ตอนที่ 11
“น้องโซลดูเพลียๆ นะคะ ไปงีบสักหน่อยไหม”
“ไม่เป็นไรครับ นั่งพักตรงนี้ก็โอเคแล้ว”
ไอ้โซลยิ้มน้อยๆ ให้พี่ปุ้ยที่มองมาด้วยความเป็นห่วง อยากไปรับไปส่งผมดีนัก เป็นยังไงล่ะ สภาพเหมือนคนอดนอน แต่งหน้ายังไงก็ปิดไม่มิด ผมว่ามันทำอย่างนี้ต่อไปไม่ไหวหรอก
“แหม...ห่างๆ กันมั่งก็ได้นะกับซีนน่ะ” หนิงที่นั่งฝั่งตรงข้ามพูดขึ้น ผมที่กำลังตักข้าวเข้าปากชะงัก...เกี่ยวอะไรกับผมวะ “อย่าไปเซ้าซี้โซลเล๊ย ซีนนั่งอยู่นี่จะให้โซลไปอยู่ไหนล่ะคะพี่ปุ้ย”
“อุ้ยตายแล้ว พี่ขอโทษค่ะ ลืมไปว่าแหล่งพลังใจของน้องโซลอยู่นี่”
นักแสดงที่นั่งร่วมวงอยู่ในโต๊ะหันมายิ้มล้อ ไม่มีแฟนคลับอยู่แถวนี้สักหน่อย จะชงกันทำไมก็ไม่รู้ ผมกระแอมไปที นอกจากพี่บัวที่แวะเวียนมาเป็นครั้งเป็นคราวแล้ว ก็มีหนิงนี่แหละที่เข้ากับพี่ปุ้ยเป็นปี่เป็นขลุ่ย หนิงเป็นนักแสดงสมทบมีบทบาทนิดหน่อย วันไหนมีคิวถ่าย ผมกับไอ้โซลโดนแซวตั้งแต่เช้าวันนี้ถึงเช้าของอีกวันโน่น
“น้ำครับ”
บางทีก็เหมือนอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีพรรคพวกอย่างใครเขาเลย ไอ้คนที่ยื่นน้ำมาให้ก็ไม่เคยปฏิเสธ ซ้ำยังแย้มรอยยิ้มยินดีปรีดาไปอีก
“ไม่ไปนอนจริงดิ”
“อยากนั่งอยู่ตรงนี้มากกว่านี่ครับ”
ผมส่งสายตาเอือมๆ ใส่มัน “พูดดีไปเถอะ เมื่อคืนถึงห้องกี่โมง บอกให้ไลน์มา”
“ไม่ได้ลืมนะครับ แค่เผลอหลับ”
เจ้าตัวยิ้มแห้ง ผมบอกให้มันไลน์มาบอกทุกครั้งเวลากลับถึงห้อง จะได้รู้ว่าไม่ได้ไปเสยฟุตบาทที่ไหน เมื่อคืนก็อุตส่าห์ถ่างตารอตั้งนานมันก็ยังไม่ไลน์มา โทรไปก็ไม่รับ
“ไม่ต้องห่วงครับ ไม่พาพี่ลงข้างทางแน่นอน”
“นึกถึงตัวเองมั่งก็ได้ ถ้าไม่ไหวก็บอก” คนเราไม่ได้จะเก่งไปซะทุกอย่างหรือแข็งแรงได้ตลอดเวลาสักหน่อย “เอางี้ไหม ให้กูขับตอนมาบ้านกู แล้วมึงก็ขับกลับคอนโดมึง” ผมเสนอ อย่างน้อยมันจะได้ไม่เหนื่อยมาก งีบระหว่างทางสักแป๊บก็ยังดี
ไอ้โซลเลิกคิ้ว ดูแล้วค่อนข้างไม่เห็นด้วย มันวาดแขนมาพาดบนพนักเก้าอี้ของผม “พี่นั่งอยู่ข้างๆ ผมก็พอแล้วครับ”
“ไม่ไว้ใจกูขนาดนั้นเลย? เออ ใครจะไปเก่งแบบมึงล่ะ คนหรือเครื่องจักรวะ พักชาร์ตแบตชั่วโมงเดียวก็เต็มแล้วงี้เหรอ”
ผมกอดอก มุ่ยหน้า เข้าใจที่มันเป็นห่วง แต่มันกลับไม่เข้าใจว่าผมรู้สึกแย่ที่ทำให้มันต้องลำบาก แค่จะยื่นมือช่วยเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่ให้ทำ ดูแลให้ผมสะดวกสบายไปหรือเปล่า
