บทนำ
สวัสดีครับชาวไทย ผม จูเนียร์ จารุวัฒน์ พิทักษ์กุล รายงานสดจากประเทศเกาหลีใต้ ตอนนี้อุณหภูมิภาคพื้นดินอยู่ที่ประมาณ 1-4 องศา หนาวจนไข่สั่น พูดอีกก็สั่นอีก...
ผมคือนักศึกษาแลกเปลี่ยนคณะรัฐศาสตร์เอกความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มาเรียนที่เกาหลีใต้จบมาจะเป็นทูตประเทศไหนก็น่าจะรู้ ๆ กันอยู่ ผมเพิ่งมาเรียนที่เกาหลีได้ไม่ถึงเดือน ยังปรับตัวไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แต่ผมชอบที่นี่นะครับ ผู้หญิงเขาสวยดี ขาว ๆ ทั้งนั้นเลย
“เห้ย จะถึงยังวะ” ผมเอ่ยถามเพื่อนคนไทยที่มาเรียนด้วยกัน มันเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์และก็มองดูสถานีที่รถไฟฟ้าใต้ดินจะไปถึง
“สถานีต่อไปนี่แหละ” ไอ้กล้วยตอบผม “มึงนี่ก็รีบจัง เราจะไปเที่ยวนะเว้ย ไม่ได้จะไปสอบ”
“มึงอ่านจบแล้ว แต่กูยังอ่านไม่จบนี่” ผมเอ็ดเพื่อน
วันนี้เนื่องจากว่าง(ว่างตรงไหน ได้ข่าวว่าอาทิตย์หน้ามีควิซอีกแล้ว ประเทศเกาหลีนี่เขาจะเรียนจริงจังกันไปถึงไหนครับ) ผมกับไอ้กล้วยเลยมีความคิดว่าจะไปทัวร์วังของเกาหลีบ้างอะไรบ้าง มาเรียนได้ตั้งเกือบเดือนแต่สิ่งที่ได้ไปเที่ยวก็มีแต่ห้าง ไม่ก็ถนนแสดงดนตรี ถ้าไม่ไปวังเดี๋ยวแม่ก็จะหาว่าผมไปไม่ถึงเกาหลีอีก เพราะงั้นเลยตกลงปลงใจว่าวันนี้นี่แหละที่ผมกับกล้วยควรไปเที่ยววัง อย่างน้อยก็สักสามสี่วังแหละ
วังแรกที่ผมกับเพื่อนหมายมั่นปั้นมือว่าจะไปให้ได้ก็คือพระราชวังคยองบกกุง ตั้งอยู่สุดทางเดินตรงโน้น ทันที่ที่ผมโผล่หัวขึ้นมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน ลมหนาว ๆ ก็พัดตีเข้าใบหน้าของผมซะจนไข่สั่นอีกครั้ง พระเจ้า หนาวชิบหาย...นี่คนที่นี่เขาอยู่กันไปได้ยังไงวะ
ผมกับเพื่อนเดินไปเรื่อย ๆ ส่งยิ้มให้คุณป้าอาจุมม่าด้านข้างและโดนเขามองว่าเป็นตัวประหลาด วิธีสร้างสัมพันธไมตรีจากทูต(ฝึกหัด)ของไทยไม่เป็นผล น่าอายชิบหาย แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังยิ้มให้ป้าอยู่ดี
“โห ทัวร์ไทยลงเยอะนะเนี่ย” กล้วยตั้งข้อสังเกต
ผมกับกล้วยเดินเข้าไปในประตูและก็เดินไปตรงที่ซื้อตั๋วเพื่อเข้าไปในวัง ในที่สุดผมก็จะได้มีรูปถ่ายให้แม่ดูสักที แม่ที่ทวงนักทวงหนาเรื่องรูปไปเที่ยววัง ทวงตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งวันนี้ เมื่อตะกี้นี้เลย
