คำเตือน : ยาวมากค่ะ โคตรยาว แต่เพราะเป็นตอนแทรก .5 เลยไม่แบ่ง อ่านรวดเดียวเลยละกันนะคะ (มีทั้งหมด 5 รีพลายค่ะ ^^)
● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
49.5 – TILL THE SPRING COMES
ผมวางกระเป๋าใบสุดท้ายไว้บนพื้นห้อง รู้สึกอ่อนเพลียจากการเดินทาง หลับบนรถอย่างไรก็ไม่สนิท โดยเฉพาะหากก่อนหน้านั้นเพิ่งอดตาหลับขับตานอนเพื่อทุ่มเทให้กับการอ่านหนังสือสอบ อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องดีที่จะได้กลับบ้านช่วงนี้ มีเรื่องราวให้ชื่นใจหลายอย่าง ที่ดินซึ่งป๊าประกาศขายมาตั้งนานมีคนมาติดต่อขอซื้อแล้ว ได้ราคาดีเสียด้วย ทั้งที่คิดว่าคงขายไม่ออกแล้วแท้ ๆ ม้าเล่าว่าป๊ายิ้มร่าไปทั้งวันทีเดียว ตอนนี้คงไปดูที่กันอยู่
เสียงฝีเท้าตึงตังดังจากด้านหลัง หันไปมองก็เห็นน้องสาวคนโตวิ่งโครมครามขึ้นบันไดมาหา ตะโกนลั่นไปด้วยอย่างไม่รักษาภาพพจน์กุลสตรี โชคดีที่ป๊าไม่อยู่บ้าน ไม่เช่นนั้นทำเสียงอึกทึกออกขนาดนี้คงโดนดุกันถ้วนหน้าแล้ว
“เฮียกลับมาเมื่อไหร่เนี่ย! สาไม่เห็นรู้เรื่องเลย มาเงียบเชียว”
ผมยิ้ม ส่ายหน้าน้อย ๆ ถามหาน้องชายอีกคนที่ปกตินอนห้องเดียวกัน แต่ตอนนี้ไม่ยักเห็นวี่แวว “คีมล่ะ?”
“ไปทำการบ้านกับเพื่อนแน่ะ บอกเดี๋ยวเที่ยง ๆ กลับ”
“โอ้” ผมเลิกคิ้ว ทำทีเป็นตกใจนิดหน่อย “ขยันนี่”
วัสสานะยักไหล่ กลอกตาไปด้วย “ไปเล่นนั่นแหละ บอกเที่ยงแต่กว่าจะกลับก็โน่น บ่าย ๆ เดี๋ยวก็เล่นเพลินอีก”
ผมหัวเราะกับท่าทางของน้องสาว เธอเป็นเด็กมัธยมปลายที่ยังสดใสตามวัย แต่เมื่อพูดถึงน้อง ๆ อีกสองที่เหลือทีไรก็มักเพิ่มอายุให้ตัวเองลงไปในคำพูดคำจาเสมอ อาจเป็นเพราะความตั้งใจ (มาก ๆ) ของตัวเธอ อย่างที่เคยบอกผมไว้ว่าจะเป็นคนดูแลน้องเองช่วงที่ผมไปเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย
“เด็กก็งี้แหละ” อดไม่ได้จนเผลอแก้ต่างให้นิดหน่อย คิมหันต์เพิ่งเรียนประถมสามเท่านั้นเอง
เธอเดินเข้ามาใกล้ ก้มลงช่วยเก็บกระเป๋าที่วางเอียงกระเท่เร่ของผมไปพิงตู้ให้เรียบร้อย “เฮียกิน’ไรยัง”
“กินเมื่อเช้าแล้ว”
“ข้าวหรือขนมปัง”
ผมเหลือบมองวัสสานะซึ่งกำลังยักคิ้วหลิ่วตา ติดจะยียวนหน่อย ๆ ใครกันนะช่างสอนเธอทำหน้าตาแบบนี้ ชักจะคล้ายเด็กผู้ชายเข้าไปทุกที “กินอะไรก็เหมือนกันนั่นแหละ”
“นั่นไง!” แม่น้องสาวยิ้มร่า ทำท่าเหมือนจับได้คาหนังคาเขาว่าผมกำลังทำผิด “แค่นั้นจะไปอิ่มอะไรเล่า กินข้าวไหม”
“ใกล้เที่ยงแล้ว รอตี๋เล็กกลับก่อนก็ได้ แล้วสิล่ะ?” ผมเปลี่ยนเรื่อง ถามไปถึงน้องสาวคนรอง
“พ่อน้องชายที่รักสาว่าคงกลับบ่ายโน่นแหละ ส่วนสิวันนี้ไปทำงานกลุ่มที่โรงเรียน อันนี้ทำจริงไม่ได้ขี้โม้อย่างอาตี๋” เธอแจกแจง ใส่อารมณ์ลงไปด้วยนิดหน่อย “ส่วนป๊ากับม้าบอกว่าไปดูที่กับดูตึกแถว เย็น ๆ คงกลับ ให้หาข้าวกินกันไปก่อนได้เลย”
ผมพยักหน้า ยื่นมือไปลูบผมเธอแผ่วเบา “เหนื่อยไหม”
“หือ?”
“เป็นเจ้ใหญ่ของเด็ก ๆ”
เธอทำหน้ายุ่ง เตะหน้าแข้งผมเบา ๆ บ่นว่า “จิ๊บ ๆ น่า” จากนั้นก็เริ่มพูดงึมงำเรื่องโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงมีเลศนัย
“มี คน โทร มา หา เฮีย ด้วย ละ” “หืม?” เหมือนจะหัวใจเต้นผิดจังหวะไปนิดหน่อยเลยทีเดียว มีคนโทรมาหาผมด้วยเบอร์บ้าน ผมยังทำหน้านิ่งอยู่ได้ แต่แวบหนึ่งที่เผลอคาดหวังไปแล้วว่าจะเป็นเขา “ใครหรือ?”
“พี่เอก”
“...”
“แน่ะ!..หน้าบานเลย”
“เปล่านี่” ผมเลิกคิ้วอย่างร้อนตัว เสมองไปทางอื่น ทำทีเป็นรื้อของออกจากกระเป๋า พึมพำไปด้วยอย่างไม่ใส่ใจนัก “...แล้ว..เขาว่าไงบ้างล่ะ”
“ถามว่ากลับหรือยัง ถึงบ้านแล้วให้โทรหาด้วย”
“อ้อ”
“ช่วงที่เฮียไม่อยู่ พี่เอกเขาก็มาบ้างเหมือนกันนะ” วัสสานะเล่าต่อ ย่อตัวลงนั่งบนขอบเตียง “แต่พอไม่เจอเฮียก็อยู่ไม่นานเท่าไหร่ เหมือนมาทักทายกับดูเฉย ๆ ว่าเฮียอยู่บ้านหรือเปล่า”
เขาไม่เห็นเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังเลย
“มาบ่อยไหม?”
“ก็บ่อยอยู่ เหมือนจะทุกครั้งที่เขากลับบ้านนั่นแหละ ดีเนอะ..มีเพื่อนที่สนิทที่คบกันมานานออกขนาดนี้ก็ยังไปมาหาสู่บ่อย ๆ ไม่เหมือนส่วนใหญ่ที่พอขึ้นมหา’ลัยแล้วเขาก็ห่าง ๆ กัน”
ผมเงี่ยหูฟังเธอพูดเงียบ ๆ ใจคิดว่าหากเป็นแค่เพื่อนสนิทจริงอย่างเธอและคนอื่นเข้าใจ เรื่องคงง่ายขึ้นกว่านี้มากทีเดียว
“เอ้อนี่..มีข่าวดีจะบอกด้วยละ” เธอยิ้มกริ่ม “ป๊าบอกจะซื้อมือถือให้เฮียแหละ ไปอยู่ไกลบ้านจะได้ติดต่อกันสะดวก ตอนนี้บ้านเราตั้งเนื้อตั้งตัวได้ เฮียก็เลิกขี้เหนียวจัดได้แล้ว”
“อันหลังนั่นเติมเองหรือป๊าบอก”
น้องสาวตัวดีแลบลิ้นเผล่ กลอกตาขึ้นมองเพดาน จากนั้นก็หัวเราะออกมา เป็นอันยอมรับว่าประโยคหลังนั้นเพิ่มเอาเอง
วัสสานะก็เป็นอย่างนี้ เธอเป็นห่วงคนอื่นเสมอ อาจเป็นเพราะหากนับจากพี่น้องแล้ว เธอเป็นลูกคนที่สองในบรรดาพี่น้องสี่คน อายุห่างจากผมแค่ปีเดียว มีน้อง ๆ ต้องดูแลอีกสองคน ซึ่งป๊ากับม้าก็บอกเสมอว่าให้รักกัน เธอออกจะช่างเป็นห่วงน้องอีกสองคนมากกว่าใครด้วยซ้ำ ระหว่างที่ผมไม่อยู่ก็กลายเป็นเจ้ใหญ่ของเด็ก ๆ ไปโดยปริยาย แต่ละคนชอบทำอะไร ของโปรดหรือของที่เกลียด หรือหากพวกเขาไม่อยู่จะไปตามได้ที่ไหน ดูเหมือนว่าเธอจะรู้ดีที่สุด
“อย่าลืมโทรหาพี่เอกนะ” เธอกำชับ
ผมพยักหน้า ก่อนที่เธอจะเดินวนเวียนอย่างพยายามช่วยอีกครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วก็กระโดดกอดคอจากข้างหลังอย่างขี้เล่นหนึ่งที จากนั้นจึงเดินออกจากห้องลงไปชั้นล่าง บอกจะไปดูว่าข้าวสุกหรือยัง
ผมใช้เวลาอยู่กับตัวเองอีกครู่ใหญ่ ครุ่นคิดถึงคนที่บอกว่าถึงบ้านแล้วให้โทรหาก็อดอมยิ้มออกมาไม่ได้ พี่เอกตอนนี้คงอยู่ที่ราชบุรีเหมือนกัน เขากลับบ้านบ่อยกว่าผมเสียอีกหากฟังจากที่วัสสานะเล่า ร่วมกับที่เขาบอกผมเวลาเราคุยกันทางโทรศัพท์หรือกระทั่งส่งจดหมายในบางครั้ง
พี่เอกเป็นรุ่นพี่ที่อายุห่างจากผมสองปี เห็นหน้ากันตั้งแต่ผมย้ายเข้าโรงเรียนใหม่ตอนขึ้นประถมปลาย ส่วนเขาเรียนที่นั่นอยู่แล้ว
ตอนนั้นเราไม่ได้คุยกันมากนัก เขาอยู่ประถมหก ผมประถมสี่ ห้องเรียนอยู่คนละชั้น และไม่ค่อยได้มีกิจกรรมร่วม แต่โรงเรียนไม่ใหญ่มาก ผมรู้จักเขาเพราะได้ยินชื่อจากเพื่อนผู้หญิงเป็นประจำ เรียกว่าเป็นที่นิยมในหมู่นักเรียนหญิงเอาการทีเดียว และเพราะเขาดังอย่างนั้น คำว่า
รู้จักของผมจึงหมายถึงการที่ผมรู้จักชื่อและหน้าของเขาฝ่ายเดียว และคิดว่าเขาคงไม่รู้ว่าผมเป็นใคร
แต่ดูเหมือนผมจะคิดผิดเรื่องนั้น ผมเพิ่งรู้ตัวตอนเลือกวิชาชมรมในภาคการศึกษาที่สอง ตอนนั้นฐานะทางบ้านเราไม่ดีนัก วัสสานะอายุแปดขวบ สิสิรสี่ขวบ ส่วนคิมหันต์ยังไม่เกิด บ้านที่อาศัยไม่ใช่หลังปัจจุบันนี้ เป็นบ้านครึ่งอิฐครึ่งไม้เก่า ๆ เราเปิดร้านขายของชำไปด้วย ป๊ารับผักมาขายส่งในตลาด ม้าทำธุรกิจขายตรงและทำขนมส่งวางขายตามร้านต่าง ๆ ในละแวก เก็บหอมรอมริบเพื่อเลี้ยงดูลูก ๆ สามคน พร้อมกับขยับขยายฐานะไปด้วย เรามีที่ดินเก่าไม่สวยนักที่ยังไม่มีต้นทุนสำหรับสร้างประโยชน์อันใด และประกาศขายมานานแต่ยังไม่มีคนสนใจซื้อจนป๊าเริ่มถอดใจกับมัน
ผมช่วยงานทุกอย่างของครอบครัวเท่าที่จะสามารถทำได้ ในฐานะลูกชายคนโตเช่นนี้ ดูเหมือนจะมีภาระที่มองไม่เห็นแบกไว้บนหลังตลอดเวลา ทุกวันผ่านไปโดยป๊าพร่ำสอนให้ขยัน และผมเชื่อฟังมาโดยตลอด ช่วงนั้นผมจึงไม่ค่อยได้ร่วมกิจกรรมที่โรงเรียนนัก
ด้วยเหตุนี้ เมื่อถึงคราวต้องเลือกเข้าชมรมอย่างน้อยหนึ่งอย่างในภาคเรียนที่สอง ผมจึงมองหาอะไรที่ไม่ต้องเหนื่อยแรงมาก (จากงานที่บ้านก็ค่อนข้างสูบพลังพออยู่แล้ว) มีเวลาได้นั่งเฉย ๆ หรือแอบหลับได้หากผมต้องการ อาจารย์ที่ปรึกษาไม่เข้มงวดนัก ลังเลอยู่ระหว่างชมรมรักการอ่านกับศิลปะ ซึ่งดูแล้วเข้าได้กับความต้องการของผมทั้งคู่ ชมรมแรกมีหนังสือให้ยืมอ่านได้ และอีกชมรมก็มีอุปกรณ์สำหรับวาดรูปให้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องหาซื้อเพิ่ม อาจารย์ที่ปรึกษาของทั้งสองฝั่งค่อนข้างใจดีและได้ยินว่าไม่เข้มงวดกับผลงานของเด็ก ๆ มากนัก
ผมเบียดเสียดตัวเองเข้าไปยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน คิดว่าควรต้องรีบตัดสินใจ เพราะแต่ละชมรมสามารถรับคนได้จำนวนจำกัด หากมัวแต่ชักช้าอาจถูกจับเข้าไปยัดอยู่ในชมรมอะไรที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากเข้าด้วยเหตุผลสารพัดรูปแบบซึ่งดูไม่ค่อยเป็นผลดีกับตัวเองนัก ใช้เวลาหนึ่งอึดใจ ผมก็ตัดสินใจเลี้ยวซ้ายไปทางโต๊ะลงทะเบียนของชมรมรักการอ่าน ซึ่งคิดดูอีกทีแล้วน่าจะสบายกว่าทำงานศิลปะ
“นี่!”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง แต่ผมไม่ได้สนใจนัก ท่ามกลางความจอแจของนักเรียนกลุ่มใหญ่ เจ้าของเสียงนั้นอาจกำลังพูดกับใครก็ได้ที่ไม่ใช่ผม
“เราน่ะ!”
ผมมองหาท้ายแถวที่ยืดยาวออกมาจากโต๊ะลงทะเบียนของชมรมรักการอ่าน คิวไม่ยาวนัก แต่ก่อนหน้านี้มีคนมาลงชื่อเยอะทีเดียว เดาว่าคงใกล้ถึงจำนวนที่สามารถรับได้แล้ว
“วสันต์!” นั่นเรียกผมหรอกหรือ?
“วสันต์ใช่ไหม”
ผมหันไปมองตาม ประหลาดใจที่เป็นเขา..คนดังซึ่งผมคิดมาตลอดว่ารู้จักเขาแค่ฝ่ายเดียว
“ใช่ครับ”
“เข้าชมรมศิลปะกัน”
“...”
เงียบไปครู่ใหญ่จนถูกแซงคิว เพราะคนข้างหลังคิดว่าผมไม่เอาแล้วเนื่องจากไม่ยอมเดินตามแถวที่ขยับสั้นลงเรื่อย ทั้งที่อีกนิดเดียวก็จะถึงคิวผมอยู่แล้วแท้ ๆ ทว่ากลับมัวแต่งงกับรุ่นพี่ประถมหกตรงหน้าซึ่งเริ่มบทสนทนาแรกราวกับเรารู้จักกันมาเนิ่นนาน
“เฮ่ย! ไม่ต้องตกใจ” เขาหัวเราะ ตบไหล่ผมเบา ๆ “ไม่ได้ชวนไปฆ่าคน ชมรมรักการอ่านนั่นจะเต็มอยู่แล้ว ต่อแถวอยู่อย่างนั้นน่ะไม่ถึงเราหรอก”
ผมเลิกคิ้ว ส่งสีหน้าแปลกใจเต็มที่ จนเขาจับไหล่ผมให้หันหลังกลับไปมอง รุ่นพี่หญิงผู้รับหน้าที่ลงทะเบียนประกาศว่าคนสมัครเต็มจำนวนแล้ว การรับสมัครสมาชิกชมรมรักการอ่านจบลง โดยสมาชิกคนสุดท้ายคือคนก่อนจะถึงเพื่อนที่เพิ่งแซงคิวผมไปเมื่อครู่
“ก็บอกแล้ว” พี่เอกยักไหล่
แผนแรกของผมสำหรับชมรมรักการอ่านจึงมีอันต้องยกเลิกไปโดยปริยาย เห็นควรรีบเปลี่ยนเป็นแผนสองคือชมรมศิลปะ ก่อนจะเต็มไปอีกอย่างจนต้องระเห็จไปถูกจับยัดเข้าชมรมอะไรก็ไม่รู้เข้าจริง ๆ ระหว่างที่เดินตามรุ่นพี่ซึ่งจู่ ๆ ก็เดินมาทักไปยังโต๊ะลงทะเบียน จึงได้มีเวลาครุ่นคิดบางอย่างไปด้วย
“พี่รู้จักชื่อผมได้ไง” ผมถาม มั่นใจว่าดังพอจะแหวกผ่านเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กโดยรอบ
แต่เขาไม่ตอบ
ครู่หนึ่งเราก็มาหยุดตรงหน้าโต๊ะที่ติดป้ายไว้ว่าชมรมศิลปะ ด้านหลังมีบอร์ดจัดแสดงผลงานจากหลายเทคนิคอยู่ห้าหรือหกชิ้น แต่หน้าโต๊ะลงทะเบียนไม่มีคนต่อแถวเลยสักคน ก้มลงไปดูรายชื่อบนโต๊ะก็เห็นว่าขีดเส้นใต้สีแดงเอาไว้หลังจากชื่อคนสมัครลำดับที่ห้าสิบ
เต็มอีกแล้วหรือ? “เฮ่ย! ครบแล้วเรอะ!?” พี่เอกร้องทักรุ่นพี่ผู้ชายอีกคนซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะ “เร็วว่ะ”
อีกฝ่ายพยักหน้า ชะเง้อมองมาทางผมที่ยืนอยู่ด้านหลังพี่เอกนิดหน่อย แล้วก็พยักหน้าอีกครั้งคล้ายทำความเข้าใจอะไรบางอย่างกับตัวเอง ท่าทีเขายืนยันว่าความคิดผมถูกต้องแล้ว ให้ตายเถอะ ผมพลาดไปทั้งสองชมรมเลย
“โอเค..เสร็จธุระ” รุ่นพี่ข้างหน้าผมสรุป “วันนี้กลับบ้านเร็ว”
ที่น่าหงุดหงิดคือเขากลับหัวเราะหน้าระรื่น ไม่หันมาพูดอะไรกับผมสักคำทั้งที่ตัวเองเป็นคนชวนมา (ความจริงส่วนหนึ่งผมก็ตั้งใจมาสมัครเองนั่นละ แต่ถึงตรงนี้ก็เคืองอยู่นิดหน่อยอย่างพาลหาเรื่อง) กำลังจะเดินหนีไปหาชมรมอื่นสิงก็โดนดึงแขนเอาไว้ก่อน
“ไปไหนน่ะไอ้ตี๋”
ผมขมวดคิ้ว แกะมือเขาออกพร้อมกับมองหาโต๊ะที่ยังเปิดรับสมัครอยู่ไปด้วย บ่นพึมพำอย่างเหลืออดเหลือทน “ผมต้องรีบหาชมรมอยู่ ไม่งั้นเดี๋ยวโดนจับยัดเข้าไอ้ที่ไม่ชอบ”
พี่เอกยิ่งหัวเราะใหญ่ “จะไปทำไมเล่า”
“เชี่ย!” ผมสบถกลางกลุ่มพี่ประถมหกอย่างไม่ทันคิด (นึกย้อนกลับไปแล้วนับว่าโชคดีที่ไม่โดนรุมตื้บ) เริ่มโกรธเขาจริง ๆ แล้ว “ผมรีบนะเว้ย! เดี๋ยวแม่งเหลือแต่ชมรมเก็บขยะจะทำไง”
“ไอ้เด็กบ้า” เขายิ้มร่าเริง โบกมือลาเพื่อนแล้วเดินมากอดคอผมจากด้านหลัง เป็นธรรมชาติจนผมไม่ทันคิดถึงเหตุผลที่ใครสักคนจะเข้ามาถึงเนื้อถึงตัวกับรุ่นน้องที่ไม่เคยคุยกันมาก่อน “โรงเรียนเรามีชมรมเก็บขยะที่ไหน ไปฟังใครมาวะ”
เขาไม่รู้อะไรเสียแล้ว ไอ้ชมรมรักษ์โลกที่ผมหลวมตัวเข้าไปเมื่อภาคเรียนที่แล้วนั่นแหละตัวดี ตัวผมซึ่งเพิ่งย้ายโรงเรียนมาใหม่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวกับเขาเลย เห็นชื่อดูดี ไม่น่ามีอะไรยุ่งยาก ปรากกฎว่ากิจกรรมชมรมแทบจะมีแต่เรื่องทำความสะอาดสถานที่ต่าง ๆ ในโรงเรียน วันดีคืนดีก็ต้องเที่ยวเดินเก็บขยะซึ่งไม่รู้ไอ้ตูดหมึกที่ไหนทิ้งไว้บ้าง เล่นเอาผมเซ็งวันอังคารที่มีคาบชมรมไปเลย
“ไม่เอา” ผมยังคงบ่นอย่างวิตกจริต ว่าจะตกลงปลงใจกับชมรมหมากรุกแล้ว แต่สุดท้ายก็โดนเขารั้งแขนไว้ก่อนจะได้เดินไปต่อแถว “ปล่อยเว้ย ต้องรีบสมัคร เดี๋ยวรีบกลับบ้านอีก”
“ชื่อนายอยู่ชมรมศิลปะแล้วไง จะไปสมัครอะไรอีก?”
ผมชะงัก มองเขาตาปริบ ๆ ครุ่นคิดพักหนึ่งก็รู้สึกว่าเหมือนจะโดนล้อเล่นอีกแล้ว “เห็นอยู่ว่าเต็มแล้ว สมัครก็ไม่ทัน จะไปมีได้ไงวะ!?”
“ไอ้นี่แม่งพูดไม่ฟัง” เขายกมือโบกเหนือศีรษะผม เฉี่ยวปลายเส้นผมไปเบา ๆ ท่าทางชัดเจนว่าไม่ได้ตั้งใจให้โดน แต่ก็ได้ผลดีในการบอกให้ผมหยุดแสดงอาการลนลานลงชั่วคราว “พี่สมัครให้แล้ว”
เขายิ้ม และเป็นอีกครั้งที่ผมชะงักเหมือนรถเก่าเครื่องยนต์กระตุก ยืนงงจอดสนิท ด้วยไม่รู้อันไหนอำอันไหนเรื่องจริง
“สมัคร ให้ แล้ว?” ผมทวนคำช้า ๆ นึกประหลาดใจในสีหน้าและรอยยิ้มขี้เล่น เห็นใบหน้าเช่นนั้นจากระยะใกล้จึงได้เข้าใจว่าทำไมคนในโรงเรียนถึงกรี๊ดเขานัก
“ไม่เชื่อไปดูชื่อ”
ว่าจบก็พาย้อนกลับไปที่โต๊ะตัวเดิม ร้องเรียกเพื่อนเขาซึ่งนั่งรับสมัครอยู่ตอนแรก คนฟังหันมาทำสีหน้าขัดใจ พวกเขาคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง รุ่นพี่คนนั้นก็ยอมหยิบกระดาษสี่ห้าแผ่นที่เก็บเข้าแฟ้มเรียบร้อยออกมาให้ดู บ่นหงุงหงิงไปด้วยว่า “มึงมันน่ารำคาญ ทำไมไม่จัดการให้เรียบร้อยก่อน กูจะไปส่งอาจารย์อยู่รอมร่อแล้ว”
เขาตบไหล่เพื่อนเบา ๆ รับกระดาษมาพลิกแล้วกวาดสายตาไล่ดูไปทีละแถว จนกระทั่ง..
“นี่ไง!”
พี่เอกยื่นมันมาจ่ออยู่หน้าผม ใกล้เกินไปจนต้องถอยมานิดหน่อย เพื่อจะมองเห็นชื่อตัวเองปรากฏอยู่บนนั้น หมายเลขลำดับด้านหน้าชื่อคือเลขเจ็ด ซึ่งผมมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าตอนที่หมายเลขแปดซึ่งอยู่หลังผมมาสมัครนั้น ผมยังไม่ทันออกจากห้องเรียนตัวเองเลยด้วยซ้ำ
“วสันต์ วานิชตระการกูล ใช่ไหม?”
ผมส่ายหน้า แปลกใจเหลือจะกล่าว พลิกดูหัวข้อที่หน้าแรกก็พบว่าเป็นใบลงทะเบียนสมาชิกใหม่ของชมรมศิลปะจริง ถึงกับพึมพำเสียงเบาหวิวด้วยความลังเล “ไม่ใช่แล้ว..”
แต่พี่เอกกลับทำท่าตกใจยิ่งกว่าผมเสียอีก “อะไรกัน! ไม่ได้ชื่อวสันต์หรอกหรือ!?”
“ชื่อวสันต์ถูกแล้ว”
“หรือนามสกุลผิด!? ไม่ใช่วานิชตระการกูลเรอะ?”
“ที่ถูกน่าจะเป็น
จงเจือจิตว่ะ” เพื่อนอีกคนของเขาตะโกนแทรกขึ้นมาแล้วก็หัวเราะร่วน และเขาสวนกลับทันควัน
“หุบปากเลยไอ้ควาย!”
ผมมารู้ที่หลังว่า
‘จงเจือจิต’ เป็นนามสกุลพี่เอก
และที่ผมมีชื่อในชมรมนั้นเป็นอันดับแรก ๆ ก็เพราะเขาเว้นไว้เผื่อผมตั้งแต่ก่อนเดินมาชวนแล้ว พอเห็นว่าผมเดินตามมา เพื่อนเขาซึ่งนั่งรออยู่ก็เขียนชื่อลงไปในที่ว่างทันที ต่อจากชื่อตัวเขาเองซึ่งอยู่ในลำดับที่หก
ผมกับพี่เอกเริ่มคุยกันแบบนั้น “นั่งนิ่ง ๆ สิวะไอ้เด็กบ้า”
ผมพยายามนิ่งอยู่ได้พักเดียว หลังจากนั้นก็สัปหงก
“วสันต์!”
มีอันต้องสะดุ้งเพราะเสียงพี่เอก ก่อนเขาจะบ่นพึมพำว่าทำไมไม่มีชื่อเล่นกันนะ จะเปลี่ยนไปเรียกไอ้ตี๋แล้ว (แล้วเขาก็ทำจริงด้วย)
ชมรมศิลปะทุกเย็นวันอังคารเป็นอย่างที่ผมต้องการทุกอย่าง งานไม่เยอะ อาจารย์ที่ปรึกษาใจดี อยากวาดหรือทำอะไรก็เอา หมดภาคเรียนของานส่งแค่ชิ้นเดียวก็ผ่านแล้ว แถมผมยังมานั่งหลับได้อีก
หรือจะพูดให้ถูก อาจต้องเรียกใหม่ว่ามานั่งเป็นแบบ (อย่างไร้สาระ) ให้พี่เอกวาดรูป แต่สารพัดเทคนิคของเขาไม่เอาอ่าวสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสีไม้ สีน้ำ สีโปสเตอร์ สีชอล์ค ดินสอ ถ่านชาร์โคลและเกรยองที่อาจารย์เคยเอามาให้ลองเล่นครั้งหนึ่ง หรืออุปกรณ์อะไรก็ตามที่เรามีในห้องชมรม แต่ก็นั่นละ จะเอาอะไรกับเด็กประถม แถมผมยังไม่เคยทำตัวเป็นแบบวาดรูปที่ดีสักครั้ง โดนบังคับให้นั่งนิ่งนาน ๆ ก็หลับเกือบตลอด เพื่อจะตื่นมาพบเส้นสายขยุกขยุยอะไรไม่รู้ในสมุดวาดภาพของเขา กากสิ้นดี ไม่ใช่แค่ไม่เหมือนตัวจริง แต่มันดู..ไม่เหมือนคนเลยด้วยซ้ำ ผมโวยวายในครั้งแรก ๆ เขามักจะตอบกลับด้วยการยิ้มละมุน โบกมือไปมาว่าอย่าใส่ใจนัก เอาไว้จะวาดให้ดีขึ้น ก่อนจะชวนกันกลับบ้าน ผมโวยจนเบื่อ..จนเลิกไปเอง จนเมื่อตระหนักได้ในที่สุดว่ามันเป็นหน้าที่ซึ่งสบายมากทีเดียว
เขาสารภาพในอีกสองสามปีให้หลัง ว่าที่ให้เป็นแบบนั้นก็แค่ข้ออ้างหนึ่งของเขา..สำหรับจุดประสงค์อย่างอื่นที่ลึกซึ้งกว่าเท่านั้นเอง
บ้านเราอยู่ค่อนข้างใกล้กัน หากประมาณเป็นระยะทางก็ถัดออกไปแค่ราวห้าสิบเมตร น่าแปลกที่ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้มาก่อน อาจจะเป็นเพราะไม่ได้สนใจ มาถึงบางอ้อหลังกลับบ้านด้วยกันครั้งแรก ขี่จักรยานตามหลังกันมา มีกระดานวาดรูปซึ่งเขายืมจากโรงเรียนมาทำเป็นเท่อวดชาวบ้านอยู่บนที่นั่งด้านหลัง ผูกไว้ด้วยสายรัดรวมกับกระเป๋าหนังสือแบน ๆ ของเขา (บางทีก็ของผมด้วย อ้างว่ายึดไว้เป็นตัวประกันจนกว่าจะถึงบ้าน) ปั่นเลยจากบ้านตัวเองมาจนถึงบ้านผม โบกมือตบหัวพอเป็นพิธี จากนั้นก็ย้อนกลับไปทางเดิมอีกราวห้าสิบเมตร
ตอนแรกเราก็กลับบ้านพร้อมกันเฉพาะวันอังคารที่มีคาบชมรม เวลาทำอะไรที่ต้องใช้อุปกรณ์เป็นคู่เนื่องจากมีจำกัด ตัวผมที่คงไม่ได้มีจิตใจละเอียดอ่อนพอจะนั่งทำงานศิลปะได้นาน ๆ ก็มักจับพลัดจับผลูมาคู่กับพี่เอกเสมอ เขาอยากวาดอะไรก็วาด อยากทำอะไรก็ทำ ผมแค่มาพักผ่อนก่อนกลับไปช่วยงานที่บ้านเท่านั้นเอง จนหมดคาบก็เก็บข้าวของ บ้านใกล้กัน เดินทางด้วยจักรยานเหมือนกัน กลับพร้อมกัน ทุกอย่างลงตัวของมันพอดี ไม่มีอะไรต้องคิดหาเหตุผลมากมาย เป็นธรรมชาติจนผมไม่ทันเอะใจ เวลาผ่านไปก็ไม่ใช่แค่วันอังคาร แต่เป็นเกือบทุกวัน...กระทั่งกลายมาเป็นทุกวันหลังเลิกเรียน พร้อมกับที่เขาจูงจักรยานมารอผมหน้าบ้านในทุกเช้า ทักทายป๊ากับม้าและน้องสาวทั้งสองเมื่อได้เจอ
คงเป็นเพราะอย่างนั้น ที่ทำให้ผมคุ้นเคยกับการมีอยู่ของเขาโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่าผมจะไปโรงเรียนไม่ได้หากไม่มีเขาจอดจักรยานรออยู่หน้าบ้าน ทักทายทุกเช้าว่า “ไอ้ตี๋ ๆ เมื่อคืนได้ดูบอลปะ” “ไอ้ตี๋ ทำไมตาตี่จังวะ...แล้วนั่น..สีน้ำตาลหรือ มาดูใกล้ ๆ ดิ๊ เฮ่ย สีสวยว่ะ” ไม่ก็ “ไอ้ตี๋ เมื่อคืนพี่ฝันถึงเราด้วย แทงหวยดีไหม” หรืออะไรเรื่อยเปื่อยที่เขาจะสรรหามาชวนคุย และดูเหมือนผมจะกลับบ้านไม่ได้เช่นกัน ถ้าไม่เห็นเขามาเดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวลานจอดจักรยาน โบกมือทักทาย แล้วแย่งกระเป๋าผมไปเป็นตัวประกัน ก่อนจะโยนกระเป๋าเขาเองมาให้เป็นการแลกเปลี่ยนในบางครั้ง
มิตรภาพระหว่างเราดำเนินไปอย่างเรียบง่าย แตกต่างกันด้วยวัยที่ห่างกันสองปี แต่เราคุยกันเหมือนเป็นเพื่อน วิ่งไล่เตะ กอดคอ กระแทกไหล่ จี้เอว กระโจนใส่ มีเล่นแรงจนเกือบต่อยกันจริง ๆ อยู่ครั้งสองครั้ง ลงไปกลิ้งอยู่บนพื้นห้องชมรม จบลงด้วยการที่ผมเงื้อกำปั้น เขานอนแผ่บนพื้น สองมือยกขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ พึมพำว่าขอโทษพร้อมรอยยิ้มละมุน บอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้เอาจริงแต่แรก เรากลับมากอดคอกันอีกครั้ง และเรื่องสงบลงก่อนอาจารย์ที่ปรึกษาจะเข้ามาเห็น
เพื่อนนักเรียนหญิงเริ่มสังเกตเห็นว่าผมสนิทกับพี่เอก (ผมไม่รู้ตอนนั้นจะเรียกว่าสนิทได้ไหม..แต่ดูเหมือนเขาจะมาปรากฏตัวอยู่ทุกหนแห่งที่ผมไป) หลายคนฝากผมส่งจดหมายรักให้เขา บางคนขอเบอร์โทรศัพท์ที่บ้าน มีกระทั่งมาถามหาข้อมูลว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร ซึ่งผมไม่รู้ เขาดูชอบไปหมดทุกอย่าง ใจเย็น ไม่เคยหงุดหงิดให้เห็นสักครั้ง ผมบอกไปตามตรง และพวกเธอก็ดูจะเข้าใจ การไหว้วานจากเพื่อนนักเรียนหญิงไม่รบกวนผมมากนัก (แต่ดูเหมือนจะรบกวนพี่เอกมากกว่า) จนกระทั่งวาเลนไทน์วนมาถึง
โรงเรียนประถมก็อย่างนี้เอง ประถมต้นนักเรียนชายบางคนยังไล่เปิดกระโปรงเพื่อนผู้หญิง ล้อชื่อพ่อแม่ (
‘สุชัย เดือนเพ็ญ’ ผมโดนแพคเกจนี้ประจำ) มีความรักกิ๊วก๊าวตามประสาเด็ก ๆ โดยเฉพาะพวกวัยรุ่นขึ้นมาหน่อยอย่างนักเรียนประถมปลาย วาเลนไทน์จัดเป็นเทศกาลแห่งความสุขสำหรับพวกเราที่เฮฮามันทุกอย่าง มีสติ๊กเกอร์รูปหัวใจไว้ไล่แปะเสื้อเพื่อนฝูงหรือรุ่นพี่รุ่นน้องที่แอบชอบ ลามไปแปะอาจารย์หลายท่าน พวกที่ฐานะทางบ้านดีขึ้นมาหน่อยก็มีช็อคโกแลตและลูกอมมาแจกจ่าย ผมได้ฟรีมาบ้างเหมือนกัน แต่ส่วนมากจะเป็นถูกฝากเอาไปให้พี่เอกมากกว่า ยิ่งเป็นรุ่นพี่ประถมหกก็เหมือนจะยิ่งป๊อป เป็นทางเลือกพิเศษสำหรับเด็กผู้หญิงบางคนที่ไม่กล้าเอาไปให้เขากับตัว
ผมพยักหน้ารับของอีกคน ก่อนนี้พยายามปฏิเสธจะรับฝากจากสองสามคนแรก แต่หลังจากนั้นก็จนใจ สุดท้ายจึงรับมาทั้งหมด รวมแล้วน่าจะเกือบสิบชิ้นได้ ที่เหลือ (หากยังมีอีก) พวกเธอคงมีความกล้าพอจะเอาไปให้กับตัว ไม่ก็ฝากคนอื่นไปแล้ว
เย็นวันนั้นผมเป็นฝ่ายนั่งรอเขาที่ลานจอดรถ เอาขนมและสติกเกอร์รูปหัวใจทั้งหมดแขวนไว้กับแฮนด์จักรยานของเขา นั่งมองมันอยู่ครู่ใหญ่ ลมหนาวโชยอ่อนและแดดที่ไม่ค่อยมีนักในวันนี้ทำให้ดูเหมือนว่าเป็นเวลาเย็นกว่าปกติ หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะผมนั่งรออยู่ตรงนั้นจนมันเย็นมากแล้วจริง ๆ จักรยานคันอื่นหายเกลี้ยง ผมเกือบหนีกลับบ้านก่อนแล้ว หากไม่หันไปเห็นพี่เอกที่วิ่งตึงตังเข้ามาใกล้
“ไอ้ตี๋! ขอโทษ”
ผมมองเขายืนหอบอยู่ตรงหน้า ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาขอโทษเรื่องอะไร แต่ก็ไม่ได้ถาม
“พอดีมีอะไรต้องจัดการนิดหน่อยเลยช้า”
ผมพยักหน้าเงียบ ๆ หันไปไขโซ่คล้องจักรยานตัวเองแล้วยกขานั่งคร่อมอาน
“รอพี่นานหรือเปล่า”
“ผมไม่ได้รอ”
“แล้วนั่งทำอะไรจนป่านนี้”
ผมมองหน้าพี่เอก มองช็อคโกแลตและซองจดหมายสีหวานในถุงที่ผมเพิ่งเอาไปแขวนไว้กับแฮนด์จักรยานอีกฝ่าย จากนั้นก็มองหน้าเขาอีกครั้ง และยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าตกลงผมนั่งจ๋องทำอะไรจนป่านนี้
เขามองตามสายตาผม ไปหยุดอยู่กับของในถุง “พวกนั้นอะไร”
“มีคนฝากให้พี่”
“ใคร?”
“จำไม่ได้หรอก” ผมยักไหล่ “เยอะเกิน”
“ในนั้นมีของเราบ้างหรือเปล่า?”
ผมส่ายหน้า เขาถามอะไรแปลก ๆ ผมเองในชั้นประถมสี่อาจเด็กเกินไปที่จะเข้าใจ
“ขอบ้าง” เขายังพูดต่อ “ของนาย..มีไหม อะไรก็ได้”
ผมขมวดคิ้ว ลองค้นดูในกระเป๋ากางเกง เจอลูกอมรูปหัวใจเม็ดหนึ่งซึ่งได้มาจากคุณครูฝึกสอนที่เอามาแจกเด็กนักเรียนทั้งห้อง มองมันอยู่หนึ่งอึดใจก็ส่งให้เขา “มีแต่ไอ้นี่ กินไหม?”
พี่เอกยิ้ม ผงกศีรษะอย่างกระตือรือร้น ทำท่าดีใจจนออกนอกหน้ากับแค่ลูกอมเม็ดเดียว รีบรับมันไปจากมือผมแล้วเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ ก่อนจะหยิบถุงที่ผมเอาของซึ่งรับฝากมาใส่รวม ๆ กันไว้ออกจากแฮนด์รถ ผูกปากถุงจนแน่น มองมันเพียงแวบหนึ่ง จากนั้นก็โยนลงถังขยะใกล้ ๆ ไม่ใยดี
ผมตกใจแทนเพื่อนผู้หญิงที่ฝากมา พยายามถามเหตุผลเขาอยู่สองสามครั้ง ได้รับคำตอบไม่ตรงประเด็นทำนองว่าไม่ชอบกิน ขี้เกียจอ่านจดหมาย หรืออะไรทำนองนั้นจนผมล้มเลิกความพยายามไปเอง
“กลับบ้านกัน” เขาว่า ดึงกระเป๋าหนังสือผมไปจากมือ โยนกระเป๋าของตัวเองมาให้แทน แล้วเราก็ปั่นจักรยานกลับท่ามกลางอากาศซึ่งเริ่มเย็นลง
ผมจำได้ เย็นวันนั้นพี่เอกดูจะอารมณ์ดีจนถึงกับฮัมเพลงไปเกือบตลอดทาง ก่อนแยกกันยังแปะสติ๊กเกอร์รูปหัวใจบนอกเสื้อผมที่หน้าบ้าน ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่นานกว่าจะยอมกลับบ้านตัวเอง
มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v