ตอนที่ 6 : คืนระทึกของเบิ้ม
เสียงเคาะประตูดังขึ้นกลางดึกคืนวันอาทิตย์
เบิ้มกลืนน้ำลาย เดาว่าใครอยู่หลังประตูได้ไม่ยาก เพราะหลังออกจากโรงพยาบาล เด็กเวรซึ่งอ่อนเปลี้ยเพลียแรงก็เข้านอนตั้งแต่สามทุ่ม ส่วนท่านประธานโทรเรียกคนขับรถมารับตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว
อันที่จริงเบิ้มก็ไม่ควรจะคิดอะไรมากมาย เพราะประตูบานที่ถูกเคาะ...คือประตูเชื่อมสู่แดนลี้ลับ ซึ่งนับจากวันแรกที่ได้เหยียบย่างเข้าไปก็ไม่มีโอกาสได้ทัศนาจรอีกเลย จะมีก็แต่คมสันซึ่งมักส่งสัญญาณชวนคิดลึกทุกคืน เปิดออกมาทีไรก็เจอชุดนอนไม่ได้นอน กล่าวราตรีสวัสดิ์ แล้วปิดใส่หน้าทุกที...
แต่วันนี้เบิ้มจะไม่ยอมจบแค่นั้น!
ความสัมพันธ์ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว จากหอมแก้มเป็นจูบดูดดื่ม จนตอนนี้เบิ้มยังอยากจะลิ้มรสสัมผัสนั้นอีกครั้ง ฉะนั้นเบิ้มตัดสินใจว่าถ้าเปิดประตูเห็นชุดนอนไม่ได้นอนเมื่อไหร่ เขาจะโอบเอวคมสันให้เข้ามาใกล้จนพิงซบอกแน่นๆ จากนั้นก็รุกจูบ! เอาคืนจากที่โดนรุกรานจนสติบินตรงลานจอดรถโรงพยาบาลให้ได้!!
“ถอยไป”
น่าเสียดายที่คมสันไม่ยอมให้เขากระทำการเหี้ยมหาญเยี่ยงนั้น
เพราะทันทีที่เปิดประตู เห็นชุดนอนไม่ได้นอนอันเป็นเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มซึ่งยาวกร่อมเท้า มัดเชือกเรียบร้อยเผยให้เห็นแค่รอยแยกช่วงบนตรงไหปลาร้าและช่วงล่างยามก้าวเดินจนเห็นตาตุ่มขาวสวยอยู่รรำไร คมสันก็ยกมือดันอกเบิ้ม แล้วเดินแทรกเข้ามาในห้องก่อนจะนั่งไขว่ห้างบนเตียงของเขา...
เบิ้มถึงกับหายใจติดขัด คมสันถึงกับ...นั่งรอบนเตียงเลยเหรอ!
“มานี่” พอเห็นคนรักตบที่ว่างด้านข้าง เบิ้มก็รีบใช้ความว่องไวไปนั่งเจี๋ยมเจี้ยมทันควัน คมสันเผยความประหลาดใจวูบหนึ่ง เพราะเป็นครั้งแรกที่เบิ้มถึงกับใช้วิชาเคลื่อนไหวดั่งเดอะแฟลชในระยะประชิด
ท่าทางฉงนนั้นช่างน่าเอ็นดูเหลือเกินในสายตาเบิ้ม และช่าง...ยั่วยวนจนสติเตลิดเปิดเปิง คนรักนั่งบนเตียงของเขา ด้วยชุดนอนไม่ได้นอน แล้วยังยกขาไขว้จนรอยแยกที่เห็นแค่ตาตุ่มเลิกขึ้นไปจนถึงน่องขา เบิ้มรู้สึกอยากลูบขึ้นมาทันที
อยากจับ อยากสัมผัส และอยาก...ฝังรอยจูบบนนั้นใจแทบขาด
ผู้ชายเวอร์จิ้นแบบเบิ้ม เจอคนรักยั่วขนาดนี้มีหรือจะไม่สะท้าน เขากลืนน้ำลาย ขยับคอเสื้อชุดนอนของตัวเองซึ่งเป็นชุดเสื้อเชิ้ตลายทางกับกางเกงขายาวที่คมสันซื้อมาให้พร้อมกับเครื่องแบบบอดี้การ์ด เพราะตอนย้ายมาอยู่ที่นี่ ตู้เสื้อผ้าในห้องเขาก็มีเสื้อหลายตัวแขวนอยู่อย่างเป็นระเบียบ
เขาว่ากันว่าซื้อเสื้อผ้าให้แสดงว่าอยากถอด
เบิ้มนึกภาพวันที่คมสันช่วยถอดและสวมเสื้อสูทให้แล้วก็ยิ่งกลืนน้ำลายยากกว่าเดิม
“เรา...”
“ฉันรู้แล้วว่าใครทำให้คุณหนูจมน้ำ”
อารมณ์อีโรติกของเบิ้มหายวับ ก่อนจะนั่งบื้อใบ้ มองคมสันแบบอะไรนะ ขออีกทีซิ
ซึ่งคมสันก็จัดให้ตามประสงค์ แถมยังเปลี่ยนขาที่นั่งไขว่ห้างจากขาซ้ายเป็นขาขวา ทำเอาเบิ้มที่เห็นชายเสื้อคลุมแหวกขึ้นมาจนเกือบถึงต้นขาแล้วกลับไปปิดมิดชิดเหมือนเดิมต่อหน้าต่อตาแทบจะกรีดร้องโหยหวนกับฟีโรโมนที่กำจายไปทั่วทั้งห้อง
เขาสูดหายใจเข้าลึก ตั้งสติเสียใหม่
คมสันเอ่ยเรื่องเด็กเวรอย่างจริงจัง แสดงว่าคืนนี้คงอดสวีตอีกตามเคย
เขาเองก็ไม่ได้รีบร้อนคลุกวงใน แค่จับมือกอดจูบก็นับว่าฟินมากแล้วสำหรับไอ้เบิ้ม
“ใครหรือ”
“ความจริงฉันก็พอเดาได้อยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะลงมือไวขนาดนี้” คมสันตอบไม่ตรงคำถาม ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ซึ่งถือติดมือมาด้วยส่งให้เบิ้ม หน้าจอปรากฏรูปแอบถ่ายของผู้ชายและผู้หญิงคนหนึ่ง
ผู้ชายคนนั้นคุ้นหน้าคุ้นตามาก...นี่มัน...ท่านประธานนี่หว่า!
“ผู้หญิงคนนี้คือคนรักท่านประธาน ทั้งคู่คบกันมาเกือบสิบปีแล้ว”
ฟังถึงตรงนี้ อารมณ์หวิวก็สลายทันควัน...บรรยากาศชวนเคลิ้มกลายเป็นเคร่งเครียด เบิ้มว่าแล้วเชียว...คิดไม่ผิดว่าท่านประธานต้องมีบ้านเล็กบ้านน้อย เลยแยกบ้านกับลูกชาย!
แต่พอลองประติดประต่อกัน...การที่แม่ของเด็กเวรไปอยู่ต่างประเทศกึ่งถาวรคงจะเป็นเพราะเรื่องนี้แน่ๆ ถ้าเป็นสิบปีก่อน ก็แสดงว่าเป็นช่วงไล่เลี่ยกับที่คมสันจับได้ว่าพี่เลี้ยงขโมยของ แล้วสารภาพว่าตัวเองเป็นเกย์ จะขอดูแลคุณหนูสุดที่รักตลอดไป
...ความมุ่งมั่นอยากจะดูแลนั้นก็ต้องเกี่ยวกับการคบชู้นี้ด้วยแหงแซะ คมสันคงทนไม่ได้ที่จะเห็นเด็กน้อยซึ่งคอยประคบประหงมต้องมารับรู้ความจริงข้อนี้ จึงเป็นฝ่ายของเลี้ยงดูเองซะเลย และนั่นก็ตอบคำถามว่าทำไมท่านประธานถึงให้อภิสิทธิ์กับคมสันมากกว่าลูกจ้างคนอื่นๆ ขนาดวันที่สวนน้ำคมสันเผยท่าทีไม่สุภาพยังไม่กล้าตำหนิ เพราะมีชนักติดหลังเรื่องนี้นี่เอง...
“เห็นแก่คุณหนูที่แทบไม่ได้รับความรักจากพ่อและแม่แท้ๆ ประธานและคุณหญิงจึงตกลงว่าจะหย่ากันหลังคุณหนูบรรลุนิติภาวะแล้วตอนอายุสิบแปดเท่านั้น เพราะถึงตอนนั้นคุณหนูคงยอมรับและทำใจได้ รวมถึงไม่มีปมด้อยจนโดนล้อในโรงเรียนด้วย โดยระหว่างนี้ทั้งคู่จะทำอะไร จะคบกับใครก็ได้ ขอเพียงโทรหาคุณหนู มาหาคุณหนูบ้าง โดยช่วงเวลาหลายปีมานี้ใช้วิธีค่อยๆ ลดจำนวนการอยู่ร่วมกันทีละน้อย จากอยู่บ้านเดียวกันก็เริ่มแยกบ้าน คุณหนูจะได้ปรับตัวได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ”
เบิ้มฟังที่คมสันอธิบายแล้วรู้สึกว่าเรื่องนี้ซับซ้อนกว่าที่คาด
“และเมื่อคุณหนูอายุครบสิบแปดปี ท่านประธานจะทำการโอนบริษัทเอ็มเอชเอ็น เอนเตอร์เทนเมนต์ให้คุณหนูเป็นเจ้าของ ซึ่งคุณหนูมีสิทธิ์และอำนาจในการบริหารโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยชื่อหรือรายได้ของพ่อและแม่อีก การที่ฉันเป็นผู้ช่วยเลขาก็เพื่อจะได้เรียนรู้งานและช่วยคุณหนูดูแลบริษัทหลังจากท่านประธานวางมือแล้ว”
แวบแรกที่เบิ้มได้ยินว่าเด็กเวรจะขึ้นเป็นประธานตอนอายุสิบแปด ภาพความวินาศสันตะโรของวงการบันเทิงก็ปรากฏวาบ แต่พอได้ยินว่าคมสันจะเป็นคนกุมบังเหียน ภาพความยิ่งใหญ่ของบริษัทเอ็มเอชเอ็น เอนเตอร์เทนเมนต์ก็เข้าแทรกทันตา
“ข้อตกลงนี้มีการทำลายลักษณ์อักษรและเซ็นสัญญาจากประธานและคุณหญิงก่อนที่ทั้งคู่จะต่างแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตัวเอง ซึ่งฉันเป็นผู้เก็บสัญญาฉบับนั้นเอาไว้ ทั้งหมดเพื่อผลประโยชน์ของคุณหนู และทั้งคู่ก็เห็นตรงกันว่าควรให้อะไรชดเชยกับลูกชาย อย่างน้อยก็ต้องการันตีว่าอนาคตคุณหนูจะไม่อดตายแน่นอน...เพราะคุณหนูคงจะทำงานหาเลี้ยงตัวเองไม่ไหว”
เบิ้มพยักหน้ารับ นึกชมเชยว่าคมสันรอบคอบมาก
หืม ชมเชยทำไมทั้งที่เป็นสัญญาที่ประธานกับคุณหญิงตกลงกันเองงั้นเหรอ
โปรดอ่านประโยคด้านบนอีกครั้ง คมสันเป็นคนเก็บสัญญาไว้ แสดงว่าข้อตกลงนี้คมสันจะต้องเป็นคนเสนอและช่วยร่างสัญญาอย่างแน่นอน! อะไรนะ ตอนนั้นคมสันเพิ่งอายุสิบขวบ...เด็กสิบขวบที่ประกาศกร้าวว่าเป็นเกย์ และตั้งเป้าจะเลี้ยงเด็กคนหนึ่งไปตลอดชีวิตน่ะไม่ธรรมดาหรอกนะ!
เพราะขนาดคนรักในอนาคตที่ยังไม่ปรากฏตัวยังคิดเผื่อดิบดีว่าจะให้มาอยู่ด้วยกันในตำแหน่งงานที่สนับสนุนเกื้อกูลได้ แล้วกับเด็กเวรที่รักถนอมอย่างดีมีหรือจะไม่วางแผนปูพรมแดง น้อมประเคนบริษัทให้
ไม่-มี-ทาง!
“ตลอดหลายปีมานี้ ทั้งประธานและคุณหญิงล้วนไม่มีปัญหากับสัญญาข้อนี้ แต่มีคนหนึ่งไม่ยินยอม”
“เมียน้อยของประธานสินะ”
“ความจริงจะเรียกเมียน้อยก็ไม่ถูก เพราะทั้งคู่รักกันมานานมาก ตัวประธานและคุณหญิงก็ถือว่าหย่าขาดตามพฤตินัยแล้ว แต่ติดที่คุณหนูยังไม่บรรลุนิติภาวะ จึงยังเป็นสามีภรรยากันตามกฎหมาย ฉันไม่ได้รังเกียจผู้หญิงคนนี้ ออกจะเห็นใจด้วยซ้ำ จนกระทั่งเมื่ออาทิตย์ก่อน ประธานผิดสัญญาคุณหนูกลับไปหาเธอกะทันหัน และมาบอกฉันว่าขอหย่าเพื่อจดทะเบียนใหม่ได้หรือไม่”
“อย่าบอกนะว่า...”
“เธอตั้งครรภ์” คมสันสรุปเสียงเรียบ “นายที่มีประสบการณ์พ่อแม่มีลูกหลง คงเข้าใจสินะว่าสำหรับคนมีอายุแล้วเวลามีลูกหลงนั้นเป็นยังไง”
เบิ้มยิ้มเจื่อน เขาเข้าใจดีทีเดียว เพราะตอนน้องชายของเขาเกิด พ่อกับแม่เห่อมาก รักถนอมอย่างดี เรียกว่าไอ้เบิ้มคนนี้กลายเป็นหมาหัวเน่าไปเลย โชคดีที่เขาเองก็ไม่ค่อยอยู่ติดบ้านเลยไม่ได้น้อยอกน้อยใจอะไร ออกจะดีใจด้วยซ้ำที่มีน้องชายน่ารักเพิ่มมาคนหนึ่ง
“ลูกในท้องเป็นเพศชาย”
...ว่าแต่คมสันไปล้วงลึกขนาดนั้นได้ยังไง เบิ้มละสงสัยจริงๆ
“เมื่อสัปดาห์ก่อนเธอลื่นล้มในบ้าน ต้องไปโรงพยาบาลกะทันหัน ท่านประธานรู้เข้าเลยเบี้ยวนัดคุณหนูไปหาเธอ และเธอก็บอกประธานว่าให้จดทะเบียน เพื่อจะได้เป็นพ่อของเด็กคนนี้ คงเพราะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกือบเสียเด็ก ท่านประธานเลยมาคุยกับฉัน เพราะการจะหย่าขาดนั้นต้องให้คุณหญิงเห็นด้วย ซึ่งฉันกับคุณหญิงยังติดต่อกันโดยตลอดเรื่องคุณหนู”
“แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนบอก ไม่ใช่ประธานคิดอยากจะหย่าเอง”
“เพราะพอฉันบอกปฏิเสธ ท่านประธานก็ไม่ซักไซ้อีก และออกจะเดาไว้อยู่แล้ว ท่านแค่ลองเปรยขึ้นมาดู แสดงว่าไม่ได้คิดเรื่องนี้ไว้จริงจัง และหลังจากนั้นฉันก็สังเกตเห็นหลายครั้งว่าประธานมักรับโทรศัพท์สายหนึ่งแล้วทะเลาะกันเสมอ”
เบิ้มนึกภาพท่านประธานในร้านอาหารที่สวนน้ำวันนี้แล้วพยักหน้ารับ
“ช่วงนี้บริษัทราบรื่นมาก ไม่มีคู่ค้างี่เง่าที่ต้องเจรจาให้หัวเสีย ฉันเลยเดาว่าคนที่โทรมาจะต้องเป็นผู้หญิงคนนั้นที่อยากให้ประธานจัดการเรื่องนี้ แต่ประธานปฏิเสธ ทั้งคู่เลยทะเลาะกัน”
แม้จะเป็นการคาดเดาซะครึ่ง แต่เบิ้มยอมรับ...ว่าข้อสันนิษฐานนี้ฟังขึ้น
“ประธานจะโมโหก็ไม่แปลก เพราะสัญญาระบุไว้ชัดเจนว่าหลังคุณหนูอายุสิบแปดก็จะหย่าขาดและเป็นอิสระ จะจดทะเบียนตอนนั้นหรือตอนนี้ก็ไม่ต่าง แต่สำหรับผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่” พลันคมสันเท้าแขนกับบ่าของเบิ้ม เหยียดยิ้มให้ในระยะประชิดจนอะไรที่สงบลงแล้วเริ่มจะรุ่มร้อนขึ้นมาอีกครั้ง “ลองเดาดูสิ”
“เธออยากได้บริษัทเอ็มเอชเอ็น เอนเตอร์เทนเมนต์?”
คมสันยื่นหน้ามาจูบกรามเบิ้มเป็นรางวัล
ถ้ารู้ว่าตอบถูกแล้วได้ของดีของเด็ดอย่างนี้ เบิ้มจะตั้งใจตอบ! ไม่เอาแต่นินทาในใจอยู่นานสองนานหรอก!
“ประธานตั้งใจจะยกบริษัทให้คุณหนู งั้นลูกชายของเธอล่ะ...จะได้อะไร?”
คมสันถามต่อโดยที่ยังเอียงตัวเข้าหาในระยะใกล้เพียงลมหายใจ
พวกเขาจ้องตากันในความเงียบ
เบิ้มอยากตอบใจแทบขาด อยากได้รางวัลอีกครั้ง แต่น่าเสียดาย...เพราะเขาไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเจ้านายเลย
ราวคาดไว้อยู่แล้วว่าเบิ้มตอบไม่ได้ คมสันเลยเผยยิ้มยั่ว ก่อนจะผละตัวออกเล็กน้อยพร้อมเสยผมเบาๆ
“จริงๆ แล้วประธานลงทุนทำธุรกิจอย่างอื่นด้วย แต่ไม่มีธุรกิจไหนจะได้ชื่อว่าเป็นประธานบริษัทและประสบความสำเร็จเท่าเอ็มเอชเอ็น เอนเตอร์เทนเมนต์ แต่ก่อนยังไม่ออกลาย พอมีลูกเอาช่วงปลายสุดท้าย สัญชาตญาณของคนเป็นแม่ย่อมอยากจะให้ของที่ดีที่สุดกับลูก ฉันเองก็เข้าใจตรงจุดนี้”
ไม่ คมสัน นายไม่ใช่แม่ของคุณหนูเวรนั่น!แน่นอนว่าเบิ้มทำได้เพียงเถียงในใจ และคิดในใจว่าทั้งที่คุยกันจริงจังปานนี้ แล้วเหตุไฉนคมสันถึงได้ยั่วเย้ากันจนชวนเตลิดอยู่เรื่อยก็ไม่รู้ คนรักในชุดนอนไม่ได้นอน เสยเรือนผมสีดำขลับตัดกับผิวขาวๆ ที่ปล่อยตามธรรมชาติไม่ได้จัดแต่งเหมือนเคย มองยังไงก็ยากจะตั้งสติให้จดจ่อกับเรื่องที่ฟังอยู่ซะจริง!
“ถ้าขอตรงๆ ประธานไม่มีทางรับได้แน่ แม้เธอจะกำลังท้องลูกชายของท่าน แต่ยังไงคุณหนูก็เป็นลูกชายคนแรก เธอเลยอ้างอ้อมๆ อยากให้ท่านจดทะเบียน ถ้าแค่เรื่องนี้ยังไม่ได้ จะหวังบริษัทก็ยากแล้ว ฉันค่อนข้างเข้าใจความร้อนรนของเธอนะ แต่...” คมสันเหยียดยิ้มอีกครั้ง “เมื่อไม่ได้ความรักจากพ่อ คุณหนูก็สมควรได้บริษัทเอ็มเอชเอ็น เอนเตอร์เทนเมนต์ ส่วนผู้หญิงคนนั้นที่ได้ทั้งความรักจากสามีและได้พ่อของลูกที่ดี ก็ไม่ควรโลภมาก”
วูบหนึ่ง เบิ้มคล้ายๆ จะตาฝาดเห็นปีกจอมมารอีกแล้ว
ไม่หรอกน่า นั่นเป็นปีกนางฟ้า ฟังสิ คมสันบอกว่าเข้าใจและเห็นใจผู้หญิงคนนั้นนะ ไม่มีคำหยาบคายเลย!
“นายคิดว่าระหว่างสิบล้านกับร้อยล้าน ต่างกันแค่ไหน”
พลันเบิ้มหัวหมุน ตั้งตัวไม่ทันว่าจะถูกย้อนถามเรื่องเงินๆ ทองๆ
“เอ่อ...ต่างกันมาก อย่างน้อยแค่ส่วนต่างก็มากเกินกว่าที่ฉันจะใช้ทั้งชีวิตหามาได้”
“แล้วระหว่างร้อยล้านกับพันล้านล่ะ”
“...นั่นก็...มาก มาก มาก เหมือนกัน”
“บริษัทเอ็มเอชเอ็น เอนเตอร์เทนเมนต์ทำรายได้ทะลุพันล้านต่อปี แต่บริษัทที่ประธานลงทุนโดยไม่ได้ถือครองหุ้นเต็มตัวนั้นมีรายได้เพียงร้อยล้าน...ไม่สิ ไม่ถึงร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็เกินสิบล้านต่อปีแน่นอน” คมสันโยงคำถามเข้าสู่หัวข้อที่ยังพูดค้างอยู่ “ถ้าเป็นนาย จะเลือกอะไร”
เบิ้มไม่ตอบ เพราะรู้ว่าคมสันไม่ได้ต้องการคำตอบจากเขา แต่อยากให้เล็งเห็นถึงจุดเปลี่ยนสำคัญต่างหาก
“เมื่อก่อนผู้หญิงคนนี้ไม่เคยมีความคิดจะยื่นมือเข้ามาในเรื่องธุรกิจของประธาน เพราะเธอเรียนไม่จบปริญญาตรี และไม่มีประสบการณ์ทำงานแม้แต่น้อย ฉันไม่เคยดูถูกใครเรื่องนี้ เพราะปกติแล้วเธอเป็นแม่บ้านแม่ศรีเรือน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ประธานต้องการ และเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านกับคุณหญิงไปกันไม่ได้ คุณหญิงเคยเป็นดาราดังค้างฟ้า มีสังคม มีชื่อเสียง ชอบออกงานรื่นเริง ไปปาร์ตี้กับเพื่อน การให้เธอเป็นแม่บ้านก็คือการทรมานดีๆ นี่เอง”
เบิ้มพยักหน้ารับเป็นเชิงให้คมสันเล่าต่อ พอเข้าประเด็นสำคัญ คนรักก็นั่งประสานมือบนเข่า บรรยากาศซาบซ่านด้วยฟีโรโมนคล้ายจะกดต่ำกะทันหันจนชวนอึดอัด
“นอกจากคุณสมบัติไม่ผ่านแล้ว ทะเบียนสมรสที่ยังไม่หย่าขาดก็ทำให้เธอไม่สามารถออกงานกับประธานได้ เท่ากับว่าเธอไม่มีโอกาสที่จะเข้ามาก้าวก่ายด้านธุรกิจโดยสิ้นเชิง แต่พอมีลูก...ก็เท่ากับว่าชดเชยสิ่งที่เธอทำไม่ได้ทั้งหมด การศึกษาที่ดี การบ่มเพาะประสบการณ์ การผลักดันให้นั่งตำแหน่งประธาน...” คมสันแค่นหัวเราะ “พอมีลูก...จากผู้หญิงไร้พิษสงก็กลายเป็นงูพิษ”
“นายจะบอกว่าอุบัติเหตุเมื่อวานเป็นฝีมือของ...”
“ถ้าท่านประธานมีลูกชายของเธอเป็นทายาทเพียงคนเดียว ทุกอย่างก็ง่ายดายขึ้นทันตา จริงมั้ย” คมสันถามเสียงเรียบ ด้วยบรรยากาศที่ยักจะสีชมพูเหมือนเคย “ไม่ต้องทะเลาะกัน ไม่ต้องหาข้ออ้างให้วุ่นวาย เพราะท่านประธานจะประเคนทุกอย่างให้ลูกชายเธอเอง”
นิ้วเรียวสวยเคาะกับต้นขาเบาๆ
“สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานคือแผนการที่วางมาอย่างดี บางทีอาจจะเริ่มตั้งแต่ให้ประธานพาคุณหนูมาที่สวนน้ำแล้ว เพราะคนไม่ละเอียดอ่อนอย่างท่านประธานไม่มีทางคิดวิธีง้อแบบนี้ได้แน่ ประจวบเหมาะกับคุณหนูอยากว่ายน้ำ ท่านประธานเลยทำตามคำแนะนำนั้น ซึ่งเข้าแผนพอดี เพราะผู้หญิงคนนี้รู้ว่าฉัน...ไม่ชอบว่ายน้ำ”
จากว่ายน้ำไม่เก่งกลายเป็นไม่ชอบว่ายน้ำ เบิ้มตัดสินใจที่จะไม่แย้งให้คมสันเขินอาย
“นี่เป็นโอกาสเดียวที่จะแยกฉันกับคุณหนูออกจากกันได้ ส่วนสาเหตุที่รู้...ฉันคิดว่าท่านประธานน่าจะเป็นคนเล่าเองแบบไม่คิดอะไร จากนั้นเธอก็จ้างชาวต่างชาติทำทีเป็นหลงกับลูกของความช่วยเหลือ แถวนั้นไม่มีใครพูดภาษาฝรั่งเศสเป็น ยังไงฉันก็ต้องเป็นคนช่วยพาไปประชาสัมพันธ์ พอไม่มีคนจับตามอง ก็ให้คนของเธอเข้ามาแยกคุณหนูกับเด็กที่เล่นด้วยกันออก...คุณหนูเป็นคนที่...ดูใครไม่เป็น และเชื่อคนง่ายมาก แค่อ้างว่าฉันให้มาตามก็จะตามหลังคนแปลกหน้าทันที”
เบิ้มเชื่ออย่างไม่สงสัยในความอ่อนด้อยของเด็กเวรเลย
“หลังล่อคุณหนูไปที่สระผู้ใหญ่ ก็ทำให้คุณหนูสลบ ปล่อยทิ้งไว้ในน้ำจุดที่ลึกที่สุดซึ่งไม่ค่อยมีคนแล้วหนีไป เพียงเท่านี้คุณหนูก็จมน้ำเองโดยไม่อาจตะเกียกตะกายร้องขอความช่วยเหลือ รอบด้านต่างคนต่างเล่นน้ำ ไม่มีใครสนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในไม่กี่นาทีนี้ กว่าจะมีคนสังเกต คุณหนูก็วิกฤตแล้ว”
“นายรู้ได้ยังไง ถามจากคุณหนูเหรอ”
“ข้อมูลที่ได้จากคุณหนูมีแค่ช่วงที่มีคนอ้างชื่อฉันเรียกตัวไปเท่านั้นแหละ เขานอนอยู่ใต้สระยังไงยังไม่รู้เรื่องเลย”
“งั้น...จากกล้องวงจรปิด?”
“กล้องวงจรปิดเสีย หรือให้ถูกคือถูกลบข้อมูลไปก่อนที่ฉันจะขอดู ฉะนั้นทั้งหมดคือข้อสันนิษฐาน แต่ฉันก็ไม่คิดว่าจะต่างไปจากนี้สักเท่าไหร่ เพราะถ้าเป็นฉัน ฉันก็คงจะวางแผนประมาณนี้เหมือนกัน”
เบิ้มมองตาค้าง
“ฉันสมมติน่ะนะ ไม่ต้องห่วง ฉันไม่เลวขนาดวางแผนฆ่าคนหรอก” คมสันเผยยิ้ม คลายความกังวลของเบิ้ม “สำหรับฉัน ฆ่าคนเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ไร้รสนิยม เหมาะกับคนไร้ความสามารถเท่านั้นแหละ”
เบิ้มรีบพยักหน้าอย่างคล้อยตาม
“คนเก่งจริงไม่นั่งคิดหรอกว่าวันๆ จะวางแผนฆ่ายังไง แต่คิดพัฒนาตัวเองให้เหนือกว่าต่างหาก”
พูดอีกก็ถูกอีก เบิ้มพยักหน้าอีกสามครั้งติด
“อีกอย่าง ฆ่าคนน่ะไม่คุ้มเสียสักนิด สู้ให้อยู่อย่างทรมานยังสะใจกว่า”
...เบิ้มตัวสั่นแล้ว
“ฉันล้อเล่น”
ทำไมเบิ้มถึงไม่คิดว่าคมสันล้อเล่นเลยนะ...แถมปีกจอมมารก็เริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ด้วย สงสัยเขาจะง่วงนอนจนสมองเบลอซะแล้ว
“เอาเป็นว่าเพราะรู้ว่าทางนั้นอาจมุ่งเป้ามาที่คุณหนู ฉันเลยว่าจ้างบอดี้การ์ด นายคงไม่คิดว่าฉันจ้างให้นายมาขับรถอย่างเดียวหรอกนะ”
ไม่หรอก ยิ่งรู้จักยิ่งเข้าใจ คมสันไม่มีทางว่าจ้างด้วยความจำเป็นเพียงข้อเดียวแน่นอน
ในเมื่อลงมือทั้งทีต้องมีประสิทธิ์ภาพที่สุด ใช้คนอย่างคุ้มค่า!
“เรื่องเมื่อวาน ขอบคุณมากนะ”
พลันคมสันเอียงตัวซบไหล่ การกระทำที่จู่ๆ ก็คลอเคลียแนบชิดนั้นทำให้เบิ้มถึงกับสะดุ้ง เอ่ยถามสิ่งที่ค้างคาใจ
“ผู้หญิงคนนั้นตั้งท้องได้กี่เดือนแล้ว”
“สามเดือนกับอีกสองสัปดาห์”
“...”
เบิ้มคิดว่าเขาไม่ควรคิด ไม่ควรพูด ไม่ควรสงสัยอะไรทั้งนั้น
“ทำไม คิดว่าฉันหลอกใช้งั้นเหรอ” คมสันไม่เบี่ยงตัวหลบ แต่ยังถือโอกาสเอนตัวพิงพร้อมเงยหน้าถามด้วยรอยยิ้มมุมปาก
ระยะที่ห่างกันเพียงไม่กี่เซนติเมตรก็จะประกบปากได้พอดิบพอดีนั้นล่อเอาเบิ้มแทบเคลิ้ม
“ถ้าจะหลอก ฉันไม่เล่าทั้งหมดหรอก เพราะนายจะรู้สึกแย่ และไม่ตั้งใจทำงาน ซึ่งไม่เป็นประโยชน์กับฉันสักนิด” คมสันดักอย่างรู้ทัน ก่อนที่ดวงตานั้นจะจ้องที่ริมฝีปากเขาอย่างสื่อความนัย
เบิ้มกลืนน้ำลาย
“ถ้าฉันจะหลอก ฉันก็คงไม่ทำ...”
พลันคมสันยืดตัวเล็กน้อย ส่งริมฝีปากแสนหวานประกบแผ่วเบา แม้ไม่ดูดดื่ม แต่ก็เล่นเอาใจสั่น
โดยเฉพาะยามกระซิบเสียงพร่าโดยที่ริมฝีปากยังประชิดใกล้จนปัดผ่านเป็นระยะ
“...อย่างนี้”
คมสันนิ่งมองเบิ้มเล็กน้อย ดวงตาใต้กรอบแว่นนั้นจ้องสะกดคล้ายรู้ว่าเบิ้มกำลังใคร่ครวญชั่งใจอะไรบางอย่าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดจะอธิบายเพิ่ม เพียงลุกขึ้นยืน จัดเสื้อคลุมให้เรียบร้อย ก่อนจะหันมากล่าวด้วยประโยคแสนคุ้นเคยในทุกค่ำคืน
“ราตรีสวัสดิ์”
คมสันเดินกลับห้องตัวเองโดยที่เบิ้มเดินตามไปส่ง หลังประตูปิดสนิท เบิ้มก็นิ่งมองประตูนั้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความข้องใจแต่ไม่อยากคิดไกล
บังเอิญเกินไปรึเปล่าช่วงเวลาสามเดือนกับอีกสองสัปดาห์ที่ผู้หญิงของท่านประธานท้อง ถ้านับตามจริง คนปกติย่อมไม่รู้ตัวอยู่แล้วว่ามีเด็กจนกระทั่งเข้าช่วงสัปดาห์ที่สอง...
พอดับพอดีกับคมสันเอาเกลือแร่มาจีบ
พิรุธชัดเกินกว่าจะเป็นแผนคมสัน แถมอีกฝ่ายก็บอกว่าถ้าคิดจะหลอกใช้กัน แล้วจะเล่าให้เขาฟังทำไม แสดงว่าคมสันเชื่อใจและไว้ใจไม่ใช่เหรอ
เบิ้มลูบริมฝีปากตัวเองที่ยังร้อนผ่าวเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจส่ายหัวให้เลิกคิดเยอะ อย่าสงสัยคนรัก ไม่งั้นจะนำพาหายนะมาถึงตัว
แม้พอมองประตูเชื่อมสู่แดนลี้ลับความรู้สึกจะเริ่มเปลี่ยนไปก็ตาม
ข้อดีของประตูนี้มีสามอย่าง
อย่างแรก ไว้ปกปิดความสัมพันธ์ของเราสอง ป้องกันไม่ให้ใครเห็นแล้วซุบซิบไปบอกเด็กเวร
อย่างที่สอง ช่วยกระตุ้นความสัมพันธ์ให้ยิ่งตื่นเต้นซาบซ่าน โดยเฉพาะเวลาเห็นคมสันสวมชุดนอนไม่ได้นอนมาทักทายแล้วปิดประตู เล่นเอาเบิ้มตาค้างแทบไม่ได้นอนทั้งคืน
ส่วนอย่างที่สาม...
ไว้วางแผนลับจัดการคน!!!
------------
ค่ะ คมสันไม่ได้หลอกใช้
แต่เรียกใช้แบบไม่ต้องหลอกเลยต่างหาก!
อะแฮ่ม ตอนนี้หนักหน่อยค่ะ เราพยายามเขียนให้เป็นกลางที่สุด ประมาณว่าแต่ละคนก็มีเหตุผลของตัวเองในการจะทำบางสิ่งบางอย่าง มีความเห็นแก่ตัว แม้จะเป็นการหวังเอาชีวิตเด็กที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยอย่างเด็กเวรก็ตาม (ใช่ค่ะ เด็กเวรไม่เคยจะรู้อะไรบ้างเลย ไม่-รู้-อะ-ไร-เล้ยยยยยย )
แน่นอนว่าคนทำชั่วก็ต้องได้รับการตอบสนองจากจอมมาร...แคก! จากผลกรรม
วันคืนหวานชื่นของพี่เบิ้มเองก็เริ่มจะตาสว่างหน่อยๆ แล้ว
เรื่องเริ่มเข้มข้นขึ้นแล้วค่ะ เอาใจช่วยพี่เบิ้มกันด้วยนะคะ!
#จอมมารคมสัน
เพจนักเขียนที่สาบานว่าจะไม่เป็นศัตรูกับจอมมารเด็ดขาดTwitter