Personal Driver : คนขับ(รัก)ส่วนบุคคล
ตอนที่ 8 ประชุมนอกสถานที่
ผมเหงื่อแตกเลยครับ ไอ้ความมั่นใจที่เคยมีหายไปหมดหลังจากขับวนแถวพัทยาเป็นรอบที่สาม คิดแล้วอยากตบปากตัวเองชะมัดที่ไม่ยอมเปิดระบบนำทางบนมือถือ มั่นใจไงครับว่าไม่หลงแน่นอน อย่างน้อยๆก็เคยมีผู้โดยสารเหมาตั้งแต่กรุงเทพมาที่นี่ ให้ตายสิ...ไม่ได้มาแค่ไม่กี่ปี พัทยาเปลี่ยนไปขนาดนี้เลยเรอะ!
“วันนี้จะถึงมั้ยลุง” ตั้งแต่ครั้งนั้น เจ้านายผมก็แทนคำเรียกผมว่าลุงไปแล้ว เจ็บใจโว้ย ยังไม่แก่ซะหน่อย
“ถึงครับ ถึง”
“ทีหลังไม่ชินทางก็อย่าอวดเก่ง” นั่นไง คำด่าประจำวันหลุดมาอีกละ
“ขอโทษครับ” จ๋อยสิผมน่ะ หยิบมือถือมาค้นหาโรงแรมที่จะไปพักกันก่อนดีกว่า...
ครับ วันเสาร์และอาทิตย์นี้ทางบริษัทของคุณต่อมีงานสัมนานอกสถานที่ที่พัทยา เป็นโรงแรมขนาดสี่ดาวที่สามารถจุคนทั้งออฟฟิศร่วมร้อยชีวิตได้ ผมมองบรรยากาศโรงแรมด้วยความตื่นเต้น เจ้านายผมดูลงทุนไปกับงานนี้ไม่น้อย แถมพนักงานก็มากันครบหน้าสลอน กะคร่าวๆคือ ถ้านอนห้องละ 2 คน ก็ต้องจองตั้ง 50 ห้อง หรือมากกว่านั้น ไหนจะห้องจัดเลี้ยงอีก...
“ใจลอย” ผมสะดุ้งวาบ “จอดตรงนี้แหละ”
“คุณต่อไม่ให้...”
“ไม่” ยังถามไม่จบประโยคเลยว่าจะไม่ให้ผมเอารถไปจอดที่ซองวีไอพีก่อนเหรอ “เสร็จแล้วขนของตามมานะ”
“ครับ” เห้อ....ชีวิตนายเอก สรุปว่าเป็นคนขับรถหรือเบ๊ส่วนตัวกันแน่นะ
หลังจากที่ผมจอดรถก็เปิดฝากระโปรงเพื่อขนสัมภาระของเจ้านายหนุ่ม รายนี้เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ข้าวของที่เอามามีแค่กระเป๋าลากใบจิ๋วเท่านั้น
“ขับไปจอดถึงดวงจันทร์มาเหรอ” จึก! ถ้าไม่ติดว่ารูปร่างเท่ายักษ์ ผมคงคิดว่าคำพูดเมื่อกี้หลุดมาจากผู้หญิงวัยทองล่ะ
“ตามมา ทางนี้” ผมเกาหัวแกรก แต่ก็เดินตามต้อยๆขึ้นลิฟต์ไปอย่างไม่พูดจา
แต่ก็อดไม่ได้แฮะ “คุณต่อจะให้ผมขับกลับกรุงเทพก่อนมั้ยครับ พรุ่งนี้เที่ยงผมค่อยกลับมารับ”
“จะขับไปมาทำไม เปลืองน้ำมัน”
“คือ...” จะถามดีมั้ยว่าผมต้องไปพักที่ไหน ต้องสำรวจหาสถานที่ซะแล้ว ราคาต้องไม่แพง ระยะเดินมาถึงที่นี่ต้องไม่เหนื่อย เพราะยังไงต้องจอดรถทิ้งไว้
ติ๊ง!