“เป็นห่วงก็บอกดีๆ สิครับ อารมณ์เสียกลบเกลื่อนทำไม” มันยิ้มขำ ใช้หลังนิ้วแตะแก้มผมเบาๆ
“ย...อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง!” ไอ้นี่หนิ วกเข้าเรื่องโลกร้อนตลอด
“ไม่ใช่ผมไม่เข้าใจพี่นะครับ แต่อยากให้พี่รู้ว่าผมปล่อยให้พี่เป็นอะไรไปไม่ได้จริงๆ” มันพูดออกมาด้วยท่าทีสบายๆ แต่กลับแฝงความจริงจังเอาไว้ในน้ำเสียง “ให้ผมดูแลเถอะนะ”
ข้าวที่ตักเข้าปากคำล่าสุดคำใหญ่มาก อยากจะเคี้ยวเล่นอยู่อย่างนั้นสักสิบนาที เอาเป็นว่าถึงผมห้ามยังไงมันก็ทำตามใจตัวเองอยู่ดีเลยเลือกที่จะไม่เซ้าซี้ต่อ เมื่อเห็นผมเงียบไปมันก็เอานิ้วมาแตะๆ แก้มผมอีก
“เคยบอกแล้วไงครับว่าอย่าอมข้าว”
ข้าวในปากเกือบพุ่งเหมือนวันนั้นไม่มีผิด ครั้งที่สองที่ผมเจอกับมันที่โรงอาหารของคณะสถาปัตย์ฯ แล้วผมก็เคยบอกมันไปแล้ว(ในใจ)ว่าอย่าจ้อง เดี๋ยวพ่นข้าวใส่หัวแม่ง
“อย่าคิดมากนะครับ ที่ผมทำให้พี่ทุกอย่างผมเต็มใจ”
ลึกๆ ผมก็รู้ แต่ก็อดเกรงใจไม่ได้อยู่ดี
“งั้นไม่ขับให้ฟรีก็ได้ พี่ต้องจ่ายผมทุกวัน”
ผมกลืนข้าวลงคอ ยกน้ำขึ้นดื่ม “อืม คิดเท่าไหร่”
อย่างน้อยถ้าได้ตอบแทนมันบ้างจะได้ดูไม่เอาเปรียบมันเกินไป ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้จ้องมันอย่างรอคำตอบ ไอ้โซลทำท่าคิดอยู่ไม่ถึงครึ่งนาทีก็เอียงหน้าเข้ามาหาแล้วใช้นิ้วจิ้มไปที่แก้มตัวเอง “ข้างไหนก็ได้ 1 ที แต่ถ้าวันไหนเหนื่อยมากขอ 2 ข้าง ตกลงไหมครับ”
ตกลงกับผีน่ะสิ!
ผมใช้นิ้วชี้ดันหน้ามันออกไป เจ้าตัวร้องโอย ลูบแก้มตัวเองพลางหัวเราะ เมื่อกี้อุตส่าห์จริงจัง กำลังคิดว่าจะจ่ายค่าน้ำมันให้แล้วเพิ่มค่าเหนื่อยเข้าไปอีก ลืมไปคนอย่างมันเหรอจะมาอยากได้เงิน ผมหลงกลมันไปกี่รอบแล้วเนี่ย
“ผมไม่ได้ล้อเล่นนะ”
“พอเลย! อยากขับก็ขับไปคนเดียว กูจะนั่งเฉยๆ จะไม่ช่วยอะไรสักอย่าง จะไม่ถามแล้วด้วย”
ไอ้โซลพยักหน้ารับตามทุกคำพูดของผม ยกมือที่พาดอยู่บนพนักเก้าอี้ขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ “ดีมาก ผมก็จะไม่บ่นสักคำเลย”
ผมหน้ามุ่ยกว่าเดิม เข้าทางมันจนได้สิน่า
“อะแฮ่ม! เอ่อ...โทษที ความอิจฉาติดคอน่ะ” เสียงกระแอมไอทำให้ผมละสายตาออกจากไอ้โซล หันไปมองรอบโต๊ะถึงเห็นว่าทุกคนกำลังมองมาทางนี้
“เหมือนจะติดคอพี่ด้วย ขอน้ำหน่อยค่ะ” พี่ปุ้ยก็เป็นไปกับหนิงอีกคน
