CHAPTER 16: Maybe Talk, Not Just Speak กลัวนะ.. ไม่ใช่ไม่กลัว อยู่หอคนเดียวมาตั้งสองสามคืนแล้ว
รู้ตั้งแต่แรกว่าไอดิลจะมาวันอาทิตย์ คู่ซี๊ตั้งใจใช้เวลาปิดเทอมอยู่กับพ่อตราบจนวินาทีสุดท้าย ไม่ยอมมาก่อนเด็ดขาด
ทว่า ม่อนแจ่มก็ยังยอมมาหอตั้งแต่วันพฤหัสฯ แค่คิด..ว่าได้เจอกันเร็วขึ้นสักหน่อยก็คงดี
อย่างไรก็ตาม ม่อนแจ่มคิดผิด.. ไม่ว่าจะพฤหัสฯ ศุกร์ หรือเสาร์ ก็ไม่มีแม้แต่เงาคนที่เขารอคอย
เฮ้อ.. รูมเมทปรัชญาจะมาก่อนทำไม คงใช้เวลาให้เกิดประโยชน์อย่างทำสวนอยู่ที่บ้านมากกว่า
แม่ง.. ม่อนแจ่มเพิ่งคิดได้ทีหลัง
หอสามชายเงียบเชียบน่าขนลุก ม่อนแจ่มข่มความกลัว ใช้เวลาตอนกลางวันทำอะไรให้เหนื่อยมากที่สุด เสียพลังงานมากที่สุด เอาให้หัวค่ำแล้วหลับปุ๋ยเลย ..เดชะบุญ เขาไม่ปวดฉี่และไม่ต้องลุกขึ้นมากลางดึก กระนั้น ก็ร่ำๆจะโทรหาลุงสมอยู่หลายครั้งหลายคราว
พชร ..พชรเป็นกำลังใจม่อนด้วย ม่อนแจ่มท่องซ้ำไปซ้ำมา
ม่อนรู้ ..ถ้าเป็นพชร พชรอยู่ได้ พชรไม่กลัวแน่นอนไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ.. ม่อนแจ่มไม่เผ่นกลับบ้าน
ร่างเล็กพยายามทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมในฐานะที่มาก่อน เริ่มจากการกวาดขยะในห้อง (จามไปตลอดครึ่งชั่วโมง) เอาผ้า(ที่ขอจากป้าเพ็ญ)มาชุบน้ำและเช็ดตามโต๊ะตามเก้าอี้ให้สะอาดที่สุด โดยเฉพาะ.. โต๊ะที่มีหนังสือปรัชญาวางอยู่บนนั้น
มือเรียวหยิบเอกสารประกอบการเรียนรายวิชาต่างๆ หนังสือ ‘ปรัชญาร่วมสมัย’, ‘โลกของโซฟี’, ‘วิถีเกษตรอินทรีย์’, ‘เรื่องเล่าบนถนนของคนบนมอเตอร์ไซค์’ ย้ายไปไว้บนโต๊ะของตัวเองก่อน เพื่อเช็ดโต๊ะพชร
แม้จะใคร่รู้ แต่ก็ไม่มีความกล้าพอที่จะเปิดหนังสือ อ่านเรื่องราวเหล่านั้น ..เรื่องราวที่เพื่อนร่วมห้องเคยผ่านตา
คนทำความสะอาดได้แต่ยิ้ม แม้เจ้าของจะไม่ค่อยพูดอะไร บุคลิกก็นิ่งจนไม่อาจบอกได้ว่ามีความสนใจสิ่งใดเป็นพิเศษ แต่มันก็มหัศจรรย์เหลือเชื่อที่หนังสือเหล่านี้พอบอกได้
ไว้ม่อนแจ่มจะหามาอ่านตามบ้าง หรือไม่.. ก็อาจจะขอยืมพชรอ่าน เรื่องนั้น คงต้องประเมินสถานการณ์กันก่อน
เอาล่ะ..
เช็ดโต๊ะเสร็จแล้ว อ้อยอิ่งอยู่ที่โต๊ะพชรนานไปแล้ว เขาจึงตามมาด้วยการถูพื้น ซึ่งก็ตั้งท่าอยู่นาน เพราะไม่รู้จะถูท่าไหนดี
ควรนั่งคุกเข่าถู? หรือควรนั่งพับเพียบถู?
ควรถูด้วยสองมือ หรือควรถูด้วยมือเดียว ส่วนอีกมือยันพื้นไว้ จะได้ไม่ล้ม?
แบบไหนดี งงว่ะ ลืมถามป้าเพ็ญ..
แต่ไม่ว่าจะถูด้วยท่าไหนหรือแม้แต่หลายท่าผสมกัน สุดท้าย ม่อนแจ่มก็พอใจ เพราะเขาคิดว่าพื้นห้องสะอาดดี แม้จะอดคิดไม่ได้ว่า.. ถ้าใครเข้ามาในห้องตอนนี้คงดูไม่ออก ว่าอันไหนคือผ้าขี้ริ้ว อันไหนคือม่อนแจ่ม
หลังจากสามวันอันทรมาน วันอาทิตย์ก็เดินทางมาถึง พรุ่งนี้วันจันทร์ วันเปิดเทอม
วันนี้ล่ะ อย่างไรเสีย ..ก็ต้องมา
ม่อนแจ่มรอ รอพร้อมกับหาอะไรทำไปด้วย อะไรที่มีสาระ
เขาอ่าน Engineering Mechanics ..อ่านก่อน เดี๋ยวก็ต้องเรียนแล้ว
อ่านอย่างขยันขันแข็ง อ่าน.. สลับกับเงยหน้ามองประตู
เวลาผ่านไปพร้อมกับสาระที่เริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ
จากที่นั่งอ่านบนเก้าอี้อย่างตั้งอกตั้งใจ ก็ย้ายไปนั่งอ่านบนเตียง และขณะนี้ ร่างเล็กไม่ได้นั่ง แต่กำลังเลื้อยไปเลื้อยมาบนที่นอนแทน ชีสอยู่ทาง คนอยู่อีกทาง ดวงตาในกรอบแว่นมองไปที่ประตู หูผึ่งเป็นระยะๆ เท้าหรือก็เกยผนัง หัวเหอห้อยลงจากเตียงในท่วงท่าน่าขบขัน
ในทันใด.. หูเขาก็ได้ยินเสียงหน้าห้อง ..ตามด้วยเสียงเคาะประตู
ก๊อก ก็อก..!
เชี่ย!
หัวแทบจะโหม่งพื้น
ม่อนแจ่มเด้งตัวขึ้นจากเตียง มือข้างหนึ่งปัดๆผมให้เข้าที่ อีกข้างแตะแว่นให้ตั้งตรงบนสันจมูก
มาแล้ว!
ริมฝีปากอิ่มยกยิ้ม ปากอ้าจะทักทาย
“หงะ..”
ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจที่เห็นคนตรงหน้า
ก็คิดถึงเหมือนกัน
แต่ว่า..
“แหมๆ เพื่อนม่อนไม่ต้องทำหน้าผิดหวังขนาดนั้นก็ได้ม้าง..ง” ไอดิลกลอกตาไปมาขำๆ
“อะ.. ก็.. กูแค่ไม่คิดว่าจะเป็นมึงนี่หว่า ปกติ มึงเปิดผางเข้ามาเลย ไม่ยักเคยเคาะ นี่ดันเคาะ กูก็ต้องนึกว่า..”
“..เป็นพชร?” ไอดิลต่อประโยคให้
ม่อนแจ่มไม่ตอบ ได้แต่ถลึงตาใส่เขินๆ แล้วตรงเข้าไปชกไหล่คู่ซี้เล่นๆ ไอดิลหัวเราะ
“ฮ่ะๆ มึงสบายดีนะ”
“กำลังแย่ หมดอาลัยตายอยากสุดๆ อีกแค่วันเดียวถ้าไม่มีใครมา กูมีหวัง..” คนอยู่ก่อนเอ่ยเวอร์วัง เรียกรอยยิ้มจากคนมาทีหลัง รวมทั้งจากร่างสูงที่ก้าวยาวๆเข้ามาวางถุงข้าวของไว้บนพื้นห้องด้วย
“สวัสดี หมอก” ม่อนแจ่มทักทาย ไอหมอกพยักหน้ารับคำทัก ยีหัวไอดิลเบาๆ ก่อนปล่อยให้สองเพื่อนวิศวฯได้เสวนาประสาไม่เจอกันมาร่วมเดือนต่อไป
“มึงหอบอะไรมาเยอะแยะ” ม่อนแจ่มก้มมองของ ถามหงุงหงิง
“ขนมอ่ะสิ ขนมาจากบ้านก็เพียบแล้ว แถมย่ากูยังเตรียมไว้ให้หอบใหญ่อีก”
“เพื่อนดิ้ลแบ่งเพื่อนม่อนด้วยใช่มะ”
“แน่นอน” ไอดิลรับคำหนักแน่น “มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน มีขนมร่วมแดก ปาร์ตี้ขนมเร็ว ให้ไว!”
