ตอนที่ ๒
ศาลาริมน้ำเรือนของเจ้าพระยาสรอรรถปรากฏร่างเล็กของเด็กชายแสนวัยสิบขวบ เรือนกายขาวผ่องด้วยได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีเสื้อผ้าที่ใส่สะอาดสะอ้านผ่านการซักรีดอบร่ำจนหอมฟุ้ง ยามลมแม่น้ำโชยพลิ้วต้องผิวกายเรือนผมสีดำสนิทลู่ไปตามลม ภายในน้ำปรากฏร่างของเด็กชายวัย 15 ปี บุตรชายคนที่ 4 ของเจ้าคุณสรอรรถกำลังดำผุดดำว่ายหายลงไปในน้ำพาลให้เจ้าตัวน้อยชะเง้อตามจนคอแทบยืด ไอ้มีบ่าวคนสนิทคอยประกบติดเจ้านายตัวน้อยไม่ให้คลาดสายตา เพราะหากเผอเรอทำลูกของท่านเจ้าสัวพลัดตกน้ำตกท่าไปไอ้มีคงไร้เงาหัวเป็นแน่
“คุณเล็กคะขึ้นมาเถอะค่ะ”เสียงเล็กร้องเรียกคนที่ยังคงดำผุดดำว่ายไม่ยอมฟังกันเสียที หนูแสนกดหน้าลงเรื่อยๆเป็นอาการที่บ่งบอกว่าตนเองนั้นเริ่มจะมีน้ำโหและงอนหน่อยๆแล้ว แต่ตอนนี้คุณเล็กกำลังสนุกสนานกับการงมกุ้งแม่น้ำอยู่
“ถ้าพูดไม่รู้ความหนูแสนจะกลับบ้านแล้วนะคะ”และนั่นเหมือนจะเป็นคำประกาศิต คุณเล็กทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำ ไอ้พันบ่าวคนสนิทรีบเข้าไปรับกุ้งแม่น้ำตัวโตในมือเจ้านายที่เริ่มเข้าสู่วัยหนุ่ม คุณเล็กส่งตัวเองขึ้นมานั่งบนแพได้ก็หัวเราะเบาๆชอบใจกับกริยาแสนงอนนั้น
“เอ...ชื่อหนูแสนนี่ย่อมาจากแสนงอนหรือเปล่าคะ ดูสิ คางชิดอกจนเป็นสองชั้นแล้ว”หากแต่คราวนี้ไม่ใช่แค่อาการปากคว่ำพอคุณเล็กพูดจบหนูแสนก็ทำตาคว่ำใส่อีกต่างหาก
“โอ๋ๆ คุณเล็กไม่แกล้งแล้วค่ะ หนูแสนช่วยเอาผ้ามาห่มให้คุณเล็กหน่อยได้ไหมคะ ดูสิคุณเล็กหนาวจนตัวสั่นแล้ว”แสร้งยกมือยกแขนขึ้นมากอดอกทำตัวสั่นงันงกอย่างน่าสงสาร หนูแสนนั้นแม้จะงอนเพียงใดแต่พอเห็นคุณเล็กตัวสั่นก็เดินไปหยิบผ้ามาห่มกายให้คุณเล็กอยู่ดี คุณเล็กถือโอกาสนั้นดึงมือหนูแสนไม่ให้หนีไปไหน
“ห่วงคุณเล็กเหรอคะ”เอ่ยถามเสียงหวาน ด้วยเพราะกลัวน้องน้อยจะโกรธไปมากกว่านี้จึงต้องรีบง้อ หากปล่อยให้งอนนานคุณเล็กคงอึดอัดใจเป็นแน่ ด้วยตั้งแต่น้อยจนเติบใหญ่ เจ้าน้องน้อยก็เหมือนเป็นเงาของคุณเล็กคอยติดตามหยอกเย้ามิได้ห่าง หากคุณเล็กไม่เดินไปเล่นด้วยที่เรือนเจ้าตัวน้อยก็จะมาหาเอง หนูแสนติดคุณเล็กยิ่งกว่าติดคุณเสนและคุณสนพี่สาวเสียอีก ด้วยคุณแสนอายุเข้ารุ่นหนุ่มก็เริ่มเรียนรู้ที่จะดูแลกิจการของครอบครัว เช้าก็ออกไปพร้อมเจ้าสัวเช็งกว่าจะกลับก็มืดค่ำ ส่วนคุณสนรายนั้นหารักน้องไม่ เอาแต่เกรี้ยวกราดพูดจาด้วยคำร้ายๆใส่น้องจนคุณแสนเข้าหน้าไม่ติด หลายครั้งต้นแขนขาวๆเล็กๆนี้ก็มีรอยจ้ำให้คุณเล็กขุ่นเคืองใจด้วยเพราะถูกคุณสนหยิกจนเนื้อเขียว คุณเล็กจึงทั้งรักและสงสารเด็กตัวขาวที่เอาแต่ตามติดเขาต้อยๆไม่เหมือนคุณน้อยน้องสาวที่ชอบเล่นกับบ่าวไพร่มากกว่ามาเล่นกับพี่ชาย เพราะฉะนั้นหากจะต้องไม่พูดกันชีวิตคงเหมือนขาดอะไรไป ยามพูดจากันเพราะคุณเล็กติดพูดคะค่ะกับคุณหญิงผกาและคุณกลางพี่สาวคุณน้อยน้องคนเล็กคำหวานหูจึงเผื่อแผ่มาถึงหนูแสนพลอยทำให้เจ้าตัวน้อยติดพูดคะขาตามไปด้วยซึ่งคุณเล็กเองก็คิดว่ายามคำหวานอ่อนช้อยนั้นออกจากปากหนูแสนมันช่างน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน
หนูแสนนั้นน่ารักนักช่างพูดช่างเจรจาอ่อนหวานไม่ต่างอะไรกับคุณน้อยน้องสาวคนสุดท้ายเลยซักนิด
“ห่วงสิคะ อากาศเย็นคุณเล็กลงน้ำนานปะเดี๋ยวจะได้ไข้”เจ้าตัวน้อยตอบตามซื่อ
“คุณเล็กรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสิคะเดี๋ยวหนูแสนจะกลับเรือนแล้ว”
“ยังอยากอยู่เล่นกับหนูแสนอยู่เลยค่ะ”
“อยากทานสะเดาน้ำปลาหวานไม่ใช่เหรอคะ เดี๋ยวหนูแสนให้คนเอามาให้ ถ้าไม่กลับตอนนี้จะไม่ทันคุณลุงรับมื้อเย็นนะคะ”หนูแสนให้เหตุผลที่จำต้องกลับเรือนก่อนทั้งๆที่เพิ่งจะบ่ายสอง
“งั้นนายพัน แบ่งกุ้งไปบ้านหนูแสนเดี๋ยวฉันจะขึ้นเรือนไปอาบน้ำผลัดผ้าล่ะ”คุณเล็กเอ่ยสั่งบ่าว ก่อนหันกลับมาหาหนูแสนอีกครั้ง
“คุณเล็กจะรอนะคะ”คุณเล็กยอมปล่อยน้องให้กลับเรือนพร้อมกับถังใส่กุ้งแม่น้ำเกือบสิบตัวที่งมมาได้ ดวงตาคมมองไล่หลังหนูแสนที่เดินตามไอ้มีไปอย่างเงียบๆ
“หนูแสนไปเอากุ้งที่ไหนมาเยอะแยะลูก ดูสิตัวโตเชียว”คุณพะยอมเอ่ยทักยามลูกชายคนเล็กเดินเข้ามาในโรงครัว กุ้งแม่น้ำตัวโตเบียดเสียดกันอยู่ที่ก้นกระป๋อง
“คุณเล็กเธอลงไปงมมาจ้าแม่ บ่นว่าอยากทานสะเดาน้ำปลาหวานพอแสนบอกจะทำให้ทาน เธอก็ถอดเสื้อลงน้ำไปงมมาเลย”
“ตายจริง อากาศเย็นขนาดนี้ ดีตะคริวไม่กินตาย”คุณพะยอมเอามือทาบอก ด้วยเพราะตอนนี้ปลายเดือนธันวาคม อากาศหนาวจนแสบผิวแต่คุณเล็กเรือนนู้นยังกล้าลงน้ำไปงมกุ้งให้ลูกชายของหล่อนเอามาทำ
“แสนบอกเธอให้ขึ้นตั้งนานเธอไม่ยอมขึ้นจ้าแม่ คุณเล็กดื้อ”เด็กชายวัยสิบขวบทำหน้าอ่อนใจจนคนเป็นแม่นึกขำ
“เฟือง เอ็งเอากุ้งไปล้างแล้วผ่าครึ่งนะ เดี๋ยวข้าจะย่าง ยายแช่มช่วยเบาไฟในเตาให้หน่อยเถอะจ้า นายมีช่วยไปเก็บสะเดาหลังบ้านมาให้ฉันหน่อยเถอะ ต้นริมสุดที่ช่อใหญ่ๆเป็นสะเดามัน ส่วนหนูแสนมานั่งใกล้แม่ แม่จะสอนทำน้ำปลาหวาน”หนูแสนทำตามแม่ว่าทันที คุณพะยอมเอาหอมแดงมาปอกและซอยจึงได้นำกระทะมาตั้งไฟอ่อน
“จำไว้นะลูก ว่าต้องใช้ไฟอ่อนค่อยๆเจียวจนหอมเป็นสีเหลือง”หล่อนปล่อยตะหลิวเพื่อให้หนูแสนได้เป็นคนทำ
“คอยคนอย่าให้ไหม้นะลูกไม่อย่างนั้นมันจะขมไม่อร่อย”
“จ้าแม่”เจ้าตัวน้อยพลิกกลับหอมซอยในกระทะไปมาอย่างตั้งใจจนกระทั่งหอมกลายเป็นสีทองคุณพะยอมจึงให้หนูแสนใส่น้ำตาลปี๊บ น้ำปลา และน้ำมะขามตามลงไป คุณพะยอมปล่อยให้หนูแสนดูแลเคี่ยวน้ำปลาหวานให้เหนียว ส่วนตนเองเดินไปย่างกุ้งแม่น้ำตัวโตที่ล้างเรียบร้อยแล้ว ไม่นานกลิ่นหอมของมันกุ้งก็ลอยยั่วน้ำลายพร้อมๆกับที่หนูแสนเอาพริกใส่ลงไปเป็นอันเสร็จ หนูแสนตักแบ่งใส่ถ้วยเบญจรงค์ใบสวยโรยหน้าด้วยหอมเจียวที่แยกไว้ต่างหาก สะเดาถูกลวกวางคู่กับผักชีเอาไว้กินแนมกัน กุ้งแม่น้้ำตัวโตถูกเรียงใส่จานมันกุ้งตรงหัวสีเหลืองอร่ามดั่งทองส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย
“เสียดายพี่สนไปบ้านคุณตา เลยอดกินกุ้งเผาของโปรดเลย”คุณพะยอมยิ้มให้กับเจ้าตัวน้อยที่ยังมีแก่จิตแก่ใจคิดถึงพี่สาวที่คุณตามารับไปอยู่ด้วยได้สองวันแล้ว
“คิดถึงพี่เขาเหรอลูก วันพรุ่งก็กลับมาแล้วกุ้งสดยังมีเหลือค่อยทำให้เธอทานวันพรุ่งนี้ก็ได้ หนูแสนจะอยู่ช่วยแม่ทำกับข้าวต่อหรือจะไปอาบน้ำลูกแม่ให้เฟื้องมันรองน้ำตากแดดไว้จะได้ไม่ต้องอาบน้ำต้มน้ำร้อนให้ผิวแห้ง รีบอาบเสียตอนนี้จะได้ไม่หนาว”
“แต่หนูแสนอยากช่วยแม่ทำกับข้าวต่อนี่จ๊ะ”เจ้าตัวน้อยเกาะแขนพลางซบหัวทุยๆลงบนต้นแขนของผู้เป็นแม่
“วันนี้ไม่มีอะไรแล้ว แม่ต้มจับฉ่ายไว้ตั้งแต่เพล ทอดปลาอีกซักอย่างทำน้ำจิ้มก็เสร็จแล้วลูก คุณเตี่ยกลับมาจะได้กินข้าว แสนเองก็ไปตะลอนๆกับคุณเล็กทั้งวันไปอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัวแล้วอ่านหนังสือเถอะ พรุ่งนี้แม่จะทำขนมไปช่วยงานบ้านเจ้าคุณยุทธนาแสนค่อยมาช่วยแม่นะลูก”
“ก็ได้จ้า งั้นหนูแสนไปอาบน้ำก่อนนะจ๊ะแม่”เจ้าตัวน้อยยืดตัวขึ้นไปจุมพิตแก้มของแม่แล้วเดินออกจากครัวไป ทิ้งให้คนเป็นแม่และบ่าวคนสนิทมองตามหลังด้วยความเอ็นดูรักใคร่
“คุณแสนเธอน่ารักนะคะ ทั้งน่ารัก ทั้งใจดีใครๆก็รัก”
“ลูกของฉันคนนี้น่ะเหมือนเกิดมาเป็นน้ำคอยดับไฟจากแม่สนเลยล่ะยายแช่ม ฉันล่ะสะท้อนใจเหลือเกิน งานบ้านงานครัวที่ได้รับสั่งสอนมากจากในวังฉันก็หวังจะถ่ายทอดให้แม่สน แต่รายนั้นน่ะสนใจซักนิดก็ไม่มี ที่ยอมลงครัวทุกครั้งก็เพราะฉันต้องดุต้องขู่ตลอด แต่หนูแสนไม่ต้องเรียกก็มา ถ้าเกิดมาเป็นลูกสาวฉันจะชื่นใจไม่น้อย”
“ไหนๆคุณแสนเธอก็ชอบงานบ้านงานเรือนแล้วคุณก็ค่อยๆถ่ายทอดให้เธอเถอะค่ะ อย่างน้อยวิชาก็ไม่ตายตามตัวไป คุณสนเธอไม่รักไม่ชอบทางนี้ไปข่มเขาโคขืนให้กินหญ้าก็ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ”ยายแช่มแนะให้กับคุณพะยอมที่กลุ้มใจเรื่องลูกสาวไม่เอางานครัวที่เป็นงานขึ้นชื่อของผู้เป็นแม่เลย ทั้งๆตอนที่เกิดวิกฤติคราวก่อนคุณพะยอมยังเคยรับทำขนมงานบุญหาเงินมาช่วยเจ้าสัวโดยไม่สนคำครหาเลยซักนิด
“หม่อมแดงท่านยังขายห่อหมกได้ ทำไมฉันจะขายขนมสูตรชาววังไม่ได้”ยายแช่มจำคำได้ขึ้นใจ
“ฉันก็หวังว่าหนูแสนจะรักจะชอบงานครัวไปตลอด ไม่ใช่พอแตกหนุ่มก็ทิ้งไปทำการค้ากับเตี่ยเขาน่ะสิ ดูอย่างพ่อเสนซิ ทุกวันนี้ตามติดคุณเตี่ยต้อยๆ ท่าทางคำพูดคำจาชักจะเป็นนายห้างใหญ่เข้าไปทุกที”คุณพะยอมเอ่ยถึงบุตรชายคนโตด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“ระวังจะได้ลูกสะใภ้เร็วๆนี้นะเจ้าคะ เป็นหนุ่มสวยยังกะพระเอกยี่เกขนาดนั้นต้องมีสาวๆมาชายตาแน่ๆ”
“เอาเถอะ พ่อเสนก็ยี่สิบกว่าแล้วจะออกเรือนมีลูกเมียฉันก็จะไม่ขัดหรอกขอแค่ผู้หญิงขยันขันแข็งและรักลูกฉันจริงก็พอใจแล้ว ฉันเชื่อว่าลูกชายของฉันจะไม่ไปคว้าพวกจับจดหรือช็อกการีที่ไหนมาให้แปดเปื้อนวงศ์ตระกูล คนที่ฉันห่วงคือแม่สน รายนั้นนิสัยร้ายกาจใครจะอยากได้ทำเมียล่ะยายแช่มเอ้ย”คุณพะยอมถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อนกับนิสัยลูกสาว
เช้านี้เรือนของเจ้าสัวเช็งวุ่นวายตั้งแต่ยังไม่ย่ำรุ่ง ควันไฟลอยเอื่อยออกจากเตา คุณพะยอมคุมบ่าวไพร่ที่กะเกณฑ์กันมาช่วยทำขนมมงคลสำหรับเอาไปช่วยงานแต่งของบุตรีเจ้าคุณยุทธนา
ไข่เป็ดไข่ไก่แป้งน้ำตาลเกลือถั่วเขียวซีกรวมทั้งใบเตยใบตองถูกนำมาเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อเย็นวาน หนูแสนที่ตื่นหลังคุณพะยอมเดินเข้ามาในครัวสีหน้าไร้ความงัวเงีย ยายแช่มขยับหลบยามคุณคนเล็กของบ้านมานั่งใกล้
“อ้าว หนูแสน ตื่นนานหรือยังจ๊ะ”คุณพะยอมที่กำลังคุมบ่าวให้ทำทองหยิบหันมาถามลูกเล็ก หนูแสนยิ้มหวานให้คนเป็นแม่ ตัวสั่นเล็กน้อยด้วยลมแม่น้ำพัดความเย็นเยือกของเดือนธันวาคมมาให้ตึงผิว
“น่าจะนอนอีกซักหน่อย อากาศเย็นนักแม่กลัวลูกจะได้ไข้”
“หนูแสนนอนไม่หลับแล้วจ้าแม่ อยากจะลงมาช่วยทำขนม หนูแสนยังไม่เคยทำทองเอกกับสเน่ห์จันทน์เลย”เจ้าตัวน้อยตอบอย่างเด็กใฝ่รู้ พวกทองหยิบทองหยอดฝอยทองเม็ดขนุนรวมทั้งขนมชั้นน่ะนะหนูแสนทำเป็นหมดแล้วเพราะแม่ทำบ่อยแม้ว่าทองหยิบหนูแสนจะยังทำไม่สวยนักก็ตามเถอะแต่หนูแสนค่อยซ้อมมือวันหลัง ส่วนจ่ามงกุฏกับขนมถ้วยฟูหนูแสนทำเป็นแล้ว วันนี้หนูแสนอยากทำเสน่ห์จันทน์กับทองเอกมากกว่า คุณพะยอมส่งยิ้มอ่อนอกอ่อนใจให้ลูก
“ลูกคนนี้นี่ ใฝ่รู้นัก หากแม่ไม่สอนเจ้าวันนี้คงรบเร้าไม่เลิกสินะ อย่างนั้นก็มานี่มา แม่จะทำอยู่พอดี”หนูแสนรีบขยับมานั่งใกล้ผู้เป็นแม่ทันที คุณพะยอมเลื่อนถาดใส่ไข่มาไว้หน้าลูกมีไข่แดงในอ่างถูกแยกไว้ปริมาณเยอะพอสมควรแล้ว หนูแสนแยกไข่เป็นแล้วแต่ก็ยอมนั่งแยกไข่ตั้งแต่ต้น
“เสน่ห์จันทน์ใช้แป้งสองชนิดนะลูก แสนรู้มั้ยว่าใช้แป้งอะไรบ้าง?”
“แป้งข้าวเจ้ากับแป้งข้าวเหนียวจ้า”
“เก่งมากลูก ถ้าลูกใช้แป้งข้าวเจ้าไปเท่าไหร่ลูกก็ผสมแป้งข้าวเหนียวครึ่งหนึ่งของแป้งข้าวเจ้านะลูก”คุณพะยอมให้หนูแสนผสมแป้งด้วยตัวเอง
“อันนี้แม่ให้แสนทำไว้ทานเองแสนอยากทำเท่าไหร่ก็ผสมเท่านั้น เดี๋ยวขนมอย่างอื่นแม่จะแบ่งใส่ถาดไว้ให้”
“ถ้าอย่างนั้นหนูแสนแบ่งไปให้คุณเล็กทานด้วยได้มั้ยจ๊ะ”เจ้าตัวน้อยถามด้วยน้ำเสียงใสแจ๋ว ดวงตามีประกายระยิบราวกับดาวกำลังกระพริบแสง
“ได้สิลูก มาเถอะทำต่อแม่จะสอน ลูกต้องผสมหัวกะทิกับน้ำตาลทรายเข้าด้วยกัน ถ้าลูกใช้หัวกะทิสามถ้วยน้ำตาลทรายก็ใช้แค่ 2 ถ้วยแต่ถ้าอยากได้หวานน้อยกว่านี้ก็ลดน้ำตาลลงนิดหน่อย คนให้น้ำตาลละลายเข้ากันแล้วก็กรองอย่างนี้”คุณพะยอมผสมหัวกะทิกับน้ำตาลตั้งไฟแล้วคนจนน้ำตาลละลายจึงนำผ้าขาวบางมากรอง
“พอกรองเสร็จก็เอามาผสมกับแป้งกับผงจันทน์ป่น เห็นมั้ยลูก สีเหลืองๆนี้พอใส่ลงไปจะมีกลิ่นหอมเหมือนลูกจันทน์แล้วตั้งไฟกวน แสนต้องใช้ไฟอ่อนนะลูก กวนจนกว่าจะจับเป็นก้อน”คุณพะยอมส่งพายไม้อันเล็กให้ลูกหลังจากเอาแป้งผสมใส่กระทะทองเหลืองขึ้นตั้งไฟให้ลูกแล้ว หนูแสนนั่งกวนแป้งของตัวเองในขณะที่คุณพะยอมเองก็ไม่ได้ว่างนั่งปั้นลูกจันทน์พลางมองลูกไปพลางจนแป้งที่หนูแสนกวนแป้งเข้ากันส่งกลิ่นหอมฟุ้ง
