เทศกาลปั่นงานกลับมาอีกครั้งเมื่อถึงเย็นวันศุกร์ที่เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขของใครหลายๆคนแต่ไม่ใช่กับนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สามที่เปิดเทอมมาไม่กี่วันก็โดนสั่งรายงานเล่มโตทำให้วันหยุดสุดสัปดาห์ถูกใช้ไปกับการที่สิงอยู่ในหอสมุดของมหาวิทยาลัยสลับกับหอพักของปกป้องกับคิน
“ตรงนี้ได้ปะวะ” คอมพิวเตอร์เครื่องบางถูกยกหันไปทางเพื่อนทั้งสองคน คินในแบบที่ใส่แว่นตาคงไม่คุ้นหน้าสำหรับใครหลายๆคนแต่กับฐานทัพและปกป้องแล้วนี่ถือเป็นเรื่องปกติเวลาทำงาน
“อืม ได้” ฐานทัพเงยหน้าขึ้นมาจากตำราเล่มโตที่กำลังหาข้อมูลอยู่ก่อนจะกระชับแว่นตัวเอง “เป็นไงบ้าง” เขาหันไปถามปกป้องที่กำลังคร่ำเคร่งอยู่กับตำราตรงหน้า
“ข้อมูลแค่นี้น่าจะไม่พอ” ปกป้องพึมพำก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองฐานทัพ “ต้องหาเนื้อหาอ้างอิงจากในเน็ตเพิ่ม”
“อืม ได้ๆ” ฐานทัพพยักหน้าก่อนที่ทุกคนจะหันไปสนใจเนื้อหาตรงหน้าต่อ
เป็นแบบนี้ทุกครั้งเวลาทำงานกลุ่ม พวกเขามักจะจริงจังและไม่มีใครทำลายสมาธิของใคร ถ้าอยู่ในช่วงทำงานพวกเขาก็พร้อมจะทำออกมาให้ดีทุกสุด นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมพวกเขาสามคนถึงอยู่ด้วยกันอย่างไม่มีปัญหาแม้นิสัยจะต่างกันคนละขั้ว
“โห ไม่ไหวว่ะ ขอกาแฟอีกแก้ว” คินยกมือลาคนแรกหลังจากที่นั่งจ้องหน้าคอมมาเกือบสามชั่วโมง ความอ่อนล้าทำให้เขาถอดแว่นตาที่สวมใส่อยู่ออกก่อนจะใช้นิ้วมือนวดบริเวณขมับ
“มึงจะไม่หลับไม่นอนเลยรึไง” ปกป้องหันมาถามก่อนจะใช้นิ้วเคาะหน้าผากอีกคนเบาๆ “พักสายตาก่อนก็ได้”
“อืม” คินตอบรับสั้นๆก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบมือถือของหมอฐานทัพมาอย่างถือวิสาสะ ปกติเขาเล่นโทรศัพท์ฐานทัพบ่อยจนเจ้าตัวเคยพูดว่าเอากลับไปเล่นที่หอเลยก็ได้
ฐานทัพเป็นแบบนี้เสมอ…ไม่เคยมีความลับ
“โหไอ้หมอ…ไลน์มึงพันกว่าข้อความแล้วครับ” คินพูดพร้อมกับเลื่อนดูแอปพลิเคชั่นอื่นๆ ถึงจะชอบเล่นมือถือเพื่อนแต่ก็ไม่เคยไปก้าวก่ายความเป็นส่วนตัว
“ช่าง” ฐานทัพที่กำลังสนใจงานตรงหน้าตอบปัดๆ
“เหงาจังเลยครับ ทำงานคนเดียว” คินพูดพร้อมกับกดหน้าจอโทรศัพท์ที่เปิดเสียงสั่นไว้ ฐานทัพเงยหน้าขึ้นมามองแว๊บหนึ่งก่อนจะก้มหน้าลงไปทำงานต่อ
ปล่อยมันเล่นไป
“คนเดียวหรอ อีกสองคนคือภูตผีหรอ” ปกป้องหันไปแขวะเพื่อนที่ดูมีความสุขผิดปกติ ตอนแรกก็เข้าใจว่าเหนื่อยแต่ตอนนี้ดูจะสนุกมากกว่าเหนื่อยแล้ว
“เอ้า มึงก็รู้ไอ้ฐานแค่พิมพ์ว่าอืมคนไลค์เป็นร้อย นี่ลงสเตตัสพร้อมรูปแบบนี้ไปเผลอๆมีคนอาสามาอยู่เป็นเพื่อนมันด้วยซ้ำ”
“เพ้อ...” ฐานทัพที่หันไปหาคินหยุดคำพูดไว้ก่อนจะถอนหายใจ “ทำงาน”
“อะไรวะ” คินมองเพื่อนสนิทงงๆ “เมื่อกี้จะพูดว่าอะไร”
“เปล่า” เขาปฏิเสธ “รีบทำจะได้รีบกลับ”
.
สนามบาสครึกครื้นเหมือนทุกๆวัน ยิ่งดึกมากเท่าไหร่คนก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ บุ๋นวิ่งตามลูกบาสที่แต้มนำอยู่สองแต้มพร้อมกับเพื่อนในทีมที่รับส่งกันอย่างรู้ใจ เกือบสามอาทิตย์ที่เขาได้กลับมาเล่นบาสอย่างจริงๆจังๆ เวลาส่วนใหญ่ของเขาเลยหมดไปกับการฝึกซ้อม
“บุ๋นรับ!!!” เสียงตะโกนบอกจากเพื่อนทำให้คนที่วิ่งอยู่หันมารับลูกบาสได้พอดีก่อนจะวิ่งต่อไปแล้วเลี้ยงบาสชูตเข้าแป้น
ตึง!
ลูกบาสลงห่วงอย่างกับถูกจับวาง เขาหันไปแตะมือกับเพื่อนก่อนจะเริ่มเล่นต่อ วันนี้คงได้กลับหอดึกเหมือนทุกๆวัน
“ทางนี้ๆ” เสียงดังในสนามไม่ได้ทำให้สมาธิของพวกเขาหายไป บุ๋นหันไปมองตามเสียงก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดลงเหมือนโดนหยุดเวลา
มาทำไม
“พี่ต้าสวัสดีครับ” เพื่อนคนอื่นๆที่นั่งดูหันไปยกมือไหว้พี่ต้าอย่างคุ้นเคย พี่ต้าเป็นหนึ่งในนักกีฬาบาสมหาลัยที่เป็นคู่แข่งด้านกีฬากับมหาลัยของเขามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทุกคนรู้จักเขาเป็นอย่างดีเพราะมักจะแวะมาซ้อมบาสที่มหาลัยของเขาบ่อยๆ
“เป็นไงกันบ้าง” รอยยิ้มที่ประดุจเทพบุตรหันไปถามพวกที่นั่งดูอยู่บนอัศจรรย์ก่อนจะหันมามองที่สนาม
“หึ” ความเกลียดพลุ่งพล่านจนบุ๋นเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่ เห็นหน้าก็หมดอารมณ์จะเล่นต่อ บุ๋นทำท่าจะหันไปบอกเพื่อนว่าจะกลับก่อนแต่ดูเหมือนจะไม่ทันอีกคน
“อ้าวบุ๋น ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน” น้ำเสียงที่หาความจริงใจไม่ได้เอ่ยขึ้นพร้อมกับร่างที่เดินเข้ามาใกล้ “ซ้อมเป็นไงบ้างวะ เหนื่อยไหม”
“ก็ดี” บุ๋นตอบกลับอย่างคนไม่อยากคุยด้วย เขาถอนหายใจนิดๆก่อนจะพูดต่อ “ถอยพี่ ผมจะกลับแล้ว”
“จะรีบกลับไปไหนวะ” คนที่พึ่งมาเอ่ย “อยู่เล่นด้วยกันสักควอเตอร์ก่อนแล้วค่อยกลับดิวะ”
“ไม่ละครับ” เขาปฏิเสธแทบจะทันที บุ๋นทำท่าจะเดินเลี่ยงออกมาแต่เหมือนอีกฝ่ายไม่ยอมให้เขาไปง่ายๆ
“อะไรวะ นานๆจะได้กลับมาเล่นด้วยกัน ก็อยากจะรู้ว่าฝีมือน้องพัฒนาไปถึงไหนแล้ว”
“ยังไงก็จะเอาให้ได้ใช่ไหม” บุ๋นถาม
“ไม่ทำหน้าตาแบบนั้นสิ คนชวนเสียใจนะรู้ไหม” พี่ต้าหัวเราะออกมาก่อนจะถอดเสื้อนักศึกษาที่ใส่อยู่ออกเผยให้เห็นเสื้อกีฬาที่สวมทับมา
“เหอะ” ไม่รู้จะสรรหาคำใดๆออกมาพูดจริงๆเมื่อเห็นปฏิกิริยาตรงหน้า ตอนแรกเขาก็ว่าจะเดินออกไปเลยแต่พอเห็นพี่ต้าเดินเข้าไปชวนเพื่อนที่กำลังเล่นกันอยู่ก็ดูเหมือนจะไม่ทัน
ไม่มีใครรู้เรื่องระหว่างเขากับพี่ต้า
สนามดูครึกครื้นขึ้นอีกเมื่อตัวแทนบาสของอีกมหาลัยลงเล่นในควอเตอร์นี้ บุ๋นที่อยู่คนละทีมถอนหายใจเป็นรอบที่หนึ่งร้อย ไม่รู้ทำไมเขาต้องมายอมเล่นทั้งๆที่ไม่อยากจะจับลูกบาสลูกเดียวกับพี่ต้าเลยด้วยซ้ำ
เสียงเริ่มเกมส์ดังขึ้นพร้อมกับลูกบาสที่ไปอยู่ในทีมฝั่งตรงข้าม บุ๋นวิ่งตามเท่าที่กำลังทั้งหมดยังมี ถึงจะไม่อยากเล่นแต่ก็ไม่ยอมให้ใครมาดูถูกฝีมือ เขามั่นใจว่าเขาเองก็เก่งไม่แพ้อีกฝั่ง
“บุ๋นรับ” เพื่อนที่แย่งบาสมาได้สำเร็จตะโกนบอกคนที่อยู่จุดที่ใกล้แป้นบาสที่สุด
เสียงของเพื่อนเหมือนเป็นตัวส่งสัญญาณที่ดี บุ๋นยกมือขึ้นเตรียมกระโดดรับลูกบาสที่กำลังลอยมาหากแต่ว่าร่างของเขาถูกกระแทกจากร่างของอีกคนจนเสียการทรงตัว
ตึก!!!
“เชี่ยเอ้ย” คนถูกกระแทกสบถออกมาก่อนจะเงยหน้ามองคนที่ครองลูกบาสที่ทำสีหน้าตกใจ
“เห้ยขอโทษๆ เป็นไรปะวะ” พี่ต้าทำท่าทางตกใจพร้อมกับเพื่อนๆในทีมที่วิ่งเข้ามาดูอาการ
“ไม่เป็นไร” บุ๋นตอบเสียงแข็งก่อนจะค่อยๆชันตัวลุกขึ้นมา นี่พึ่งเริ่มเกมส์ได้ไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ เขาพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองให้เย็นลงกว่าเดิมก่อนจะเล่นต่อ
รู้สึกเจ็บแปล๊บๆที่ข้อเท้า…
เกมส์ยังคงดำเนินต่อไป แต้มเริ่มสูสีกันมากขึ้นเรื่อยๆจนพักครึ่งแรกคะแนนก็กลับมาเสมอกัน บุ๋นเดินเข้ามาตรงที่วางของก่อนจะทรุดตัวลงนั่งเพราะรู้สึกถึงความเจ็บที่แผ่ซ่านขึ้นมาจากข้อเท้า
“เห้ยเป็นไรปะวะ” เพื่อนร่วมทีมเดินเข้ามาถามเมื่อเห็นท่าทางของเขาแปลกไป
“ไม่เป็นไร สงสัยเมื่อกี้ล้มผิดท่า” บุ๋นยิ้มตอบก่อนจะยกขวดน้ำที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นดื่ม
ครึ่งหลังดำเนินต่อไปหลังจากที่พักไปครู่เดียว บุ๋นรับบาสจากเพื่อนที่ส่งมาก่อนจะเลี้ยงบาสไปยังแป้นของฝ่ายตรงข้าม ขาทั้งสองข้างวิ่งประสานกันราวกับเป็นหนึ่งเดียวแต่เขากลับรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อเห็นพี่ต้าวิ่งตามมาด้วยความเร็วไม่ต่างจากเขา
จะอะไรกับกูนักหนาวะเนี่ย
ความคิดในใจแล่นขึ้นมา ใจอยากจะโยนบาสอัดหน้าแต่ทำได้แค่คิด ขืนทำไปก็มีแต่จะทำทุกอย่างให้แย่ลงกว่าเดิม
“รับ” บุ๋นตัดสินใจโยนบาสให้เพื่อนที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเองเพื่อชู้ตแต่ยังไม่ทันที่จะปล่อยลูกบาสหลุดมือร่างของพี่ต้าก็กระโดดโถมตัวมาทางเขาอย่างตั้งใจ
ปึก!!!
หลังกระแทกกับพื้นเสียงดังก่อนที่เขาจะรู้สึกเจ็บที่บริเวณขา บุ๋นค่อยๆชันตัวขึ้นมาก่อนจะพบว่าถูกร่างของพี่ต้าทับขาไว้แถมตัวก็ไม่ได้เบา
“ขอโทษว่ะ” พี่ต้าค่อยๆดันตัวขึ้น มือข้างหนึ่งจับข้อเท้าของบุ๋นไว้เพื่อชันตัวลุกขึ้นก่อนจะมีเพื่อนๆมาช่วยพยุงทั้งสองคนขึ้นจากพื้น
“อืม” บุ๋นรับคำสั้นๆ เขาไม่มีอารมณ์จะเล่นต่อถึงแม้อีกไม่กี่นาทีก็จะจบควอเตอร์แรก เขาค่อยๆเดินออกมาจากสนามโดยขอเปลี่ยนให้เพื่อนคนอื่นลงไปเล่นแทนก่อนจะเดินไปเก็บกระเป๋าเตรียมตัวกลับหอ
จงใจชัดๆ
เวลานี้จะไปซื้อยาทาจากไหนวะเนี่ย…
บุ๋นปั่นจักรยานออกมาจากสนามบาสก่อนจะจอดจักรยานลงที่ตึกเรียนรวมหลังจากที่ทนปั่นต่อไปไม่ไหว ความเจ็บปวดแผ่ซ่านจนต้องพาตัวเองมานั่งพักเพื่อดูอาการข้อเท้าของตัวเองที่เริ่มปวดตุ้บๆ
นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย!!!!
เขานึกหงุดหงิดในใจ
ปวดแบบนี้ให้ทนปั่นกลับไปถึงหอคงไม่ไหว รอให้ดีขึ้นกว่านี้อีกหน่อยแล้วค่อยกลับคงจะดีกว่า เขาค่อยๆเหยียดขาตรงก่อนจะมองไปรอบๆตึกที่เงียบสงัดหัวก็ดันไปคิดถึงเหตุการณ์วันฝนตกที่เขาได้นั่งอยู่กับหมอฐานทัพ
เทียบกับวันนี้แล้วบรรยากาศต่างกันราวฟ้ากับเหว
โทรศัพท์ที่แทบไม่มีอะไรแจ้งเตือนสั่นอยู่ในกระเป๋าของเขาพร้อมกับหน้าจอที่สว่างวาบขึ้นมาให้เห็นข้อความไลน์กลุ่มที่เด้งเป็นดอกเห็ด บุ๋นทำท่าจะปิดหน้าจอลงแต่มือกลับเลื่อนไปสะดุดตรงความเคลื่อนไหวของคนที่เขากดติดตาม
30 นาทีที่แล้ว
Thanthup titrirat : เหงาจังเลยครับ ทำงานคนเดียว
ภาพพร้อมแคปชั่นปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์พร้อมกับยอดไลค์ที่ขึ้นเร็วอย่างกับเป็นภาพของดารา บุ๋นยิ้มออกมาหลังจากที่เห็นภาพตรงหน้า ใบหน้าที่ดูจริงจังเวลาทำงานของหมอฐานทัพน่ามองเสมอ เขากดค้างไว้ที่รูปก่อนจะ…
Save
นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่เห็นความเคลื่อนไหวอะไรในเฟสบุ๊คของหมอฐานทัพอีก วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันในรอบหลายสัปดาห์ที่หมออัพเดทชีวิตของตัวเองลงเฟสบุ๊ค บุ๋นยิ้มเหมือนคนบ้าโดยลืมความโมโหที่มีอยู่ไปทันที เขามองภาพตรงหน้าที่เหมือนมีคนแอบถ่ายหมอฐานทัพก่อนจะซูมดูบรรยากาศรอบๆ
หอสมุดมหาลัย…
เขาปิดโทรศัพท์ลงพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่จางหายไปจากใบหน้า แค่ได้รู้ว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ก็พอแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจอกันก็ไม่เป็นไร เขารู้ว่าหมอฐานทัพเรียนหนัก งานก็เยอะ อย่างน้อยอาทิตย์นึงเจอกันแค่สี่วันก็พอแล้ว
เอาจริงๆก็ไม่พอ…
“เออกูกำลังรีบกลับเนี่ย เร่งจัง” เสียงของคนๆหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับร่างที่เดินผ่านหน้าเขาไปด้วยความเร่งรีบ
นั่นมัน…
“พี่คิน!” บุ๋นตะโกนเรียกเสียงดังจนคนที่พึ่งวางโทรศัพท์สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันหน้ามามอง พอเห็นว่าเป็นใครเจ้าตัวก็ยกมือทักทายก่อนจะเดินกลับมาหา
“ไง”
“มาทำอะไรครับ”
“ธุระนิดหน่อย ว่าแต่นี่มาทำอะไร” คินถามกลับเมื่อเห็นว่ารอบข้างเงียบสงัด เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่เจอคนๆนี้คนเดียวในเวลาแบบนี้
เท่าไหร่ครับ
อะไม่ใช่…
“พึ่งเล่นบาสเสร็จครับ เจ็บข้อเท้านิดหน่อยเลยมานั่งพัก” บุ๋นยิ้มนิดๆก่อนจะมองถุงในมือของคินที่เต็มไปด้วยกาแฟกระป๋องและขนมปัง “พี่จะไปไหนครับ”
“ไปหอสมุด งานเยอะว่ะ” คินถอนหายใจ “แล้วนี่จะกลับยังไง ให้ไปส่งปะ”
“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมเกรงใจ”
“เกรงใจอะไรวะ ไปส่งได้ แต่เดี๋ยวเอาของไปให้พวกมันก่อน โทรเร่งจนจะฆ่ากูแล้วเนี่ย” แค่คิดถึงเสียงไอ้ปกป้องที่โทรมาเร่งให้เอาของที่สั่งไปให้ก็นึกโมโหในใจ
เพื่อนนะโว้ยไม่ใช่คนใช้!!
“อ่อ…งั้นก็ได้ครับ” บุ๋นชั่งใจคิดไปพักหนึ่งก่อนจะตอบตกลง “รบกวนด้วยนะครับ”
“เออไม่เป็นไร คนหล่อมักใจบุญแบบนี้แหละ” คินยักคิ้วก่อนจะถามต่อ “ลุกไหวไหม”
“ได้อยู่ครับ” บุ๋นค่อยๆดันตัวขึ้นก่อนจะลุกยืนโดยทิ้งน้ำหนักไปที่เท้าอีกฝั่งที่ไม่เป็นอะไร “พี่เดินนำไปเลย เดี๋ยวผมเดินตาม”
“ไม่ให้ช่วยพยุงหรอ”
“ไม่ได้เป็นหนักขนาดนั้นหรอครับ” บุ๋นยิ้ม “ผมเดินได้อยู่”
“เออโอเคๆ” คินพยักหน้าก่อนจะเดินนำไปที่รถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ไม่ไกล
เขาขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ก่อนจะเอาของที่ซื้อมาทั้งหมดไว้ที่ตะกร้าหน้ารถแล้วหันไปมองบุ๋นที่เดินตามมาติดๆ ท่าทางจะเจ็บไม่น้อย
“เดี๋ยวแวะไปหอสมุดก่อนนะ” คินพูดเมื่อรู้สึกว่าบุ๋นขึ้นซ้อนข้างหลังแล้ว
“ครับ ตามสบายเลย”
“ดีมากไอ้น้อง” เขาค่อยๆขับออกมาจากอาคารเรียนรวมไปหอสมุดที่อยู่ห่างกันไม่ไกลมาก
ระหว่างทางไม่มีบทสนทนาใดๆหลุดออกมาจากปากของทั้งสองคน อาจเพราะความเหนื่อยล้าทั้งวันทำให้เลือกที่จะเงียบแทนการหาเรื่องคุย
รถมอเตอร์ไซค์จอดลงหน้าหอสมุดพร้อมกับคินที่ลงจากรถพร้อมกับดึงเอกสารที่สอดไว้ในถุงขนมออกมาแล้วหันมาบอกบุ๋น
“จะรอนี่หรือเข้าไปด้วยกัน”
“รอนี่ก็ได้ครับ” ถึงจะอยากเดินเข้าไปแต่ก็ไม่ได้ เขารู้สึกปวดระบมจนไม่อยากจะขยับเขยื้อนตัว ถึงจะแอบเสียดายเล็กๆก็ตาม
“โอเค เดี๋ยวรีบมา” คินทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินเอาเอกสารเข้าไปในหอสมุดที่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะปิดให้บริการ
ยิ่งดึกหอสมุดก็ยิ่งโล่ง ช่วงนี้ไม่ค่อยมีใครเข้าหอสมุดกันเท่าไหร่เพราะยังไม่ถึงช่วงสอบ ถ้าเป็นช่วงสอบป่านนี้ไม่มีโต๊ะว่างเหลือให้ได้ดูต่างหน้า
คินเดินตรงไปยังโต๊ะที่มีตำราวางกองอยู่ก่อนจะวางถุงเอกสารที่ถูกใช้ไปถ่ายมาลงบนโต๊ะแล้วยกมือขึ้นคล้ายกับจะบอกว่าอย่าพึ่งพูดอะไรเมื่อเห็นปกป้องทำท่าจะอ้าปาก
“กูไม่ได้ไปผลิตหมึกแต่เครื่องถ่ายเอกสารที่ร้านมีปัญหา กูก็เลยต้องรอให้เขาแก้ไข โอเคไหมครับ” เตรียมคำตอบมาดีเหมือนรู้ว่าเพื่อนต้องการจะพูดอะไร
“เออ ทำงานต่อ” ปกป้องตอบกลับมาก่อนจะก้มหน้าลงไปทำงานอีกครั้ง
“เดี๋ยวกูมา”
“ไปไหน” ปกป้องถามเสียงนิ่งเมื่อเห็นว่าคนที่พึ่งมาทำท่าจะเดินออกไปอีกครั้ง
“อ่อ พอดีกูไปเจอเด็กไอ้หมอมา เห็นว่าข้อเท้าเจ็บเลยจะไปส่งมัน”
“ใครวะ” ปกป้องขมวดคิ้วแต่อีกคนที่กำลังก้มทำงานอยู่ถึงกับเงยหน้าขึ้นมาแล้วรอฟังต่อ
“ชื่ออะไรวะ กูจำไม่ได้”
“บุ๋น?” ฐานทัพถามออกไปสั้นๆพร้อมกับคำตอบของคินที่พยักหน้ากลับมาอย่างรวดเร็ว
“เออนั่นแหละ เห็นว่าพึ่งเล่นกีฬามา กูดูท่ามันน่าจะกลับเองไม่ไหวเลยอาสาไปส่ง กูไปก่อนนะเดี๋ยวจะรีบกลับมา”
“คิน” ฐานทัพเรียกชื่อเพื่อนไว้อีกครั้ง “เดี๋ยวกูไปส่ง”
“หืม? ทำไมวะ” คินถามอย่างนึกแปลกใจ
“เดี๋ยวไปส่งเอง” ฐานทัพไม่ตอบ มือข้างหนึ่งปิดหนังสือลงก่อนจะถอดแว่นตาแล้วยื่นมือไปหาคิน “กุญแจรถ”
“อ่อ…เออเอาไปๆ” คินที่ยังงงๆกับท่าทางของเพื่อนยื่นกุญแจให้ไปก่อนจะย้ำถามอีกครั้ง “มึงจะไปส่งจริงหรอวะ”
“อืม” ฐานทัพพยักหน้า “หิวข้าวพอดี จะไปหาอะไรกิน”
ตอบไปทั้งๆที่ความจริงเขาไม่ได้รู้สึกหิวอย่างที่พูด…
บรรยากาศข้างนอกหอสมุดในตอนกลางคืนดูเงียบเหงาแปลกๆ คนที่นั่งรออยู่ไม่ไกลจากรถมอเตอร์ไซค์มองซ้ายทีขวาทีแก้เบื่อระหว่างรอก่อนจะหันกลับมาสนใจรถมอเตอร์ไซค์ของพี่คินที่เขานั่งมา ในหัวก็พลันคิดถึงเหตุการณ์วันนั้น…
“บุ๋น เดี๋ยวกลับบ้านครั้งหน้าแม่จะพาไปซื้อรถนะ จะได้ขับไปเรียนได้” คนเป็นแม่หันมาพูดระหว่างทางกลับมหาลัย หลังจากที่มารับลูกชายออกไปกินข้าวข้างนอก
“ไม่เป็นไรครับ ไม่อยากได้แล้ว” คนที่ตอนแรกเคยบอกว่าอยากได้มอเตอร์ไซค์ปฏิเสธเสียงแข็ง “ขี้เกียจเติมน้ำมัน ปั่นจักรยานดีกว่า”
“หืม?” คนเป็นแม่เลิกคิ้วอย่างนึกสงสัย “จักรยานแบบไหนลูก พวกเสือภูเขาหรอ” คำว่าจักรยานในความหมายของบุ๋นคงเป็นพวกจักรยานราคาแพงที่ต้องซื้ออุปกรณ์มาตกแต่งซึ่งเทียบกันแล้วราคาไม่ต่างอะไรกับรอมอเตอร์ไซค์
“เปล่าครับ จักรยานธรรมดาทั่วไป ขอมีตะกร้าหน้ารถกับที่คนซ้อนก็พอ” บุ๋นตอบออกมาก่อนจะพูดต่อ “แต่เอาจริงๆช่วงนี้ใช้จักรยานที่หอไปก่อนก็ได้ มีให้ยืมเยอะแยะ”
“จักรยานธรรมดา?” คำตอบของบุ๋นทำให้ผู้เป็นแม่งงหนักเข้าไปอีก “แปลกจัง ไหนตอนแรกบอกแม่ว่าอยากได้มอเตอร์ไซค์”
“ไม่อยากได้แล้วครับ เปลืองน้ำมัน” บุ๋นย้ำคำเดิม
ความจริงเขามีอีกเหตุผลที่ไม่ได้บอกออกไป รถมอเตอร์ไซค์ถึงที่หมายเร็วกว่าจักรยาน…ถึงจะดีในความคิดของคนอื่นๆแต่สำหรับเขามันไม่ดี
“บางทีจักรยานก็มีข้อดีนะครับ”
“หืม…ยังไง?”
“ไม่รู้สิครับ” บุ๋นยิ้มนิดๆก่อนจะเสมองออกไปนอกหน้าต่าง
จักรยานทำให้เขาได้มีเวลาอยู่กับคนที่อยากอยู่นานขึ้น
พอกลับมาคิดอีกทีเขาไม่ได้รู้สึกว่าการตัดสินใจของตัวเองเป็นการตัดสินใจที่ผิด ถึงแม้ว่าจะลำบากในบางครั้งที่ต้องไปเรียนให้ทันเวลาแต่ถ้าดูโดยรวมแล้วมันก็คุ้ม อีกอย่างเขาแทบไม่ออกไปไหนนอกจากหน้ามอกับคณะและหอพักของตัวเอง
ไม่เห็นจำเป็นเลย