Chapter 11
เด็กชายตัวน้อยยืนอยู่ข้างกำแพงโรงเรียน มือข้างหนึ่งจับจูงน้องตัวจ้อยวัยอนุบาลไว้แน่น ทุกๆเย็นหลังเลิกเรียน จะมีพี่ข้างห้องที่พี่โอ๊ตจ้างไว้มารับกลับบ้านเช่าเสมอ วันนี้ก็เหมือนกับทุกวัน จะแตกต่างกันบ้างก็ตรงที่ว่าจะมาช้ากว่าเวลานัดมากน้อยแค่ไหน แต่เรื่องมาตรงเวลานั้น เป็นไปได้ยาก
“อ๊ะ..มาแล้วอุ้ม” อ้นโบกมือไหวๆให้พี่อีกคนที่เดินหัวฟูมาแต่ไกล วันนี้พี่เขามาหลังโรงเรียนเลิกประมาณครึ่งชั่วโมง
“ว่าไงพวกเรา” พี่ข้างห้องอ้าปากหาว เกาพุงแกรกๆ “เหงื่อซ่กเลยนะ วันนี้กลับแท็กซี่ไหมล่ะ”
อ้นกับอุ้มส่ายหัว เพราะว่ามันเปลืองเงินสุดๆ
“กลัวอะไร เดี๋ยวก็เบิกกับพี่ชายเราได้นี่ ไปแท็กซี่นั่นแหละ พี่นั่งวินมอเตอร์ไซค์มา ร้อนจะตาย” ไม่รอคำตอบจากเด็กก็เรียกรถโดยสารทันที
พอขึ้นรถได้ พี่ที่มารับก็ผล็อยหลับไปทันที ปล่อยให้เด็กสองคนนั่งคุยกันเองอยู่ร่วมชั่วโมงเพราะรถติดหนัก กว่าจะมาถึงห้องเช่า ค่ามิเตอร์ก็ขึ้นหลักร้อยไปแล้ว
“เสียดายเงินจัง” อ้นพึมพำ เดี๋ยวพี่เขาก็จะไปขอเงินพี่โอ๊ตเพิ่ม พี่โอ๊ตก็ต้องทำงานหนักต่อไป
“บ่นอะไรนักหนา เป็นเด็กเป็นเล็ก” คนพามาขมวดคิ้ว พาเด็กสองคนขึ้นไปส่งที่ห้องโดยไม่ได้ช่วยถือกระเป๋าที่หนักอึ้งเลยแม้แต่น้อย “จะไปนอนแล้วนะ หิวข้าวก็ออกไปหาซื้ออะไรกินเองล่ะ” ว่าแล้วก็เดินงัวเงียกลับเข้าห้องไป
อ้นพยักหน้ารับ พอเข้าห้องของตัวเองได้ก็ปิดประตูล็อกกลอนแบบที่พี่โอ๊ตสอน จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า รวบรวมชุดที่ใช้แล้วของน้องอ้นและพี่โอ๊ตมาใส่กะละมัง ถ้าหากว่ารีบซักและตากตอนกลางคืน ลมแรงๆก็พอจะช่วยให้แห้งได้
“พี่อ้น..หนูหิวข้าว” น้องอุ้มที่นั่งแปะอยู่บนพื้นทำตาละห้อย เด็กชายแคะกระปุกหมูออกมานับเหรียญ
กระปุกอันนี้ อุ้มกับพี่โอ๊ตช่วยกันสอยดาวได้จากงานกาชาด พี่โอ๊ตจะให้เงินอุ้มไว้ติดตัววันละห้าสิบบาท ส่วนพี่อ้นจะได้วันละหนึ่งร้อยบาท น้องสองคนจะได้กระปุกหมูคนละอัน เงินที่เหลือจากการใช้จ่ายแต่ละวัน พี่ให้เอามาเก็บไว้ ค่อยๆสะสมทีละเล็กทีละน้อย พอครบหนึ่งพัน พี่โอ๊ตจะพาไปฝากกับธนาคารทุกเดือน นอกจากนี้ พี่โอ๊ตเองก็คอยฝากเงินเข้าบัญชีให้คนละห้าพันอยู่เป็นประจำด้วย พอโตขึ้นมา จะได้มีทุนรอนเป็นของตัวเองต่อไป
“พี่จะทำทุกอย่าง ไม่ให้อ้นกับอุ้มลำบาก..เชื่อใจพี่นะ” “หนูอยากกินราดหน้าจังเลย ขอกินได้ไหมพี่อ้น”
ราดหน้าแถวนี้มีเจ้าเดียว เป็นเจ้าอร่อย ขายห่อละสี่สิบบาท แต่ให้มาแค่น้อยนิด ถ้ากินให้อิ่มก็ต้องกินคนละสองห่อ อย่างพี่โอ๊ตนี่ต้องกินสามห่อถึงจะอยู่ท้อง แต่ถ้าซื้อมาเจ็ดห่อ ก็จะเป็นเงินถึงสองร้อยแปดสิบบาท
“เดี๋ยวพี่ซื้อให้อุ้มกินสองห่อแล้วกัน” อ้นเป็นพี่ชายคนกลาง ต้องคอยคำนวณรายจ่ายให้ดี “พี่โอ๊ตก็น่าจะอยากกินด้วย แต่ว่ากว่าจะกลับมาก็ตีสองแล้ว มันจะบูดไหมนะ”
“ถ้ามีตู้เย็นก็ดีเนอะพี่อ้น” น้องอุ้มยิ้ม “แล้วก็มีไอ้เครื่องที่เอาไว้อุ่นร้อนๆด้วย”
“มันแพงนะ ไม่ดีหรอก”
“อือ..แพงจริงๆด้วยแหละ” น้องอุ้มนั่งนับเหรียญต่อไป หนูน้อยยื่นแบงค์ยี่สิบให้พี่ชายสองใบ “หนูกินแค่ห่อเดียวพอ แค่นี้ก็อิ่มแล้ว”
“ไม่ได้หรอก เดี๋ยวคืนนี้ อุ้มก็ท้องร้องโคร่กๆ”
“ฮื้อ..ห่อเดียวก็อิ่ม หนูขอกินนมน้ำผึ้งอีกกล่องก็ได้ฮะ”
อ้นพยักหน้ารับ แต่เด็กชายไม่เอาเงินจากน้อง เจ้าตัวผลักกลับไปให้น้องอุ้มเก็บไว้ในกระปุก เวลาแบบนี้ เป็นพี่ก็ควรจะเสียสละและดูแลน้องมากกว่า
“พี่อ้นอย่ากินมาม่านะ พี่โอ๊ตสั่งห้าม” อุ้มร้องบอกพี่คนกลางที่กำลังจะเปิดประตูออกไป
“แต่ว่ามันอร่อยนี่นา” แล้วก็ถูกด้วย..ห่อละหกบาทเอง
“พี่โอ๊ตห้ามกิน พี่โอ๊ตบอกว่ากินเยอะๆ เดี๋ยวเป็นโรคไตแบบยาย”
“ก็ได้ ไม่กินก็ได้” วันนี้อ้นจะซื้อกับข้าวถุงละสิบบาท มากินกับข้าวเปล่าถุงละห้าบาท ถึงจะน้อยหน่อยแต่ก็ดีแล้ว กินเยอะไปเดี๋ยวจะตัวกลม “พี่ไปซื้อข้าวให้ก่อน อุ้มปิดประตูดีๆ ถ้าพี่ไม่มาเรียก ห้ามเปิดนะ รู้หรือเปล่า”
อุ้มตะเบ๊ะรับ “ซึมแซ่บ!”
อ้นฉีกยิ้ม รีบออกมาจากห้องเช่า แต่ตอนที่กำลังจะวิ่งลงบันได เด็กชายก็ชะงักกึกกับผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งสูบบุหรี่อยู่ตรงที่นั่งริมระเบียงชั้นสอง ทางนั้นตวัดตามามอง ท่าทางดุมาก ทำเอาอ้นไม่อยากเดินผ่านเลย
อ้นทำเป็นมองไม่เห็น วิ่งตึงๆผ่านหน้าฝ่ายนั้นไป แต่อ้นยังรู้สึกตลอดเวลาว่าเขาจ้องอ้นอยู่
ตอนกลับมาที่ห้องอีกครั้ง ผู้ชายคนนั้นดันมานั่งขวางตรงทางขึ้น อ้นคิดว่าเขาคงเป็นผู้เช่าคนใหม่ เพราะห้องที่สาม ถัดจากห้องของพี่ที่พี่โอ๊ตจ้างยังว่างอยู่ หน้าตาเขาไม่ค่อยน่าไว้ใจเลย ดูตาขวางๆ ไว้หนวด แล้วก็มีกลิ่นสาบแปลกๆ
อ้นไม่มีทางเลือกเลยต้องหอบของพะรุงพะรัง ก้มหัวผ่านคนเป็นผู้ใหญ่ตามที่พี่สอน
“เดี๋ยว..ไอ้หนู” ชายคนนั้นเรียก กดบุหรี่ที่มีกลิ่นชอบกลลงกับพื้นบันได
อ้นเห็นแล้วแอบกลัวเล็กๆ..เดี๋ยวไฟก็ไหม้หรอก
“เอ็งอยู่ห้องไหนน่ะ ชื่ออะไร” เขาชวนคุย
“อยู่..” อ้นลังเล ไม่อยากยุ่งกับคนแปลกหน้า แต่ใจหนึ่งก็คิดว่ามีมิตรไว้น่าจะดีกว่ามีศัตรู “อยู่ห้องริมสุดครับ”
“ชื่อล่ะ” ผู้ชายตัวใหญ่ถามอีกครั้ง
“ชื่อ..ชื่ออ้นครับ”
“เออๆ..ชื่อน่ารักดี” เขาพึมพำพลางหรี่ตามอง “น้าเพิ่งย้ายมาใหม่นะ เรียกว่าน้าพันก็ได้”
“ครับ สวัสดีครับน้าพัน” อ้นยกมือไหว้ ตั้งท่าจะเดินหนีอีกครั้ง แต่น้าพันเรียกไว้
“ไปซื้ออะไรมาเยอะแยะล่ะเรา กินหมดหรือไง หืม..”
“หมดครับ”
“เอ็งอยู่กับใครล่ะ” พันยิ้มมุมปาก “ไม่ต้องกลัวหรอกนะ น้าไม่ได้ใจร้ายสักหน่อย นี่น้าเพิ่งจะย้ายมาที่นี่ ยังไม่รู้จักใครเลย เจอเอ็งคนแรกนี่แหละ ไอ้ข้างห้องก็หลับอุตุ เลยมาชวนเอ็งคุย เห็นเด็กๆแล้วมันเอ็นดู”
อ้นตอบไปว่าอยู่กับพี่ชายและน้องชาย แต่ไม่ได้บอกว่าพี่โอ๊ตมักจะกลับดึก
“อ้อๆ..เก่งนี่นา เลี้ยงน้องเองด้วย” เขายิ้ม ยื่นหมากฝรั่งให้หนึ่งแผง “อยากกินไหม น้าให้”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวฟันผุ” ที่จริงแล้ว พี่โอ๊ตสอนว่าไม่ให้รับของกินจากคนแปลกหน้าต่างหาก
พันหัวเราะชอบใจ “เออ..ไม่กินก็ไม่กิน ว่าแต่..เอ็งจะออกไปหน้าปากซอยอีกไหม น้าอยากจะวานอะไรหน่อย”
อ้นส่ายหัวดิก น้าพันได้คำตอบแล้วก็ยักไหล่
“พอดีว่าจะฝากซื้อของหน่อยน่ะ แต่ไม่ใช้งานฟรีหรอกนะ มีค่าจ้างให้”
ร่างใหญ่ล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อ เอาแบงค์พันออกมานับทีเป็นสิบใบ อ้นเห็นแล้วต้องเหลียวมองรอบด้าน กลัวคนอื่นจะมาปล้นแก ในขณะที่กำลังยืนหันซ้ายหันขวาอยู่นั้น น้าพันก็ยื่นแบงค์ร้อยมาให้ใบหนึ่ง
“เอ้า..น้าให้”
“ครับ?” อ้นงุนงง “ให้ผมทำไมหรือครับ”
“ก็เห็นเป็นเด็กดีไง เลี้ยงน้องเป็นด้วย เด็กดีๆหายากนะ ไอ้เด็กแถวบ้านน้ามันขี้เกียจมาก ไม่เก่งแบบเอ็งหรอก”
อ้นรู้สึกดีใจขึ้นมานิดหนึ่งที่มีคนชม แต่ให้เงินเยอะแบบนี้ อ้นรับไว้ไม่ได้
“เอาไปเถอะน่า เงินแค่ร้อยเดียว น้ารวย” น้าพันหัวเราะ “เดี๋ยวส่งขนมนิดหน่อยก็ได้เงินเป็นปึกแล้ว เอ็งรู้ไหม เห็นท่าทางแบบนี้ แต่ว่าน้าเป็นพ่อครัวนะ ขนมใส่ไส้ที่น้าทำ อร่อยสุดๆ อย่าให้โม้”
อ้นร้องอ๋อ คุยไปคุยมา น้าพันก็ใจดีเหมือนกัน ไม่ได้ดูโหดแบบหน้าตาเลย
“ว่าแต่..ช่วงนี้น้ากำลังอยากได้ลูกจ้าง เอ็งพอจะแนะนำใครมาช่วยส่งขนมให้น้าได้ไหม”
เด็กชายกะพริบตาปริบ “ส่งขนมใส่ไส้หรือครับ ส่งที่ไหนครับ”
“อืม..ยังไม่รู้เลย เอาไว้น้าหาคนซื้อได้ก่อน ถามไว้เผื่อๆน่ะ ยังไงถ้าในซอยเขารับขนมที่น้าทำไปขาย ก็ส่งมันแค่ในซอยนี้แหละ” น้าพันลูบคางครุ่นคิด “แถวนี้มีใครขายขนมแบบรถเข็นบ้างไหม หรือพวกร้านน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋”
“ปากซอยมีครับ” อ้นบอก “มีอยู่สองสามเจ้าเลยครับ”
“โห..ดีใจจัง” พันยิ้มมุมปาก “ว่าแต่..เอ็งน่ะ อยากมาช่วยน้าส่งขนมไหม น้าให้ค่าจ้างเดินส่งครั้งละสองร้อยบาท”
อ้นรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินข้อเสนอนั้น ดูเป็นงานไม่หนัก แล้วก็น่าจะช่วยพี่โอ๊ตหาเงินได้อีกแรงหนึ่งด้วย
“สนใจไหม แค่เดินส่งเฉยๆเอง ช่วงเย็นหลังเลิกเรียนก็ได้..น้าทำเองเดินเองหมดไม่ไหวหรอก”
อ้นตกปากรับคำด้วยความดีใจ พูดคุยกับน้าพันอีกสองสามประโยคแล้วก็เดินกลับเข้าห้อง ตอนแรกเด็กชายคิดว่าถ้าพี่โอ๊ตกลับมาจะรีบบอกว่าได้งานพิเศษแล้ว แต่คิดไปคิดมา ถ้าบอกพี่โอ๊ต พี่ต้องไม่ยอมให้เขาทำงานแน่
..เก็บเป็นความลับนั่นแหละ..ดีแล้ว..
.
.
.
วันนี้กนธีแวะมาหาพวกเด็กๆที่บ้านเช่า ช่วงสายเขานั่งรถไฟฟ้าไปทำธุระเรื่องการโอนที่ดิน อยู่คุยกับลูกค้าครู่หนึ่งแล้วเลยนัดเจอกับพสิษฐ์ ให้มันขับรถมารับเขา ถือโอกาสชวนดื่มกาแฟ เดินเตร่อยู่สักพัก พอดีผ่านร้านนารายณ์ พิซเซอเรียแล้วนึกถึงอ้นกับอุ้มเลยแวะซื้อชุดใหญ่มาฝาก
“พี่ดูจะหลงเด็กสองคนนี้เข้าแล้วสินะ” พสิษฐ์หัวเราะหึๆ
เขาเคยเห็นภาพอ้นกับอุ้มตอนไปทะเล พี่กุนต์เอามือถือถ่ายแล้วปริ้นท์ใส่กระดาษอาร์ตมันทำเป็นอัลบั้มรูป เห็นว่าตั้งใจจะเอามาให้สองพี่น้องเก็บเป็นที่ระลึก ‘ความทรงจำตอนไปเที่ยวทะเลครั้งแรก’
“พูดมากน่า” กนธีบอกให้น้องชายจอดรอเขาหน้าปากซอย “รอตรงนี้นะ ถ้าหัวปิงปองมาไล่ก็ขับวนไป”
“วนกลับบ้านไปเลย?”
“ถ้ากลับมาแล้วไม่เห็นแกล่ะก็..” เขาหรี่ตามอง “ตาย!”
“จ้า..จ้า” พสิษฐ์หัวเราะในลำคอ ช่วยหยิบถุงอาหารมาให้ “ครบไหมพี่ ซุปเปอร์ซีฟู้ดถาดใหญ่ ขนมปังกระเทียมกับหอยลายอบ ไก่บาร์บีคิวสองกล่อง..กลัวเด็กไม่อิ่ม สปาเก็ตตีขี้เมา..กลัวน้องเลี่ยน สลัดทูน่า..เพราะกลัวพี่ชายเขาหาว่าเอาแต่แป้งให้น้องกิน”
กนธีมองเขม่นน้องปากมาก “หยิบนั่นมาด้วย”
“เอ้า..ซุปเห็ด ซุปหอยลาย ซุปข้าวโพด..ทั้งหมดสามถ้วย ยังอยู่ดีไม่มีหก” พสิษฐ์ทวนออเดอร์
“รอตรงนี้นะ กลับมาไม่เจอ..โดนต่อย”
“ฮึ..หมาหัวเน่าก็งี้”
“หัวล้านขี้ใจน้อยด้วย” กนธีเหยียดปาก หอบถุงอาหารพะรุงพะรังแล้วเอาเท้ายันประตูรถปิด เล่นเอาเจ้าไผ่โวยวายที่เขาทำกับรถราคาแพงของมันเหมือนเตะรถกระป๋อง
ชายหนุ่มหัวเราะหึๆ เดินแหวกฝูงชนที่จับจ่ายซื้อของกันอยู่ในตลาด ตอนนี้ห้าโมงเย็นแล้ว เขาได้แต่ขอว่าอ้นกับอุ้มจะยังไม่กินข้าว ไม่อย่างนั้นพิซซ่าที่ซื้อมาคงได้เป็นหมันแน่
ขณะกำลังเดินเข้าซอย กนธีเหลือบเห็นเด็กชายตัวน้อยหิ้วถุงขนมห่อใบตองเต็มสองมือผ่านไป กำลังจะร้องทัก ถามว่าน้องอ้นออกมาซื้ออะไร ก็บังเอิญเห็นเด็กเอาถุงที่ว่าไปเดินแวะส่งให้รถเข็นกับร้านขายอาหารตามรายทาง
กนธีแอบยืนหลบมุม มองน้องอ้นรับเงินจากร้านขายขนม ถึงแม้จะเป็นแบงค์ยี่สิบยับย่นใบเดียว..เจ้าตัวก็ยังยิ้มร่าจนเขาสัมผัสได้ถึงความภูมิใจ เขาเลยสังเกตการณ์ต่อ เห็นว่าบางร้านก็ให้ บางร้านก็ไม่ให้ แต่น้องก็ยังเอาถุงขนมไปส่งอย่างขันแข็งจนใกล้จะหมด ทำให้เขาเห็นรอยแดงของสายพลาสติกที่กดทับลงบนช่วงแขน..ท่าทางจะหนักเอาการ
กระบอกตาเขาร้อนผ่าว บางครั้งโชคชะตาก็ลำเอียงแบบนี้
คนบางคน คาบช้อนเงินช้อนทองออกมาตั้งแต่เกิด คนบางคนเกิดในสลัม บางคนนั่งกินนอนกิน บางคนทำงานสายตัวแทบขาด บางคนกินทิ้งกินขว้าง บางคนแม้แต่ข้าวเม็ดหนึ่งยังไม่มียาไส้
อ้นยกแขนเสื้อยืดตัวโคร่งขึ้นปาดเหงื่อ ยังมีถุงสุดท้ายที่ต้องส่ง ถุงนี้..น้าพันบอกว่าให้เอาให้รถเข็นขายขนมข้างวัด อย่าเอาไปปนกับเจ้าอื่น เพราะเจ้านี้เขาขอให้เพิ่มความหวานมากกว่าปกติ เขาจะมารอรับตอนห้าโมงครึ่ง อย่าผิดเวลา
อ้นยกถุงพลาสติกสีเขียวอ่อนขึ้นดู ถุงอื่นเป็นสีฟ้าอ่อน อ้นเลยไม่ลืมที่น้าพันกำชับ มองดูนาฬิกาในร้านโชว์ห่วย เห็นว่าใกล้จะห้าโมงครึ่งแล้ว
กนธีเห็นน้องอ้นวิ่งตุบๆกลับเข้าซอยไป เขาเลยแอบเดินตาม ตั้งใจว่าจะยังไม่โผล่ออกไปทัก เพราะไม่แน่ใจว่าน้องจะอายหรือเปล่า เขาอยากให้น้องเล่าออกมาเองด้วยความภูมิใจมากกว่า
น้องอ้นวิ่งเข้าไปในซอยข้างวัดที่ไม่ค่อยมีคนพร้อมกับถุงพลาสติกคนละสีกับถุงอื่น จู่ๆ..กนธีก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล เขาเกิดความไม่สบายใจอย่างรุนแรง แต่ไม่รู้ว่าความกังวลนี้เกิดจากอะไร
..สัญชาตญาณของคนแก่ล่ะมั้ง..
กนธีเดินปนไปกับชาวบ้านคนอื่น แต่ไม่วายเหลือบมองเข้าไปในซอยที่เริ่มมืด เขาเห็นพ่อค้าคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังรถเข็นขายขนมถาด ด้านบนมีพลาสติกใสคลุม เปิดได้เป็นบางช่องอย่างที่เคยเห็นเขาเข็นขนมมาขายกันเป็นชิ้นๆ มองผ่านตาแล้ว น่าจะมีพวกทองหยิบทองหยอด ขนมชั้น อะไรจำพวกนั้น
น้องอ้นส่งขนมใส่ไส้ไปให้ พ่อค้ารับไว้แล้วก็เอาเข้าไปเก็บใต้รถ..ทั้งที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่กนธีกลับรู้สึกไม่ดีเลย ดังนั้น..เขาเลยหยิบมือถือขึ้นมา หลบมุมตรงกำแพงด้านหนึ่ง แล้วกดถ่ายพ่อค้าขนมคนนั้นไว้
กล้องมือถือราคาแพงมันก็ดีแบบนี้ เห็นหน้าชัดเจนถึงจะมืดแค่ไหนก็ตาม
น้องอ้นวิ่งกลับออกมา เขายังไม่ได้ทัก อาศัยคนที่เดินไปมาในซอยใหญ่บังตัวไว้ ส่วนร้านรถเข็นนั่น เขาเห็นมีคนไปซื้อขนมเป็นชิ้นมากินเรื่อยๆ ไม่ได้มีอะไรผิดแปลกไปจากปกติอีก
มันจะน่าสงสัยก็ตรงที่ขนมใส่ไส้มันมีกะทิ ได้มาตั้งหลายชิ้น ทำไมถึงไม่เอาออกมาขาย เอาไปซ่อนไว้ในรถเข็นทำไม หรือว่ามีคนสั่งแยกต่างหาก แล้วทำไมต้องมายืนหลบมุมข้างวัดด้วย ประหลาดวิสัยพ่อค้า
กนธีถอนหายใจเมื่อนึกได้ว่าคิดเยอะเกินไปแล้ว แต่เขาก็เป็นคนแบบนี้เอง ชอบหยิบเรื่องเล็กๆน้อยๆมาคิด ไม่อย่างนั้นเขาจะจับผิดไอ้พวกเด็กที่เคยเลี้ยงมาได้หรือ
..นับวันยิ่งเหมือนตาแก่พารานอยด์เข้าไปทุกที..
ชายหนุ่มเดินปนกับผู้คนเข้าไปในซอยบ้านเช่า ปัดความสงสัยทิ้งไปขณะขึ้นบันได จากนั้นก็เคาะประตู
“ดิ๊งด่อง..ผู้พันแซนเดอร์สมาแล้วคร้าบ..” พูดแล้วก็เกาหัว ผู้พันนั่นมันเคเอฟซีนี่หว่า
บานไม้ผุพังค่อยๆแง้มออกมา จากนั้นหัวเล็กๆสองหัวก็ผุดตาม..เหมือนเห็ดโคนสองหน่อ
“พี่กุนต์!!”
กนธีรู้แล้วว่าทำไมซานตาคลอสถึงอยากเอาของไปแจกเด็กๆ ก็ในเมื่อสิ่งที่ได้มามันคือรอยยิ้มใสซื่อ และความดีใจแบบสุดขีดที่ไร้การปรุงแต่งน่ะสิ
“พี่แวะเอาพิซซ่ามาฝาก อ้นกับอุ้มกินข้าวกันหรือยังครับ”
เด็กชายทั้งสองส่ายหัวดิก นัยน์ตาลุกวาวเมื่อเห็นเขาวางถาดอาหารลงข้างโต๊ะญี่ปุ่นที่น้องอุ้มนั่งทำการบ้านอยู่ “กินให้เต็มที่เลยนะ จริงๆพี่ว่าจะเอาน้ำอัดลมมาให้ แต่อย่าเลย เดี๋ยวพี่โอ๊ตบีบคอ”
อ้นหัวเราะชอบใจ เด็กชายโผเข้ากอดผู้ใหญ่ใจดีตรงหน้าเต็มแรง “คิดถึงพี่กุนต์จังเลย”
น้องอุ้มที่ไปเอาน้ำมาให้พี่กุนต์ยิ้มอวดฟันหลอ กนธีเลยลูบหัวเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู
“คิดถึงเด็กๆเหมือนกัน วันนี้เลยแวะมาหา เอาไว้เสาร์หน้าพี่จะมารับไปเล่นกับแกงส้ม เอาไหมครับ” เขามองเด็กๆที่พยักหน้าหงึก “แต่ตอนนี้รีบกินพิซซ่าก่อนเถอะ พี่ซื้อมาร้อนๆ นี่ก็เริ่มจะชืดแล้ว”
อ้นรีบวิ่งไปเอาจานมาแบ่ง น้องๆช่วยกันเก็บกวาดโต๊ะและเอาอาหารออกมาวางเรียง กลิ่นพิซซ่าลอยคลุ้ง หอมกรุ่นจนทำเอาท้องร้องโคร่ก
“ซื้อซอสมะเขือเทศกับซอสพริกมาให้ด้วย เผื่อซอสถุงไม่พอ” กนธีบอก มองอ้นกับอุ้มยิ้มๆ
“ขอบคุณครับพี่กุนต์” อ้นกระพุ่มมือไหว้เรียบร้อย ตัดแบ่งพิซซ่าชิ้นใหญ่ยื่นให้พี่กุนต์ก่อน
คนอายุมากกว่ายกมือปฏิเสธ เขาดูนาฬิกา..ป่านนี้ไอ้ไผ่คงโวยวายแล้ว
“พี่แค่แวะมาแป๊บเดียวเอง ยังไงก็ล็อกห้องให้เรียบร้อยรอพี่โอ๊ตนะครับ”
อ้นกับอุ้มร้องอย่างเสียดาย เด็กๆอยากให้พี่กุนต์กินพิซซ่าเป็นเพื่อน
“ถ้างั้น เอาไว้เจอกันวันเสาร์ อ้นขอเลี้ยงไอติมพี่กุนต์บ้างน้า”
กนธียิ้ม “พี่ขอรับไว้แต่น้ำใจอ้นแล้วกันนะ เก็บเงินไว้เถอะครับ แค่นี้ก็ดีใจแล้ว”
อ้นส่ายหัวดิก ลุกไปคว้ากระปุกหมูมาแงะให้พี่กุนต์ดู ทั้งที่มืออีกข้างยังถือปีกไก่บาร์บีคิวแน่น ส่วนน้องอุ้มนั่งสูดเส้นสปาเก็ตตี กินจนแก้มเปรอะ
“อ้น..จั๊บ..หาเงินได้แล้ว” เด็กชายเลียซอสที่ติดบนนิ้ว “แต่พี่กุนต์อย่าบอกพี่โอ๊ตนะ เดี๋ยวพี่โอ๊ตไม่ให้ทำ”
กนธีนั่งลงกับพื้นไม้กระดาน ตั้งใจฟังเรื่องที่เด็กเล่า
“อ้นช่วยน้าพันที่อยู่ห้องนู้นส่งขนมครับ น้าพันเพิ่งมาอยู่ได้ไม่กี่วัน เป็นพ่อครัวด้วย น้าพันจ้างอ้น” อ้นเล่าอย่างภูมิใจ “ให้ค่าจ้างเดินส่งครั้งละสองร้อยบาทเลย”
“หืม..ดีใจด้วยนะครับ อ้นเก่งจัง” เขาชูนิ้วโป้งให้ “ขนมอะไรหรือ ขายราคาเท่าไรล่ะ”
“ขนมใส่ไส้ห่อใบตองครับ ขายชิ้นละห้าบาท น้าพันเคยเอาให้อ้นกิน ก็อร่อยดี แต่อ้นไม่ค่อยชอบขนมหวาน”
..ขนมใส่ไส้ชิ้นละห้าบาท แต่ให้ค่าจ้างส่งสองร้อย..
..พ่อค้าที่ไหนมันจะใจดีขนาดนี้นะ..
กนธีแสร้งลูบท้องไปมา “พี่ชอบกินขนมนะ แล้วแบบนี้ทำยังไงถึงจะได้กินขนมที่น้องอ้นเป็นคนส่งล่ะ”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่กุนต์มาอีกน้า..อ้นจะขอไว้ให้”
เขาพยักหน้ารับ “แล้วอ้นช่วยน้าพันทำขนมด้วยหรือเปล่าครับ หรือว่าส่งอย่างเดียว”
อ้นส่ายหัวหวือ “อ้นส่งอย่างเดียวครับ น้าพันบอกว่า น้าพันทำตอนเช้า พออ้นกลับมาจากโรงเรียน ก็มีขนมใส่ไส้ห่อใบตอง ใส่ถุงไว้รอให้อ้นส่งแล้ว” เด็กน้อยเล่า “อ้นส่งให้ร้านหนมปังหัวมุมนู่น ส่งให้ร้านน้ำเต้าหู้ ให้ร้านขายกับข้าวสองสามเจ้า แล้วก็มีรถเข็นขนมถาดข้างวัด”
“อืม..ดีจังๆ” กนธียิ้ม “เอางี้แล้วกัน อ้นไม่ต้องขอน้าพันหรอกครับ เดี๋ยวถ้าวันไหนพี่กุนต์มา พี่กุนต์จะแวะซื้อตามร้านที่อ้นไปส่งเอง เขาจะได้ขอขนมไปขายอีกเยอะๆ ดีไหม”
“พี่กุนต์ใจดีจังเลย”
“หนูทำดีต้องได้ดีนะ..เชื่อพี่” ชายหนุ่มขยี้หัวเด็ก “เด็กเก่ง เด็กขยัน เด็กกตัญญูอย่างอ้นกับอุ้ม เทวดาต้องคุ้มครอง อย่าท้อแท้นะครับ ลำบากไปบ้าง แต่สักวันมันจะดีขึ้นเอง”
อ้นยิ้มตาปิด ไหว้ขอบคุณพี่กุนต์
“ถ้าอย่างนั้น..พี่ไปก่อนนะครับ จานชามใช้แล้วไม่ต้องลงไปล้างนะ มันดึกแล้ว เดี๋ยวยุงกัด”
“ฝันดีครับพี่กุนต์” อ้นโบกมือบ๊ายบาย น้องอุ้มก็สวัสดีพี่กุนต์ด้วยทั้งที่มือยังถือพิซซ่าข้าง น่องไก่อีกข้าง
กนธีบ๊ายบายตอบ เขาปิดประตูให้แล้วเดินออกมา ขณะกำลังจะลงบันไดบ้านเช่า สายตาก็เหลือบไปเห็นผู้ชายไว้หนวดเครา ยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงระเบียง เขาเหลือบมองครู่หนึ่งแล้วเดินผ่านอย่างไม่สนใจ
กลิ่นฉุนของบุหรี่ลอยมากระทบจมูก เขามีเพื่อนสูบบุหรี่ตั้งเยอะ แต่ไม่ใช่กลิ่นทำนองนี้
กนธีรู้สึกแย่ ใจมันกังวลอยู่ตลอดเมื่อเหลียวไปมองบ้านเช่าซอมซ่อ เขาเป็นห่วงเด็กๆ ห่วงว่าผ้าขาวที่บริสุทธิ์ มันจะถูกสภาพสังคมที่มีคนไม่ดีเข้ามาปะปน ย้อมจนเปื้อนคราบดำในวันหนึ่ง
เขาเดินเอื่อยเฉื่อยผ่านซอยข้างวัด รถเข็นขนมเจ้าเดิมออกมาขายในที่โล่งแล้ว กนธีไม่รู้ว่าตนเองนึกอย่างไร ถึงได้เข้าไปซื้อขนมชั้นใส่กล่องมาสองกล่อง
“ไม่มีตะโก้ ขนมถ้วย หรือขนมที่มีกะทิบ้างหรือ” เขาพึมพำ “เดี๋ยวนี้หากินยากจังนะ”
“ไม่มีครับ มันบูดง่ายเลยไม่ค่อยทำ”
กนธีพยักหน้ารับ จ่ายเงินแล้วเดินออกมาเหมือนกับลูกค้าปกติทั่วไป เขาแวะไปยังร้านค้าตามที่น้องอ้นบอก ซื้อขนมใส่ไส้มาเจ้าละสองถึงสามชิ้น ไม่ได้นึกอยากกินหรอก แต่มือมันไปเอง
“ไผ่..” เขาโทรหาน้องชาย “โทษทีที่ช้า พี่เสร็จแล้วนะ”
พสิษฐ์จอดรถรอจนแทบจะหลับ พอพี่กุนต์มาถึง เขาก็เหลือบเห็นขนมใส่ไส้ก่อนเพื่อน “กินอีกแล้ว!”
“แกนี่มันเหมือนพ่อจริงๆ” กนธีส่ายหัว ลงมือแกะขนมออกมาชิม รสชาติก็ทั่วไป ไม่ได้ดีอะไรมาก
“ไม่ยักรู้ว่าพี่กุนต์ชอบกิน”
เขาชูห่อใบตองขึ้นให้น้องดู “แกคิดว่าราคาเท่าไร”
“ห้าบาทสิบบาทมั้ง”
“พี่ซื้อจากร้านข้าวแกงราคาสิบห้าบาท” เขาบอก “ราคาขายส่งตามร้านห้าบาท”
“อืม..กำไรเยอะดี แต่มันบูดง่ายหรือเปล่า กว่าจะขายหมดอีก เสี่ยงจะต้องทิ้งมากกว่านะ”
“ขนมราคาห้าบาท แต่จ้างเด็กเดินส่งรอบละสองร้อยบาท” กนธีครุ่นคิด “เป็นแก..จะทำไหม”
“ถามในแบบพ่อค้า ค่าเดินนี่คงให้แค่ยี่สิบบาท ถ้าเมตตาก็สักห้าสิบ”
“นั่นสินะ” เขาพึมพำ
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีหรอก..หรืออาจจะมีก็ได้” กนธีตอบแล้วบอกปัด “ขับรถไปเถอะ พี่จะคุยธุระหน่อย”
เขาต่อสายหาคนรู้จัก อยากจะจ้างบริษัททำความสะอาดเข้าไปเคลียร์ข้าวของในอพาร์ทเมนท์ใกล้กับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ห้องนี้เขาปล่อยทิ้งร้างมานานแล้ว..ทิ้งไว้ตั้งแต่เจ้าของย้ายเข้าไปใช้ชีวิตร่วมกับเขา
มันเป็นห้องของศรัณย์..คนรักของเขาอาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่เข้ามากรุงเทพ จนได้มาเจอเขา ได้รู้จักกัน เขาเองก็ไปสอนพิเศษศรัณย์ที่ห้องนั้นบ่อยๆ กระทั่งเจ้านั่นสอบติดคณะที่ชอบในมหาวิทยาลัยที่ใฝ่ฝัน
มันเป็นห้องที่..มีเรื่องราวมากมายระหว่างเขากับอีกฝ่าย
..ห้องที่..ไอ้เด็กตัวแสบมันลักลอบจูบครูจำเป็นครั้งแรก..
ชายหนุ่มยิ้มจาง นึกทีไร..เขาก็คิดถึงอดีตคนรักทุกคราวไป
หลังจากที่ศรัณย์ย้ายออกมา กนธีขอซื้อห้องต่อจากเจ้าของแล้วเปิดให้เด็กมหาวิทยาลัยมาเช่าด้วยราคาถูกๆ พอศรัณย์เสียชีวิตไป เขาก็รอให้เด็กคนสุดท้ายอยู่จนครบสัญญา จากนั้นจึงปิดตายห้องนั้น ไม่เปิดให้ใครมาเช่าอีก
เขาต้องการจะรักษาความทรงจำที่มีศรัณย์อยู่ในทุกๆที่เอาไว้
แต่ตอนนี้ กนธีคิดว่า ห้องของศรัณย์น่าจะมีประโยชน์กว่าการปล่อยให้รกร้าง อย่างน้อยๆ หากอินทัชยอมย้ายมาอยู่ห้องนี้แทนบ้านเช่าหลังเก่า มันจะสะดวกในการดูแลเด็กๆมากกว่าด้วยอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยที่อินทัชเรียน ทั้งเรื่องสภาพแวดล้อมเองก็ดูปลอดภัยกว่ามาก แต่เรื่องเดินทางไปโรงเรียนของอ้นกับอุ้มคงต้องคุยกันอีกที เพราะหากออกจากบ้านเช่า ก็ต้องจ้างคนดูแลคนใหม่แทน
..เขาเองก็พอจะช่วยเหลือได้แค่นี้แหละนะ..
พสิษฐ์ได้ยินบทสนทนาทั้งหมด เขาเลยออกปากถาม “จะเปิดห้องของไอ้รัณย์ขึ้นมาให้เช่า? ทำใจได้แล้วหรือ”
กนธีเอนหลังพิงกับเบาะ หลับตาลงพลางยิ้มน้อยๆ
“สามปีแล้วไผ่..ถึงเวลาเดินต่อแล้ว”
.......................................................................................