เสียงลิฟต์ดังก่อนประตูเปิดออก พวกเราอยู่ชั้นสูงเกือบสุดของโรงแรม มีห้องแค่สี่หรือห้าห้องเท่านั้น ทำไมมันดูน้อยจนน่าแปลกใจนักนะ ผมก็ได้แต่คิดเท่านั้นแหละครับ ไม่ถามอะไรหรอก เจ้านายหนุ่มจ้ำพรวดๆไปที่หน้าห้องๆหนึ่งที่อยู่ด้านในสุด พอเปิดเข้าไปเท่านั้นแหละ
ผมแทบอุทานด้วยความแปลกใจ ภายในห้องคือกว้างมาก การตกแต่งโล่ง โปร่ง ไม่มีผนังทึบมากั้น แต่พอแยกได้ว่าโซนไหนคือห้องรับแขก ห้องครัว และห้องนอน ความหรูหราขนาดนี้ผมนึกว่ามีแต่ในโรงแรมระดับห้าดาว
“เช็ดน้ำลายหน่อย” ผมหุบปาก เช็ดตามที่เจ้านายสั่ง
“ไม่มีน้ำลายนี่ครับ”
“ก็ใช่น่ะสิ” อ้าว แกล้งอีกละ ไม่รู้เป็นไร ถ้าไม่ด่าก็แกล้ง เอาใจไม่ถูกจริงๆ
“วางของในตู้เสื้อผ้า แล้วก็พักผ่อนซะ”
“หะ พักผ่อน...” ผมคิดตามไม่ทัน
“ใช่” มือเรียวยาวชี้ไปที่ประตูห้องอีกฝั่งหนึ่ง “โน่น ห้องลุง”
“อะไรนะครับ” ผมกำลังอึ้ง อึ้งจริงๆนะ
“ถามซ้ำซากทำไมเนี่ย พูดครั้งเดียวไม่เข้าใจรึไง” คือ...ประโยคที่ตอบมาผมว่ามันยาวกว่าคำตอบที่ผมควรได้จากคำถามที่ถามไปซะอีกนะ...
ผมนั่งที่เตียงนุ่มของห้องเล็กตรงข้ามกับห้องนอนของเจ้านายหนุ่ม ด้านหนึ่งของห้องเป็นประตูกระจกบานเลื่อนที่มีระเบียง วิวทะเลสุดลูกหูลูกตาสวยตะลึงจนผมนั่งไม่ติด นึกอยากจะไปแช่น้ำเค็มเล่นแต่ก็เกรงใจเจ้านายหนุ่มที่อารมณ์ไม่คงที่ กลัวว่าจะโทรตามจะไปโน่นมานี่ตอนที่ไปแช่น้ำนี่แหละ
RRRRRRRR
เสียงโทรศัพท์ในห้องดังปลุกภวังค์ ผมรีบรับ เพราะรู้ดีว่าไม่มีใครหรอกที่โทรมา ผมสะบัดหัว ป่วยการที่จะคิดหาเหตุผลว่าทำไมเจ้านายหนุ่มถึงให้ผมพักห้องเดียวกัน ปกติเจ้านายระดับนี้จะต้องเว้นระยะห่างกับลูกน้องเทียบเท่ากับความกว้างของทะเล แต่เจ้านายหนุ่มกลับ...จะเรียกว่าไม่ถือตัว ก็ไม่ใช่ หลายครั้งที่ผมโดนดุเรื่องไม่เป็นเรื่อง จนกลายเป็นชิน
[เปลี่ยนเป็นชุดว่ายน้ำแล้วตามมา]
แกรก! อะไรวะ แล้วจะเปลี่ยนยังไง ไม่มีโว้ย ที่เอามาก็แค่เป้ใบเดียวเที่ยวรอบโลก มีกางเกงในกับกางเกงขาสั้นใส่นอนเท่านั้น
“เร็วสิ” เสียงตะโกนลั่นบ่งบอกว่ารออยู่หน้าห้องผมแล้ว ผมรีบถอดเสื้อผ้าแล้วหยิบกางเกงบอลขาสั้นมาสวมและเปิดประตู
ภาพที่เห็นคือเจ้านายน้อยสวมเสื้อคลุมอาบน้ำปกปิดรูปร่างอย่างมิดชิด ผมก้มมองสภาพตัวเองที่ดูยังไงก็เหมือนกรรมกรแบกหาม สายตาของเจ้านายหนุ่มที่มองหุ่นผมอย่างไม่ละสายตาชวนให้อึดอัด ริมฝีปากเผยอพาลให้คิดถึงเรื่องวันนั้น...
