เจ็ด
แปลกไป
บ้านของพิชญ์ตั้งอยู่ตัวอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นบ้านชั้นเดียวขนาดกะทัดรัดเนื่องจากอยู่กันแค่สองคนแม่ลูก บริเวณนอกบ้านมีแปลงผักสวนครัวเล็ก ๆ ซึ่งแม่พลอยเป็นคนปลูกและดูแลเองกับมือจนออกดอกออกผลสวยงาม
สมัยก่อนตอนอยู่กันแค่สองคนแม่ลูก พิชญ์ก็คิดว่าบ้านของเขามีขนาดกำลังดี อย่างน้อยก็เหมาะกับครอบครัวเล็ก ๆ ที่มีแค่เขากับแม่พลอย แต่พอมีผู้ชายตัวใหญ่ ๆ อีกสองคนมายืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่กลางบ้าน พิชญ์ถึงเพิ่งรู้ว่าบ้านของเขามันคับแคบเกินไปสำหรับการรับแขก โชคดีที่บริเวณชานบ้านมีม้าหินสำหรับนั่งรับลมเย็น ๆ แม่พลอยเลยชวนแขกจากกรุงเทพฯมานั่งตรงชานบ้านแทน
“แล้วนี่ไปยังไงมายังไง ถึงได้มาถึงนี่ล่ะพีท” แม่พลอยเอ่ยถามลูกชายคนเดียวอย่างเอ็นดู ข้าง ๆ มีหลานสาวตัวน้อยที่นั่งเล่นก้อนน้ำแข็งอยู่ เดี๋ยวจับใส่ปากบ้าง เดี๋ยวคายออกบ้าง แล้วก็หัวเราะคิกคักชอบอกชอบใจอยู่คนเดียวตามประสาเด็ก
พอถูกผู้เป็นแม่เอ่ยถาม คนที่ถูกพากลับบ้านแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลยตวัดตามองอริญชย์ เป็นเชิงให้อริญชย์เป็นฝ่ายตอบแม่พลอยเอง คนถูกมองเองก็ดูจะเข้าใจความหมายจากสายตาของพิชญ์ เลยหันไปยิ้มอ่อน ๆ ให้กับแม่พลอยก่อนจะอธิบาย
“พอดีน้องหนูบ่นว่าอยากมาเที่ยวทะเลน่ะครับ ไหน ๆ ผมกับพีทก็เคลียร์งานเสร็จแล้ว เลยคิดว่าแวะมาที่นี่ ถือโอกาสมาเยี่ยมแม่พลอย แล้วค่อยพาน้องหนูไปเล่นทะเลที่หาดหัวหินหรือไม่ก็หาดปราณบุรีน่าจะดี”
แม่พลอยพยักหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะกวาดสายตามองรอบ ๆ ตอนแรกที่ลูกกับหลานมาถึง เธอมัวแต่สนใจหลานสาวตัวน้อยที่วิ่งตื๋อเข้ามาหาเลยไม่ทันได้สังเกตอะไร พอมาดูดี ๆ ถึงเห็นว่าลูกสะใภ้ของเธอไม่ได้มาด้วย ด้วยความเป็นห่วงเลยอดถามออกไปไม่ได้
“แล้วคุณเล็กไม่มาด้วยหรือพีท”
“ยัยเล็กเขาติดงานถ่ายแบบครับ พวกผมเลยพาน้องหนูมาเที่ยวกันเอง”
อริญชย์เป็นคนเอ่ยตอบแทนพิชญ์ ทำให้แม่พลอยคลายความสงสัยไปได้เยอะ เธอเองก็รู้ว่าไอลดาเป็นนางแบบจากการบอกเล่าของพิชญ์ เลยไม่ค่อยมีเวลาว่างเหมือนคนอื่น ๆ มากนัก แต่ตามประสาแม่สามีก็อดถามถึงลูกสะใภ้ไม่ได้
“พีทมากะทันหัน ไม่ได้มากวนแม่ใช่ไหม” พิชญ์เอ่ยกับผู้เป็นแม่เสียงอ่อน
ถึงแม้ยามทำงานและยามอยู่กับคนอื่น พิชญ์จะวางมาดเป็นนักธุรกิจที่ดูโตเกินอายุ ด้วยความรับผิดชอบหลาย ๆ อย่างที่แบกรับมา แต่พออยู่กับผู้เป็นแม่ที่เลี้ยงกันมาแต่เล็กแต่น้อย พิชญ์ก็ถอดหัวโขนต่าง ๆ ออก กลายเป็นแค่ลูกชายคนหนึ่งของแม่ และสำหรับแม่พลอยเองแล้ว ต่อให้พิชญ์จะแต่งงาน มีลูกมีภรรยา มีหลานให้แม่อุ้ม แต่ในสายตาของคนเป็นแม่ พิชญ์ก็ยังคงเป็นลูกชายตัวน้อยของแม่พลอยอยู่วันยังค่ำ
“กวนเกินอะไรกันพีท แม่อยู่คนเดียว มีลูก ๆ หลาน ๆ มาหาแม่ก็ดีใจ” แม่พลอยเอ่ยอย่างยินดี พร้อมทั้งเผื่อแผ่รอยยิ้มไปให้อริญชย์และตุลย์ด้วยเช่นกัน
“แม่อยู่คนเดียวเหงาหรือเปล่า พีทชวนแม่ไปอยู่กรุงเทพฯด้วยกัน แม่ก็ไม่ยอมไป”
“ไม่เอาหรอก แม่ไม่ชอบ อยู่ที่นี่ดีแล้ว พีทคิดถึงแม่ก็มาหาแม่ที่นี่ แล้วดูเราสิ โตจนมีลูกแล้ว ยังมาอ้อนแม่ต่อหน้าลูกอีก”
พิชญ์คว้าเอาเจ้าตัวเล็กขึ้นมานั่งตัก ก้มลงกดจมูกที่แก้มยุ้ยแรง ๆ ก่อนจะแย่งน้ำแข็งในมือน้องหนูมาโยนทิ้งลงพื้นพร้อมกับเอ็ดเบา ๆ
“พอแล้วน้องหนู สกปรกหมดแล้ว”
“ฮือ...พ่อพีท น้องหนูจะเล่นเย็น ๆ”
“ถ้าดื้อ เดี๋ยวพ่อพีทไม่พาไปหาคุณปลานะ”
พอโดนเอาเรื่องเที่ยวมาขู่ น้องหนูที่กำลังเบะปากก็หุบฉับทันทีก่อนจะซุกหน้าเข้ากับอกของพิชญ์ ให้คนอื่น ๆ ได้แต่มองด้วยความเอ็นดู
“ตายจริง! แม่ลืมไป ไม่ได้บอกกันก่อนว่าจะมา แม่เลยไม่ได้เตรียมที่นอนห้องหับเอาไว้ให้”
“ไม่เป็นไรครับ พวกผมอยู่กันง่ายอยู่แล้ว” ตุลย์ที่ยืนอยู่ข้างหลังอริญชย์เป็นคนเสนอหน้ามาตอบ ให้อริญชย์นึกหมั่นไส้จนต้องถามกลับหน้านิ่ง ๆ
“ใครพวกเดียวกับนาย”
“โธ่ คุณใหญ่ ผมก็แค่พูดรวมเฉย ๆ”
แม่พลอยที่ปกติอยู่คนเดียว พอเห็นผู้ชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกชายมายืนเถียงกัน ก็มองอย่างขบขันก่อนจะยกมือปราม
“ไม่ต้องเถียงกันคุณใหญ่ เอาอย่างนี้ แม่ว่าให้น้องหนูมานอนกับแม่ที่ห้อง แล้วคุณใหญ่กับตุลย์นอนห้องพีท ส่วนพีท...หนูไปเอาฟูกที่แม่พับเก็บอยู่มาปูนอนตรงห้องรับแขกละกัน เพราะถ้าปูนอนในห้องพีท แม่ว่าไม่มีที่เดินแน่ ๆ”
พิชญ์กำลังจะเอ่ยปากรับคำผู้เป็นแม่ แต่ยังช้ากว่าอีกคนที่รีบชิงขัดขึ้นเสียก่อน
“ไม่ต้องลำบากพีทหรอกครับแม่ เดี๋ยวให้ตุลย์นอนห้องรับแขกแทน แล้วให้พีทมานอนในห้องกับผมดีกว่า” นอกจากจะเอ่ยเสียงนุ่มทุ้มหูกับแม่พลอยแล้ว อริญชย์ยังหันไปขึงตาดุ ๆ ใส่ตุลย์เป็นเชิงให้หุบปากอีกด้วย
“แต่คุณใหญ่กับตุลย์เป็นแขก เดี๋ยวจะลำบากกันเปล่า ๆ แม่ว่า...”
“ไม่ลำบากหรอกครับแม่ ตุลย์มันชิน”
“ถ้าคุณใหญ่ว่างั้น ก็เอาตามคุณใหญ่เลยละกัน”
ตุลย์ได้แต่เกาหัวแกรก ๆ เมื่อถูกผู้เป็นนายยัดเยียดให้นอนพื้นหน้าตาเฉย เอาเถอะ...เป็นลูกน้องเขานี่หว่า เจ้านายสั่งอะไรก็ต้องทำตาม อย่าริอ่านไปขัดขวางความสุขเจ้านายให้มาก เดี๋ยวจะได้วอดวายไม่รู้ตัว
พิชญ์ทำหน้าอิหลักอิเหลื่อ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ห้องนอนเขามีเตียงใหญ่อยู่แค่เตียงเดียว ยังไงก็นอนได้แค่สองคน แต่จะให้เขานอนกับอริญชย์ พิชญ์ก็ลำบากใจจริง ๆ
“อันที่จริง พีทไปนอนในห้องแม่กับน้องหนูก็ได้นะ” พิชญ์หันไปเอ่ยกลับแม่พลอย ทำทีเป็นไม่สนใจสายตาดุ ๆ ของคนที่อยู่ข้าง ๆ
“จะมานอนเบียดกันทำไม แม่กับน้องหนูจะนอนกันตามประสาสาว ๆ พีทก็นอนกับคุณใหญ่ไปสิลูก ผู้ชายก็อยู่ส่วนผู้ชาย จริงไหมน้องหนู”
นอกจากผู้เป็นแม่จะไม่เห็นดีเห็นงามด้วยแล้ว ลูกสาวคนสวยของพิชญ์ยังพยักหน้าหงึก ๆ อีก แถมคนที่ยืนอยู่ข้างหลังก็หัวเราะออกมาเบา ๆ มีแต่พิชญ์คนเดียวที่ทำหน้ายุ่งยากใจ
...แม้กระทั่งอยู่บ้านตัวเอง...พิชญ์ก็ยังไม่มีทางหนีอริญชย์พ้นเลยใช่ไหม...
.
หลังจากขนข้าวของลงมาจากรถเรียบร้อย แม่พลอยที่มีลูกมีหลานมาเยี่ยมเต็มบ้านก็เกิดอารมณ์ดี อยากจะแสดงฝีมือทำอาหาร พิชญ์เลยเดินเข้าครัวมาช่วยแม่เปิดตู้เย็นดูของสด ปล่อยให้น้องหนูอยู่กับตุลย์และอริญชย์
“แม่ พีทอยากกินกุ้งอบวุ้นเส้นฝีมือแม่จัง” ลูกชายตัวโตหันมาเอ่ยอ้อนแม่
“โตจนมีลูกแล้วยังอ้อนแม่อีกนะเรา แล้วเป็นไงบ้างลูก อยู่กรุงเทพฯสบายดีไหม”
พิชญ์ลากเก้าอี้ตัวเล็ก ๆ มานั่งในครัว คอยดูแม่พลอยที่แม้อายุอานามจะมากแล้ว แต่ยังคล่องแคล่วอยู่เสมอ เขาเคยนึกอยากจะพาแม่ไปอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ อาจจะหาบ้านหลังเล็ก ๆ แล้วอยู่ด้วยกันสองคน แต่พอชีวิตพลิกผัน ต้องพาตัวเองเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ อะไรหลายอย่างเลยไม่เป็นอย่างใจคิด
“พีทสบายดี แต่อยากให้แม่ไปอยู่ด้วยจัง”
“ไม่เอาหรอก บ้านคุณใหญ่เขาหลังใหญ่โต แม่ไม่ชิน แม่ชอบอยู่บ้านเล็ก ๆ”
“แต่ปล่อยให้แม่อยู่คนเดียว พีทเป็นห่วงแม่นะ งั้นพีทซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ ที่กรุงเทพฯให้แม่อยู่เอาไหม”
“ไม่เอา ๆ ไม่ต้องเลยนะพีท แม่อยู่ที่นี่ดีแล้ว อยู่มาตั้งแต่เด็ก ๆ ไม่อยากย้ายไปอยู่ที่อื่นหรอก” แม่พลอยรีบเอ่ยปฏิเสธเสียงแข็งทันที
สุดท้ายแล้ว พิชญ์ก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้เหมือนที่ผ่าน ๆ มา เขารู้ว่าแม่ผูกพันกับบ้านหลังนี้ ผูกพันกับที่นี่ ที่ ๆ มีความทรงจำของแม่กับพ่ออยู่เต็มไปหมด แต่พิชญ์ก็เป็นห่วงแม่ ผู้หญิงตัวคนเดียวในบ้านหลังเล็ก ๆ ถึงจะมีเพื่อนบ้านคอยช่วยสอดส่องเป็นหูเป็นตาให้ พิชญ์ก็ยังอยากให้แม่ไปอยู่ใกล้ ๆ เขาอยู่ดี
“กับคุณเล็กเข้ากันได้ดีใช่ไหมลูก” แม่พลอยเอ่ยถามเสียงเรื่อย ๆ ไม่ได้หันกลับมามองลูกชาย เลยไม่มีโอกาสได้เห็นสีหน้าท่าทางของพิชญ์
“ครับ คุณเล็กเธอเป็นคนดี”
กับไอลดาแล้ว พิชญ์ไม่มีปัญหาอะไรในการใช้ชีวิตคู่ร่วมกับเธอเลย ที่มีปัญหาจริง ๆ คือพี่ชายของไอลดาหรือพี่ภรรยาของเขาต่างหาก แต่เขาก็ไม่คิดจะพูดออกไปให้ผู้เป็นแม่รู้สึกกังวล
“ดีแล้ว พีทเองก็เป็นคนดี ใครอยู่ใกล้พีทก็ต้องชอบพีททุกคน เวลาเห็นลูกมีความสุข แม่เองก็พลอยดีใจไปด้วย อ้อ...แล้วส่งเงินมาให้แม่ตั้งมากมาย พีทพอใช้เหรอลูก เก็บออมไว้ให้น้องหนูบ้างนะ ยังไงก็อย่าไปรบกวนคุณเล็กกับคุณใหญ่เขามาก”
แม่พลอยเองก็รู้ว่าทางไอลดามาจากครอบครัวมีฐานะ ความก้าวหน้าต่าง ๆ ของพิชญ์ก็ล้วนแต่มาจากการช่วยเหลือของอริญชย์ แต่เธอก็ไม่อยากให้ใครมาครหาว่าลูกชายเกาะครอบครัวภรรยากิน ถ้าสามารถยืนด้วยขาของตัวเองได้ เธอก็อยากจะให้พิชญ์ทำอย่างนั้น
“พีทก็ไม่อยากไปรบกวนเขาเท่าไหร่หรอกแม่”
...แต่บางทีอริญชย์ก็เป็นฝ่ายหยิบยื่นมาให้ โดยเรียกร้องเอาสิ่งแลกเปลี่ยนที่เขาไม่เต็มใจเลยกลับคืน...นั่นคือสิ่งที่พิชญ์ได้แต่คิด ไม่กล้าเอ่ยตอบผู้เป็นแม่ออกไป
“เงินที่พีทโอนมาให้แม่ แม่ก็ยังไม่ได้เอามาใช้ซักบาท ว่าจะเก็บให้น้องหนูอยู่เหมือนกัน”
“แม่เก็บไว้ใช้เถอะ น้องหนูมีคนเอ็นดูเยอะแยะแล้ว”
“อิจฉาน้องหนูล่ะสิ”
“เปล่าซะหน่อย แม่ก็ใส่ความพีท พีทเป็นพ่อ เห็นคนมาเอ็นดู มารักลูกตัวเอง พีทก็ต้องดีใจอยู่แล้วสิ”
พิชญ์ยอมรับนับถือน้ำใจของไอลดาอย่างหนึ่ง ถึงแม้ว่าเธอจะตั้งท้องน้องหนูตอนที่ยังไม่พร้อม แต่เธอก็เลือกที่จะเก็บน้องหนูเอาไว้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม พิชญ์ก็ขอบคุณเธอเหลือเกินที่มอบของขวัญล้ำค่าที่สุดอย่างน้องหนูให้กับเขา
“ตายจริง!”
เสียงอุทานของผู้เป็นแม่ดึงความสนใจของพิชญ์ให้หันกลับไปมอง ก่อนจะลุกไปยืนข้างหลังแม่พลอย แล้วชะโงกหน้าไปดูอย่างเป็นห่วง
“เป็นอะไรแม่ ร้องจนพีทตกใจหมด”
“น้ำมันหมดพอดีเลย แม่ไม่ได้ซื้อเก็บไว้เสียด้วย”
“เรื่องแค่นี้เอง เดี๋ยวพีทขี่รถออกไปซื้อให้ เอาน้ำมันอย่างเดียวใช่ไหมแม่”
“ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว พีทซื้อมะนาวกับวุ้นเส้นกลับมาด้วยเลยแล้วกัน กุญแจรถแขวนอยู่ที่เดิมนะ”
พิชญ์หันมายักคิ้วให้ผู้เป็นแม่อย่างทะเล้น ก่อนจะเดินออกไปหยิบกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ที่แขวนอยู่ เห็นตุลย์กับอริญชย์กำลังชวนน้องหนูเดินดูปลาในบ่อ พิชญ์เลยเดินผ่านไปใส่รองเท้า แล้วก้าวขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดแอบอยู่ข้างบ้าน เพิ่งจะเสียบกุญแจ ยังไม่ทันได้สตาร์ทเครื่อง เสียงดุ ๆ ก็ดังมาจากข้างหลัง
“จะไปไหน”
“ไปซื้อของให้แม่ครับ คุณใหญ่จะเอาอะไรหรือเปล่า”
อริญชย์ไม่ได้ตอบคำถามของพิชญ์ แต่ก้าวขึ้นไปซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์หน้าตาเฉย เล่นเอาคนขับถึงกับเหวอไปนิด ๆ
“คุณใหญ่...” พิชญ์ร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาอย่างไม่เข้าใจ
“ออกรถสิ ฉันจะไปด้วย”
รู้ดีว่าเถียงหรือคัดค้านไป ยังไงอีกคนก็ไม่ฟังอยู่ดี ลองว่าอริญชย์ต้องการอะไรแล้ว ไม่มีทางที่เจ้าตัวจะยอมเลิกราทั้งที่ยังไม่ได้ พิชญ์เลยได้แต่เม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะสตาร์ทเครื่องแล้วขี่รถออกจากบ้าน
ปกติแล้ว จากบ้านพิชญ์ไปตลาดตรงสี่แยกมักจะใช้เวลาประมาณสิบถึงสิบห้านาที ซึ่งเป็นระยะทางที่ไม่ได้ไกลจากบ้านเท่าไหร่ แต่วันนี้ชายหนุ่มอดรู้สึกไม่ได้ว่า เหมือนระยะทางมันจะไกลเกินไปในความรู้สึกของเขา โดยเฉพาะเมื่อมีผู้ชายตัวโตซ้อนท้ายมาด้วย แถมยังเกาะเอวเขาเสียแน่น ทั้ง ๆ ที่พิชญ์ก็ขี่ด้วยความเร็วปกติ ไม่ได้ผาดโผนเลยแม้แต่น้อย
คนขี่..นึกอยากให้ตลาดอยู่ใกล้บ้านกว่าเดิม แต่คนซ้อน...กลับนึกอยากให้ตลาดอยู่ไกลออกไป หรือถ้าเป็นไปได้...ขี่ไปถึงกรุงเทพฯเลยยิ่งดี
พิชญ์จอดมอเตอร์ไซค์ไว้ริมถนนเหมือนคนอื่น ๆ ก่อนจะเดินนำไปที่ตลาด โดยลืมไปว่าอีกคนไม่ใช่คนท้องที่อย่างเขา กว่าจะรู้ว่าอริญชย์ไม่ได้เดินตามมาก็ตอนที่เดินมาถึงหน้าตลาด แล้วรู้สึกเหมือนทำอะไรหายไป เขามองย้อนกลับไป เลยเห็นอริญชย์ยังมัวแต่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่แถวรถมอเตอร์ไซค์ จนพิชญ์อดไม่ได้ ต้องตะโกนเรียกอีกฝ่าย
“ยืนรออะไรครับ คุณใหญ่”
อริญชย์นิ่วหน้าออกมานิด ๆ เมื่อเจ้าถิ่นเห็นเขาไม่ค่อยคุ้นเคยกับพื้นที่เลยได้ทีข่มเขาใหญ่ ทีใครทีมันแล้วกัน อย่าให้เป็นทีเขาบ้างเชียวล่ะ
พิชญ์เดินนำอริญชย์เข้าไปในตลาดอย่างคุ้นเคย พยายามผ่อนฝีเท้าลงช้า ๆ คนที่เดินตามมาจะได้เดินทัน ตลาดเช้าวายไปหมดแล้ว ไม่มีของสดเหลือให้จับจ่าย ที่เหลืออยู่ก็มีแต่ร้านขายของแห้งกับของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอจะหาซื้อได้
นักธุรกิจใหญ่อย่างอริญชย์ไม่เคยมาเดินตลาดแบบนี้ เลยมีท่าทีประดักประเดิดแปลก ๆ ให้พิชญ์เกือบหลุดหัวเราะออกมาอยู่หลายรอบ นี่ถ้าเกิดพามาตอนเช้าที่มีของสดวางขาย มีพ่อค้าแม่ค้าเข็นรถเข็นกันอุตลุต สงสัยคงได้สนุกกว่านี้แน่
“อย่ามัวยืนเกะกะครับคุณใหญ่ ตลาดสด ไม่ใช่ห้างสรรพสินค้า” พิชญ์แกล้งเอ่ยค่อนขอดอริญชย์ ให้อีกฝ่ายเจ็บใจเล่น ๆ ก่อนจะเดินนำไปยังร้านขายของแห้ง
“แสบนักนะ!” คนถูกกัดอ้อม ๆ ได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจ
มาถึงร้านขายของแห้ง พิชญ์ก็เดินเข้าไปหยิบน้ำมันที่แม่สั่งก่อนเป็นอย่างแรก ก่อนจะฉวยเอาวุ้นเส้นยี่ห้อโปรดของตัวเองมาด้วย ไหน ๆ แม่ก็จะตามใจทำกุ้งอบวุ้นเส้นให้เขา พิชญ์ก็ขอเลือกวุ้นเส้นยี่ห้อโปรดไปด้วยเลยแล้วกัน เขาปล่อยให้อริญชย์ยืนรออยู่นอกร้าน ส่วนตัวเองเดินเข้าไปจ่ายเงินข้างใน
“นี่พีท ลูกแม่พลอยที่ทำขนมมาส่งที่ร้านใช่ไหม กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ”
หลายปีที่ไม่ได้กลับบ้าน ทำเอาพิชญ์ลืมเลือนผู้หลักผู้ใหญ่ที่คุ้นหน้าคุ้นตาไป แต่ด้วยความเป็นคนอัธยาศัยดี ชายหนุ่มเลยส่งยิ้มนำออกไปก่อนจะเอ่ยตอบ
“เพิ่งมาถึงเมื่อบ่ายนี้เองครับ”
“จ้ะ ไม่เจอกันเสียนาน เจออีกทีกลายเป็นหนุ่มหล่อไปแล้ว แม่พลอยก็ชอบมาพูดให้ฟังอยู่เรื่อย ๆ”
“ขอบคุณที่ชมครับ ผมไปก่อนนะครับ เดี๋ยวต้องไปซื้อของให้แม่ต่อ”
“ไปดีมาดีเถอะพ่อคุณ ว่าแต่คนกรุงที่มาด้วยนั่นใครกันล่ะ” คุณป้าร้านขายของเอ่ยถามพลางส่งสายตาบุ้ยใบ้ไปยังอริญชย์ที่ยืนรออยู่นอกร้าน
“พี่ภรรยาผมเองครับ”
“ตายจริง แต่งงานแล้วเหรอ นึกว่าจะทาบทามให้ลูกสาวป้าซะหน่อย”
พิชญ์ได้แต่ยิ้มรับแล้วเอ่ยขอตัว คนที่ยืนรออยู่นานสองนานถึงกับนิ่วหน้าทันที ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ ๆ
“คุยอะไรกันนานสองนาน เป็นญาติกันหรือไง”
“ไม่ใช่ญาติครับ แต่คนต่างจังหวัดเขาเจอกันก็ทักทายถามสารทุกข์สุขดิบกันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่คนกรุงเทพฯนี่ครับ จะได้ตัวใครตัวมัน”
“ยังไม่ได้ว่าอะไรซักคำ ทำไมต้องบ่นยืดยาว”
ถึงปากจะบอกว่าไม่ได้ว่า แต่พิชญ์ก็รู้ว่าอริญชย์คงคิดไม่เหมือนเขา นักธุรกิจอย่างอริญชย์เลือกคบเฉพาะคนที่มีผลประโยชน์ให้กับตัวเองเท่านั้น ต่างจากพิชญ์ที่ยินดีเปิดรับทุกคนเข้ามาด้วยความเต็มใจ เพราะพิชญ์เชื่อว่าถ้าเขาดีกับใคร คนนั้นก็จะดีตอบกลับมา แต่มีเพียงคนเดียวที่ทำให้ความเชื่อของพิชญ์สั่นคลอน...
