Oh...My Love กานต์...ที่รัก (Minemomo)มาแล้วๆพบกันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ p11
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Oh...My Love กานต์...ที่รัก (Minemomo)มาแล้วๆพบกันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ p11  (อ่าน 75666 ครั้ง)

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


สวัสดีค่ะ

หลังจากสิงอยู่แถวเล้า แอบอ่านนิยายของนักเขียนคนอื่นมานานก็ขอเบิกฤกษ์เอาชัยกับนิยายวายเรื่องแรกของตัวเองบ้าง ขอฝากหนุ่มน้อยน่ารัก กับ เจ้าของโรงแรมสุดเท่ห์ ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจนักอ่านด้วยนะคะ

 :mew1:

Mine




Oh...My Love    กานต์ที่รัก


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-10-2017 06:53:48 โดย minemomo »

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1


ตอนที่ 1


“ถึงไอ้นี่จะตัวเล็กแต่มันเอาการเอางานมากนะ ให้ทำอะไรได้หมดไม่เกี่ยง เงินเดือนเงินดาวจะไม่ให้ก็ไม่ว่าแค่ขอให้หักลบกลบหนี้กันไป ได้เงินต้นก็ยังดี ส่วนดอกเดี๋ยวฉันจะพยายามหามาใช้คืนให้”


เพียงเท่านี้ก็พอจะให้คนถูกพูดถึงน้ำตาตกในอก และนั่นคือสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ตอนนี้...ได้แต่ยืนก้มหน้ารับชะตากรรมที่ต้องถูกพ่อตัวเองพามาขายเพื่อใช้หนี้ให้กับบ่อน


เงินห้าแสนบาทกับเด็กผู้ชายอายุสิบเจ็ด คุ้มค่ากันมั้ยหรืออาจจะมากเกินไป เพราะอย่างที่พ่อบอก ผมเป็นคนตัวเล็ก ผอม ผิวขาวเกือบซีด ดูไปคล้ายจะเป็นเด็กอมโรค เรียนจบแค่ชั้นม.3แล้วก็ออกมาทำงานทุกอย่างที่ได้เงิน แต่ก็ไม่รู้ว่าอย่างผมจะทำประโยชน์อะไรให้ที่นี่ได้


“แต่นายใหญ่ของเราไม่มีนโยบายซื้อใคร กลับไปหาเงินมาใช้หนี้แทนดีกว่า”


ผมโล่งอกและแอบมีรอยยิ้มทั้งที่ก้มหน้า ตอนที่พ่อบอกผมคร่าวๆว่าที่นี่เรียกโก้ๆว่า ‘คลับ’ แต่รวมๆแล้วคือสถานบันเทิงชั้นสูงที่มีบริการทั้งโรงแรม ผับ อาบอบนวด และบ่อนการพนัน ก็ไม่นึกว่าที่อโคจรเช่นนี้จะยังมีคนดีๆหลงเหลืออยู่


“เอาน่า คนกันเอง ถือว่าหยวนๆให้หน่อยไม่ได้เหรอ”


ผมกำมือแน่นอย่างอดสู ในความทรงจำที่แสนมีค่าพ่อของผมไม่ใช่คนแบบนี้จริงๆนะ ตอนที่ผมยังเด็ก ครอบครัวเราเรียกได้ว่าอบอุ่น พ่อสมบัติเป็นคนขยัน พ่อขับรถแท็กซี่วันละสองกะ ส่วนแม่กานดาได้งานแม่บ้านสำนักงานแต่หลักๆคือคอยดูแลผมกับพี่สาว แต่ความสุขเริ่มจางหายเมื่อพ่อประสบอุบัติเหตุ ขาหักต้องเข้าเฝือกอยู่หลายเดือน พอร่างกายเป็นปกติพ่อคนเดิมของผมกลับหายไป กลายเป็นคนติดเหล้า ขี้หงุดหงิด เอะอะอาละวาดเป็นประจำ เมื่อพ่อแค่ทำงานพอให้มีค่าเหล้า แม่จึงต้องออกไปทำงานนอกบ้านมากขึ้นแต่ก็กลายเป็นสาเหตุให้พ่อยิ่งหาเรื่องทะเลาะถึงขั้นตบตีแม่และผมอยู่เป็นประจำ ใช่แล้วครับ...จู่ๆพ่อที่เคยใจดี เคยกอดผมอยู่ทุกวันก็กลายเป็นพ่อใจร้ายที่นึกอยากจะตีก็ตี นึกอยากจะเตะก็เตะ สงสัยว่าพ่อคงเมาจนตาลาย เห็นผมเป็นกระสอบทรายเสียล่ะมั้ง


“กลับไปดีกว่านายบัติ ลูกชายนายเป็นคนนะไม่ใช่ผักปลาที่จะเที่ยวเอาไปเร่ขาย”


“โธ่ๆ! อย่าเข้าใจผิดสิ ใช่ว่าฉันจะเอาลูกมาขาย คิดซะว่าพามันมาของานพวกเฮียทำดีกว่า”


ผมกัดกรามแน่นจนเจ็บ ครั้งสุดท้ายที่พ่อเรียกผมว่าลูก...เมื่อไหร่กันนะ จำได้ว่าตอนงานศพแม่ พ่อยังประกาศลั่นศาลาว่าผมไม่ใช่...อยู่เลยนี่


ไม่ต้องแปลกใจไปครับ แม่กานดาที่แสนใจดีของผมไปเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ได้ปีกว่าแล้ว สาเหตุก็เพราะทะเลาะกับขี้เมาประจำบ้านจนแม่คงทนไม่ไหวจริงๆเลยเถียงกลับ เท่านั้นแหละพ่อผมสวมบทโหดตีแม่ไม่ยั้ง แม่เลยวิ่งหนีแต่กลายเป็นเอาชีวิตไปทิ้งเมื่อถูกรถชนจนจากไปทันที พอแม่ไม่อยู่ พ่อก็เริ่มพัฒนาจากเหล้าไปสู่การพนัน ทุกอย่างรวดเร็วมาก ไม่นานบ้านของพวกเราก็ถูกยึด มีเจ้าหนี้มาตามรังควานจนผมกับพี่กัญญาต้องระเห็จไปอยู่กับอาสารภี ญาติสนิทเพียงคนเดียวที่เหลือ ช่วงนั้นเองที่ผมเรียนจบม.ต้น แม้อาสารภียืนยันว่าดูแลเราสองพี่น้องไหว แต่ผมก็ตัดสินใจไม่เรียนต่อและออกหางานทำเพื่อช่วยส่งพี่สาวอีกแรง ในโลกนี้มีแค่พี่กัญและอาสารภีนี่ล่ะครับที่ดีกับผมที่สุดแล้ว


“อะไรกัน”


จู่ๆก็มีคนอีกกลุ่มใกล้เข้ามาตรงจุดที่ผมกับพ่อและคนของบ่อนยืนอยู่ ผมได้แต่ก้มหน้าและเห็นเพียงปลายรองเท้าหนังสีดำมันปลาบยืนห่างไปไม่กี่ก้าว


“นายคนนี้เป็นหนี้ที่คาสิโนอยู่ห้าแสนแต่ไม่มีเงินมาใช้ก็เลยจะเอาลูกชายมาให้ทำงานแลกแทนครับนาย”


“ห้าแสน ต้องทำงานกี่ปีถึงจะหมดหนี้กันล่ะ”


“ไม่..ไม่เป็นไร ต่อให้ต้องอยู่ที่นี่ตลอดชีวิตไอ้ลูกผมคนนี้ก็ไม่มีปัญหาเลยครับท่าน”


“ตลอดชีวิต...ขนาดนั้นเชียว”


“ใช่ครับ” พ่อรีบบอกแล้วสะกิดให้ผมช่วยยืนยัน “ใช่มั้ยไอ้กานต์ บอกท่านไปสิว่าเอ็งจะรับใช้ท่านไปจนตลอดชีวิตน่ะ”


“ชื่อกานต์เหรอเรา” ท่านของพ่อถามผมแต่คนตอบเป็นพ่ออีกตามเคย “ไหนเงยหน้าขึ้นซิ”


พ่อกระทุ้งศอกใส่อีกทีผมเลยต้องเงยหน้าแต่ยังหลับตาสนิท ไม่ใช่แค่อายแต่ผมอดสูใจตัวเองที่ต้องมายืนเป็นสินค้าให้คนซื้อพิจารณา ดวงตาของท่านคนนี้คงกราดมองผมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า หรือไม่ก็อาจจะจับตัวผมพลิกไปพลิกมาเหมือนปลาสดในตลาดนั่นล่ะมั้ง


“ท่าทางจะขี้อาย”


“ไม่เลยครับ ลูกผมเป็นคนร่าเริง นิสัยขยันขันแข็ง ถ้าท่านรับมันไว้รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนครับ”


“ฉันยังไม่ได้บอกสักคำว่าตกลง” คำพูดนั้นเจือด้วยน้ำเสียงหัวเราะ ท่านคงเห็นเราสองพ่อลูกน่าขันสิ้นดี “แล้วนั่น ทำไมมีรอยช้ำอย่างนั้น อย่าบอกนะว่าไปตีกับใครมา”


“ไม่ครับ ไม่ใช่เลย กานต์มันเป็นเด็กดี เรียนก็เก่ง พี่มันบอกว่าน้องได้เกรดตั้งสามจุด จุดอะไรนี่ล่ะครับผมก็จำไม่ได้ แต่รอยนี่...เอ่อ...มันคงซุ่มซ่ามเดินไปชนอะไรเข้า เด็กผู้ชายก็ยังงี้ เดี๋ยวเดียวก็หายครับ”


ผมไม่ยักรู้นะว่าตัวเองเป็นคนซุ่มซ่าม แต่จะบอกให้ก็ได้ว่าถ้าเป็นที่หน้านี่ผมชนกับกำปั้นของพ่อ ส่วนแขนกับขาโดนมือบ้าง ไม้บ้างสลับกันไป และช่วงลำตัวถ้าเลิกเสื้อขึ้นรับรองว่าจะได้เห็นฝ่าเท้าพ่อผมเต็มๆ


“รถมารอแล้วครับนาย” เสียงใครอีกคนแทรกขึ้นมา พ่อเลยรีบปิดการขายอย่างสุดความสามารถ


“ได้โปรดเถอะครับท่าน ตัวผมไม่มีอะไรเหลือแล้ว เงินตั้งห้าแสนจะไปเอามาจากที่ไหน ช่วยรับลูกชายผมไว้แทนเถอะ อย่างน้อยผมจะได้เบาใจว่ามันมีที่พึ่ง ถือว่าผมเอาลูกชายมาฝากให้ท่านเมตตาสักคนนะครับ”


พ่อพูดจบผมก็รู้สึกได้ถึงภาวะตึงเครียด ท่านของพ่อคงกำลังตัดสินใจ และผมภาวนาให้ท่าน...


“ตกลง” ไม่นะ ต้องไม่ใช่อย่างนี้สิ “หนี้ห้าแสนกับดอกเบี้ยทั้งหมด แต่มีเงื่อนไขว่าห้ามกลับมาที่คาสิโนอีก เพราะขืนยังวนเวียนอยู่แถวนี้ฉันคงต้องเมตตาเด็กอีกไม่รู้กี่คน”


“ครับๆ ได้ครับท่าน ผมจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก สาบานเลยครับ ขอบคุณครับท่าน ขอบคุณจริงๆครับ...”


พ่อถอยห่างไปโดยไม่มีสักคำถึงลูกชายคนนี้ เฮ่อ...ชีวิตผม จะเศร้าได้ถึงไหนกันนี่!


“พาเด็กคนนี้ไปหาเมธ”


ท่านออกคำสั่งสั้นๆแล้วปลายรองเท้าหนังสีดำมันปลาบก็ก้าวผ่านผมไป ดูเหมือนอิสรภาพของผมคงจบสิ้นแล้ว ไม่อยากคิดต่อเลยว่าจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร เพราะขนาดคนที่เดินเข้ามาหาผมยังถอนหายใจดังเฮือกก่อนจะบอกให้ผมตามไปพบคนสนิทของนายใหญ่ ผมเลยได้แต่สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆแล้วทำใจยอมรับชะตากรรมตัวเอง


“คุณเมธอยู่ที่ไหน” ผมไม่แปลกใจที่เห็นคนนำทางยกปกเสื้อขึ้นป้องปาก เสร็จแล้วก็หันมาพยักหน้าเรียกผมอีกที ในเมื่อสถานที่แห่งนี้ช่างกว้างขวางใหญ่โต ระบบรักษาความปลอดภัยก็คงจะต้องเข้มข้นเหมือนอย่างที่เคยเห็นในหนัง อย่างท่านที่ผมเจอเมื่อกี้ก็ยังมีคนคอยตามตั้งห้าหกคน ดูเอิกเกริกดีแท้ “ตอนนี้คุณเมธตรวจงานอยู่ที่ห้องจัดเลี้ยงเลยจะพาไปทางนี้ แต่ถ้าปกติห้ามใช้ลิฟต์ลูกค้าโรงแรม จะมีลิฟต์พนักงานอีกตัวอยู่ด้านหลังที่ขึ้นไปถึงชั้นสำนักงานได้”


“ขอบคุณครับ” ถึงจะพูดขึ้นมาลอยๆแต่ก็เข้าใจว่านั่นคือคำแนะนำ ผมจึงหลุดปากออกไปด้วยความเคยชิน อีกฝ่ายถึงกับหันมามองหน้า เอ๊ะ! หรือว่าคนที่นี่ไม่ค่อยได้ยินคำๆนี้กันนะ


“ชื่อกานต์ใช่มั้ยไอ้หนู”


“แล้ว...” คนตรงหน้าใส่แว่นดำ ท่าทางขึงขัง ผมเลยคะเนอายุไม่ถูก “น้าล่ะครับ”


“เฮ้ย! เรียกพี่ก็ได้ พี่ชื่อสยาม ใครๆก็เรียกเฮียหยาม” สงสัยเขาก็คงลุ้น กลัวจะโดนเรียกลุง พอได้เป็นแค่น้าเลยไม่เก็กมาดวางฟอร์มกับผมอีก “เรานี่มันอาภัพนะ แต่อย่าคิดอะไรมากเลย ยังไงเขาก็เป็นพ่อ”


ผมแค่นยิ้มเพราะทำใจคิดอย่างนั้นไว้แล้ว พ่อ...ยังไงก็คือพ่อ คือพ่อที่เคยใจดีมากด้วย ผมเองก็ได้แต่หวังว่าสักวันจะได้พ่อคนเดิมกลับคืนมา


“อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายหรอกเชื่อเฮียสิ ถึงใครๆจะมองว่าสกปรก เป็นแหล่งอบายมุขแต่เราก็อยู่กันแบบพี่น้อง นายใหญ่ใจดี มีความยุติธรรม โชคดีของเอ็งแล้วที่พ่อเขาพามาที่นี่ ขืนโดนลากไปที่อื่นอย่างเอ็งคงไม่แคล้วถูกส่งเข้าซ่อง”


“แต่ผมเป็นผู้ชายนะครับ”


“สมัยนี้ผู้ชายก็ขายได้ไม่รู้หรือไง เผลอๆจะได้ลูกค้ากระเป๋าหนักกว่านังพวกที่นั่งคาตู้อยู่ข้างล่างโน่นด้วยซ้ำ”


ได้ยินอย่างนั้นผมก็อดตกใจไม่ได้ หลายคนเคยบอกว่าเวลาผมตกใจชอบทำตาโต อ้าปากนิดๆ ดูน่ารักดี เฮียหยามก็คงเห็นอย่างนั้นเลยยิ่งหัวเราะผมใหญ่


“เฮ้ย! บอกแล้วไงไม่ต้องกลัว คนที่นี่เขาขายด้วยความสมัครใจ ไม่มีการบังคับ ลูกค้าคือผู้รับบริการ ไม่ใช่พระเจ้า ขืนเรื่องมากโดนหิ้วออกจากคลับสถานเดียว อย่างเมื่อวานมีไอ้เสี่ยพุงพลุ้ยร่อนเข้ามา หนอยจะไม่ใช้ถุง พอเด็กเราไม่ยอมฟ้องจะขอคุยกับผู้จัดการ เฮียนี่แหละที่ขึ้นไปลากมันเองถึงห้อง เห็นสภาพก็น่าสังเวช ติดพุงจนใส่ถุงไม่ได้ล่ะไม่ว่า”


เฮียหยามพูดไปก็ขำไป ส่วนผมได้ฟังแล้วรู้สึกสบายใจขึ้น ถ้ามีแถบแสดงความกลัวลอยอยู่เหนือหัวผมตอนนี้ แถบนั้นก็คงลดหายไปกว่าครึ่งแล้ว


“เอาล่ะถึงแล้ว คนใส่แว่นตรงโน้นนั่นแหละคุณวรเมธ เฮียส่งแค่นี้นะ”


“ขอบคุณนะครับเฮีย” ผมบอกอีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม และอีกเช่นกันที่หลายคนบอกว่าผมยิ้มเหมือนแม่ เป็นรอยยิ้มหวานขัดกับแววตาเศร้าๆ และผลลัพธ์ก็ทำให้หลายคนที่ว่าถึงกับอึ้งเหมือนอย่างที่เฮียหยามเป็น


“ไม่เป็นไร มีปัญหาอะไรก็ไปหาเฮียที่คาสิโนได้ แต่แค่ไปหาอย่าเข้าไปเล่นซะเองนะรู้มั้ย”


ผมรอจนประตูลิฟต์ปิดลงแล้วหันหลังเดินตรงไปหาผู้ชายตัวสูงใส่สูทสีดำ เขายืนนิ่งฟังชายหญิงอีกคู่รายงานความเรียบร้อยของสถานที่ พอผมเข้าไปถึง ดวงตาเรียบเฉยหลังแว่นใสไร้กรอบก็หันมาแวบหนึ่ง


“อย่ามาเกะกะ ไปยืนรอตรงโน้นก่อน”


เขาสั่งเสร็จก็หันไปฟังรายงานต่อ ผมหันซ้ายหันขวาแล้วเลยเดินไปหลบตรงมุมห้องโถงที่ดูพลุกพล่านน้อยที่สุด เกือบสิบห้านาทีที่ผมได้แต่ยืนดูทุกคนวุ่นวายกับงานของตัวเอง มีบ้างที่ช่วยเข้าไปเลื่อนเก้าอี้ ยกโต๊ะ เสร็จแล้วก็มายืนรอตามคำสั่งอย่างเดิม


“นี่พี่เอง กานต์อยู่ไหนเนี่ย?” โชคดีจังที่พี่กัญญาโทรมา ผมเลยได้มีอะไรทำบ้าง แต่คิดอีกทีท่าจะไม่ดีเสียแล้ว “อาสาบอกว่าพ่อมาถามหากานต์ มีอะไรหรือเปล่า”


“เปล่านี่ครับ พ่อแค่คิดถึงกานต์มั้ง”


“อย่ามาโกหกพี่นะ บอกมาเลยพ่อมาหากานต์ทำไม”


“ไม่มีอะไรจริงๆ ก็แค่...”  แค่อะไรดี คิดสิคิด... “มาเอาตังเฉยๆ”


“จริงๆนะ”


“ก็จริงสิครับ พ่อเขาจะมีธุระอะไรกับกานต์ได้ถ้าไม่ใช่เรื่องเงิน แต่ไม่ต้องห่วงนะ ส่วนของพี่กัญกานต์เอาเข้าบัญชีให้อย่างเคยแล้ว”


นี่คือสิ่งเดียวที่ผมทำเพื่อพี่สาวคนเดียวได้ ผมรู้ว่าพี่ลำบากใจและพยายามดิ้นรนด้วยตัวเองทุกทาง ทั้งกู้เงินกยศ. ขอทุนการศึกษา และได้อาสารภีช่วยอีกส่วนหนึ่ง แต่ชีวิตนักศึกษามีค่าใช้จ่ายมากพอสมควร ทั้งด้านการเรียน การกินอยู่ ไหนจะเรื่องกิจกรรม การเข้าสังคม ผมอยากช่วยให้พี่สาวเรียนหนังสืออย่างมีความสุข เขาจะต้องได้อยู่ในที่ที่เขาควรอยู่...


ถ้าแกไม่ยอม พ่อจะเอาตัวพี่แกไปแทน


ต่อให้ต้องลำบากกว่านี้ ต่อให้ถึงกับต้องตกนรก ผมก็ไม่มีวันยอมให้พ่อทำแบบนั้น...


“กานต์! พี่บอกแล้วใช่มั้ยว่าไม่ได้อยากให้กานต์ทำแบบนี้ เงินกานต์ทำงานหามาได้ก็เอาไว้ใช้เองสิ เอามาให้พี่ทำไม!”


“น่าาา พี่กัญก็ เอาไว้ซื้อหนังสือ จ่ายค่าโน่นค่านี่ก็ได้ เอาไว้พอพี่กัญเรียนจบค่อยทำงานหามาใช้คืน นะๆ กานต์ไม่คิดดอกเบี้ยหรอก”


“กานต์” ผมรู้ว่าพี่คงกำลังกลืนก้อนแข็งๆลงคอเหมือนอย่างที่ผมเป็น “รอหน่อยนะ เรียนจบเมื่อไหร่พี่จะส่งกานต์เรียนต่อเอง พี่สัญญา”


“ขอบคุณครับ”


“แล้วนี่กานต์อยู่ไหนน่ะ ทำไมเสียงมันก้องๆจัง”


“อยู่ที่โรงแรม...” ผมบอกชื่อโรงแรมไปแล้วก็อยากตบปากตัวเอง แต่ไม่ทันแล้วล่ะ


“หือ ไปทำอะไรที่นั่น ไหนกานต์บอกว่าไปทำที่โรงงานพลาสติกของพ่อเพื่อนไม่ใช่เหรอ”


“อ๋อ ก็นั่นแหละครับ” เรื่องหาทางเอาตัวรอดนี่ผมเก่งพอตัว บนเวทีนั่นมีป้ายโฟมติดหรา นี่ล่ะ! “พอดีญาติของหัวหน้าแต่งงาน เขาบอกใส่ซองตั้งหลายพันเลยพามาช่วยกันกินให้คุ้มน่ะครับ”


“แสดงว่าพวกที่ทำงานเขาคงดีกับกานต์ใช่มั้ย”


“ก็ดีนะครับ” ผมตอบตามความจริง เฮียหยามคนหนึ่งล่ะที่เอ็นดูผมไม่น้อย ส่วนคนใส่สูทตรงโน้น อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ไล่ตะเพิดหรือมีสายตาดูถูกอะไรผมเลย


“งั้นพี่ก็โล่งอก ไม่กวนแล้วล่ะ กานต์ก็ดูแลตัวเองดีๆ กลับไปที่บ้านหาอาสาบ้างนะรู้มั้ย”


“ครับ พี่กัญอยู่หอก็ต้องระวังตัวให้ดีๆ ตั้งใจเรียนเข้านะครับ”


ผมกดวางสายแล้วยิ้มกว้างให้รูปที่ถ่ายกับพี่สาวหนึ่งที พอดีกับคนงานยุ่งเสร็จธุระและเดินตรงมา แต่กว่าจะเดินมาหาผมได้ก็ใช้เวลาไม่น้อยเพราะหยุดดูโน่นดูนี่ เช็คความเรียบร้อย ท่าทางละเอียดยิบขนาดนี้ไม่แปลกใจเลยที่คุณวรเมธคนนี้จะได้เป็นคนสนิท และถือเป็นผู้มีอำนาจรองจากนายใหญ่ของที่นี่


“ชื่อกานต์ใช่มั้ย” เขาถามเพราะรู้อยู่แล้ว ผมเลยยกมือไหว้อย่างเดียว ดูแววตาเขาค่อนข้างพอใจ “ตามฉันมา”


อีกครั้งที่ต้องทำตามคำสั่งเดิมๆ หวังว่านี่จะไม่ใช่งานในหน้าที่โดยตรงของผมหรอกนะ



จบตอนแล้วจ้า

 :bye2:


ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1


ตอนที่ 2

สรุปแล้วหน้าที่ของผมไม่ใช่การเดินตามใครแต่เป็นพนักงานทำความสะอาด เฮ่อ โล่งอก! จะว่าไปตำแหน่งนี้ถือว่าดีมากเพราะอย่าลืมว่าผมมีวุฒิแค่ม.สามเท่านั้น แถมยังโชคดีได้เจอพวกพี่ๆที่ใจดี เอ็นดูผมเหมือนน้อง อาจเพราะทุกคนรู้ที่มาที่ไปของผมก็เลยพากันสงสารล่ะมั้ง


“กานต์เอ๊ย! กินข้าวหรือยังลูก” คนนี้คือป้ามาลัย เป็นหัวหน้าใหญ่ฝ่ายแม่บ้านที่ทำงานมาตั้งแต่รุ่นพ่อของนายใหญ่ ป้ามาลัยชอบเล่าถึงวันเก่าๆสมัยที่ยังดังแค่อาบอบนวดกับบ่อน พอนายใหญ่เข้ามาบริหารก็พยายามปรับรูปแบบให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้น ในสายตาพนักงานเลยถือป้ามาลัยเป็นบุคคลทรงคุณค่า ขนาดว่านายใหญ่เองถ้าเจอป้าก็จะหยุดทักทายพูดคุยด้วยเสมอ ผมเลยพลอยได้อานิสงค์เพราะป้าเอ็นดูผมเหมือนเป็นลูกหลานแกคนหนึ่งทีเดียว


“ยังครับ กานต์รอจะควงป้าไปดินเนอร์ใต้เสียงเทียนอยู่เนี่ย” ผมคว้าแขนแกแล้วกอดหมับ เรื่องประจบนี่ผมเก่งใช่ย่อย ใครขี้ใจอ่อนหลงมาเป็นเสร็จผมทุกราย


“อู๊ย! ทำยังกับป้าเป็นสาวๆ เดี๋ยวเถอะ เขาจะหาว่าพาย่าพายายไปตะบันหมากกิน”


ถึงป้าจะออกตัวอย่างนั้นแต่แกยังไม่แก่จริงๆนะครับ อายุอานามใกล้จะห้าสิบก็จริงแต่ความที่อารมณ์ดี ยิ้มเก่งเลยทำให้ป้าดูเด็กกว่าอายุ


“ไหนๆ ใครกล้าว่าป้ามาลัยแก่ แน่จริงมาเลยจะซัดให้กลิ้ง ป้าของกานต์ยังสาวรุ่นอยู่เลย”


“รุ่นไหนล่ะจ๊ะพ่อคุณ” ป้าตีมือผมเบาๆ ท่าทางจะเขิน “เอาล่ะๆ ไม่ชวนคุยแล้ว นี่กานต์จะไปทำห้องไหน”


“จะไปช่วยเหรอครับ”


“จะไปตรวจสิจ๊ะ เราน่ะมันเก่ง หัวไว แต่ลกๆรีบทำให้เสร็จ วันก่อนปูเตียงก็ไม่เรียบร้อย อย่านึกว่าป้าไม่รู้นะ”


“ขอโทษคร้าบ” ผมไม่แก้ตัวเพราะถูกรุ่นพี่ที่ฝึกงานให้ดุไปแล้วรอบนึง ส่วนวันนั้นที่รีบเพราะจู่ๆพ่อโทรมาให้ผมออกไปหา ก็เรื่องเดิมๆนั่นแหละครับ ถึงจะไม่มีเงินเดือนประจำแต่โชคดีที่ได้เบี้ยเลี้ยงเยอะทีเดียว เรื่องกินอยู่ก็อาศัยกับทางโรงแรม เลยมีเงินเก็บพอให้พ่อไถได้บ้าง 


“แต่วันนี้หัวหน้าบอกให้กานต์ขึ้นไปทำออฟฟิศ ไม่มีเตียงให้ปูเลยรอดตัวไปครับ”


“จริงสินะ ยัยสุที่เคยทำประจำลาป่วย แต่เอาเถอะ วันนี้นายใหญ่ไม่อยู่ พวกพนักงานก็คงทยอยกลับกันไปเกือบหมดแล้ว กานต์ขึ้นไปก็ทำให้ดีๆล่ะ เดี๋ยวป้าดูความเรียบร้อยข้างล่างนี่เสร็จจะตามขึ้นไป”


ผมหอมแก้มป้ามาลัยแรงๆหนึ่งฟอดแล้วรีบวิ่งหนีเข้าลิฟต์ มาโผล่อีกทีที่ชั้นสำนักงานซึ่งที่จริงก็ไม่ได้สกปรกหรือรกมากเพราะมีคนทำความสะอาดเป็นประจำอยู่แล้ว จากนั้นก็ไปต่อที่ชั้นผู้บริหารซึ่งถือเป็นหัวใจของสถานที่แห่งนี้ ผมได้ยินใครต่อใครพูดถึงความใจดีของนายมากพอๆกับความเนี้ยบ เจ้าระเบียบของคุณวรเมธ


อืม...เห็นจากสภาพของชั้นผู้บริหารนี้แล้วก็พอจะเข้าใจล่ะ


ผมไล่ทำจนกระทั่งมาถึงห้องสุดท้ายที่มีป้ายสีทองอันใหญ่ติดไว้ตรงหน้าประตู...ประธานกรรมการบริหาร


เมื่อเปิดประตูเข้าไป ไฟในห้องก็สว่างขึ้นโดยอัตโนมัติ บรรยากาศดูช่างอลังการ น่าเกรงขาม โต๊ะทำงานตัวใหญ่ตั้งเด่นเกือบกึ่งกลางของห้อง บนผนังสูงเบื้องหลังคือภาพถ่ายครึ่งตัวติดไว้ในกรอบทองฉลุลายหรูหรา ผมเดาอายุคนในรูปน่าจะใกล้เคียงกับป้ามาลัย ผมรองทรงลงน้ำมันเรียบกริบ สีหน้าเรียบเฉย ไม่มีรอยยิ้ม แต่แปลกที่แววตาให้ความรู้สึกของความเมตตาอย่างบอกไม่ถูก


“เอ่อ...” ทั้งที่ไม่มีใครแต่กลับรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่คนเดียว ผมมองซ้ายมองขวาอีกทีแล้วอดยกมือไหว้คนในรูปไม่ได้ “ผมชื่อกานต์ครับท่าน”


พอคำนั้นหลุดออกจากปากก็พลันนึกย้อนไปถึงวันแรก เพราะความเมตตาของนายใหญ่จริงๆที่ทำให้ผมถือได้ว่าสุขสบายอย่างตอนนี้ น่าเสียดาย! วันนั้นผมไม่น่าเอาแต่หลับตาเลยไม่ได้พบหน้าท่านผู้นี้ตัวเป็นๆ


“ผมสัญญาว่าจะตั้งใจทำงานครับ”


ผมบอกเสียงดังฟังชัด เสร็จแล้วก็เริ่มทำความสะอาดอย่างสุดฝีมือ ในส่วนของห้องทำงาน...เรียบร้อย ในห้องน้ำ...เรียบร้อย ในส่วนที่กั้นไว้สำหรับการประชุม...เรียบร้อย ที่ระเบียงด้านนอก...ทำไมถึงยังมีคนอยู่ล่ะ!!!


ระเบียงกว้างถูกจัดเป็นสวนหย่อมขนาดย่อม มีเตียงนอนเล่นตั้งอยู่ใต้ร่มสนามสีขาว และบนเตียงไม้ตัวยาวมีผู้ชายคนหนึ่งกำลังเอนตัวดูท่าจะหลับสนิท เสื้อสูทถูกถอดแขวนไว้กับตะขอที่ก้านร่ม ร่างนั้นจึงเหลือแค่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงแสลคสีดำกลีบเรียบสนิท แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันอาบไล้ใบหน้าคมสันให้ยิ่งดูแกร่งสมชาย สันจมูกโด่งสูง ริมฝีปากได้รูปเป็นกระจับ มือทั้งสองข้างวางอยู่บนอก นิ้วเรียวยาวสอดประสานเข้าหากันอย่างเป็นระเบียบ ราวกับทุกอิริยาบถถูกหัดให้ดูดีตลอดเวลา


ขอบอกอีกครั้งว่าผมชื่อนายกานต์ เป็นลูกผู้ชายจริงแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ไม่รู้ทำไม จู่ๆหัวใจผมก็เริ่มเต้นแรงและเร็วขึ้นอย่างกับไปวิ่งแข่งมา สงสัยวันนี้ผมคงทำงานหนักไป หรือเพราะยังไม่ได้กินข้าว ใจเลยหวิวๆเหมือนจะเป็นลม ถ้าอย่างนั้นก็ควรได้เวลาพัก เพราะถ้ายังมีคนอยู่แบบนี้ก็ทำความสะอาดต่อไม่ได้อยู่ดี คิดได้ดังนั้นผมเลยหันหลังแล้วค่อยๆก้าวกลับเข้ามาด้านในอย่างช้าๆ...


“ใครน่ะ”


ผมขนลุกซู่ ยืนตัวแข็งทื่อในบัดดล ในหัวปั่นป่วน นึกไม่ออกจริงๆว่านั่นคือคำถามหรือเปล่า ถ้าใช่แล้วผมควรตอบว่าอะไร


“มาทำความสะอาดสินะ ทำต่อเลยก็ได้” เขาคนนั้นคงลุกขึ้นจากเตียงไม้ เสียงจากด้านหลังใกล้เข้ามา ผ่านเลยไปแล้วหยุดก่อนจะย้อนกลับมาหาผมที่ยืนก้มหน้า “ใช่คนที่เคยทำอยู่ประจำหรือเปล่า”


“พี่สุ...เอ่อ...คนที่เคยทำไม่สบาย ขอลาป่วย หัวหน้าเลยให้ขึ้นมาแทนครับ ถ้าผมทำอะไรบกพร่องไป...”


ผมรีบบอกด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน ที่ได้ยินมานายใหญ่ยังโสด ในครอบครัวเหลือแค่แม่กับน้องสาว เพราะฉะนั้นเขาคนนี้คงเป็นหลาน ญาติห่างๆ หรือไม่ก็คนสนิทที่ผมยังไม่รู้จัก แต่มานอนเล่นในห้องทำงานของท่านได้ต้องไม่ใช่ระดับธรรมดาแน่


“ไม่มีอะไร แค่จำได้ว่าทุกทีเป็นผู้หญิงน่ะ” เสียงนั้นดังอยู่เหนือหัวผมนี่เอง รู้สึกคุ้นหูอย่างประหลาด รองเท้าหนังสีดำเป็นมันคู่นี้ก็เหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน “แล้วนี่เงยหน้าคุยกันหน่อยดีมั้ย จะได้เห็นหน้ากันชัดๆสักที”


ผมทำตามแต่เจอแค่ปกเสื้อเชิ้ตสีขาว เลยต้องมองสูงขึ้นไปถึงปลายคาง ผ่านสันจมูก จนสุดท้ายก็ได้เห็นดวงตาเรียบเฉยหนึ่งคู่ แน่นอนว่าอีกฝ่ายก็กำลังก้มลงมา ไม่เช่นนั้นผมคงไม่ได้ยินคำพูดเสียดแทงใจที่ว่า...


“ไม่คิดว่านาย...จะเตี้ยขนาดนี้”


ไม่ได้เตี้ยแต่แค่ตัวเล็กเฉยๆโว้ย!


