อสุรา ล่ารัก ตอนที่ 17
หลังจากตื่นนอน จากค่ำคืนที่แสนยาวนาน ผมตื่นแต่เช้าเพราะวันนี้เขาจะไปดูเฟอร์นิเจอร์มาตกแต่งร้าน รีบอาบน้ำแล้วแต่งตัวสบายๆ เสื้อยืดคอวีกับกางเกงยีน เดิน ลงไปด้านล่าง เจอไวรัลพึ่งจะเดินออกจากห้องน้ำแล้วผลุบหายเข้าไปในห้อง ผมเลยเดินเข้าครัวหาทำอะไรกินรองท้องไปก่อน แต่พอเปิดตู้เย็นก็แทบหงายหลัง เหลือแต่ปลาหมึกแค่สองตัวจะพอกินกันไหม ถามใจดู ส่ายหน้าเบาๆ ดีนะข้าวหุงไว้เมื่อเย็นยังเหลืออยู่บ้างเลยเอามาทำข้าวต้มซะเลย ง่ายดี กว่าคุณไวเค้าจะแต่งตัวเสร็จข้าวในหม้อก็คงพองได้ที่พอดี หั่นทุกอย่างใส่หม้อน้ำซุป รอปลาหมึกสุกก็ตักข้าวใส่ หรี่ไฟลง แล้วหันไปชงกาแฟกับอุ่นนมให้อีกคน ได้ยินเสียงเดือดปุดในหม้อก็เดินไปคนข้าวสองสามทีแล้ว ใส่เครื่องปรุงชิมรสแล้วดับไฟ ไม่นานไวก็เดินออกมาจากห้องตัวหอมฉุย มันแต่งตัวน่ารักตามประสาวัยรุ่นอยู่ด้วยมาก็เกือบจะสามเดือนแล้ว เปลี่ยนเป็นจากไว เด็กพม่าหน้าขาวเป็นน้องไวรัลของพี่เขื่อนไปซะได้
ลงมือกินมื้อเช้าก่อนจะออกเดินทางตอนเก้าโมง มุ่งตรงไปยังร้านที่ขายของที่เราต้องการโดยเฉพาะไวรัลเสนอชื่อร้านร้านหนึ่งที่อยู่ใจกลางเมือง พอไปถึงมันเป็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์ไม้ ส่งออกนอก แวบแรกที่เห็นก็รู้สึกตื่นเต้นมากเพราะมันมีพื้นที่กว้างมากเหมือนห้างสรรพสินค้าที่มีแต่ของตกแต่งบ้าน เราเดินจนขาลาก ได้ของถูกใจมาหลายอย่าง จนเดินไม่ไหว เลยมานั่งพักดูแค็ตตาล็อกพวกโต๊ะเก้าอี้แทน นั่งได้สักพัก จู่ๆ ไวรัลมันก็ทำสีหน้าตกใจแล้ววิ่งหายไปไหนไม่รู้ทิ้งให้ผมเคว้ง นั่งเอ๋ออยู่บ่นม้านั่งไม้รูปทรงแปลกๆ พร้อมกับแฟ้มแค็ตตาล็อกในมือ จนมีพนักงานคนหนึ่งเอากาแฟมาเสิร์ฟให้
“ท่านประธานให้เอากาแฟมาให้ค่ะ แล้วท่านประธานฝากบอกว่าถ้าเลือกแบบได้แล้วให้เข้าไปพบท่านเป็นการส่วนตัวได้เลยค่ะ” ห๊ะ อะไรนะ คือแค่มาซื้อของเข้าร้านไม่ได้มาติดต่อทำธุรกิจ ไม่จำเป็นต้องพบท่านประธงประธานหรอกมั้ง กำลังจะเอ่ยคำปฏิเสธ แต่ก็โดนขัดขึ้นมาอีก
“ท่านประธานบอกว่าจะลดราคาสินค้าให้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ด้วยนะคะ” เออ แบบนี้คงต้องรีบไปพบท่านประธานแล้วละ ฮ่าๆ
“ครับ ขอบคุณครับ” นั่งยิ้มหวานส่งให้พนักงานสาวสวยจนเธอยืนบิดม้วนเป็นเลขแปด แสดงว่าเสน่ห์ผมยังพอมีอยู่บ้าง รู้สึกภูมิใจนิดๆ นะเนี้ยะ โปรยเสน่ห์เสร็จก็ทำหน้าเก๊กหล่อ จนหน้าเกร็ง
“คุณวารี !!! ไม่งานทำแล้วเหรอ” น้ำเสียงเข้มๆ ดังมาจากทางด้านหลังของผม น้ำเสียงมันดูคุ้นๆ ยังไม่รู้ กำลังจะหันไปหาคนต้นเสียง
“หลานปี” ปี?
“อ่าว ท่านเจ้าสัว ไม่เจอกันนานเลยนะครับ” หันไปก็ตะลึงเลยครับ ไม่คิดว่าจะเจอพี่ปีที่นี่ ผมยืนมองทั่งคู่สนทนากันสีหน้าเจ้าสัวนั่นดูเครียดๆ
“นั่นสิ นานจนอาลืมไปเลยว่ายังมีหลานอยู่อีกคน” จู่ๆ สีหน้าท่านเจ้าสัวก็หมองลง
“คุณอามีอะไรหรือเปล่าครับ”
“อาไวรัล อีหายตัวไป อาตามหาเขาจนทั่ว หายังก็หาไม่เจอ ที่อามาพบหลานวันนี้ก็เพราะเรื่องนี้แหละ ปีเห็นไวรัลบ้างไหม” ผมมองสีหน้าของพี่ปีเขาดูอึดอัดนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้แสดงสีอะไรไปมากกว่านี้ จากที่ฟัง ชื่อไวรัล ไวรัล!!!
“อย่าบอกนะว่า เป็นไอ้เด็กพม่าที่บ้าน” ผมแทบจะหลุดเสียงออกไป กวาดสายตามองไปรอบๆ ไม่เจอเด็กพม่าของผมแม้แต่เงา
“คุณอาใจเย็นๆ นะครับ น้องคงไปไหนไม่ไกล”
“เขาหนีไปเพราะทะเลาะกับที่บ้าน อาไม่คิดว่าไวรัลจะกล้าหนีออกจากบ้าน นี่ก็ใกล้จะเปิดเทอมแล้วด้วย”
“เดี๋ยวน้องก้คงกลับเองแหละครับ ไวรัลเป็นเด็กลาดเขาเอาตัวรอดได้ ถ้าอาไม่สบายใจผมจะช่วยตามหาน้องอีกแรง”
“อาตัดเงินเขา อายัดบัตรเครดิตทุกอย่าง ยึดรถ แต่ไวรัล อีก็หนีไปจนได้ ออกไปแบบนั้นจะกินจะอยู่ยังไง” ผมเห็นสายตาเหนื่อยล้าและเป้นกังวลของท่านเจ้าสัว เขาคงห่วงลูกชายมากๆ แน่ ผมหันไปสบตากับพี่ปีนิดๆ ประหม่าเล็กน้อยตอนที่เขาส่งยิ้มอ่อนๆ มาให้ ว่าแต่ถ้าเป็นไวเดียวกับที่บ้าน ผมจะจับตีก้นให้ลายเลยคอยดู
“ผมจะช่วยตามหาอีกแรง ยังไงไวรัลก็เป็นน้องของผม”
“ขอบใจมานะหลานปี อาไม่รู้จะไปพึ่งใครแล้ว” ท่านเจ้าสัวตบบ่าแกร่งของพี่ปี สีหน้าดูคลายกังวล เมื่อเห็นว่าพี่ปีรับปากว่าจะช่วย ท่านก็เอ่ยลา เพราะมีนัดกับลูกค้า ทีนี้ก็เหลือแต่ผมกับพี่ปี เขาเดินตรงมาที่ผม ร่างสูงใส่สูทผูกไท้ เซตผมอย่างดี ต่างจากที่บ้านที่แต่งตัวสบายๆ พี่ปีดูหล่อขึ้นอีกสิบเปอร์เซ็นต์ ผมยืนยิ้มให้เขาอย่างไม่ปิดบัง
“ตามมาสิ” พี่ปีจูงผมเข้าไปในห้องทำงานของเขา ห้องกว้างๆ ที่ตกแต่งโทนสีเข้มกับเฟอร์นิเจอสีอ่อนมีโซฟาเบทอยู่มุมห้องสงสัยเอาไว้นอนพัก ผมกวาดสายตาไปรอบๆ ก็เห็นรูปครอบครัวของพี่เขา รูปใหญ่แขวนอยู่บนผนังด้านหลังโต๊ะทำงานของเขา สามคนพ่อแม่ลูกยืนกอดกันมีพื้นหลังเป็นบ้านหลังหนึ่งที่ดูอบอุ่นมาก ผมมองรูปนั้นอย่างไม่ละสายตา จนกระทั่งโดนที่พี่ปีกอดเอาไว้จากด้านหลัง แล้วลากผมไปที่เก้าอี้ทำงานบังคับให้ผมนั่งบนตักเขา
“จะมาทำไมไม่บอก” เขาถามเสียงเข้มๆ
“ผมไม่รู้นี่ว่าไวจะพามาที่นี่” ผมตอบเสียงอ้อมแอ้ม พร้อมกับมองหน้าเขา พี่ปีดูดีทุกกระเบียดนิ้ว ผมชักอิจฉาความหล่อของเขาแล้วสิ
“กูไม่ได้หมายถึงที่นี่ กูหมายถึงจะออกมาข้างนอกกันสองคนทำไม่บอกกูบ้าง” อ่อเรื่องนี้เอง ผมยักไหล่
“ก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องสักหน่อย พี่ก็ใช่จะว่างตลอด”
“จำเป็นสิ!! ไม่ว่ามึงจะไปที่ไหน กับใคร ยังไง มึงต้องบอกกูทุกครั้ง” เขากดเสียงลงต่ำเหมือนจะขู่บังคับผม
“ทำไมต้องรายงานพี่ขนาดนั้นด้วย เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย -3-” เชิดหน้าใส่เขาทันที ทำไมชอบบังคับกันจังนะ
“กูพูดขนาดนี้มึงยังไม่ เข้า ไม่เก็ทอีกเหรอ = = ”
“เก็ทอะไรละ พี่พูดมาแต่ละอย่างไม่ชัดเจนสักอย่างหนึ่ง แล้วจะผมเข้าใจอะไร” พูดจบเขาก็บีบเอวผมหนักๆ เจ็บชะมัด
“อะ เจ็บนะพี่จะบีบทำไม”
“บีบให้มึงรู้สึกไง นึกว่าไม่มีต่อมรับความรู้สึก กูส่งไปกี่รอบๆ มึงก็ไม่รู้จักรู้สึกตัวสักที ตายด้าน!!! ” เอ้ามาด่ากูทำไมเนี้ยะ
“ตายด้านอะไรละ พี่ไม่ชัดเจน ปากนี่อะ จะพูดออกมาไม่ได้เลยรึไง” ว่าใส่เขาแล้วสะบัดตัวลุกขึ้นยืน
“กูชอบมึง!! ”
“ห๊ะ..พี่ว่าอะไรนะ พูดใหม่อีกที” ที่เขาพูดนะมันไม่ได้เบาหรืออะไรหรอกแค่ไม่แน่ใจ และยังตั้งสติไม่ทัน
“เห้ออ มึงหุตึงรึไงวะ กู บอก ว่า กู –ชอบ-มึง” ชัดเต็มสองหูเลยทีนี้เขาพูดพร้อมกับจับแก้มผมไว้ มันแสดงออกมาทั้งสีหน้าและแววตา คำว่าชอบ เขาไม่ได้โกหกผม แต่ คือแบบ จะบอกชอบ บอกรักกันทำไม ไม่ทำให้มันดรแมนติกกว่านี้แบบนี้มันปุบปับเกินไป ตั้งตัวไม่ทัน เขินมากด้วย -///-
“-////-พูดจริง ไม่หลอกให้ดีใจเล่นๆ นะ” ยืนบิดไปบิดมาด้วยความเขิน เกิดมายังไม่มีผู้ชายคนไหนมาบอกว่าชอบผมเลย ฮ่าๆ เขินทำตัวไม่ถูก อ๊ากก ร้องกรี๊ด ออกมาไม่ได้เกรงใจความแมนของตัวเองสักนิด นับวันยิ่งแรดนะผมเนี้ยะ ฮ่าๆ
“เออ นั่งลงมา” พี่ปีตบมือลงบนตักของเขาให้ผมนั่ง ผมทำตามอย่างว่าง่าย ไม่อิดออด ทรุดตัวนั่งลงยนตักนุ่มๆ ของเขา
“แล้วมึงละ คิดยังไงกับกู ชอบกูบ้างไหม” เสียงทุ้มนุ่มหูดังลอยวนอยู่ในหัวผมซ้ำไปซ้ำมา หันหน้าไปมองพี่ปี คำถามของเขาทำให้ผมพูดไม่ออก นี่เขาถามว่าผมรู้สึกยังไงกับอย่างนั้นเหรอผมเงียบไม่ตอบ แต่ผมจะให้คำตอบเขาด้วยภาษากาย ผมเอื้อมมือไปโน้มคอคนตัวสูงให้ลงมาแล้วกดจูบลงที่ริมฝีปากอุ่น
จุ๊บ
“!!!!! ”
“ชอบที่สุด” ตอบออกไปดั่งใจคิด พี่ปียิ้มกว้างและหน้าแดง
หลังจากนั้นผมก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามกลไกธรรมชาติ ริมฝีปากของเราไม่ออกห่งกันเลยแม้แต่นิด รสจูบที่หอมหวาน พี่ปีเหมือนผึ้งที่กำลังตักตวงน้ำหวานจากผม เขาไม่ปล่อยให้ผมพักหายใจ ผมเป็นยักษ์แต่ไม่ได้เป็นเดอะฮัคที่จะอึด ถึก ทน พยายามส่งสัญญาณให้เขาพักให้ผมได้หายใจบ้าง คนอะไรหื่นเป็นบ้า!! ออกแรงจิกที่ต้นแขนเขาแรงๆ จนเขายอมผละออก ผมรีบโกยอากาศเขาปอดทันที
“เฮือกกกก พี่!! ” หายใจได้ไม่ถึงนาทีพี่เขาก็จูบลงมาอีก ครั้งนี้เขาไม่ยอมให้ผมขยับไปไหน เขาจูบผมอย่างเร่าร้อน ร่างกายผมมันอ่อนแรงไปหมด รสจูบของพี่ปีเหมือนมนต์สะกดยักษ์อย่างผมให้สงบนิ่ง ลิ้นร้อนของเราเกี่ยวพันกันไปมา อย่างโหยหา จูบที่ทำให้สติผมล่องลอยไปไกล
“อืมม อื้ออ”
ปัง!!!!
“พี่ปีแย่แล้ว!!! ” จู่ๆ ประตูห้องทำงานก็เปิดออกแล้วก็มีร่างของเด็กพม่า ไอ้ไวรัล ยืนหน้าซีดอยู่ การมาเยือนของมันทำให้ผมตกใจ ดีดตัวเองออกจากตักพี่ปี แล้วหงายหลังลงกับพื้นห้อง หัวโขกกับขาโต๊ะ ผมนอนกุมหัวตัวเองด้วยความเจ็บพี่ปรช้อนตัวผมขึ้นมาแล้วพามานั่งที่โซฟาเบท โดยที่ไวรัลมันยืนมองผมตาไม่กะพริบ
เรื่องใหญ่กว่าของผมก้ของพี่นี่แหละ นี่พวกพี่แอบมาจูบกันในห้องหรอ!!! ” เสียงมันไม่ได้เบาเลยที่พูดออกมาออกจะตะโกนใส่เสียมากกว่า พี่ปีส่ายหน้าแล้วทำตาดุใส่มัน แล้วหันมาดูหัวผมตรงที่โดน
“บวมนิดหน่อย เจ็บมากไหม” ความจริงก็ได้เจ็บอะไรมากหรอก แต่อยากสำออย อ้อนพี่ปี
“เจ็บ ฮึก....” มีแอคติ้งสะอื้น สกิลขั้นสูงไปอีกผม และมันก็ได้ผล พี่ปีดึงหัวผมไปเป่าเบาๆ เหมือนกับเด็กเล็กๆ ไวรัลยืนอ้าปากค้างไปอีก เป็นไงละ
“โอ้ มาย ก็อท....”
หลังจากที่อึ้งกันอยู่พัก ไวรัลมันก็เปิดประเด็นขัดบรรยากาศผมอีกครั้ง มันเหลือบมองผมนิดๆ เหมือนไม่กล้าพูดต่อหน้าผมสักเท่าไหร่ มันคงมีชนักติดหลังผมรีบจ้องตามันบังคับให้มันพูดต่อหน้าผม
“มึงมีอะไรจะสารภาพกับกูไหม ไวรัล!! ” ผมเอ่ยถามมันเสียงเย็น
“คะ..คือ” มันหันไปหาพี่ปีอย่างขอความช่วยเหลือ พี่เขาส่ายหน้าแล้วบอกให้มันพูดออกมาเลย
“พูดเถอะ เพียวมันเจอป๊าแล้ว”
“งะ..แล้วพี่บอกป๊า รึเปล่าว่าผมอยู่ไหน” นั่นไงเป็นมันจริงๆ ด้วยถึงว่าทำไมคนพม่ามันถึงอ่านเขียนภาษาไทยได้คล่องขนาดนี้
“ไม่ได้บอกหรอก พี่ว่าเราติดต่อพ่อบ้างก็ดีนะ ดูท่าทางเขาเป็นห่วงเรามากเลยนะไว” ผมบอกกับมัน เพราะคิดว่าอย่างน้อยๆ มันก็น่าจะโทรหาพวกเขาบ้าง เขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ แบบนี้
“......” มันเงียบไม่ยอมตอบ ก้มหน้าอย่างเดียวตั้งแต่ที่ผมเริ่มพูดถึงพ่อของเขา
“ไว”
“ฮึก เขาไม่ห่วงผมหรอก เขากลัวผมไปทำความเดือดร้อนให้มากกว่า” มันยกมือขึ้นปาดน้ำตา เด็กหนอเด็ก ทำไมชอบแปลความเป็นห่วงของผู้ใหญ่เป็นแง่ร้ายอยุ่เรื่อย ผม กอดไหล่มันไว้หลวม
“ไวไม่คิดว่าเขาจะห่วงบ้างเหรอ คนเป็นพ่อเป็นแม่ เขาก็ห่วงลูกรักลูกกันทุกคนนั่นแหละ แล้วแต่ว่าเขาจะแสดงออกมามาแบบไหน” ผมพยายามกล่อมให้มันเข้าใจ
“คนอย่างป๊าไม่มีทางคิดกับผมในแง่ดีๆ หรอก มีแต่จะบังคับ ดุด่า ไม่เคยเข้าใจผม ไม่มีใคร ฮึกเข้าใจผมสักคน!!! ” จู่ๆ มันก็ลุกขึ้นแล้วตะโกนใส่ผม ก่อนจะพรวดพราดวิ่งหนีออกไป
“ไวรัล!!! ” พี่ปีร้องเรียกจะวิ่งตามแต่ผมรั้งเอาไว้
“ปล่อยให้เขาได้คิดได้อยุ่กับตัวเองก่อนเหอะพี่ เด็กวัยนี้พูดไปเขาก็ไม่ฟังหรอก เราคอยประคับประคองให้เขาเดินไปในทางที่ถูกที่ควรดีกว่า” พี่ปีนิ่งก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย เราเดินมานั่งที่โต๊ะรับแขก พี่ปีกอดเอวผมไว้ พร้อมกับมองหน้าผม
“ถามจริง พี่ไม่คิดจะไปทำงานบ้างเหรอ มานั่งจ้องผมอยู่แบบนี้ วันนี้จะได้กลับบ้านไหม”
“เดี๋ยวค่อยทำ พักบ้างก็ได้ไม่มีใครกล้าว่าหรอก”
“แต่ผมมีงานต้องทำ อีกสองวันร้านจะเปิดแล้ว ผมต้องหาของเข้าร้านอีก”
“ก็เลือกเอาสิ ของที่นี่มีตั้งเยอะ อยากได้อะไรก็เอาไป ไม่คิดตัง” พอบอกว่าไม่คิดตังหุผมนี่ผึ่งเลยครับ
“จริงอะ”
“หึหึหึ งกเอ๊ย อืม เลือกเอา หรือจะให้ช่วยเลือกให้” ในเมื่อเขาเสนอตัวมาช่วยผมก็ไม่ขัด พยักหน้าแล้วยิ้มให้เขา พี่ปีเดินไปหยิบไอแพดของเขามาแล้วเปิดหน้าเว็บของบริษัท เลือกชุดเก้าอีกออกมาสองสามชุดให้ผมเลือก ซึ่งแบบที่เขาเลือกมานั้นสวยไม่เบาแถมถูกใจและเข้ากับร้านผมมาก เลือกชุดเก้าอี้ไม้แบบวินเทจสีเบจ กับตู้โชว์เข้าชุดอีกสองหลัง เอาไว้ใส่ของสะสม กับรูปสวยๆ เลือกเสร็จก็ส่งต่อให้พี่ปีไปจัดการต่อ เขารับไอแพดไปแล้วกดโทรศัพท์หาเลขาที่อยู่หน้าห้อง
“ระริน รับไฟล์สินค้าที่ผมส่งไปให้ แล้วจัดส่งตามที่อยู่ให้ด้วย ลงบัญชีชื่อของผมไว้ อืม ขอบใจมาก” เขาสั่งแล้วหันมายิ้มให้ คือผมจำเป็นต้องใจเต้นแรงให้กับรอยยิ้มละมุนของเขาขนาดนี้ไหม ไอ้หัวใจบ้านี่ก็เต้นไม่หยุดสักที แอบเห็นมุมปากเขาขยับเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม นั่งเก๊กหน้าจนตีนกาแทบจะขึ้น แอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมชอบอมยิ้มเอาไว้ เห็นแล้วอึดอัดแทน
“พี่ผมกลับเลยได้ไหม จะไปหาซื้อของอีกหลายอย่างเลย” พอบอกว่าจะกลับสายตาจากที่เพ่งแต่เอกสายหันมาตวัดใส่ผมทันที
“เดี๋ยวออกไปพร้อมกัน”
“หืม ทำไม”
“จะเที่ยงแล้ว จะพาไปกินข้าว” เขาตอบเสียงเรียบๆ ก่อนจะรีบเซนต์เอกสารแฟ้มสุดท้ายในมือ
“เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่ผมขอโทรตามไวก่อนได้ไหมเป็นห่วงมัน” พี่ปีพยักหน้าตอบผมรีบกดโทรศัพท์โทรหา
ตรู๊ดดดดดดด
“ (......) ”
“ไอ้ไว ตอนนี้มึงอยู่ที่ไหน”
“มันอยู่กับกู” เสียงใครวะ
“มึงเป็นใครวะ มึงทำอะไรน้องกู!! ”
“ไอ้เหี้ยเพียวจะตะโกนหาพ่องมึงเหรอ กุเอง แค่นี้ทำเป็นจำไม่ได้”
“ไอ้เขื่อน!! ” ตกใจหมด ห่าเอ๊ย นึกว่าไวรัลโดนจับไปเรียกค่าไถ่
“เออกูเอง ไม่ต้องห่วงไอ้ไวมันหรอก มันอยู่กับกูที่วัด มึงจะทำอะไรก็ไปทำเหอะเย็นๆ กูจะมาพามันไปส่งเอง” ได้ยินแบบนั้นผมก็รู้สึกสบายใจขึ้น พี่ปีเองก็เช่นกัน เราออกจากบริษัทในเวลาเที่ยงตรง พี่ปีขับรถพาผมไปกินข้าวที่ร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่ทำงานของเขา มันเป็นร้านเล็กๆ ที่คนไม่ค่อยเยอะมีคนเข้าออกตลอด รสชาติอาหารของที่นี่ อร่อยอย่าบอกใคร กินเสร็จเขาก็พาผมกลับมาที่บริษัทอีกครั้ง ผมถามว่ากลับมาทำไม เขาก็บอกว่ากลับมาสั่งงานแล้วจะพาผมออกไปซื้อของเอง พอมาถึงเท้ายังไม่ทันได้ก้าวข้ามประตู จู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งโผล่มา