“เอาไข่ใส่ลงไปทีละฟองแล้วกวนให้เข้ากันลูกกวนเร็วๆ”หล่อนร้องบอกกับลูกหนูแสนเทไข่ในชามลงไปรีบคนจนแป้งกับไข่เข้ากันจนแป้งเป็นสีเหลืองนวลจับตัวเป็นก้อนยายแช่มมาช่วยยกลง หนูแสนรอให้แป้งเย็นพอปั้นได้ระหว่างนั้นก็ช่วยแม่ปั้นแป้งส่วนของคุณพะยอม
“ปั้นให้เป็นลูกกลมๆนะลูก อย่าให้ใหญ่เกินอย่าให้เล็กเกิน”หนูแสนทำตามที่แม่บอกอย่างตั้งใจ เมื่อแรกยังกะขนาดไม่ได้ผลจันทน์ที่ได้จึงลูกใหญ่นักต้องปั้นใหม่อยู่ 2-3 ครั้ง พอแป้งของหนูแสนเย็นหนูแสนจึงหันไปปั้นของตัวเองได้มาเกือบสามสิบลูก พอปั้นเสร็จคุณพะยอมก็ให้หนูแสนเอาน้ำตาลปี๊บที่เคี่ยวจนเหนียวทำเป็นขั้ววงกลมแปะติดตรงกลางลูกจันทน์ที่ปั้นเตรียมไว้แล้วกดลงไปจนผลกลมๆกลายเป็นลูกจันทน์ผลแป้นแสนน่ารักสีน้ำตาลเข้มเงาวับตัดกับสีเหลืองสวยจากผลจันทน์สร้างรอยยิ้มให้หนูแสนไม่น้อย คุณพะยอมช่วยลูกเอาขนมเรียงใส่โหลจุดเทียบอบแล้วปัดจนเทียบดับเกิดควันแล้วปิดฝาทันที
“ถ้าใช้ไข่ไก่สีจะอ่อนแต่ถ้าใช้ไข่เป็ดสีจะสวยกว่าแต่กลิ่นก็จะคาวกว่า”คุณพะยอมบอกเคล็ดลับเล็กๆน้อยๆให้ลูก หนูแสนช่วยบ่าวหยิบจับทำนู่นนิดนี่หน่อยก็ได้เวลาทานข้าวเช้า คุณพะยอมแยกไปตระเตรียมสำรับขึ้นตึกใหญ่เพื่อให้คุณก๋งกับอาม่าที่ชราภาพมากแล้วก่อนจากนั้นบรรดาบ่าวจึงทยอยกันนำอาหารเช้าขึ้นโต๊ะ เกือบแปดโมงเจ้าสัวเช็งกับคุณเสนจึงลงมา
“ว่าอย่างไรเจ้าตัวดีเข้าไปป่วยแม่เขาที่ครัวอีกแล้วรึ”เจ้าสัวเช็งในวัยหกสิบปีเอ่ยถามลูกชายตัวน้อยที่วิ่งเข้ามากอดอุ้มลูกที่เริ่มตัวโตขึ้นทุกวันมานั่งอก หนูแสนยกมือคล้องแขนพ่อไว้พลางเอียงหน้าซบลงบนไหล่ของผู้เป็นบิดา
“หนูแสนเปล่าซนนะคะ หนูแสนทำขนมมาให้คุณเตี่ยกับคุณพี่เสนทานก่อนไปทำงานด้วย”เจ้าตัวดีรับจานขนมที่ถูกจัดอย่างละนิดอย่างละหน่อยมาไว้ตรงหน้าพ่อ
“น่ากินจังลูก แต่หนูแสนเมื่อไหร่จะเลิกพูดคะขาซักทีล่ะลูก เจ้าเป็นผู้ชายมาพูดคะพูดขาเตี่ยว่ามันเข้าท่า”
“แต่คุณเล็กเรือนนู้นก็พูดนี่คะ”หนูแสนเอ่ยแย้ง เจ้าสัวเช็งส่ายหน้า
“เป็นผู้ชายก็ต้องพูดครับสิคุณเล็กเธอจะพูดอะไรก็เป็นเรื่องของคุณเล็ก หนูแสนสิบขวบแล้วอีกไม่กี่ปีก็เป็นหนุ่ม”
“หนูแสนไม่อยากเป็นหนุ่มนี่คะ...เอ่อครับ”เด็กน้อยรีบเปลี่ยนคำท้ายเมื่อเห็นแววตาดุๆของผู้เป็นบิดา
“ไม่มีใครไม่โตหรอกลูกเอ๋ย ถ้าไม่โตหนูแสนจะต้องไปโรงเรียนทำไมจริงมั้ยลูก พอหนูแสนโตก็จะได้ไปช่วยเตี่ยกับพี่เสนทำงานที่ห้างไม่ดีหรอกหรือ”