ใจผมอยากตะโกนใส่หน้าเขาแบบนั้นแต่ทำได้แค่ก้มหน้าต่ำลงมาเหมือนเดิม มันเป็นเรื่องจริงที่ผมผอมเลยยิ่งดูตัวเล็ก ไม่ใช่เรียกว่าเตี้ย ผมสูงตามมาตรฐานชายไทยที่แพ้นมวัวเลยอาจจะขาดแคลเซียมไปบ้าง แต่อย่างน้อยก็ไม่ถึงกับต้องยืนเป็นคนแรกที่หัวแถวหรอกน่ะ


“ขี้อายซะด้วย หรือว่ากลัว” ผมเงียบฟัง ยิ่งรู้สึกคุ้นกับเสียงนี้ “ฉันน่ากลัวตรงไหน ใครๆก็บอกว่าออกจะหล่อ”


ผมไม่ได้เถียงว่าเขาดูดีจริง แต่ไม่คิดว่าเขาจะกล้าชมตัวเองออกมาได้ไม่อายปาก ข้อนี้แหละที่ทำให้ผมเงยหน้ามองด้วยความตกใจ บังเอิญที่เขาเองก็ก้มลงมา หน้าของผมกับเขาห่างกันแค่คืบ อาการตกใจของผมเลยเสยเข้าเบ้าตาทำให้เขาเป็นฝ่ายนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น เป็นไงล่ะ ยกนี้ผมชนะใสๆ!


“เอ่อ...” หลายวินาทีผ่านไป เขาได้สติแต่ท่าทางลนๆ ในขณะที่ผมยืนตาโตใส่เขาได้อย่างสบาย “เอ้า! จะมาทำความสะอาดก็รีบๆทำเข้าสิ ฉันจะคอยดู ถ้าไม่เรียบร้อยล่ะก็ นายโดนรายงานแน่”


เขาพูดเสร็จก็หันไปหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด ผมเลยรีบเดินหนี ไม่ใช่จะแสดงความรังเกียจแต่เพราะไม่ถูกโรคกับควันบุหรี่ ถ้าเผลอสูดเข้าไปตรงๆจะจามไม่หยุดเหมือนคนแพ้อากาศ แต่เขาคงไม่คิดอย่างนั้น พอผมไปเก็บกวาดที่มุมหนึ่งเขาก็ตามมายืนสูบบุหรี่ใกล้ๆ ยังดีที่ผมอยู่เหนือลมเลยไม่เป็นอะไรมาก ผมย้ายไปอีกทางเขาก็ยังตาม ผมเลยรีบทำงานให้เสร็จจะได้ออกไปเสียที แต่เชื่อมั้ยว่าเขาถึงกับอ้อมมาดักหน้าแล้วพ่นควันเหม็นๆนั่นใส่หน้าผม


“ทำบ้าอะไรขะ...” โชคดีที่ผมกลั้นหายใจแล้วรีบหลบทัน แต่ก็ยังคันจมูกจน... “ฮัดเช้ย!!”


ผมจามแรงๆติดๆกัน โดยเฉพาะครั้งแรกๆผมจงใจหันไปพ่นใส่ใบหน้า ‘ออกจะหล่อ’ เต็มๆ ทีแรกเขาทำท่าเหมือนจะฆ่าผมให้ได้ แต่พอเห็นผมจามจนน้ำมูกน้ำตาไหลก็คงนึกสงสาร รีบดับบุหรี่แล้วเข้ามาลูบหลังผมใหญ่ เอ่อ...ควรจะบอกเขาดีมั้ยว่าผมไม่ได้อ้วก เสร็จแล้วเขาก็หายเข้าไปในห้องน้ำและออกมาพร้อมกับผ้าชุบน้ำให้ผมเช็ดหน้าเช็ดตา เฮ่อ...ค่อยยังชั่ว!


“นายทำเสื้อฉันเลอะ”


ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกดิ่งที่ถูกเขาปั่นให้ขึ้นๆลงๆตามเส้นเชือก เดี๋ยวก็รู้สึกดี เดี๋ยวก็โมโห พอจะกลับมารู้สึกดีๆก็ฉุดให้ผมจมลงกับความโกรธเสียอย่างนั้น ไอ้รอยน้ำมูกน้ำลายบนอกเสื้อนั่นถึงผมจะตั้งใจ แต่เพราะเขาแกล้งผมก่อนไม่ใช่เหรอไง แล้วที่พูดขึ้นมานี่ต้องการเรียกร้องอะไร หรือว่าจะถอดเสื้อมาให้ผมซักเพื่อชดใช้กับความผิดที่เขาเป็นต้นเหตุ?!


เหมือนมีระฆังหมดยกในระหว่างที่ผมกับเขายังยืนจ้องตาให้ตายกันไปข้าง เสียงเคาะเบาๆดังขึ้นแล้วประตูก็เปิดออก คนแรกที่เดินเข้ามาคือคุณวรเมธ แต่ผมไม่เสียเปรียบเพราะสวรรค์ส่งป้ามาลัยตามมาติดๆ


“อ้าว! ดิฉันนึกว่านายไม่อยู่” คนตัวสูงย่อมสะดุดตากว่าอันนี้ไม่เถียง แต่พอป้ามาลัยหันมาเห็นผมรับรองเทคะแนนสงสารให้เต็มๆ


“ตายแล้วกานต์! เป็นอะไร ทำไมหน้าเน่อ ตาเตอแดงไปหมดเลยลูก?!”


“กานต์ไม่เป็นไรครับป้า” ผมบอกเสียงอ่อย ทำเป็นปากแข็งแต่ตัวอ่อนให้ป้ากอด ลูบหน้าลูบหลังด้วยความเป็นห่วง คราวนี้ล่ะต่อให้คุณเมธอยากตำหนิผมก็ทำได้ไม่เต็มปากแล้ว


“แล้วนายเป็นอะไรหรือเปล่า” คุณเมธเลยหันไปคุยกับพวกเดียวกัน ผมหมายถึงสองคนนี้รูปร่างพอๆกัน แถมอายุก็น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันอีกด้วย “พวกการ์ดไม่เห็นแจ้งว่านายจะกลับเข้าออฟฟิศ”


“รำคาญเลยกลับมาเอง เอาน่า แค่จะเข้ามาเช็คงาน แล้วก็เผลอนอนเล่นเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรสักหน่อย”


คนที่แกล้งผมตอบเสียงเนือยๆ พอเห็นคุณเมธทำตาแข็งใส่ก็อ่อนลงให้อีก ผมมองแล้วชักคันจมูกจนอยากจะจามอีกรอบ และไม่ใช่แค่นั้น มันแปลกไปหมด ทั้งคำพูด ทั้งท่าทางของทั้งคู่ชวนให้ผมรู้สึกตะหงิดๆว่า...


“แล้วนั่น” คุณเมธหันมาทำตาดุใส่ผมบ้าง “มาทำความสะอาดใช่มั้ย ไม่รู้กฎหรือไงว่าห้องที่มีคนอยู่ห้ามใครเข้ามาวุ่นวาย”


“เรื่องนี้ดิฉันไม่รอบคอบ ไม่ได้เช็คให้ถี่ถ้วนก่อนจะส่งเด็กขึ้นมา ดิฉันขอรับผิดเองค่ะคุณเมธ”


“ไม่ใช่ความผิดคุณมาลัยหรอกครับ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษคนที่ทำอะไรไม่รู้จักฐานะของตัวเอง”


ท่าทางคุณเมธที่มีต่อป้ามาลัยไม่ได้ต่างจากพนักงานคนอื่นๆ แต่ที่ทำให้ผมยิ่งรู้สึกแปลกจนคันยิบๆไปทั้งตัวคือสายตาเอาเรื่องที่ตวัดไปมองร่างสูงในชุดสูทครึ่งท่อนนั่นต่างหาก


“โอเคคร้าบ นายใหญ่ขอโทษ พอใจยัง?”


เหมือนโดนฟ้าผ่าใส่หัวกลางวันแสกๆ คนที่ผมแอบด่าในใจไปตั้งไม่รู้เท่าไหร่นี่น่ะเหรอ ‘นายใหญ่’ ไม่จริงอ่ะ ไม่เชื่อ ไม่ใช่เด็ดขาด! นายใหญ่ของผมคือท่านที่อยู่ในรูปนั่นต่างหาก ดูใจดี มีเมตตา ทรงความยุติธรรม และควรมีอายุมากพอจะเป็นนายเหนือหัวพนักงานเป็นร้อยๆ ไม่ใช่ผู้ชายท่าทางกวนๆ อายุไม่เกินเลขสาม ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างนี้น่ะเหรอจะเป็นเจ้านายใครได้!


“พอใจแต่ไม่ทั้งหมด กลับมาเร็วขนาดนี้แสดงว่าการประชุมทางโน้น...” คุณเมธบ่นเสียงเข้ม แต่พอนึกได้ว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยเลยหันมาไล่อย่างสุภาพ “ทำความสะอาดเสร็จแล้วใช่มั้ย”


ผมกับป้ามาลัยเลยช่วยกันหอบหิ้วอุปกรณ์ทำความสะอาด พอเดินผ่านหน้ารูปภาพที่กลางห้องก็อดไม่ได้ ตอนนี้ผมต้องการความกระจ่างอย่างเข้มข้นที่สุด ไม่อย่างนั้นคืนนี้ผมนอนตาไม่หลับแน่


“ป้าครับ คือว่า...นั่น?” ผมสะกิดป้าแล้วหันกลับไปทางผู้ชายคนนั้น


“คุณภากร นายใหญ่ที่เป็นคนรับกานต์เข้าทำงานที่นี่ไง จำไม่ได้เหรอ”


“แต่ว่า...นี่?” แล้วผมก็พาป้าหันกลับมาดูรูปท่านของผม


“อ๋อ! นี่น่ะคุณกฤต คุณพ่อของนายใหญ่ ก็ที่ป้าเคยเล่าว่าป้าทำงานให้ท่านตั้งแต่ยังสาวๆไงล่ะ”


“คุณพ่อ...! นายใหญ่...!”


“พอดีว่าคุณกฤตประสบอุบัติเหตุจากไปอย่างกะทันหัน คุณภากรต้องเข้ามาสานงานต่อก็เลยสั่งให้ติดรูปคุณพ่อไว้เหมือนเดิมเพื่อเป็นกำลังใจเวลาทำงาน นายใหญ่น่ะรักคุณพ่อมากเชียวล่ะ”


ความรู้สึกของผมเป็นบวกขึ้นมาอีกนิดเพราะตัวผมเองก็สูญเสียแม่ไปอย่างไม่คาดฝัน ยังไม่ทันได้ตอบแทนให้สมกับความรักที่แม่มีให้ผมเลย เขาเองก็คงรู้สึกเสียใจไม่ต่างกัน เอาเป็นว่าผมจะทำเป็นลืมๆเรื่องเมื่อกี้ไปก็แล้วกัน


“แล้วนั่นอะไรน่ะกานต์ ผ้าขี้ริ้วหรือเปล่า”


ป้ามาลัยทักขึ้นมาผมเลยได้สังเกต สิ่งที่อยู่ในมือคือผ้าผืนสี่เหลี่ยมจัตุรัส สีขาว เนื้อดี มีเส้นไหมสีน้ำเงินเดินลายจากริมด้านหนึ่งไปจรดขอบอีกด้านตรงที่มีตัวอักษรภาษาอังกฤษปักอยู่


P a k o r n


ภาษาอังกฤษทั้งตัวหลักตัวเสริมผมได้เกรดสี่ทุกเทอม และโรงแรมแห่งนี้ก็น่าจะมีแค่ป้ามาลัย ไม่เคยได้ยินว่ามี ‘ป้าก้อน’ มาก่อน เพราะฉะนั้นชื่อนี้คงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้... ผมคิดอย่างนี้ตอนที่หันหลังกลับไปมอง เขาคนนั้นนั่งลงที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่ ท่าทางดูภูมิฐานขึ้นอย่างน่าประหลาด และก่อนที่ผมจะพ้นจากประตูห้อง ดวงตานิ่งเฉยคู่นั้นก็หันมามองตอบผมเข้าพอดี




จบแล้วจ้า

 :bye2:



ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4
Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^//
«ตอบ #3 เมื่อ19-03-2016 20:07:15 »

ติดตามๆจ้า สนุกดี รอตอนต่อไปป :katai5:
 :pig4:

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1


ตอนที่  3


นับจากวันนั้นผมก็ได้เลื่อนตำแหน่งจากพนักงานทำความสะอาดทั่วไปกลายเป็นพนักงานทำความสะอาดประจำชั้นสำนักงาน เป็นไงล่ะ ก้าวหน้าจนน่าตกใจเลยทีเดียว!


ตอนที่ป้ามาลัยมาบอกผมแทบสำลักน้ำแกง ไม่คิดว่าตัวเองจะโชคดีขนาดนั้น หรือคิดไปอาจจะเป็นฝันร้ายที่ต้องไปข้องแวะกับคนชอบกวนประสาทอยู่ทุกวัน แต่เอาเข้าจริงผมเจอคุณภากรนับครั้งได้ และทุกครั้งก็เพียงเวลาที่เขา อ้อ! ไม่ใช่สิ ท่านประธานกลับเข้ามาหรือกำลังจะออกไปธุระข้างนอกพร้อมบอดีการ์ดประกบเป็นเงาตามตัวอย่างน้อยหนึ่งคน ที่เหลืออีกสองหรือมากกว่านั้นจะรอที่รถและประจำอยู่ตามจุดคอยระวังภัย


ครั้งที่ได้เข้าใกล้มากสุดคือตอนที่คุณภากรหยุดทักทายป้ามาลัยแล้วมีผมอยู่ตรงนั้นด้วย ผมไม่ได้ฟังว่าสองคนคุยอะไรกันแต่พอป้าเรียกแล้วผมหันไปก็บังเอิญได้สบตากัน จู่ๆคนกวนประสาทก็ถลึงตาใส่ทำให้ผมตกใจ เสร็จแล้วก็เดินหัวเราะจากไป มันน่าโมโหมั้ยล่ะ!


ส่วนที่ชั้นสำนักงานนั้น พนักงานส่วนใหญ่มักกลับบ้านตรงเวลา  ผมเข้าไปทำความสะอาดหลังเลิกงานเลยไม่ค่อยเจอใครก็ไม่แปลก คนที่พบบ่อยที่สุดกลายเป็นคุณวรเมธ นี่ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าเขาเป็นแค่เลขา ผมต้องนึกว่านี่ล่ะนายใหญ่ เพราะเขาดูจะงานยุ่งตลอดเวลา มีเรื่องให้ประชุม คุยงานจนตารางแต่ละวันแน่นเอี้ยด มีเอกสารให้อ่านกองสูงเป็นตั้งๆ ผมเห็นเขาได้พักก็ตอนทานข้าวหรือเบรคดื่มกาแฟ นอกจากนั้นก็ไม่เคยอยู่ว่างๆเลย


วันหนึ่งขณะที่ผมกำลังดูดฝุ่นอยู่เพลินๆ คุณเมธก็เปิดประตูห้องออกมา ท่าทางไม่แปลกใจที่เห็นผม


“ลืมไปเลย” เขาบ่นพึมพำ แถมเอาแฟ้มในมือฟาดขาตัวเองอีก นี่เขาคงจะไม่เครียดจนมาทำร้ายผมด้วยหรอกนะ
“คุณเมธมีอะไรหรือเปล่าครับ ถ้าจะเอากาแฟเดี๋ยวผมไปชงให้ก็ได้ครับ”


ผมเห็นเขาทำหน้ายุ่งๆ มองไปทางโต๊ะเลขาที่ว่างเปล่าเลยอดเสนอตัวไม่ได้ แต่เขากลับมองหน้าก่อนจะเอ่ยถามในสิ่งที่ผิดไปจากความคาดหมายของผมมาก


“นาย...จบม.สามใช่มั้ย” ผมเริ่มชินกับวิธีการพูดของคุณเมธ ผมว่าเขาเป็นคนเก่ง ฉลาด ในหัวคงมีข้อมูลมากมายจึงมักถามเพื่อย้ำความแน่ใจเฉยๆ ผมเลยแค่พยักหน้า หรือบางครั้งแค่นิ่งไว้ก็ถือเป็นคำตอบได้แล้ว “แล้วใช้คอมพิมพ์จดหมายได้หรือเปล่า”


“ได้ครับ” 


“ฉันแค่ร่าง ใส่เฉพาะที่เป็นตัวเลขไว้ ส่วนที่เหลือจะทำเองได้มั้ย”


ผมรับแฟ้มมาเปิดดู ข้างในเป็นกระดาษสองสามแผ่น จากลายมือคร่าวๆคิดว่าเป็นจดหมายธุรกิจประเภทตอบกลับและสอบถามข้อมูลธรรมดา ไม่น่าเกินความสามารถ


“ถ้าเป็นจดหมายแบบที่เคยมีข้อมูลอยู่แล้ว ผมลอกเอาจากของเก่าได้มั้ยครับ” ผมกวาดสายตาให้ทั่วทุกแผ่นก่อนค่อยเงยหน้าถาม ดูเหมือนเขาจะมองผมด้วยแววตาพอใจนะ


“ลองดูแล้วกัน สงสัยอะไรก็เข้าไปถามฉันได้”


ผมรีบวางเครื่องดูดฝุ่นแล้วเปิดคอมพิวเตอร์ โชคดีที่คุณเลขาเก็บแฟ้มข้อมูลอย่างเป็นระบบ ใช้เวลาไม่นานก็หาจดหมายฉบับก่อนๆของบริษัทเดียวกันมาดูเป็นตัวอย่าง ปรับแก้ข้อมูลตามร่างที่ได้มา กว่าจะเสร็จเรียบร้อยปาเข้าไปชั่วโมงกว่า แต่คุณเมธใช้เวลาตรวจงานของผมแค่ครึ่งนาที แล้วก็ยื่นคืนมาพร้อมคำสั่งที่ถือได้ว่าเป็นความสำเร็จของผมทีเดียว


“แก้คำผิดตรงที่ติ๊กแล้วส่งไปที่เมลล์นี้ เสร็จแล้วปรินท์เก็บเข้าแฟ้มให้ฉันอย่างละสองชุด”


ผมทำทุกอย่างจนเรียบร้อยจึงย้อนกลับเข้าไปในห้องอีกครั้งพร้อมน้ำผลไม้เย็นๆหนึ่งแก้ว คุณเมธมองผ่านแฟ้มนั้นอีกชั่วแวบก็ปิดแล้วโยนไปรวมกับแฟ้มอื่นที่มุมหนึ่งของโต๊ะ ยกแก้วน้ำผลไม้ขึ้นดื่ม เสร็จแล้วก็ถอดแว่นวางแล้วเอนตัวไปกับพนักเก้าอี้ทำงาน


“ทำไมถึงไม่เรียนต่อ”


เป็นครั้งแรกที่เขาถามเพื่อหาข้อมูลจริงๆ ผมจึงอธิบายความจำเป็นที่เพิ่มเติมจากเรื่องหนี้ห้าแสนบาทของพ่อ และเป็นครั้งแรกที่ผมเล่าเรื่องพี่กัญญาให้คนอื่นฟัง


“ถึงไม่ทำแบบนี้ พี่สาวนายก็เรียนจบได้”


คำพูดนั้นปักฉึกลงกลางใจ ใช่ว่าผมไม่เคยคิด แต่เพราะเชื่อว่าหนทางนี้น่าจะรับประกันว่าพ่อจะไม่ไปยุ่งวุ่นวายกับพี่กัญญาต่างหาก


“แต่ผมตัดสินใจเลือกแล้วครับ คนเราไม่มีใครแก่เกินเรียน ไม่เรียนวันนี้ วันหน้าก็ยังมีโอกาส หรือถึงอย่างนั้นชีวิตข้างนอกนี่ก็มีเรื่องมากมายให้เรียนรู้ ผมจะไม่ยอมให้ตัวเองมีค่าแค่หนี้เน่าๆก้อนเดียวหรอกครับ”


“แล้วคิดว่าตัวเองมีค่าแค่ไหนกัน”


ผมสงสัยว่าคุณวรเมธใช้หินลับมีดขัดปากทุกวันหรือเปล่า คำแต่ละคำถึงได้บาดความรู้สึกเหลือเกิน แถมผมยังไม่เคยเห็นเขายิ้มกว้างๆหรือหัวเราะให้ได้ยิน อย่างมากสุดก็เหยียดริมฝีปากให้มากกว่าปกติเท่านั้น คนอย่างนี้ถ้าชอบสาวจะจีบด้วยวิธีไหน หรือจะเข้าตำราโบราณ ‘ผู้หญิงด่าแปลว่าผู้หญิงรัก’ แต่ต้องกลับกันเป็นว่า ‘คุณเมธด่าแปลว่าคุณเมธรัก คุณเมธเหยียดหางตาแลแปลว่าพอใจ’


“ผมไม่ได้อยากมีมูลค่า แต่อยากเป็นคนที่มีคุณค่า ส่วนจะมากหรือน้อยก็คงแล้วแต่คนอื่นจะมองครับ”


ผมตอบตามที่คิด ส่วนคนฟังจะพอใจหรือรับได้หรือเปล่าไม่รู้ แล้วการที่คุณเมธหยิบแว่นสายตามาสวมแล้วลากแฟ้มมาเปิดอ่านต่อนั่นยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจไปกันใหญ่ สรุปผมก็เลยเอ่ยขอตัวและออกมาดูดฝุ่นตามหน้าที่ของผมต่อไป แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่านั่นคือวันสุดท้ายที่ผมได้ทำงานในฐานะพนักงานทำความสะอาดประจำชั้นสำนักงาน!


เพียงวันรุ่งขึ้นป้ามาลัยก็เดินยิ้มกริ่มมาหาผมถึงที่ห้องพักแต่เช้า ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เร่งให้อาบน้ำแต่งตัวแล้วลากออกไปเดินช้อปปิ้งเป็นเพื่อนแก เชื่อเถอะครับ ผมต้องมาเดินห้างเป็นเพื่อนป้ามาลัยอยู่ครึ่งค่อนวัน แต่ความจริงแล้วของทุกชิ้นที่ซื้อล้วนเป็นของผมตั้งแต่เสื้อผ้าทั้งใส่ทำงาน ใส่ลำลอง ถุงเท้ารองเท้า แถมยังถูกพาไปเข้าร้านตัดผมแปลงโฉมให้ดูเป็นผู้เป็นคนสมกับตำแหน่งใหม่ที่เบื้องบนประทานลงมา... พนักงานฝึกหัดในตำแหน่งผู้ช่วยเลขาของเลขาท่านประธานกรรมการบริหาร เรียกให้ง่ายก็คือ... ผู้ช่วยเลขาของคุณวรเมธอีกทีนั่นเอง


นอกจากนี้ผมยังได้ย้ายเข้ามาอยู่ในห้องพักของโรงแรม แน่นอนว่าเป็นห้องธรรมดาที่มีสำรองเอาไว้เป็นสิทธิพิเศษให้พนักงาน แต่รายการของผมนั้นเพื่อให้สะดวกกับการถูกเรียกใช้งานเสียมากกว่า เพราะอย่าลืมว่าผมเป็นพนักงานคนเดียวที่ไม่มีเงินเดือนแต่ต้องพร้อมแสตนด์บายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ก็เอาเป็นว่าถ้าคุณเมธทำงานผมต้องอยู่ ขนาดเขากลับไปแล้วผมยังต้องอ่านเอกสารอีกพะเรอเกวียนให้จบก่อนเข้าพบเขาในวันรุ่งขึ้น วันหยุด วันลากิจ ลาป่วยอย่าได้พูดถึง ผมไปแจ้งความว่าถูกกดขี่แรงงงานเยี่ยงทาสยังได้เลยนะเนี่ย


“กานต์! ไม่สบายหรือเปล่า หน้าซีดเชียว กินข้าวหรือยังลูก”


เดี๋ยวนี้ป้ามาลัยมาถึงโรงแรมเป็นต้องเรียกหาผมก่อนใคร ขนาดเฮียสยามยังแกล้งแซวว่าท่าทางป้าจะมาเลี้ยงต้อยเด็กเอาตอนแก่


“เปล่าครับ กานต์แค่ได้นอนไป..สองชั่วโมง ฮ้าวววว” ผมยกมือถือขึ้นดูเวลาบนหน้าจอ นี่ก็อีกหนึ่งรายการแถมจากวันที่ป้าพาผมไปช็อปกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ ที่จริงเครื่องเดิมยังใช้ได้ดี แต่ป้ากับพี่พนักงานขายช่วยกันโน้มน้าวว่าเจ้าเครื่องใหม่ราคาหลักหมื่นนี้ทำได้ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ คนทำงานออฟฟิศเป็นถึงเลขาคนใหญ่คนโตต้องใช้ แต่ที่เขาพูดมาก็จริง เพราะพอมาเจอเจ้านายอย่างคุณเมธเข้าไปกี่เครื่องก็คงไม่พอ


“โถๆ มิน่าล่ะดูตาโหลๆ งานหนักมากเหรอ” ได้ยินอย่างนั้นป้าก็รีบจูงผมไปหาข้าวกิน ผมเลยได้เดินหลับตาสบายไป ไม่ไหวครับ ไม่ได้นอนแล้วยังต้องออกมาเจอแสงสว่างตอนเช้านี่มันทำร้ายลูกกะตาคนเราจริงๆ


“งานไม่หนักครับ แต่มีข้อมูลที่ต้องอ่านให้เข้าใจแล้วก็ต้องจำให้ได้เยอะมากจนกานต์กลัวว่าหัวจะแตกซะก่อน”


“เจ้านายท่านเมตตา กานต์ต้องขยันๆเข้า คนเราลองไม่ท้อถอยซะก่อน สักวันก็ต้องประสบความสำเร็จนะจำไว้”


เป็นอีกหนึ่งกิจวัตรที่ผมจะลงมาทานข้าวเช้าพร้อมฟังโอวาทของป้ามาลัย แต่ผมรู้สึกดีนะเพราะเหมือนมีโอกาสได้อยู่กับแม่อีกครั้ง แล้วหลังจากนั้นผมก็ต้องหายเข้ากลีบเมฆ ได้แต่สิงตัวอยู่ที่ชั้นผู้บริหารแบบไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันกันเลยทีเดียว


“คุณเมธเพิ่งโทรมาบอกว่าจะเข้าออฟฟิศใกล้ๆเที่ยงนะกานต์”


ในแต่ละวันนอกจากคุณวรเมธก็มีพี่พัชรีนี่ล่ะที่ผมพบหน้าพูดคุยมากที่สุด พี่พัชรีเป็นเลขาคุณเมธก็เลยเป็นพี่เลี้ยงฝึกงานให้ผมอีกต่อหนึ่ง ซึ่งยอมรับตามตรงว่าถ้าไม่ได้เขา ผมคงไม่รอดตั้งแต่วันแรกนั่นแหละ


“จริงนะครับพี่พัช โฮ้ยดีใจจัง ผมรอดตายแล้ว!”


พี่พัชรีก็เหมือนป้ามาลัยคือทำงานมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อของนายใหญ่ แต่อย่างที่บอกว่าคุณเมธดูจะงานเยอะกว่าใครๆ คุณพัชรีเลยถูกโอนมาช่วยด้วยความเต็มใจเพราะไม่เคยเกี่ยงเรื่องอายุของผู้ร่วมงาน และโดยส่วนตัวก็เป็นสาวโสดที่สวยเฟี้ยวไม่ยอมแก่ ผมเจอหน้าเลยรีบเรียกว่า ‘พี่’ แกชอบอกชอบใจชมผมใหญ่ว่าน่ารักปากหวาน เห็นหรือยังล่ะครับความสามารถของผม


“แสดงว่าแฟ้มของเมื่อวานยังอ่านไม่จบล่ะสิ” พี่พัชแซวผมยิ้มๆ ส่วนผมก็ได้แต่ส่งยิ้มเพลียๆ


แฟ้มที่พูดถึงคือบรรดาเอกสารที่เรียงรายอยู่ในตู้กระจกรอบห้องคุณวรเมธ บรรจุข้อมูลทุกอย่างทั้งในส่วนของโรงแรม คลับและคาสิโน เป็นงานประจำวันและการบ้านที่ผมต้องอ่านให้เข้าใจทั้งที่ตัวผมหรือพี่พัชก็ไม่รู้ว่าทำไม คุณเมธไม่เคยอธิบาย ได้แต่หยิบแฟ้มมาโยนให้ จดหัวข้อสำคัญที่ต้องจำซึ่งจะกลายเป็นคำถามที่ผมต้องตอบเขาให้ได้ในวันรุ่งขึ้น นี่ล่ะครับสาเหตุที่ทำให้ผมจะหลับคาโต๊ะกินข้าวอยู่ทุกเช้า


“จบก็บ้าแล้วครับ แต่ละแฟ้มหนาตั้งเป็นร้อยๆหน้า ผมอ่านแล้วอ่านอีกจนเมื่อย แทบจะควักลูกตาออกมานวดๆแล้วใส่กลับไปใช้งานต่อ”


“เวอร์ไปแล้วย่ะ” พี่พัชเปิดกระจกเงาเช็คความเรียบร้อยแล้วแถมค้อนให้ผมหนึ่งวง “อ้อ! คุณเมธบอกเรื่องโต๊ะทำงานของกานต์ เดี๋ยวพอว่างๆค่อยดูอีกทีว่าจะให้นั่งตรงไหน ช่วงนี้เลยให้เข้าไปใช้ห้องประชุมเล็กในห้องท่านประธานไปก่อน เพราะท่านลงไปธุระเรื่องโรงแรมที่ภูเก็ต คงเป็นอาทิตย์กว่าจะกลับ พี่ให้คนเอาคอมกับของใช้จำเป็นไปจัดไว้ให้แล้ว ถ้ากานต์อยากได้อะไรเพิ่มก็มาบอกนะ”


“ห้องท่านประธาน...?”


ลืมบอกไปครับว่าที่ออฟฟิศจะเรียกคุณภากรว่า ‘ท่านประธาน’ แต่ถ้าเป็นพนักงานระดับล่างรวมถึงคนที่คลับกับคาสิโนอย่างเฮียหยามจะคุ้นปากกับคำว่า ‘นายใหญ่’ หรือ ‘นาย’ เฉยๆ แต่สำหรับผมคนกวนประสาทก็ยังเป็นคนกวนประสาทวันยังค่ำ!


ทีแรกผมก็ไม่อยากเข้าไปยุ่มย่ามแต่พี่พัชยืนยันว่าดูไม่เหมาะสมที่จะให้ผมอยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง หรือนั่งงอกเป็นส่วนเกินให้คนที่มาติดต่อมองไม่ดี อาจจะเสียถึงภาพลักษณ์ของชั้นทำงานผู้บริหารไปซะอีก ผมจึงต้องย้ายตัวเองมาตามคำสั่ง ห้องท่านประธานยังคงดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขามอย่างเคย และสิ่งแรกที่ผมทำคือ...


“อรุณสวัสดิ์ครับท่าน เมื่อคืนฝนตกนิดหน่อย เช้านี้เลยอากาศดีนะครับ” ผมสะดวกใจจะเรียกคนในรูปบนผนังว่าท่านประธานมากกว่าตัวเจ้าของห้องเสียอีก “คุณเมธบอกให้ผมเข้ามาใช้โต๊ะประชุมในห้องนี้ไปก่อน ผมจะอยู่เงียบๆ จะขยันแล้วก็ตั้งใจทำงานครับ”


ใครเห็นเข้าอาจคิดว่าผมต๊อง แต่มันเหมือนได้ขออนุญาตหรือบอกกล่าวเจ้าของสถานที่ ในเมื่อเจ้าของห้องตัวจริงไม่อยู่ แบบนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกสบายใจมากขึ้น จากนั้นผมก็เริ่มทำงานของตัวเอง สำหรับแฟ้มที่ผมต้องอ่านให้จบก่อนพบคุณวรเมธวันนี้เป็นรายงานผลประกอบการในส่วนของโรงแรม ซึ่งก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าผู้ช่วยเลขาอย่างผมจะต้องรู้ไปทำไม และยิ่งไปกว่านั้น อย่างผมเนี่ยมีสิทธิ์ที่จะได้รู้ข้อมูลสำคัญขนาดนี้ด้วยหรือ


แต่ความจริงอ่านๆไปก็เพลินจนเวลาหมดไปไม่รู้ตัว เพิ่งได้รู้ว่านอกจากโรงแรมที่กรุงเทพก็ยังมีอีกหลายแห่งตามจังหวัดใหญ่ๆเกือบทุกภาค สาขาล่าสุดคือที่ภูเก็ตซึ่งอยู่ในขั้นตอนเจรจาซื้อโรงแรมเก่ามาปรับปรุงให้สะดวกทันสมัยแต่ยังคงกลิ่นอายความคลาสสิคไว้ดังเดิม และในรายงานการประชุมอีกหลายฉบับยังพูดถึงแผนการซื้อโรงแรมและรีสอร์ทในต่างประเทศ คุณภากรคงพยายามสร้างเครือข่ายโรงแรมของตนเองให้เข้มแข็งขึ้น อาจจะเป็นเหมือนที่ป้ามาลัยบอกว่าเขาไม่ได้เห็นด้วยกับกิจการดั้งเดิมของรุ่นปู่รุ่นพ่อ จึงพยายามปรับปรุงธุรกิจให้เป็นไปในแบบของตนเอง อาบอบนวดและบ่อนคงจะค่อยๆหมดไป ซึ่งจุดนี้แหละที่ผมแอบชื่นชมและหวังให้เขาทำสำเร็จในเร็ววัน


ผมอ่านแฟ้มอยู่เพลินๆก็ต้องสะดุ้ง ไม่ใช่ว่าท่านจะออกจากรูปมาหาแต่เพราะเสียงโทรศัพท์จากโต๊ะทำงานตัวใหญ่อลังการนั่นต่างหาก


“สวัสดีครับ ห้องท่านประธานครับ” ผมกรอกเสียงด้วยความไม่แน่ใจ ความจริงคนระดับนี้ไม่อยู่ ทุกคนในออฟฟิศก็ต้องรู้อยู่แล้ว ไม่น่าจะมีใครต่อสายมาหาได้เลยนี่


“เอ่อ...ฮัลโหล...” ปลายสายเงียบสนิท ผมเลยลองส่งเสียงไปอีกที “ถ้าไม่พูดขออนุญาตวางนะครับ”


ผมรออีกอึดใจก็วางหูโทรศัพท์ลง แต่โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ผมชักไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไรเลยยืนฟังจนเสียงเงียบไป แล้วก็รอจน...น่าจะสิบนาทีได้เลยจะกลับไปทำงานต่อ แต่เดินยังไม่ทันพ้นโต๊ะโทรศัพท์ก็ดังอีก คราวนี้ผมรับ...


“ห้องท่านประธานครับ” ผมบอกและรอฟัง นับหนึ่งถึงสิบในใจ ตั้งใจแล้วว่าเที่ยวนี้จะวางแล้วดึงสายโทรศัพท์ออกซะเลย ไม่งั้นผมไม่เป็นอันได้ทำงานแน่ แล้วก็มีเสียงตอบกลับมาทันทีที่ผมนับถึงสิบ เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ!


“ทำไมไม่รับโทรศัพท์”


“ผมรับแล้วนี่ครับ” เสียงนี้...ต่อให้ได้ยินไม่บ่อยแต่ผมจำได้หรอกน่ะ และอย่างน้อยอีกฝ่ายก็เป็นเจ้านาย ทำตัวให้สุภาพไว้ก็ถือเป็นผลดีกับตัวผมเอง


“ทำไมรับช้า”


“ขอโทษครับ” ได้ยินแล้วจี๊ด เจ้านายที่พยายามจับผิดลูกน้องมันเป็นยังงี้นี่เอง แต่แม่เคยสอนว่าอย่าไปตีฝีปากกับคนพาล ต่อความยาวสาวความยืดยังไง หมาป่าเจ้าเล่ห์มันก็ยังหาเรื่องเขมือบลูกแกะได้วันยังค่ำ


“ทำอะไรอยู่ถึงได้รับช้า”


“ทำงานครับ” ถามซ้ำๆ ย้ำคิดย้ำทำ นี่ล่ะวิสัยหมาป่าแก่ขี้หลงขี้ลืม ส่วนผมจะตอบว่าซักผ้าก็เกรงใจสายตาของท่านในรูป


“งานอะไร”


“งาน...ที่คุณเมธสั่งครับ” อันนี้ผมไม่ได้กวนแต่เพราะหาคำจำกัดความให้งานที่ได้รับมอบหมายไม่ได้จริงๆ


“เมธสั่งงานอะไร”


แล้วท่านประธานเจ้าของโรงแรมจะมาอยากรู้เรื่องของเด็กฝึกงานทำไมเนี่ย?!


“เอ่อ...ก็ให้อ่านแฟ้ม...” ผมยกมือขึ้นมานับนิ้วกันพลาด “ข้อมูลโรงแรม คลับ คาสิโน รายงานการประชุม ทั้งรายรับรายจ่าย ผลประกอบการ งบดุล รายละเอียดพนักงาน...”


“คิดจะกวนประสาทหรือไง เมธมันจะบ้าสั่งงานอะไรมากมายก่ายกองขนาดนั้น” ปลายสายบ่นพึมพำอะไรสักอย่างฟังไม่ค่อยถนัด ก่อนจะกลับมาคุยต่อด้วยน้ำเสียง...ไม่ใช่เบาหรือค่อยแต่น่าจะเรียกว่า ‘อ่อนลง’ “แล้วอ่านได้หมดนั่นเลยเหรอ”


“ยังไม่หมดแต่ก็ค่อยๆอ่านไปครับ”


“เก่งนะ” ผมไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร แต่แค่คำสั้นๆง่ายๆนี้ก็ทำให้อดยิ้มไม่ได้ รู้สึกเหมือนเวลาสูดหายใจเข้าจนอากาศฟูคับอกยังไงยังงั้น “อ่านเยอะขนาดนั้นได้พักบ้างหรือเปล่า กินข้าวหรือยัง”


ผมหันไปมองนาฬิกาที่อีกฝั่งห้องแล้วเลือกตอบคำถามสุดท้าย


“ข้าวเช้าทานแล้วแต่ข้าวเที่ยงยังไม่ถึงเวลาครับ”


“น่าอิจฉา ตั้งแต่เช้าฉันได้กาแฟแค่แก้วเดียว”


“พอเหรอครับ” นอกจากนมที่ทำให้ปวดท้อง กาแฟก็เป็นอีกอย่างที่ผมไม่รู้จะกินเข้าไปทำไม ขมก็ขม อร่อยก็ไม่อร่อย ทั้งเช้ากินกาแฟแค่แก้วเดียวแล้วอยู่ได้นี่เป็นอะไรที่ผมอดทึ่งไม่ได้


“คงไม่พอหรอก แต่ไม่ค่อยหิวอยู่แล้ว เที่ยงนี้สิ ยังไม่รู้จะกินอะไร”


“ไม่ดีเลยนะครับ”


“อะไรไม่ดี” หมาป่าชักจะหาเรื่องอีกแล้ว!


“ข้าวเช้าไม่ได้ทาน ข้าวเที่ยงก็ยังอดอีก จะเป็นโรคกระเพาะได้”


“ห่วงเหรอ” แป๊บเดียวก็เสียงอ่อนลง โอ๊ย! กว่าจะคุยจบผมคงบ้าแน่ๆ


“เอ่อ...ก็...” เอาไงล่ะที่นี้ ฐานะอย่างผม คนที่ถูกเอามาขายใช้หนี้ แค่พนักงานในโรงแรม พูดง่ายๆคือคนธรรมดามากๆคนหนึ่งมีสิทธิ์จะรู้สึกแบบนั้นด้วยหรือ ใช่หรือไม่ใช่กันนะ “...แค่คิดว่าแบบนั้นไม่ดีต่อสุขภาพเฉยๆ”


“อ๋อ สุขภาพของนายเฉย ไม่ใช่สุขภาพของฉันล่ะสิ”


พลังงานสมองของผมถูกผลาญไปกับคำถามก่อนๆเกือบหมด เจอมุขนี้เข้าไปเลยได้แต่อึ้ง พูดอะไรไม่ออก


“ไปทำงานต่อเถอะ แค่นี้นะ”


“แล้ว...” ปลายสายวางไปแล้วผมเลยได้แต่พูดส่วนที่เหลือกับตัวเอง “...ตกลงโทรมา...ทำไมเนี่ย??”


ผมวางหูโทรศัพท์และทิ้งความสงสัยไว้ที่ตรงนั้น ตอนเที่ยงผมไม่เชิงรอแต่ก็อยู่จนนาฬิกาเดินเลยเลขสิบสองนิดหน่อยค่อยลงมาทานข้าว อดถามป้ามาลัยไม่ได้ว่าที่ภูเก็ตมีอาหารอะไรขึ้นชื่อบ้าง พอตกบ่ายผมยุ่งอยู่ในห้องคุณเมธจนเกือบค่ำเลยไม่รู้ว่าโทรศัพท์ในห้องท่านประธานดังขึ้นอีกหรือเปล่า แต่ก็แอบหวังว่าจะไม่มีใครอดข้าวจนกระเพาะทะลุไปเสียก่อน



จบแล้วจ้า

 :bye2:


ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1


4 .

วันนี้เป็นวันหยุดแรกหลังจากที่ผมได้เลื่อนขั้นมาอยู่ในตำแหน่งล่าสุด และไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นวันแรกเช่นกันที่ผมไม่ต้องทำงาน เมื่อวานคุณวรเมธเองก็ไม่สั่งให้ผมอ่านอะไรเพิ่มด้วย วู้ปปี้ ดีใจที่สุดเลย!!


เพื่อฉลองโอกาสดีๆอย่างนี้ผมเลยชวนพี่กัญญาออกไปเที่ยว ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน ขนาดว่าผมไม่มีเงินเดือน แต่ตอนนี้ผมกลับมีเงินสดติดกระเป๋าตั้งห้าพันบาทถ้วน เงินนี้ป้ามาลัยให้มาเมื่อวาน บอกว่าเป็นเบี้ยเลี้ยงพิเศษงวดสุดท้ายในฐานะพนักงานทำความสะอาด ตอนรับมาผมไม่ทันเอะใจ แต่ก็ช่างเถอะ ในเมื่อผมได้มาโดยสุจริต ไม่ได้จี้ปล้นหรือคดโกงใครก็ขอใช้ให้ความสุขกับตัวเองบ้างจะเป็นไรไป


เงินจำนวนนี้ผมตั้งใจว่าจะให้พ่อกับพี่กัญญาคนละสองพัน ส่วนผมไม่ค่อยได้ใช้อะไรอยู่แล้ว เก็บเอาไว้เผื่อฉุกเฉินหรือซื้อของใช้ส่วนตัวแค่พันเดียวก็พอ พี่กัญโทรบอกว่าอาจจะมาช้าหน่อยผมเลยนัดพี่กัญที่แผนกซุปเปอร์มาร์เก็ตของห้างสรรพสินค้าที่มีโรงภาพยนตร์อยู่ชั้นบนด้วย ซื้อของ กินข้าว ดูหนัง ครบสูตรวันหยุดของคนมีตังค์ใช้เลยนะเนี่ย


ผมหยิบตะกร้ามาถือเพราะรู้สึกเขินๆที่เดินลอยชายตัวเปล่า ความจริงไม่ได้ตั้งใจซื้ออะไรเป็นพิเศษ อาจจะมีของใช้จุกจิก ขนมบ้างนิดหน่อย แล้วจู่ๆก็หลงเข้ามาในช่องสินค้าประเภทชากาแฟ ที่นี่มีขายหลายยี่ห้อ ทั้งแบบซอง ถุงและขวด ขนาดตรงชั้นกาแฟสดยังมีบริการบดเมล็ดกาแฟ แต่ที่บังเอิญเห็นเลยหยิบมาพลิกอ่านฉลากฆ่าเวลาคือกาแฟชนิดสกัดคาเฟอีน นี่ล่ะที่ผมสนใจว่ากาแฟที่ไม่มีคาเฟอีน...แล้วมันจะยังไงล่ะ?


“หือ?” เสียงดังข้างหูทำให้ผมสะดุ้งจนเกือบทำขวดกาแฟหลุดมือ หันไปค่อยโล่งอก พี่กัญญานั่นเอง คงมาถึงแล้วเดินเข้ามาเจอผมพอดี “เดี๋ยวนี้กานต์กินกาแฟด้วยเหรอ”


“เปล่าครับ แค่ดูเฉยๆ พี่กัญดูนี่ดิ ดีแคฟเฟอีน กาแฟแบบนี้มันไม่เหมือนอันอื่นตรงไหนอ่ะ”


ผมยื่นขวดกาแฟให้ดู ที่จริงพี่กัญก็ไม่ได้ชอบกาแฟเหมือนผม แต่พอต้องอยู่อ่านหนังสือดึกๆก็เริ่มชงกาแฟใส่นมข้นเยอะๆกินบ้าง นานวันเข้าก็เปลี่ยนเป็นกาแฟ น้ำตาล ครีมเทียม จนหลังๆมานี่ผมเห็นตักแต่ผงกาแฟหน้าตาเฉย แล้วไอ้น้ำกาแฟดำๆนั่นก็เลยไปตกค้างอยู่ใต้ตาจนกลายเป็นหมีแพนด้าทุกทีเวลาสอบ


“พี่ก็ไม่ค่อยรู้นะ แต่เคยได้ยินมาประมาณว่าพอไม่มีคาเฟอีนก็จะดีต่อสุขภาพมากกว่า เอาไว้สำหรับคนที่อยากดื่มกาแฟจริงๆแต่มีปัญหาอย่างโรคหัวใจหรืออะไรทำนองนั้นล่ะมั้ง”


“ดีต่อสุขภาพ?” คือจริงๆผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะคิดอะไรมาก แต่ดันบังเอิญนึกไปถึงคนที่กินแต่กาแฟประทังชีวิตคนนั้นนั่นแหละ


“ใช่แล้วล่ะ ความจริงทางการแพทย์ก็ไม่ได้ห้าม เพราะการดื่มกาแฟ ชา หรือพวกโกโก้สามารถกระตุ้นให้หัวใจและการหมุนเวียนโลหิตทำงานได้ดี แต่ต้องไม่มากจนเกินไป วันละแก้วหรือสองแก้วไม่ควรมากกว่านั้นเพราะจะทำให้หัวใจทำงานหนัก เพราะฉะนั้นคนที่ติดกาแฟ ต้องกินวันละหลายๆแก้วถ้าเปลี่ยนมาดื่มแบบนี้บ้างก็น่าจะดีเหมือนกัน”


“เหรอครับ แต่คงไม่ค่อยดีกับกระเป๋าตังเนาะ แพงกว่าแบบธรรมดาอีกนะเนี่ย” ผมไล่ดูป้ายราคาที่ติดอยู่ เจ้าขวดเล็กๆในมือผมนี่ราคาไม่ได้สมขนาดเลย


“แล้วกานต์จะสนใจไปทำไม กินก็ไม่ได้กิน หรือว่าจะซื้อไปฝากใคร”


“ก็...พวกพี่ๆที่ออฟฟิศน่ะครับ”


โชคดีที่พี่กัญไม่สงสัยเพราะเชื่อเรื่องโรงงานพลาสติกที่อ้างไปเมื่อครั้งก่อน ไม่อย่างนั้นผมคงต้องเล่าตั้งแต่เรื่องงานที่โรงแรมย้อนไปถึงเรื่องหนี้ของพ่อ ผมรู้ว่าพี่กัญรักพ่อไม่น้อยไปกว่าผม ทุกวันนี้พี่กัญเองก็คงเจ็บปวดที่ต้องรับรู้ในสิ่งที่พ่อเป็น คงดีกว่าถ้าผมจะเก็บเรื่องบางเรื่องไว้อดทนคนเดียว


แต่เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต ผมก็เล่าเรื่องงานให้พี่สาวฟังบ้าง พูดถึงป้ามาลัยว่าเป็นหัวหน้าแม่บ้านที่ดีกับผมมาก พี่พัชรีที่คอยช่วยฝึกงานให้ และสุดท้ายคือความโหดเฮี้ยบของคุณวรเมธ จะเรียกว่านินทาอย่างสนุกปากก็ไม่ผิดเลย พี่กัญฟังบ้างซักบ้างด้วยความสนใจ แล้วก็ชวนผมไปเลือกซื้อของฝากทั้งป้ามาลัยและพี่พัช ส่วนคุณเมธนั้นบอกตามตรงว่าถึงซื้อก็ไม่กล้าให้


“ตกลงกานต์จะไม่ซื้ออะไรฝากคุณเมธนั่นจริงๆใช่มั้ย”


“ไม่อ่ะ กานต์...” ผมว่าคุณเมธนี่ท่าทางจะตายยาก แค่พูดถึงก็โผล่มาหลอกหลอนกันเชียว แต่ดีหน่อยที่เขาอยู่ในรถที่กำลังติดไฟแดง ส่วนผมกับพี่สาวอยู่ริมถนน กำลังจะเดินไปขึ้นรถเมล์ที่ป้าย


“กานต์ว่าอะไรนะ?”


“เปล่าครับ กานต์จะถามว่าซื้อขนมร้านนั้นไปฝากอาสากันมั้ย”


“หืย ไม่เอาหรอก ขนมซื้อไปทีไรอาสาก็บอกให้เอากลับไปกินกันเองทุกที ช่วงนี้พี่อ้วนๆอยู่ด้วย เดี๋ยวเราแวะตลาดซื้อผลไม้ไปดีกว่า”


“อ้วน?! ตรงไหนเนี่ย” ผมจิ้มเอวคอดกิ่วหาไขมันสะสมก็ไม่มีสักนิด ผมว่าพี่กัญคงเรียนหนัก ดูซูบกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกันด้วยซ้ำ


“กานต์ไม่เห็นเหรอ แก้มพี่ป่องจะแย่ ต้องเอาผมลงมาปิดๆอยู่เนี่ย”


เฮ่อ...ถึงจะเป็นเด็กเรียนแต่ก็อดรักสวยรักงามตามประสาผู้หญิงไม่ได้สินะ! ไม่ได้เข้าข้างแต่พี่กัญญาของผมน่ารักจริงๆนะครับ เราสูงไล่เลี่ยกัน ถ้าไม่ขี้โกงผมน่าจะมากกว่าสักสามเซนติเมตร พี่กัญได้เชื้อทางพ่อเลยไม่ขาวเท่าผมแต่ใครๆก็บอกว่าผิวสีน้ำผึ้งอย่างนี้ถ่ายรูปขึ้นกล้องดี ส่วนรูปร่างก็เป็นคนมีน้ำมีเนื้อแต่ผมรับประกันได้ว่าไม่ถึงกับอวบด้วยซ้ำ ส่วนที่ทำให้พี่กัญนอยด์ไม่เลิกคือพวงแก้มที่ส่งให้ใบหน้าดูสมบูรณ์กว่าความเป็นจริง เวลากินอะไรทีก็ชอบบ่นว่าออกแก้ม นี่ถ้าสถานเสริมความงามไหนมีโปรแกรมลดเฉพาะส่วนแก้มล่ะก็ ผมจะรีบเก็บเงินซื้อให้พี่กัญคอร์สนึงเลย


สรุปแล้วเราเลยขึ้นรถเมล์กลับและแวะตลาดสดใกล้ๆคอนโดเพื่อซื้อผลไม้ไปฝากอาสารภี แต่เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง ผมเจอหน้าอา ได้ทันแค่กอดให้หายคิดถึงก็มีเมลล์เข้าสั่งให้ผมกลับออฟฟิศ อะไรไม่น่ากลัวเท่าขนาดที่คุณเมธถึงกับลงท้ายข้อความว่า ‘เดี๋ยวนี้’ แล้วมีหรือที่ผมจะไม่รีบวิ่งหูตั้งกลับโรงแรม


“เฮ้ยๆ! กานต์! เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป”


ผมกระโดดลงจากมอเตอร์ไซค์รับจ้าง จ่ายเงินเสร็จก็ต้องเบรกเอี้ยด ถึงเฮียสยามไม่เรียกผมก็ต้องหยุดล่ะ เล่นพาลูกน้องมายืนคุมที่หน้าประตูโรงแรมอย่างกับจะมาดักอุ้มใครแน่ะ


“ผมรีบนะเฮีย วันหลังค่อยคุยกัน”


“จะรีบไปตายที่ไหนของเอ็ง” เฮียสยามคว้าคอเสื้อผมหมับ ถ้าจะทำยังงี้อย่าถามเลยดีกว่ามั้ย


“ก็ถ้าไม่รีบ ผมต้องตายจริงๆแน่ คุณเมธสั่งให้ไปพบด่วนมาก อ้อมไปลิฟต์ตัวหลังไม่ทันแล้ว ขอผิดกฎใช้ลิฟต์โรงแรมสักครั้งนะครับ”


“เอ็งนี่น๊า แล้วดูสภาพเข้า แต่งเนื้อแต่งตัวดูได้มั้ยเนี่ย”


เฮียจับตัวผมหมุนซ้ายหมุนขวาแล้วส่ายหัว แล้วจะให้ทำยังไง ผมเป็นแค่เด็กยังไม่ถึงสิบแปดเลยนะ วันนี้วันหยุด ผมใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ออกไปเที่ยวนี่มันผิดมากหรือไง แต่เฮียก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง กระดิกนิ้วเรียกลูกน้องที่ตัวเล็กที่สุดเข้ามาแล้วเอาเสื้อสูทของพี่คนนั้นมาสวมให้ผม เสร็จแล้วก็เสยๆหัวผมให้ดูยุ่งน้อยลง ซึ่งจุดนี้ผมแอบโล่งอกที่เฮียไม่ถึงกับถุยน้ำลายใส่มือก่อน ส่วนของที่ผมหอบหิ้วมาก็โยนส่งให้ลูกน้องอีกคนรับไว้


“เอาล่ะ แค่นี้น่าจะพอถูไถ นายอยู่ที่ห้องสไบแก้ว รีบไปสิ”


ทีแรกผมรีบจนลนไปหมด แล้วก็มาตกใจที่ถูกเฮียสยามจับแต่งตัวเอาง่ายๆที่หน้าโรงแรม ตอนนี้ยังถูกสั่งให้ไปหาคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจออีก นี่ตกลงเกิดอะไรขึ้นกับผมเนี่ย?!


“ยังจะชักช้า เดี๋ยวคุณเมธก็เอาเอ็งตายจริงๆหรอก ไปได้แล้ว!”


เฮียสยามตะคอกใส่หน้าทำให้ได้สติ อย่างน้อยชื่อคุณเมธก็ทำให้ผมเบาใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก พอเข้ามาในตัวโรงแรม ผมเลยรีบเดินเร็วๆขึ้นบันไดไป เพราะเกิดจู่ๆมีเด็กผู้ชายวิ่งพรวดพราดอาจทำให้แขกตกใจกลายเป็นความผิดให้ผมถูกคุณเมธด่าเอาได้ทีหลัง


ห้องสไบแก้วคือห้องอาหารไทยของโรงแรมอยู่ที่ชั้นสอง ที่ด้านหน้ามีบอดีการ์ดของคุณภากรยืนคุมเชิงตามปกติ พอเดินเข้าไปยังไม่ทันเอ่ยปาก หนึ่งในนั้นก็ผายมือเชิญผมเข้าไปด้านในซึ่งเปิดให้บริการตามปกติ มีลูกค้าทานอาหารอยู่หลายโต๊ะ ผมว่าพวกเขาน่าจะรู้สึกแต่ถึงไม่ถึงกับตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตัวผมนี่ต่างหากที่คล้ายเป็นตัวประหลาดให้พวกเขามองตามด้วยความสนใจ


“เดี๋ยวครับ” ผมรู้แล้วว่าจุดหมายคือห้องส่วนตัวที่มุมด้านในโน่น แต่อย่างน้อยได้รู้สถานการณ์ก่อนสักนิดคงดี ผมเลยหันกลับไปกระซิบถามคนที่เดินตามหลังมา “ในห้องนั้น...”


“เชิญคุณกานต์ครับ” อีกเรื่องที่ผมควรตกใจคือการที่กลายเป็น ‘คุณกานต์’ นี่ล่ะ รู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวเองยังไงก็ไม่รู้


“ไม่ครับ บอกก่อนว่ามัน...อะไร...ยังไง...ผมไม่อยากเข้าไปแล้วทำตัวเปิ่นๆ ถ้านายใหญ่อยู่ในนั้นด้วยจะยิ่งเสียถึงนายนะครับ”


“นายใหญ่กับคุณเมธเลี้ยงอาหารเย็นมาดามหลิวกับบุตรสาว เพิ่งจะเข้าไปได้ประมาณสิบนาที คิดว่าอาหารชุดแรกยังไม่เสิร์ฟ คุณกานต์รีบเข้าไปตอนนี้เลยจะดีกว่าครับ”


ผมพยักหน้าน้อยๆแล้วหันหลังเดินต่อไปอย่างว่าง่ายขึ้น ระบบประมวลผลในสมองบอกได้ทันทีว่ามาดามหลิวผู้นี้คือหนึ่งในกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของโรงแรมที่ภูเก็ตและเป็นรายใหญ่รายเดียวที่ยังไม่ยินยอมกับข้อเสนอของทางเรา มาดามแต่งงานกับคนไทยมีลูกสาวหนึ่งคนอายุแปดขวบ ถูกส่งตัวขึ้นมาเข้าโรงเรียนนานาชาติที่กรุงเทพ แต่ล่าสุดมีข่าวว่าสามีของมาดามเสียชีวิตแล้ว เธอเลยตั้งใจจะกลับไปอยู่สิงคโปร์เป็นการถาวร นี่จึงอาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะจบเงื่อนไขทั้งหมดโดยความพอใจของทั้งสองฝ่าย


เมื่อเข้าไปในห้องจัดเลี้ยงส่วนตัวผมก็ได้พบแขกวีไอพีทั้งสอง มาดามหลิวเป็นสตรีเชื้อสายจีนที่ยังดูสาวมากในความคิดของผม เธอน่าจะอายุมากกว่านายใหญ่ไม่กี่ปี ดวงหน้าเล็ก ตาเรียวคม ริมฝีปากบาง ผิวขาวราวหยวกกล้วย ส่วนข้างๆกันคือเด็กหญิงหน้าตาน่ารัก ผมดำละเอียดดังเส้นไหมถักเปียยาวพันรอบศีรษะ แถมยังอุ้มตุ๊กตาหมีที่แต่งตัวใส่เสื้อผ้าเหมือนเธออย่างกับแกะ เธอหันมาเห็นผมก่อนแล้วจ้องอย่างไม่เกรงใจ ผมจึงผูกมิตรด้วยรอยยิ้ม แกล้งทำตาโตใส่จนเธอชอบใจ หัวเราะคิกคัก จังหวะนั้นเองผู้ใหญ่ทั้งสองจึงหยุดการสนทนา


“นี่คือ...?”


มาดามหลิวเป็นฝ่ายเอ่ยถาม เพราะเป็นผมก็คงสงสัยว่าทำไมถึงมีเด็กผู้ชายหน้าตาท่าทางประหลาด การแต่งตัวก็ดูครึ่งๆกลางโผล่เข้ามาในห้องจัดเลี้ยงส่วนตัวเช่นนี้ แต่ปัญหาคือทุกคนจงใจเงียบ ทั้งนายใหญ่ ทั้งคุณเมธต่างรูดซิปปากเหมือนแกล้งผมชัดๆ


“ผมชื่อกานต์ ยินดีที่ได้รู้จักมาดามหลิวและคุณหนูจิ้งครับ”


ผมแนะนำตัวเองตามด้วยการไหว้งามๆและส่งยิ้มมัดใจคุณหนูตัวน้อย สีหน้ามาดามหลิวนิ่งสนิทแต่น้ำเสียงดูจะไม่ขุ่นเคืองกับแขกไม่ได้รับเชิญอย่างผมสักเท่าไหร่


“ยินดีเช่นกัน ขอโทษนะจ๊ะ เธอเป็น...?”


“ผมเป็นเลขาคุณวรเมธครับ” แอบตัดคำว่าผู้ช่วยออกจะได้ดูมีภาษีมากขึ้น แต่จากสีหน้าคุณวรเมธ เสร็จงานนี้ผมคงโดนเรียกเก็บทบต้นทบดอกอานแน่ “รู้สึกเป็นเกรียติอย่างสูงที่มาดามอนุญาตให้เข้าพบในเวลาส่วนตัวเช่นนี้นะครับ”


“หรือจ๊ะ ฉันอาจจะลืมไปแต่เธอพอจะบอกได้มั้ยว่ามีธุระอะไรกับฉัน”


“มิได้ครับ ผมแค่รู้สึกชื่นชมผลงานการเขียนภาพจีนของมาดามเป็นอย่างมาก ได้ทราบว่าส่วนหนึ่งประดับอยู่ในโรงแรมที่ภูเก็ตด้วย ขนาดภาพที่ถ่ายมายังทำให้ผมอดทึ่งไม่ได้จึงอยากมีโอกาสได้พบศิลปินผู้มากฝีมือสักครั้งเท่านั้นเองครับ” ผมด้นสดแต่ข้อมูลทั้งหมดได้มาจากแฟ้มที่เพิ่งอ่านไปเมื่อสองวันก่อน โชคดีแท้ที่ผมไม่ใช่คนขี้เกียจจำ เอ๊ะ! หรือจะเป็นเพราะโดนคุณเมธจี้ถามอยู่เป็นชั่วโมงๆกันแน่นะ


“ตายจริง! ไม่นึกว่าขนาดเลขาคุณวรเมธยังชอบงานศิลปะ น่าชื่นชมเหลือเกินนะคะคุณภากร”


“แน่นอนครับมาดาม ผมเองก็ได้ยืนยันหนักแน่นมาตลอดว่าไม่ได้ต้องการทำลายศิลปะอันทรงคุณค่าที่แฝงอยู่ในโรงแรมที่มาดามรักเลยแม้แต่น้อย หวังว่ามาดามจะเข้าใจ”


ไม่น่าเชื่อว่าหมาป่าเจ้าเล่ห์จะเก็กเสียงทุ้มนุ่มจนดูมีพลังราวราชสีห์หนุ่มก็ไม่ปาน แถมเขายังตั้งใจจ้องเข้าไปในดวงตาของแม่ม่ายลูกหนึ่งคนงาม ร่ายมนต์สะกดจนเธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่แคร์ลูกสาวที่นั่งตาแป๋วอยู่นั่นก็เกรงใจวิญญาณสามีเขาบ้างเถอะ!


“ไหนว่าวันนี้แค่เชิญมาทานข้าว สรุปก็ยังวกเข้าเรื่องงานได้อยู่ดี เวลาของนักธุรกิจนี่ช่างเป็นเงินเป็นทองจริงๆ”


“ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับเงินทองมากไปกว่าความพอใจหรอกครับ”


“ฉันจะเชื่อคำพูดของเจ้านายเธอได้หรือเปล่าจ๊ะพ่อหนุ่ม”


จู่ๆมาดามหันมาถามแต่ผมสามารถเปลี่ยนอาการตกใจเป็นรอยยิ้มที่แสดงออกถึงความมั่นใจ ทีแรกก็ไม่นึกว่าตัวเองจะทำได้แต่คงเพราะสถานการณ์ในห้องสี่เหลี่ยมนี้กดดันให้ต้องตื่นตัวอยู่ตลอด ในสมองผมเลยเหมือนตู้ลิ้นชักที่ไม่มีความเคลื่อนไหวแต่พร้อมจะเปิดและหยิบข้อมูลออกมาใช้ได้เสมอ


“ได้แน่นอนครับ เพราะมาดามอาจไม่ทราบ ทีแรกทางบอร์ดหมายตาโรงแรมในแถบนั้นไว้หลายแห่ง รวมถึงอาจมีโครงการสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยซ้ำ แต่พอท่านประธานของเราได้ไปที่โรงแรมแห่งหนึ่งแล้วมีโอกาสได้เห็นรูปวาด ‘สาวน้อยในสวนขวัญ’ ก็เกิดติดอกติดใจเป็นอย่างมาก มาวันนี้ถึงได้เข้าใจว่าทำไม หากเป็นตัวผมเองก็คงนึกรัก เพราะนอกจากฝีมือในการวาดของมาดามแล้ว คุณหนูจิ้งผู้เป็นนางแบบก็ยังน่ารัก น่าชื่นชมมากถึงเพียงนี้”


ผมตบท้ายด้วยมุขเด็ดที่น่าจะรับประกันผลสำเร็จ สิ่งที่พูดออกไปออกจากใจด้วยส่วนหนึ่ง เพราะถึงจะไม่เข้าใจทฤษฎีหรือความหมายทางศิลปะที่ผู้วาดต้องการสื่อ แต่แค่ความน่ารักสดใสของคุณหนูตัวน้อย ความอ่อนหวานของฝีแปรงและสีสันที่ผสานกันอย่างลงตัวก็ทำให้รูปนั้นยังติดตาผมอยู่เลย


มาดามยิ้มน้อยๆแล้วหันไปพูดบางอย่างกับลูกสาว ผลคือเธออายม้วน รีบยกตุ๊กตาหมีมาปิดหน้าใหญ่


“ลูกสาวฉันถนัดภาษาจีนกับอังกฤษมากกว่า ฉันเลยบอกให้ว่าเธอชมเขาว่าน่ารัก”


ผมโค้งศีรษะเป็นเชิงขออนุญาตมาดามแล้วเดินเข้าไปคุกเข่าข้างหนึ่งลงข้างๆที่นั่งของคุณหนู เธอหันมามองด้วยความสนใจ ผมผายมือไปหา เธอหันมองผู้เป็นแม่แวบหนึ่งแล้วจึงยอมยื่นมือออกมาให้


“Pleased to meet you my young lady.”


ผมยื่นหน้าไปกระซิบบอกเพื่อให้เธอรู้สึกพิเศษเหมือนเป็นเจ้าหญิงองค์น้อย และเราสองคนกำลังมีความลับที่ไม่อยากให้คนอื่นได้ล่วงรู้ ง่ายๆเพียงแค่นี้เธอก็อยู่หมัด เป็นไงล่ะครับ บอกแล้วว่าเด็ก สตรี และคนชรา ล้วนต้องหลงเสน่ห์ผมทุกรายไป


จากนั้นอาหารก็เริ่มเสิร์ฟขึ้นโต๊ะ ยิ่งเป็นอาหารไทยผมเลยได้โอกาสคอยบริการแขกทั้งสองอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ผมได้รับอนุญาตให้นั่งข้างๆคุณหนูจิ้งเลยได้ทำคะแนนเพิ่มอีกหลายเท่าตัว เราสองคนคุยกันโดยอาศัยพี่เลี้ยงของเธอคอยช่วยแปลให้บ้างแต่โดยรวมแล้วถือว่าเป็นการสนทนาที่รู้เรื่องดี แค่มื้ออาหารผ่านไปเธอก็เทใจให้ผมถึงขนาดยอมให้จูงมือไปส่งถึงรถ ก่อนจากกันยังแถมรอยจูบเล็กๆที่ข้างแก้มผมอีก ถ้าเธอโตกว่านี้สักหน่อยผมคงเป็นผู้ชายที่น่าอิจฉาที่สุดในโลก


“ลาก่อนนะจ๊ะพ่อหนุ่ม วันนี้สนุกมาก ฉันดีใจที่เราได้พบกัน” ผมน้อมตัวลงรับมือเรียวบางที่ยื่นมาให้ เสร็จแล้วมือนั้นก็ยังยื่นต่อมาจับแก้มผมค้างไว้จนเอ่ยลาเรียบร้อย ถ้ามาดามอายุอ่อนกว่านี้ผมต้องกลายเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุด น่าอิจฉาแบบคูณสองเลยนะเนี่ย


“ผมรู้สึกเป็นเกรียติมากกว่าครับ หวังอย่างยิ่งว่าจะได้ชื่นชมผลงานของมาดามในโอกาสต่อๆไปนะครับ”


“ต้องเป็นเช่นนั้นสิ เมื่อคุณภากรรีโนเวทโรงแรมที่ภูเก็ตเสร็จแล้ว เธอก็อย่าลืมไปทักทายสาวน้อยในสวนขวัญบ้างนะจ๊ะ”


มาดามหลิวพูดกับผมแล้วจึงหันไปส่งยิ้มบางๆให้คุณภากร เป็นสัญญาณอันดีว่าเธอได้ตอบตกลงกับเงื่อนไขทั้งหมด ซึ่งก็หมายความว่าเขาจะได้เป็นเจ้าของโรงแรมแห่งนั้นโดยสมบูรณ์ ส่วนผมจะถือว่าทำงานสำเร็จลุล่วงได้หรือเปล่ายังไม่รู้เพราะที่จริงตั้งแต่มาถึงนี่คุณเมธยังไม่ได้พูดหรือสั่งอะไรกับผมเลยสักคำ


“ผมรับรองจะไม่ทำให้มาดามผิดหวังครับ”


คุณภากรเอ่ยปากขณะส่งมาดามขึ้นรถแล้วปิดประตูให้ด้วยตัวเอง ทุกคนยืนรอจนรถคันนั้นแล่นพ้นเขตโรงแรมไปแล้วก็เหมือนจะได้ยินหลายเสียงถอนหายใจพร้อมกัน ส่วนผมกำลังยืนงงๆเพราะไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อ แต่จู่ๆร่างสูงในชุดสูทตรงหน้าก็หันกลับมาแล้วคว้าผมเข้าไปกอด...ซะงั้น!!


ไม่รู้ว่าทั้งคุณเมธหรือพวกบอดีการ์ดคิดอะไรอยู่ถึงไม่สนใจว่าสิ่งที่เจ้านายเขาทำมันประหลาด บ้ามากๆ และที่แน่ๆคือไม่มีใครคิดจะช่วยผมเลย ไม่รู้หรือไงว่ามันลำบากจะตายชักที่ต้องดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนของคนที่ตัวโตกว่าขนาดนี้ หัวผมสูงแค่คางเลยถูกกอดจนเหมือนจมหายเข้าไปในตัวเขายังไงยังงั้น!


“ทำอะไรของคุณเนี่ย?!” ผมได้แต่ส่งเสียงอู้อี้กับแผ่นอกกว้าง เขาใช้มือขวากดหัวผมไว้ ส่วนมือซ้ายของเขาก็รัดตั้งแต่ด้านขวาอ้อมไปจับแขนซ้ายผมไว้อีก ถึงจะงงแต่ก็ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าด้วยวิธีนี้มันทำให้ผมดิ้นไม่ออกนั่นแหละ


“เปล่านี่”


“เปล่ากะผีน่ะดิ มากอดผมทำไม ปล่อยเลยนะ!!” สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือเงยขึ้นตะโกนใส่หน้าเขา


“แค่รู้สึกว่าอยากกอดนายขึ้นมาเฉยๆน่ะ”


ผมชะงักไปสามวินาที วิแรกอึ้งจริงๆ วิที่สองเริ่มคิดว่าเขาต้องบ้าแน่ๆ และวิสุดท้ายผมนึกได้ว่าต้องไม่ชอบที่ถูกผู้ชายด้วยกันกอด เพราะฉะนั้นผมต้องตอบโต้...


“งั้นถ้าผมรู้สึกอยากจะชกคุณขึ้นมาก็ทำได้งั้นดิ”


“ก็เอาสิ ถ้าคิดว่าทำได้” ฟังคำตอบสิ มันหยามศักดิ์ศรีกันชัดๆ แต่ก็อย่างที่บอกว่าเขาคงสนุกที่ได้ปั่นหัวผมให้ขึ้นๆลงๆเหมือนลูกดิ่งเพราะประโยคต่อมาเขากลับพูดด้วยสีหน้าเรียบๆ แววตาจริงจังจนผมรู้สึกได้ “ขอบใจนะ”


“ขอบใจ...ทำไม?”


ผมถามให้ตอบ แต่เขากลับก้มลงมา...หอมแก้มผมซะนี่!!


“เฮ้ย! ทำบ้าอะไรอีกเนี่ย?!”


ผมถามอีกครั้ง เขาก็เลยหอมผมอีกที เมื่อกี้ข้างเดียวกับคุณหนูจิ้ง คราวนี้ข้างที่มาดามหลิวจับ ความโชคดีคูณสองของผมกลายเป็นอภิมหาความซวยไปซะแล้ว!


“ก็แค่อยากทำแล้วก็ทำได้ซะด้วย”


“โว้ย! ไม่แค่ชกแล้ว ผมจะฆ่าคุณให้ตายเลยคอยดู”


“บอกแล้วไง ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดู”


ในที่สุดคุณภากรก็ปล่อยผมให้เป็นอิสระแถมยังยืนนิ่งท้าทายว่าผมจะกล้าทำอะไรเขาหรือเปล่า แล้วผมจะกล้ามั้ยล่ะในเมื่อพวกบอดีการ์ดดันสำนึกถึงหน้าที่ตัวเอง กลับมายืนหนุนหลังเขาเป็นแผงขนาดนั้น แค่ผมกำหมัดขึ้นมาคงได้โดนยิงทิ้งคาเท้าเขานั่นแหละ


ขณะที่ผมนึกอยากจะปล่อยแสงเลเซอร์ออกจากตาไปฆ่าใครบางคนให้ได้ คุณวรเมธก็เดินผ่านมาตรงกลางแล้ว...


“พานายใหญ่กลับบ้าน”


หูผมไม่ฝาดที่ได้ยินคุณเมธเน้นคำว่า ‘บ้าน’ พอได้ยินอย่างนั้นคนเป็นนายทำหน้ามุ่ย ส่วนบอดีการ์ดทั้งหมดแทบจะชิดเท้ารับคำสั่งจากแม่ทัพใหญ่ตัวจริง


“เฮ้ย! มันดึกแล้ว...” กระบวนท่านี้เรียกว่า ‘หมาป่าครวญคราง’ ทำอย่างกับรู้ตัวว่าจะถูกเอาไปเชือดงั้นแหละ


“ทุ่มครึ่ง คนแถวนี้เรียกหัวค่ำครับนาย เชิญ!”


คุณวรเมธย้ำอีกทีพร้อมกับที่เมอร์ซิเดสคันโตแล่นมาเทียบจอด คุณภากรเลยได้แต่ชี้หน้าแต่ทำอะไรเลขาตัวเองไม่ได้ ก่อนจะยอมขึ้นรถเขาเดินมาหาผมด้วยท่าทางสบายๆ ไม่ได้สนใจว่าผมเพิ่งประกาศจะฆ่าเขาอยู่หยกๆ


“ฝันดีนะ”


ผมไม่ทันคิดว่าเขาจะทำอะไรแบบนี้เลยหลุด ‘ครับ’ ไปด้วยความเคยชิน แค่นั้นคนตัวโตก็ยิ้มกว้างเดินกลับขึ้นรถไปอย่างว่าง่าย ส่วนผมยืนอึ้งอยู่นาน หันมาอีกทีก็...หายหัวกันไปหมด ทั้งคุณเมธ หรือแม้แต่พวกเฮียสยามที่เมื่อครู่ยังออกันอยู่เต็ม ตอนนี้ที่หน้าโรงแรมสงบเรียบร้อยเป็นปกติมาก มีแต่พนักงานต้อนรับหน้าประตู กับแท็กซี่วิ่งเข้าออกคอยรับส่งลูกค้า


ส่วนผม...แล้วผม...ตกลงผม...โว้ย! มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่เนี่ย?!






จบตอนแล้วจ้า

 :bye2:



ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1



5 .



เช้าวันต่อมาผมตื่นขึ้นด้วยอาการไม่ครบสามสิบสอง และอวัยวะส่วนที่พิการโดยปัจจุบันทันด่วนนั่นก็คือสิ่งที่อยู่ในกะโหลกนั่นเอง ทำไงได้ในเมื่อผมนอนไม่หลับ เตียงก็ยังนุ่มเหมือนเดิมแต่พอหลับตา สมองดันไม่ยอมพักเลยได้แต่พลิกไปพลิกมาทั้งคืน ครั้งสุดท้ายที่หันไปดูเวลาคือใกล้จะตีสาม แล้วผมก็ตั้งนาฬิกาปลุกตอนตีห้าครึ่ง รวมเบ็ดเสร็จผมคงได้นอนจริงๆไม่ถึงสองชั่วโมงตามเคย


ผมนอนไม่พอนั่นก็ปัญหาหนึ่งแล้ว แต่อีกเรื่องที่ทำเอาตั้งตัวไม่ทันคือข่าวที่แพร่สะพัดไปทั่วโรงแรมว่าผม... นายกานต์ อดีตลูกหนี้มูลค่าห้าแสน ปัจจุบันเด็กฝึกงานไม่มีเงินเดือน... กลายเป็นฮีโรที่ทำให้การเจรจาซื้อโรงแรมที่ภูเก็ตเป็นผลสำเร็จ ฮูเร้ ดีใจจัง ดังใหญ่แล้วโว้ย!


เฮ่อ...! ความจริงคือผมจะบ้าตาย เพราะเพียงข้ามคืน ผมก็กลายเป็น ‘คุณกานต์’ ที่ใครๆต่างเข้ามาแสดงความชื่นชมยินดีจนผมอิ่มลูกยอ ไม่ต้องกินข้าวไปทั้งวันเลยยังไหว


“ป้ามาลัยคร้าบ!” พอสลัดจากทุกคนได้ผมก็รีบวิ่งเข้าไปกอดร่างอวบจรุงกลิ่นโคโลญจน์ 4711 แปลกนะครับ ทุกทีจะเป็นป้าที่เข้ามาคอยดูแลผมด้วยความเป็นห่วง แต่วันนี้ป้าเอาแต่ยืนมองแล้วยิ้มอยู่ห่างๆ สักพักก็เดินหลบออกมาเหมือนเป็นคนนอก


“ป้าไม่รักกานต์แล้ว!” พอจับตัวได้ผมก็ตัดพ้อ


“ดิฉันทำอะไรให้ไม่พอใจหรือคะคุณกานต์” น้ำเสียงของป้ามาลัยยังเหมือนเดิม แต่น้ำคำนี่สิที่ขัดหูชะมัด


“ไม่เอานะ ไม่ให้ป้าเรียกกานต์แบบนี้ ห้ามเด็ดขาดเลย!” ผมพูดได้เต็มปากว่ารักป้ามาลัยเหมือนแม่แท้ๆ อะไรจะเกิดขึ้น ใครจะเป็นยังไงก็ช่าง ขอแค่ให้ป้ายังเอ็นดูผมเหมือนเดิมก็พอแล้ว “กานต์ไม่ใช่คางคกนะ อะไรนิดหน่อยก็ขึ้นไปนั่งชูคออยู่บนวอ เรื่องโรงแรมนั่นไม่ใช่เพราะกานต์สักหน่อย ทั้งนายใหญ่ ทั้งคุณเมธ แล้วใครต่อใครที่ทำงานนี้กันมา ทำไมไม่ไปยินดีกับพวกเขาล่ะ มายุ่งกับกานต์ทำไมก็ไม่รู้”


ผมบ่นเล็กบ่นน้อยไปตามเรื่อง ป้าก็คงกลัวว่าผมจะคิดมากเลยไม่แกล้งทำเมินผมต่อ


“อย่าคิดอย่างนั้นสิลูก มีคนชื่นชมที่เราทำอะไรสำเร็จก็ถือซะว่าเป็นกำลังใจ เพราะทุกคนคิดว่ากานต์เหมือนน้อง เหมือนลูกเหมือนหลาน กานต์ทำดีเขาก็ชมว่าเก่ง ไม่ดีเหรอจ๊ะ”


“ทีป้าไม่เห็นชม เดินหนีกานต์เฉยเลย”


“หาความคนแก่” ป้าเอ็ดแล้วตีแขนผมหนึ่งที ผมก็เลยทำหน้า โอ๊ย โอย เจ๊บ เจ็บ! “แล้วตามป้ามาอย่างนี้ กินข้าวกินปลาหรือยัง”


“หึ! กานต์โดนรุมจนกินอะไรไม่ลงแล้วครับ” นึกถึงเมื่อสิบนาทีที่ผ่านมาแล้วยังสยองไม่หาย นอนไม่พอก็เบลอจะแย่ ยังมาถูกล้อมหน้าล้อมหลังยังกับดารา นี่ดีนะไม่มีใครบ้าถึงขนาดขอถ่ายรูปหรือยุให้ผมแจกลายเซ็น


“ไม่ได้สิ ข้าวเช้านี่ต้องกิน ไม่งั้นจะเอาแรงที่ไหนทำงาน ตามป้ามาเร็ว ป้าจะไปจัดโต๊ะของเช้าอยู่พอดี” เข้าล็อก นี่สิครับป้ามาลัยคนดีของผม!


ความจริงผมรู้สึกอืดๆในท้อง ไม่ได้หิวหรืออยากกินอะไรเลย แต่อยากเกาะแกะป้ามาลัยมากกว่าเลยยอมให้ป้าจูงเดินออกมาที่ด้านหลังซึ่งเป็นสวนหย่อมคั่นระหว่างตัวโรงแรมกับคลับและคาสิโน ยามเช้าอย่างนี้ทางฟากโน้นถือเป็นเวลาเลิกงานจึงค่อนข้างเงียบ ส่วนในสวนก็ยิ่งสงบ มีเสียงน้ำตก เสียงนกร้องจุ๊กจิ๊กคลอไปกับเสียงรถที่ดังมาจากถนนด้านนอก


“โอ้โห! ท่าทางจะเป็นแขกซุปเปอร์วีไอพี”


โดยปกติถ้าไม่สั่งรูมเซอร์วิส ทางโรงแรมจะมีบริการอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์ให้แขกที่มาพักเลือกตัก เลือกชิมได้ตามใจ หากต้องการชื่นชมบรรยากาศยามเช้าไปด้วยจะออกมานั่งที่ด้านนอกนี้ทางโรงแรมก็ไม่ขัดข้อง แต่ผมแน่ใจว่าแขกคนนี้จะต้องไม่ธรรมดาเพราะถึงขนาดที่ป้ามาลัยลงมากำกับดูแลจัดโต๊ะเอง แถมยังเป็นมื้อเช้าในสวนที่ดูอลังการมากๆ


“ไม่ใช่แขกของโรงแรมหรอกจ๊ะ อ้าว! นั่นไง มาพอดี”


ป้ามาลัยขยับเก้าอี้ให้เข้าที่เรียบร้อยแล้วส่งยิ้มน้อยๆให้... ไม่ใช่ผมหรอกครับ แต่เป็นอีกคนที่เดินมาทางด้านหลัง ส่วนผมได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ เพราะใครคนนั้นเข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง แถมไม่นั่งลงให้ถูกที่ กลับยืนกางแขนค้ำพนักเก้าอีกสองตัวแล้วยื่นหน้าเข้ามาทำเป็นสูดกลิ่นหอมๆของสิ่งที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะ


“น่าทานจังเลยครับน้ามาลัย”


“เชิญเลยค่ะนาย” ป้ามาลัยยิ้มบอกทั้งผมและคนตัวโต แต่ผมชักสงสัยว่าป้าไม่เห็นอะไรผิดสังเกตบ้างหรือไงนะ “กานต์นั่งสิลูก ทานมื้อเช้าเป็นเพื่อนนายเขาหน่อย เราเองก็ยังไม่ได้ทานอะไรเลยนี่”


ผมเงียบและพยายามบีบตัวให้ลีบติดโต๊ะ ความจริงก็อยากลองนั่งกินข้าวเช้าแบบนี้ดูสักครั้งแต่ถ้าต้องร่วมโต๊ะกับคนกวนประสาทขอกลับเข้าไปด้านในดีกว่า แต่มันเป็นเรื่องบังเอิญเหมือนฟ้าจงใจแกล้งที่ผมดันยืนอยู่ระหว่างเก้าอี้สองตัวนั้น สรุปก็คือผมถูกขังอยู่ในวงแขนของคุณภากร ไปไหนไม่ได้นั่นเอง


“หืม?” แล้วเขายังจะก้มลงมาพูดข้างๆหูผมอีก มีใครพอรู้วิธีปราบยักษ์ใหญ่ขี้แกล้งบ้างมั้ยเนี่ย “หรือว่ากลัวเห็นหน้าฉันแล้วพาลกินอะไรไม่ลง แต่ที่จริงน่าจะเจริญอาหารมากกว่า ได้ดูหน้าหล่อๆไปกินข้าวไปอย่างนี้ มีความสุขจะตาย”


“อย่าเอาแต่พูดเล่นเลย นั่งลงเถอะค่ะนาย ทานตอนร้อนๆจะยิ่งอร่อยนะคะ” ป้ามาลัยก็อีกคน ทำเป็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่คิดจะช่วยผมเลย งอนแล้วนะ!


“ก็ตามใจนะ ถ้านายไม่ได้แคร์ว่าน้าลัยหวังดี อยากให้นายได้กินของดีๆ มีประโยชน์” ส่วนแรกนี่เขาตั้งใจกรอกใส่หูผม   ที่เหลือทำเป็นเปรยกับลมกับฟ้า แต่ขอโทษ! ก็ยังแว้งกัดผมอยู่ดี “ผู้หลักผู้ใหญ่อุตส่าห์ทำให้ทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าที่ แต่คนเรานี่น๊าก็ยังจะกล้าปฏิเสธ ปล่อยให้กลับไปกินข้าวพนักงานนั่นก็สมควรแล้ว”


เห็นคารมหมาป่าเจ้าเล่ห์หรือยังครับ พอบังคับไม่ได้ก็กดดันด้วยวาจาจนผมดูชั่วขึ้นมาเชียว ตัวเองทำเป็นนั่งลงจิบน้ำส้มสบายใจแต่มือดันไม่ยอมปล่อยจากพนักเก้าอี้อีกตัว สรุปผมที่ยังถูกขังไปไหนไม่ได้ก็เลยต้องนั่ง บีบผมได้สำเร็จเขานึกว่าชนะจึงชักมือกลับไป ผมเลยได้จังหวะลุกหนีไปที่เก้าอี้ตัวตรงข้ามกัน เรื่องอะไรจะยอมนั่งข้างๆให้เขาแกล้งเล่นแกล้มมื้อเช้าล่ะ


“ป้านั่งกับกานต์ด้วยสิครับ” ผมรีบหาแนวร่วมเพราะยังมีเก้าอี้ว่างอีกตั้งสองตัว อย่างน้อยมีป้ามาลัยอยู่ด้วยผมคงพอจะกลืนอะไรได้บ้าง


“จ๊ะๆ แต่ป้าขอไปตามกาแฟสักหน่อย อยากให้ร้อนๆเลยให้เด็กเอาไปอุ่น ไม่รู้ทำไมยังไม่เอาออกมาอีก กานต์กินไปพลางๆก่อนก็ได้ เดี๋ยวป้ามา”


“ป้า...มาเร็วๆนะครับ” ผมร้องบอกและมองตามป้าเดินตัวปลิวจากไป หวังว่าขากลับป้าจะเดินเร็วอย่างนี้ด้วยนะ


“นี่...นี่...” เสียงเรียกจากคนตรงข้ามโต๊ะแต่ผมเมิน ไม่สน แล้วเชื่อมั้ยครับว่าเขาทำยังไง “นี่นี่นี่นี่นี่นี่นี่นี่นี่นี่นี่”


ผมรอฟังท่านเจ้าของโรงแรมเล่นพิเรนทร์จนสุดลมหายใจ ‘นี่’ ที่ทิ่มหูผมอยู่ก็เงียบไป จึงค่อยหันไปอย่างเสียไม่ได้ ผมจิกตาเขากลับฉีกยิ้มใส่แล้วก้มหน้าลง ผมมองตามแล้วก็...อดขยับมุมปากไม่ได้จริงๆครับ ผู้ชายตัวโตใส่สูทอย่างโก้ใช้ซอสมะเขือเทศวาดหน้ายิ้มลงบนชิ้นแฮมที่มาวางอยู่ในจานผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ นี่เขาคิดว่าตัวเองอายุเท่าไหร่กัน?!


“ตอนเด็กๆฉันชอบกินแบบนี้...” คุณภากรหยิบขนมปังแผ่นสีขาวมาวางบนจานอีกใบ จิ้มแฮมยิ้มแฉ่งไปวาง ทับด้วยขนมปังอีกแผ่น แล้วก็วางชิ้นแฮมเปล่าๆ บีบซอสมะเขือเทศวาดหน้ายิ้มเหมือนเดิม ทำซ้ำๆอีกจนได้แซนด์วิชอย่างง่ายๆแต่ความสูงถึงห้าชั้น


“มันเหมือนถ้าได้กินอะไรที่ทำให้ยิ้มได้แต่เช้า จะได้เจอแต่เรื่องดีๆไปตลอดทั้งวันไงล่ะ” เขาทำท่าเหมือนเด็กอวดของถูกใจ แต่ลองผมกับพี่กัญเอาของกินมาเล่นอย่างนี้สิ แม่หยิกเนื้อเขียวแน่ๆ


“แล้ว...จะกินได้เหรอ?” ผมถามด้วยความไม่แน่ใจ แต่ตัวเจ้าของสูตรยืนยันแข็งขัน


“กินได้สิ ก็แค่ขนมปังกับแฮม ทอดแล้วด้วย ท้องไม่เสียหรอกน่ะ”


“ไม่ใช่ครับ หมายถึงมันใหญ่ขนาดนี้ ปากคุณ...” ผมมองแซนด์วิชห้าชั้นสลับกับริมฝีปากของเขาแล้วนึกภาพไม่ออกจริงๆ


“อ๋อ สบายมาก ดูนะ” แล้วเขาก็ทำการเขมือบ...แค่คำเดียวหมดไปเกือบครึ่งชิ้น ช่างเหมือนกับที่ผมจินตนาการไว้ อยากเอารูปนี้ไปโพสต์ขึ้นเว็บของโรมแรมจัง มีหวังยอดแคนเซิลห้องพักคงถล่มทลาย แล้วตัวเองเสียภาพพจน์คนเดียวไม่พอ ยังมีหน้ามาลากผมไปเกี่ยวด้วยซะอีก “นายก็ลองกินด้วยสิ”


“ไม่เอาหรอก ใครจะอ้าปากกว้างได้ขนาดนั้น”


“น่า ลองหน่อย เนี่ยแซนด์วิชวิเศษ กินแล้วมีความสุขจริงๆนะ”


บอกแล้วว่าหมาป่าย่อมไม่ปล่อยเหยื่อของมันง่ายๆ เขาเลยย้ายที่ตัวเองมาจ่อแซนด์วิชนั่นให้ถึงปากแล้วเขาก็ใช้กำลังกับผม!


“ก็บอกว่าไม่กิ๊นนน!” พอผมหันหน้าหนี มือใหญ่เท่าใบลานก็คว้ากลางกระหม่อมแล้วหันหัวผมกลับไป ขอบขนมปังที่มีรอยแหว่งบดบี้ลงมาที่ริมฝีปาก กลิ่นแฮมทอดกับซอสมะเขือเทศลอยเข้าเต็มจมูก นี่เขากะจะฆาตกรรมผมด้วยแซนด์วิชเลยใช่มั้ย?!


“อ้าปากสิ เร็วเข้า เด็กดีอ้าปากอั้มๆนะครับ”


อึ้งไปเลย! ใครจะไปคิดว่าเขาจะเล่นมุขนี้ ผลจากอาการตกใจ ผมเลยเผลออ้าปากจนต้องกัดแซนด์วิชของเขาในที่สุด ระหว่างที่เคี้ยวผมก็มองคนป้อนเต็มๆตา เห็นรอยยิ้มบางๆแต่ดูมีความสุขมากจนผมขี้เกียจจะงัดข้ออะไรกับเขาอีก พอหมดคำแรก คำที่สองก็ตามมา แต่ผมยอมให้แค่นั้น ส่วนที่เหลือเขาจึงเหมาไปหมดในคำเดียว


“เลอะเทอะ” เขาบ่นยิ้มๆพลางไล้หัวแม่โป้งเช็ดคราบซอสที่มุมปากผมแล้วก็...แผล็บ เลียเกลี้ยงไม่เหลือ ไม่ทราบว่าท่านประธานกลัวโรงแรมขาดทุนหรือไงครับ ขนาดซอสยังไม่ให้เหลือทิ้งสักหยดเชียว!


จะมองมุมไหนผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคุณภากรต้องการอะไร ทีแรกผมนึกว่าเขาคงจะดุ โหดเหี้ยม เอะอะเป็นสั่งฆ่าเหมือนอย่างที่เห็นในหนังมาเฟีย เอาเข้าจริงเขากลับเป็นเจ้าพ่อที่แอบหนีบอดีการ์ดตัวเองอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน จนพวกพี่ชุดดำยังเลือกฟังคำสั่งคุณวรเมธมากกว่า หรือคิดอีกทีเขาน่าจะเป็นคนถือตัวตามประสาเจ้าของกิจการใหญ่โต ทำตัวสูงส่งไม่เคยเห็นหัวใคร แต่ดูอย่างตอนนี้สิ เขาทำตัวสบายมากจนกลายเป็นผมที่อึดอัด หรือว่า...อะไรๆที่ผมเห็นจะไม่ใช่ในสิ่งที่เขาเป็น และอะไรๆที่เขาเป็นจะเป็นภัยกับสวัสดิภาพของผม โอ๊ย! ทำไมอะไรๆที่ว่ามันถึงสับสนอย่างนี้นะ


“มีอะไรจะพูดกับฉันหรือเปล่า” จู่ๆเขาก็หันมาถาม คงเพราะรู้ตัวว่าโดนผมจ้องอยู่ละมั้ง


“ไม่..ไม่มีนี่ครับ”


“เห็นมองซะตาแทบปลิ้น ไม่มีแน่นะ”


เขาพูดไปขำไป เสียงหัวเราะเบาๆอย่างนั้นน่าฟังไม่น้อย ส่วนรอยยิ้มยิ่งส่งให้เขาดูเจิดจ้าจนผมต้องหันหนี เห็นแล้วมันแสบตา ที่หน้าก็รู้สึก...อุ่นๆ ยังไงบอกไม่ถูก


“ร้อนนะ แดดลงหัวเดี๋ยวจะไม่สบาย เขยิบเข้ามาอีกหน่อยสิ”


มือใหญ่ยกมาปกหัวให้เลยเพิ่งรู้ตัวว่าแสงแดดรอดผ่านร่มไม้ลงกลางกระหม่อม อ๋อ! ที่แท้ก็เพราะอย่างนี้ แต่เอ๊ะ! ทำไมพอเก้าอี้ถูกเขาดึงไปชิดกันมากขึ้น ไออุ่นจากบนหน้าก็ลามลงมาที่ตัวด้วยล่ะ แขนยาววางพาดพนักเก้าอี้เลยเหมือนมีความร้อนกระจายผ่าวทั่วแผ่นหลัง อย่าบอกนะว่าพระอาทิตย์ยังแกล้งส่องลงมาที่ผมเป็นจุดเดียวอยู่อีก


“ยังไม่อิ่มเลย กินอะไรกันต่อดี นมมั้ย?” เจ้าของมื้ออาหารกวาดตามองแล้วเสนอในสิ่งที่ผมรีบส่ายหน้า อย่างที่บอกว่าผมแพ้ ยิ่งถ้ากินแต่เช้าขนาดนี้มันจะเหมือนมีพายุทอร์นาโดหมุนอยู่ในท้องไปตลอดทั้งวันเลยเชียวล่ะ


“ถึงได้เตี้ยอยู่ยังงี้ ไม่กินนมแล้วเมื่อไหร่จะโต งั้นก็น้ำส้มละกัน ได้วิตามินซีเยอะๆจะได้ไม่เป็นหวัด”


ผมแอบค้อนไม่ให้เขาเห็น ไม่เข้าใจว่าเมื่อไหร่ใครๆจะยอมรับสักทีว่าผมแค่ตัวเล็ก ไม่ได้...ก็...นั่นแหละ โธ่เอ๊ย! ไม่สูงบ้างให้มันรู้ไป ส่วนเรื่องน้ำผลไม้นี่ผมไม่เกี่ยงเลย แต่เขาอาจจะไม่รู้ว่าวิตามินซีสามารถระเหยไปกับอากาศได้ อย่างส้มนี่คั้นแล้วควรดื่มสดๆ หรืออย่างน้อยก็ใส่ภาชนะมีฝาปิดอย่างแก้วเต็มๆโน่นก็ได้ ทำไมต้องเอาที่ตัวเองกินแล้วมาให้ด้วย


“เอ่อ...” ผมมองเลยไป พยายามจะสื่อว่าเกรงใจไม่อยากแย่ง แล้วดูเขาตีความสิ แน่ะ! มีจิบอีกรอบก่อนยื่นให้อีก จะงกไปถึงไหนนะเจ้าของโรงแรมนี้เนี่ย!


“กินแก้วเดียวกับฉันแล้วเป็นไง อย่าเรื่องมาก เอ้า! ดื่มให้หมดเดี๋ยวนี้เลย”


ผมเลยต้องรับแก้วมาประคองไว้ทั้งสองมือแล้วจำใจดื่มอย่างเสียไม่ได้ ส่วนคนสั่งก็กวาดตามองของบนโต๊ะต่อ ท่าทางของเขาทำเอาผมแทบกลืนน้ำส้มไม่ลงเพราะมันเหมือนผู้คุมกำลังเลือกเครื่องทรมานนักโทษ นี่ผมคงไม่ถึงกับต้องสละชีวิตบนโต๊ะอาหารเช้านี่จริงๆหรอกนะ


“ไข่ดาว ไส้กรอก แค่เห็นก็เลี่ยนแล้ว ข้าวต้มดีกว่านะ ร้อนๆคล่องคอดี”


ชามกระเบื้องเนื้อดีถูกเลื่อนมาตรงหน้า พอเปิดฝาออกควันร้อนก็ลอยกรุ่น ดูจากเครื่องบอกได้ว่าเป็นข้าวต้มที่ขนของทะเลมาเต็มอัตราศึก คนเลือกถึงขนาดยัดช้อนใส่มือแล้วนั่งจ้อง ผมเลยต้องตักเข้าปากไปหนึ่งคำ มันก็...


“อร่อยมั้ย” เขาถามเหมือนรู้ความคิด ผมเลยพยักหน้าตอบแล้วตักข้าวต้มคำที่สอง แต่ไม่ได้กินเพราะเขายื่นหน้าเข้ามาแล้ว...สวบ หายไปหมดเหลือแต่ช้อน แล้วยังจะมีหน้า...


“อร่อยจริงด้วย อีกคำซิ”


สรุปคือข้าวต้มชามนั้นผมได้กินไปแค่สามช้อนล่ะมั้ง ที่เหลือก็ต้องคอยตักประเคนท่านประธาน งกแล้วยังจะขี้เกียจอีก สงสัยอนาคตโรงแรมคงได้เจริญฮวบๆ พอเสร็จจากข้าวต้ม สายตาท่านก็เริ่มสอดส่าย...


“วันนี้แยมก็น่ากิน ลองกับแพนเค้กดูสิ” เหมือนจะเริ่มต้นดี แต่พอผมบอกว่าอิ่มแล้ว เขาเลยได้ทีใช้งานผมได้เต็มที่ “กินข้าวยังกะแมวดม งั้นหยิบมาทาแยมให้หน่อย ฉันกินเองก็ได้”


“เอาแยมอะไรครับ” ผมช้อนชิ้นแพนเค้กมาวางบนจานเปล่าอีกใบแล้วก็ต้องถามเพราะไม่รู้รสนิยมคนจะกิน ส่วนผมถ้าให้เลือกล่ะก็ต้องน้ำผึ้งในโถแก้วใบเล็กเพราะอยากลองเล่นไม้หัวกลมๆนั่นมานานแล้ว


“แยมมมมม....” งก ขี้เกียจ แล้วยังเรื่องมาก สามเหตุผลที่ทำให้ผมตัดสินใจหยิบกระปุกใกล้มือที่สุดมาเปิด ตักเนื้อแยมสีฉ่ำแทรกผิวส้มประปรายป้ายๆๆ ทั่วแล้วก็ใช้มีดอันเล็กนั่นแหละจิ้มชิ้นขนมลอยไปให้ถึงปาก ถ้ายังมากเรื่องไม่เลิกเจอโรคปากแหว่งเพดานโหว่แน่


“ดีจังเนอะ”


จนใกล้จะหมดชิ้น เขาก็พูดขึ้นมาลอยๆแล้วค่อยงับแพนเค้กคำสุดท้าย ถ้าผมจะระแวงไว้บ้างคงไม่เสียหาย


“อะไรดี...?”


เขาหยิบมีดทาเนยที่ผมยังถือค้างวางลงกับจานแล้วหันมาบอกยิ้มๆ ตอนนั้นเองที่ทำให้รู้ นอกจากนมและควันบุหรี่ รอยยิ้มของเขาก็ทำให้ผมเริ่มจะทนไม่ได้มากขึ้นทุกที


“มีคนกินข้าวด้วยแล้วมันอร่อย ถ้าอยู่คนเดียวสู้ไม่กินเลยดีกว่า”


“ถึงได้ดื่มแต่กาแฟแก้วเดียวใช่มั้ยครับ”


“ฉันกับน้องสาวอยู่คนละโรงเรียน ไม่ต้องออกจากบ้านพร้อมกันก็เลยต่างคนต่างตื่น ต่างคนต่างกิน พ่อฉันส่วนใหญ่ไปค้างที่อื่น ไม่ค่อยได้กลับบ้าน แม่ก็ออกงานกลับดึก กว่าจะตื่นโน่นเที่ยง ตอนไปเรียนต่ออเมริกาก็อยู่อพาร์ทเมนท์คนเดียวอีก สรุปคือฉันต้องกินข้าวคนเดียวตั้งแต่เด็กจนโต แล้วมีอยู่ปีนึงเพื่อนฉันชวนกลับไปฉลองคริสต์มาสกับครอบครัวเขา ก่อนนอนคืนนั้นหลานมันมาชวนให้ขอพรจากซานตาคลอสด้วยกัน นายอยากรู้มั้ยฉันขอพรว่าอะไร...”


เป็นครั้งแรกที่เขาพูดคุยกับผมอย่างจริงจัง ได้เรื่องได้ราว ไม่รู้จะเป็นครั้งแรกที่เขาเล่าเรื่องตัวเองให้คนอื่นฟังด้วยมั้ย ใจหนึ่งคิดว่าใช่ทำให้ผมแอบดีใจเลยลืมตอบคำถามนั้นไป เขาไม่ว่าอะไรและถือเป็นโอกาสเล่าเรื่องตัวเองต่อ


“ฉันขอแค่อย่างน้อยให้มีเพื่อนกินข้าวด้วยก็ยังดี แต่คงช้าไป มาขอตอนเป็นผู้ใหญ่แล้วลุงซานต้าเลยไม่ให้เพราะจนป่านนี้ฉันก็ยังต้องกินข้าวคนเดียวอยู่ทุกเช้า”


ผมจ้องเข้าไปในดวงตาคู่นั้นแล้วได้เห็นรอยข่วนบางๆของปีศาจร้ายที่ชื่อ ‘ความเหงา’ คิดไปแล้วผมรู้สึกว่าตัวเองยังโชคดีกว่า ทุกเช้าผมตื่นเพราะเสียงแม่ปลุก กินข้าวที่พี่สาวตักใส่จานรอ ระหว่างที่เดินออกจากซอยมีคำทักทายจากลุงป้าน้าอาไปตลอด ถ้าให้มีเงินเป็นร้อยๆล้านแล้วต้องอยู่คนเดียวในโลกใบนี้ ผมคงเลือกได้ไม่ยาก


“ถ้าคิดว่าฉันน่าสงสาร งั้นเรามากินข้าวด้วยกัน แค่ตอนเช้าก็ได้ ตกลงมั้ย”


คุณภากรก็กำลังจ้องเข้ามาในตาผมเช่นกัน และอีกครั้งที่เขาทำเหมือนรู้ใจ เข้าใจความคิดผมไปซะทุกอย่าง ผมเลยรีบหันหนีเพราะเขาคงรู้แน่ว่าประโยคต่อไปจะเป็นคำโกหก


“ผมยังไม่ได้บอกสักคำว่าคุณน่าสงสาร”


“ก็นั่นไง นายเพิ่งบอกอยู่หยกๆว่าฉันน่าสงสาร ฉันได้ยิน หูไม่ฝาดชัวร์”


ถ้าเอาความรู้สึกเมื่อกี้คืนกลับมาได้ผมจะทำแล้วรีบปาทิ้งไกลๆ ผมไม่น่าเชื่อน้ำหน้าหมาป่าเจ้าเล่ห์เลยให้ตายสิ


“ผม...”


“ผมตกลง ผมจะมากินข้าวเช้ากับคุณทุกวันครับ พูดสิ”


เวลาต้องกลั้นขำผมว่ามันทรมานสุดๆ เขายังมาแกล้งบีบเสียงล้อให้ผมต้องเก็กหน้านิ่งใส่เนี่ย กะจะฆ่ากันเลยใช่มั้ย


“ผมไม่...”


“ผมไม่อยากกินคนเดียวเหมือนกัน”


“คุณ...”


“คุณใจดีจังที่ยอมให้ผมมากินข้าวเช้าด้วย หล่อแล้วยังใจดี มีเมตตา เป็นผู้ชายที่เพอร์เฟ็คท์ที่สุดเลยครับ”


“บ้า...”


“บ้าจัง! ถ้ารู้ว่ากินข้าวกับคุณสนุกอย่างนี้ผมคงไม่นั่งกินอยู่แต่ข้างในโน่นหรอก”


ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาสนุกมากที่แย่งเอาคำพูดของผมไปใส่ปากตัวเอง เพื่อประโยชน์กับสุขภาพจิตของตัวเองผมรีบจบทุกอย่างเดี๋ยวนี้เลยดีกว่า เพราะถึงรอให้ป้ามาลัยกลับมาก็ไม่รู้จะช่วยหรือซ้ำให้ยิ่งแย่ ก็ดูสิ ไปตามกาแฟแค่เหยือกเดียวหายไปเลย


“พอ...”


“พอดีว่าผม..”


“พอแล้ว!” ผมหลับหูหลับตาตะโกน ต้องเอาเสียงข่มเขาถึงจะยอมหยุดฟัง “ผมยอมมากินด้วยก็ได้ เลิกพูดอะไรบ้าๆซะที!”


ผมกัดฟันรับปากด้วยความเจ็บใจ แน้! ป้ามาลัยเดินยิ้มกลับมาเหมือนรู้คิว พอมาถึงคนตัวโตก็ออกคำสั่งว่าต่อไปให้จัดมื้อเช้าสำหรับผมและเขาพร้อมกันสองที่ ป้ารับคำดิบดี รีบถามถึงรายการอาหารที่อยากให้นำขึ้นโต๊ะในวันถัดๆไป สองคนช่วยกันคิดเมนูจนกินกันได้เป็นอาทิตย์ก็ไม่ซ้ำ แต่ไม่ยักจะมีใครสนใจ...ผมนี่...ยังนั่งหน้าหงิกให้แดดเผาหัวอยู่ตรงนี้ทั้งคนนะคร้าบ!




จบตอนแล้วจ้า

 :bye2:





ออฟไลน์ worry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
มาต่อเร็วๆนะครับ สนุกดี จบตอนเร็วจัง ไม่จุใจเลย :ling1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 o13 สนุกมากๆเลยค่ะ

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
ตั้งแต่ต้นมารู้สึกว่ายังไม่รู้ชื่อพระเอกรึเปล่ารึเราไม่สังเกต น่ารักดีค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ปุกปิกกุกกิกไปตามสไต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบมากกกกกกกกก รีบมาต่อน่ะรอยุ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ภากรน่ารักดี กานต์ด้วย

ออฟไลน์ nu-tarn

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 800
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-6
เรื่องน่ารักดี
น้องกานต์นี่เก่งจริงๆเลย คุณประธานก็น่ารัก

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1



6 .


ถ้ายังจำกันได้ ผมเป็นเพียงพนักงานฝึกหัดก็เลยยังไม่มีแม้แต่โต๊ะทำงานเป็นของตัวเอง ได้แต่อาศัยส่วนที่กั้นไว้สำหรับการประชุมในห้องท่านประธานเพื่อนั่งอ่านเอกสารมากมายก่ายกอง พอคุณวรเมธสะสางงานประจำวันของเขาเสร็จค่อยเรียกให้ไปหาที่ห้อง กว่าจะได้โผล่หัวออกมาอีกทีก็มักเย็นหรือค่ำ แต่ในที่สุดผมก็ได้มีที่ทางเป็นของตัวเองแล้ว เย้! เห! หา! ไม่อ่ะ แบบนี้ไม่เอาน๊าาาา...


“ดิฉันว่าวางมุมนี้จะเหมาะกว่า ได้แสงสว่างจากด้านนอกเวลาอ่านเอกสารจะได้ไม่เสียสายตาด้วยค่ะ”


“ก็ดีนะ แต่จะไม่ร้อนเหรอ”


ฟังแค่นี้อาจชวนให้สงสัยว่าคุณภากรกับพี่พัชรีสุมหัวทำอะไร ผมบอกให้ก็ได้ครับ ทั้งคู่กำลังกำกับพนักงานฝ่ายอาคารสถานที่ให้วางโต๊ะทำงานตัวใหม่ลงในตำแหน่งที่ ‘เป๊ะ’ ที่สุด กว่าจะมาลงที่ตรงนี้ได้ก็ย้ายกันอยู่หลายรอบ ขนาดผมกับป้ามาลัยที่ได้แต่ยืนมองอยู่ห่างๆยังรู้สึกเหนื่อยแทน


“ไม่หรอกค่ะ ผนังนี่เป็นกระจกหนาพิเศษ ติดฟิล์มกรองแสงอย่างดี แล้วความจริงต้นไม้ที่ระเบียงด้านนอกก็ช่วยกันความร้อนไปได้พอสมควรแล้วนะคะ”


“งั้นก็โอเค เอาตามนี้”


พอคำนี้หลุดออกจากปากท่านประธาน พวกพี่ๆคนงานถึงกับเป่าปาก ส่วนผม...ฮือออ อยากจะลงไปนอนดิ้นพราดๆบนพื้น ทำไมนะทำไม อะไรที่ยิ่งหนีถึงได้ยิ่งเจออย่างนี้ด้วย


“ส่วนอันนี้ดิฉันขออนุญาตแถมให้ เวลานั่งทำงานคุณกานต์จะได้รู้สึกสดชื่นนะคะ” พี่พัชบอกแล้วบรรจงวางแจกันดอกไม้ลงที่มุมโต๊ะด้านหนึ่ง คือ...ผมเชื่อว่าระดับพี่พัชไม่ได้คิดจะมาประจบหรือเอาหน้าอะไรกับผมหรอก แต่นี่ร้ายกว่าเพราะเล่นแปรพักตร์ไปเข้าพวกกับคนชอบกวนประสาท แถมเวลาแกมองผมกับคุณภากรแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นั่นก็ทำให้ผมเสียวสันหลังแปลกๆ


“กู๊ดจ๊อบคุณพัช เดี๋ยวปลายปีผมจะพิจารณาโบนัสให้คุณเป็นพิเศษเลย”


“อู๊ย! ขอบพระคุณท่านที่เมตตาค่ะ”


เอ้า! เป็นปี่เป็นขลุ่ยกันเข้าไป ผมขี้เกียจจะสนเลยหันมาหาป้ามาลัยที่ยืนคล้องแขนกับผมอยู่ แต่ก็...เฮ่อ...เคยได้ยินคำที่ว่า ‘หนีเสือปะจระเข้’ มั้ยครับ


“เจ้านายเมตตาเรียกใช้ใกล้ชิด กานต์ต้องตั้งใจทำงาน นายบอกนายสอนอะไรก็อย่าดื้อ อย่าเกเรกับนายนะลูก”


ป้ามาลัยก็เป็นไปกับเขาอีกคน ทำอย่างกับแม่จูงลูกมาฝากเข้าโรงเรียน นี่ผมเป็นหนุ่มสิบเจ็ดแล้วนะไม่ใช่เด็กเจ็ดขวบ แต่พอลองนึกว่าถ้าเป็นอย่างนั้นสายตาผมก็บังเอิญเหลือบไปเห็นท่านเลขาแว่นใสที่นั่งพลิกแฟ้มอยู่ที่โซฟาคนเดียวโน่น มาดแบบนี้คงไม่แคล้วเป็นฝ่ายปกครองจอมโหด


อั๊ยย่ะ! ไม่น่าเลยผม แอบนินทาในใจจนเจ้าตัวเขาเงยหน้าขึ้นมาพอดี หรือว่าคุณวรเมธจะเป็นอีกคนที่อ่านใจได้ แล้วผมก็ดันสู่รู้ไปเข้าใจความคิดเขาอีกเพราะพอเขาพยักหน้าเบาๆผมก็รีบเดินไปหา


“ครับ?” ผมเอ่ยไม่เชิงถาม เขาก็เลยไม่ตอบแต่ปิดแฟ้ม ลุกขึ้นก้าวนำแล้วผมก็เดินตามซะอีกแน่ะ


“เดี๋ยว จะไปไหนกัน” คุณภากรพรวดเข้ามาขวาง แต่อย่างที่บอกว่าเจ้านายคนนี้ไม่ค่อยจะกล้าหือกับเลขาตัวเองสักเท่าไหร่


“ไม่มีธุระอะไรแล้ว ผมเลยว่าจะขอตัว” ที่จริงผมว่าคุณวรเมธก็ไม่น่าจะมีธุระมาตั้งแต่ต้นเพราะเข้ามาก็เห็นเอาแต่นั่งอ่านเอกสาร ไม่ได้สนใจใครหรืออะไรเลย


“อ๋อ ก็ไปสิ” เจ้าของห้องพยักหน้ารับรู้แล้วหันไปหาพี่พัชที่กำลังเหล่มององศาของจอคอมพิวเตอร์ “คุณพัชรี ขอบคุณมากที่ช่วยมาเป็นธุระให้”


“ไม่ต้องครับ ให้คุณพัชอยู่จัดของที่นี่ต่อก็ได้เพราะยังไงก็ต้องย้ายมาอยู่แล้ว ส่วนเรื่องงานที่รับผิดชอบ...”


“นายหมายความว่าไง ทำไมคุณพัชถึงจะมานั่งห้องนี้?!” ทุกคนหันไปในทางเดียว คุณภากรใจร้อนกว่าเลยไม่รอกระทั่งจบประโยค ส่วนผมยืนอยู่ด้านหลังคุณเมธพอดีเลยได้แต่มองสูทลายทางด้วยความงุนงง บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าได้ยินอย่างนี้แล้วควรรู้สึกอย่างไร


“ความจริงคุณพัชมีตำแหน่งเลขาท่านประธานมาตั้งแต่แรกแล้วนี่ครับ ที่ผ่านมาต้องขอบคุณนายมากที่กรุณาให้เธอย้ายไปช่วยผมซึ่งยังใหม่กับที่นี่ แต่ตอนนี้ผมได้เลขาคนใหม่มาแล้ว เรื่องงานก็ถือว่าอยู่ตัวเลยคิดว่าสมควรให้คุณพัชได้คืนตำแหน่งเดิมของเธอเสียที”


“เฮ้ย! เราตกลงกันแล้วว่าเขาจะมาเป็นเลขาฉันนี่” คุณภากรขึ้นเสียง ผมเลยยิ่งตัวลีบหนักอยู่ข้างหลังคุณวรเมธ ทั้งๆที่ไม่ได้ทำอะไรผิดแต่ผมเริ่มอึดอัดกับบรรยากาศในห้องนี้มากขึ้นทุกที


“แต่ในความคิดผม เลขาผู้บริหารควรมีประสบการณ์มากสักหน่อย เด็กคนนี้นอกจากอายุน้อยก็ยังใหม่กับธุรกิจด้านโรงแรมและสถานบันเทิงมาก เกรงว่าจะไม่เหมาะสม ยกเว้นแต่ว่า...นายต้องการเขาเป็นพิเศษ”


“ฉันก็แค่...” คุณภากรชะโงกข้ามไหล่คุณเมธมามองแล้วเงียบไป ผมเลยจ้องตาตอบเพราะอยากรู้เหมือนกันว่าจริงๆแล้วเขาต้องการอะไร “...ก็อย่างที่เราเคยคุยกัน งานของนาย..ค่อนข้างจะ...มาก เอ่อ...หมายถึงซับซ้อนน่ะ ควรจะได้คนอย่างคุณพัชไปจะช่วยมากกว่าไง”


“ถ้าพูดกันเรื่องฝีมือผมว่าเขาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วนี่ครับ ขนาดนายลงทุนบินไปเจรจาเป็นอาทิตย์ได้มาแค่คำว่า ‘ขอคิดดูก่อน’ แต่ผู้ช่วยเลขาของผมใช้เวลาแค่อาหารมื้อเดียวก็กล่อมมาดามหลิวสำเร็จโดยไม่มีเงื่อนไขอื่นเพิ่มเติมสักข้อ ส่วนเรื่องระบบงานผมฝากคุณพัชเทรนด์ให้เรียบร้อยแล้ว แน่ใจว่าไม่มีมีปัญหา”


จู่ๆคุณเมธก็หันมาดึงตัวผมให้ก้าวขึ้นไปยืนเสมอกัน ผมมองคนทั้งคู่ ซ้ายทีขวาทีแล้วรีบก้มหน้า ขนาดคุณเมธยกมืออ้อมหลังมาแตะไหล่ ผมยังไม่กล้ากระดิกตัวเลย


“แต่ว่า...”


รองเท้าหนังสีดำมันปลาบทำท่าจะก้าวมาข้างหน้าก่อนจะเปลี่ยนใจ ส่วนรองเท้าสีดำหนังนิ่มอีกคู่นิ่งอยู่ที่เดิม ปลายซ้ายขวามีระยะห่างเล็กน้อยดูมั่นคง บ่งบอกลักษณะคนที่มั่นใจในจุดยืนของตัวเอง


“หรือว่านายเชื่อในตัวเด็กคนนี้มากกว่า ถ้าอย่างนั้นในฐานะเลขาผมคงต้องขอพิจารณาตัวเอง”


รองเท้าสีดำเป็นมันขยับถอยไปอีกก้าว ในห้องมีแต่ความเงียบ คุณเมธปล่อยมือจากไหล่ผมแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง


“ถ้านายไม่มีอะไรขัดข้อง พวกผมขอตัวก่อนครับ”


ถึงจุดนี้ผมรีบเงยหน้า คุณวรเมธสบตาผมแวบหนึ่งแล้วเดินตรงไปที่ประตู ผมหันไปหาพี่พัชรีกับป้ามาลัยที่ไปยืนอยู่ด้วยกันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ สีหน้าทั้งคู่ดูตกใจและไม่กล้าพูดอะไร พอจะหันไปถึงอีกคนก็บังเอิญมีเสียงเรียกผมเลยต้องรีบตามคุณเมธออกจากห้องมา แต่แทนที่จะกลับไปทำงานตามที่อ้าง เขากลับพาผมออกมาชั้นจอดรถ


พริอุสสีขาวจอดคู่กับเมอร์ซิเดสสีดำป้ายทะเบียนลายสวย ไฟข้างคู่หน้าส่งสัญญาณกระพริบพร้อมกับที่พนักงานในชุดคนขับรถรีบวิ่งเร็วๆไปยืนรอ แต่คุณวรเมธกลับตรงไปด้านคนขับแล้วขึ้นนั่งหน้าตาเฉย ผมเลยเปิดประตูขึ้นรถจากอีกด้าน


“เอ่อ...” พี่คนขับรถรีบอ้อมรถกลับมาพร้อมสีหน้าลำบากใจ “ให้ผม...”


“กุญแจ” คุณเมธตัดบทสั้นๆง่ายๆ


“แต่ถ้าท่านประธาน...”


“เรียนนายว่าฉันออกไปทำธุระส่วนตัว” คุณเมธบอกแค่นั้นก็ได้กุญแจมาสตาร์ทรถสมใจ ก่อนจะปิดประตูรถยังไม่วายสั่งงาน คงจะสงสารที่คนขับรถโดนตัวเองแย่งหน้าที่ แต่ผมว่าจะยิ่งทำให้พี่เขางานเข้ามากกว่า “อ้อ! บอกการ์ดของนายด้วยว่าถ้าคิดจะตามก็อย่าให้ฉันรู้ตัว ไม่อย่างนั้นจะโดนสั่งเปลี่ยนยกทีม”


ตอนที่รถวิ่งออกมาผมหันหลังไปมอง เห็นพี่พนักงานคนนั้นพูดวอท่าทางปลงๆกับอนาคตตัวเอง ผมเลยได้แต่ภาวนาให้เขาโชคดี ส่วนตัวผมตอนนี้ก็คงต้องการโชคบ้างไม่มากก็น้อย


“ที่หน้าฉันมีอะไร” คุณวรเมธตามองตรง แต่ผมตั้งใจมองขนาดนั้นเขาคงรู้ตัวอยู่แล้วล่ะ


“วันนี้คุณเมธดูน่ากลัวจังครับ”


“เหรอ? นึกว่าฉันน่ากลัวอยู่ทุกวันซะอีก”


สีหน้ากับคำพูดของคุณวรเมธขัดกันสุดๆจนผมหลุดขำอย่างอดไม่ได้ เป็นครั้งแรกที่เขาพูดเล่นด้วย ดีจัง! ผมรู้สึกว่าบรรยากาศในรถดูผ่านคลายขึ้นจมเลย


“ก็ไม่เชิงครับ” ผมหยุดคิดหาคำพูดที่จะรื่นหูคนฟัง ยิ่งแปลกใจที่เห็นเขายกมุมปากนิดๆขณะกดปุ่มที่พวงมาลัยสลับกับมองหน้าจอเล็กตรงคอนโซลกลาง สักพักเสียงเพลงฝรั่งก็ดังขึ้น ผมไม่เคยได้ยินแต่ก็รู้สึกว่าเพราะดี “ปกติคุณเมธเครียดกับงานมากๆก็จริง แต่ถ้าไม่ทำอะไรพลาดหรือให้โดนตำหนิได้ก็ถือว่าปลอดภัย แต่วันนี้คุณเหมือนระเบิดลูกใหญ่ที่พร้อมจะตูมได้ตลอดเวลา ขนาดนายใหญ่ยังเข้าหน้าไม่ติดแล้วจะมีใครกล้าแหยมล่ะครับ”


“แล้วคนที่กำลังด่าฉันทางอ้อมอยู่เนี่ยไม่เรียกว่ากล้าหรือไง”


คุณเมธหันมากล่าวหา ผมเลยยู่หน้าใส่เพราะเรื่องอะไรจะยอมรับง่ายๆ ไม่อยากเชื่อ! คุณเมธหัวเราะเป็นด้วย!! พอผูกมิตรได้ผมเลยตีซี้ต่อ


“แล้วนี่เราจะไปไหนกันครับ”


“วันนี้อยากลองทำตัวว่างๆดูบ้าง สนใจจะมาขี้เกียจด้วยกันมั้ยล่ะ”


ลองนึกภาพเวลาที่นั่งรออยู่ในห้องเรียน สักพักก็มีคนวิ่งมาบอกว่าคาบนี้ว่าง อาจารย์ไม่สอน... นั่นแหละครับคำตอบของผม ผมร้องเย้!ลั่นรถจนคุณวรเมธหันมามองด้วยความตกใจ เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาสามทีแล้วแกล้งทำเป็นกระแอมคันในลำคอ แต่ผมว่าเขาไม่ควรจะกลั้นไว้เลย เวลายิ้มหรือหัวเราะเขาออกจะดูดี ดูเด็กกว่าตอนที่ทำหน้ายุ่ง หัวคิ้วพันกันเสียอีก


เอาเข้าจริงคนที่เก่งทุกเรื่องกลับนึกไม่ออกว่าจะโดดงานไปไหน ผมเองเห็นอย่างนี้แต่ก็เป็นเด็กเรียน พอออกจากโรงเรียนมาวันๆทำแต่งาน  สุดท้ายเราสองคนเลยไปจบลงที่ห้างสรรพสินค้าเดียวกับที่ผมกับพี่กัญญานัดกันวันก่อน ทายสิครับว่าหลังจากเดินเล่นเรื่อยเปื่อยมากๆอยู่ครึ่งชั่วโมง ตอนนี้ผมกับเขาอยู่ที่...ร้านไอศกรีม!


ผมรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยเพราะไม่เคยเข้าร้านไอศกรีมยี่ห้อดังๆมาก่อน ไม่ใช่อะไร อย่าว่าแต่สั่งเป็นถ้วย แค่ไอติมลูกเดียวก็แพงยังกับอะไร ผมกินข้าวหนึ่งมื้อยังเหลือเงินติดกระเป๋ามากกว่าเลย


“ผมเลือกไม่ถูก คุณเมธสั่งดีกว่าครับ” ผมยื่นเมนูให้เจ้ามือที่นั่งฝั่งตรงข้าม แอบเห็นเขากระพริบตาสองทีติดกัน หรือว่าผมจะฝากท้องผิดคนซะแล้ว


“กาแฟร้อน...แล้วก็...” อันแรกนี่คงสั่งให้ตัวเองด้วยความเคยชิน แต่อย่างน้อยเขาก็มีน้ำใจหรือไม่ก็คงเวทนาผมเลยเลือกเปิดเมนูแล้วจิ้มเข้าที่ถ้วยไอศกรีมรูปหนึ่ง นั่นสินะ! ทำไมผมไม่ทำอย่างนี้ตั้งแต่แรก ถึงไม่รู้จักแต่ยังไงก็ไอติม สั่งอันไหนมามันก็กินได้ทั้งนั้นแหละ


“รับไอศกรีมรสอะไรดีคะ” พอพนักงานถามต่อ เขาก็หันมาเลิกคิ้วใส่ผม


“ช็อกโกแลตก็ได้ครับ”


“ได้สองสกู๊ปค่ะ”


ผมหันไปขอความเห็นคนจ่ายตัง เพราะไหนๆก็ได้กินไอศกรีมถ้วยตั้งเกือบร้อย มันน่าจะหลากหลายหน่อยจริงมั้ย


“รัมเรซิน” คุณเมธหันไปบอกพนักงานให้ด้วย


“ตกลงรับเป็นบัตเตอร์สก๊อตซันเดย์ ไอศกรีมช็อกโกแลตกับรัมเรซิน กาแฟร้อน รอสักครู่นะคะ”


ในร้านมีเสียงเพลงเปิดคลอ แต่นั่งกันสองคนเงียบๆแล้วมันอึดอัด ผมเลยหาเรื่องมาชวนคุย


“รัมเรซินนี่เขาใส่เหล้ารัมลงไปจริงๆหรือเปล่าครับ” ที่ถามแบบนี้เพราะตอนสิบสองสิบสามกำลังคึกคะนองได้ที่เลยหาเรื่องไปแอบชิมเหล้าของพ่อ อยากรู้ว่ามันอร่อยอะไรนักหนา แค่ไม่ถึงครึ่งฝาก็วาบไปถึงกระเพาะ แล้วก็เดินเอาหน้าแดงแจ๋ไปให้แม่จับได้ เป็นครั้งแรกที่แม่ตีผมด้วยน้ำตาอาบสองแก้มเลยทำให้ผมจำฝังใจและตั้งใจว่าจะไม่แตะของมึนเมาอีกเลย


“ส่วนมากจะเป็นแค่สารแต่งกลิ่นรส แต่บางทีก็อาจจะมีที่ใส่เหล้าลงไปด้วยจริงๆ ยิ่งถ้าคนทำมือหนัก กินมากๆก็มึนได้เหมือนกัน”


“ไม่นึกว่าคุณเมธก็รู้เรื่องพวกนี้ด้วย สงสัยจังว่าจะมีอะไรที่คุณไม่รู้บ้างมั้ยเนี่ย”


“ไม่เชิงว่ารู้หรอก ก็แค่พอจำได้จากสมัยเรียนน่ะ” ทีแรกเขาคงตั้งใจบอกแค่นี้ แต่พอเห็นสีหน้าอยากรู้ของผมเข้าไปก็เลยจำใจเล่าต่อ “ฉันจบการโรงแรม ต้องเทคคอร์สพวกอาหาร เครื่องดื่มด้วยเหมือนกัน”


“จากสวิสด้วยหรือเปล่าครับ?!” ผมรีบถามต่อ คนรอบตัวผมยังไม่มีใครเคยได้ไปต่างประเทศ แต่ถ้าตรงหน้าผมคือนักเรียนนอกตัวเป็นๆจะไม่ให้รู้สึกตื่นเต้นได้ยังไง “ผมเคยได้ยินว่าถ้าจะเรียนการโรงแรมต้องไปที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ถือเป็นอันดับหนึ่งของโลกด้านนี้เลยก็ว่าได้ เป็นเรื่องจริงใช่มั้ยครับ”


พนักงานเข้ามาเสิร์ฟรายการอาหารที่สั่ง ไอกาแฟอวลกลิ่นหอมฟุ้ง ไอศกรีมก็ดูไฮโซน่ากิน แต่มันไม่ดีก็ตรงที่เขาเอาด้ามช้อนไอติมเคาะหัวผมก่อนจะยื่นให้เนี่ยแหละ


“ฉันก็ชักอยากรู้ว่ามีอะไรมั้ยที่คุณกานต์จะไม่ทราบ แสนรู้เหลือเกิน..นะ..ครับ!”


ผมคลำหัวป้อย ได้ไอศกรีมเย็นๆหวานๆเลยหายเจ็บ รอให้คุณเมธชิมกาแฟสักจิบแล้วซักต่อ


“แล้วตกลงได้ไปเรียนที่สวิสหรือเปล่าครับ”


“อืม พ่อแม่เลิกกันตั้งแต่ฉันยังเด็ก แม่แต่งงานใหม่แล้วย้ายไปอยู่กับแฟนที่สวิส ฉันอยู่กับพ่อจนถึงม.สาม มันก็คงเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนั่นแหละ ทะเลาะกับพ่อ เบื่อเมืองไทย เลยขอไปอยู่กับแม่ที่โน่น พอจบไฮสคูลขี้เกียจกลับ เห็นใครต่อใครก็อยากมาสวิสกัน ไหนๆฉันก็ได้ไปอยู่ที่นั่นแล้วเลยเรียนต่อด้านนี้ซะเลย”


เขาเล่าด้วยน้ำเสียงธรรมดา สีหน้าก็ดูนิ่งๆเหมือนไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ แต่ถ้าเขาไปที่นั่นตอนจบม.สามก็เด็กกว่าผมในตอนนี้เสียอีก อายุแค่นั้นแต่กล้าท่องไปในโลกกว้าง แล้วยังตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตด้วยตัวเอง ผมเองก็อยากจะเก่งและมีความมั่นใจในได้อย่างนั้นบ้าง


“โก้จัง แล้วพอเรียนจบก็กลับเมืองไทยเลยหรือเปล่าครับ”


“ยังหรอก ฉันออกเที่ยวแล้วก็ทำงานไปเรื่อยๆ ได้มีโอกาสไปอยู่ตั้งแต่โรงแรมเล็กๆในชนบทจนถึงระดับสี่ดาว ห้าดาวตามเมืองใหญ่ๆ เรียกว่าชีวิตช่วงนั้นทรหดมากแต่ก็สนุกและได้เรียนรู้จากของจริง เป็นประสบการณ์ที่มีค่าสุดๆเลยล่ะ”


มิน่า คนๆนี้ถึงได้คล่องแคล่วและเชี่ยวชาญในทุกๆเรื่อง แถมยังได้รับความไว้วางใจจากคุณภากรมากถึงขนาดสามารถตัดสินใจแทนได้ ถ้าไม่รู้มาก่อนใครก็คงนึกว่าเขาเป็นเจ้าของโรงแรมตัวจริง


ผู้ชายที่อยู่ต่อหน้าผมตอนนี้นั่งเอนตัวเต็มพนักเก้าอี้ตัวเล็กของร้าน เท้าศอกกับพนักเก้าอี้อีกตัวแล้วเหยียดขายาวแทนที่จะนั่งไขว่ห้างตามปกติ ดูผ่อนคลายจนเหมือนไม่ใช่คุณวรเมธที่ผมรู้จัก เขามองตรงมาแล้วก็ยิ้ม คงขำกับท่าทางตื่นตาตื่นใจของผม กาแฟหมดแก้วแล้วผมเลยเลื่อนถ้วยไอศกรีมที่ยังเหลือรัมเรซินที่เขาสั่งอีกครึ่งลูก เขายิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ ผมจึงลองตักไอศกรีมยื่นไปตรงหน้าเขา ถ้าเป็นคุณภากรคงงับเข้าปากทันทีแต่คุณวรเมธเอาแต่มองจนผมใจเสีย กลัวไอศกรีมจะละลายหยดเลอะโต๊ะ แต่สุดท้ายเขาก็ยอมกินไอศกรีมที่ผมป้อนให้ถึงสองช้อนแล้วเริ่มเล่าอดีตของตัวเองต่อ


“จนถึงจุดหนึ่งฉันเกิดคิดถึงพ่อกับเมืองไทยขึ้นมาเลยลาพักร้อน กะว่าจะมาแบบนักท่องเที่ยว แวะเยี่ยมพ่อสักพักแล้วก็กลับไปทำงานต่อ ที่ไหนได้...พ่อฉันดันคิดสั้น”


“อะไรนะครับ!?” ผมเสียววาบถึงได้หลุดออกไปเสียงดังลั่นร้าน ดีที่ว่าเป็นวันธรรมดาจึงมีลูกค้าไม่มาก


“เบาๆก็ได้” เขาเอ็ดยิ้มๆ ค่อยทำให้ผมเบาใจขึ้นหน่อย “ไม่ใช่อย่างที่นายคิดหรอก ที่ฉันบอกว่าคิดสั้นคือพ่อไม่สนใจดูแลตัวเองเลย วันๆใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไม่มีจุดหมาย แล้วก็พาตัวเองสู่หายนะด้วยการเข้าบ่อน ก่อนหน้าที่ฉันจะกลับไม่ถึงปีพ่อขายที่ดินผืนสุดท้ายของย่าได้เงินเกือบสิบล้าน แต่ตอนฉันมาถึงพ่อเป็นหนี้บ่อนห้าล้าน ไม่นับรวมเงินกู้นอกระบบที่แค่ดอกเบี้ยก็วันละแสนสองแสนเข้าไปแล้ว”


คำว่าหนี้แล่นจี๊ดเข้าถึงใจผมทันที เรื่องแบบนี้ใครไม่โดนคงไม่เข้าใจ และไม่อยากเชื่อว่าคนระดับคุณวรเมธก็เคยเจอปัญหานี้เช่นกัน


“นายรู้มั้ย ฉันแทบจะแพ็คกระเป๋าเปลี่ยนตั๋วบินกลับซะวันนั้น แต่พอฟังพ่อเล่าที่มาที่ไปฉันได้แต่ร้องไห้แล้วก็หัวเราะเหมือนคนบ้า”


คุณเมธหลับตาลงแน่น หัวคิ้วกดร่องลึกโดยไม่รู้ตัว ผมได้แต่เงียบเพราะเข้าใจว่ามนุษย์ทุกคนย่อมมีเรื่องที่ไม่เคยบอกใคร อาจไม่ถึงกับเป็นความลับสุดยอดแต่บางครั้งก็ยากจะหาคนคอยรับฟัง


“พ่อบอกว่าพ่อ...เป็นมะเร็งลำไส้ ตอนตรวจพบเข้าระยะที่สอง เขาคิดว่าฉันคงไม่กลับเมืองไทยแล้วเลยตั้งใจจะเก็บเงินขายที่ไว้ให้ฉันส่วนหนึ่ง ที่เหลือก็ให้ความสุขกับตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย แต่มันคงเป็นโชคร้ายซ้อนในความโชคร้ายอีกที พ่อมีชีวิตอยู่ได้นานกว่าที่หมอบอกและระหว่างนั้นเขาก็เพลิดเพลินจนเสพติดการเสี่ยงโชคชนิดเข้าเส้น เขารู้สึกผิดที่ผลาญเงินส่วนที่เป็นมรดกซะหมดก็เลยตั้งใจจะเสี่ยงโชคต่อให้ได้คืนมา แต่อย่างที่รู้ว่าการพนันไม่เคยทำให้ใครรวย จากแค่ไม่เหลือก็กลายเป็นติดลบ ต้นไม่คืน ดอกไม่ส่ง มันก็เลยสะสมจนต่อให้ฉันทำงานทั้งชีวิตก็ไม่มีปัญญาใช้หมด”


ผมกับพ่อเป็นหนี้แค่ห้าแสนยังอับจนหนทางจะแย่ ถ้าต้องเจอปัญหาแบบคุณเมธคงเหมือนโดนโลกทั้งใบถล่มทับ ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะอยู่รอดปลอดภัย แถมยังเจริญก้าวหน้ามีตำแหน่งใหญ่โตอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้


“วันที่ฉันกลับมาเหยียบเมืองไทยมีคนมายึดบ้าน พ่อเหลือเงินติดตัวแค่สามร้อย ตอนนั้นฉันก็รู้แล้วล่ะว่าคงไม่ได้กลับไปที่โน่นอีก อย่างน้อยฉันก็อยากทดแทนบุญคุณเป็นครั้งสุดท้ายเลยพาพ่อไปอยู่บ้านเก่าของแม่แล้วคอยดูแลให้เขาได้ไปสบาย”


ผมรู้สึกจุกจนพูดอะไรไม่ออกเพราะตัวเองก็ซึ้งจนแทบกระอัก อย่างที่คุณเมธเองก็เคยติงว่าผมไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ผมบอกเขาว่าเพราะพี่กัญญาแต่อีกส่วนที่ปฏิเสธไม่ได้ ผมจะไม่ดูดำดูดีพ่อตัวเองได้อย่างไร พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่ให้ชีวิต พ่อเคยกอด เคยถนอม เคยบอกใครๆเต็มปากว่าผมคือลูกชายที่เขารักที่สุดในโลก ถึงเขาจะเปลี่ยนไปแต่ความจริงที่เขาเป็นพ่อของผมก็ไม่มีวันเปลี่ยน


คุณเมธคงผิดสังเกตที่ผมเอาแต่ก้มหน้า ปลายนิ้วเย็นๆแตะลงที่หลังมือจนผมสะดุ้งเลยเผลอทำให้เขาได้เห็นความขี้แยของผมเข้าจนได้ เขาไม่พูดอะไรแต่มีรอยยิ้มบางๆให้ ผมเลยรีบขยี้ตา สูดหายเข้าใจแรงๆแล้วกลับมาสู่การสนทนา


“ผมเสียใจด้วยนะครับ” คุณเมธยิ้ม หลับตาแล้วพยักหน้าเบาๆ “แล้วเรื่องหนี้...”


“ก้อนที่เป็นหนี้นอกระบบฉันไม่ได้สนใจ เพราะพ่อก็ตายไปแล้ว ถ้าโดนตามทวงมากๆบินกลับไปทำงานต่อแล้วอยู่ที่โน่นเลยก็สิ้นเรื่อง ส่วนที่เป็นหนี้ของบ่อนทีแรกก็นึกว่าคงเจ๊ากันไปเหมือนกัน ที่ไหนได้ตัวเจ้าหนี้กลับโผล่มาตอนวันเผา ท่านขอคุยกับฉันตรงๆแล้วก็ยื่นข้อเสนอที่ฉันนึกไม่ถึง”


“หรือว่า...?!” ผมสะดุดใจอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าคุณภากรคือ ‘นาย’ ที่ติดปากคนทั้งโรงแรม คำว่า ‘ท่าน’ ก็จะเป็นใครไปไม่ได้... 


“คุณกฤต พ่อของนายใหญ่คือเจ้าหนี้พ่อฉัน” คุณวรเมธตอบเหมือนอ่านความคิดผมได้อีกแล้ว ผมเลยอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าโลกจะกลมขนาดนี้ “ตกใจทำไม ทำอย่างกับเราสองคนไม่ได้ตกอยู่ในสถานะเดียวกันอย่างนั้นแหละ นายถูกพ่อเอามาขายใช้หนี้ที่คาสิโนของนายใหญ่ ส่วนพ่อฉันตายไปซะก่อน แต่พอท่านรู้ประวัติของฉันเข้าก็เลยยื่นข้อเสนอให้มาทำงานล้างหนี้ เหมือนกันเลยเห็นมั้ย”


“ไม่น่าเชื่อ ผมไม่นึกเลยว่า...” ผมเลยพูดอะไรไม่ออกกับความบังเอิญที่เหมือนฟ้ากลั่นแกล้ง นี่หรือเปล่าเหตุผลที่เขาไม่คัดค้านเรื่องของผม เพราะลองเขาบอกว่าไม่แค่คำเดียว น้ำหน้าอย่างผมคงไม่มีวันได้เหยียบโรงแรมนี้แม้แต่ก้าวเดียว


“เชื่อเถอะกานต์ ในโลกนี้อะไรๆก็เป็นไปได้ทั้งนั้น เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นอยู่ทุกวัน หลังจากฉันตอบตกลงเข้ามาทำงานในส่วนของโรงแรมไม่ถึงครึ่งปี ท่านก็ประสบอุบัติเหตุจากไปอย่างกะทันหัน ภากรถูกเรียกตัวกลับมาด่วนที่สุดเพื่อเข้ารับตำแหน่งประธานกรรมการ สำหรับเขาเองนี่คงเป็นทั้งฝันร้าย ทั้งภาระที่ใครก็ไม่อยากแบกรับ ทีแรกฉันยังนึกว่าเขาจะทิ้งทุกอย่าง ขายกิจการต่อให้คนอื่นแล้วเสพย์สุขกับทรัพย์สมบัติที่ใช้ทั้งชาติไม่มีวันหมด แต่เขาก็ไม่ทำ นี่ล่ะที่ฉันนับถือน้ำใจและยอมทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาดอยู่จนถึงทุกวันนี้”


“แต่ผมนับถือทั้งคุณภากรและคุณเมธมากๆเลยนะครับ สิ่งที่พวกคุณพยายามฝ่าฟันกันมา น่าชื่นชมจริงๆ”


“นายเองก็เหมือนกัน อายุแค่นี้แต่ต้องผ่านอะไรมาเยอะไม่ใช่เล่น แล้วก็ไม่นึกเลยว่าอย่างเราสองคนจะได้มีโอกาสมานั่งคุยกันแบบวันนี้นะ”


สำหรับผมมันมากกว่าโอกาสดีๆ คนเราอาจมีบ้างที่เล่าเรื่องส่วนตัว ความรัก ความชอบให้คนอื่นฟังเพื่อจะได้รู้จักกันมากขึ้น แต่กับความทรงจำที่โหดร้าย อดีตที่อยากลืมคงจะไม่ได้เล่าให้ใครก็ได้ฟัง ไหนจะรอยยิ้มที่ปรากฏชัดทั้งบนริมฝีปากและในดวงตาผ่านเลนส์ใสๆไร้กรอบนั่นอีก ถ้าผมจะเชื่อว่าคุณเมธเริ่มเห็นผมเป็นเพื่อน หรือมากกว่านั้นคือน้องชายคนหนึ่งที่จะคอยรับฟัง คอยแบ่งปันทุกข์สุขของกันและกันก็คงไม่ผิดนัก


ตอนนี้ผมมีความสุขจัง แต่ก็รู้ล่ะนะว่าความสุขมักมีมารผจญเสมอ...


“ใครโทรมา” คุณเมธถามเพราะเห็นผมลังเล ไม่ยอมรับสายสักที ผมเลยยื่นมือถือไปให้แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะ...กดตัดสายแล้วปิดเครื่องซะงั้น! “ที่ฉันบอกว่านับถือน้ำใจไม่ได้ความว่าจะไม่รำคาญ”


เอิ่ม...ถ้าผมบอกคุณภากรว่าคุณวรเมธเป็นคนทำ เขาจะละเว้นผมมั้ยนะ?!


“กร...หมายถึงนายใหญ่น่ะ ที่จริงเขากับฉันอายุเท่ากัน บางทีก็รู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนกันมานาน หมอนั่นทำอะไรให้นายอึดอัดบ้างหรือเปล่า”


“ถามว่ามีอะไรที่ท่านประธานไม่ทำให้ผมอึดอัดจะตอบง่ายกว่าครับ” แบบนี้ก็เข้าทาง นี่ผมไม่ได้มีนิสัยขี้ฟ้องเลยสักนิดนะ “เพราะคำตอบคือไม่มีเลย คุณภากรขี้แกล้งจะตาย เอาแต่ใจชอบบังคับผมสารพัด แถมยังทำอะไรที่...แปลกๆ”


“แปลก?”


“ครับ บางทีก็พูดจาแปลกๆ มองผมแปลกๆ แล้วก็ชอบมา...” ความแปลกในสิ่งที่เขาทำคงหมายรวมถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวผมจนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ “...อะไรกับผมนักหนาก็ไม่รู้!”


“แล้วชอบที่เขาทำมั้ยล่ะ” คุณเมธถามแล้วมองผมยิ้มๆ แต่ไม่ใช่รอยยิ้มอย่างเมื่อกี้แน่ๆ


“จะชอบได้ยังไง ผมเป็นผู้ชายนะครับ ถูกผู้ชายด้วยกันมา...แบบว่า...” ก็บอกแล้วว่ามันอธิบายไม่ถูก รู้แต่ว่า... “อื๊ยยย! ขนลุกจะตายไป!”


ผมคงทำหน้าเหมือนกัดแอบเปิ้ลคำโตแล้วเจอหนอนดิ้นกระแด่วๆอยู่ครึ่งตัว พอลองนึกว่าแล้วอีกครึ่งหายไปไหน...นั่นล่ะครับที่ทำให้คุณวรเมธหัวเราะผมใหญ่ พอขำเสร็จก็ซักต่อ


“เพราะนายมีแฟนแล้วล่ะสิ”


“แฟน? เปล่านะครับ ตัวเองยังจะเอาตัวไม่รอดไม่มีสาวที่ไหนเขามามองผมหรอก” ผมรีบปฏิเสธด้วยความสัตย์จริง โตมาจนป่านนี้ยังไม่เคยได้เรียกสาวคนไหนว่าแฟน ที่จริงตอนอยู่โรงเรียนผมก็ถือว่าดังนะ ใครๆก็ชมว่ามีดีทั้งหน้าตาและมันสมอง แต่แปลกที่ทุกคนจะเลือกใช้คำว่า ‘น่ารัก’ กับผมทุกครั้งไป


“อ้าว! แล้วที่ฉันเห็นที่หน้าห้างวันนั้น คนนั้นก็...” สงสัยจะเหมือนอย่างที่ผมคิด คุณเมธคงไม่เคยมีแฟน จะชมสาวสักทียังต้องเสียเวลานึกเลย “...น่ารักดีนี่”


“อ๋อ! นั่นพี่กัญญา พี่สาวผมที่เคยเล่าให้ฟังไงครับ ตั้งแต่มาทำงานที่โรงแรมผมเพิ่งได้วันหยุด พี่กัญเองก็เรียนหนังสือ อยู่หอพักตลอด พอว่างตรงกันเราเลยนัดไปเที่ยวกันให้หายคิดถึงน่ะครับ”


พอเอ่ยถึงพี่สาวผมก็เลยเล่าเรื่องของตัวเองให้คุณวรเมธฟังบ้าง เขาฟังไปยิ้มไป มีซักบ้างจนผมยิ่งเพลิน มานึกอีกทีพี่กัญญาคงได้จามลั่นห้องเลคเชอร์อยู่แน่ๆ พอฝอยมากก็ไม่ใช่แค่คอแห้งแต่ท้องผมร้องก่อนแล้วของคุณเมธครางตาม ผมเลยได้ลิ้มลองเนื้อย่างร้านดังเป็นของแถม โกเบนุ่มลิ้น มัตซึซากะละลายในปาก ริวกิวก็ลื่นคอ โอว...สวรรค์! กินเสร็จเดินออกจากร้านบังเอิญเห็นป้ายโฆษณาภาพยนตร์ใหม่ เขาเลยลากผมเข้าโรงหนังไปด้วยกัน เป็นหนังสามมิติซะด้วยแต่สุดท้ายก็ไม่รู้เรื่องทั้งคู่เพราะผมปิดตาไปดูไป ส่วนเขาเอาแต่นั่งขำกับอาการกลัวผีของผม ทนไปได้ครึ่งเรื่องผมก็งอแงหนีออกมาแล้วเราก็เดินเล่นกันต่อจนได้ยินเสียงหวานๆประกาศปิดห้างจึงค่อยได้ฤกษ์จบการโดดงานแต่เพียงเท่านี้



จบตอนแล้วจ้า



ขอบคุณมากจ้า  บวกเป็ดให้ทุกๆคอนเมนท์เลย โทษฐานที่ทำให้เราชื่นจายยยยย


เรื่องนี้พระเอกชื่อ ภากร นายเอกชื่อ กานต์ ค่ะ จำไว้ให้มั่น ชื่อดีมีความหมาย

บอกเลยว่าคิดพล็อตเรื่องนี้จากชื่อของนายเอก อยากให้กานต์เป็นที่รักของทุกคนนะคะ



 :bye2:


ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1



7 .



ผลพิจารณาโทษจากการโดดงานไปเที่ยวห้างทั้งวันคือ... ยกประโยชน์ให้จำเลยเพราะมีผู้บงการอยู่เบื้องหลัง ...คิดว่างั้นนะ! ทีแรกผมก็ทำใจไว้แล้วว่าจะโดนไม่น้อยแต่เอาเข้าจริง มื้อเช้าวันรุ่งขึ้นป้ามาลัยพาผมไปกินข้าวที่เดิมและนั่งลงเป็นเพื่อนเพราะคุณภากรไม่โผล่หัว พอเจอพี่พัชรีถึงได้รู้ว่าท่านประธานบินด่วนไปอเมริกาด้วยธุระส่วนตัว ด้านคุณวรเมธนั้นไม่ถึงกับถูกลงโทษแต่การต้องเข้าประชุมแทนทั้งวันก็ทำให้เจ้าตัวบ่นอุบ ส่วนเรื่องงานที่ออฟฟิศนั้นราบรื่น ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองไปโดยไม่มีปัญหาขลุกขลักอะไร แล้วหน้าที่ของผมล่ะ...


“ฉันบรรจุนายเป็นพนักงานประจำแล้ว หน้าที่โดยตำแหน่งคือเป็นผู้ช่วยฉันเหมือนกับคุณพัชรี แต่สิ่งที่ฉันจะให้นายทำก็คือ...” คุณวรเมธหยุดมองผมครู่หนึ่ง คงชั่งใจเป็นครั้งสุดท้ายว่าน้ำหน้าอย่างผมจะมีความสามารถแค่ไหน “...กำกับดูแลให้ท่านประธานทำทุกอย่างตามที่ฉันพิจารณาว่าสมควร มีคำถามมั้ย?”


“เอ่อ...” เขานิ่งมากทั้งน้ำเสียงและสีหน้า แต่แววตานี่สิ...ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่ต่อหน้าตัวร้ายในละครชะมัด “คุณเมธจะยึดอำนาจนายเหรอครับ”


เท่านั้นแหละคุณเมธก็ระเบิด ผมว่าเขาคงเก็บกดมานาน กับพี่พัชรีต้องวางตัวให้สมฐานะ พอมาเจอผมเลยออกอาการได้ไม่ต้องกลัวเสียหน้า ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนขรึมอย่างเขาจะมีมุมนี้เหมือนกัน


“ก็มันน่ามั้ยล่ะ นายลองคิดดู เขานึกอยากจะทำอะไรก็ทำ บินไปไม่มีบอกกันสักคำ ซานฟรานนะไม่ใช่แค่เสาชิงช้าจะได้ขับรถวนรอบดูนึงแล้วกลับ โชคดีแค่ไหนที่ช่วงนี้ไม่มีงานสำคัญจริงๆ!”


“แต่ขนาดคุณเมธยังทำอะไรไม่ได้ แล้วผม...”


“อย่าคิดอย่างนั้น ฉันมั่นใจว่านายทำได้” ได้ยินอย่างนี้ผมเกือบจะยิ้มออก ถ้าไม่ใช่ว่า... “และนายต้องทำให้ได้ นี่เป็นคำสั่ง!”


ผมเดินคอตกออกจากห้องคุณวรเมธ ถูกพี่พัชรีกระเซ้าเย้าแหย่พอให้เป็นกระษัยแล้วก็ต้องเข้าประจำที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ใช่แล้วครับ ก็ไอ้ตัวที่ยกกันไปยกกันมาวันนั้นนั่นแหละ ดอกไม้ในแจกันที่พี่พัชวางไว้ยังดูสดชื่นแต่ตัวผมนี่สิ เฉาจะแย่แล้ว


“ท่านครับ งานนี้ผมต้องตายแน่ๆ!” ทำอะไรไม่ได้ผมก็คุยกับคนในรูป ทั้งหายเหงาและได้ระบายความคับข้องใจ “คุณเมธสั่งให้ผมมาคอยคุมคุณภากร แต่ผมกลัวจะทำไม่ได้ ท่านก็คงรู้ใช่มั้ยครับว่าลูกชายท่านเอาแต่ใจ ฟังใครซะที่ไหน แถมกวนประสาทเป็นที่หนึ่ง ผมกลัวว่าอยู่กับเขาจะบ้าตายเข้าสักวัน”


ไหนๆก็อยู่คนเดียว ผมเลยขนแฟ้มที่คุณเมธสั่งเอามานั่งอ่านอยู่ต่อหน้ารูปท่านซะเลย มีอะไรสงสัยก็เอ่ยปากถาม ถึงท่านจะตอบผมไม่ได้แต่ก็เหมือนได้สร้างความคุ้นเคย เผื่อวันไหนท่านนึกใจดีอยากจะอธิบายอะไรให้ฟัง ผมจะได้ไม่ถึงกับวิ่งป่าราบหนีไปซะก่อน ผมอ่านเพลินจนลืมเวลา กระทั่งมีเสียงเคาะประตูเรียกแล้วพี่พัชรีก็โผล่หน้าเข้ามา


“กานต์ ไปกิน...” พอเห็นผมพี่พัชคงลำบากใจอยู่ล่ะว่าจะดุหรือขำดี “...อะไรมันจะขนาดนั้นจ๊ะพ่อคู้น!”


ผมหัวเราะเสียงแห้งๆแล้วรีบลุกขึ้นจากพื้นให้เรียบร้อย นี่ดีนะที่ผมแค่เลื้อยลงไปนอนอ่านเอกสารเฉยๆ ถ้าถึงกับเผลอหลับคงต้องเอาหน้ามุดพรมหนี สรุปคือพี่พัชรีเห็นผมหายเงียบเลยมาชวนให้ไปทานข้าวด้วยกันเพราะพอดีเป็นวันเกิดของพนักงานที่ออฟฟิศชั้นล่างคนหนึ่งเลยจัดปาร์ตี้มื้อกลางวันเล็กๆขึ้นเป็นพิเศษ ผมไม่ได้จะทำตัวแปลกแยกแต่ยังไม่ค่อยคุ้นกับการเป็น ‘คุณกานต์’ สักเท่าไหร่เลยขอตัวและฝากอวยพรวันเกิดพี่คนนั้นแทน แต่ก็ไม่อยากเชื่อว่าคนอย่างผมจะเป็นที่ต้องการมากถึงเพียงนี้ เพราะสุดท้ายผมก็ต้องลงไปพบใครคนหนึ่งที่หน้าโรงแรมอยู่ดี


“อยู่ที่นี่คงสุขสบายล่ะสิ” คำทักทายแรกหลังจากที่พ่อมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมเลยได้แต่ยิ้ม อย่างน้อยก็สบายใจที่ทางพ่อยังดูไม่แย่ไปกว่าเดิมนัก “ได้ทำงานอะไร ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย ผูกไทด์ใส่แสลคยังกับพวกคนออฟฟิศเชียว”


“ก็อยู่ออฟฟิศของโรงแรม ทำพวกเอกสารอะไรไปตามเรื่อง เที่ยงแล้วพ่อกินข้าวยังอ่ะ”


ผมไม่ได้โกรธหรือเจ็บแค้นที่ถูกเอามาขายใช้หนี้ แต่ความห่างเหินระหว่างเราพ่อลูกเริ่มตั้งแต่ที่พ่ออาละวาดหนักถึงขั้นทำร้ายแม่ ถ้าเหล้าทำให้พ่อเปลี่ยนไป ความเจ็บปวดทั้งหลายแหล่ก็คงหยั่งรากลึกเกินกว่าที่ผมจะกลับมาเป็นลูกชายน่ารักขี้อ้อนคนเดิม


“ยังหรอก ยังไม่หิว แล้วเอ็งล่ะ” คิดว่าพ่อเองก็คงกระอักกระอ่วนใจไม่ต่างกัน เราเลยคุยกันแต่พ่อมองดูรถที่วิ่งเข้าออกลานจอดไปตามเรื่อง ส่วนสองตาของผมตกอยู่แค่พื้นตรงหน้าเลยเพิ่งรู้ตัวว่าวันนี้ลืมขัดรองเท้าซะได้


“เจ้านายท่านใจดีหรือเปล่า”


“ก็ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ตามอารมณ์เขา” ผมตอบพลางถอดรองเท้าข้างหนึ่งเอาถุงเท้าถูๆหัวรองเท้าอีกข้าง อดจะคิดถึงรองเท้าหนังสีดำมันปลาบคู่นั้นไม่ได้ ถึงจะมีเบอร์ส่วนตัวของเขาแล้วแต่ผมก็ไม่กล้าและไม่รู้จะโทรไปด้วยเรื่องอะไร พี่พัชรีบอกว่าตั๋วที่จองไว้คือกลับวันนี้ จะมาถึงที่นี่กี่โมงกี่ยามก็ไม่รู้ ถ้าอยู่คนเดียวจะยอมกินข้าวบ้างหรือเปล่า หรือถ้ากำลังกลับ อาหารบนเครื่องจะถูกปากมั้ย หรือว่า...ฮึ! คงอ้อนให้พวกสาวๆแถวนั้นป้อนน่ะสิไม่ว่า


“พวกคนมีกะตังก็งี้แหละ เอาใจยาก แต่ยังไงเอ็งก็ต้องทำตัวดีๆนะ ขยันๆเข้าไว้รู้มั้ย”


ผมเงยหน้าเห็นเพียงด้านข้างแต่รู้ได้ทันทีว่าพ่อผอมลง ความจริงตอนกินเหล้าช่วงแรกๆพ่อดูอ้วนขึ้นหรือที่เขาเรียกกันว่าฉุจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ แต่พอแม่ไม่อยู่ ไม่มีใครคอยดูแล แถมยังใช้เวลาหมดไปในบ่อน พ่อก็เริ่มซูบลง จนตอนนี้ผอมยิ่งกว่ารูปในสมัยหนุ่มๆซะอีก


พอพ่อหันมา ผมยิ่งสะท้อนใจที่ไม่เห็นความสดใสในแววตาของพ่อเลย ทำไมผมจะไม่รู้ว่าพ่อมาด้วยเรื่องอะไร แล้วเหตุผลที่ผมยังทำเฉย... เพื่อให้พ่อรู้สึกละอายใจกับทางเดินชีวิตที่ผิดพลาด เพื่อประจานให้ใครๆได้รู้ในสิ่งที่พ่อกำลังทำ หรืออย่างน้อย เพื่อพ่อจะได้อยู่กับผมนานขึ้นอีกนิด ตกลงแล้วเพราะอะไรกันนะ...?


“มีตังใช้หรือเปล่า” ผมทำเป็นล้วงกระเป๋ากางเกงแต่ความจริงทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงผ้าเช็ดหน้าที่ป้ามาลัยสอนให้ผมหัดพกเอาไว้กับธนบัตรสี่ห้าใบอยู่ในกระเป๋าเสื้อ


พ่อยังไม่ทันตอบก็ถูกขัดจังหวะเมื่อเฮียสยามกับพวกลูกน้องเดินผ่านมาแถวนี้


“กานต์” เฮียเดินตรงเข้ามาหาผม แต่ส่งสัญญาณให้ลูกน้องถอยรอห่างออกไป “อ้อ! นายบัติ พักนี้ไม่ค่อยเจอกันเลยนะ มาหาลูกชายเหรอ”


“โธ่เฮีย ก็สัญญากับท่านไว้แล้ว ฉันไม่กล้าโผล่มาหรอก”


“ดีแล้ว ถึงฉันจะเป็นคนคุมบ่อนแต่ก็ไม่เคยคิดว่าไอ้การพนันนี่มันจะช่วยให้ใครได้ดีเลย เลิกได้ซะก็เป็นบุญกับตัวนายบัติเองนั่นแหละ ขอแต่ว่าอย่าเลิกที่นี่แต่ไปติดที่อื่นก็แล้วกัน”


ผมสะดุดใจแต่ยังไม่กล้าหันไปถามเฮียสยามที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลัง ถ้าแดดไม่หลอกตาผมว่าพ่อหน้าซีดลง ท่าทางโบกมือปฏิเสธนั่นก็ดูลนลานจนผมนึกกลัว


“ไม่ๆ ฉันเลิกแล้ว เลิกเด็ดขาดเลย นี่ก็แค่มาดูไอ้นี่มันว่าอยู่สบายดีหรือเปล่าเฉยๆ”


“เรื่องนั้นนายบัติไม่ต้องห่วง” เฮียสยามก้าวขึ้นมายืนเสมอกันแล้วโอบไหล่เขย่าตัวผมเบาๆ เสียงของเฮียดังจนน่าจะได้ยินกันทั่วทั้งลานจอดรถ “ฉันรับรองได้ว่ากานต์อยู่ที่นี่สุขสบายดีทุกย่าง ใครๆก็รัก เอ็นดูมันเหมือนลูกเหมือนหลาน”


“จ๊ะๆ ได้ยินอย่างนี้ฉันก็วางใจ” พ่อพยักหน้ารับคำหลายที ทำท่าบีบเนื้อบีบตัวท่าทางอ่อนน้อมกับเฮียแล้วจึงค่อยหันมาบอกลาผมไม่เต็มเสียงนัก “งั้น...พ่อไปก่อนนะ”


“เดี๋ยวพ่อ! ที่จริงทำงานไม่ได้เงินเดือนหรอก แต่ก็มีพวกเงินพิเศษติดกระเป๋าบ้างนิดหน่อย พ่อเอาไว้ใช้แล้วกัน” เงินที่ติดตัวมาทั้งหมดผมให้พ่อไปไม่เว้นแม้แต่แบงค์ยี่สิบ ทีแรกพ่อจะไม่เอาเพราะเกรงสายตาเฮียสยามที่มองอยู่ ผมเลยเอายัดใส่กระเป๋าเสื้อให้ด้วยมือของตัวเอง แถมท้ายด้วยคำพูดที่แม้พ่อจะไม่สนใจแต่ผมก็รู้สึกว่าสมควรบอกออกไป “แต่เรื่องเหล้าเพลาๆบ้างก็ดีนะ...กานต์เป็นห่วง”


“เออ ขอบใจ เอ็งก็ดูแลตัวเองดีๆ บอกพี่เอ็งด้วยว่าให้ตั้งใจเรียน พ่อไปล่ะ”


ไม่รู้พ่อคิดอะไรอยู่แต่มือใหญ่หยาบกร้านที่ทำท่าจะยกขึ้นถึงหัวกลับชะงักและลดต่ำลงมาตบไหล่ผมเบาๆแล้วหันหลังเดินจากไป ส่วนผมยืนอาบแดดเที่ยงวันดูพ่อจนลับตาก็ค่อยรู้สึกว่ามีเงาสูงใหญ่มาเทียบข้าง


“ที่เฮียบอกว่าพ่อจะไป...” ยังไม่ทันรู้เรื่องผมก็ถูกเฮียสยามจูงเข้ามาที่ร่มแล้วแย่งพูดเสียเอง


“เชื่อเรื่องบุญกรรมมั้ย ถ้าอะไรที่เราห้ามหรือควบคุมไม่ได้ก็คิดว่าเป็นบุญกรรมของใครของมันซะเถอะจะได้ไม่ต้องมานั่งทุกข์ใจ พ่อเอ็งไม่ใช่เด็กๆแล้ว ถ้าเป็นไม้ก็แก่เกินจะดัด เขาคิดเองไม่ได้ แถมไม่ฟังใคร เอ็งพูดไปเท่าไหร่ก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่เกิดประโยชน์อะไรหรอก”


“แต่ผมกลัวนี่เฮีย ถ้าเกิดพ่อไปติดหนี้ที่บ่อนไหนอีกจะทำยังไง”


“ทำใจสิวะ”   


“ไอ้ทำใจน่ะมันต้องทำอยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดพ่อคิดจะเอาผมไปขายใช้หนี้ที่อื่นอีกล่ะ ผมไม่ต้องหั่นครึ่งตัวเองหรือไง”


“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เพราะเฮียคนหนึ่งล่ะที่จะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นเด็ดขาด วันหลังเขามาหาให้บอกเฮีย ถ้าดูท่าไม่ดีอย่าลงมาคนเดียวอีก เข้าใจมั้ย” เฮียสยามเข้มขึ้นทั้งน้ำเสียงและหน้าตา ทำอย่างกับว่าผมจะถูกพ่อลากตัวออกไปเสียเดียวนี้ ผมอ้าปากยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกดุสวนกลับมาอีก “อย่านึกว่าตัวคนเดียวจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ช่าง จำไว้ว่าคนที่นี่เขารักและเป็นห่วงเอ็งทุกคน และที่สำคัญ นายไม่เคยซื้อใครก็จริง แต่ใครที่ได้เป็นคนของนายแล้วจะต้องได้รับความคุ้มครองอย่างดีที่สุด ยิ่งโดยเฉพาะคนพิเศษ คำสั่งเดียวที่พวกเฮียได้รับคือ... ‘ใครก็ห้ามแตะต้อง’”


จู่ๆก็เหมือนได้เห็นรอยยิ้มที่ทำให้ขนลุกซู่โดยไม่มีสาเหตุ ในแวบหนึ่งของความรู้สึกสำนึกได้ว่าอำนาจบาทใหญ่ของใครคนนั้นคือเกราะคุ้มภัยที่คอยปกป้องดูแลนับตั้งแต่ที่ผมย่างกรายเข้ามาที่นี่ ถ้าไม่ใช่เพราะเขายอมรับผมไว้ พ่ออาจจะหาทางทำเงินจากผมในรูปแบบอื่น เขาชอบแกล้ง ชอบกวนประสาทแต่นั่นก็ทำให้ผมได้กลับมาเป็นคนที่มีอารมณ์ความรู้สึก รู้จักยิ้ม หัวเราะ รู้จักโกรธแทบอยากจะฆ่าคนได้ ไม่ใช่แค่คนที่ก้มหน้าก้มตาทำงานและมีแต่ความเศร้าฉาบอยู่บนใบหน้า


ผมมองเฮียสยามอีกครั้งด้วยความรู้สึกเต็มตื้นจนกลัวว่าจะมีอาการขี้แยให้แกเห็น


“ไม่เป็นไร เฮียเข้าใจว่าเอ็งรู้สึกยังไง แต่คนที่เอ็งควรขอบคุณไม่ใช่เฮีย รู้ใช่มั้ยว่าใคร”


ผมพูดอะไรไม่ออกเลยได้แต่พยักหน้าตอบ เฮียสยามขยี้หัวผมแรงๆแล้วแยกไปหาลูกน้องที่รออยู่ ผมไม่รู้ว่าพี่ๆพวกนั้นรู้อะไรมาบ้างหรือจะได้ยินที่ผมกับเฮียคุยกันหรือเปล่า แต่ทุกคนหันมาโบกมือทักและมีรอยยิ้มให้ผมกันทุกคน ผมก็เลยมีรอยยิ้มติดใบหน้าจนกลับขึ้นมาถึงห้องทำงานที่...


“หายไปไหนมา!” ทันที่ที่เปิดประตูเข้าไป ผมทั้งแปลกใจที่เจอ ทั้งตกใจที่โดนตวาดจนรอยยิ้มผมกระเด็นหายไปหลายส่วน แต่ขืนไปทำหน้าบึ้งใส่ก็คงโดนเจ้าของห้องหาความไม่สิ้นสุด “งานของนายอยู่ที่ออฟฟิศข้างบนนี่ มีธุระอะไรจะต้องลงไปข้างล่าง!”


พอผมไม่ตอบโต้ เอาแต่ยิ้มสู้ลูกเดียว คนขี้โมโหก็เลยสงบลงบ้าง ร่างสูงใหญ่กระแทกตัวนั่งจนผมนึกสงสารเก้าอี้เลยต้องรีบออกไปหากาแฟและของว่างมาเอาใจ ทุกอย่างหายวับในพริบตาแต่ก็คุ้มที่ทำให้เขาหายอารมณ์เสียได้ เสียงแก้วกาแฟกระทบจานรองดังกริ๊กเป็นสัญญาณเริ่มงาน ผมจึงเงยหน้าจากตารางนัดแต่ถูกอีกฝ่ายชิงตัดหน้าเสียก่อน...


“เรามีเรื่องต้องคุยกัน!” คุณภากรบอกเสียงเข้มจนผมชักอ่อนใจ นี่ตกลงกาแฟกับขนมที่ผมขนมาให้ใช้เลี้ยงตัวโมโหในกระเพาะเขาหรือไงกัน


“ผมก็มีเรื่องจะเรียนปรึกษานายเหมือนกันครับ”


“มีอะไรล่ะ นายว่ามาก่อนสิ” เขาคงเห็นว่าผมตั้งใจทำงานเลยยอมอ่อนข้อให้ แต่พอผมร่ายรายการนัดหมายยาวเหยียดที่คุณวรเมธจัดไว้ เขาก็ทำหน้ายุ่ง ส่งเสียงงอแงทันที “เยอะไปมั้ย?!”


“แต่คุณเมธยืนยันว่าต้องทั้งหมดนี่ ห้ามขาดไปแม้แต่งานเดียวครับ”


“พวกที่เป็นงานเลี้ยงตัดๆไปบ้างก็ได้ ฉันขี้เกียจไปยืนเก็กหน้าถ่ายรูป” คนตัวโตชะโงกมามองไอแพดในมือผม แล้วก็จิ้มจึ้กๆอย่างไม่กลัวว่าของแพงจะเป็นรอย “อย่างงานนี้เจ้าภาพเป็นใครก็ไม่รู้ จะให้ฉันไปทำไม”


“งานนี้ต้องไปครับ เพราะคุณเมธมาร์คว่าเป็นงานฉลองมงคลสมรสของลูกสาวเพื่อนสนิทคุณภัทราพร...” ผมสะดุดกับชื่อไม่คุ้นหูแต่ถ้าคุณเมธถึงขนาดใส่มาในรายละเอียดการนัดหมายแสดงว่าเป็นคนสำคัญ


“แม่ฉันเอง”


“อ๋อ ครับ” ที่จริงผมรู้มาก่อนว่าคุณภากรมีแม่และน้องสาวแต่ก็ไม่เคยอยากรู้อะไรมากกว่านั้น มาตอนนี้ยิ่งไม่อยากรู้เข้าไปใหญ่ ลูกชายยังขนาดนี้ ไม่อยากจินตนาการเลยว่าคนเป็นแม่จะขนาดไหน “พูดง่ายๆก็คือฝ่ายหญิงเป็นลูกสาวเพื่อนสนิทคุณแม่ของนายใหญ่ ส่วนเจ้าบ่าวเป็นลูกชายคนเล็กของรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ แถมจัดที่โรงแรมเราด้วย งานนี้ถ้าไม่ไป เอ่อ...”


“ไม่ไปแล้วจะทำไม”


“คุณเมธฝากให้เรียนว่าถ้าไม่ไป...นายตายแน่ครับ” ผมบอกต่อทุกคำที่คุณเมธสั่งมา ทีแรกก็กลัวจะเป็นภัยกับตัวเองแต่ได้เห็นปฏิกิริยาคนตรงหน้าแล้ว...สะใจดีพิลึก!


“โว้ย อะไรนักหนาวะ นี่ตกลงฉันเป็นนายใหญ่หรือเป็นขี้ข้าเลขาตัวเองกันแน่ เห็นมีแต่สั่งๆๆให้ทำโน่น ทำนี่ไม่ได้หยุดเลย”


ผมมัวแต่สะใจจนเกือบลืมหน้าที่ตัวเอง คุณเมธกำชับนักหนาว่าผมต้องคอยควบคุมดูแลไม่ให้ท่านประธานเกงาน อืมมม งั้นเริ่มจากไม้อ่อนก่อนละกัน...


“แต่ผมว่าไหนๆเขาก็เลือกจัดที่โรงแรมเราด้วย ไปร่วมงานสักนิดก็ถือเป็นการแสดงความขอบคุณลูกค้านะครับ” ผมเลือกใช้เสียงอ่อนๆ ให้ฟังเป็นเชิงความคิดเห็นไม่ใช่คำสั่ง แล้วใช้ตาโตๆของผมโน้มน้าว อ้อ! ไม่ลืมอมยิ้มนิดๆด้วย เฮ่อ...ไม่เคยต้องแอคท์ท่าอะไรมากขนาดนี้มาก่อนเลย


“ได้ งั้นเราไปด้วยกัน” งานเข้า! แล้วพอผมอ้าปากยังไม่ทันอะไรสักแอะก็โดนสวนจนเถียงไม่ออก “นายเป็นเลขาส่วนตัวของฉัน ฉันไปไหนนายก็ต้องไปด้วยไม่ถูกเหรอไง”


บอกตามตรงว่าผมยังใช้ไม้แข็งไม่เป็น การเจรจาต่อรองเลยต้องจบลงที่เงื่อนไขนี้ จากนั้นก็มีอีกสองสามงานที่เขายืนยันจะหนีบผมไปด้วย ส่วนงานอื่นยอมรับปากโดยดีเกือบทั้งหมด มีบางงานเท่านั้นที่เขาบอกคำเดียวว่า ‘ไม่’ ซึ่งล้วนแต่เป็นรายการที่คุณเมธเองก็บอกว่าไม่จำเป็นเท่าไหร่ ถ้าคุณภากรจะเกเรบ้างให้ปล่อยไป นับว่าเจ้านายกับเลขาคู่นี้รู้ทันกันดีเหลือเกิน


“แล้วที่เมื่อกี้นายบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับผม...?” ผมย้อนถามเมื่อจัดการงานเรียบร้อย


“วันนั้นทำไมกล้าตัดสายฉัน?!” เขาถามเสียงดังจนผมตกใจ แต่เขาคงไม่ได้ตั้งใจเหมือนกันเลยพยายามพูดกับผมใหม่ดีๆ “ช่างเถอะ ก็ไม่ได้จะเอาเรื่องอะไรหรอก แค่อยากรู้ว่าไปทำอะไรกันบ้าง ไหนเล่าให้ฟังหน่อยสิ”


ผมเห็นเขาทำท่าอยากฟังจริงๆก็เลยเล่าอย่างละเอียดตั้งแต่ตอนขึ้นรถ ในร้านไอศกรีม ร้านเนื้อย่างไปจนถึงโรงหนัง แถมยังนินทาคุณเมธที่เขินจนเดินสะดุดตอนถูกสาวๆกลุ่มหนึ่งแอบมอง ส่วนเรื่องน่าอายอย่างที่ผมไม่กล้าดูหนังผีนั่นเก็บไว้เป็นความลับสุดยอด


“ท่าทางน่าสนุก งั้นวันหลังเราไปกันบ้าง”


“ได้ครับ แต่ผมต้องขอปรึกษาคุณเมธก่อนว่านายพอจะว่างหนีเที่ยวได้ตอนไหนบ้าง”


“เห๊อะ ขืนถามก็อด!”


คนตัวโตส่งเสียงงอแงเหมือนเด็กถูกขัดใจผมเลยขอตัวกลับไปทำงานต่อ แต่เด็กล่ะนะ บทจะหาเรื่องสนด้วยเหรอว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร


“เออนี่ ทำไมถึงเรียกฉันว่านาย”


“ก็...” ไม่นึกว่าเขาจะถามเลยต้องหยุดคิดก่อน เพราะขืนตอบอะไรผิดหูเรื่องยาวแน่ “ถ้าไม่พอใจผมเรียก ‘ท่าน’ ก็ได้ครับ”


“ท่านก็ไม่เอา ขอแบบที่ไม่เหมือนคนอื่นไม่ได้เหรอ”


“แล้วแบบไหนล่ะครับที่ไม่เหมือนคนอื่น”


“นั่นคือสิ่งที่นายต้องคิดเอาเอง ถ้าทำไม่ได้จะถือว่าบกพร่องต่อหน้าที่ แค่งานชิ้นแรกที่ฉันสั่งก็ไม่มีปัญญาทำให้สำเร็จ”


เอาแล้วไง เป็นเจ้าของโรงแรมดีๆไม่ชอบ ดันคว้าหนังหมาป่าเจ้าเล่ห์มาสวม ไม่รู้เสียแล้ว ลูกแกะอย่างผมบางทีก็สู้เหมือนกันนะจะบอกให้


“แล้วทีนายก็ยังเรียกผมว่านาย คุณเมธก็เรียกผมแบบนี้ไม่เห็นต้องให้ทำให้ไม่เหมือนใครเลย แทนที่จะมานั่งคิดเรื่องไร้สาระเอาเวลาไปทำงานไม่ดีกว่าเหรอครับ”


ผมบอกเสียงเรียบๆ เก็กหน้านิ่งๆ หวังให้คนฟังได้สติ แต่ถามว่าได้ผลมั้ย...


“นั่นสินะ งั้นฉันเปลี่ยนดีกว่า เอาเป็น... เธอ ไม่ดีๆ เดี๋ยวใครจะคิดว่าฉันได้เลขาผู้หญิง” เวลาที่เจ้าของโรงแรมเอาเวลางานไปคิดเรื่องไร้สาระนี่ เขียนรายงานส่งใครได้บ้างนะ? “อืมมมม กานต์ เออแฮะ ชื่อออกจะเพราะขนาดนี้ ฉันเรียกชื่อนายตรงๆเลยดีกว่า”


“ตามใจนายเถอะครับ!”


ผมบอกแล้วลุกกลับไปทำงานต่อที่โต๊ะตัวเอง ห้องกว้างเงียบไปยังไม่ถึงครึ่งนาทีเลยมั้ง...


“กานต์” ผมขานรับแล้วหันไปตามเสียงเรียก แต่...ฟังเอาเองเถอะ! “อ๋อ เปล่า ลองเรียกดูเฉยๆน่ะ”


ผมได้แต่ปัดหน้าเอกสารแรงๆระบายอารมณ์แล้วพยายามจะตั้งสมาธิอ่านรายงานการประชุมฉบับเก่าๆ อันนี้เป็นครั้งที่มีการเรียกประชุมด่วนเรื่องการรับมือกับอุทกภัยครั้งใหญ่...


“กานต์ กานต์” เชื่อมั้ยว่าน้ำท่วมยังไม่น่ากลัวเท่าคนบางคน! “คล่องปากดี ชื่อสั้นๆ พยางค์เดียว เรียกง่ายดีเนอะ”


โชคดีที่โรงแรมไม่ได้ตั้งอยู่ในเขตประสบภัย เลยได้อานิสงค์ยอดเข้าพักถล่มทลาย แต่เจ้าของทำตัวแบบนี้ผมอยากแช่งให้เจ๊งไปซะเลย...


“กานต์ กานนนนนนนต์” คราวนี้ผมทำใจแข็ง ไม่สนใจ คนว่างงานเลยลุกมาส่งเสียงหนวกหูถึงโต๊ะ “ว้า! ยังเด็กยังเล็ก หูตึงเรียกไม่ได้ยินซะและ”


“นายครับ! ถ้ายังไม่หยุดกวนประสาท...”


“ทำไม อย่างกานต์จะกล้าทำอะไรฉัน?”


ผมหลับตาแล้วพยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจ แต่ช่างแม่งมันเถอะ! แค่สามผมก็รู้ตัวแล้วว่าทำไม่ได้...


“คุณภากร!”


“หืม? มีอะไรครับคุณกานต์?”


“ผมโกรธจริงๆแล้วนะ!!”


ผมลุกขึ้นเผชิญหน้า แต่ใครมันจะไปตัวใหญ่เป็นยักษ์ได้อย่างนั้น เขาเข้ามาก้าวเดียวก็แทบจะทับผมแบนติดโต๊ะทำงานแล้ว


“ก็โกรธไปสิ ฉันอนุญาติ”


“คุณภากร!!!” ผมตัวเล็กกว่านี่เลยต้องเอาเสียงเข้าข่มไว้ก่อน


“อืม ก็ดีนะ ที่โรงแรมนี้ยังไม่มีใครกล้าเรียกชื่อฉันตรงๆเลย งั้นก็โอเค กานต์เรียกฉันแบบนี้แล้วกัน จะภากรหรือกรเฉยๆก็ได้ ฉันไม่ถือ”


“ผมไม่เรียก!”


ผมตะโกนตอบแต่เขาก็ยังชะโงกหน้าลงมาจะชิดปากผมอยู่แล้ว หมาป่ายักษ์ตัวนี้ต้องหูตึงแน่ๆ!


“กล้าดื้อกับฉัน อยากถูกลงโทษเหรอไง” หรือว่ากาแฟกับขนมก่อนหน้าจะไม่พอยาไส้ เจ้าหมาป่ายักษ์เลยทำจมูกฟุดฟิด คงจะไม่ตาลายเห็นผมเป็นชิ้นเนื้อหอมยั่วน้ำลายหรอกนะ


“กานต์ กานนนนนนนต์ ...”


ลมอุ่นจากริมฝีปากไล่มาตั้งแต่ข้างหู เสียงเรียกยาวๆนั่นตอนที่แช่อยู่ข้างแก้ม ก่อนจะเลื่อนไปตามลำคอจากซ้ายอ้อมไปขวา จากล่างขึ้นบนแล้วลงไปข้างล่าง ที่ไล่มาทั้งหมดหมายถึงผิวเนื้อผมยังไม่ได้ถูกสัมผัสแม้แต่ตารางนิ้วเดียวเลยจริงๆ


“ยะ..อย่า..คุณ...”


“คุณอะไร เรียกให้ชัดๆสิกานต์”


เขากระซิบบอกจนชิดแล้วใบหูของผมก็ถูกทำร้ายเป็นอย่างแรก เขาขบเม้มเบาแสนเบาจนผมรู้สึกเหมือนตัวลอยขึ้นจากพื้นไปหาเขาเสียเอง


“คุณ...กร ไม่...ไม่นะครับ ปล่อยผม”


“ให้ปล่อยใครน๊า ได้ยินไม่ชัดเลย”


“ปะ..ปล่อย..กานต์” ผมพยายามดันเขาออกแต่ท่อนแขนใหญ่โตกลับรัดแน่นแล้วยกผมขึ้นไปนั่งบนขอบโต๊ะ พอขาไม่แตะพื้นผมเลยหมดทางจะดิ้นหนี ทีนี้เขาก็เลยลงโทษเอาตามใจ จูบอุ่นๆไล่ลงมาตั้งแต่ขมับจนทั่วไปทั้งหน้าแต่จงใจปล่อยริมฝีปากไว้จะได้ได้ยินผมส่งเสียงร้องทั้งที่ขัดขืนอะไรไม่ได้ สุดท้ายผมก็ต้องยอมแพ้ให้กับหมาป่าเจ้าเล่ห์แถมโรคจิตเป็นพวกซาดิสม์ตัวนี้


“อื๊อออ ปล่อยกานต์นะ...นะครับคุณกร”


“ปล่อยก็ได้ แต่ต่อไปถ้ากานต์ดื้อ จะมาหาว่าคุณกรใจร้ายไม่ได้นะรู้มั้ย”


ผมหลับตาปี๋เพราะไม่อยากเห็นหน้าคนเจ้าเล่ห์ให้รู้สึกอายตัวเอง แต่เดาได้เลยว่าเขากำลังยิ้มกว้างสะใจที่ได้แกล้ง รอยยิ้มนั้นคงลอยใกล้เข้ามา ผมเกร็งตัวแน่นจนสั่นแล้วจู่ๆก็มีเสียงจ๊วบดังจนผมตกใจ พอลืมตาเท่านั้นมันก็... รู้สึกอุ่นที่ริมฝีปากเหลือเกิน




จบตอนแล้วจ้า


 :bye2:




ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เชียร์ใครดี

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
แหน่ๆคุณภากร ตอดเล็กตอดน้อยตลอดเลย
ป.ล.คุณคนแต่งฮะ เราขอโทษเราอ่านไม่ทั่วเอง55555


ออฟไลน์ panitanun

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
กรีดร้องงงงงง
ชอบมากอะงืออออออ
 :ling1:

ออฟไลน์ askmes

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
อ่านไปตัวบิดไป.. เขิลลลแทน

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
ฟินแรงงงงงงงงงงงงงงงงง
คุณกรนี่แอบแซ่บน้องกานต์ใช่ไหมเนี่ย ฮ่าๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
น่ารัก คุณภากรนี่รุกกานต์เร็วมากแบบน่ารักด้วย
หวังว่าพ่อของกานต์คงไม่ไปเล่นการพนันอีกนะ

+1 เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ
 :L2: :กอด1:

ออฟไลน์ =นีรนาคา=

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2546
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +296/-6
โอ่ยย คุณกร เจ้าเล่หสุดๆ

ออฟไลน์ MmBb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 180
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เนื้อเรื่องน่ารักดีมากๆค่ะทุกครั้งที่คุณกรกับน้องกานต์อยู่ด้วยกันมันน่ารักดี อยากให้มาต่อบ่อยๆเลยค่ะอ่านแล้วรู้สึกดีมาก คำผิดก็ไม่มีเลย ช่วยแต่งต่อให้จบด้วยนะคะ

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1





8 .




เช้านี้แสงแดดไม่ร้อน สายลมเย็นๆ มีเสียงนกร้อง ช่างเป็นอากาศแสนสบายเหมาะกับการตักโจ๊กอุ่นๆใส่ปาก แต่สมองเจ้ากรรมเกิดไฮเปอร์เกินเหตุ มีอะไรตั้งร้อยกับแปดอย่างให้คิดแต่ยังดันเผลอไปนึกถึงตอนที่...!


“จับปากทำไมน่ะกานต์ ไม่สบายเหรอ นี่สงสัยจะนอนดึกเลยเป็นแผลร้อนในล่ะสิ”


เป็นอีกวันที่ผมได้มีโอกาสมานั่งกินข้าวเช้าเคล้าบรรยากาศธรรมชาติอันสดชื่น แม้ว่าเจ้าของโต๊ะอาหารตัวจริงจะไม่อยู่แต่ป้ามาลัยก็ยังลากผมมาที่นี่และนั่งลงเป็นเพื่อน ตรงหน้าป้ามีชาขิงร้อนๆ ส่วนของผมเป็นโจ๊กใส่อะไรสักอย่างที่รับรองได้ว่าต้องอร่อยแน่ แต่ตัวผมเองที่มีปัญหา ตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่จิตใจมัน...จะบ้าตาย! ไม่ว่าจะทำอะไรก็พลันนึกไปถึง...!


อ๊ากกก! เอาความสงบสุขของชีวิตคืนมาเลยนะไอ้หมาป่าเจ้าเล่ห์กวนประสาทโรคจิตซาดิสม์เอ๊ย!!


“เปล่าครับป้า กานต์...สบายดี” ฮืออออ ถึงเป็นป้ามาลัยก็ใช่ว่าผมจะเล่าได้ทุกเรื่อง


“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว งั้นก็รีบกินซะ เดี๋ยวโจ๊กเย็นแล้วจะไม่อร่อย” 


ผมยิ้มให้ป้ามาลัยแล้วจัดการกับโจ๊กที่ตักคาช้อนไว้ เนื้อข้าวนิ่มๆผ่านการเคี่ยวกรำกับน้ำซุปเลิศรสแทรกความกรุบกรอบบอกถึงความสดราวกับกุ้งตัวนี้ยังมีชีวิตจึงได้ขยับเหมือนกับจะดิ้นได้อยู่ในปาก!


“กานต์! เป็นอะไร?!” ป้ามาลัยเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ด้วยความตกใจเพราะเสียงช้อนตกกระทบขอบชาม เนื้อกระเบื้องเคลือบนี่ช่างให้เสียงดังกังวานดีจริง “ป้าว่าไม่สบายแน่ๆ จู่ๆก็หน้าแดงเชียวลูก!”


ป้ามาลัยรีบย้ายที่นั่งมาใกล้เพื่อตรวจอาการ ผมไม่รู้หรอกว่าที่หน้าตัวเองจะเป็นอย่างไร แต่มันรู้สึกร้อนวูบๆ ลมหายใจติดขัด แถมหัวใจก็กระตุกตุบๆจนกลัวว่าป้าจะได้ยินไปด้วย


“เปล่าครับเปล่า กานต์ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ แต่กานต์...” ผมรีบหลับตาเพราะป้ากำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้  “...อิ่มแล้ว”


“แน่นะ?” แววตาสงสัยทำให้ผมยิ่งประหม่าเพราะป้าคงรู้ว่ามันไม่จริง ผมจะอิ่มได้ยังไงในเมื่อยังไม่มีอะไรเข้าปากไปได้เลยสักคำ พอเห็นผมทำท่ากลืนอะไรไม่ลง ป้าจึงยอมเลื่อนชามโจ๊กออกไปแล้วหยิบแก้วน้ำส้มมาใกล้ๆแทน “เอาล่ะ อิ่มก็อิ่ม งั้นก็ดื่มน้ำส้มเสียหน่อยจะได้สดชื่นขึ้นนะ”


“กานต์ขอโทษนะครับที่กินข้าวไม่หมดชาม” ไหนๆก็อยู่ใกล้กันขนาดนี้ผมเลยเอนตัวลงซบไหล่แล้วกอดตัวป้ามาลัยแน่น ผมชอบทำแบบนี้เวลาแม่กับพี่กัญกำลังจะโกรธ ผลก็คือทั้งคู่ไม่เคยโกรธผมได้จริงๆเลยสักที


“ไม่เป็นไรจ๊ะ นี่ดีนะที่นายโทรมาบอกก่อนว่าวันนี้จะไม่มาทานมื้อเช้า ไม่อย่างนั้นของเหลือเต็มโต๊ะคงเสียดายแย่”


ได้ยินแค่นั้นหัวใจผมก็กระตุกแรงจนต้องรีบคลายวงแขนออก ไม่อย่างนั้นป้าต้องรู้สึกและจับผมไปให้หมอตรวจ


“แล้วคุณ...เอ่อ...นายบอกหรือเปล่าครับว่าทำไมถึงไม่มา”


“ไม่ได้บอกจ๊ะ แต่เมื่อวานนายกลับบ้าน วันนี้อาจจะอยู่ทานมื้อเช้ากับคุณภัทเลยเข้าโรงแรมสายหน่อยล่ะมั้ง”


“คุณภัท... คุณภัทราพร คุณแม่ของนาย?” ป้ายิ้มตอบแสดงว่าความจำของผมยังใช้ได้ “ป้าคงเคยเจอ ท่านเป็นคนยังไง ดูใจดีเหมือนท่านที่ในรูปมั้ยครับ”


“ถ้าจะพูดถึงคุณภัทก็ต้องเล่าก่อนว่าสมัยโน้นที่นี่มีแต่บ่อนกับโรงนวดของเจ้าสัวภาคย์ เจ้าสัวมีลูกสาวคนเดียวคือคุณภัทราพร พอคุณกฤตแต่งเข้ามาถึงได้ขยายที่ทางสร้างโรงแรม เปลี่ยนจากอาบอบนวดเป็นคลับ จากบ่อนเป็นคาสิโน ท่านทำงานหนักจนที่นี่เจริญก้าวหน้า ใครๆก็ยอมรับนับหน้าถือตา ส่วนคุณภัทเธอไม่ค่อยเอาเรื่องธุรกิจ ชอบแต่รักสวยรักงาม เป็นสาวสังคมจ๋า สมัยนั้นนะข่าวของเธอลงหนังสือพิมพ์ได้ไม่เว้นแต่ละวันเชียวล่ะ”


“ว้าว! เหมือนอย่างที่เขาเรียกกันว่าไฮโซใช่มั้ยครับ”


“ใช่จ๊ะ คุณภัทนี่ล่ะไฮโซของแท้ เพราะเธอทั้งสวย รวย เข้าสังคมเก่ง ขนาดลูกสองคนแล้วยังมีแต่คนชมไม่ขาดปาก เพิ่งจะมาช่วงหลังจากคุณกฤตเสียที่เธอเงียบๆไป”


“อีกไม่กี่วันนี้จะมีงานแต่งลูกชายรัฐมนตรีที่โรงแรมเรา นายบอกให้กานต์ไปด้วย อาจจะได้เจอ ไม่รู้ว่าท่านจะดุหรือเปล่า ชักกลัวๆแล้วสิเนี่ย”


ภาพของผู้หญิงวัยกลางคนแต่งหน้าหนา เซ็ตผมโป่งๆ ใส่ชุดผ้าไหม คาดเข็มขัดใส่สร้อยติดตุ้มหูเพชรระยิบระยับผุดขึ้นในหัวผมอย่างช่วยไม่ได้ แต่จากที่ป้ามาลัยเล่าและภาพลักษณ์คุณภากรที่ดูโก้ไม่หยอก คุณภัทราพรก็ไม่น่าจะถึงกับเป็นตู้เพชรเคลื่อนที่ อาจจะเป็นสุภาพสตรีวัยกลางคนที่ค่อนข้างถือเนื้อถือตัว ดูน่าเกรงขามอย่างอิมเมจหม่อมป้าในละครก็เป็นได้


“อะไร้! กานต์ของป้าออกจะน่ารักขนาดนี้ คุณภัทเห็นจะเอ็นดูสิไม่ว่า กานต์ก็ทำตัวให้เรียบร้อยอย่างที่เป็นอยู่นี่ก็พอแล้ว ป้าว่าเธอแค่เป็นคนตาดุ เวลานิ่งๆเลยอาจจะดูหยิ่งๆหน่อย แต่ความจริงเป็นเจ้านายที่ใจดีคนหนึ่งเชียวล่ะ”


ป้ามาลัยลูบหัวให้กำลังใจผมเลยรู้สึกโล่งอกขึ้นมานิดหน่อย เสร็จจากมื้อเช้าที่แทบไม่ได้แตะอะไรเลยผมก็ไปเดินตามเป็นเพื่อนป้าตรวจงานอยู่สักพักจึงค่อยขึ้นมาที่ออฟฟิศ พี่พัชรีมาถึงได้ครู่ใหญ่แล้วพร้อม... อืมมม... ท่าทางจะเป็นผู้ชายแต่พอเห็นผมก็ร้องวี้ดว้าย เข้ามากอดมาหอมอยู่หลายที ธุระของเขาคือการวัดตัวผมเพื่อไปจัดสูทสำหรับงานแต่งงานที่ผมต้องไปกับคุณภากร กว่าจะเสร็จและส่งแขกเรียบร้อยผมแทบกลายเป็นหนังไก่ไปทั้งตัว ความจริงสมัยเรียนผมก็เคยมีเพื่อนที่เป็นอย่างเขาแต่เจ้าพวกนั้นมันไม่ออกลายถึงขนาดนี้เท่านั้นเอง


“เป็นไงจ๊ะพ่อหนุ่มเจ้าเสน่ห์ เจอลีลาเพื่อนพี่เข้าไปถึงกับหน้าซีดเชียว”


“ก็ไม่ค่อยชินน่ะครับ” ร่างสูงในชุดสูทเข้ารูปมากๆหมุนตัวกลับมากรีดมือโบกลาแล้วค่อยหายเข้าลิฟต์ไป  “พี่พัชกับพี่พอลเป็นเพื่อนกันเหรอครับ”


“จ๊ะ ตั้งแต่สมัยอยู่มหาลัยโน่นแหละ เรียนจบยังไม่ทันรับปริญญามันก็บินไปปารีส บอกว่าจะไปเดินทางตามหาความฝัน มารู้ทีหลังว่าหนีที่บ้านไปเรียนแฟชันดีไซน์ พอกลับมาก็เปิดร้านเสื้อของตัวเอง แต่ต้องยอมรับเลยว่ามันเก่งหมดทั้งเสื้อผ้าผู้หญิงผู้ชาย ได้ทุกสไตล์ทั้งทำงาน ใส่เล่นหรือออกงาน รับรองเลยว่างานนี้กานต์เกิดแน่นอน”


ผมยิ้มแหย ไม่รู้จะดีใจกับการคาดการณ์ของพี่พัชดีหรือเปล่า ที่สำคัญยังมีบางเรื่องที่ผมติดใจ...


“เอ่อ...พี่พอลเขา...”


“หืม?” พี่พัชหันมาเลิกคิ้วมองหน้าผมและเหมือนจะเข้าใจโดยที่ผมไม่ต้องพูดอะไรต่อ “อ๋อ หมายถึงที่ดูครึ่งๆกลางๆอย่างนั้นใช่มั้ย ไม่ว่าใครจะมองยังไงพี่ว่ามันไม่สำคัญเท่ากับที่เขาเป็นคนดี มีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน ที่สำคัญคือเป็นเพื่อนที่พี่คบด้วยความสบายใจมากๆคนหนึ่งเลยล่ะ”


พอเห็นพี่พอลแล้วก็ช่วยไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องราวแปลกๆที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับคุณภากร ไม่เคยมีใครที่มีท่าทีกับผมแบบเขามาก่อน และถึงตอนนี้ผมก็ยังแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้มีความเบี่ยงเบนไปจากธรรมชาติที่พ่อแม่ให้มา ผมยังชอบมองผู้หญิง ยังมีความรู้สึกเวลาเห็นสาวเซ็กซี่ หรืออย่างเมื่อกี้ผมแอบกลั้นใจตอนโดนพี่พอลสัมผัส แต่มาคิดดูแล้วยังไงก็ไม่เหมือนอย่างเวลาที่อยู่กับคุณภากร แล้วมันจะหมายความว่าผม...?


“พี่เขาคงมีแฟนแล้ว...” พี่พัชหันไปเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อพร้อมทำงาน ผมเลยลองเอ่ยปากค่อยๆ “แล้วแฟนเขา...?”


เท่านั้นเองพี่พัชรีก็หันขวับมามองผมเหมือนเห็นตัวประหลาดก่อนจะหลุดขำ


“ก็ต้องผู้ชายสิจ๊ะถามได้! เรื่องแบบนี้คุยกันกานต์ไม่ต้องเขินหรอก สมัยนี้มันธรรมดาจะตาย แล้วพี่ก็ไม่ได้อยากจะนินทาเพื่อนตัวเองหรอกนะ แต่กานต์ต้องเห็นเวลาอยู่ในกลุ่มเพื่อนๆกัน มันจะแปลงร่างจากพอลธรรมดากลายเป็นพอลลาสวยเซี้ยะซะไม่เกรงใจใครเลย ยิ่งเวลาเจอพวกฝรั่งหรือไปเที่ยวเมืองนอกด้วยกันสามารถอัพเกรดเป็นพอลลีนได้อีกต่างหาก ไม่ธรรมดาเลยใช่มั้ยล่ะ”


ผมพอนึกภาพพี่พอลแต่งหญิงได้ไม่ยากเพราะเขาดูให้ทั้งรูปร่างสูงเพรียวและรูปหน้าเรียว มีรอยเครื่องสำอางเพียงบางๆโชว์ผิวพรรณและเครื่องหน้าเดิมที่ดีอยู่แล้ว แต่คิดถึงตัวเองในสภาพแบบนั้นแล้วอดขนลุกไม่ได้ หรือจะให้คุณภากรลองใส่กระโปรง...


ยู้ดดด หยุดเลยไอ้กานต์! แค่คิดก็สยองกว่าหนังผีสามมิติซะอีก!!!


“กานต์” พี่พัชรีเรียกให้สติผมกลับคืนมา เธอจ้องเข้ามาในตาของผมและคงเห็นอะไรบางอย่างที่ผมไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตัวเอง “เรื่องของความรู้สึก หรือความรักน่ะ บาทีเราเองก็ห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้หรอกนะ”


“พี่พัชหมายถึง...”


“เปล่านี่จ๊ะ พี่แค่พูดขึ้นมาเฉยๆ ไม่ได้มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ แต่ไม่ว่ายังไงพี่ก็อยากเห็นกานต์มีความสุขเท่านั้นเอง”


เรื่องบางเรื่องคงเหมือนขี้ผงเข้าตาที่ขอให้คนอื่นช่วยน่าจะง่ายกว่า แต่พี่พัชเอาแต่มองผมยิ้มๆและให้เพียงกำลังใจส่งกลับมา ผมเลยต้องแบกหน้ายุ่งๆไปทำงานต่อ แต่เชื่อมั้ยว่าตัวการที่ทำให้ผมคิดไม่ตกกลับทำหน้ายุ่งกว่าผมซะอีก คุณภากรเข้าออฟฟิศเมื่อเกือบเที่ยง พอมาถึงก็ไม่พูดไม่จา ก้มหน้าอ่านเอกสารแล้วก็เซ็นๆๆ ทำเหมือนผมไม่ได้มีตัวตนอยู่ในห้องด้วยอย่างนั้นแหละ


“นายจะรับกาแฟมั้ยครับ” เป็นประโยคแรกที่ผมหาจังหวะพูดออกไปหลังจากทนอึดอัดอยู่นาน ไม่ได้ผล! “หรือจะเปลี่ยนเป็นชาร้อนๆสักถ้วย มีทั้งชาเขียว ชาจีน ชา..ดำ..เย็น..”


เฮ้ย! อะไรกันฟะ ทุกทีล่ะตอแยผมจัง ทียังงี้ปล่อยให้ผมยืนบ่นเป็นคนบ้า ไม่สนแล้วก็ได้! แต่พอผมหันกลับไปเห็นโต๊ะทำงานตัวเองกลับนึกไปถึงเรื่องที่โดนเขาแกล้ง แล้วก็เหมือนมีแสงสว่างวาบเข้ามาในหัว หวังว่าสิ่งที่ผมคิดออกจะช่วยคลี่คลายสถานการณ์น่าอึดอัดได้ ผมเลยหมุนตัวกลับมายืนมองคนท่าทางงานยุ่ง สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วก็...


“คุณภากรครับ”


อะฮ้า! ปากกาด้ามทองที่กำลังหมุนอยู่ในมือใหญ่เสียจังหวะทันที แค่นี้ก็ถือเป็นชัยชนะของผมแล้ว ผมเรียกซ้ำอีกครั้งแล้วหยุดรอ เกือบครึ่งนาทีเชียวนะกว่าเขาจะยอมเงยหน้าขึ้นมามองผม ทว่า...ในสายตา...ไม่ได้มีผมอยู่ในนั้นเลยสักนิด!


เข็มนาฬิกากระดิกตัวไปเรื่อยๆแต่สมองผมมันไม่ทำงานเสียแล้ว สุดท้ายเขาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก


“มีอะไร”


ผมกระพริบตาแล้วจู่ๆรอบตัวก็กลายเป็นความมืดดำ เสียงพระสวดอภิธรรมดังกระหึ่ม กระนั้นสองหูของผมยังได้ยินชัด...


‘มันไม่ใช่ลูกกู’


เป็นประโยคที่คงไม่มีใครอยากได้ยิน ผมเองก็พยายามปล่อยให้คำพูดนั้นลอยผ่านหูไป และโทษว่าสาเหตุคือขวดเบียร์ที่กลิ้งเค้เก้อยู่ข้างตัวพ่อ แต่ที่ทำยังไงก็ไม่อาจลบไปจากความทรงจำคือดวงตาระเรื่อแดงที่มองผมอย่างไร้ตัวตน เสียงที่เปล่งออกมาไร้ซึ่งความรู้สึกแต่กลับเฉือนใจผมออกเป็นชิ้นๆ


แสงสว่างวูบเข้ามากลายเป็นอีกฉากตอนที่ผมมีผู้หญิงสองคนขนาบข้าง เราทั้งสามกำลังอาบไอร้อนอยู่หน้าเชิงตะกอนเพื่อลาแม่กานดาเป็นครั้งสุดท้าย สัปเหร่อส่งสัญญาณให้พวกเราถอยแล้วจึงปิดประตูบานเล็กกั้นเปลวเพลิงไว้ภายใน เมื่อหันกลับมาผมเห็นพ่อยืนนิ่งกลางลานซีเมนต์กว้าง กำลังแหงนคอมองควันสีเทาที่ปลายปล่องสูง ดวงตาคู่นั้นดูเหงา หวนหาคนที่จากไป แต่เมื่อพ่อก้มหน้ากลับลงมาและรู้ได้ว่าผมอยู่ตรงนั้น พ่อก็หันหลังเดินจากไปโดยไม่เสียเวลามองผมแม้สักวินาทีเดียว


ผมกระพริบตาแล้วรอบตัวก็สว่างวาบพาผมกลับมายังห้องทำงานที่มีโต๊ะไม้ตัวใหญ่คั่นกลางระหว่างผมกับคุณภากร


“เป็นอะไร?!” เหมือนเขาจะถามมาแล้วหลายครั้งแต่ไม่ได้คำตอบ ร่องกลางระหว่างคิ้วจึงลึกขึ้นจนเห็นได้ชัด


“ขอโทษครับ” เสียงผม?... เหมือนที่ทั้งมือและขากำลังสั่นแทบทรงตัวยืนไม่อยู่ หัวใจหวิวๆจนจับจังหวะหายใจไม่ถูกแล้ว


ผมหันหลังเดินออกจากห้องแม้จะยังได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองชัดเจน พ้นประตูได้ไม่กี่ก้าวก็บังเอิญมีใครสักคนยืนขวาง ภาพในตาพร่ามัวขึ้นทุกที ผมเลยยกท่อนแขนขึ้นปิดหน้าพร้อมอาการสะอึกเบาๆ ไม่ใช่นะ ผมไม่ได้ร้องไห้ มันก็แค่...รู้สึกหน่วงๆแถวกระบอกตา แสบจมูก แล้วก็หูอื้ออีกนิดหน่อยเท่านั้น


คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าจะคิดยังไงไม่รู้แต่เขาจับมือผมจูงให้เดินตาม มารู้ตัวอีกทีเมื่อเข้ามาอยู่ในห้องที่รายรอบด้วยตู้เก็บแฟ้มเอกสารแล้วคนๆนั้นก็ดันผมไปยืนหลังติดผนัง


“เงียบๆนะ” ผมลืมตาพร้อมกับที่คุณเมธก้มลงมากระซิบบอก ฝ่ามืออุ่นแนบข้างแก้มเกลี่ยนิ้วหัวแม่มือไล้ใต้ตาเบาๆ


พอเขาถอยหลังไปประตูห้องก็เปิดออกทันที ผมรีบหลับตาปี๋ โชคดีที่คุณเมธคว้าไว้ทันก่อนที่บานประตูจะตีเข้าหน้าผมจังๆ


“อยู่ไหน?!” เสียงนั้นทำให้ผมยืนตัวแข็งกว่าเก่า เข้าใจความหมายของประโยคเมื่อครู่ในทันที


“อะไรอยู่ไหน” คุณเมธถามกลับ น้ำเสียงติดรำคาญนิดๆ


“ดิฉันเรียนแล้วค่ะว่าเห็นเข้าลิฟต์ไป แต่ท่านไม่เชื่อ” เสียงพี่พัชแทรกเข้ามาทำให้ผมพอเข้าใจสถานการณ์ ที่อยากเห็นตอนนี้คือสีหน้าของคนที่ยืนอยู่ข้างๆผม เสียแต่ว่ามีบานประตูคั่นกลางอยู่เท่านั้น


“ผมไม่ว่าง ถ้าท่านประธานจะหาใครหรืออะไรก็ตาม รบกวนเรียกการ์ดมาช่วยหาแล้วกัน คุณพัชกลับไปทำงานเถอะครับ”


“โทษที”


ฝ่ายที่บุกเข้ามาบอกเสียงเบาลง คุณเมธเหลือบมองมาผมแวบหนึ่งแล้วพูดออกไป


“หวังว่าจะยังจำได้” เงียบไปทั้งคู่ก่อนที่เจ้าของห้องจะขยายความต่อ “เรื่องที่คุยแล้วก็ที่เตือนๆไป อย่าให้เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาล่ะ”


“ใครเป็นเจ้านาย ใครเป็นลูกน้องกันแน่วะ”


“ฉันพูดในฐานะเพื่อนแต่ถ้า ‘นาย’ จะไม่ฟังก็ตามใจ” ผมเห็นคุณเมธมองตรง แววตาจริงจังยิ่งกว่าเวลาคุยเรื่องงานเสียอีก “ความรู้สึกคนไม่ใช่ของเล่น ต่อให้นายมีเงินหรืออำนาจล้นฟ้าก็ไม่มีทางเป็นเจ้าชีวิตใครได้ และอย่าคิดใช้หัวใจใครเป็นเครื่องมือเพราะสุดท้าย...คนที่จะเจ็บปวดที่สุดก็คือตัวนายเอง”


“ฉันไม่ได้...”


“ผมขอตัวทำงาน เชิญครับนาย”


คุณเมธตัดบทและดันประตูห้องปิดราวกับว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นถึงเจ้าของโรงแรม เสร็จแล้วเขาก็เดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน...ไม่สิ เลยไปที่ตู้กระจกต่างหาก ถ้าผมจำไม่ผิด ฝั่งนั้นจะเป็นข้อมูลส่วนของคาสิโน เขาเลือกดึงออกมาสามแฟ้มใหญ่ๆขนาดที่ผมถือคนเดียวต้องเรียกว่าหอบกันเชียวล่ะ ผมเลยเดินเข้าไปนั่งตาละห้อยที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเขาอย่างรู้ชะตากรรมตัวเอง


“ดีกว่าอยู่เฉยๆให้ฟุ้งซ่านน่ะ” คุณเมธบอกพลางยื่นกระดาษโน้ตมาให้ ซึ่งก็หมายถึงการบ้านที่ผมต้องอ่านและหาคำตอบจากแฟ้มพวกนี้ให้ได้ก่อนพบเขาในวันรุ่งขึ้น ถือเป็นงานประจำวันนอกเหนือจากหน้าที่กำกับดูแลท่านประธานให้ทำทุกอย่างตามตารางงาน


ความจริงในหัวผมมันเหมือนกำลังเกิดจลาจลเกินกว่าจะเรียบเรียงออกมาเป็นเรื่องๆได้ด้วยซ้ำ ไหนจะท่าทีแปลกๆของคุณกร ไหนจะคำพูดเข้าใจยากของคุณเมธ แล้วยังจะอาการเพี้ยนๆที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่น่าแปลกที่พอเปิดเอกสารแค่แผ่นแรก ผมกลับมีสมาธิและสามารถพุ่งความสนใจไปกับทุกตัวอักษร หรืออาจเป็นเพราะทุกครั้งที่เงยหน้าขึ้นมาผมจะพบดวงตาคู่หนึ่งที่ให้ความรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกก็ได้ล่ะมั้ง



จบตอนแล้วจ้า




พูดกันถึงชื่อตัวละครแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าลืมแนะนะตัวเอง Mine  มายน์ ค่ะ สั้นๆง่ายๆ ทักได้ คุยได้ ทวงนิยายก็ได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ ได้ไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที 555
 

สำหรับเรื่องของกานต์ รับรองว่าจบแน่นอน ถ้าหายไป ไม่ใช่ยุ่งเรื่องงานก็แค่เน็ตมีปัญหา อย่างที่ขาดช่วงไปตอนแรกก็เพราะเน็ตล่ม เล่นไม่ได้อยู่เป็นอาทิตย์ๆ โทรเข้าไปถามจนสงสารน้องๆคอลเซนเตอร์เลยค่ะ



ตอนนี้มีกระทู้เรื่องสั้นเพิ่มมาอีกอัน ฝากติดตามด้วยนะคะ


(เรื่องสั้น) สนพ.วุ่น Y หัวใจวุ่นรัก (Kirishima Zen X Yogozawa Takafumi)


http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53006.msg3353719#msg3353719


ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1



9 .



ผมมองความวุ่นวายรอบตัวแล้วก็ต้องถอนหายใจยาวๆ ทุกคนต่างมีงานล้นมือแต่พอผมจะเข้าไปช่วยบ้างก็โดนบอกปฏิเสธ แถมคนที่พาผมมาด้วยยังส่งสายตาตำหนิอย่างกับผมทำตัวจุ้นจ้านนักหนา สรุปแล้วถึงไม่มีใครพูดออกมาแต่ดูเหมือนหน้าที่อย่างเดียวของผมคือการเดินตามคุณวรเมธที่กำลังตรวจความเรียบร้อยของห้องจัดเลี้ยง อ้อ! มีแฟ้มบางๆให้ถือแก้เขินตั้งหนึ่งแฟ้มถ้วนแน่ะ!


“ไม่ต้องครับ ไม่ต้อง! เดี๋ยวพวกผมทำเองครับคุณกานต์” ผมเห็นผ้าคลุมที่เก้าอี้ตัวหนึ่งยังไม่ตึง ตัวโบว์สีทองที่คาดอยู่ด้านหลังก็เบี้ยวเลยจะเข้าไปช่วยจัด มือยังไม่ทันโดนเลยเสียงร้องห้ามก็ลอยมาแล้ว


“แต่...” เชื่อมั้ยว่าตั้งแต่ก้าวเข้ามาในห้องจัดเลี้ยงผมอ้าปากออกเสียงได้แค่นี้เอง เพราะยังไม่ทันจะพูดอะไร อีกฝ่ายก็รีบบอกว่าไม่เป็นไรแล้วก็เชื้อเชิญให้ผมไปทำตัวว่างๆอยู่ไกลๆ แล้วที่น่าอึดอัดที่สุดคือพนักงานทุกคนพร้อมใจกันให้ความเคารพยำเกรงเหมือนผมเป็นหัวหน้า ทั้งที่ไม่กี่อาทิตย์ก่อนยังเล่นหัวเรียกผมไอ้กานต์อยู่เลย เมื่อไหร่ผลจากข่าวลือเรื่องโรงแรมที่ภูเก็ตมันจะซาไปสักทีก็ไม่รู้


“กานต์” ว้าว! เสียงสวรรค์ มีคนต้องการตัวผมแล้ว แต่จะดีกว่ามั้ย ถ้าใครคนนั้นไม่ใช่คนที่ผมจงใจเลี่ยงการเผชิญหน้า พอหมดธุระเรื่องงานก็หนีไปอยู่ห้องคุณวรเมธหรือไม่ก็ลงไปวอแวป้ามาลัย เชื่อมั้ยล่ะว่าไม่มีใครตำหนิที่ผมเกงานซะด้วย


“กานต์” อ้าว! ทั้งที่เรียกให้ตามมาแล้วปล่อยทิ้ง ไม่ดูดำดูดีกันเลย แต่ตอนนี้กลับเรียกหาซะงั้น อะไรของเขานะคุณเลขาใหญ่นี่


“กานต์” เฮ้ย! ทำไมจู่ๆผมขายดีจัง ขนาดป้ามาลัยกับพี่พัชรียังแท็กทีมต้องการตัว แล้วผมควรจะเดินไปหาใครดีล่ะเนี่ย


สรุปผมเลยอยู่เฉยๆเป็นแม่เหล็กดูดให้ทุกคนเข้ามาหาแทน คุณเมธมาถึงก่อนแต่ไม่ได้มีธุระอะไร แค่มายืนเป็นวอลเปเปอร์อยู่ข้างหลัง ตามด้วยพี่พัชรีกับป้ามาลัยที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนน่าสงสัย สุดท้ายคือคุณภากรที่เดินทอดน่องชิวๆแต่ทำหน้าอย่างกับโรงแรมจะเจ๊งอย่างนั้นแหละ


“พอลให้เด็กที่ร้านเอาชุดมาส่งแล้ว พี่เลยมาตามกานต์ไปลองเสื้อจ๊ะ” ขอบอกว่าพี่พัชดูตื่นเต้นยิ่งกว่าผมที่ต้องใส่มางานคืนนี้เสียอีก


“แต่นี่มันเพิ่งจะสี่โมง กว่าจะเข้างานตั้งเกือบทุ่ม ผมอาบน้ำแต่งตัวแป๊บเดียว ไม่ต้องรีบก็ได้ครับ”


“ยังไงก็ไปลองสักหน่อยก่อน เผื่อยาวไปหลวมไปจะได้แก้ไขทัน นี่ป้าก็จะไปช่วยดูด้วยอีกคนนะ” ป้ามาลัยรีบเสริม แถมคว้าแขนหมับเลย สงสัยจะกลัวผมวิ่ง แหม! ผมไม่ใช่เด็กดื้อด้าน เรียกยากเรียกเย็นสักหน่อย แค่รู้สึกเกรงใจที่จะหนีไปทั้งๆที่หัวหน้าตัวเองยังทำงานอยู่งกๆ แล้วใครไม่รู้อาจจะคิดว่าผมขี้เห่อที่จะได้ใส่สูทโก้ออกงานหรูๆก็ได้


“แค่สูทธรรมดา ใส่แป๊บๆก็ถอดแล้ว ไม่เห็นต้องลองเลย แล้วนี่กานต์ก็ยังทำงานอยู่นะครับป้า”


“ไปเถอะ ยังไงทางนี้ก็ไม่มีอะไรให้นายทำอยู่แล้ว” เสียงดังมาจากข้างหลัง แล้วข้ามหัวไปคุยต่อกับคนข้างหน้า ใช่ซี้! อย่างกับคุณเมธจะเห็นหัวผมเสียที่ไหน เขาเองก็รู้ว่าผมไม่มีอะไรทำ พอจะขอกลับไปอ่านแฟ้มต่อดันไม่อนุญาต ไม่รู้นึกอะไรของเขา


“ฝากคุณมาลัยกับคุณพัชด้วย เอาให้คนในงานตะลึงตาค้างกันไปเป็นแถบๆเลยนะครับ” 


พี่พัชรีรีบรับปากรับคำ ผมล่ะเซ็งเลยอ้อนให้ป้ามาลัยลูบหัวสักที แต่พอเราสามคนจะแยกตัวไป...


“นายมีธุระอะไรกับผู้ช่วยเลขาผมหรือเปล่าครับ” พอคุณเมธถามขึ้นมา ผมก็เพิ่งนึกได้ว่าเมื่อครู่คุณภากรเรียกผมเป็นคนแรกด้วยซ้ำ


“ไม่มี แค่จะมาบอกว่าอย่าลืมเรื่องงานเลี้ยงเย็นนี้”


ผมดึงป้ามาลัยไว้ด้วยความลังเลและรู้สึกผิด มีอย่างที่ไหนให้เจ้านายมาเตือน นั่นมันหน้าที่ของผมต่างหาก แต่ที่ผิดหูกว่า...


“เรื่องนั้นนายวางใจได้ สักหนึ่งทุ่ม เราสองคนจะมารอที่หน้างาน ไม่สายแน่ รับรองครับ”


“สองคน?”


ไม่ใช่แค่คุณภากรหรอกที่แปลกใจ ทั้งพี่พัชรี ป้ามาลัย และโดยเฉพาะผมก็ไม่รู้มาก่อนว่าคุณเมธจะร่วมงานด้วย ก็ไหนเขาบอกว่าตรวจงานเสร็จแล้วจะชิ่งเพราะไม่อยากปั้นหน้าคอยต้อนรับคนใหญ่คนโตที่จะขนกันมาร่วมงานช้างไงล่ะ


“งานใหญ่อย่างนี้ถือเป็นหน้าเป็นตาของโรงแรม ผมเลยอยากอยู่ควบคุมให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยความเรียบร้อยที่สุด ส่วนนายก็ร่วมงานในฐานะแขกกับคุณภัทราพรไป ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงหรอกครับ”


คุณวรเมธมีรอยยิ้มอย่างน่าสงสัย ส่วนคุณภากรจะเป็นอย่างไรนั้นก็สุดรู้เพราะจนป่านนี้ผมยังไม่กล้ามองหน้า หรือสบตากับเขา บอกตามตรงว่ากลัว ทั้งที่ไม่รู้ว่าทำไมแต่ผมยังรู้สึกใจหวิวๆทุกครั้งที่นึกถึงสีหน้าและแววตาแบบวันนั้น


“เป็นอะไรไปลูก ทำไมจู่ๆถึงมือเย็นอย่างนี้”


ผมส่ายหน้าแล้วเป็นฝ่ายเดินนำป้ามาลัยกับพี่พัชรีกลับไปที่ห้อง จากนั้นทั้งคู่ก็สนุกกับการเล่นแต่งตัวตุ๊กตาเพราะผมไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าถอดหรือใส่อะไรไปบ้าง เรื่องแฟชันนี่ผมไม่ถนัดอยู่แล้ว รู้แต่ว่าที่อยู่บนตัวน่าจะเรียกว่าสูทแต่เป็นสีครีมอ่อนต่างจากสีเข้มที่เห็นชินตา เนื้อผ้านิ่มตัดเย็บเข้ารูป ขนาดพอดีตัวผมโดยเฉพาะด้านในเป็นเสื้อกั๊กที่เล่นลายผ้าให้ดูเด่นขึ้น ส่วนรอบคอไม่ใช่เนคไทหรือหูกระต่ายแต่เป็นผ้าผืนยาวๆอีกชิ้นที่พี่พัชรีบรรจงพับๆพันๆจนดูไปก็คล้ายใส่ผ้าพันคอ ดีนะทีช่วงนี้เรียกว่าปลายฝนต่อต้นหนาว ขืนเอาไปใส่ตอนหน้าร้อนคงมีคนมองว่าเพี้ยน


“ต๊าย! เริ่ดม๊ากกกก” พี่พัชรีถอยไปสองสามก้าวแล้วเอียงคอมองผมด้วยสายตาภาคภูมิใจในฝีมือตัวเอง ไม่อยากนึกเลยว่าถ้าพี่พอลว่างแล้วมาแต่งตัวให้ผมเองจะออกอาการอะไรบ้าง “น่ารักที่สุด ใช่มั้ยคะคุณมาลัย ดาราเกาหลีชิดซ้ายไปเลยนะเนี่ย”


ผมหันไปอีกทาง เห็นป้ามาลัยยิ้มกว้างและยื่นมือออกมา ผมเลยเดินเข้าไปสวมกอด


“ดูดีมากเลยลูก” ผมหอมแก้มป้าแรงๆแทนคำขอบคุณ ขอแค่นี้ล่ะกำลังใจผมก็มาเป็นกองแล้ว


“แหม แล้วของพี่ล่ะจ๊ะรูปหล่อ” ผมหลุดขำแล้วโผเข้าไปให้พี่พัชรีกอดบ้าง “เอาล่ะ เสื้อผ้าเรียบร้อย ทีนี้ก็มาหน้าตาผมเผ้ากันบ้าง”


สรุปคือผมเสียรู้ บังเอิญว่าห้องนี้ไม่มีโต๊ะเครื่องแป้งแต่มีกระจกเงาบานใหญ่ติดไว้ที่มุมหนึ่ง ผมเลยถูกลากไปยืนขาแข็งอยู่ตรงนั้นให้พี่พัชรีทำอะไรหลายๆอย่างกับหน้าโดยมีป้ามาลัยคอยเป็นลูกมือและส่งเสียงปรามให้ผมยอมจำนนแต่โดยดี สาบานได้ว่าชีวิตนี้ผมไม่เคยและไม่คิดว่าผู้ชายจะต้องแต่งหน้า โอเคล่ะ ถ้าคืนนี้เป็นเจ้าบ่าวอาจมีบ้างเพื่อให้เวลาถ่ายรูปออกมาแล้วดูดีสมกับเจ้าสาว แต่นี่ผมเป็นแค่แขกที่เจ้าภาพไม่ได้เชิญด้วยซ้ำนะ


“เอ่อ...” ผมพยายามจะส่งเสียง แต่โดนพี่พัชบีบปากหมับ พอจะหันไปส่งสายตาวิงวอนป้ามาลัยก็ถูกจับคางหมุนหน้ากลับมา ใจร้าย!


“อยู่นิ่งๆสิกานต์ ยิ่งยุกยิกยิ่งเสร็จช้านะ”


“แต่ผมว่าพอได้แล้วมั้งครับ หน้ามันตึงๆหนักๆยังไงก็ไม่รู้”


ผมพูดเวอร์ไปอย่างนั้นแหละแต่ความจริงแทบไม่รู้สึกอะไรเลย คนแต่งเองก็บอกว่าสภาพหนังหน้าผมยังดีมาก แค่ลงครีมบำรุง ตามด้วยบีบีครีมเบาๆกับแตะแป้งอีกนิดหน่อยเพื่อให้ผิวขาวดูเนียนมีมิติมากขึ้น ส่วนจุดที่พี่พัชบรรจงเป็นพิเศษคือรอบดวงตาของผม


“เอาล่ะ เสร็จแล้ว” โอว สวรรค์ นี่ล่ะคำที่ผมอยากได้ยิน!


ผมลืมตาขึ้นและมองคนในกระจกเงาด้วยความประหลาดใจ เหมือนจะใช่แต่ก็ไม่คุ้น ไม่เคยนึกว่าตัวเองจะ...เรียกว่า ‘ดูดี’ เหมือนอย่างคำป้ามาลัยแล้วกัน โดยเฉพาะเวลาที่ผมกระพริบตา คนในกระจกก็ทำเหมือนกันแต่ดวงตาคู่นั้นทั้งคมและหวานผสานกันอย่างกลมกลืนที่สุด


“คืนนี้ต้องมีพวกนักข่าวมาด้วยแน่ๆ ถ้าไม่มีใครมาขอถ่ายรูปหรือนึกว่ากานต์เป็นดารามาร่วมงานล่ะก็ กลับมาเหยียบพี่ได้เลย”


“นั่นสิ” ป้ามาลัยให้ความเห็นบ้าง แต่...หรือผมจะตาฝาดไป สีหน้าป้าไม่สู้ดีเลย “วันนี้กานต์...”


“จะว่าหล่อก็หล่อ จะว่าน่ารักก็ได้อีก อธิบายไม่ถูกเลยใช่มั้ยคะคุณมาลัย”


“จ๊ะ แต่ก็คล้ายใครคนหนึ่งที่ฉันเคยรู้จัก เหมือนมากทีเดียว”


ป้ามาลัยไม่เคยมองผมด้วยสายตาแบบนี้มาก่อน ไม่ใช่แค่ความคิดถึงแต่เหมือนมีความเสียใจ รู้สึกผิดปะปนมาด้วย


“กานต์เหมือนใครเหรอครับ”


“คนที่ป้าเคยรู้จักเมื่อสมัยก่อนน่ะ ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ”


“แล้วทำไมอยู่ดีๆป้าต้องทำหน้าเศร้าด้วย หรือว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับเขาเหรอครับ” ผมกอดแล้วอ้อนถาม ในใจนึกได้ว่าอาจเป็นคนใกล้ตัวหรือคนในครอบครัวซึ่งเมื่อสูญเสียไปย่อมต้องเสียใจทุกครั้งที่นึกถึง เหมือนอย่างที่ผมเองก็เศร้าเวลานึกถึงแม่กานดาอยู่เสมอ


“ป้าก็ไม่รู้หรอกลูก ไม่ได้เจอกันเป็นสิบปีแล้วมั้ง...ไม่เอาๆ เลิกคุยเรื่องป้าเถอะ ไปหาคุณเมธกันเลยดีกว่า ป่านนี้คงรอแล้วล่ะ” ป้าแสร้งเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง แต่เห็นป้ายิ้มออกแล้วผมเลยไม่อยากซักไซ้ต่อ


พี่พัชรีขอตัวกลับก่อนเพราะหมดธุระกับผมแล้ว แต่ได้ยินโทรคุยกับพี่พอลเสียงแจ๋วคงนัดไปเจอกัน แถมยังให้ผมแอคท์ท่าถ่ายรูปจนนับตามไม่ทัน เชื่อขนมกินได้เลยว่าสองคนนี่ต้องเอาผมไปเม้าท์ต่อกันสนุกปาก ส่วนป้ามาลัยถูกตามตัวกลับไปที่แผนก ผมเลยกลับมาหาคุณวรเมธที่ออฟฟิศแค่คนเดียว แต่พอลิฟต์เปิดออกถึงได้รู้ว่ายังมีอีกคนที่รออยู่เหมือนกัน


“ว้าว! มานี่มา” คุณวรเมธกวักมือเรียก พอผมวิ่งไปหาก็จับตัวหมุนซ้ายหมุนขวา ชักจะรู้สึกตัวเองเหมือนตุ๊กตาเข้าไปทุกที “ยังไงดีล่ะเรา อืมมมม น่ารักดีนะ”


“หล่อเหอะคุณเมธ ผมผู้ชายนะทำไมใครๆชอบชมว่าน่ารักอยู่เรื่อยเลย” ผมเถียงหน้างอแต่ผลคือโดนหยิกแก้มเข้าให้ ก็เพราะใครๆชอบแกล้งยังงี้แก้มผมมันถึงได้ทั้งป่องทั้งแดงอยู่ตลอด ผมไม่ได้ตั้งใจเป็นเองซะหน่อย


“นายมันน่ารักจริงๆนี่น๊า คุณพัชก็ฝีมือใช้ได้ แต่งซะเด็กกะโปโลกลายเป็นหนุ่มน้อยชวนฝัน ตางี้หวานเชียว ไหนขอดูใกล้ๆหน่อยซิ” คุณเมธคว้าคอให้ผมยื่นหน้าไป ส่วนเขาก็ก้มลงมา อีกนิดเดียวจมูกจะชนกันอยู่แล้วก็บังเอิญมีสัญญาณแทรกเป็นเสียงกระแอมจากร่างสูงในชุดสูทสีดำสนิท รูปร่างหน้าตาน่าชวนไปวัดอยู่หรอก เสียแต่มาทำตาดุ หน้าหงิก คิ้วบิดเป็นเลขแปด หมดหล่อไปจมเลย


เอ๊ะ! ผมกล้ามองหน้าและสบตาคุณภากรแล้วนี่ ดี..เอ๊ย! ไม่ใช่ๆ ก็ไม่เห็นมีอะไรสักหน่อย ก่อนหน้านี้ผมคงเพ้อเจ้อไปเองนั่นแหละ คุณภากรก็ไม่เห็นจะมีอะไรเปลี่ยนไปเลย


“นายคิดว่าไงครับ”


คุณเมธถามพลางจับไหล่ดันผมไห้ก้าวออกไป ผมก้มหนีก็เชยคางให้เงยหัวขึ้น แน่นอนว่าตรงหน้าคือท่านเจ้าของโรงแรม และตอนนี้เขาก็มองมาด้วยสายตาชนิดที่ทำให้ผมรู้สึกร้อนๆหนาวๆยังไงบอกไม่ถูก


“จะไปกันได้หรือยัง”


คุณภากรสะบัดเสียงตอบแล้วเดินตรงเข้าลิฟต์ คุณวรเมธจูงผมให้เดินตามไป ตอนอยู่ในลิฟต์ก็ยังวุ่นวายกับผมไม่เลิก จนเมื่อลิฟต์หยุด...


“เดี๋ยว!” เสียงนั้นดังมาจากด้านหลังแล้วก็มีมือยาวเอื้อมไปกดปุ่มเลขหนึ่งก่อนจะดันตัวผมให้ออกมายังชั้นสามซึ่งเป็นห้องจัดเลี้ยงใหญ่ของโรงแรม สถานการณ์ทำให้ผมเปลี่ยนข้างโดยไม่ได้ตั้งใจ ซ้ำร้ายคนที่ยืนข้างผมตอนนี้ยังเป็นผู้ออกคำสั่งเสียด้วย


“นายลงไปที่คาสิโนเลย มีปัญหานิดหน่อย เฮียสยามรออยู่ที่ห้องคอนโทรล เรียบร้อยแล้วรออยู่ที่นั่นก่อน เสร็จทางนี้แล้วฉันจะตามไปเช็คอีกที”


ผมหันขวับเพราะนั่นหมายความว่าผมจะต้องเข้าไปในห้องจัดเลี้ยงและอยู่ในงานนั้นกับคุณภากรคนเดียวน่ะสิ ถ้าไม่มีคุณเมธก็จะไม่รู้จักใครเลย แล้วผมจะทำยังไงล่ะ


“มากับฉัน”


ผมอ้าปากยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกคุณภากร ไม่เรียกว่าจูง ต้องบอกว่ากระชากให้หันหลังเพื่อเดินไปกับเขา


“กร!” โชคดีที่คนในลิฟต์เรียกเอาไว้ ไม่งั้นผมถูกลากเข้างานแน่ “แน่ใจแล้วใช่มั้ย”


ผมเห็นทั้งคู่มองตากันอยู่ครู่หนึ่งแต่ไม่พูดอะไร แล้วพอมือคุณภากรเลื่อนจากต้นแขนลงไปจับมือผมไว้แทน คุณวรเมธก็กดปุ่มปิดประตูลิฟต์พร้อมกับมีรอยยิ้มบางๆ ผมเลยกลายเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องอะไร ได้แต่เดินตามคุณภากรไปโดยดี เขาเองก็เลิกทำหน้าบูดเลยยิ่งดึงดูดความสนใจจากบรรดาแขกที่ยืนคุยกันอยู่หน้างาน โดยเฉพาะสาวๆมีทั้งแอบมองและบางรายส่งยิ้มมาทักทาย แต่ไม่ว่าใครพอเลยมาเห็นผมเข้าเป็นต้องทำหน้าสงสัย ทำอย่างกับเห็นตัวประหลาดอย่างนั้นแหละ


“คุณกรครับ” ช่วยเชื่อว่าผมไม่ตั้งใจทีเถอะ แค่ไม่อยากทำตัวมีปัญหาหรือก่อกวนให้เขาหงุดหงิดขึ้นมาก็เท่านั้นเอง  “แขกที่มาร่วมงานต้องไปเซ็นอวยพรที่โต๊ะตรงโน้นก่อน งั้นผมยืนรอตรงนี้นะครับ”


บอกตามตรงว่าผมไม่ได้หวังแต่ก็ไม่แปลกใจนักหรอกที่เขาจะผลักหลังผมเบาๆให้เดินนำไปยังโต๊ะยาวที่ต่อจากรูปบ่าวสาวขนาดเท่าตัวจริงและซุ้มดอกไม้ใหญ่โตอลังการที่จัดไว้เป็นฉากให้ถ่ายรูป ผมเอี้ยวตัวไปสบตาเป็นเชิงถามเพราะไม่เคยชินกับงานที่เป็นพิธีการขนาดนี้มาก่อน ที่เคยไปงานแต่งคนแถวบ้านก็แค่เดินไปนั่งที่โต๊ะ เรื่องซองหรือของขวัญพ่อกับแม่เป็นคนจัดการ ส่วนผมกับพี่กัญแค่รอกิน สักพักบ่าวสาวก็เดินมาถ่ายรูปและแจกของชำร่วยถึงที่โต๊ะ อิ่มก็กลับแค่นั้นเอง


“เขียนคำอวยพรลงไปแล้วก็เซ็นชื่อสิ” คนตัวโตคงเห็นผมหยิบปากกามาแล้วจดๆจ้องๆเลยกระซิบบอก แต่...เสียงนั้นมันใกล้จนผมไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว เขาเลยยิ่งก้มลงมาพลิกหน้าสมุดเซ็นชื่อดูเพื่อให้คำแนะนำ “เขียนตามคนอื่นก็ได้ เอาที่สั้นๆก็พอ ลงชื่อฉันไปด้วยกันเลยนะ ฉันขี้เกียจ”


ยังดีที่บอกเสร็จเขาก็ถอยออกไปทำให้พอมีพื้นที่ว่างให้หายใจ ผมกวาดตามองคำอวยพร มีทั้งที่สั้นๆได้ใจความ บางอันก็ยาวราวกับจะเขียนเป็นเรียงความ คาดว่าจะเป็นฝีมือเพื่อนๆของบ่าวสาวที่อยากแสดงความรู้สึกยินดีกันอย่างสุดขีด


“อย่างนี้ได้มั้ยครับ” ผมหันไปถามหลังจากบรรจงเขียนประโยคอวยพรสั้นๆแล้วลงชื่อเต็มของคุณภากรเรียบร้อย แต่เจ้าตัวเห็นแล้วกลับตาขวางซะนี่ “ก็ผมไม่ใช่แขก เจ้าภาพคนไหนยังไม่รู้จักเลย ลงชื่อคุณกรคนเดียวก็พอแล้วนี่ครับ”


ลงท้ายคนขี้เกียจก็ฉวยปากกาไปแล้วใส่ชื่อผมต่อท้าย เสร็จสรรพเรียบร้อยก็ยิ้มให้สาวๆที่นั่งเรียงรายแล้วรับของชำร่วยมาส่งต่อให้ผมถือ เป็นกล่องเล็กๆขนาดเท่าฝ่ามือ ผูกโบว์ติดชื่อเล่นของบ่าวสาวและลงวันที่อันสำคัญไว้ จริงๆผมอยากรู้มากเลยว่าข้างในเป็นอะไรแต่จะแกะกันหน้างานก็เกรงใจเจ้าภาพเลยได้แต่เขย่าฟังเสียงทายของที่อยู่ข้างในไปพลางๆ


“เดี๋ยวก็แตกหมดหรอก ของแพงนะจะบอกให้” ผมว่าผมเดินช้าแล้วแต่ร่างสูงก็ยังมาเดินตามเยื้องไปด้านซ้ายแล้วอ้อมมือมาแตะไหล่ขวาเป็นเชิงเตือนให้ผมทำตัวให้สมกับสถานที่ซะบ้าง แต่มาบอกแบบนี้ผมก็หน้าเสียสิ “ล้อเล่นน่ะ คงเป็นพวกตุ๊กตาเซรามิคล่ะมั้ง แต่เห็นว่าถ้าเป็นแขกผู้ใหญ่คนสำคัญๆจะได้คริสตัลรูปหมีกับปลาที่เป็นชื่อเล่นของเจ้าบ่าวเจ้าสาวน่ะ”


“คงจะสวยมากเลยนะครับ” ผมมองกล่องในมือและถือด้วยความระมัดระวังมากขึ้น


“แม่ฉันคงได้สักตัวสองตัว เดี๋ยวฉันขอมาให้ก็ได้”


ผมอ้าปากจะบอกปฏิเสธแต่ก็พอดีกับที่เขาหันไปสนใจและเอ่ยทักใครบางคนที่เดินตรงเข้ามาหาพวกเรา...


“แม่”


คำนั้นทำให้ผมก้าวห่างออกจากคุณภากรมายืนนิ่ง มือกุมหน้าลำตัว สายตาตกลงพื้นโดยอัตโนมัติ แวบเดียวที่เห็นไม่ได้ผิดไปจากคำของป้ามาลัยแม้แต่น้อย คุณภัทราพรเป็นสุภาพสตรีชั้นสูงที่ยังดูสวยผุดผาดจนดูอ่อนกว่าอายุที่แท้จริง ทั้งเสื้อผ้าและเครื่องประดับล้วนบ่งบอกราคาแต่ไม่ได้ประโคมใส่เสียทำให้หมดคุณค่า กริยาท่าทางนุ่มนวลแต่ดูมีอำนาจ โดยเฉพาะดวงตาที่แม้จะยังไม่ถูกจ้องตรงๆก็ทำให้รู้สึกหนาวยะเยือกพิกล


“นึกว่าเราจะเบี้ยวแม่ซะอีก” น้ำเสียงเรียบเย็นได้ยินแล้วให้รู้สึกตัวเล็กลงกว่าเก่า “มากับใครน่ะ”


“นี่คุณแม่ฉัน” คุณภากรพยักหน้าเบาๆ ผมจึงรีบก้าวเข้าไปและประนมมือไหว้อย่างเรียบร้อยที่สุด “กานต์ครับคุณแม่”


“ลูกชายฉันเป็นพวกไม่ชอบพูดมาก เธอคงต้องแนะนำตัวเองแล้วล่ะ”


“ผม...” ผมเงยหน้าขึ้นแวบหนึ่งแต่ยังไม่กล้าสบตาคุณภัทราพรตรงๆ เหลือบไปมองคนข้างๆที่ยืนไม่รู้ไม่ชี้ยิ่งทำให้ผมอึดอัด การแนะนำตัวเองกับคนที่ไม่รู้จัก ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันมันยากจะตาย จะให้ผมหยิบเสี้ยวมุมไหนของชีวิตมาเป็นจุดเริ่มต้นล่ะ งั้นก็เอาเป็นข้อมูลกว้างๆที่ไม่ทำให้ผมดูผิดที่ผิดทางมากนักแล้วกัน “ผมเป็นเลขาคุณวรเมธครับ”


“ยังดูเด็กอยู่เลยนะ ไม่น่าเชื่อว่าตาเมธจะรับมาทำงานด้วย อายุเท่าไหร่ เรียนจบอะไรมาล่ะ”


ผมว่าคุณภัทราพรคงไม่ใช่คนแรกหรอกที่สงสัย ขนาดผมเองยังอยากรู้แต่ไม่กล้าถาม กลัวโดนคำตอบคุณเมธเชือดคอตาย


“แม่! จะมาซักประวัติอะไรกันตรงนี้ เข้างานเลยดีกว่า แต่ผมอยู่ได้แค่แป๊บเดียวนะ ที่คาสิโนมีปัญหานิดหน่อย ให้เมธไปดูแล้วแต่ผมต้องตามไปคุมด้วย”


เหตุผลของคุณภากรทำให้ผมชักสงสัย ตกลงที่คาสิโนเกิดเรื่องจริงๆหรือเป็นข้ออ้างที่ติดปากเขากันแน่ ถ้าอยู่โรงแรมก็อ้างคาสิโน อยู่คาสิโนโบ้ยไปที่คลับ พลิกลิ้นไปเรื่อยเชื่อไม่ได้!


“อย่าเสียมารยาทสิ พวกเพื่อนๆแม่พาลูกสาวมาโชว์ตัวตั้งหลายคน แต่ละคนทั้งสาวทั้งสวยทั้งเก่ง ไม่รู้ล่ะ ถ้าวันนี้รู้จักน้องๆไม่ครบทุกคนแม่ไม่ปล่อยกรออกจากงานแน่”


“โธ่! ผมบอกแล้วไงว่าขอหาเอง ถ้าแม่ยังไม่เลิกทำแบบนี้งานหน้าต่อให้เอาช้างมาลากผมก็ไม่ไปนะ”


ดีนะที่เอาแต่มองแต่พื้นเลยไม่มีใครได้เห็นว่าอาการตกใจของผม ความจริงผู้ชายอย่างคุณภากรกับการแต่งงานมีครอบครัวไม่ถือเป็นเรื่องแปลก แต่ลองใครโดนอย่างที่ผมโดนมาจะไม่ประหลาดใจได้เหรอ เอ๊ะ! หรือว่านั่นจะเป็นความลับที่แม้แต่คนเป็นแม่ก็ยังไม่รู้!


“ในเมื่อกรไม่ฟังแม่ แม่ก็จะไม่ฟังกรเหมือนกัน แล้วถ้ายังจะดื้อก็ขอให้คิดดีๆว่าดิฉันเป็นใครนะคะคุณภากร!”


คุณภัทราพรทิ้งท้ายได้เฉียบคมแล้วเดินกลับเข้างานไปด้วยมาดนางพญาผู้เปี่ยมไปด้วยอำนาจ


“ชิ!” คุณภากรหน้ามุ่ยจนน่าขำ เด็กที่ถูกขัดใจหน้าตาเป็นอย่างนี้นี่เอง แถมยังมีหน้ามานินทาแม่ตัวเองให้ฟังอีก จะให้ผมพลอยโดนหางเลขไปด้วยหรือไง “บางทีแม่ฉันก็ทำตัวงี่เง่าอย่างนี้แหละ อยู่ในงานฉันอาจจะยุ่งหน่อยแต่นายห้ามหนีไปไหน อยู่ใกล้ๆกันไว้นะรู้มั้ย”


“แต่ผม...” อยู่ใกล้คุณภากรก็หมายถึงต้องไปเกะกะสายตาคุณภัทราพรด้วย บอกตามตรงว่าไม่อยากเลยแฮะ


“ไม่มีแต่ ต้องให้ฉันเห็นนายตลอดเวลา ฉันจะรีบหาเรื่องชิ่งให้เร็วที่สุดแล้วเราค่อยออกจากงานพร้อมกัน” ไม่เพียงแต่คำสั่ง คุณเจ้านายถึงขนาดยกโทรศัพท์กับกระเป๋าเงินมาให้เก็บไว้ แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากรับปากว่าจะรักษาสมบัติของเขาเท่าชีวิต


ตลอดเวลาที่อยู่ในงาน คุณภากรกลายเป็นจุดสนใจไม่แพ้เจ้าภาพ หรือเรียกว่าขโมยซีนเจ้าบ่าวเจ้าสาวตัวจริงได้อย่างสมบูรณ์แบบ นึกถึงตามสวนสนุกที่จะมีหุ่นตัวใหญ่ให้เด็กๆถ่ายรูปคือภาพที่ผมเห็น เพราะบรรดาลูกสาวเพื่อนๆของคุณภัทราพรต่างเวียนกันเข้ามาทักทายและขอถ่ายรูปคู่กับเขากันไม่มีเว้นว่าง แถมไม่ว่าจะสาวจะแก่หรือกระทั่งแม่ม่าย ขอเพียงไม่มีพันธะก็พยายามชม้ายชายตาให้เจ้าของโรงแรมสุดหล่อกันทุกคน แล้วสำหรับผมที่ต้องอยู่ใกล้ๆ ต้องมาเห็นภาพและได้ยินทุกคำพูด คิดว่าจะเป็นเรื่องสนุกหรือฝันร้ายกันล่ะ


“คุณครับ” ผมถึงกับสะดุ้ง นึกว่าช่างภาพอีกรายมาขอถ่ายรูป หันไปค่อยโล่งอกที่เป็นพนักงานเสิร์ฟคนหนึ่ง แต่ผมจำได้ว่าเขาเป็นลูกน้องเฮียสยามนี่ “รับเครื่องดื่มสักแก้วมั้ยครับ”


“พี่...? โทษที ผมจำชื่อพี่ไม่ได้ แต่ทำไมถึงมาเสิร์ฟน้ำล่ะครับ”


“เมื่อก่อนผมก็เคยอยู่ฝ่ายจัดเลี้ยง งานเสิร์ฟนี่เรื่องสิวๆ เฮียกับคุณเมธเลยสั่งให้ผมมาอยู่เป็นเพื่อนคุณกานต์ ประมาณนั้นน่ะครับ”


ผมจะทำอะไรได้นอกจากยิ้มแหยแล้วหลบสายตาเขาไปพิจารณาแก้วในถาดแก้เขิน มีทั้งเหล้า เบียร์ น้ำผลไม้ น้ำอัดลมให้เลือกตามชอบ ผมสะดุดตากับน้ำสีฟ้าใสที่มีแค่แก้วเดียวแถมวางอยู่ริมใกล้มือที่สุดเลยหยิบมาดื่มเข้าไปอึกใหญ่ กว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็หมดแก้วเสียแล้ว





จบตอนแล้วจ้า



 :bye2:



ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เมาแน่ๆเลยกานต์
ชักสงสัยชาติกำเนิดของกานต์ซะแล้วสิ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เขารู้กันหมดยกเว้นเจ้าตัว

ออฟไลน์ panitanun

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
เมาเเน่กานต์ไม่รอด555555

ออฟไลน์ =นีรนาคา=

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2546
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +296/-6
เมาแน่ๆหนูกานต์

ป้ามาลัยต้องรู้จักแม่กานต์แน่ๆเลย จากการที่ป้าเห็นกานต์ตอนแต่งหน้า
หน้ากานต์คงจะเหมือนแม่แน่ๆ รึป่าวหว่า นี่เดา 5555

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
เพิ่งมาอ่านคับ อ่านรวดเดียวสนุกมากๆ
กานต์ดื่มอะไรอะ แอลกอฮอล์แน่ๆ สงสัยจบงานแต่งการเสร็จภากรแน่ๆ555
รอ รออ่านตอนต่อไปคับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด