บทที่ 30
เดทแรก
“หิว ไม่ใช่เหรอครับทานดิมัวแต่จ้องผมแบบนี้มันไม่อิ่มนะครับ”ผมส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา ก็จะไม่ให้เอือมได้ไงครับ ไอ้ที่ผมจ้องหน้าเค้านี่ไม่ใช่ว่าจะคิดอะไรอื่นไกลนะครับ แต่แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องเอาเก้าอี้มาติดผมและนั่งข้างๆ กันแบบนี้ด้วย เราทานข้าวด้วยกันมาตั้งกี่ครั้ง ทุกครั้งก็นั่งตรงข้ามกันคนละฝั่งแล้วทำไมวันนี้มันกลายมาเป็นแบบนี้ไปได้
“ทำไมต้องมานั่งข้างเดียวกันด้วย”
“ก็อยากอยู่ใกล้ๆ”ตอบมาแบบหน้าระรื่น เสียจนผมต้องถอนหายใจใส่อย่างเหนื่อยหน่าย หรือนี่มันคือสิ่งที่แฟนกันเค้าทำเป็นปกติ เอาตรงๆ เลยว่าคนไม่เคยมีแฟนอย่างผมไม่ชินสักนิดเลยครับ
“แค่กินข้าว ลุกไปนั่งฝั่งนู้นเลยมานั่งชิดกันขนาดนี้มันอึดอัด”ปกติผมก็อยู่แต่กับเพื่อน และเพื่อนก็ไม่มาแนบชิดขนาดนี้ หรือแม้แต่ไอ้พี่ต้าร์ที่เดี๋ยวนี้ชอบเล่นถึงเนื้อถึงตัว แต่มันก็แค่เล่นกัน มันไม่ได้ดูจริงจังเหมือนเด็กบ้านี่
“งั้นป้อนผมก่อนคำนึงแล้วจะลุก”เค้าอ้าปากยื่นหน้ามาหาผม
“ลุกไปก่อนเดี๋ยวจะป้อน”ผมต่อเริ่มต่อรองเพราะจากที่รู้จักมาถ้าผมยอมป้อนเดี๋ยวเด็กนี่ก็ลีลาไม่ยอมลุกอยู่ดีนั่นแหละครับ
“หอมแก้มก่อน เดี๋ยวลุกเลย”ว่าแล้วไงพอไม่ป้อนก็จะมาให้หอมแก้มอีก ความเจ้าเล่ห์นี่คงไม่น้อยหน้าใครแน่ๆ ครับ แล้วดูครับดูยื่นแก้มมาจนจะชนผมอยู่แล้ว ผมผลักเบาๆ ให้เค้าถอยห่างออกแล้วนี่ผมผลักเบาๆ ทำเป็นเซเสียแรงเชียวดูเอาเถอะครับ
“จะลุกไม่ลุก ถ้าไม่ลุกก็ไม่ต้องมานอนบ้านพี่อีก”ผมชี้นิ้วขู่เค้าซึ่งแม้เค้าจะดูไม่ได้เกรงกลัวคำขู่ของผมสักเท่าไหร่แต่ก็ยอมลุกไปอย่างเสียไม่ได้ นั่นทำให้ผมไม่ทันระวังตัว
“ใจร้าย”เค้าทำเป็นบ่นกระปอดกระแปด และจะเดินไป แต่แล้วก็หันกลับมาขโมยหอมแก้มอย่างรวดเร็ว ผมก็ได้แต่อึ้งอยู่ กว่าจะรู้ตัวเค้าก็ไปยืนยิ้มระรื่นที่อีกฝั่งของโต๊ะแล้ว
“ทำอะไรเนี่ย”
“หอมแก้มไงครับ”ดูพอใจกับการได้ขโมยหอมแก้มผมเสียเหลือเกินครับ
“กินข้าวได้แล้ว มัวแน่เล่นอยู่ได้”ผมยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองอย่างเขินๆ บอกอีกคนเสียงดุหน่อยๆ แต่ก็เท่านั้นแหละครับ เค้ากลัวผมที่ไหนกันละขนาดย้ายไปนั่งอีกฝั่งแล้วก็จะยื่นหน้า อ้าปากข้ามโต๊ะมาหาผมอีก
“ป้อนก่อนดิ ไหนลุงว่าผมย้ายมานั่งฝั่งนี้แล้วจะป้อนไง”ผมยกยิ้มเล็กน้อย ตักอาหารใส่ช้อนขนาดพอดีคำ ยื่นไปให้เค้า แต่ก่อนที่เค้าจะอ้าปากงับไว้ทันผมก็ดึงมือกลับมา ส่งช้อนเข้าปากตัวเองอย่างสะใจที่ได้แกล้งเค้ากลับบ้าง