“โธ่ คุณพี่คะลูกยังเล็กอย่าเอาเรื่องหนักสมองมาใส่ลูกเลยค่ะ มาเถอะเช้านี้ฉันทำข้าวต้มเครื่อง เห็นบ่นอยากกินมาหลายวัน”คุณพะยอมดึงลูกให้กลับไปนั่งที่ เพราะเจ้าสัวเช็งเป็นคนหัวสมัยใหม่ในบ้านจึงมีห้องอาหารที่นั่งโต๊ะแบบฝรั่ง
“แล้วนี่แม่สนจะกลับมากี่โมงกี่ยาม”
“น่าจะบ่ายๆค่ะ”
“ลูกคนนี้ก็แปลกคนชอบอยู่กับตากับยายมากกว่าอยู่กับพ่อกับแม่”
“คุณพ่อท่านรักของท่านก็เว้นไว้ซักคนเถอะค่ะ รีบทานข้าวเถอะกำลังร้อนๆ”คุณพะยอมตัดบทเมื่อเห็นว่าเจ้าสัวเช็งทำท่าจะบ่นลูกสาวคนเดียวให้ยืดยาวอีก
หลังจากส่งเจ้าสัวเช็งกับคุณเสนเรียบร้อยแล้วคุณพะยอมก็จัดแจงนำขนมมงคลทั้ง 9 อย่างที่จัดใส่พานสวยงาม 9 พาน ลงเรือเพื่อเดินทางไปบ้านเจ้าคุณยุทธนา
“ไม่ไปกับแม่จริงๆเหรอหนูแสน”
แม่ไปเถอะจ้า งานมีแต่ผู้ใหญ่หนูแสนไม่รู้จะเล่นกับใคร ฟังก็ไม่รู้เรื่องหนูแสนง๊วงง่วงจ้า”เจ้าตัวน้อยทำปากยู่อย่างน่ารักจนคุณพะยอมอดหัวเราะออกมาไม่ได้
"ดูลูกคนนี้เถอะทะเล้นนัก ไม่ไปก็ไม่ไป หนูแสนอยูเรือนอย่าไปเล่นซุกซนที่ไหนนักล่ะ จะไปไหนให้เรียกนายมีให้ไปด้วยทุกครั้งนะรู้มั้ย ส่วนกับข้าวเย็นแม่จะให้ยายแช่มเตรียมไว้ให้”
“เข้าใจแล้วจ้าแม่”หนูแสนรับคำของแม่ส่งแม่ลงเรือพอลับตาเจ้าตัวน้อยก็วิ่งปรู้ดเข้าครัวร้องเรียกนายมีไปด้วย
“นายมี นายมีจ๋าอยู่ไหนจ๊ะหนูแสนจะไปเรือนคุณเล็กยกถาดขนมให้หนูแสนทีจ้า”
“เมื่อวานคุณเล็กคิดว่าหนูแสนจะมาทานข้าวเย็นด้วย ทำไมส่งมาแค่อาหารล่ะคะ”ทันทีที่เห็นเจ้าตัวขาวเดินเข้ามาในศาลาริมน้ำคุณเล็กก็เอ่ยถามเสียงตึงจนเจ้าตัวน้อยต้องรีบส่งยิ้มหวานประจบ
“คุณเล็กโกรธหนูแสนเหรอ ขอโทษได้มั้ยคะพอดีคุณเตี่ยกลับเร็วมะรืนจะไปจีนอีกแล้วหนูแสนเลยต้องอยู่ทานข้าวพร้อมคุณเตี่ยค่ะ นี่คุณเล็กอ่านหนังสืออยู่เหรอคะ หยุดอ่านก่อนเถอะค่ะหนูแสนเอาขนมมาให้ลองชิม”หนูแสนดึงหนังสือเล่มหนาในมือของคุณเล็กออก ยู่ปากเมื่อตัวอักษรที่เห็นเป็นภาษาที่ตนเองอ่านไม่ออก
“อ่านหนังสือฝรั่ง ไม่ยากเหรอคะ”คุณเล็กยอมวางหนังสือลงในขณะที่นายมีเอาถาดขนมใบเล็กมาวางลงบนโต๊ะเตี้ยตรงหน้า ขนมในถาดเก้าชนิดดูน่าทาน
“คุณน้าพะยอมจัดขนมไปช่วยงานอีกแล้ว คราวนี้หนูแสนทำอะไรคะ”คุณเล็กถามอย่างรู้ทันเพราะทุกครั้งที่บ้านหนูแสนทำขนมไปช่วยงานหนูแสนก็จะนำมาฝากตลอดแต่เจ้าตัวจะบอกว่าวันนี้ทำขนมชนิดไหน