“เฮ้ย ไม่ได้แล้ว” ม่อนแจ่มส่ายหน้าดิก “พชรไม่ให้เรากินขนมในห้อง จำไม่ได้หรือไง”
“กินแล้วเก็บกวาดได้น่า พชรมันอนุโลม”
“ไม่ได้!” ม่อนแจ่มยืนยัน
แม้เขาจะเห็นด้วยกับสโลแกนของไอดิลที่ว่า ‘มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน มีขนมร่วมแดก’
แต่ภาพแรกที่พชรเห็นเขาในเทอมใหม่จะต้องไม่อยู่ระหว่างการปาร์ตี้ขนมสิ โธ่! ไอดิล ไม่ยอมเข้าใจอะไรเลยจริงๆ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“ไอ้ม่อน? มึงกลัวประตูจะหายหรือไง จ้องอยู่ได้” ไอดิลเลิกคิ้ว ถามกวนๆหลังจากจัดแจงเก็บข้าวของเป็นที่เป็นทางและชื่นชมม่อนแจ่มในการทำความสะอาดห้องเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“มึงนี่..” ม่อนแจ่มพยายามโบกเกรียนคู่ซี๊ที่ขยันล้อเลียนเขาเสียจริงๆ “กูว่า กูลงไปเดินเล่นข้างล่างดีกว่า”
“กะไปรอหน้าหอเลยว่างั้น?”
อ๊ากกก!
“ไอ้ดิ้ล! ไม่ต้องมาทำตัวฉลาดเลย”
“เอ้า ก็คนมันฉลาดจะให้ทำยังไงได้วะ โด่วๆ” ไอดิลโว แต่ม่อนแจ่มหรี่ตา
“งานวิจัยบอกว่า คนที่ชอบย้ำว่าตัวเองฉลาดนั้นมักมีปมโง่อย่างสาหัสมาก่อน..”
“ไอ้ม่อนนน!”
ฮ่ะๆ!
ม่อนแจ่มหัวเราะร่วน ขณะไอดิลโหยหวนและตั้งท่าจะลุกขึ้นมาเตะเขาอย่างที่ชอบทำ
วิ่งสิครัช รอ’ไร!?
ร่างเล็กผลุนผลันลุกขึ้นจากพื้น มือเรียวคว้าลูกบิดประตูหมุน
และ..
อะ!
“พชร!”หลุดเรียกเสียงดังฟังชัด
ยิ้มกว้างอย่างดีใจ ดีใจมาก..
ร่างกำยำที่รอคอยยืนอยู่ตรงหน้า และม่อนแจ่มก็เรียนรู้บางอย่าง
เราไม่มีทางรู้หรอก ว่าคิดถึงใครบางคนแค่ไหน จนกว่าจะได้เจอเขาอีกครั้ง และตระหนักว่าเราดีใจมากมายเพียงใด
“เก็บอาการหน่อย ไอ้ม่อน” ไอดิลพึมพำใส่แผ่นหลังเล็ก มิวายโดนหันมากระซิบตอบลอดไรฟัน
“กูก็เห็นมึงทำท่าแบบนี้ทุกทีเวลาเจอหมอก”
“หมอกมันเป็นแฟนกูไง ประเด็น” ไอดิลอธิบาย “แล้วพชรนี่ เอาแค่เขารับมึงเป็นเพื่อนหรือยัง เท่านี้ก่อน”
ไอ้ดิ้ล แม่ง!
ม่อนแจ่มหน้างอใส่คู่ซี๊ แต่ก็หันกลับมายิ้มให้พชรในทันใด
อย่างไรก็ตาม พชรไม่ได้ยิ้มตอบ ..ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นเบือนหลบ เดินสวนเข้าห้องเงียบๆ
“เอ่อ..”