“ตักกินเองได้ยังจะให้ป้อนทำไมอีก”ผมลอยหน้าลอยตาบอกอย่างไม่สนใจเค้า
“ก็อยากอ้อนแฟน ไม่ได้เหรอ”เค้าทำหน้างอใส่ผม โถพ่อเด็กน้อยมาทำเป็นงอน หลอกผมไม่สำเร็จหรอกแกล้งแค่นี้คนอย่างเค้าไม่สะทกสะท้ายหรอกครับ
“ตอนคบแฟนคนก่อนๆ นี่ทำตัวแบบนี้ไหม”ผมถามเค้ากลับโดยไม่สนใจท่าทีงอนปลอมๆ ของเค้า ดูเหมือนเจ้าตัวก็รู้นะครับว่างอนหลอกๆ นั่นใช้กับผมไม่ได้ผล
“ไม่นะครับ”
“อ้าว แล้วทำไมมาทำแบบนี้กับพี่”คำปฏิเสธของเค้าเรียกความสนใจจากผมไม่น้อยทีเดียว เพราะทีแรกผมนึกว่าเค้าทำแบบนี้กับแฟนทุกคนเสียอีก
“ก็แฟนเก่าผมแต่ละคน เค้าเป็นฝ่ายอ้อนผมทั้งนั้น ส่วนลุงอะทำเป็นเย็นชาใส่ผม ทั้งที่จริงๆ อยากให้ผมอ้อนใช่ไหมละ”ดูทุกคำตอบของเค้าจะเอาเข้าประตูตัวเองให้ได้หมดเลยนะครับเนี่ย
“ใครว่า พี่โตแล้วต่างหากจะให้มาทำตัวงุ้งงิ้งมุ้งมิ้งอะไรแบบนั้นไม่เอาด้วยหรอก”ผมบอกออกไปตามตรง แต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกครับ อาจจะด้วยวัยก็ส่วนนึงที่ผมรู้สึกไม่อยากทำแบบนั้น ส่วนประเด็นหลักจริงๆ คือผมอ้อนแฟนไม่เป็นมากกว่าครับ ก็คนมันไม่เคยมีแฟนมาก่อนนี่นา
“ก็จริงนะครับ ลุงก็แก่แล้ว แบบนี้ผมต้องทำตัวแก่ด้วยหรือเปล่านา ถึงจะเหมาะกัน”ถึงจะเป็นคำพูดแซวผมเล่นๆ แต่มันก็คือความจริงที่ผมอายุห่างกับเค้าเกือบ 10 ปีความต่างนี้มันจะเป็นปัญหาระหว่างเราบ้างหรือเปล่านะ
“ไม่ต้องหรอก ภู่ก็เป็นภู่นั่นแหละไม่ต้องมาเปลี่ยนอะไรเพื่อพี่หรอก”ผมยิ้มบางๆให้เค้า แม้ในใจจะมีความกังวลอยู่บ้างแต่ในเมื่อมันยังไม่มีอะไรผมก็ไม่ควรคิดมากให้มันมีอะไรสิเนอะ
“โห ลุงนี่พูดจาแบบนี้ก็เป็นเนอะ พูดบ่อยๆ นะครับผมชอบ”นั่นรอยยิ้มแบบนี้มาอีกแล้ว รอยยิ้มที่ทั้งดูเจ้าเล่ห์ ทั้งดูมีความสุขจนน่าหมั่นไส้ นี่อีกนิดจะรวมรอยยิ้มหื่นเข้าไปด้วยแล้วครับ
“พูดอะไร”แม้จะพอเดาทางได้ว่าเค้าต้องดึงไปทางเข้าข้างตัวเองอีกแน่ๆ แต่ไม่อยากจะให้เค้าได้ใจนัก ผมต้องตีมึนไม่รู้ไม่ชี้ไว้ก่อนนี่แหละดีที่สุดแล้ว
“ก็ที่ลุงพูดนั่นเหมือนบอกว่าลุงชอบผมที่ผมเป็นแบบนี้”นั่นไง ผิดคาดเสียที่ไหน
“คิดเองเออเองนะเราเนี่ย”ผมหันกลับมาสนใจกินข้าวตรงหน้าต่อเพราะขืนคุยด้วยต่อ ก็คงมีแต่จะยิงเข้าประตูตัวเองเป็นแน่
“แต่ผมว่าผมก็ต้องทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่แหละ เพราะอีกหน่อยต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว ต้องดูแลแฟนสูงวัยด้วย”นี่ว่าจะไม่คิดแล้วนะครับไอ้เรื่องอายุเนี่ยแต่เค้าก็ชอบย้ำเสียจริง ขนาดที่เรียกลุงนี่กว่าผมจะชินก็ใช้เวลาพักใหญ่อยู่นะ
“เพ้อเจ้อ...เรียนให้จบก่อนไหม”ด้วยความฉุนที่มาบอกว่าผมสูงวัย ผมเลยพูดกลับไปอย่างเคืองๆ เสียเลย
“งั้นพี่แปง รอผมนะครับ”น้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังและสรรพนามที่เปลี่ยนไป ทำเอาผมต้องเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของคำพูด สีหน้าแววตาที่มุ่งมั่นนั่นทำเอาผมอุ่นวาบขึ้นมาในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
“รออะไร พี่ก็ไม่ได้หายไปไหนสักหน่อย”ผมก้มหน้าลงเขี่ยข้าวตามเดิม เพราะมันออกจะเขินๆ หน่อยกับการที่โดนเค้าจ้องไม่กระพริบตาขนาดนี้
“ก็ถ้าวันนึงเราไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ พี่จะไม่เปลี่ยนใจจากผมใช่ไหม”
“พูดเหมือนจะไปไหนไกลเลย”ผมเงยหน้าขึ้นสบตาเค้าอีกครั้งเพราะคิดว่ามันเหมือนมีความหมายแฝงอยู่ในคำพูดของเค้า แต่เค้าก็ยังมีสีหน้าเช่นเดิม หรือผมคิดมากเกินไป
“เปล่าหรอกครับ แต่พี่แหละออกมาอยู่คนเดียวได้แค่ปีเดียวไม่ใช่เหรอ”จริงสินะ ผมเองต่างหากที่เหลือเวลาอยู่ที่นี่กับเค้าอีกไม่เท่าไหร่ ระยะเวลา 1 ปีมันไม่ได้นานอะไรเลย แถมนี่ก็หลายเดือนเข้าไปแล้ว
“ชีวิตพี่จะไปเจอใคร พอกลับไปอยู่บ้านชีวิตก็คงมีแต่งานกับที่บ้านแหละมั้ง ว่าแต่ภู่เถอะ ยังต้องไปเจอสังคมอีกเยอะ ไม่ใช่พอไปเจอสาวๆมหา’ลัย แล้วเปลี่ยนใจละ”แม้จะพูดไปแบบนั้น แต่ความกังวลในใจจริงๆ ของผมกลับเป็นเรื่องครอบครัวของเราทั้งสองฝั่งเสียมากกว่า ฝั่งผมแม้จะอนุญาตกลายๆ ว่าให้ผมมีแฟนเป็นผู้ชายได้ แต่คุณสมบัติที่พ่อผมตั้งไว้ ภู่อาจยังไม่เข้าใกล้เลยสักนิด แล้วครอบครัวของภู่เองละ ผมว่าก็คงยังไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนว่าเค้าจะมีแฟนเป็นผู้ช้าย แถมอายุห่างกันเกือบทศวรรษขนาดนี้อีก
“ไม่เอาๆ เราเลิกคุยเรื่องนี้กันดีกว่า เราเพิ่งเป็นแฟนกันเองจะมาคุยเรื่องใครเปลี่ยนใจทำไมกันเนอะ”เค้าเป็นฝ่ายหยุดบทสนทนาซึ่งผมก็เห็นด้วยว่าเราไม่ควรเอาเรื่องที่มันยังไม่เกิดมาคิดให้บั่นทอนความสัมพันธ์ของเรา
“ผมว่าวันนี้ เราไปเดทกันดีกว่า”หลังจากทานข้าวกันเสร็จเค้าก็เสนอไอเดียบางอย่าง ไอเดียที่ผมยังไม่เคยมาก่อน
“เดท?”
“เป็นแฟนกันก็ต้องไปเดทกันสิครับ”เค้าเดินเข้ามาสวมกอดผมจากด้านหลังพร้อมกระซิบบอกเบาๆ
การออกเดทครั้งแรกในชีวิตของผม ทำไมมันดูง่ายจังเลย บทจะมีอะไรแบบนี้มันก็มีมาง่ายๆ ดีเหมือนกันนะครับ ไม่เคยมีแฟนอยู่ๆ ก็มี ไม่เคยออกเดทก็ได้มาออกเดท เมื่อก่อนมีแต่ติดสอยห้อยตามไปกับข้าวหอมและพี่โต ตอนนี้ผมได้มาเดินอยู่กับ “แฟนเด็กของผม” เด็กบ้าที่ผมไม่คิดมาก่อนว่าจะชอบเค้าได้ แต่ตอนนี้ผมกำลังโดนเค้าจูงมือเข้าห้าง อย่างไม่แคร์สายตาใคร
“หยุดทำไมอ่ะลุง”เค้าหันมาถามอย่างไม่เข้าใจเมื่อผมที่เดินตามหลังเค้าหยุดเสียดื้อๆ
“ปล่อยก่อน”ผมดึงมือกลับจากเค้าทันทีที่เค้าคลายมือออก
“ไม่ชอบเหรอ”สีหน้าเค้าสลดลงเล็กน้อย แม้จะไม่อยากให้เค้าเข้าใจผิดแต่ผมคงไม่มีเวลาอธิบายมากนักว่าจริงๆ ผมก็ไม่ได้อายอะไรที่จะจับมือกับเค้าในที่สาธารณะแบบนี้ แต่สองคนที่กำลังเดินตรงมาทางเรานั่นต่างหากที่ทำให้ผมต้องรีบปล่อยมือจากเค้า
“แค่ไม่ชิน”ผมรีบตอบเพราะตอนนี้สองคนที่ผมมองเห็นนั่นเหมือนจะเห็นผมกับภู่แล้วเช่นกัน
“พี่ปอ พี่ต๊าฟ สวัสดีครับ”ผมยกมือไหว้พี่สาวและว่าที่พี่เคยที่เดินมาหยุดยืนยิ้มมองผมกับภู่ ภู่เองก็ยกมือไหว้ทั้งสองคนตามผม แล้วพี่ๆ ทั้งสองนี่ก็เล่นมองผมกับภู่สลับกันไปมาอย่างจับผิดขนาดนี้ จะให้ผมตอบยังไงละเนี่ย
“ภู่นี่พี่ปอ พี่สาวพี่เอง แล้วก็พี่ต๊าฟแฟนพี่ปอ”ทั้งสามยิ้มทักทายให้กันอีกรอบ
“แล้วนี่คือ...”พี่ต๊าฟหันมาถามผมด้วยท่าทีทีเล่นทีจริง
“อ๋อนี่ภู่ครับ รุ่นน้องข้างบ้านที่ผมไปเช่าอยู่ พอดีสนิทกันวันนี้ว่างๆ เลยชวนกันมาดูหนังครับ”ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องพูดออกไปแบบนั้น แถมคนข้างๆ ผมก็หน้าเปลี่ยนสีไปเลยอย่างเห็นได้ชัด แม้เค้าจะยังยิ้มอยู่ แต่แววตาเค้าเหมือนกำลังไม่พอใจกับสิ่งที่ผมพูด แต่จะให้ผมตอบยังไงได้ละ บอกพี่ปอออกไปตรงๆ เรื่องก็คงถึงหูพ่อกับแม่ผมแน่ๆ แล้วถ้าเป็นแบบนั้นมันก็คงมีเรื่องวุ่นวายตามมาอีกเพียบ
“งั้นเหรอ แบบนี้พี่ต้องฝากน้องภู่ดูแปงมันหน่อยละกัน โตจนทำงานแล้วแต่ยังไม่ค่อยทันใครเค้าหรอก”นี่เจ้ปอรู้หรือเปล่านะว่าภู่เป็นหลานของพี่ปุ๊กเนี่ย
“แล้วนี่ภู่ยังเรียนอยู่เหรอ”พี่ต๊าฟนี่จะอยากทำความรู้จักอะไรขนาดนั้นละเนี่ย แค่การบังเอญเดินมาเจอกันเนี่ยมันควรทักทายนิดหน่อยแล้วต่างคนต่างไปไหม ไม่เห็นต้องมาสัมภาษณ์กันขนาดนี้เลย
“ครับยังเรียนอยู่”นี่ก็ดูมีสัมมาคารวะขึ้นมาเชียว
“เรียนปีไหนแล้วละ”คำถามของพี่สาวผมทำเอาผมชะงัก คือทำไมมันดูลงลึกต้องการรายละเอียดขนาดนั้น นี่เจ้แกเชื่อหรือเปล่าว่าผมกับภู่เป็นพี่น้องข้างบ้านกันเฉยๆ
“อะไรนิเจ้ จะรับน้องมันไปทำงานด้วยหรือไง มาซักประวัติอะไรขนาดนี้ มาเดทกันไม่ใช่ จะไปสวีทกันที่ไหนก็ไปเถอะ นี่ผมก็กำลังรีบ หนังจะเข้าแล้ว”ผมรีบตัดบทไม่อยากให้ทั้งเจ้ปอและพี่ต๊าฟ ซักฟอกภู่มากไปกว่านี้ แต่ก่อนจะแยกย้ายเจ้ปอก็ยังวางระเบิดลูกใหญ่ไว้ให้ผมเก็บกู้อีก 1 ลูก
“เออแปง ว่างๆ ก็ไปทานข้าวที่บ้านนะชวนน้องภู่ไปด้วยละ พ่อกับแม่คงอยากรู้จักเพื่อนบ้านของแปงบ้าง ว่าออกไปอยู่คนเดียวแล้วไปสร้างปัญหาให้ใครบ้างหรือเปล่า”มันอาจจะไม่ใช่ประเด็นอะไร ถ้าคนที่มากับผมนี่ไปรับปากพี่สาวผมเสียดิบดี ว่าอยากไปทานข้าวบ้านผมมากๆ
“โกรธเหรอ”พอคล้อยหลังพี่สาวผม เค้าก็เงียบไปอย่างเห็นได้ชัด คือก็พอรู้แหละครับว่าเค้าคงไม่พอใจบางอย่างแน่ๆ ถึงได้เงียบแบบนี้ แต่ผมไม่รู้ว่าประเด็นไหนมันเป็นประเด็นหลัก ที่ผมบอกว่าเราแค่รุ่นพี่รุ่นน้อง หรือจะเป็นเรื่องที่ผมยังไม่พร้อมจะให้เค้าเจอพ่อกับแม่ผม
“เปล่าครับ”
“เปล่าอะไร ก็เห็นอยู่ว่าไม่พอใจ ไม่ชอบตรงไหนก็บอกมาสิพี่จะได้อธิบาย ทุกอย่างที่พูดออกไปเพราะพี่มีเหตุผลของพี่นะ”ผมพยายามใช้น้ำเสียงให้เป็นปกติ ไม่อยากให้เค้ามองว่าผมจะชวนทะเลาะ
“เหตุผลเหรอครับ”
“ใช่”เค้าหันมามองผมสบตานิ่ง เห็นสีหน้าเค้าแล้วทำไมผมเห็นแววเดทแรกของเรากำลังจะพังไม่เป็นท่าละครับเนี่ย
“เหตุผลของพี่มันก็คงเพราะผมเด็กเกินไปจนพี่ไม่กล้าบอกคนอื่นว่าเราเป็นแฟนกันสินะครับ”
TBC
เห็นเค้ารางมาม่ามาแต่ไกล
แต่อย่ากลัวไปครับ เรื่องนี้ไรท์จะไม่ม่า (จริงๆ นะ)
หรือถ้าจะม่า (อ้าว) ก็เล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับเรื่องอื่นๆ ที่เคยแต่ง