จูบ...รสจูบที่ดุดัน
โว้ยยยย ผมสลัดภาพนั้นออกจากหัว
“จะไปสภาพนี้จริงๆเหรอ”
“คะ ครับ”
“มีกางเกงในมั้ย”
“มีครับ”
“ไปหยิบมา” โธ่คุณต่อออออออ ผมมีแค่ตัวเดียวนะ “เอาเสื้อคลุมมาด้วย”
“คร้าบ” ผมลากเสียง ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องพาผมไปด้วย ให้ผมพักเถอะ ขอร้อง นะครับ นะ...
สุดท้ายพวกเราก็เดินขึ้นไปชั้นบนสุดของโรงแรม พื้นที่โล่งกว้างแต่กลับไม่มีคนมาใช้บริการแม้แต่น้อย สระว่ายน้ำสีฟ้าส่องประกายระยิบระยับสะท้อนแสงอาทิตย์ เวลานี้บ่ายแก่ๆแล้ว แต่ไอร้อนก็ยังมีมาก สระว่ายน้ำแบบเปิดดูเหมือนมีไอพุ่งออกมาอีกด้วย เจ้านายผมจะมาไม้ไหนเนี่ย พามาว่ายน้ำตอนนี้เนี่ยนะ ... ที่อยากน่ะ อยากไปว่ายน้ำที่ทะเลโว้ย
“ไปเปลี่ยนกางเกง ใส่แต่กางเกงในพอนะ ที่นี่เขาไม่ให้ใส่ขาสั้น”
“คะ ครับ” ผมสะดุ้ง ทำไมวะ ทำไมไม่รู้จักขัดเจ้านายซะบ้าง บอกไปเลยสิว่าไม่อยากว่ายน้ำในสระ อยากเล่นน้ำทะเล
“ตอนนี้มีแต่คนในบริษัทไปเล่นน้ำที่ทะเล ผมไม่สะดวกไป ว่ายตรงนี้ไปก่อนน”
อื้อหือ...เจ้านายหรือหมอดู?
ผมเลยจำใจไปเปลี่ยนกางเกงในห้องน้ำที่เรียงราย มองวิวของชั้นดาดฟ้าที่ตกแต่งริมสระด้วยต้นไม้ ร่มชายหาดและม้านั่งปรับเอนนอนได้ ตรงบาร์เปิดเพลงคลอแต่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น เมื่อเดินออกมากลับพบว่ามีแก้วเครื่องดื่มสีสวยวางอยู่
“สักแก้วมั้ย” เจ้านายผมเป็นฝ่ายยื่นมาให้ ผมรับมาถือพลางดมกลิ่น หืออ หอมจัง
“บลูฮาวาย” อ้ออออ เคยได้ยินชื่อนะ แต่ไม่เคยกินเลย ต้องลอง
อึก... หวาน อร่อย ซดเลยละกัน
หมดแก้วครับ
“เบาๆ เดี๋ยวเมา แดดยังร้อนอยู่”
