( ต่อ )
ปรสิตคืออะไร?
คือกาฝากที่เกาะกินร่างกายและคอยแย่งอาหารไปเลี้ยงชีพตัวเอง แน่นอน นี่ก็แค่ความหมายตามความเข้าใจพื้นฐานของคนทั่วไปเท่านั้น ไม่มีใครรู้จักมันดีเท่าเจ้าของร่าง ไม่มีใครรู้ว่าภายในตัวของคน ๆ หนึ่งนั้นมีปรสิตมากมายเท่าไร มันอาจนับไม่ถ้วน และกัดกินเป็นกาฝากอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะถูกกำจัดออกไป
รามิลจับจ้องเสี้ยวหน้าของตัวเองผ่านกระจกเงาขนาดครึ่งตัวตรงตู้เสื้อผ้า เขามองมันจากที่นั่งปลายเตียง เห็นดวงตาลึกโหลและรอยคล้ำที่ทำให้ดูอิดโรยกว่าปกติหลายเท่า ชีทเจ้าปัญหาวางอยู่บนโต๊ะ มันถูกฉีกออกเป็นชิ้นส่วนทั้งใหญ่และเล็ก มีบางแผ่นที่ปลิวตกลงมาบนพื้นเพราะแรงลม
ประตูระเบียงถูกปิดแล้ว เด็กหนุ่มคิดว่าเขาคงจะอ่อนเพลียเกินไปถึงได้หลง ๆ ลืม ๆ และละเลยที่จะปิดมันก่อนออกจากห้องเมื่อครั้งก่อน เสียงลมหวีดหวิวน่ารำคาญ ฝนฟ้าคะนองอยู่ทางด้านนอก แล้วศรัณย์ก็ยอมหนีเขาด้วยการขับรถออกไปอยู่ท่ามกลางสิ่งที่ไม่ชอบ รามิลมีค่าน้อยกว่าฝนเสียแล้ว รูบิกของคนรักวางอยู่ตรงโต๊ะหัวเตียง มันสุ่มสีมั่วซั่วเหมือนหัวสมองเขาในตอนนี้ไม่มีผิด
‘แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าเธอตายแล้ว’เสียงทุ้มต่ำของหมออธิศแล่นเข้ามาในหัว แวบแรกที่ได้ยิน รามิลคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด จิตแพทย์คนนั้นอาจแค่สร้างเรื่องให้เขาคายความลับ แพรพลอยทำตัวเป็นผู้หญิงชอบเล่นสงครามประสาท เธอมีลูกเล่นเสมอถ้าเป็นเรื่องของเขา แน่นอนว่ารามิลต้องอยู่กับความหวาดกลัวมาตลอดหนึ่งเดือนนี้ เขาพยายามติดต่อเธอ แต่แพรพลอยก็ปิดทุกช่องทางและปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายรับเพียงผู้เดียว
ก่อนหน้านี้รามิลรู้ว่าเธอต้องการอะไร แต่ตอนนี้เขาไม่รู้
สองวันก่อนที่เธอโทรหาเขาเพื่อบอกว่าให้รอการกลับมา จากนั้นโทรศัพท์ก็หลุดตกจากมือ สายตัดไปพร้อมกับความหงุดหงิดที่ว่าเธอยังเรียกร้องความสนใจจากเขาเสมอ
อ้อใช่ อาจจะเป็นอย่างนั้น
Rrrrสะดุ้งน้อย ๆ เพราะเสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้น รามิลตั้งเสียงนี้ไว้สำหรับข้อความเข้า เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ได้กระตือรือร้นในการรีบหยิบมันมาเปิดดูนัก ร่างโปร่งเอื้อมตัวไปคว้าเอากระเป๋าเป้คู่ใจมาควานหาเจ้าเครื่องมือสื่อสารเจ้าปัญหา แต่แล้วหัวใจก็ต้องเต้นระรัวเมื่อเห็นว่ามันถูกส่งมาจากใครบางคนในเวลาเหมาะเจาะ
คุณได้รับข้อความจาก
พลอย“....”
‘แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าเธอตายแล้ว’เขาชักจะเกลียดเสียงของหมออธิศขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก มือข้างขวาสั่นเล็กน้อยจนชวนให้รู้สึกหงุดหงิด เด็กหนุ่มรีบเปิดดูข้อความนั้น เขาบอกตัวเองว่าไม่เชื่อเรื่องที่จิตแพทย์คนนั้นพูด แต่ในใจก็คิดอยากเอาชนะ เสียงฟ้าผ่าดังแทรกทุกมวลความคิดในโสตประสาท ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนขี้ตกใจมาก่อนจนกระทั่งตอนนี้ ลมเย็นพัดอวลอยู่ภายในห้อง รามิลไม่แน่ใจว่ามันมาจากไหน
ข้อความที่ถูกส่งมานั้น
ว่างเปล่าคิ้วเรียวขมวดน้อย ๆ ก่อนจะกดออกแล้วเลือกเข้าไปในข้อความของแพรพลอยอีกครั้ง มันไม่มีตัวหนังสือสักตัว ไม่มีแม้แต่สัญลักษณ์หรืออะไรที่สื่อถึงความต้องการของเธอ
พรึ่บแล้วแสงไฟก็ดับลงหลังเสียงฟ้าผ่าครั้งที่สอง
มองไปรอบ ๆ ห้องทั้งที่ในมือยังคงถือโทรศัพท์ เปิดหน้าข้อความค้างไว้อย่างนั้น ใจก็คิดหาเหตุผลมารองรับเหตุการณ์ไฟดับครั้งนี้หลายต่อหลายอย่าง
เขาหยัดขึ้นยืนเต็มความสูง จัดการเปิดระบบไฟฉายในเครื่องเพื่อใช้นำทางไปยังประตู ข้างนอกเองก็คงจะมืดเหมือนกัน ป่านนี้คุณป้าที่อยู่ถัดจากนี้ไปสองห้องคงออกมาโวยวายแล้วแน่ ๆ แรงเสียดจากการเปิดประตูนั้นก่อให้เกิดเสียงน่ารำคาญ เป็นอีกครั้งที่ใบหน้าขาวฉาบไปด้วยความแปลกใจเมื่อทางเดินตลอดทั้งชั้นยังคงถูกสาดไปด้วยแสงไฟสีขาวมัวจากนีออนที่อยู่เหนือหัว ไม่มีใครออกมาโวยวายหรือส่งเสียงเอ็ดตะโรเรื่องไฟดับ มันเงียบเป็นเป่าสาก
รามิลเปิดประตูทิ้งไว้เพื่อพึ่งแสงจากด้านนอกก่อนจะเดินไปลากเก้าอี้ตรงโต๊ะเขียนหนังสือมาตั้งข้างประตูห้อง เขาปีนขึ้นไปยืนอย่างคล่องแคล่ว ด้วยความที่เป็นคนรูปร่างผอมสูง การเอื้อมมืออีกเพียงนิดหน่อยจึงทำให้เด็กหนุ่มสามารถเปิดเช็กคัทเอาท์ไฟได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เปิดปิดอยู่สองสามครั้งก็ไม่มีทีท่าว่าไฟจะติด
กึก“....”
เสียงอะไรบางอย่างจากบริเวณหัวเตียงเรียกความสนใจจนต้องหันไปมอง รามิลยกโทรศัพท์มือถือขึ้นส่องไกล ๆ จากจุดที่ยืนอยู่ แล้วก็ได้ความว่ามันไม่ได้ช่วยให้แสงสว่างมากพอสำหรับการมองเห็นต้นเหตุ
อาจจะของตก เขาเดา
ร่างโปร่งค่อย ๆ พาตัวเองลงจากเก้าอี้แล้วเดินไปดูยังบริเวณที่เป็นต้นเสียง โต๊ะหัวเตียงอยู่ใกล้กับหน้าห้องน้ำ แล้วแสงจากดวงจันทร์ก็ไม่ได้ส่องผ่านผืนผ้าม่านเข้ามาให้พอมองเห็นสิ่งที่อยู่นอกกรอบแสง ปลายเท้าเตะเข้ากับวัตถุทรงลูกบาศก์จนต้องนิ่วหน้าเจ็บปวด รามิลคิดว่ามันเป็นรูบิกของศรัณย์ แล้วเขาก็ได้รู้ว่าเดาไม่ผิดหลังจากที่ส่องไฟจากโทรศัพท์ยังพื้นห้อง โน้มตัวลงไปอย่างเกียจคร้านเพื่อหยิบมันขึ้นมาวางบนโต๊ะตามเดิม ถึงจะเอะใจเรื่องที่เจ้าวัตถุก้นแบนนี่ตกลงมาเองก็เถอะ แต่จะให้คิดหาเหตุผลมารองรับ หัวสมองก็ตื้อไปหมดแล้ว ตอนนี้เขาควรจะไปหยิบกระเป๋าสตางค์แล้วออกไปซื้อหลอดไฟจากร้านสะดวกซื้อมาเปลี่ยนมากกว่า
Rrrrเสียงข้อความเข้าดังขึ้นอีกในจังหวะที่ร่างโปร่งหมุนตัวกลับ ไฟจากช่องแฟลชดับลง นั่นส่งผลให้ห้องทั้งห้องถูกกลืนกินด้วยความมืดและมีเพียงแสงจากหน้าจอที่ส่องเข้ากับใบหน้าเท่านั้น
คุณได้รับข้อความจาก
พลอย“....”
ข้างในนั้นว่างเปล่าเหมือนกับข้อความก่อนหน้า เขาไม่เข้าใจการเล่นตลกของผู้หญิงคนนี้นัก แต่ก็นั่นแหละ แพรพลอยไม่เคยเข้าใจง่ายเลยสักครั้งเดียว
กดออกจากหน้าข้อความและเปิดแสงแฟลชให้ทำงานอีกครั้ง ไม่อยากต้องเดินเตะอะไรอีกถ้าจะอาศัยแค่ความเคยชินเดินไปในความมืด
“....!”หากแต่ทันทีที่แสงแฟลชส่องไปข้างหน้า รามิลก็คิดว่าตัวเองตาฝาดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ กรอบแสงสีขาวทอดไปบนชุดเดรสสีขาวเปรอะคราบดินโคลน ร่างนั้นยืนนิ่งหันหลังเอียงสิบองศาอยู่ตรงมุมโต๊ะเขียนหนังสือ แสงเพียงน้อยนิดจากนอกผ้าม่านสาดให้เห็นเรือนผมสีดำขลับปล่อยยาวลงมาจนถึงกลางหลัง เขาส่องไฟใส่หล่อนตั้งแต่หัวลงมาจนถึงพื้นห้อง หยุดตำแหน่งไฟอยู่ที่เท้าเปล่า มันทั้งเปรอะเลอะและมีแต่โคลนเข้าไปจนถึงซอกเล็บ
เด็กหนุ่มเพ่งสายตามองด้วยลมหายใจติดขัด ค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ร่างนั้นเหมือนหุ่นนิ่ง แม้แต่เส้นผมเปียกเป็นก้อนของเธอก็ไม่ขยับ ความประหวั่นพรั่นพรึงตีขึ้นมาในความรู้สึกอย่างรุนแรง
หัวใจรามิลเต้นระรัว
เขาหันไปมองประตูห้องที่น่าจะเปิดค้างไว้เมื่อครู่แล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีแสงจากภายนอกเข้ามาเช่นก่อนหน้า มันถูกปิด แล้วรามิลก็ไม่ได้ความจำสั้นถึงขนาดที่ว่าจำเรื่องปิดประตูไม่ได้
“....”
ครั้นเบือนสายตากลับมา ร่างที่ถูกสาดด้วยแสงแฟลชนั้นหายไปแล้ว
ไม่ถึงสามวินาทีหลังจากเขาหันไปตรวจเช็กประตูห้อง เหงื่อกาฬไหลซึมตามขมับ นี่คงไม่ใช่รายการตลกร้ายที่เล่นสนุกกับความกลัวหรอกใช่ไหม
ส่องไฟจากโทรศัพท์มือถือไปรอบ ๆ มันว่างเปล่า ไม่มีวี่แววของบุคคลที่สามอย่างที่สองตาได้เห็นเลยสักนิดเดียว ไม่มีแม้กระทั่งรอยเท้า รอยโคลน หรือร่องรอยใด ๆ เหลืออยู่ตามที่ควรจะเป็น อกซ้ายปวดหนึบขึ้นมาโดยไร้เหตุผล เสียงห่าฝนข้างนอกยังดังสลับกับเสียงฟ้าผ่าเป็นระยะ มันแลบแสงแปลบปลาบเหมือนแฟลชถ่ายรูป มือเรียวชื้นเหงื่อ อากาศเย็นยะเยือกขึ้นมาผิดปกติ
Rrrr“....!”
