก็พากันเดินไปที่ระเบียง อยากจะแอบฟังสักหน่อยแต่ดูเหมือนเขาจะรู้ทันเลยเอื้อมมือเลื่อนประตูกระจกปิดลง ผมลุกขึ้นนั่งพลางจัดเสื้อผ้าและทรงผมให้เข้าที่ ว่าจะเลิกสนใจแต่ทำไม่ได้ในเมื่อคำถามของคาอินยังวนเวียนอยู่ในความคิด อัสโมดายจะชอบผมเหรอ เขาอาจจะชอบก็ได้ แต่ชอบเพราะดวงวิญญาณอันหอมหวาน ไม่ใช่พิศวาสจะรักอะไรแบบนั้น
ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวเลยละสายตาจากทั้งคู่แล้วเลือกเดินไปอาบน้ำ เผื่อจะทำให้ความคิดฟุ้งซ่านจางหายไป แต่เมื่อยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่กลับเห็นใบหน้าอิดโรยของตัวเอง ไม่ได้น่ากลัวอะไรขนาดนั้นแต่เซื่องซึมอย่างเห็นได้ชัด ผมยกมือขึ้นลูบแก้มอย่างแผ่วเบาพยายามถ่ายทอดความอบอุ่นให้ถึงหัวใจ แต่มันกลับไม่เป็นผลในเมื่อถอนตัวจากการหลงใหลปีศาจไม่ได้
"ปล่อยตัวเองตายๆ ไปตั้งแต่วันนั้นคงไม่เป็นคนบ้าแบบทุกวันนี้มั้ง"
ผมพึมพำกับตัวเองก่อนจะยิ้มเยาะให้กับความผิดพลาด การไขว่คว้าจะมีชีวิตโดนการแลกเปลี่ยนกับปีศาจมันไม่คุ้มเลยแม้แต่นิดเดียว ผลที่ตามมามันน่ากลัวทั้งความโดดเดี่ยว ความสัมพันธ์ หรืออะไรหลายๆ อย่างในชีวิตจะเปลี่ยนไปจนหมดสิ้น ตอนนี้มันก็ดีที่อัสโมดายยังอยู่เคียงข้างกัน แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งเขาตัดสินใจจะทิ้งผมเอาไว้ล่ะ... ในตอนนั้นผมคงไม่เหลือใครที่เคยรู้จักบนโลกนี้อีกแล้ว
"เฮ้อ ฟุ้งซ่านว่ะ อาบน้ำดีกว่า"
ผมบอกกับตัวเองก่อนจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกแล้วก้าวลงในอ่างน้ำขนาดใหญ่ก่อนจะคว้า Bath Bomb ทิ้งลงในอ่าง กลิ่นหอมของดอกไม้กระจายฟุ้งจนผมเผลอปิดเปลือกตาสนิทเพื่อผ่อนคลาย แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าสติสัมปชัญญะจางหายไปตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็ตอนโดนฝ่ามือนุ่มๆ ตบลงบนแก้มนั่นล่ะ
ผมปรือตาขึ้นแล้วไอโขลกออกมา ทำให้อัสโมดายรีบพยุงให้นั่งพิงหัวเตียงแทบจะทันที ดูจากท่าทางของทั้งสองคนแล้วเหมือนเพิ่งเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นเลย ผมแค่หายไปอาบน้ำเองนะ พลาดเรื่องอะไรไปหว่า
"เป็นยังไงบ้าง"
คำถามแรกจากคาอินทำให้ผมขมวดคิ้วแน่น งงไปหมดกับสถานการณ์นี้ ก็จำได้ว่ากำลังอาบน้ำอยู่แล้วทำไมตอนนี้ถึงอยู่บนเตียงและมีเสื้อผ้าอยู่บนตัวเรียบร้อยขนาดนี้ ผมย่นคิ้วและเอียงคอมองพวกเขาสลับกันไปมาก่อนจะตั้งคำถามที่สงสัยออกไป
"เกิดอะไรขึ้นเหรอ"
ผมถามด้วยความงุนงงแต่ได้ท่าทางประหลาดใจของอัสโมดายและคาอินกลับมา ผ่ามือนุ่มประทับลงบนหน้าผากอย่างแผ่วเบาก่นที่ริมฝีปากนั้นจะขยับเอ่ยถามกัน อัสโมดายนี่เสน่ห์เหลือร้ายจริงๆ ให้ตายเถอะ
"เจ้าไม่รู้ตัวเลยหรือว่า... จมน้ำ"
"ห๊ะ ผมเนี่ยนะจมน้ำ ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย"
ผมตอบด้วยเสียงตื่นตกใจ ก็จำได้ว่าหลับตาไปแต่หลังจากนั้นก็ไม่รับรู้อะไรจริงๆ นั่นล่ะ แต่คนจมน้ำมันต้องตื่นสิวะถ้าไม่ถูกวางยา ยิ่งคิดยิ่งงงหนักเข้าไปอีก และคำตอบก็ทำให้อัสโมดายตีสีหน้าเครียดมากว่าเดิมอีก คาอินเม้มปากเข้าหากันแล้วถอนหายใจแรงออกมา
"ชักจะรุกล้ำกันมากไปแล้ว"
คาอินบ่นพร้อมกับเบ้ปาก ผมเลิกคิ้วกับสิ่งที่ได้ยิน อะไรคือการรุกล้ำมากไป เขาหมายถึงอะไรกันล่ะ
"เดี๋ยวๆ ตอบผมก่อน ผมแค่ไปอาบน้ำแล้วหลับตาพักเท่านั้นเอง จะกลายเป็นจมน้ำโดยที่ไม่รู้ตัวได้ยังไง"
"ได้สิ ถ้าถูกควบคุมโดยปีศาจ"
คำตอบของอัสโมดายทำให้ผมนิ่งเงียบไป คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ในห้องของตัวเองยังไม่ปลอดภัยทั้งๆ ที่มีปีศาจยศราชาอยู่ข้างกาย แต่นั่นคงสู้อำนาจคนที่อยู่เหนือเขาไม่ได้หรอก ก็ 'อเมมอน' น่ะเป็นคนคุมเขาอีกทีหนึ่งนี่
"กลับไปหาเขาไหมครับ ดูอเมมอนจะห่วงอัสโมดายมากนะ"
ผมบอกเขาเสียงเบาหวิว ไม่ได้อยากไล่แต่กลัวว่าการกระทำหลายๆ อย่างของอเมมอนจะส่งผลร้ายต่อคนที่อยู่รอบตัว
"ไม่ได้ ถ้าเรากลับไปเจ้าจะได้รับผลกระทบมากกว่านี้ อเมมอนจะฉุดเจ้าลงนรก"
ขอคิดเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่าเขาเป็นห่วงผม... แต่ก็เพียงความคิดชั่วครู่ที่ทำให้ใจชื้น เพราะในความจริงแล้วเขาก็แค่กลัวว่าคู่สัญญาจะยอมถวายหัวให้คนอื่นก็เท่านั้น
"ยังไงๆ การที่ทำพันธะสัญญากับปีศาจก็ทำให้ผมตกนรกอยู่แล้วนี่ แล้วจะกลัวอะไรกับการถูกฉุดลงนรกล่ะครับ"
"เราไม่ชอบให้ใครมายุ่งย่ามกับคนของเรา เจ้าเข้าใจไหม"
"ผมไม่เข้าใจว่ะ.... และไม่อยากเข้าใจด้วย"
สุดท้ายผมก็ตัดบทสนทนานั้นแล้วทิ้งตัวลงนอนคลุมโปงโดยไม่สนว่าปีศาจจะรู้สึกยังไง... แต่คงไม่รู้สึกอะไรหรอก ปีศาจไม่มีหัวใจสักหน่อย จริงไหม
------------------------------------------------------------
ถ้าใครคิดว่าอัสโมดายขี้หวง... อเมมอนก็ขี้หวงไม่แพ้กันหรอก