“ครับ” ผมรับคำ แต่ไม่นานแก้วที่สองก็เอามาตั้ง ก่อนที่บริกรจะเดินหายไปจากสายตา
“ขอนอนแป๊บนะ นายจะว่ายน้ำก็ว่ายไปก่อน” โอ้โห ไม่นอนเปล่านะครับ เจ้านายผมเลือกเตียงที่แดดเผาที่สุด เสื้อคลุมถูกวางที่หัวเตียง ร่างสูงในชุดว่ายน้ำที่เว้าเหมือนกางเกงในอวดหุ่นงามนอนนิ่งอย่างไม่แคร์บางอย่างที่มันนูนเด่น บนหน้ามีแค่แว่นตากันแดดราคาแพงเท่านั้น
“ลุง”
“ครับ” เรียกทำไมเนี่ย ว่าจะนอนเหมือนกัน
“ทาครีมกันแดดให้หน่อย” เชี่ยยยยยยยยยยยย ลากเสียงยาวๆ อะไรกันเนี่ย คุณเจ้านายครับ ขาวจั๊วะขนาดนี้อยากอาบแดดก็ไม่ต้องกลัวรังสีแล้วมั้ง นี่สี่โมงนะ แดดยิ่งร้อนๆอยู่ แล้วนี่อะไร กูผู้ชายนะเว้ย ชายแท้ แมนทั้งแท่ง ทำไมจะต้องใช้ให้มาทำอะไรแบบนี้ด้วย
“เร็วสิ”
“ครับ ครับ”
ครีมกันแดดที่เจ้านายพกมาด้วยวางอยู่ข้างๆโดยมีผมกำลังชะโลมเนื้อครีมข้นหนืดลงบนแผ่นหลังที่แน่นราวกับหินอ่อน แต่กลับสวยได้รูปจนน่าอิจฉา อยู่ด้วยกันมาทุกวันยังไม่เห็นเจ้านายไปหยุดไปยิมเลย(ลากผมไปด้วยอีก) แถมยังออกไปวิ่งหน้าหมู่บ้านตอนเช้าด้วย ไม่แปลกที่หุ่นจะดีมากจนต้องอิจฉา นี่ล่ะมั้งพลังงานวัยหนุ่ม ของผมนี่แค่หายใจยังแทบอ้วนเลย
เนื้อน่องของเจ้านายขาวละเอียด ไรขนที่เกาะกุมไม่สามารถกลบรัศมีความขาวได้เลย ผมพยายามลูบบริเวณนี้ให้ดีที่สุด เพราะเนื้อครีมมันเกี่ยวขนติดเป็นก้อนขาวๆไปทั่ว
“เบาๆสิ เนื้อคนนะ” นั่นไง โดนจนได้
แล้วเจ้านายก็พลิกตัว อื้อหือ ผมนั่งผิดระนาบจริงๆด้วย ที่อื่นมีตั้งเยอะ หัวท้าย แต่ทำไมต้องมานั่งตรงกลางลำตัวด้วยวะไอ้เอก ทีนี้ล่ะ อะไรไม่รู้นูนๆใต้ร่มผ้าก็ชี้หน้าอยู่น่ะสิ แม่ง...คนอะไรจะมีดีได้ขนาดนี้ คิดแล้วเจ็บใจตัวเองชะมัด แพ้เด็ก!