ถ้อยคำที่จะเอ่ยทักทายผลุบหายไปในลำคอ ม่อนแจ่มได้แต่มองตามหลัง
“เอ่อ..” ไอดิลเลิกกวน งุนงงไม่แพ้กัน กระนั้น ก็พยายามช่วย
“พชรมันอาจจะเหนื่อยมั้ง คงเพิ่งแว๊นมาจากลำพูนน่ะ มึงอย่าคิดมาก”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
สัปดาห์แรกเป็นอะไรที่เหนื่อย.. การรับน้องที่ยังไม่เสร็จสิ้น การเรียนวิชาที่แอ๊ดว๊านซ์กว่าเทอมที่แล้วแบบฉับพลัน การที่แทบไม่เจอหน้ารูมเมทปรัชญาเลย เพราะอีกฝ่ายกลับห้องมามืดค่ำ ที่ทำได้ก็เพียงนอนมองเตียงล่างกับโครงร่างกำยำในความสลัวจนหลับไปเท่านั้น ม่อนแจ่มจึงดีใจนักที่ถึงวันเสาร์เสียที
“อะ..”
เสียงเล็กหลุดอุทานน้อยๆ เมื่อรูมเมทร่างสูงถือขวดน้ำขนาดหนึ่งจุดห้าลิตรเปล่าๆสองขวดเดินออกจากห้องมาพอดีกับที่เขาโอบกะละมังซึ่งซักผ้าบิดหมาดเสร็จมาจากห้องน้ำ
ไม่ได้อยากมองตา ไม่อยากสนทนา
ทว่า มือแกร่งก็ผลักประตูค้างเปิดไว้ รอให้ร่างเล็กเดินเข้าไปก่อนโดยอัตโนมัติ ก่อนจะปิดตามหลังเมื่ออีกฝ่ายก้าวเข้าห้องพ้นระยะที่ขอบประตูจะโดนตัวแล้ว
ม่อนแจ่มหันหลังกลับไปมองประตูห้องที่เพิ่งปิดลง รอยยิ้มน้อยๆระบายบนริมฝีปาก โอบกะละมังค้างไว้อย่างนั้นอีกหลายอึดใจ
รูมเมทปรัชญาไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยคุย ไม่ค่อยยิ้ม ก็เหมือนเช่นที่เป็นเมื่อเทอมก่อน แต่.. ความห่วงใย ความมีน้ำใจ ความเอื้อเฟื้อ สิ่งเล็กๆน้อยๆที่พชรทำดีต่อเขามาตลอดนี้ ไม่ว่าร่างสูงจะรู้ตัวหรือไม่ แต่มันก็มีความหมายมากมายอยู่ดี..
“แฮ่ม..” ไอดิลกระแอมอย่างล้อเลียน
“ประตูห้องเรามันน่ามองขนาดนั้นเลยเนอะม่อนเนอะ”
“สัด..” ม่อนแจ่มสบถใส่คู่ซี๊ที่ชักจะทำตัวฉลาดเกินความจำเป็นเบาๆ แล้วก้าวสั้นๆไปตากผ้าที่ระเบียง
ไอดิลหัวเราะน้อยๆตามหลัง นั่งขีดอะไรขยุกขยิก
“ทำอะไรของมึงน่ะ?”
ม่อนแจ่มเดินเข้าห้องมาเลิกคิ้วใส่ หลังตากผ้าไม่กี่ตัวเสร็จ ขณะเดียวกันก็ลงมือกางฉากตั้ง สอดกระดาษ เพื่อวาดภาพต่อ ..ภาพที่จะเป็นของขวัญ ในวันสำคัญที่ใกล้มาถึง
ร่างเล็กทรุดนั่งลง ประจำการบนเตียงล่างของตัวเอง ส่วนไอดิลนั่งหน้ามุ่ยอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ ขีดฆ่าวันในปฏิทินตั้งโต๊ะ (ที่แถมมาจากร้านเครื่องเขียนซึ่งม่อนแจ่มไปซื้ออุปกรณ์วาดภาพและยกให้เจ้าตัว เพราะไม่รู้จะมีปฏิทินไปทำไม)
“กูนับวันที่กูไม่ได้เจอพ่อ” ไอดิลเปรยเบาๆ น้ำเสียงยานคาง “..ว่ามันผ่านมากี่วันแล้ว”
วันที่ไม่ได้เจอพ่อ? ม่อนแจ่มออกจะงง
เพิ่งเปิดเทอม แล้วมึงก็เพิ่งกลับมาจากบ้านเองไม่ใช่เหรอ นี่มึงคิดถึงพ่ออีกแล้ว!?
“มึงนี่ติดพ่อจริงๆ ไอ้ดิ้ล” เขาเย้ายิ้มๆ
ไอดิลยักไหล่ เข้ามาเสนอหน้าใกล้ม่อนแจ่ม มองภาพที่คู่ซี๊กำลังวาด
“แหม.. มึงก็ไม่ติดเนอะ ไม่ติดเล้ย ที่กำลังวาดเนี่ย ก็ของขวัญวันเกิดพ่อมึงไม่ใช่เหรอ กูได้ข่าว?”
“ก็ใช่..” ม่อนแจ่มพยักหน้ารับ “แต่กูไม่สนิท ถึงกับจะติดได้หรอก ท่านยุ่ง เราไม่ค่อยได้คุยกันมากนัก”
อย่างไรก็ตาม ดวงตาคนพูดยังเป็นประกายสดใส
“กูไม่รู้จะให้อะไรเป็นของขวัญคุณพ่อ เพราะกูไม่รู้ว่าท่านชอบอะไร อีกอย่าง ถ้ามีสิ่งที่ท่านอยากได้ ก็คงหามันมาได้ง่ายๆอยู่แล้ว “
..
“กูแค่.. อยากวาดภาพให้ ทำสิ่งที่กูถนัด วาดภาพเป็นของขวัญ ของขวัญที่เงินซื้อไม่ได้ ..ของขวัญวันเกิดของคุณพ่อ”
“ของขวัญวันเกิดของคุณพ่อ” ร่างสูงปรัชญาชะงักมือที่จับลูกบิด ประตูถูกผลักเข้ามาด้านในพอดี และ.. ได้ยินพอดี
ดวงตาคมกล้าไหววูบ.. แน่ใจว่าไม่ได้อยากรับฟังถ้อยคำนี้เลย..
“อะ.. เป็นอะไรหรือเปล่า พชร?” ม่อนแจ่มมองตาแป๋ว งุนงงที่จู่ๆคนไม่ค่อยโฟกัสอะไรกลับยืนนิ่งมองเขาค้างอยู่อย่างนั้น
ทว่า คนถูกถามเพียงส่ายหน้าน้อยๆ วางขวดน้ำไว้บนโต๊ะ ไม่สนใจจะเข้าร่วมบทสนทนาใดๆ
“แล้วที่บ้านมึงอยู่กับใครน่ะไอ้ม่อน เห็นบอกว่าพ่อแม่ยุ่งตลอดไม่ใช่หรือ” ไอดิลนั่งลงข้างรูมเมท
“ส่วนใหญ่ กูอยู่กับแม่บ้าน” ม่อนแจ่มคุยไปด้วย วาดไปด้วย “ป้าเพ็ญไง ที่เคยพูดถึง ใจดีมากนะ อวบอิ่มด้วยล่ะ”
เป็นเช่นนั้น..
“อืม..” ไอดิลหน้ายู่น้อยๆ “มึงน่าจะลอง.. แบบว่า.. ชวนพ่อแม่หาเวลาด้วยกันบ้างนะ”
ไม่ได้อยากเจือกเรื่องเพื่อนหรอก แต่ม่อนแจ่มนั้นสนิทกัน แล้วไอดิลก็อยากให้เพื่อนรักได้มีช่วงเวลาดีๆ จึงแนะนำในสิ่งที่ม่อนแจ่มอาจจะลืมคิดไป
“พ่อแม่ ถ้าทำแต่งานก็เครียดนะไอ้ม่อน เขาอาจไม่รู้ตัวได้ มึงชวนไปเที่ยวอะไรบ้างสิ แบบว่า.. จะดีกับตัวมึงเองด้วยนะ อยู่กับคนสองคนที่รักกัน มันมีความสุขนะเว้ย มันรู้สึกถึงสายสัมพันธ์”
สายสัมพันธ์?
“สายสัมพันธ์อะไร” ม่อนแจ่มงุนงง
“เอ้า ก็สายสัมพันธ์ของคนที่รักกันไง แบบว่า.. เวลาเขากอดกัน หอมกัน ซบกัน หรืออะไรแบบนั้น” ไอดิลอธิบาย
“หรือบางที.. แค่มองตา พูดคุยกันเฉยๆ ไม่จำเป็นต้องสัมผัสกัน เราก็รับรู้ได้ว่าเขารักกัน แล้วเราก็ถูกเลี้ยงดูมาโดยคนสองคนที่รักกัน และเขาก็รักเราไง”
ไอ้ดิ้ลมันพูดอะไรของมัน? ม่อนแจ่มพยายามคิดตาม
กอดกัน.. หอมกัน.. ซบกันน่ะหรือ? ม่อนแจ่มไม่ยักจำได้ว่าพ่อกับแม่เคยทำอะไรแบบนั้น
“หรือแม้แต่เวลาที่ทะเลาะกัน เราก็ยังรับรู้ได้เลยนะว่าเขารักกัน ต่อให้จะตวาดใส่กันดังลั่นบ้านก็ตาม..”
ไอดิลเสริมยิ้มๆ เมื่อนึกถึงบางช่วงเวลาที่พ่อน่ารักยืนเท้าเอวและพ่อหล่อก็ยืนกอดอก แล้วตะโกน ‘ไอ้เกรียนเกรย์!’ - ‘ไอ้เหี้ยทัศน์’ สวนกันไปมา
ม่อนแจ่มได้แต่เลิกคิ้ว “พ่อกับแม่กูไม่เคยทะเลาะกัน”
ใช่.. ไม่เคยทะเลาะกัน
ไม่มีเรื่องอะไรให้ทะเลาะ ได้ยินคุยกันแต่เรื่องงาน เพราะทำงานด้วยกัน
ไม่ได้นอนห้องเดียวกัน ไม่เคยไปเที่ยวด้วยกันสองคน และไม่เคยมีปัญหาหึงหวงกันแม้แต่น้อย..
“อ่าม..” ไอดิลมองรูมเมทอย่างแปลกใจ “งั้น.. ครอบครัวมึงก็คงอบอุ่นจริงอย่างที่คนเมืองนิวส์ชอบลงสกู๊ปแหละนะ ”
หนุ่มสิ่งแวดล้อมเออออ แม้ว่าเขาจะไม่อาจนึกภาพพ่อหล่อกับพ่อน่ารักที่ไม่ทะเลาะกันออกได้เลย เพราะสองคนนั้นอยู่บ้านเดียวกัน นอนเตียงเดียวกัน กินข้าวด้วยกัน ร้องเพลงด้วยกัน ไปซื้อของใช้ด้วยกัน ไปออกกำลังกายด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกัน ชีวิตทับซ้อนกันแทบจะตลอดเวลา ยกเว้นเวลาทำงานรวมเวลาเดินทางราวสิบชั่วโมงต่อวันและห้าวันต่อหนึ่งสัปดาห์ เพราะฉะนั้น.. เรื่องไม่ทะเลาะกัน ไม่ถกเถียงกันนั้นเป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุที่.. ช่องว่างระหว่างคนทั้งสองนั้นแคบมากหรืออาจจะไม่เคยมี
“อ้อ! แต่กูเคยไปเที่ยวกับแม่อยู่เหมือนกัน” ม่อนแจ่มเสริมเมื่อนึกได้ ไอดิลจึงละความคิดจากเรื่องพ่อๆมาสนใจฟัง
“เหรอ ไปไหนล่ะ?”
“ม่อนแจ่ม”
“ห๊ะ?”
“ม่อน-แจ่ม” ม่อนแจ่มย้ำ
“อ๋อ!” ไอดิลพยักหน้า จริงสิ ม่อนแจ่มเป็นชื่อสถานที่นี่นา
“แล้วเป็นไง สนุกไหม?”
“ก็.. ไปกางเต้นนอนกันน่ะ เคยไปครั้งเดียว”
“ว้าว กางเต้นเหรอ!” ไอดิลดี๊ด๊า “ดูดาวกันด้วยหรือเปล่า”
“อื้อ.. ดาวเต็มฟ้าเลย กูร้องเพลงดาว ของ Paradox ให้คุณแม่ฟังด้วย เป็นเพลงโปรดของคุณแม่ล่ะ”
“โห!” ไอดิลยิ้มยินดี “น่าสนุกจะตาย ทำไมไปแค่ครั้งเดียววะ ชวนไปบ่อยๆสิ วันหยุดนี้ชวนอีกเลย!”
“ก็..” ม่อนแจ่มขมวดคิ้วอย่างยุ่งยากใจ
“แม่กูร้องไห้ทั้งคืนเลย ท่านบอกว่าคงจะแปลกที่ ทำให้คิดถึงบ้าน กูก็เลย.. ไม่กล้าชวนไปไหนอีก”
โธ่ ไอ้ม่อน!
ไอดิลตบไหล่เล็กของเพื่อนรักเบาๆอย่างเห็นใจ
เขานั้นเคยไปเที่ยวกับพ่อๆมาล้านแปดที่และแต่ละที่ก็เต็มไปด้วยความทรงจำแสนพิเศษ ไอดิลรู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดี
“ขอบคุณครับ พ่อหล่อ.. พ่อน่ารัก..” เขาได้แต่พึมพำ
“พ่อหล่อ? พ่อน่ารัก?” ม่อนแจ่มขมวดคิ้วงงๆ “ยังไงนะ ตกลงพ่อมึงหล่อหรือน่ารัก”
เออว่ะ.. ซี๊กันมาเทอมนึงแล้ว ไอดิลยังไม่เคยบอกเรื่องนี้
“กูมีพ่อสองคน”
..
..
นั่นเป็นสิ่งที่เกินคาดคิดสำหรับม่อนแจ่ม
ไอดิลพูดถึงแต่พ่อ ไม่เคยพูดถึงแม่
อะไรบางอย่างทำให้เข้าใจโดยอัตโนมัติว่าเพื่อนรักไม่ได้อยู่กับแม่ เขาจึงไม่กล้าถามต่อ แต่พ่อสองคนนี่ ..เขาไม่เข้าใจ
“ยังไง มีพ่อสองคน?”
ไอดิลมองตาเพื่อน ถอนหายใจน้อยๆ ก่อนตัดสินใจเอ่ยตรงๆ
“ก็พ่อกูเป็นผู้ชาย ผู้ชายสองคน รักกัน อยู่ด้วยกัน เลี้ยงกูเป็นลูก มึงพอเข้าใจไหม?”
ไม่..
ไม่เข้าใจ
“แล้วแม่มึงไปไหน”
ถามแล้ว ..ถามออกไปก่อนจะยั้งตัวทัน
“กูขอโทษ ขอโทษที! มึงไม่ต้องตอบก็ได้” ม่อนแจ่มรีบบอก สีหน้าไม่สู้ดี
“ไม่เป็นไร” ไอดิลตบไหล่เล็กอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่
“คือ.. แม่กู.. ประมาณว่า.. วางกูไว้ที่หน้าบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าน่ะ แล้วพ่อกูก็..”
“เหี้ยยย!” ม่อนแจ่มสบถ ดีดตัวลุกขึ้น “แม่มึงทิ้..”
แต่แล้วก็ยั้งคำพูดตัวเองไว้ทัน.. บ้าเอ๊ย! เขาไม่เคยถามเพื่อนเลยว่าทำไมเจ้าตัวพูดถึงแต่พ่อ เขาไม่รู้..
ไอดิลไม่ใช่แค่ร่าเริงแล้วล่ะ ไอดิลเป็นคนโลกสวย ..โลกสวยมาก
ไอดิลใช้คำว่าแม่ ‘วาง’ เจ้าตัวไว้
“มึง เอ่อ.. แล้วมึงโอเคนะ” ม่อนแจ่มขยับเข้าไปหาเพื่อนรักด้วยสีหน้าไม่สบายใจ แต่ไอดิลหัวเราะ
“โอเคสิ ก็กูบอกแล้วไง กูอยู่กับพ่อ พ่อสองคนเชียวนะมึง”
ม่อนแจ่มค่อยยิ้มออก แต่ยังไม่วายจะห่วงใย
“โธ่ มิน่า.. แล้วมึงเสียใจมากไหม นึกโกรธแม่หรือเปล่า อย่าคิดมากนะ มีอะไรที่กูพอจะ-”
“เฮ้ย พอๆ” ไอดิลยกมือเบรก
“กูไม่เป็นไร ส่วนแม่.. กูไม่รู้จัก ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น กูไม่อยู่ในฐานะที่จะโกรธท่านได้หรอก” หนุ่มสิ่งแวดล้อมยิ้ม
“ถ้าไม่ได้เจอพ่อ กูก็ไม่รู้หรอกนะว่าชีวิตกูจะเป็นยังไง แต่อย่างน้อย.. กูก็ได้โอกาสเกิดจากแม่ ใช่ไหมล่ะ ถึงแม้มันจะเสี่ยงมากว่ากูอาจไม่ได้เป็นผู้เป็นคนแบบนี้ แต่กูก็ยังได้โอกาสที่จะเสี่ยง”
ดวงตาสีน้ำตาลเหล่มองฝาผนังเหนือหัวเตียงบน ..แผ่นกระดาษใบเก่ายังแปะอยู่ที่นั่น
“แล้วกูก็เป็นกู ได้อยู่กับพ่อ ได้เรียนหนังสือ..”
ม่อนแจ่มนิ่ง..
การได้เป็นผู้เป็นคน
ได้ใช้ชีวิต
ได้รับการศึกษา
ดูเหมือนเป็นสิ่งเล็กน้อย เป็นสิ่งธรรมดา ทว่า แท้จริงแล้ว.. มีความหมายมากมายนัก โดยเฉพาะเมื่อตระหนักว่าเพื่อนรักอาจไม่มีโอกาสมานั่งอยู่กับเขาที่นี่ ณ วันนี้ก็เป็นได้ ..ม่อนแจ่มรู้สึกรักไอดิลมากยิ่งกว่าที่เคย
“มึงเก่งจัง” เขามองเพื่อนรักอย่างออกจะภาคภูมิ ไอดิลนั้นคิดบวกสุดๆ
“เก่งอะไรเล่า บอกแล้วไง ว่ากูโชคดี” ไอดิลส่ายหน้าขำๆ
“ว่าแต่มึงอ่ะ คุณหนูม่อน” เขาเรียกล้อเลียน “เกิดไม่ใช่ลูกของพ่อแม่ขึ้นมานี่ทำไง”
“เฮ้ย!” คนถูกถามอุทานลั่น ไอดิลจึงหัวเราะอย่างอยากแกล้ง
“ถ้าคุณหนูม่อนแจ่ม ประดิษฐาพงศ์ไม่ใช่ลูกของคุณพ่อ คุณแม่ขึ้นมา จะทำยังไง?”
“เหี้ยยย!” ม่อนแจ่มสบถลั่นอีกครั้ง ส่ายหน้าน้อยๆ กึ่งๆจะหัวเราะ “กูดับอนาถแน่แบบนั้น”
พลั่ก!
เสียงของตกกระทบพื้นดังลั่น ขวดน้ำหนึ่งจุดห้าลิตรกลิ้งอยู่บนพื้น ทว่า คนปัดตกไม่สนใจจะเก็บ ดวงตาสีเข้มเบิ่งกว้างขึ้น หันมาจ้องมองคนพูดค้าง
“พชร..”
ม่อนแจ่มหันมองต้นเสียง รีบละจากไอดิล เดินเข้าไปหาร่างสูงกว่า “พชร เป็นอะไร?”
เป็นอะไร..คำถามนั้นทำให้รู้สึกตัว
คนถูกถามจึงพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติมากที่สุด
“พชร สะดุดโต๊ะเหรอ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ม่อนแจ่มเมียงมอง
“ติดโรคไอ้ม่อนมาหรือไงพชร” ไอดิลล้อ “มันชอบชนนู่นโขกนี่อยู่เรื่อย”
ร่างเล็กไม่สนใจคำเย้า ก้มตัวลงเก็บขวดน้ำ วางไว้บนโต๊ะที่เดิม พยายามมองสำรวจร่องรอยความผิดปกติ ถามออกไปอีกครั้ง
“เป็นอะไรหรือเปล่า พชร..”
ไม่ตอบรับ.. ไม่ปฏิเสธ..
พชรเสมองไปทางอื่น ไม่อยากสบสายตาไร้เดียงสาที่มองมาด้วยความห่วงใยคู่นั้น
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
Edit: แก้คำผิดครับ