ตุบร่างโปร่งสะดุ้งตัวโยน อีกครั้งที่เขาเผลอทำโทรศัพท์หลุดออกจากมือได้อย่างโง่เง่าเป็นที่สุด ตอนนี้ดวงตาของรามิลมองเห็นแต่ความมืด เขาเกรงว่าโทรศัพท์จะดับไปจากแรงกระแทก ซึ่งมันคงเป็นเรื่องยากถ้าต้องพยายามควานหาให้เจอก่อนออกไปข้างนอก
แต่ก็นั่นแหละ เขาต้องทำ
ค่อย ๆ โน้มตัวลงวาดมือไปตามพื้นอย่างสะเปะสะปะ มันคงตกลงไม่ไกลจากจุดที่ยืนอยู่ ถึงจะคิดอย่างนั้น แต่เด็กหนุ่มกลับกวาดเจอแค่ความว่างเปล่า เขยิบตัวไปข้างหน้าอีกเล็กน้อย สัมผัสหยาบ ๆ ของรอยต่อระหว่างผืนกระเบื้องทำให้รามิลรู้สึกหงุดหงิด
“อยู่ไหนนะ” เขาสบถเบา ๆ แต่ก็ใช่ว่าเรียกแล้วจะหาได้ง่ายขึ้นเสียเมื่อไร
รามิลคิดว่าเขาได้เขยิบตัวมาไกลจากจุดที่มันตกมากเกินไปแล้ว น่าจะลองหันกลับไปหาข้างหลัง มันคงไม่กระเด็นห่างจากตัวมาถึงตรงนี้หรอก
แหมะความรู้สึกเย็นเยียบแล่นวาบอยู่บนหลังคอ มือเอื้อมไปแตะย้ำจุดนั้นช้า ๆ
แหมะแหมะมันหยดลงบนหัว
“....”
น้ำ?
Rrrr“...”!”
ร่างโปร่งเซถอยไปข้างหลังทันทีที่เห็นภาพภายใต้แสงจากหน้าจอโทรศัพท์ ก้นของเขาจ้ำเบ้าลงกับพื้น แล้วความเย็นเยียบเช่นหยดน้ำก็ไหลท่วมไปทั้งใจ โทรศัพท์มือถืออยู่ห่างจากมือทั้งสองข้างในระยะคืบถึงสองคืบ มันวางอยู่ตรงกลางข้างหน้าสายตา และนอกเหนือจากชื่อของพลอยซึ่งปรากฏอยู่บนหน้าจอนั้น --
ยังมีเท้าของใครบางคนยืนอยู่ด้วย
ปลายเท้าเปรอะโคลนยืนคร่อมเจ้าเครื่องมือสื่อสาร โทรศัพท์เองก็เป็นเสียงเรียกเข้าประสานไปกับเสียงหอบหายใจ คล้ายกับว่าชื่อบนหน้าจอนั้นกำลังสั่นระริกเพื่อเรียกให้เขาหยิบมันขึ้นมา
รามิลเงยขึ้นสบกับชายกระโปรงเปรอะ ค่อย ๆ มองสูงขึ้นไปตามแนวแสงจากหน้าจอโทรศัพท์ เดรสนั้นยาวกรอมเข่า แม้แต่ลายลูกไม้ตรงช่วงอก เขาก็เป็นคนเลือกให้
แหมะแหมะ“....”
น้ำจากปลายผมเปียกลู่หยดลงบนหน้า ปะทะเข้ากับโหนกแก้มก่อนจะไหลไปตามแนวสันกรามและเย็นลงไปถึงคอ
คางเรียวมนนั้นเป็นดวงหน้ารูปไข่แสนคุ้นเคย
แหมะ“อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”ร่างโปร่งถอยกรูดทันทีที่สบเข้ากับดวงตาสีดำด้านซึ่งกำลังก้มมองเขาไม่ไหวติง ก้อนเนื้อตรงอกซ้ายบีบรัดแน่นและส่งความหวาดกลัวไปยังสมองเพื่อให้พาร่างกายไกลออกมาจากภาพน่าตระหนกให้ไวที่สุด ริมฝีปากแห้งผากไม่แม้แต่จะกล้าเรียกชื่อสิ่งที่เห็น รามิลผุดยันตัวเองลุกขึ้นทุลักทุเล เขาเตะเข้ากับรูบิกอันโปรดของศรัณย์อีกครั้ง ทั้งที่หยิบมันขึ้นวางบนโต๊ะเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า พาตัวเองคลานขึ้นไปบนเตียงก่อนจะถลาไปอีกฝั่ง กลิ่นชื้นอ่อน ๆ ลอยคละคลุ้ง มันทั้งเหม็นสาบ แล้วก็ชวนให้รู้สึกหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ
แทบล้มหน้าคะมำในตอนที่พาตัวเองลงมาเหยียบพื้นอีกฟากของฝั่งเตียงได้ ความเจ็บปวดที่ปลายนิ้วเท้าจากของเล่นทรงลูกบาศก์ไม่ได้สลักสำคัญนัก รามิลล้มลุกคลุกคลาน หวาดกลัวแม้กระทั่งการที่มือสัมผัสโดนแผ่นกระดาษซึ่งเขาเป็นคนฉีกมันทิ้งเองกับมือ เสียงฝนเหมือนการหัวเราะ ทุกอย่างพากันเหยียดหยัน ลูกบิดประตูเปียกชุ่มแต่เขาก็บิดมันออก
หลังจากเปิดประตูได้ รามิลก็ไม่มีความคิดจะเหลียวกลับไปมองข้างหลัง ไม่สนว่าประตูห้องถูกเปิดทิ้งไว้ในขณะที่ตัวเองวิ่งเท้าเปล่าออกมาท่ามกลางไฟทางเดินติด ๆ ดับ ๆ ในตอนนี้ เขาอยากให้คุณป้าที่อยู่ถัดไปสองห้องเปิดประตูออกมา หรือใครก็ได้ที่ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ภายในห้องนั้น
‘แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าเธอตายแล้ว’เสียงของหมออธิศคล้ายจะดังจนก้องอาคาร รามิลวิ่งหนีอะไรอยู่?
น้ำใส ๆ รื้นขึ้นตรงหางตา
“พี่เสือ...”
แพรพลอย
ตายแล้ว
เธอกลับมากลับมาเพื่อพานพบกับรามิลอย่างที่เคยบอกไว้ไม่มีผิด
“อั้ก!”ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นริ้วขึ้นจากส้นเท้าจนถึงสมอง มือเรียวออกแรงยึดราวเหล็กไว้ได้ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะไถลลงไปตามขั้นบันได เขารีบจนเหยียบพลาด แต่ก็จำใจต้องกะเผลกไปให้ถึงชั้นล่างโดยเร็วที่สุด
นัยน์ตากลอกมองไปโดยรอบ ไม่เห็นยามประจำคอนโด ฯ ไม่เห็นรถที่แล่นเข้าออก ไม่เห็นใครสักคนเดินผ่านไปมาบริเวณนี้ ไม่เห็นอะไรนอกสายฝนที่สาดซัดลงมาจนทุกสิ่งทุกอย่างพร่ามัวเป็นสีเทา หินกรวดประปรายอยู่ตามลานกว้างหน้าอาคาร มันกดเข้ากับฝ่าเท้าจนรู้สึกเจ็บปวด ร่างทั้งร่างเปียกชุ่ม รามิลกวาดสายตามองหาความช่วยเหลือ แล้วตู้โทรศัพท์ก็กลายเป็นทางออกเดียวที่เด็กหนุ่มนึกขึ้นได้ในขณะยืนอยู่ตามลำพัง
รามิลฝ่าฝนไปยังเป้าหมายอย่างทุลักทุเล ข้อเท้าคงจะซ้น แต่เด็กหนุ่มก็ยังกัดฟันพาตัวเองไปให้ถึง ในกระเป๋ากางเกงมีเศษเหรียญอยู่สองเหรียญ มันมากพอสำหรับการกดเบอร์โทรศัพท์หาใครสักคนซึ่งเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียว ศรัณย์ไม่รับสายจนเขาต้องหยอดเหรียญซ้ำอีกหลาย ๆ ครั้ง มันหล่นลงมาตรงช่องทอนเหรียญดัง
แกร๊งเสียงฝนบ่มเพาะความรู้สึกสิ้นหวังให้พองโตดีเหลือเกิน
ภาพนัยน์ตาสีดำด้านและเส้นผมดำขลับจับตัวเป็นก้อนเปียก ๆ ยังคงติดอยู่ในห้วงความคิดเขาเด่นชัด ที่คอของแพรพลอยมีรอยรัดแดง ๆ แล้วสายตาที่มองมาก็ช่างเกรี้ยวกราดเกินกว่าจะให้เขาพยายามใจเย็นและยอมรับหล่อนได้
หล่อนฆ่าเขาให้ตายในแวบแรกที่เห็น
“รับสิ...”
รามิลวอนขอ แทบจะขาดใจตายอยู่รอมร่อเพียงแค่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ “พี่เสือ...” เสียงทุ้มสั่นเครือ หยาดน้ำไหลคลอจนรู้สึกร้อนไปทั้งดวงตา ตอนนี้มันทั้งแดงก่ำแล้วก็กลอกไปมาจนไม่เหลือคราบนักศึกษาแพทย์แสนอ่อนโยนคนนั้นอีก
( สวัสดีครับ )
ปลายสายยอมกดรับในที่สุด เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เด็กหนุ่มยิ้มออกมาได้ “พี่เสือ”
( เก้า? )
เสียงนั้นแสดงความแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต้องทิ้งช่วงความอึดอัดอะไรอีก คนในตู้โทรศัพท์ก็รีบกรอกเสียงลนลานไปยังอีกคน “พี่เสือ พี่กลับมารับผมนะ”
( ทำไมถึงโทรจาก -- )
อีกฝ่ายถาม แต่เขาไม่เปิดโอกาสให้ศรัณย์พูดจนจบ “มาหาผมที... ได้โปรด”
( นี่นายอยู่ไหนน่ะเก้า )
“ผม --”
ปังสายตัดไปแล้ว
รามิลไม่มีโอกาสแม้แต่จะพูดให้จบประโยคด้วยซ้ำ เสียงจากหูโทรศัพท์มีเพียงสัญญาณที่ดังเป็นจังหวะแหลมถี่เท่าๆกันทุกครึ่งวินาที เหรียญสองเหรียญถูกใช้จนหมด อีกโอกาสที่เขาเสียไปคือการรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนรักหลังเสียงดังสนั่นเมื่อครู่
“พี่เสือ...”
ก้อนสะอึกใหญ่จุกอยู่ตรงคอ
“พี่...”
มือเรียวปล่อยให้หูโทรศัพท์ขนาดใหญ่ตกลงจากมือแล้วห้อยต่องแต่งไม่มีความหมาย ถ้าบอกว่าดาวบนฟ้าพร้อมใจกันปิดสวิตช์ตัวเองก็คงเป็นแบบนั้น ถ้าบอกอีกว่าห่าฝนนี่เหมือนกำแพงสูงใหญ่ซึ่งกั้นเขาให้อยู่เพียงลำพัง รามิลก็เชื่ออีก
“อึก... ฮึก...”
ร่างโปร่งทรุดลงกับพื้นซีเมนต์อย่างคนจนตรอก แผ่นหลังไถลกับกระจกข้างตู้เป็นเสียงเสียดหูที่เบากว่าเสียงฝน ทุกอย่างอื้ออึงและสิ้นหวัง มันดูดกลืนโลกทั้งใบของรามิลให้กลายเป็นสีดำมืด
‘แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าเธอตายแล้ว’ภาพความทรงจำบิดเบี้ยวราวม้วนฟิล์มบูด
หัวใจค่อย ๆ คลายตัวออกช้า ๆ หลังจากที่น้ำตาไหลออกมาเป็นสาย เขาได้แต่นั่งกอดเข่าแล้วซุกตัวเองเข้ากับผนังตู้โทรศัพท์ น้ำสีดำสาดกระเซ็นเลอะตามเนื้อตัวเป็นด่างดวง มันเหมือนหยดหมึก แล้วเขาก็เป็นกระดาษเปื่อย ๆ ก้อนหนึ่ง
‘แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าเธอตายแล้ว’รามิลไม่รู้ว่าความรู้สึกปลอดภัยของเขากองอยู่ที่ส่วนไหน อ้างว้าง เปล่าเปลี่ยว แล้วสายฝนโดยรอบก็คล้ายจะก่อตัวขึ้นมาเป็นป่ารกชัฏเหมือนกับถนนเส้นนอกเมืองไม่มีผิด ตอนนั้นเขานั่งอยู่บนรถบัส แล้วรอบ ๆ ก็คือเสียงเฮฮาของเพื่อนนักเรียนแพทย์ที่พากันพูดคุยถึงเรื่องตลกในค่ายรับน้อง
จากนั้น --
Rrrrทั้งร่างสะดุ้งจนตัวโยน ตาลึกโหลปูดโปนเขม็งมองไปยังหูโทรศัพท์ซึ่งห้อยต่องแต่งอยู่ข้างตัว มันยังคงดังอย่างนั้น เป็นเสียงเดียวกับเพลงเรียกเข้าในโทรศัพท์มือถือไม่มีผิด
ได้โปรดรามิลวอนขอ ในขณะที่ถอยตัวเองออกมาจนตกขอบซีเมนต์ของตู้โทรศัพท์ มือสัมผัสอยู่บนพื้นปูนหยาบของลานโล่ง ตาจับจ้องโทรศัพท์สาธารณะซึ่งยังคงดังหลอกหลอนกันอยู่อย่างนั้น
‘แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าเธอตายแล้ว’อีกครั้งที่สะดุ้งเฮือกแล้วต้องก้มลงมองเศษกระดาษเปียกยุ่ยตรงฝ่ามือ มันเป็นชีทของบทเรียนเมื่อเทอมที่แล้ว มีรอยแม็กอยู่ตรงมุมกระดาษ นอกนั้นก็ถูกขีดเขียนด้วยไฮไลท์สีชมพูสลับเหลือง
“อา... อึก...”
เขาไม่ได้ยินแม้แต่เสียงกลั้นสะอื้นของตัวเอง แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ยังคงดังออกมาจากตู้ตรงหน้าไม่หยุด
‘ทำไมไม่รับล่ะ’เสียงแหลมกระซิบข้างหู
รามิลหันขวับไปมองทางต้นเสียงตามสัญชาตญาณ ใจของเขาอาจกำลังอยู่ที่ตาตุ่มหรือหลุดลอยไปแล้ว
เด็กหนุ่มหอบหายใจหนัก ภายใต้ม่านฝนพร่ามัวนั้นกลับปรากฏร่างของใครบางคนยืนห่างออกไปราวสิบเมตร ทุกวินาทีเธอจะเดินเข้ามาหนึ่งก้าว แล้วรอยลูกไม้บนอกเสื้อนั้นก็ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
รามิลเคยหัวเราะแล้วบอกว่ามันสวย ทั้งที่ความจริงเชยเสียยิ่งกว่าอะไร
ได้โปรด
เขาอ้อนวอนอีกครั้ง แต่มันเป็นแค่เสียงที่ดังภายในใจ เรียวขายาวขดเข้าหาตัว ทันทีที่บังคับเปลือกตาปิด เสียงกระซิบว่าหวานก็ดังก้องคล้ายเสียงเราะ มันดัง
เก้าเก้าเก้าแล้วก็
เก้าคำว่า
เก้าเป็นสิบ เป็นร้อย เป็นพัน ดังก้องเหมือนแมลงกำลังหวีดหวิว
รามิลยกสองมือขึ้นปิดหู น้ำตาเป็นเป็นเหมือนกาวยึดดวงตาให้เกร็งปิด ชื่อของเขายังคงถูกกระซิบเรียกซ้ำ ๆ มันมาจากทุกหนทุกแห่ง ทั้งสุข เศร้า เหงา เจ็บปวด
พอที... ได้โปรด
‘ไม่มีค่าอะไรกับฉัน’มันดังสลับกับเสียงโทรศัพท์ เพลงเรียกเข้าเดียวกับวันนั้น วันที่เขาจงใจปิดเครื่องแล้วหลับหูหลับตาพูดคุยกับเพื่อนคนอื่นเหมือนปกติ
ดวงตาของรามิลหลุกหลิก
เก้าเก้าเก้าแล้วเธอก็เงียบไปเมื่อได้รับการปฏิเสธ
“....”
ทุกอย่างสงบลง
“....”
เปลือกตาบางเปิดขึ้น วงกลมสีเข้มกลอกมองไปรอบ ๆ แล้วก็ยังคงเห็นแค่เม็ดฝนที่สาดซัดลงมา
“....”
มันไม่มีอะไรแล้ว
ผู้หญิงคนนั้นหายไป ตรงหน้ามีแค่กำแพงสูงใหญ่กั้นระหว่างคอนโดมิเนียมและบ้านหลังใหญ่ข้าง ๆ ยอดอาคารสีขาวทรงทึบตัดกับท้องฟ้าดำมืด แสงไฟฉายของลุงยามรักษาความปลอดภัยประจำตึกสาดออกมาจากลานจอดรถทางด้านหลัง รามิลค่อย ๆ หยัดร่างกายเปียกปอนของตัวเองให้ลุกยืน ความเจ็บปวดที่ข้อเท้ากลายเป็นชาวาบ หัวใจเต้นระรัวและคงจะหยุดลงในไม่ช้า
“....”
คุณรู้ไหม ว่าปรสิตคืออะไร?มันคือเศษก้อนของอะไรบางอย่างที่ต้องแบกรับไปจนวันตาย กัดกินความรู้สึกอย่างไม่รู้จักพอ เป็นดังกาฝากที่สูบเลือดสูบเนื้อ
แต่ถามว่าคุณจะตายไหม?ไม่หรอกรามิลหันไปเจออะไรบางอย่าง เต็มเท่าที่สองตาเขาจะสามารถเบิกกว้างได้
สิ่งที่เรียกว่าผู้หญิงคนหนึ่ง เธอบอกว่ารักเขาสุดหัวใจ
เธออยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา
เธอจะไม่ทิ้งผู้ชายที่ชื่อว่ารามิล เช่นเดียวกับที่จะไม่มีวันเดินจากไป
ริมฝีปากของเธออ้าออก น้ำขุ่น ๆ สีน้ำตาลไหลออกมาจนท่วมคาง แต่เสียงเล็กแหลมก็ยังชัดเจนและหนักแน่นในยามที่พูดกับผู้ชายตรงหน้า
‘....’
“อะ...”
‘....’
ต่อให้เขาถีบเธอลงหุบเหวนรกก็ตาม
“....”
แววตาสุดท้ายของเธอเฉยชา จับจ้องมา แล้วก็ใช้ความหวาดกลัวนั้นผลักเขาให้ถอยออกไปสู่แสงสว่างวาบที่สาดเข้ามาทางด้านหลัง เด็กหนุ่มเจ็บแปลบขึ้นมาตรงข้อเท้า ร่างโปร่งเซถอยออกห่างจากร่างตรงหน้า สติของเขาเลื่อนลอย ทุกอย่างขาวจ้าจนไม่อาจมองเห็นอะไรได้ชัด
แผ่นหลังของรามิลสัมผัสกับที่นอนนุ่ม
พอตื่นมาก็จะเห็นศรัณย์นอนยิ้มให้อยู่ข้าง ๆ
ปังคุณรู้ไหม ว่าปรสิตคืออะไร?มันคือความผิดที่ตามติดตัวเหมือนกาฝาก ตามจองล้างจองผลาญ และรอวันที่จะได้รับการชดใช้อย่างสาสม
ผิดผิดแล้วต่างหาก
นี่เก้า...‘กลัวอะไร?’
“....”
‘เก้าก็รู้นี่’
“....”
‘ว่าเราไม่มีวันทำร้ายเก้า’
------------------------------------------------------
( มีต่อ )