กว่าจะทาครีมกันแดดเสร็จก็เกือบครึ่งชั่วโมงแล้วครับ ทั้งที่เจ้านายผมก็มีพื้นที่ไม่มากกว่าคนอื่นเท่าไหร่ แต่เป็นเพราะผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้มากกว่า เลยเก้ๆกังๆ แถมตอนที่ทาช่วงขาหนีบใกล้กับช่วงนั้นผมนี่แทบจะหลับตาทาด้วยซ้ำ ไอ้เจ้านายหนุ่มมันจงใจแกล้งผมแน่นอน ไม่อย่างนั้นจะใช้ผมทาให้ทำไม เรียกสาวๆในออฟฟิศสักคนสองคนมาทาให้ยังได้เลย
ผมไปล้างมือและกลับมานั่ง ความร้อนทำให้ผมยกเครื่องดื่มรสชาติถูกลิ้นมาดื่มอึกใหญ่ ลอบมองเจ้านายที่นอนนิ่งเป็นระยะก่อนลงไปแช่ตัวในสระตื้นที่น่าจะเป็นสระเด็ก แค่นี้ก็ดีแล้ว ผมยืดขาจนสุด หลังชิดสระ พักแขนตรงขอบเงยหน้ามองฟ้า ยังดีที่ต้นไม้ยังพอบังแดดได้บ้างเลยไม่ต้องกลัวร้อน แล้วเครื่องดื่มแก้วที่สามก็ตามมา
นี่ผมเลิกนับแล้วว่าดื่มไปเป็นแก้วที่เท่าไหร่ รู้แต่ว่าโลกมันไม่เหมือนเดิมแล้วครับ ยิ่งแช่น้ำก็ยิ่งร้อนกว่าเดิม เจ้านายหนุ่มของผมยังนอนนิ่ง เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ แต่แก้วในมือหมดอีกแล้ว
ผมยกมือส่งสัญญาณว่าพอแล้ว ขืนดื่มมากกว่านี้คงได้เมาเละแน่ ใช้หัวพิงขอบสระมองผืนฟ้าสำน้ำเงินกว้างใหญ่ เมฆขาวก้อนกลมเป็นรูปร่างแตกต่างกันลอยเอื่อย เปลือกตาหนักย่นจนไม่อาจขัดขืน ตัวค่อยๆลอยออกไปอย่างใจต้องการ
“อื้อ” ผมดิ้นขลุกขลิก รู้สึกแปลบปลาบทั่วตัวเหมือนมีไฟฟ้าช้อต แต่เปลือกตาที่หนักอึ้งกลับทรยศไม่อาจลืมตาตื่นมาได้ ความหวานวาบหวามจู่โจมในช่องปากก่อนจะเลื้อยไล้ไปที่ทรวงอก นี่ผมกำลังฝันใช่มั้ย เพราะร่างผมมันแอ่นตามแรงดูดเฟ้นอย่างว่าง่าย ช่วงล่างเย็นวาบเหมือนไม่ได้สวมใส่อะไรเลยกลับอุ่นและเสียวซ่านจนต้องบิดร่าง
“อื้ออออ อื้อออ” ในฝันผมหอบหายใจหนักหน่วง แรงดูดกลืนเร่งจังหวะหนักหน่วงขึ้น บั้นท้ายผมบิดร่อนอย่างห้ามไม่ได้ ทำไมฝันมันเหมือนจริงขนาดนี้วะ เหมือนจริงจนเสียวไปหมด
“อื้อ จะออกแล้ว อื้อ” ผมว่าเสียงครางผมดังมากเลยนะ แต่เพราะเป็นแค่ความฝันผมจึงไม่สนใจอะไร
ผมสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงแล้ว ด้านนอกนั้นมืดสนิทบอกเวลากลางคืน ผมตบขมับเบาๆเพื่อบรรเทาอาการปวดหัว มองเสื้อผ้าที่สวมใส่แล้วสะดุ้งเฮือก!
ใครพาผมกลับมา
ใครแต่งตัวให้ผม (กางเกงในก็ไม่ใส่)
ผมพยายามควานหาสวิตช์ไฟ แต่กลับสะดุ้งโหยงเมื่อชนกับอะไรบางอย่างที่คร่อมตัวผมอยู่ ผมจำได้ว่าตัวเองเมา แล้วฝัน
พรึ่บ!
พลันสายตาก็เหลือบไปมองที่กางเกงในที่ใส่ลงว่ายน้ำตรงมุมห้อง...คราบขาวเกาะแห้งกรัง เชี่ยยยยยยยย ไม่ได้ฝัน
“คุณต่อ” ผมร้องเสียงหลง
“อื้อ” น้ำเสียงงัวเงียนั้นขานรับ “ตื่นแล้วเหรอ ปวดหัวมั้ย”
“ครับ วะ ว่าแต่ ทำไมคุณต่อถึงมาอยู่ในห้องผมได้ล่ะครับ” ทำงานกับเจ้านายหนุ่มมาสามเดือนยังมีเรื่องให้ประหลาดใจได้ทุกวันสิน่า
“ดูดีๆ นี่ห้องผม”
“ห๊ะ” นี่ห้องใหญ่กว่าห้องนอนผมอย่างเห็นได้ชัด ห้องเจ้านายจริงๆด้วย... ผมผุดลุก แต่ร่างใหญ่กระชากลงมาในอ้อมกอด
“อย่าเพิ่งไปสิ กำลังอุ่นเลย” เอาหน้ามาเบียดทำไม ออกป๊ายยยยยยยยย
“คุณต่อ ทำอะไร ปล่อยผมมมมม”
“ผมไม่ปล่อย”
“ผมเป็นผู้ชายนะครับคุณต่อ เนื้อตัวก็แข็งปั๋ง กอดไม่ฟินเท่าเนื้อสาวๆหรอกครับ”
“หุบปาก” นั่นไง เสียงดุมาอีกแล้ว ผมล่ะต้องนิ่ง “แล้วอยู่ให้ผมกอดซะดีๆ”
“อื้อออ ไม่เอาครับ ปล่อยผมเถอะนะ”
“จะให้ปล่อยงั้นเหรอ”
“ครับ”
“งั้นจูบผมก่อนสิ เหมือนวันนั้นน่ะ”
“ห๊ะ” ผมถึงขั้นพลิกตัวไปสบตาคู่นั้นเลยครับ นี่เจ้านายผมรู้ตัวมาตลอดเลยเหรอเนี่ย ที่ผ่านมานี่คืออะไร ไอ้เอกงงไปหมดแล้ว
ดวงตาคู่คมจับจ้องมาทางผมจนรู้สึกประหม่า ภาพและเสียงของวันนั้นกลับมาฉายซ้ำโดยอัตโนมัติ ผมต้องหายใจหอบถี่เลยครับเพื่อพยายามสลัดมันทิ้ง แต่ไอ้คนที่นอนจ้องตาผมอยู่ กลับส่งยิ้มให้จนใจอ่อนยวบ ความหวิวไหวนี่มันมาจากไหนวะ ผู้ชายอกสามศอกอย่างผมรู้สึกแปลกๆกับแววตาคู่นี้จนต้องหลบ
มันต้องมาตั้งแต่วันนั้น วันที่เจ้านายไปงานแต่งงานเพื่อนในชุดสูทสีน้ำเงิน วันที่ผมทำกาแฟหกใส่เสื้อเชิ้ตราคาแพงแต่เขากลับไม่ด่าสักคำ วันที่เจ้านายหนุ่มเมาปลิ้นจนผมต้องลากเข้าบ้านอย่างทุลักทุเล วันที่ผมถูกคนเมาดึงตัวเข้าไปจูบอย่างเร่าร้อน สัมผัสอ่อนหวานดุดันยังวนเวียนในหัว ราวกับมันเพิ่งเกิดมาเมื่อวาน
หรือเป็นเพราะตอนที่เจ้านายหนุ่มเป็นคนขับรถพาผมบึ่งไปหาแม่ที่โรงพยาบาลเมื่ออาทิตย์แรกของการทำงาน วันนั้นผมสติหลุดจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ก็ได้เขานี่แหละคอยช่วย หรือตอนที่ผมมืดแปดด้านเรื่องค่ารักษาของแม่ คุณต่อพงษ์ก็ยื่นมือมาช่วย แถมยังโดนพี่เขยโทรมาบ่นอีกต่างหาก
มันเกิดขึ้นตอนไหนกันแน่นะ...ความหวั่นไหวแบบนี้#ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้วฝากเม้นต์ด้วยนะครับ ไรต์จะได้รู้ว่ามีคนติดตามหรือเปล่า
อย่าลืมกดติดตามเพจไรต์นะครับ >>>
https://web.facebook.com/Begintillanendหรือเสิร์ชหาจากใน FB ว่า Begintillanend หรือ จากต้นจนอวสาน นะครับ จะได้ไม่พลาดเรื่องอื่นๆของไรต์ (อ้อนๆ)