“วันนี้หนูแสนทำเสน่ห์จันทน์ค่ะ”เจ้าตัวน้อยเลื่อนเสน่ห์จันทน์ลูกสวยให้คุณเล็ก
" น้ำข้าวตูค่ะคุณแม่ทำไว้เมื่อเช้าหอมชื่นใจดี”คุณเล็กรับแก้วน้ำที่นายพันนำมาให้ยื่นให้หนูแสน ในแก้วมีน้ำแข็งก้อนลอยอยู่ หนูแสนยิ้มอย่างชอบใจ
“เรือจากสิงคโปร์มาแล้วเหรอคะ ดีจริง”เพราะสมัยนั้นการจะมีน้ำแข็งกินต้องสั่งจากสิงคโปร์กว่าจะมาถึงสยามจากก้อนใหญ่ๆก็เหลือเพียงก้อนเท่าชามข้าว จะมีก็เฉพาะบ้านผู้มีอันจะกินเท่านั้นถึงจะมีโอกาสได้กินน้ำใส่น้ำแข็งชื่นใจซึ่งหนูแสนชอบนัก
“มาแล้วค่ะ คราวนี้ได้ขนมฝรั่งมาหลายอย่าง เดี๋ยวหนูแสนขึ้นไปเล่นบนเรือนสิคะคุณเล็กจะเอาให้ แล้วก็ถ้าทานข้าวคนเดียวแล้วเหงามาทานข้าวกับคุณเล็กมั้ยคะ เจ้าคุณพ่อกับคุณแม่ก็ไปงานบ้านเจ้าคุณยุทธนาเช่นกัน”
“แต่ยายแช่ม...”หนูแสนทำหน้าครุ่นคิดเพราะวันนี้ยายแช่มจะเป็นคนทำกับข้าวให้กินถ้าไม่อยู่กินแกก็จะงอนเอาได้ แม้จะเป็นบ่าวแต่หนูแสนก็รักและเคารพเสมอเหมือนญาติสนิทคนหนึ่ง
“ถ้าอย่างนั้นคุณเล็กรบกวนขอฝากท้องที่เรือนหนูแสนซักมื้อได้หรือไม่คะ”หนูแสนยิ้มรับทันที คุณเล็กเห็นรอยยิ้มนั้นก็พอใจตักขนมเสน่ห์จันทน์เข้าปาก รสหวานละมุนลิ้นกับความหอมของเทียนอบและผงจันทน์ป่นเข้ากันได้ดีกับความมันของกะทิทั้งหมดผสมผสานกันในคำเดียวความหวานที่ไม่หวานจัดอย่างขนมไทยทั่วไปทำให้คุณเล็กตักอีกลูกเข้าปาก
“อร่อยมั้ยคะ? หนูแสนปรับใส่น้ำตาลให้น้อยลงเพราะคุณเล็กไม่ชอบหวานมาก”
“อร่อยค่ะ หวานกำลังดีให้คุณเล็กทานหมดนี่ยังได้”
“กินหมดนี่ก็จุกจนกินข้าวไม่ลงน่ะสิคะ..เอ้อ..ครับ”อยู่ๆหนูแสนก็เปลี่ยนคำลงท้ายสีหน้าอึดอัดเกิดขึ้นอย่างปิดไม่มิด คุณเล็กขมวดคิ้วทันที
“ทำไมพูดครับล่ะหนูแสน มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“คุณเตี่ยบอกว่าหนูแสนเป็นเด็กผู้ชายไม่ควรพูดคะขา”
“ก็เลยจะไม่พูดกับคุณเล็กด้วย?”หนูแสนพยักหน้ารับ คุณเล็กส่งเสียงหัวเราะบางๆก่อนจะใช้ฝ่ามือโคลงหัวเจ้าตัวเล็กเล่นอย่างเบามือ
“หนูแสนก็ไม่ต้องไปพูดคะขากับใครสิคะ มาพูดกับคุณเล็กคนเดียวก็พอ”
.....................................................
ใส่ปุ๋ยเร่งโตจะได้โตไวๆ
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ทุกกำลังใจเลยนะคะ ทุกครั้งที่เราเริ่มเรื่องใหม่มีความกลัวซ่อนอยู่ว่าจะไม่มีคนอ่านไม่มีคนชอบ แต่เห็นแม่ๆมาเอ็นดูหนูแสนเราก็ใจชื้นค่ะ