“พี่ปี!! หายไปไหนมาค่ะ มีนารอตั้งนาน” เสียงแหลมแสบแก้วหูดังขึ้นพร้อมกับหญิงสาวแต่งตัวเปรี้ยวเข็ดฟัน ชุดเดรสสั้นรัดติ้ว จนเห็นไปหมดทุกสัดส่วน โดยเฉพาะ ตรงส่วนนั้น ใหญ่เสียจนละสายตาไม่ได้ สายตาผมโฟกัสไปแค่จุดๆ นั้น จนกระทั่ง
“อะ..แฮ่ม กรุณามองหน้ากูด้วยครับ” น้ำเสียงเข้มๆ เรียกสติกับน้ำลายของผมให้กลับมา หญิงสาวที่ชื่อมีนามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยท่าทางเหยียดๆ เจอกันครั้งแรกก็สร้างความประทับใจอันดีต่อกันเลยทีเดียว ผมยิ้มจนตาเป็นสะระอิส่งให้ เดี๋ยวได้รู้ ว่ายักษ์นะมีฤทธิ์แค่ไหน ผมเห็นมือขาวๆ ทาเล็บสีแดงเกาะแขนพี่ปีไม่ยอมปล่อย แอบยิ้มเหี้ยมนิดๆ บังอาจมากมาเกาะแขนแฟนคนอื่นแบบนี้
“ใครอะค่ะพี่ปี เด็กฝึกงานเหรอ”
“ไม่ใช่ แล้วคุณมาที่นี่ทำไม” พี่ปีหันไปถามมีนาด้วยเสียงนิ่งๆ พร้อมกับแกะแขนของมีนาออก
“ก็มีนาคิดถึงพี่ปีนี่ค่ะ พี่ปีไม่โทรหามีนาบ้างเลย เราเป็นแฟนกันนะคะ” เธอพูดเสียงกระเง้ากระงอด ผมหันไปมองหน้าพี่ปีทันทีที่เธอบอกว่าเธอเป็นแฟนกับเขา
“แค่ในนามเท่า ที่เหลือคุณคิดเอาเองทั้งนั้น หรือเรียกง่ายว่าสายมโน หยุดมโนหยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว” *0* คำพูดร้ายๆ ที่ไม่ได้ออกจากปากของผม แต่เป็นปากพี่ปี ผมเคยคิดว่าเขานะปากร้าย แต่ไม่คิดว่าจะร้ายกับผู้หญิงด้วยแบบนี้ โคตร อึ้ง..มีนาหน้าสลดลงทันที พี่ปีใช้แค่หางตามองผู้หญิงคนนั้น แม่เจ้าโดนยิ่งกว่าผมเสียอีก
“พี่ปีทำไมพูดกับมีนาอย่างนี้ละคะ” หญิงสาวขึ้นเสียงใส่ พี่ปีหันมามองหน้าเธอนิ่งๆ ก่อนจะแสยะยิ้ม
“ทำไมจะพูดไม่ได้ เธอเป็นอะไรกับชั้น ชั้นต้องให้ความสำคัญ? !! ” แร้งงง มีนาหน้าถอดสี เธอคงไปสะกิดต่อมอสูรของพี่ปีเข้าแล้ว
“พี่ปี..มีนาจะฟ้องคุณพ่อ!! ”
“เชิญ ถอนหุ้นออกไปด้วยยิ่งดี” จบประโยคเขาก็ลากผมเข้าไปด้านในทิ้งให้มีนายืนหน้าแดงด้วยความโกรธ อยากจะถามพี่เขานะว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกันแน่ แต่ไม่กล้ากลัวหัวหลุด เขาลากผมมาจนถึงห้องทำงาน พร้อมกับปิดประตู
“มึง..โอเคไหม” โอเคอะไรละ ผมยัง งง จะให้โอเคเรื่องอะไร
“เรื่อง?”
“มีนาคม พ่อของมีนาเป็นหุ้นของบริษัทนี้อยู่สามสิบเปอร์เซ็นต์ ของกูหกสิบ กับกรรมการอีกคนละสองเปอร์เซ็นต์ เขาถือว่ามีหุ้นอยู่เยอะและใช้ลูกสาวเป็นหลักประกัน และหวังจะฮุบเอาหุ้นทั้งหมดจากกูไปทันทีที่กูตกลงแต่งงานกับมีนาหุ้นจะตกเป็นของพ่อมีนาครึ่งหนึ่ง ซึ่งกูยอมไม่ได้ ตอนนี้กูทำอะไรได้ไม่ค่อยมากเพราะพ่อมีนาปั่นหัวคณะกรรมการให้ขายหุ้นให้ และกำลังจะหั่นขาเก้าอี้กู ซึ่งกูยอมไม่ได้”
“แล้วพ่อมีนาเป็นใครอะ”
“เพื่อนของพ่อกู ชื่อ วิชาญ” ผมพยักหน้าเข้าใจและพอจะจับใจความสำคัญอะไรบางอย่างได้ ดูท่าพี่ปีจะเจอศึกหนักเอาการ
“เขาช่วยกันก่อตั้งบริษัทนี้ขึ้นมา แค่ช่วงแรก พอลุงวิชาญได้เงินปันผลเขาก็ยุติการทำงานของตัวเอง รอกินเงินปันผลอย่างเดียว พ่อกูเป็นคนลงแรง ลงทุนทุ่มเทให้กับบริษัทจนเติบโต ทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาจนมีทุกวันนี้ พ่อขยายจนทำเริ่มทำธุรกิจโรงแรม จนกระทั่ง พวกเขา....” พอมาถึงตรงนี้แววตาพี่ปีไหววูบเหมือนเก็บความเศร้าเอาไว้มากมาย มันสื่อออกทางดวงของพี่เขาจนหมด
“พวกเขาเสีย ตอนกลับจากปราณบุรี มีรถบรรทุกเบรกแตกพุ่งเข้าชนเขาตรงสี่แยกไฟแดง ตอนนั้นกูพึ่งเรียนจบ ปริญญายังไม่ได้รับเลย” น้ำเสียงเขาเริ่มสั่นเครือ ผมจับมือเขาไว้ พี่ปีเริ่มเปิดใจกับผมเขาเล่าเรื่องราวในชีวิตของเขาให้ผมฟัง
“พี่ถามผมว่าโอเคไหม ถ้ามีนาเขาจะเข้ามาแทรกแซงเรื่องเขานะเหรอ”
“ไม่ คือกูหมายถึง ถ้ากูยังไม่สามารถบอกใครได้เรื่องของเรา”
“ห๊ะ..???”
“มึงจะโอเคไหม” ถามว่าโอเคไหมนะเหรอ มันก็ต้องไม่โอสิวะ!!!
“ไม่มีทาง..” ผมบอกเสียงแข็ง ใครจะยอมละ แค่บอกว่าเราเป็นแฟนกัน เป็นคนรักกันมันจะตายรึไงวะ ผมไม่ชอบสถานะที่คลุมเครือ
“ยอมเถอะ กูขอ” เขาหันมาทำสีหน้าจริงจังใส่ผม สีหน้าที่บังคับแกมขอร้อง ... กูขอนี่คือบังคับ แล้วกูก็ต้องยอมใช่ไหม ผมมองหน้าเขานิ่งๆ พยายามสูดลมหายใจเขาลึกๆ เพื่อให้ใจเย็นลง เราตกลงเป็นแฟนกันได้ไม่กี่ชั่วโมงเองนะ ทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย
“เพราอะไร ขอเหตุผลได้ไหม” กลั้นใจถามออกไป
“เพื่อความปลอดภัยของมึง”
“ความปลอดภัย? ความปลอดภัยอะไร” พูดบ้าอะไรของเขาเนี้ยะ พูดเหมือนจะมีคนมาฆ่าผม ถ้าฆ่าผมตายได้ก็เอา
“ศรัตรู ไม่ได้มีแค่ลุงวิชาญ แต่ยังมีญาติของกูอีกที่จ้องจะฮุบทุกอย่างไปจากกู พวกนั้นมันยอมทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้ในสิ่งที่มันต้องการ มึงเข้าใจใช่ไหมเพียว เหตุผลของกูมีแค่นี้” เข้าใจชัดเจน!!! ห่าจะมีผัวกับเขาทั้งทีทำไมต้องมีอุปสรรคมากมายขนาดนี้ด้วยวะ!!
“แล้วเราต้องทำยังไง”
“ก็เหมือนปรกติ ที่เป็น” เขาส่งยิ้มอ่อนๆ มาให้เมื่อเห็นผมเริ่มอ่อนลง
“เอาใจกู สนใจกู ห้ามขัดคำสั่งกู” !!! อันนี้ไม่ใช่ละ
+++++++++++++++++++++++++++++++