อะไร ผมแค่คุยกับไอ้โซลเอง
“นั่งกันเกือบสิบคนแต่รู้สึกเป็นส่วนเกินฉิบหาย” ไอ้ตัวโจ๊กว่า มองมาที่ผมด้วยสายตาเคืองๆ ก่อนจะหันไปพูดกับคนใส่แว่นที่นั่งข้างๆ “กูบอกแล้วว่าฉากวันเกิดเขาไม่ได้แสดง มึงเห็นความเรียลตรงหน้าไหม”
“อืม เหมือนอะไรจะชัดขึ้นมาแล้วล่ะ” ว่าพลางดันแว่นขึ้นเหมือนกำลังวิเคราะห์ “กูยังไม่เคยเทคแคร์แฟนกูขนาดนี้เลยว่ะ ไอ้โซลแม่งไอดอล”
ไอ้ตัวโจ๊กพยักหน้าเห็นด้วย ปากระดาษทิชชู่ใส่ไอ้โซล “อีกหน่อยมึงไม่แบกพี่ซีนเดินไปเดินมาเลยเหรอ หมั่นไส้ว่ะ”
“ถ้าพี่ซีนยอมให้แบกนะ”
ผมฟาดมันไปที “ยังจะไปเล่นด้วยอีก!”
คนรอบโต๊ะเบ้ปาก แซวเอง หมั่นไส้เอง พวกผมผิดอะไรวะ สายตาทุกคนที่มองมาอย่างจับผิดทำเอาผมต้องยกมือขึ้นเกาแก้มตัวเองพลางมองไปทางอื่น
“ใช่ค่ะ ยังอีก” พี่ปุ้ยว่าด้วยน้ำเสียงเอือมๆ อย่าบอกนะว่าพี่เข้าใจหัวอกผมแล้ว “ยังไม่เห็นอีกเหรอคะว่าตาร้อนกันหมดแล้ว”
“เฮ้ย ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” นั่งอยู่เฉยๆ แล้วเนี่ย
“หมายถึงน้องโซลน่ะค่ะ จะโอบพี่เขาอีกนานไหม”
“อย่าว่าแต่โซลเลยพี่ปุ้ย ซีนก็นั่งเฉยๆ ให้น้องมันแตะนู่นลูบนี่อยู่ได้ ไม่ต่างกันทั้งสองคนนั่นแหละ” พอหนิงว่าแบบนั้นผมเลยเด้งตัวขึ้น เมื่อกี้พิงพนักเก้าอี้อยู่ซะนานสองนาน โอบอะไรล่ะ มันก็แค่เมื่อยแขนหรือเปล่า
“แค่นี้ก็คิดกันเป็นตุเป็นตะ”
หนิงกลอกตา “จ้า ไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไร” ก่อนจะลุกขึ้นเพราะมีทีมงานเรียกให้ไปเปลี่ยนชุด ไอ้โซลก็ด้วยเหมือนกัน “ไปเถอะโซล เบื่อคนแถวนี้”
เจ้าของชื่อบิดขี้เกียจเล็กน้อย อมยิ้มนิดๆ “ไม่เห็นจะเบื่อเลย”
“โอ้ย ฉันจะทนไม่ไหวแล้วนะ!” หนิงปรี๊ดแตก แต่ไอ้ตัวต้นเหตุกลับหัวเราะ ผมมองตามหนิงที่ก้าวฉับๆ ไปแต่ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงบ่นไปตามทาง “คนนึงก็ใส่เต็ม อีกคนก็ไม่รู้ตัว อากาศก็ร้อน น่าอารมณ์เสียไปหมด!”
นั่นแม่คุณโมโหเหรอ... ผมมองคนข้างๆ มันยักไหล่ วางมือลงบนหัวผมอีกครั้งแบบไม่สนใจอะไรทั้งนั้นก่อนจะเดินตามหนิงไป เหลือทิ้งไว้เพียงความอุ่นบนศีรษะที่เผื่อแผ่ลงมายังใบหน้าของผมด้วยเท่านั้น...
อะไร...มองอะไรกัน ผมยอมให้มันลูบหัวแล้วไง ก็ดีกว่าให้มันตบหัวผมไหมล่ะ ไม่เห็นจะมีอะไรให้เดือดร้อนสักหน่อย คิดอะไรให้มากมายเล่า!
-
ไหนใครบอกจะไม่บ่นให้ได้ยินสักคำ
“ผมลืมตาไม่ขึ้นแล้ว เดินจะไม่ไหวแล้วด้วย” แล้วไอ้คนที่หลับตาเดิน เอามือมาเกาะไหล่ให้ผมนำทางอยู่ตอนนี้คืออะไร
“พี่โป้งแกล้งผมเปล่าวะ กับอีแค่วิ่ง”
“หน้ามึงไม่ได้ฟีลหรือเปล่า” ผมกลั้นขำ พี่โป้งให้มันวิ่งขึ้นลงบันไดเกือบสิบรอบ ไม่รู้จุดไหนที่พี่แกไม่พอใจ หรือจะเป็นจุดที่มันกวนตีนก็ไม่รู้
หนิงไม่ได้หยุดแซวพวกผมเลยแม้แต่น้อย และไอ้โซลก็เล่นด้วยทุกครั้งจนพี่โป้งทำหน้าเหม็นเบื่อ ด่าเหมารวมมาโดนผมด้วยอีกต่างหาก
“เอ้า ถึงแล้ว” ผมจับมือที่วางอยู่บนไหล่ตัวเองออก หันหลังไปก็เห็นว่ามันค่อยๆ ลืมตาขึ้น “กูจะกลับบ้านได้อย่างปลอดภัยใช่ไหม”
“แน่นอนสิครับ” แต่เสียงดูอ่อยพิกล ผมมองมันอย่างไม่ไว้ใจ ตัวมันยังเหงื่อซกอยู่เลย
“ขอความจริง”
คนตรงหน้ายิ้มแหย ยกมือลูบหน้าตัวเองแรงๆ “เหนื่อยมากเลยครับ” สุดท้ายมันก็พูดออกมา ผมกอดอก รอฟังคำสารภาพ
“ตอนนี้ผมง่วงมาก ขับไปส่งพี่ที่บ้านไม่ไหวแน่ๆ เพราะมันไกล”
“อือฮึ”
“แต่ผมขับไปคอนโดผมได้ ไปนอนห้องผมเนอะ”
“ฮะ”
แววตาอ่อนล้าไม่มีทีท่าล้อเล่น “เราจะกลับถึงห้องผมอย่างปลอดภัยแน่นอน”
ไม่ได้กังวลในเรื่องนั้น ผมแค่ตกใจเพราะมันผิดคาดจากที่คิดไปหน่อย คิดว่ามันจะให้ผมขับซะอีก แต่ลืมไป ผมมันขับรถห่วย
ผมมองนาฬิกา เกือบตีสามแล้ว ถ้ามันมัวแต่ไปส่งไปรับผมมันคงไม่ได้นอนกันพอดี
“ถ้ามึงโอเค เอาอย่างนั้นก็ได้”
…
ไม่ได้มาห้องมันร่วมเดือน ผมยืนพิงโต๊ะที่มันใช้ทำงาน ตอบข้อความของเฟิร์สที่ส่งมาตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงที่แล้ว บอกผมเกี่ยวกับกระแสคู่จิ้นเพราะเฟิร์สลงรูปที่ถ่ายคู่กับผมในอินสตาแกรม แล้วแฟนคลับก็แคปมากรี๊ดในทวิตเตอร์กันใหญ่ มีแท็กใหม่เพิ่มขึ้นมาด้วย
@meenY
ตอกเรือด่วนนนนนนนนนนนน #ทีมพระรอง #เฟิร์สซีน
@kaoaam
แม่คะ อีกนิดแก้มเขาก็เบียดกันแล้วค่ะ #ทีมพระรอง #เฟิร์สซีน
@dollpk
เรือผีจงเจริญ!!! โอยใจน้อง T T #เฟิร์สซีน
@l3ethk
เป็นแค่พระรองในเรื่องแร้วงัยใครแคร์ #ทีมพระรอง #เฟิร์สซีน
@pHewpew
สับสนไปหมดแร้วววว #โซลซีน #เฟิร์สซีน
@meengenmai
ซีนนี้ ใครครอง #โซลซีน #เฟิร์สซีน
“ชุดครับ”
“ขอบใจ” รับเอาของที่คนตรงหน้ายื่นให้มาวางไว้บนโต๊ะ มีผ้าเช็ดตัว ชุดนอนแล้วก็แปรงสีฟันอันใหม่
“พี่ดูอะไร”
“ดูมึงตกกระป๋อง” ผมว่าพลางยื่นโทรศัพท์ให้ดู ในนั้นทีมพระรองเต็มไปหมด
ไอ้โซลขมวดคิ้ว ดูไม่ค่อยชอบใจ “อย่าไปอยู่ใกล้มันมากสิครับ” ว่าเสียงขุ่น ทั้งที่มันก็อยู่ในเหตุการณ์ อีกอย่างผมให้โฟกัสที่ข้อความของแฟนคลับไม่ใช่ให้ดูรูปซะหน่อย
“ถ่ายคู่กันจะให้ยืนห่างเป็นเมตรหรือไงล่ะ”
“พี่ไม่รู้หรอกว่ามันคิดอะไรข้างใน”
“แล้วมึงรู้เหรอ”
“รู้ครับ”
“รู้ว่า”
“พี่อย่าไปอยู่ใกล้มันก็พอน่า”
“เฟิร์สนิสัยดีจะตาย”
“มันก็ดีแต่กับพี่นั่นแหละ”
“จะให้เขาดีกับมึงได้ยังไงล่ะ ก็ตั้งแง่กับเขาขนาดนั้น”
“ผมไม่ได้อยากเป็นมิตรกับมันสักหน่อย”
“เลิกทะเลาะกันได้แล้ว ไม่เหนื่อยหรือไง”
“ช่วยไม่ได้นี่ครับ ช่างผมเหอะ แต่พี่น่ะ ห้ามอยู่กับมันสองต่อสองนะ ไม่น่าไว้ใจ”
“บอกแล้วไงว่าเฟิร์สก็เพื่อนกูนะ แล้วทำอย่างกับกูอยู่กับเฟิร์สบ่อยอย่างนั้นแหละ มึงก็มาขวางตลอดไม่ใช่ไง”
“ฟังผมมั่งก็ได้มั้ง”
“ขอเหตุผลดีๆ แล้วจะทำตาม”
ไอ้โซลนิ่งไปครู่ เหมือนจะพูดแต่ก็ไม่พูดอยู่ร่วมนาที สุดท้ายก็ทำเพียงแค่ถอนหายใจ จับโทรศัพท์ในมือผมแล้วกดเข้าไปอีกแท็กนึงแทน “ดูอันนี้จรรโลงใจกว่าเยอะ”
ผมเบ้ปากใส่ไอ้คนที่เดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเข้าห้องน้ำไป เถียงไม่ได้ล่ะสิ ก้มลงมองหน้าจอก็อดเลื่อนดูไม่ได้ ในแท็กนี้ก็มีประเด็นเกี่ยวกับที่เฟิร์สอัพรูปคู่กับผมเหมือนกัน
@ishipyounaokay
พี่โซลทำอะไรบ้างสิคะ!! T^T #ทีมพระเอก #โซลซีน
@kungpeuak
กัปตันกลับมากู้เรือหน่อยเร๊วว #โซลซีน
@fxxfullp
เป็นได้แค่คนขับรถของเธอสินะ... #โซลซีน
@nefdb91
สองลำ ดีกว่าลำเดียว #โซลซีน #เฟิร์สซีน
@nongwaii
เอาแล้วว พระรองออกตัวบ้างแล้ว วอนคุณพระเอกอย่าเงียบไปแบบนี้อิน้องใจบ่ดี #กำเสื้อชูชีพแน่นมาก #โซลซีน
@oohhoo
ตั้งสติค่ะทุกคน เราต้องใจร่มๆ และเชื่อมั่นในตัวกัปตันของเรานะคะ! #ทีมพระเอก #โซลซีน
ผมขำออกมาเล็กน้อย ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจภาษาที่พวกเธอใช้เท่าไหร่ก็ตาม แค่อัพรูปคู่หรือมีอะไรเกี่ยวข้องกันเล็กๆ น้อยๆ พวกเธอก็สามารถขยายความคิด เติมแต่งจินตนาการเข้ากันได้เป็นเรื่องเป็นราว ผมนับถือความสามารถเหล่านั้นจริงๆ จากใจ
ผมเข้าไปอาบน้ำต่อจากไอ้โซล เมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อยก็อยู่ในชุดนอนหลวมโพรกของเจ้าของห้อง มันเอาชุดแขนยาวขายาวให้ผม บอกว่าเพราะผมขี้หนาว ก็ดีอยู่หรอกแต่ผมต้องคอยถลกทั้งแขนเสื้อ ทั้งขากางเกงที่ยาวละพื้นเวลาขยับตัวไปไหน ไม่งั้นได้ลื่นหัวแตก
“มียางไหม กางเกงจะหลุด” ว่าพลางดึงกางเกงขึ้นไปด้วย ไอ้โซลหุ่นดี ความหนาของตัวคือกล้ามเนื้อและหกห่อของมัน ส่วนผมที่ไม่รู้จะเอาอะไรไปหนาเลยใส่ของมันได้ไม่พอดี
“จะนอนอยู่แล้ว ไม่ต้องมัดหรอกครับ หลุดมันก็หลุดอยู่ในผ้าห่มนี่แหละ”
ผมแยกเขี้ยวเมื่อเห็นรอยยิ้มแปลกๆ ที่ส่งมา แต่จริงๆ ก็ถูกของมัน เดี๋ยวอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องตื่นแล้ว เลยเดินไปปิดไฟดวงใหญ่แล้วก้าวขึ้นเตียง
เวลาในโทรศัพท์บอกว่ามีเวลานอนอีกสามชั่วโมง แชทที่ถูกส่งมาต่อเนื่องทำให้ผมต้องตอบกลับไปอย่างช่วยไม่ได้
“นอนได้แล้วครับ”
“นอนไปก่อนเลยหรือแสบตา ปิดได้นะ” ผมว่า เอื้อมมือจะไปปิดโคมไฟตรงโต๊ะข้างเตียงฝั่งที่ผมนอน
“ไม่ได้ครับ เสียสายตาแย่”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า มึงจะได้นอน”
“เปิดไฟทั้งห้องผมก็ไม่ว่าแต่พี่น่ะนอนได้แล้ว”
“อือ แป๊บนึง”
ไอ้จั๊มพ์ทักมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบทั่วไป ผมด่ามันไปชุดนึง ทักมาถามบ้าอะไรตีสี่ แต่ก็เล่าให้มันฟังเกี่ยวกับที่ถ่ายทำไปเล็กน้อย
“เป็นไรของมึง นอนไปสิ ใครบอกว่าง่วงนักง่วงหนา หรือไม่พอใจที่ตกกระป๋อง” หางตาผมเห็นมันนอนตะแคงข้างหันมาทางผม หน้าตาบึ้งตึง
“คนชอบเรามากกว่าเห็นๆ อีกอย่างถ้าพวกเขารู้ว่าพี่นอนอยู่ข้างๆ ผมตอนนี้ล่ะก็...”
คนพูดยกยิ้ม “เขาต้องบอกว่าเราเป็นผัวเมียกันแน่เลย”
ป้าบ!
“บ้าสิ!”
คนถูกตีหัวเราะชอบใจ ผมพึมพำคำด่าออกมาไม่เต็มเสียง พลิกตัวตะแคงหนีไปอีกด้าน ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นที่แฟนคลับพูดคุยกันทำนองนี้ แต่พอได้ยินไอ้คนด้านหลังพูดเอาเองก็เกิดอาการแปลกๆ ขึ้นมาอีก
อันที่จริงอาการเหล่านี้ไม่เคยหายไป มันยังคงเป็นอยู่เรื่อยๆ ทุกครั้งที่เจอไอ้ตัวต้นเหตุ แต่ผมเลือกที่จะข่มเอาไว้เสียมากกว่า ไม่อยากเห็นมันทำหน้าได้ใจไปมากกว่านี้ แล้วยิ่งช่วงนี้อยู่ๆ อาการก็เริ่มลุกลาม แค่นึกถึงมันก็รู้สึกยุกยิกในอกเหมือนมีอะไรมันงอกขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างนั้นแหละ
ที่แปลกกว่าคงเป็นผมรับรู้...แต่ไม่ได้ปฏิเสธอะไร
ผมตอบไอ้จั๊มพ์เสร็จ เลยตอบข้อความของเฟิร์สที่ค้างเอาไว้ก่อนไปอาบน้ำด้วย เมื่อเฟิร์สเห็นผมยังไม่นอนก็เลยชวนคุยต่อ
คนด้านหลังขยับตัว ไม่รู้ทำไมไม่ยอมหลับยอมนอนสักที เตียงยวบลงใกล้ๆ ตัวกับไออุ่นที่แผ่ออกมาทำให้ผมรู้ว่ามันขยับเข้ามาจนแทบชิด
“นอนครับ”
“ขออีกแป๊บ” จะให้ตัดบทเฟิร์สยังไงเล่า
“คุยกับไอ้นั่นเหรอ”
“อือ เฟิร์สถามเรื่องคิวถ่ายอยู่”
“ตาตัวเองจะปิดอยู่แล้ว พี่ไม่ต้องไปเกรงใจมันนักก็ได้”
“อีกนิดนึง”
ได้ยินเสียงถอนหายใจฟึดฟัด ก่อนที่เอวผมจะถูกรัดด้วยวงแขนแกร่ง เผลอปล่อยโทรศัพท์ตกลงบนที่นอนเพราะความตกใจ
“ทำอะไร!”
“เลิกคุยกับมัน”
มือที่กำลังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาใหม่ชะงัก ไม่เชิงเป็นประโยคคำสั่ง แต่น้ำเสียงนั้นเรียบจนผมแปลกใจ
“ป...ปล่อยก่อน”
แต่อีกคนกลับทำในสิ่งตรงกันข้าม กระชับวงแขนให้แน่นขึ้น
“โซล”
“ครับ”
“ไม่...ไม่คุยแล้ว จะนอนแล้ว”
เจ้าของอ้อมกอดคลายออก คว้าเอาโทรศัพท์ผมไปวางไว้บนโต๊ะ ดับแสงโคมไฟจนทั้งห้องมืดสนิท แล้วช่วงเอวผมก็ถูกกอดเอาไว้หลวมๆ แทน
“ไม่ได้คุยแล้วไง”
“ไม่ได้บอกว่าจะปล่อยสักหน่อย”
“ไม่เล่นนะ”
“ผมจริงจัง”
“โซล!”
“ฝันดีครับ”
ผมจิ๊ปาก ทำแบบนี้จะให้ผมหลับลงได้ยังไง พอจะขยับตัวออกก็ยิ่งถูกกอดแน่นขึ้นจนอุ่นวาบไปทั้งแผ่นหลัง รับรู้ถึงลมหายใจที่เป่ารดอยู่บนศีรษะ และสัมผัสได้ถึงอวัยวะในอกของอีกฝ่ายที่เต้นแรงเป็นจังหวะเดียวกันกับของตัวเอง
ดูท่าแล้วผมคงไม่หลุดจากวงแขนของมันโดยง่าย ร้องบอกให้ปล่อยก็ไม่หือไม่อือ ใช้ความเงียบและอ้อมกอดที่แนบแน่นเป็นคำบอกปฏิเสธ ผมเลยจำใจต้องปล่อยเลยตามเลยเสียเอง แม้จะเป็นสถานการณ์ที่ชวนข่มตาลงได้ยากแต่ความเหน็ดเหนื่อยที่สั่งสมมาทั้งวันทำให้ผมจมลงสู่ห้วงนิทราอย่างช้าๆ
และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอ้อมกอดนั้นแผ่ซ่านความอบอุ่นเข้าไปถึงหัวใจ...
“หลับหรือยังครับ...” เสียงกระซิบแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบ สติของผมก้ำกึ่งอยู่ระหว่างความฝันกับความเป็นจริง น้ำเสียงนั้นอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง แต่น่าเสียดายที่บางคำก็ได้ยินชัดเจน...แต่บางคำกลับขาดหายไป
“..ผม...ช..พี่...”
“...จน..จ..บ้าอยู่แล้...”
“..รู้หรือยัง..”
-
พี่ซีนไม่รู้นี่โทษโซลเลยนะ มาถามไรตอนหลับเล่า โถ่เอ๊ยยย
ให้เวลาคุณพี่กันหน่อยนะคะทุกคน เดี๋ยวเจอโซลรดน้ำพรวนดินบ่อยๆ ต้นรักเติบโต คนพี่ก็เสร็จน้องเอง---
เหลือมิดเทอมอีกตัวเดียวเอง เย้เย้เย้
ติชมได้ค่า #ข้างหลังฉาก หรือจะ #โซลซีน ก็ได้เห็นมีคนติดแท็กนี้55555
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ เจอกันตอนหน้าเน้อ ^ ^