ep14 ค่ำคืน ท้องฟ้า ดวงดาว หิ่งห้อย
ในที่สุด เราก็ขับรถมาถึงปลายทาง ผมกวาดมองไปรอบ ๆ ทันทีที่ก้าวลงจากรถ บ้านเล็กกว่าที่คิดเยอะมาก เป็นบ้านไม้ สภาพเก่ามาก
“นี่ถ้าพ่อรู้ว่าพ่อแม่นาคินทร์อยู่กันแบบนี้ ต้องรีบมาสร้างบ้านหลังใหม่ให้แน่ ๆ”
“สร้างแล้วครับ หลังนู้น” นาคินทร์บุ้ยปากไปยังบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ กันห่างออกไปประมาณไม่เกินห้าสิบเมตร “แต่พ่อแม่นาคินทร์ไม่ไปอยู่เพราะท่านรักบ้านหลังนี้มาก อยู่กันมาหลายรุ่นแล้ว ถึงมันจะเก่าแต่ก็เต็มไปด้วยความทรงจำ บ้านหลังนั้นลูก ๆ คนอื่นกับหลาน ๆ ไปอยู่ ส่วนพ่อแม่นาคินทร์อยู่ที่นี่เหมือนเดิม คล้ายกับจะอนุรักษ์ไว้ พ่อแม่นาคินทร์ก็นิสัยเหมือนนาคินทร์นี่แหละ นาคินทร์ส่งเงินมาให้เท่าไหร่ก็ไม่ยอมใช้ เก็บไว้ให้ลูกให้หลาน ส่วนตัวเองก็กินอยู่อย่างประหยัด อีกอย่างท่านก็บอกว่าอยู่แบบนี้ไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายอะไรมาก บ้านก็มีให้อยู่ อาหารการกินก็อุดมสมบูรณ์ ถ้าไม่ฟุ่มเฟือยทะเยอทะยานอยากได้นู่นอยากได้นี่ ท่านก็ถือว่าพวกท่านมีพร้อมทุกอย่างแล้วครับ”
ผมมองคนพูดอึ้ง ๆ ยิ้มให้
“เหมือนนาคินทร์ใช่ไหม”
“ครับ”
มีใครคนหนึ่งโผล่หน้าออกมาจากบ้านมอง เป็นผู้หญิงแก่ ๆ ครับ เค้าหน้าเหมือนนาคินทร์มาก เดาเอาว่าน่าจะเป็นแม่นาคินทร์นั่นแหละ นาคินทร์รีบยกมือไหว้ทันที เดินเข้าไปใกล้ ผมรีบเดินตามเข้าไปยกมือไหว้บ้าง ท่านรับไหว้ทั้งผมทั้งนาคินทร์ กอดนาคินทร์แน่น แล้วก็มีผู้ชายแก่ ๆ คนหนึ่งเดินมาจากทางหลังบ้าน นาคินทร์รีบยกมือไหว้เหมือนกัน ผมรีบทำตาม ท่านเดินยิ้มแป้นเข้ามาหา ตบหลังนาคินทร์เบา ๆ
“เดินทางมากันเหนื่อยไหมลูก”
“ไม่ครับ” นาคินทร์ตอบรับ
“คุณหนูอนุชาใช่ไหมคะ ยินดีต้อนรับ ที่พักอาจไม่สะดวกสบาย ขอบคุณจริง ๆ ที่มานะเจ้าคะ”
สองคนรีบเบนกลับมาให้ความสนใจกับผมจริงจัง โดยมีนาคินทร์ยืนเคียงอยู่ข้าง ๆ
เพราะเรามาถึงกันเร็ว ทำให้พี่น้องคนอื่นของนาคินทร์ยังไม่กลับมาจากเทือกสวนไร่นา ส่วนเด็ก ๆ ก็ยังไม่กลับจากโรงเรียน
นั่งคุยกันพักหนึ่ง เด็ก ๆ ก็กลับมาก่อน ตามติดด้วยบรรดาญาติพี่น้องของนาคินทร์ที่พากันมาห้อมล้อมดูเจ้านายของนาคินทร์อย่างผม ราวกับผมคือนายกพบประชาชน
แต่ผมก็ทำตัวเหมือนจริง ๆ เพราะพอทุกคนมาครบ ผมก็สั่งให้นาคินทร์ไปขนของที่เราซื้อมาเอามาแจกจ่ายทุกคนทันที ผมให้ด้วยมือตัวเองทุกชิ้น ยิ้มหน้าบานกันใหญ่ เยอะหน่อยก็ของพ่อกับแม่นั่นแหละ แล้วก็เอาขนมมาแจกให้เด็ก ๆ ดีว่าเราเตรียมมากันเยอะ
เด็ก ๆ พากันดีใจใหญ่ ผมไม่ค่อยทำอะไรพวกนี้เท่าไหร่หรอก รู้สึกดียังไงพิกล พวกอุปกรณ์การเรียนการสอนบางอย่างก็เอามาแบ่ง ๆ ให้บ้าง
ผมอยู่นั่งคุยกับทุกคนอย่างสนุกสนานจนนาคินทร์หันมาสะกิด
“ผมว่าคุณหนูไปอาบน้ำก่อนดีกว่า หลังพระอาทิตย์ตกอากาศที่นี่จะหนาวมาก ที่นี่ไม่มีน้ำอุ่นนะครับ”
ผมพยักหน้าเข้าใจ บอกขอตัวทุกคนเดินกลับไปที่รถเพื่อเอากระเป๋าเดินทาง
“นาคินทร์จะให้คุณหนูไปพักที่บ้านใหญ่นะครับ”
“ได้ นาคินทร์ก็อยู่ที่นั่นเหมือนกันใช่ไหม”
นาคินทร์ส่ายหัว
“อ้าว”
“นาคินทร์จะอยู่หลังนี้ ปกติมาทีไรจะอยู่ที่นี่ประจำ นาคินทร์มีห้องส่วนตัวอยู่ แต่มันไม่สะดวกสบายเท่าบ้านหลังใหญ่”
ผมหยุดเท้าลงกึก
“ไม่เอา นาคินทร์นอนไหน ฉันก็นอนนั่น จะให้ฉันไปนอนแยกคนเดียวได้ไง”
“ห้องแคบมากนะครับ”
“แคบก็จะนอน”
“มันไม่สะดวกนะครับ คุณหนู”
“ฉันอยู่กับความสะดวกมาตลอดทั้งชีวิตแล้วนะ มาลำบากแค่นี้จะเป็นไรไป”
“แต่…”
“ฉันจะอยู่กับนาคินทร์”
ผมยืนยันหนักแน่น นาคินทร์มองหน้า พยักหน้ารับเบา ๆ
“ครับ แล้วคุณหนูจะอาบน้ำบ้านไหนดีครับ บ้านใหญ่มีห้องน้ำมิดชิด หรือที่นี่ ก็อย่างที่คุณหนูเห็น”
นาคินทร์พยักหน้าไปทางหลังบ้านที่มีห้องน้ำยื่นออกมาให้เห็น มันทำจากไม้ล้วน ๆ ผมมองไปทางบ้านใหญ่ ซึ่งตอนนี้ทุกคนย้ายจากแคร่ที่นั่งคุยกันเมื่อกี้ไปที่นู่นหมดแล้ว เพื่อเตรียมกินมื้อเย็น คนในบ้านนั้นจึงเต็มไปหมด
“อาบนี่ก็ได้”
นาคินทร์พยักหน้า เดินไปที่รถหิ้วกระเป๋าเดินทางทั้งของผมกับของตัวเองแบกใส่บ่าเดินพาผมเข้าบ้าน เดินตรงเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง
“ห้องพ่อกับแม่อยู่ตรงนั้น ส่วนนี่ห้องที่ผมใช้มาตลอดตั้งแต่เล็กยันโต”
“เป็นห้องหอด้วยสินะ”
ผมถาม มองสำรวจไปรอบ ๆ ห้องแคบ ๆ นั้น
“ครับ”
โรงเลื่อยว่าแคบแล้ว ที่นี่แคบกว่าอีก ไม่ได้มิดชิดอะไรด้วย แต่ก็ดูอบอุ่นดี
“ข้าวของของนาคินทร์ยังอยู่อยู่เลย”
“ครับ พวกท่านเก็บไว้ให้ ทุกครั้งที่นาคินทร์กลับก็มานอนนี่เสมอ ไม่มีใครมาใช้หรอก เพราะคนอื่นไปอยู่บ้านใหญ่กันหมด”
“ฉันชอบนะ”
ผมเดินไปหยิบรูปของมะลิที่ตั้งไว้ขึ้นมอง ภาพเธอตอนนี้ดูซูบผอมอย่างคนกรำงานหนัก มะลิเธอถูกเลี้ยงดูจากยายเพียงคนเดียว แต่งงานได้ไม่นานยายก็เสีย ชีวิตที่เหลือจึงฝากไว้ที่นาคินทร์คนเดียว
หน้ายังเด็กอยู่เลย มีปฏิทินเก่า ๆ ตั้งแต่สมัยไหนก็ไม่รู้แขวนไว้ เป็นรูปพระเจ้าอยู่หัว นอกนั้นก็ไม่มีอะไร ที่กรุงเทพเป็นไง ที่นี่ก็มีสภาพไม่ต่าง นาคินทร์วางกระเป๋าผมลงข้างกำแพง ขยับไปดึงที่นอนมาปูจัดให้ มันมีขนาดกว้างเพียงแค่สี่ฟุตเท่านั้น
“คุณหนูนอนห้องนี้ไปนะครับ นาคินทร์จะนอนด้านนอก”
ผมหันไปมองตรง ๆ ส่ายหน้า
“ฉันไม่นอนในห้องนี้คนเดียวเด็ดขาด บอกแล้วไง นาคินทร์นอนไหน ฉันนอนนั่น”
“แต่…”
“อย่าทิ้งให้ฉันนอนคนเดียวเลยนะนาคินทร์” ผมเอาลูกอ้อนเข้าสู้ นาคินทร์นิ่งไป
“ครับ”
แล้วเขาก็ไปลากที่นอนอีกชุดมาปูข้าง ๆ กัน
ผมยิ้ม
“คุณหนูรีบเตรียมอุปกรณ์อาบน้ำดีกว่าครับ ค่ำแล้ว”
ผมเพิ่งนึกได้ รีบเดินไปรูดซิปรื้อกระเป๋า ดึงเอาอุปกรณ์อาบน้ำมาถือ พร้อมชุดและผ้าเช็ดตัว นาคินทร์พาผมเดินไปยังห้องน้ำ
“ผมจะยืนเฝ้าอยู่ตรงนี้ เผื่อคุณหนูต้องการความช่วยเหลืออะไร”
ผมพยักหน้า เดินเข้าห้องน้ำไป มองสำรวจไปรอบ ๆ ห้องน้ำทำจากไม้ สร้างแยกจากตัวบ้านออกมา หลังคาอยู่ในพื้นที่เดียวกัน มีสบู่นกแก้วสีเขียววางไว้ ผมยิ้มทันทีที่เห็น มีที่เสียบแปรงสีฟันพลาสติกแขวนไว้ สภาพมันเอียงจะหลุดมิหลุดแหล่ มีแปรงอยู่สองด้ามบาน ๆ
ผมว่าน่าจะซื้อใหม่ให้ท่านได้แล้วนะ ยาสระผมแฟซ่าหนึ่งขวด รองน้ำด้วยโอ่งมังกรขนาดใหญ่ น้ำเต็มตุ่มอยู่ มีขันพลาสติกสีเขียวลอยฟ่อง เหนือโอ่งเป็นก๊อกน้ำต่อด้วยท่อพีวีซีสีฟ้าสดใส หัวก๊อกเป็นทองเหลือง คนที่เข้ามาเปิดน้ำไว้คงปิดก๊อกไม่สนิท ตอนนี้มันเลยพากันหยดติ๋ง ๆ ลงสู่อ่างน้ำ สร้างระลอกคลื่นให้น้ำในตุ่มเป็นระยะ ผมห้อยผ้าเช็ดตัวไว้กับตะปูข้างฝา วางอุปกรณ์อาบน้ำที่เตรียมมาลง ถอดเสื้อผ้าออกจากตัวจนเปลือยเปล่า หนาวเยือกเลย ผมลองเอามือจุ่มน้ำดู
“อึ๋ย”
ผมร้องออกมาทันที
“ทำไมครับคุณหนู”
นาคินทร์ร้องถามมา คงยืนเฝ้าผมอยู่หน้าห้องจริง ๆ
“น้ำเย็นมาก”
นาคินทร์หัวเราะ
“ผมถึงได้อยากให้อาบเร็ว ๆ ไงครับ รีบเถอะ ยิ่งดึกยิ่งหนาวนะ”
“แต่มันเย็นมากเลยนะนาคินทร์ ทำไมไม่ติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นไว้บ้าง”
“คนที่นี่เขาชินแล้วครับ หนาวมากสำหรับคนเมือง แต่ธรรมดาสำหรับคนต่างจังหวัด”
“ธรรมดาตรงไหน นี่มันน้ำจากตู้เย็นชัด ๆ ก๊อกนี่ต่อมาจากตู้เย็นหรือเปล่า”
ผมแกล้งแซวออกไป เสียงหัวเราะดังเข้ามาให้ได้ยิน
ผมยืนทำใจ
“ยิ่งช้ายิ่งหนาวนะครับ” มีเสียงเตือนเข้ามาอีกเบา ๆ
“ขอทำใจก่อน”
“รีบอาบดีกว่าครับ หนาวขันแรก ลองราดไปหลาย ๆ ขัน เดี๋ยวร่างกายก็ชินเอง”
“ชินหรือแข็งตายคาห้องน้ำกันแน่”
ผมลองเอานิ่วจุ่มน้ำในโอ่งดูอีกรอบ นี่มันน้ำในตู้เย็นชัด ๆ จริง ๆ
“รีบอาบดีกว่าครับ ยิ่งนานยิ่งหนาวนะ”
นาคินทร์บอกมาอีกที
“ไม่ไหว มันหนาวมากเลย ฉันต้องแข็งตายแน่ ๆ นาคินทร์มีกาต้มน้ำไหม”
“มีครับ แต่อยู่บ้านใหญ่ ไงเดี๋ยวรอสักครู่ นาคินทร์จะไปเอามาให้”
“ไม่ต้อง ๆ นาคินทร์”
ผมรีบร้องเบรกไว้ทันที “คนถามมา ฉันคงอายแย่ แค่นี้ก็ต้องต้มน้ำอาบ”
“ทุกคนเข้าใจครับว่าคุณหนูไม่ชิน”
“ไม่เป็นไร”
ผมพูดอย่างฮึดสู้ อนาคตผมอาจได้เป็นสะใภ้หนุ่มบ้านนอก แค่นี้ทนไม่ได้อย่างอื่นก็อย่าทำเลย “ฉันจะอาบมันทั้งเย็น ๆ แบบนี้แหละ ตายเป็นตายวะ”
คำหลังผมพูดกับตัวเอง ใช้ขันตักน้ำจ้วงราดตัว ได้ยินเสียงท้วงว่าเดี๋ยวของนาคินทร์ดังมา แต่ไม่ทันแล้ว เพราะน้ำมันมาอยู่บนตัวผมหมดแล้ว
ผมร้องจ๊ากออกมาทันที ได้ยินเสียงหัวเราะของคนนอกห้องน้ำ ผมตัวสั่นหงึก รีบตักอีกขันจ้วงใส่ตัวโครม ๆ อย่างที่นาคินทร์บอก
“ไหนว่าราดเยอะ ๆ แล้วจะหายหนาวไง หนาวกว่าเดิมอีก”
ผมบอกปากสั่นกำมือดึงชิดอกแน่นเบียดขาตัวสั่นหงึกกว่าเดิม
“ต้องราดแบบไม่หยุดนาน ๆ ครับ รับรองชิน แต่คุณหนูรีบถูสบู่รีบล้าง แล้วรีบออกมาดีกว่าครับ ไม่ชินเดี๋ยวตะคริวกิน”
“คนโกหก”
ผมด่าออกไปปากสั่น ๆ นาคินทร์หัวเราะ ผมรีบดึงสบู่กลิ่นประจำตัวมาราดน้ำแล้วถูตัว ปกติเวลาอยู่กรุงเทพ ผมอาบน้ำนาน อยู่นี่นานไม่ได้แน่ ๆ
ผมรีบถู รีบล้าง ล้างตัวเสร็จก็ล้างหน้า ตักน้ำราด ๆ อาบไปก็บ่นหนาว ๆ บ่นไป คนด้านนอกก็หัวเราะใหญ่ ผมชอบให้นาคินทร์หัวเราะนะ แต่ตอนนี้อยากเตะมากกว่า
ผมรีบเอาผ้าเช็ดตัวมาเช็ดลวก ๆ คว้าเสื้อผ้ามาสวม รีบเปิดประตูออกไป กะจะด่าต่ออีกสักหน่อย ค่าที่ล่อลวงผมมาอาบน้ำเย็น คนตัวสูงยิ้มพราย ขยับกางผ้าเช็ดตัวสีน้ำเงินผืนใหญ่ในมือออกกว้างแล้วพันมารอบตัวผม รัดแน่นด้วยวงแขนตัวเอง
ไอ้ปากที่เตรียมจะต่อว่านิ่งสนิทเลยครับ ตัวผมถูกห่อแน่นไว้ในอ้อมแขนแกร่งนั้น
“จะต่อว่าอะไรนาคินทร์ก็ได้ แต่ขอให้นาคินทร์ทำให้คุณหนูตัวอุ่นก่อน”
ใครจะต่อว่าได้ล่ะ มาทำให้ใจละลายแบบนี้
ผมยืนเม้มปาก พยายามไม่คลี่ยิ้มออกมาให้เห็น นาคินทร์ถูหลังผมเบา ๆ หวังให้ความอบอุ่นเพิ่มขึ้น ไอร้อนจากตัวนาคินทร์ทำให้ผมรู้สึกอุ่นขึ้นมาจริง ๆ ผมซุกหน้ากับแผงอกกว้างทันทีอย่างถือโอกาส
“ดีขึ้นไหมครับ”
“นิด ๆ” ผมอู้อี้บอก
“ผมก็ลืมนึกเรื่องกาต้มไป เดี๋ยววันพรุ่งนี้จะต้มน้ำร้อนรอไว้ให้”
“ไม่ต้องหรอก” ผมปฏิเสธเสียงเบา “ถ้านาคินทร์ออกมาคอยรับฉันแบบนี้ ฉันทนได้”
นาคินทร์ชะงักมือไปนิดหนึ่ง แล้วถูหลังผมต่อ จนผมรู้สึกหายหนาวนั่นแหละนาคินทร์ถึงปล่อยอ้อมแขนออก
โดนกอดแบบนี้ทุกวัน ให้หนาวกว่านี้ ผมก็ทนได้
[....80%....]
“เดี๋ยวผมจะอาบต่อ คุณหนูไปรอที่บ้านใหญ่ได้เลยนะครับ ทุกคนรออยู่”
ผมพยักหน้า เดินเข้าห้องไป ในขณะที่นาคินทร์แยกตัวเดินเข้าห้องน้ำไป
ตอนแรกก็ว่าจะไปรอที่บ้านใหญ่ตามคำแนะ แต่คิดไปคิดมา รอไปพร้อมนาคินทร์ดีกว่า ผมทิ้งตัวลงนอนบนฟูก คว้ามือถือมากดเปิดถ่าย ถ่ายรูปห้องนาคินทร์นั่นแหละ แปะสถานที่ไปเล็กน้อย แล้วส่งลงเฟซครอบครัวไป
ครับ เรามีเฟซสำหรับครอบครัวด้วย ไม่ใช่เฟซส่วนตัว เป็นเฟซที่ทุกคนเข้าไปลงข้อความอะไรได้หมด
กำลังตอบเม้นท์อยู่ก็ได้ยินเสียงแกรกของประตู นาคินทร์เดินเปลือยท่อนบนเข้ามา ท่อนล่างพันผ้าขนหนูไว้หลวม ๆ ที่เอว มันจะหลุดมิหลุดแหล่อยู่แล้ว นาคินทร์ชะงักที่เห็นผม
“ขอโทษที่เสียมารยาทครับคุณหนู คิดว่าคุณหนูออกไปแล้ว”
ผมเสหน้าหลบ
“จะรอไปพร้อมกัน”
“งั้นคอยสักครู่ครับ”
นาคินทร์กุมปมผ้าขนหนูไว้ หยิบเสื้อกับกางเกงที่วางอยู่มาถือ กำลังจะเดินออกจากห้อง
“ไปไหน” ผมรีบถามทันที
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าครับ”
“เปลี่ยนที่นี่ก็ได้”
“เอ่อ แต่คุณหนูอยู่”
“ผู้ชายเหมือนกัน คิดอะไร” พูดไปทั้งที่ใจคิด “ฉันไม่แอบมองหรอก เล่นมือถืออยู่ เปลี่ยนไปสิ เสียเวลา พื้นเปียกด้วย” พูดจบผมก็ก้มหน้าทันทีให้รู้ว่าผมจะมองมือถือมากกว่าจริง ๆ
“ครับ”
ได้ยินแค่นั้น ผมลอบเงยหน้ามองนิดหนึ่ง เห็นเพียงแผ่นหลังของนาคินทร์เหนือผ้าขนหนูขึ้นมา กล้ามเนื้อแผ่นหลังกว้างมาก นาคินทร์ก้มใส่ชั้นในก่อน ผมหน้าร้อนผ่าว กระดากอายเหมือนกัน แต่ภาพแบบนี้ขืนไม่มองก็เสียดายแย่
หลังจากนั้นก็ใส่กางเกงขาสั้นเสื้อยืด รวดเร็วมาก ๆ จนน่าเสียดาย พอนาคินทร์จะหันมา ผมรีบก้มมองมือถือทันที แกล้งพิมพ์อะไรยิก ๆ
“เรียบร้อยแล้วครับ”
นาคินทร์แจ้ง ผมถึงได้เงยหน้ามองอีกที
ผมกดปิดมือถือ ลากสายชาร์จมาเสียบทิ้งไว้
“งั้นเราไปกันเถอะ”
ผมชวน นาคินทร์พยักหน้าเดินตามหลัง ผมเบรกเท้าลงกึกเพราะเพิ่งนึกอะไรได้ เพราะผมเบรกกะหันทัน คนด้านหลังถึงชนผมเข้าเต็ม ๆ จนผมเซจะล้ม นาคินทร์รีบโอบเอวผมไว้ทันที ผมอึ้งไป เอี้ยวตัวมอง
“ขอโทษครับ”
นาคินทร์ค่อย ๆ ปล่อยมือออก
“โทษที หยุดกะทันหัน นึกได้ว่าน่าจะเอามือถือไปด้วยเผื่อถ่ายรูป รอเดี๋ยวนะ”
ผมรีบวิ่งกลับเข้าห้อง แล้วออกมาพร้อมมือถือ แอบดีใจนิด ๆ กับสัมผัสใกล้ชิดเมื่อกี้
ขอคิดเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่านาคินทร์ก็น่าจะมีความรู้สึกอะไรสักอย่างหลงเหลือบ้าง หลังจากคืนที่เรามีอะไรกัน
นาคินทร์ยืนคอย ผมกดถ่ายนาคินทร์ก่อนคนแรก ถ่ายวิวอีกเล็กน้อย พอออกไปก็ได้เวลาอาหารพอดี เป็นอาหารพื้นบ้าน ซึ่งบางอย่างผมก็กินได้ บางอย่างก็ไม่ได้ แต่ยอมรับว่าอร่อยทุกอย่างจริง ๆ
เพราะคนเยอะ วงอาหารมื้อนี้จึงใหญ่มาก ผมโดนชมว่าเป็นคุณหนูที่ค่อนข้างติดดิน
คนต่างจังหวัดกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นของคู่กัน มีใครสักคนส่งเครื่องดื่มมาให้ทั้งผมและนาคินทร์ แต่นาคินทร์เตือนผมไว้ว่ากินน้อย ๆ เพราะเดี๋ยวพรุ่งนี้จะลุกเที่ยวไม่ไหว
แน่นอน ผมห่วงเที่ยวกับนาคินทร์มากกว่าเครื่องดื่มแบบนี้อยู่แล้ว ผมดื่มไปแค่แก้วเดียวตามคำคะยั้นคะยอแล้วก็ไม่ดื่มอีกพอ ๆ กับนาคินทร์ที่ดื่มไปแค่แก้วเดียวเหมือนกัน
วงเหล้าสลายตัวกันเร็วมาก อาจเพราะคนต่างจังหวัดนอนเร็วละมั้ง คนสูงวัยทั้งสองเข้าห้องนอนไปกันตั้งแต่สองทุ่มแล้ว เหลือแต่ผู้ใหญ่ที่นั่งคุยกันอยู่เด็ก ๆ ถูกไล่ให้ไปนอนตอนสามทุ่ม ไม่เกินสี่ทุ่มนาคินทร์ก็ชวนผมกลับไปพักผ่อน ซึ่งทุกคนก็ยอมปล่อยตัวผมดี ๆ
“ทักทายแค่พอประมาณครับ เพราะเป้าหมายที่พาคุณหนูมาที่นี่ไม่ใช่มาพบญาตินาคินทร์”
นาคินทร์บอกนิ่ง ๆ ผมมองงง ๆ นาคินทร์ยิ้ม
“รอนี่สักครู่นะครับ”
ผมพยักหน้ายืนคอย นาคินทร์เดินกลับมาพร้อมเสื่อหนึ่งผืนในมือ ไฟฉายหนึ่งกระบอก และบางสิ่งที่รูปร่างเหมือนตะเกียงเจ้าพายุ
“อะไร”
“คุณหนูอยากดูดาวไม่ใช่หรือครับ เอานี่ไปนั่งดูดาว”
ผมอ้าปากค้าง
“ลืมไปเลย เอาสิ ไป ๆ”
ผมบอกอย่างตื่นเต้น นาคินทร์กดเปิดไฟฉายทันที ลำแสงจากหลอดไฟขนาดใหญ่สว่างจ้าพุ่งตรงไปด้านหน้า
“ถ้าโชคดี เราอาจได้เห็นหิ่งห้อย”
“เหรอ ดีเลย”
ผมบอกอย่างตื่นเต้น เดินตามหลังคนตัวสูง นาคินทร์พาเดินออกจากตัวบ้านลึกไปทางหลังบ้านซึ่งเป็นทุ่งนาที่ไม่มีต้นข้าวแล้ว เป็นนาโล่ง ๆ เดินออกมาได้นิดเดียว ผมก็เข้าประชิดตัวนาคินทร์ทันที
“นี่ นาคินทร์แน่ใจนะว่าเราจะเจอหิ่งห้อยไม่ใช่กระสือโผล่มา”
นาคินทร์หัวเราะ
“คุณหนูกลัวด้วยเหรอครับ ไหนว่าไม่กลัวพวกนี้แล้ว”
“กรุงเทพไม่กลัว แต่ที่นี่น่ากลัว”
ผมมองไปรอบ ๆ อย่างหวาด ๆ ใบไม้เสียดสีกัน เสียงแมลงตัวน้อยร้องกันระงม เสียงเหยียบใบไม้ดังกรอบแกรบ
“งั้นทำแบบนี้คุณหนูยังกลัวอยู่ไหม”
นาคินทร์จับมือผมไว้ ผมก้มมอง เงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูง ผมยิ้มให้ ส่ายหน้าไปมา
“ไม่กลัวแล้ว”
“ครับ งั้นเดินระวังนะ”
นาคินทร์พาผมเดินลัดเลาะห่างตัวบ้านออกไปเรื่อย ๆ กระทั่งถึงลานโล่ง ผมอ้าปากค้างทันที ตอนแรกงงว่าทำไมนาคินทร์ไม่พานั่งดูหน้าบ้านเพราะน่าจะมีพื้นที่ให้ดูได้เหมือนกัน แต่ที่นั่นเทียบกับที่นี่ไม่ติดเลย เพราะทุกพื้นที่มันโล่ง มองเห็นดาวได้ชัดเจนมากกว่า ที่บ้านบางจุดมีต้นไม้ใหญ่บัง
“ว้าววว”
ผมหมุนวนไปรอบ ๆ มันไม่โล่งธรรมดา มันโล่งมาก ๆ เห็นดาวเต็มท้องฟ้าเลย
“เราโชคดีมากันเดือนมืด เห็นดาวได้ชัด”
นาคินทร์กวาดมองไปรอบ ๆ
“นั่งตรงนี้ละกัน คุณหนูเห็นตรงนั้นไหมครับ บางครั้งจะมีหิ่งห้อยมาบินเล่น แต่ต้องลุ้นนะครับ เพราะมันไม่ได้มาทุกคืน วันนี้อาจเห็นหรือไม่เห็น”
ผมพยักหน้าเข้าใจ นาคินทร์วางตะเกียงเจ้าพายุลงกับพื้น กางเสื่อออกปู ล้วงหยิบไฟแช็กจากกระเป๋ากางเกงมาจุดตะเกียง เจ้าตัวหรี่ไฟลงให้เบาบาง พอให้เห็นหน้ากันได้บ้างเท่านั้น
“เชิญครับ”
นาคินทร์เชิญ ผมรีบถอดรองเท้าก้าวขึ้นไปนั่งทันที
“ขอโทษ นาคินทร์ลืมไป น่าจะเอาผ้ามาปูรองด้วย คุณหนูจะได้ไม่เจ็บ”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันนั่งได้”
ผมยกเข่าขึ้นมากอดเงยหน้ามองดาว
“ว้าว สวยมาก ๆ เลย เสียดายมืดไปหน่อย ถ่ายด้วยกล้องมือถือไม่สวย”
“มองด้วยตาเก็บไว้ด้วยใจจะดีกว่าครับ”
ผมยิ้ม นั่นสินะ นาคินทร์ลงมานั่งข้าง ๆ
“ผมลืมอีกแล้ว”
นาคินทร์จิ๊ปาก
“อะไร”
ผมหันไปถาม
“คุณหนูอาจหนาว ผมลืมเอาผ้าห่มมาให้ด้วย”
“นี่ ย้ายห้องนอนมาไว้ตรงนี้เลยไหม”
“แต่คุณหนูจะหนาวมาก นาคินทร์น่ะทนได้อยู่ แต่คุณหนู…”
“ถ้าทนไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดมากเรื่องอื่นเลย ดูดาวกันดีกว่า สวยมากเลย”
ผมเงยหน้ามองอีกที
มันสวยจริง ๆ ดวงดาวบนท้องฟ้าพากันส่องแสงระยิบระยับ ดวงจันทร์ประดับอยู่เคียงกัน ดาวเป็นนางเอก พระจันทร์เป็นพระเอก
ผ่านไปไม่ถึงสองนาที ลมพัดผ่านผิวหน้าไปวูบหนึ่ง มันหนาวยะเยือกจนขนตั้งชัน
หนาวจริง ๆ แฮะ
ผมพยายามอดทน แต่ลมโกรกมาอีกระลอกใหญ่พัดพาเอาไอน้ำค้างมาโอบผิวด้วย ผมลูบแขนตัวเองเบา ๆ
“หนาวใช่ไหมคุณหนู งั้นรอนาคินทร์สักครู่ นาคินทร์จะรีบวิ่งกลับไปเอาผ้าห่มมาให้”
“ไม่ต้อง”
ผมรีบคว้าจับชายเสื้อของคนที่ลุกพรวดขึ้นยืน
“มันหนาวนะครับ ยิ่งดึกยิ่งหนาวกว่านี้อีก คุณหนูดูดาวไม่มีความสุขแน่ ๆ รอนาคินทร์ไม่ถึงสิบนาทีหรอก”
“บ้ารึไง ตั้งสิบนาที เกิดมีผีโผล่มาลากตัวฉันไปจะไปทำไง”
นาคินทร์หัวเราะ
“ไม่มีหรอกครับ”
“ไม่เอาฉันกลัว”
ผมยึดชายเสื้อคนตัวสูงไว้มั่น
“งั้นเราไปกันสองคน แล้วเดินกลับมาใหม่”
ผมนิ่งคิด ก่อนส่ายหัว
“ขี้เกียจเดินย้อนไปย้อนมา”
“แต่…”
“อยากให้ฉันหายหนาวใช่ไหม”
ผมถามกลับ นาคินทร์พยักหน้า ผมอมยิ้ม
“งั้นนั่งลง”
นาคินทร์ขมวดคิ้วมองผมงง ๆ แต่ก็ยอมนั่งลงโดยดี ผมขยับลุกไปนั่งตรงหน้าคนตัวสูง จับแขนนาคินทร์มาโอบไว้รอบตัวผม
“คุณหนู!”
“เป็นฮีตเตอร์ให้ฉันซะดี ๆ ข้อหาลืมเอาผ้าห่มกับผ้ารองมาตั้งแต่ต้น”
“ผมว่า…”
“ชู่ว เบา ๆ สิ เสียงดังไป เดี๋ยวดาวตกใจพากันวิ่งหนีจากท้องฟ้าหมดหรอก”
นาคินทร์หัวเราะออกมาทันที กระชับกอดผมแน่นขึ้น
“คุณหนูนี่มีอารมณ์ขันเสมอเลยนะครับ”
“นี่ฉันพูดจริง ๆ”
“ครับ ๆ นาคินทร์เชื่อ งั้นสักครู่นะครับ นั่งแบบนี้ดีกว่า”
นาคินทร์ขยับปรับท่าเป็นนั่งขัดสมาธิ รั้งผมไปนั่งบนตักดี ๆ โอบกอดผมไว้ในอ้อมแขน
“พื้นมันเย็น นั่งตักนาคินทร์น่าจะอุ่นกว่า”
ผมร้อนผ่าวไปทั่วทั้งหน้า ทั้งตัวและหัวใจ เมื่อกี้นี้มันหนาวยะเยือก แต่ตอนนี้ตัวผมอุ่นสุด ๆ ผมกระชับแขนนาคินทร์ให้กอดผมแน่นขึ้น พิงหัวไว้กับแผงอกกว้าง
เราต่างคนต่างพากันนั่งเงียบ
“เมื่อกี้นี้ฉันหนาวมากเลยนะ”
ผมพูดเสียงแผ่วแทรกเสียงแมลงตัวเล็ก ๆ ขึ้นมา นาคินทร์ก้มมอง ผมยิ้มให้ “แต่ตอนนี้ฉันอุ่นมากเลย ดีไม่ดี ตัวนาคินทร์ทำให้ฉันอุ่นได้มากกว่าผ้าห่มหลายผืนซ้อนกันซะอีก”
นาคินทร์ยิ้ม กระชับกอดผมแน่นขึ้นอีก
“ถ้าคุณหนูไม่รังเกียจร่างกายของคนต้อยต่ำไร้สกุลรุนชาติแบบนี้ ผมก็พร้อมจะกอดคุณหนูเสมอ”
“ฉันไม่เคยรังเกียจเลย”
“ขอบคุณครับ”
นาคินทร์กระซิบพูดเสียงแผ่ว ผมอิงแอบแผ่นหลังเข้ากับแผงอกกว้างมากขึ้น
มีต่อค่ะ>>>
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54278.msg3489452#msg3489452