...เขาไม่เคยร้ายใส่อริญชย์ แล้วทำไมอริญชย์ถึงมาทำร้ายเขา...
ขากลับจากตลาด อริญชย์แย่งเอาของจากมือพิชญ์ไปถือไว้เอง เพราะเห็นพิชญ์ต้องเป็นคนขี่รถกลับ พิชญ์ก็ไม่ได้ว่าอะไร เขารู้ดีว่าคนอย่างอริญชย์คงจะเคยนั่งแต่รถยนต์ ไม่เคยต้องซ้อนมอเตอร์ไซค์แบบนี้ ถ้าเลือกได้ พิชญ์ก็อยากให้อริญชย์เป็นคนขี่มากกว่า มือปลาหมึกของอีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องมายุ่มย่ามแถวเอวเขาให้พิชญ์รู้สึกกระอักกระอ่วนใจแปลก ๆ
พอขี่รถเข้ามาจอดหน้าบ้าน อริญชย์ก็กวักมือเรียกตุลย์ให้เข้ามาช่วยรับของไปจากเขา แถมยังสั่งคนสนิทให้เข้าไปช่วยแม่พลอยทำกับข้าวในครัวอีกต่างหาก
“ทำงานบ้างตุลย์ ไม่เคยได้ยินสุภาษิตว่าอยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ทำตัวเหมือนวัวเหมือนควายให้ลูกท่านด่าเหรอ”
ไม่ใช่แค่ตุลย์ที่ชะงักกับสุภาษิตของอริญชย์จนแทบหัวทิ่ม แม้แต่พิชญ์เองก็ยังหันมามองอริญชย์ที่ยืนหน้าตาย ไม่รู้ว่าคนพูดพูดเพราะความไม่รู้หรือจงใจพูดกระทบกระทั่งเขากันแน่
“มั่วแล้วครับคุณใหญ่ เขามีแต่อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น”
“งั้นหรือ”
อริญชย์เลิกคิ้วถามกลับได้น่าหมั่นไส้ที่สุดในสายตาของพิชญ์ เขาส่ายหน้าน้อย ๆ กำลังจะเดินไปหาน้องหนูอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่ได้ยินประโยคถัดมาของตุลย์เข้าเสียก่อน
“คุณใหญ่ตัวก็ใหญ่อย่างกับยักษ์ ทำไมถึงซ้อนคุณพีทมาล่ะครับ ทำไมคุณใหญ่ถึงไม่ขี่รถ แล้วให้คุณพีทซ้อนแทน”
อริญชย์หันไปตวัดตามองตุลย์ดุ ๆ แต่คงไม่ทันแล้ว เพราะพิชญ์เองก็หันมาถามอริญชย์เสียงเรียบ ๆ
“ผมเพิ่งรู้ว่าคุณใหญ่ขี่มอเตอร์ไซค์เป็นเหมือนกัน”
“ก็แค่พอได้นิด ๆ หน่อย ๆ”
“แล้วคนที่ชอบขี่มอเตอร์ไซค์วิบากสมัยหนุ่ม ๆ นี่มันใครกันครับคุณใหญ่”
“ฉันสั่งให้นายไปช่วยแม่พลอยทำกับข้าวไม่ใช่หรือไง”
ตุลย์ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะเดินเลี่ยงไป ทำไมเขาจะรู้ไม่ทันเจ้านายตัวเองล่ะ เนียนซ้อนท้ายเพราะอยากฉวยโอกาสกอดเอวเขาก็บอกไปเถอะ
พิชญ์เห็นจำเลยเอาแต่ยืนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ก็คร้านที่จะหาความกับผู้ชายตัวโต ๆ ไปเล่นกับน้องหนูให้สบายใจดีกว่า แต่ก้าวขาออกไปไม่ทันไร เสียงห้าวก็ลอยตามลมมา
“ไม่ใช่ความผิดฉันนะ นายไม่ถามก่อนเอง”
โอเค! พิชญ์ลืมไปว่าในพจนานุกรมของผู้ชายที่ชื่ออริญชย์ เกียรติกาญจนา ไม่เคยมีการบรรจุความผิดของตัวเองเอาไว้
.