พระราชวังคยองบกกุงเป็นพระราชวังใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อสมัยโชซอน เป็นวังหลวงที่พระมหากษัตริย์ใช้สำหรับทรงงานและบริหารบ้านเมือง รวมถึงเป็นที่อยู่ของเชื้อพระวงศ์หลายองค์ด้วย ผมที่ศึกษาประวัติศาสตร์เกาหลีมานิดหน่อยก็รู้เท่านี้แหละครับ แต่ที่นี่เขาสวยจริง ๆ และก็ยิ่งใหญ่มากจนทัวร์ไทยข้าง ๆ ส่งเสียงว้าวและก็เซลฟี่กันใหญ่
ผมกับกล้วยสลับกันถ่ายรูปให้กัน และหลังจากนั้นต่างคนต่างก็แยกกันเดินไปตามอารมณ์ติสต์ กล้วยแยกไปอีกฝั่ง ส่วนผมแยกไปอีกฝั่ง เพราะผมเห็นสระน้ำเล็ก ๆ พร้อมกับศาลาหลังขนาดกลาง ผมคิดว่า นี่อาจจะเป็นสถานที่พักผ่อนของพระราชาและบรรดาเชื้อพระวงศ์ อะไรก็ไม่รู้ดลใจให้ผมก้าวมาที่นี่ พร้อม ๆ กับมองมัน และที่อยู่ข้างหลังนั่นคือภูเขาลูกใหญ่แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันชื่ออะไร
ผมนั่งที่ม้านั่ง มองทัศนียภาพที่อยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกสงบ ถึงแม้อากาศจะหนาวมากแต่เชื่อไหมครับว่ามันให้ความรู้สึกสบายสุดยอด อาจเป็นเพราะภาพชวนสงบตรงหน้านี้ก็เป็นได้
ผมชมนกชมไม้ไปเรื่อย ๆ ถ่ายรูปเสียให้หนำใจทั้งเซลฟี่เอยหรือถ่ายวิวเอย จนกระทั่งผมเหนื่อยกับการถ่ายรูปนั่นแหละ ผมถึงได้มองภาพตรงหน้าเฉย ๆ
อะไรวะนั่นน่ะ...
หรือผมตาฝาด สาบานได้ว่าเมื่อกี้ไม่มีหนังสือเล่มไหนอยู่ในฉากในตาของผมเลยนะครับ และไอ้หนังสือบ้านั่นลอยน้ำมาได้ยังไงแถมยังมาหยุดอยู่ตรงหน้าของผมราวกับเชื้อเชิญให้ผมไปหยิบมันขึ้นมา
ผมมองซ้ายมองขวา จำได้ว่าที่นี่พนักงานรักษาความปลอดภัยเขาทำงานจริงจังกันมาก ถ้าผมไปหยิบขึ้นมาล่ะก็ผมจะโดนข้อหาขโมยมรดกทางประวัติศาสตร์ประเทศเขาไหมล่ะนั่นน่ะ
เอาไงดีวะ เจ้าหนังสือก็ลอยแล้วลอยอีก แตะขอบสระแล้วแตะขอบสระอีกอยู่นั่น ถ้ามันพูดได้มันคงจะบอกผมว่า...กูรู้มึงอยากเสือก หยิบกูสิ หยิบกูสิ...
ฮ่วย มึงอย่ามาท้ากูนะ กูหยิบจริง ๆ นะ
ผมมองอย่างลังเล ค่อย ๆ กระดึ๊บๆไปนั่งขอบสระ ทำเป็นเชือกรองเท้าหลุดพอดีเพื่อที่จะได้นั่งยอง ๆ ข้างๆขอบสระ จังหวะที่ไม่มีใครเห็น ผมหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา เปียกแฉะเชียวครับ
ผมหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าและก็เช็ดมันให้แห้ง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ไอ้กล้วยเดินมาพร้อม ๆ กับบอกผมว่า จะกลับกันได้หรือยัง
ตอนออกจากคยองบกกุง ผมยังไม่ได้จับหนังสือเล่มนั้นเลย
แม้กระทั่งตอนไปเที่ยววังอื่น ๆ ทั้งวันเสร็จ ผมก็ยังไม่ได้จับหนังสือนั้น...
หอพักใกล้มหาวิทยาลัย
ผมออกไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดมาหลังจากนั้นผมก็กลับเข้ามาในห้อง ไอ้กล้วยรูมเมทยังไม่กลับมาท่าทางจะไปติวต่อกับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง ผมมองเห็นหนังสือเล่มนั้นอยู่บนโต๊ะ มันถูกวางอยู่บนผ้าขนหนู ท่าทางจะเริ่มแห้งสนิทแล้ว
ผมมองมันด้วยสายตาพินิจพิจารณา หน้าปกไม่ได้เขียนอะไรไว้เลย เป็นหนังสือโบราณปกแข็งสีน้ำตาลที่ดูเก่าแก่น่าจะมากกว่าสองสามร้อยปี(มั้งนะ ผมเดา) กระดาษก็เปื่อยจนใกล้จะขาด นี่ถ้าผมเปิดนี่มันจะขาดคามือผมไหม
เอาไงดีวะ หนังสือมันดูโบราณเกินจนผมไม่กล้าจับ และเรื่องสิ่งลี้ลับก็เริ่มเข้ามาในหัวผม แต่งเรื่องไปต่าง ๆ นานาทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้จับ หนังสือต้องคำสาป จับแล้วจะโชคร้ายอะไรเทือก ๆ นั้นน่ะครับ
ไม่น่าจะเป็นอย่างงั้นนะ เพราะถ้ามันจะพาโชคร้ายจริงมันน่าจะให้ผมโชคร้ายตั้งแต่ที่ผมอยู่คยองบกกุงแล้วสิ แต่นี่ผมยังไม่เป็นอะไรแถมไข่ยังมีให้สั่น(ทำไมผมพูดถึงแต่ไข่ล่ะ) เพราะฉะนั้นไม่น่าจะเป็นหนังสือพาอับโชคแน่ ๆ
เอาวะ เสือกแล้วต้องเสือกให้สุด ไหนดูซิว่ามันเป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไร
เป็นภาษาเกาหลีที่คำอ่านดูโบราณเอามาก ๆ ผมพยายามอ่านให้ได้ความหมายที่สื่อออกมาง่ายและตัวเองรู้เรื่องมากที่สุด
สมบัติของลียองวอน สถาบันการศึกษาซองกยุนกวาน
ซองกยุนกวาน ? หืม มหาวิทยาลัยแห่งแรกในประวัติศาสตร์ของเกาหลีไม่ใช่เหรอนั่น
เว้ย เอาแล้ว ผมเจอของดีเข้าให้แล้ว ถ้านี่เป็นสมบัติของบัณฑิตแห่งซองกยุนกวานอันทรงคุณค่าล่ะก็ ผมคิดว่าผมเสือกมาถูกทางแล้วล่ะ ดูซิว่าจะมีเคล็ดลับเรียนยังไงให้ได้เกรดเอจากศาสตราจารย์ที่เกาหลีรึเปล่า
ข้าคิดว่าข้าเป็นบ้า...ทำไมข้าต้องเป็นบ้าขนาดนี้ด้วย...บ้าจนต้องมานั่งเขียนบันทึกราวกับเป็นเด็กสาววัยแรกแย้มเพื่อพร่ำเพ้อถึงชายที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อข้าด้วยซ้ำ
ไอ้ชิบหายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
อ่านแล้วแทบจะหงายเงิบตกเก้าอี้ บัณฑิตซองกยุนกวานมีแต่ผู้ชายไม่ใช่เหรอ แล้วไอ้นี่มัน มัน มันเพ้อถึงผู้ชายด้วยกัน!
นั่นแหละครับท่านผู้ชม ชายรักชายจะมีแค่ในยุคปัจจุบันเท่านั้นน่ะหรือ จดหมายประวัติศาสตร์ของเจ้าลียองวอนน่าจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญว่าเกย์ก็มีอยู่ในยุคโบราณนะเออ!
เอาไงดีวะกู ผมไม่ใช่พวกอ่านแล้วฟิน มานั่งจับจิ้นเสียด้วย...ผมไม่ใช่ยัยเจอาร์น้องสาวผม รายนั้นแค่เห็นผู้ชายเดินข้างกันจะขึ้นบีทีเอสมันก็แทบกรี๊ดลงไปนอนดิ้นกับพื้นแล้ว ผมเป็นผู้ชายเพราะงั้นผมก็เลยรู้สึกขนลุกแปลก ๆ นิดหน่อย
แต่หลังจากที่ได้อ่านประโยคนั้น ทำไมรู้สึกเห็นใจเจ้าลียองวอนยังไงชอบกล สมัยนั้นถ้าชายชอบชายด้วยกันคงอัดอั้นน่าดู ไม่รู้จะถูกตัดคอเสียบประจานข้อหาผิดเพศหรือเปล่า จะว่าไปเขาก็น่าสงสารอยู่นะครับ
ไม่รู้ด้วยความสงสารหรือความอยากเผือก ผมเลยเลือกที่จะอ่านต่อแม้ว่าทำได้โดยยากเพราะกระดาษบางแผ่นก็ถูกน้ำเซาะทำลายจนหมด บางอันก็ขาดวิ่นซะจนไม่เป็นเรื่องเป็นราว แต่พอจะจับใจความได้ว่ายองวอนตกหลุมรักเจ้าหนุ่มคนนี้มากมายทีเดียวครับ และท่าทางจะแสดงออกไม่เก่งเสียด้วย ผ่านไปตั้งหลายแผ่นที่ผมอ่านก็ยังไม่เห็นจะเคยคุยกับเจ้าหมอนี่เลยแม้แต่คำเดียว
สงสารว่ะ...รักขนาดนี้แต่ทำอะไรไม่ได้เลยเนี่ยนะ
ผมถอนหายใจดังเฮือก เป็นจังหวะเดียวกันกับที่กล้วยเปิดประตูเข้ามาในห้องพอดี ผมจึงหันไปมองหน้าเพื่อนแล้วถามว่าติวเป็นไงบ้าง
หลังจากนั้นกล้วยก็อาบน้ำ ผมก็ยังคงอ่านบันทึกของยองวอนอยู่ อ่านไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งสงสารขึ้นเรื่อย ๆ จนบางทีแทบอยากจะมุดเข้าไปเคาะหัวมันแล้วถามมันว่ามึงชอบเขาทำไมมึงไม่ไปบอกเขาล่ะไอ้เห่ย! มันเหมือนเป็นนิยายเรื่องหนึ่งที่ผมลุ้นไปกับตัวเอก และก็ต้องตบเข่าฉาดเมื่อถึงคราวที่ตัวเอกทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ
เพิ่งจะรู้ว่าบันทึกเล่มนี้มีตำหนิตรงสันที่มันแอบเบี้ยวนิดหน่อยแถมยังลอกอีกแน่ะ...
“ปิดไฟแล้วนะ” กล้วยพูด ผมยังไม่ทันได้ตอบ มันก็ปิดไฟทันที ผมทันได้อ่านแค่ประโยคสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้ในหน้าสุดท้ายพอดี๊พอดีก่อนที่ผมจะวางมันลงและก็หลับตานอน
หากเกิดชาติหน้าฉันท์ใด...ข้าขอรักท่านเหมือนดั่งในชาตินี้
ข้าอยากแก้ไขในสิ่งที่ข้ายังไม่ได้ทำ อยากแก้ไขในสิ่งที่ข้าอยากทำ
ความรักของข้า...จะอยู่กับท่านตลอดชั่วกาลนิรันดร
อืม ทำไมผมไม่รู้สึกถึงฮีทเตอร์เลยล่ะ ไอ้กล้วยมันลืมเปิดเหรอ
ผมขยับตัวเล็กน้อย รู้สึกว่าความนุ่มของเตียงลดลงมาประมาณสิบกว่าเลเวล แข็งชิบหาย ไม่ได้การละ นอนไม่สบายแบบนี้ผมตื่นไปหาอะไรทานดีกว่า วันนี้ผมกะจะไปอ่านหนังสือที่หอสมุดและก็เข้าติวกับเพื่อนต่อ และก็...
ภาพที่ผมเห็นเมื่อผมลืมตาทำเอาผมลมแทบจับ
กูโดนลักพาตัว กูโดนลักพาตัวแน่ๆ!!!!!!!!!!
“เชี่ยกล้วย!!!!” ผมลุกขึ้นมาทันทีอย่างตื่นตระหนก หายง่วงไปในบัดดล มองซ้ายมองขวายังไงก็ไม่ใช่ห้องผมแน่ ๆ มันเหมือนผมกำลังอยู่ในบ้านโบราณของเกาหลียังไงยังงั้น ตู้เตี้ย ๆ นั่นบอกผมว่ามันต้องใช่ ผ้าที่วางเรียงกันเป็นตับ และก็...ที่นอนที่เหมือนฟูกมากกว่าจะเหมือนเตียงที่ผมเคยนอน ให้ตายเหอะ ผมเคยเห็นแบบนี้ในซีรี่ส์ย้อนยุคของเกาหลีนะ!
“กล้วย มึงอยู่ไหนวะ!”
“คุณชายตื่นแล้ว!” จู่ ๆ ผู้ชายแก่ ๆ ในชุดเกาหลีโบราณก็เปิดประตูเข้ามา ผมตกใจแทบผงะ “รีบเตรียมตัวได้แล้วนะขอรับ เดี๋ยวจะไปเข้าสอบไม่ทัน!”
“ที่นี่ที่ไหนวะ! มึงเป็นใคร!” ด้วยความตกใจแบบสุดขีดผมจึงโพล่งภาษาพ่อขุนออกไปอีกทั้งยังเป็นไทยล้วน
“อะไรนะครับ?” ชายแก่ทำหน้างง อยากจะบอกว่าผมน่ะงงกว่าเยอะ
ผมพยายามรวบรวมสติ ก่อนจะค่อย ๆ พูดภาษาเกาหลีออกมา “ที่นี่ที่ไหนครับ”
ชายคนนั้นมองผมเหมือนผมไม่สบาย ก่อนที่จะค่อย ๆ ตอบ “บ้านของคุณชายไงขอรับ และวันนี้ก็เป็นวันสอบต่อหน้าพระพักตร์พระราชาของบัณฑิตซองกยุนกวานด้วย รีบ ๆ เข้าเถอะขอรับ เดี๋ยวจะไปไม่ทัน”
“ผมไม่ใช่คุณชายนะ”
“หา อะไรนะ” เขาหูตึงหรือยังไงวะ
“คือ...ข้า ข้าไม่ใช่คุณชาย” ผมพยายามสื่อให้เขารู้เรื่อง
“ไอ้หยา ไม่ทันแล้วขอรับ คุณชาย ได้โปรดลุกขึ้นและรีบแต่งตัวด้วยเถอะ ก่อนที่ข้าจะถูกลงโทษ”
ชายแก่ไม่รู้เอาพลังช้างสารมาจากไหน ฉุดผมให้ลุกเฉย ผมเพิ่งเห็นว่าตัวผมเองใส่ชุดนอนสีขาวล้วนแถมยังดูเกาลี๊เกาหลีโบราณแบบสุด ๆ พระเจ้าช่วย นี่มันอะไรกันวะ ไอ้เชี่ยกล้วย ต้องเป็นไอ้เชี่ยกล้วยแน่ ๆ มันต้องวางแผนแกล้งผม และทันทีที่เปิดประตูออกต้องมีคำว่าเซอร์ไพรส์จากปากของมันแน่
แต่แกล้งแรงไปไหมวะ แม้จะเป็นหน้าตา รูปร่างของผมก็เถอะ ผมเผ้าอันยาวเฟื้อยอย่างกับผู้หญิงที่มันอะไร ให้ตายเถอะ! รับไม่ได้โว้ย กูรับไม่ได้อย่างแรง
“ไม่ใช่ผมกู!” อยากจะร้องไห้ ดูสารรูปสิ ดูไม่ได้เลย
“คุณชาย ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวข้าจะหวีให้ท่านเอง”
ผมพยายามดึง ๆ ผมที่ยาวเฟื้อยนี่ออกเพราะคิดว่าไอ้กล้วยแม่งต้องแอบมาใส่วิกให้ผม แต่ดึงยังไงก็ดึงไม่ออก มันติดหนังหัวผมจนผมคิดว่าดึงเองก็มีแต่จะเจ็บเองนั่นแหละ
กูอยากร้องไห้ นี่กูอยู่ที่ไหนบนโลกกันแน่เนี่ย
ชายแก่แต่งตัวให้ผมจนเสร็จ ผมมองตัวเองในกระจก นี่มันหนุ่มน้อยแห่งเกาหลียุคโชซอนชัด ๆ ผมเคยเห็นในซีรี่ส์ตั้งหลายเรื่องและผมก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากคนเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย ผมคิดว่ามันเริ่มจริง เริ่มจริงขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ตั้งแต่ผมยาวติดหนังหัวอันนั้นแล้ว
“ไปเถอะขอรับคุณชาย เกี้ยวรอคุณชายอยู่ทางด้านนอก”
ผมเดินออกมาจากห้อง มีคนใช้รอโค้งให้เพียบ แต่ละคนหน้าตาเกาหลีโบราณแถมยังใส่ชุดเกาหลีโบราณอีกต่างหาก ไอ้กล้วย มึงเลิกเล่นได้แล้ว กูขอร้อง TT กูเริ่มไม่ไหวแล้วนะ
“โชคดีนะเจ้าคะคุณชาย”
“คุณชายสอบผ่านแน่ ๆ ขอรับ”
“พวกเราจะรอฉลองให้คุณชายนะขอรับ”
มันจริง มันจริงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่นะเว้ย ไม่นะเว้ยยยยยยยยยย
“ข้ามีอะไรจะทดสอบเจ้านิดหน่อย เจ้าช่วยตอบคำถามข้าได้หรือไม่” ผมพยายามพูดภาษาเกาหลีให้มันดูโบราณที่สุดเท่าที่จะทำได้ เดี๋ยวชายแก่คนนี้จะฟังไม่รู้เรื่องอีก
“ได้ขอรับ” ชายแก่เงี่ยหูฟัง
“ข้าชื่ออะไรเหรอ” ถ้าจะถามว่าข้าเป็นใครก็คงจะดูกลายเป็นคนปัญญาอ่อนไปซะฉิบ
ชายแก่ดูงง ๆ ก่อนที่จะตอบคำถามผมแต่โดยดี
“คุณชายก็คือคุณชายลียองวอน บุตรชายของท่านหัวหน้าเสนาบดีฝั่งซ้าย ที่ปรึกษาพระราชาซูจงไงขอรับ”
หละ ลี ลียองวอน ?
ลียองวอน สถาบันซองกยุนกวาน
ไอ้เจ้าของบันทึกเพ้อถึงผู้ชายนั่นน่ะนะ!!!!
ทำไมผมกลายมาเป็นเขาล่ะเห้ย! เวร เวรแล้ว เวร!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ท่าทางหนังสือนั่นจะต้องคำสาป ผิดจากที่ผมคิดไว้ ผิดจากที่ผมคิดไว้ไปมากเลย
แล้วผมจะใช้ชีวิตเป็นยองวอนยังไง เชี่ยเอ้ย ทำเส้นกูแล้วมึง!
“เอ่อ ขอถามอีกคำถามได้หรือไม่” ใบหน้าที่เกือบจะตายของผมพยายามมีชีวิตเพื่อถามชายแก่ต่อไป
“คุณชายจะสายแล้วนะขอรับ”
“คือว่า...หน้าตาของข้าเมื่อวานกับวันนี้ที่เจ้าเห็น มันเหมือนกันหรือเปล่า”
ชายแก่ต้องหาว่าผมปัญญาอ่อนแน่ ๆ คำถามแต่ละคำถามโคตรจะสร้างสรรค์ ก็ใครจะไปรู้ล่ะ เกิดมาก็เพิ่งเคยมาอยู่ในยุคโชซอน ที่มีสถาบันซองกยุนกวานนี่แหละวะ!
“คุณชายก็หน้าอย่างนี้มาตั้งแต่เกิดแล้วนี่ขอรับ เมื่อวาน วันนี้ หรือว่าวันไหนๆ เหล่าสตรีทั่วแคว้นต่างก็แซ่ซ้องว่าคุณชายมีใบหน้างดงามยิ่งกว่าสตรีใด ๆ บนแผ่นดินโชซอน”
กูจะเป็นลม...
ตกลงผมต้องคิดยังไง รู้สึกยังไงเหรอ นี่มันอะไรกัน...ผมอยากจะโทรไปปรึกษาไอ้ยองวอนเหลือเกินว่าทำไมมันเป็นแบบนี้ เกิดอะไรขึ้น ทำไมกูต้องกลายมาเป็นมึงด้วย
เอ๊ะ...
หรือว่า...
ชาติที่แล้วผมคือลียองวอนซะเอง ?
TBC*
Talk : ขออนุญาตเปิดเรื่องใหม่นะคะ เหตุผลที่แต่งเรื่องนี้มีอยู่หลายอย่างมากเลยค่ะ
1. ช่วงนี้ค่อนข้างบ้านิยายจีนย้อนยุคมากกก(แต่เอ็งแต่งเกาหลีย้อนยุค?)
2. คุณพ่อของคนเขียนให้ลองศึกษาประวัติศาสตร์เกาหลีค่ะ และเกาหลีเป็นประเทศที่คนเขียนไปมาสองครั้ง เลยพอจะรู้บรรยากาศเล็กน้อย(ก็รู้แค่นั้นแหละ)
3. พออ่านนิยายย้อนยุคนาน ๆ เข้า จินตนาการเริ่มบรรเจิด คิดถึงเรื่องนี้อยู่นั่นจนหัวแทบระเบิด ต้องระบายมันออกมา นิยายเรื่องนี้เลยถือกำเนิดขึ้นค่ะ
4. หวังว่าจะชอบกันนะคะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ : )