ต่อ
“ท่าน...ซาลาเปา?”
“สามหาวใครอนุญาติให้เรียกชื่อเล่น!” ผัวะ! อ่อก! อุ้งเท้ามโหฬารขนาดโต๊ะกินข้าวตะบบลงบี้ผู้ที่อยู่แทบเท้าจนแทบจมดิน
“อภัยข้าด้วยท่านเลวิเลี่ยน” ผัวะ! ฟาดซ้ำให้บี้แบน
“โอ๊ย! อะไรกันท่าน” ปั่ก! ปั่ก! กระทืบทับแล้วบดขยี้
“อ่อก อ่า เดี๋ยวท่าน” ท่านมหาแมวหยุดมือ(เท้า)แล้วมองต่ำอย่างเหยียดๆ
ฟารันนอนราบอยู่กับพื้นรอยช้ำปรากฎขึ้นครู่หนึ่งก่อนหดหายไป เขายันตัวขึ้นแล้วกราดกร้าว
“อะไรของท่านเนี่ย!!”
“เจ้าตายอีกรอบไม่ได้อยู่แล้วกลัวอะไร”
ชายหนุ่มกัดฟันกรอดแม้นต่อหน้าเทพเขาก็ไม่ค่อยจะรู้สึกยำเกรงอะไร ใจหนึ่งก็คิดว่าเพราะอีกฝ่ายดูเป็นแมวมากๆ (ก็แมวนิ) จนรู้สึกเหมือนเห็นสัตว์หน้าขนเสียแทน องค์เทพหม่าวทรงรู้ดีว่าอีกฝ่ายคิดอะไรจึงแสยะยิ้มเห็นเขี้ยวขาว
“บ้าบอแท้เจ้าเนี่ย ขนาดเป็นมนุษย์ก็ยังทำตัวเช่นนี้....เอาเถอะ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า” ขนาดคับฟ้าคับดินของแมวอ้วนหดลงเรื่อยๆ จนถึงขนาดที่เท่ากับสัดส่วนที่เคยมีตอนอยู่กับเทพนั่นคือดูเหมือนสูงกว่าพื้นเพียง 5 เมตร
“เจ้าน่ะ หมดอายุขัยแล้ว!”
“งั้นรั้งข้าไวทำไม หมดอายุขัยก็ไปปรโลกสิ”
“ฮั่นแน่ะปากดี ข้าอุตส่าห์เขี่ยเจ้าขึ้นมาจากแม่น้ำแห่งความตายนะ”
“เขี่ย?”
“เออ เคยเห็นแมวเขี่ยปลาทองในโหลไหมล่ะก็ใช้วิธีเดียวกันนั่นแหละ---แต่เอาเถอะไม่ต้องขอบคุณข้าหรอกเพราะข้าไม่ได้อยากจะช่วยเลยซักนิด นิสัยต่ำชาติถ่อยเช่นเจ้าควรตายจากโลกแล้วกลับที่กลับทางของเจ้าไปเสีย หากไม่เพราะ 2 เหตุผลที่ดีพอข้าคงไม่ทำแบบนี้แน่”
“เหตุผลอะไร”
“ข้อแรกมีเรื่องที่เจ้าจำเป็นต้องกลับไปแก้ซึ่งมันเกี่ยวกับไอ้หัวม่วง ซึ่งถ้าเจ้าไม่ทำสวรรค์ได้ป่วนจากนี้แน่”
ฟารันขรึมลงอย่างอมทุกข์เมื่อเรื่องโยงเข้ามาถึงโรเรเนส “ทุกอย่างที่เกี่ยวกับโรเรเนสถ้าข้าต้องแก้ไขสิ่งใดข้าจะทำ”
“หึ ก็ดี๊เพราะเหตุผลอีกข้อที่ข้าเขี่ยเจ้ามานั่นเพราะไอ้หัวม่วงมันขอมา”
โรเรเนสอยากให้เราอยู่ต่อ ดีใจและปวดใจ รู้สึกดีที่ลึกๆแล้วฝ่ายนั้นยังต้องการให้เขาอยู่ต่อไม่ว่าจะด้วยแค่หวังดีกับประชาชนหรือสงสารเจ้าหมากีก้า แต่ความปรารถนาที่จะขอเขากลับไปมันพาให้ซาบซึ้งกับเด็กหนุ่มแสนดีที่เขาไม่อาจคู่ควรไม่ว่ากี่พบกี่ชาติ
แต่นั่นคือเหตุของคำว่าปวดใจ---ระยะหลังมานี้เขารู้สึกแล้วว่าเขาไม่ได้ต้องการการให้อภัยจากโรเรเนส แต่ต้องการการชดใช้ที่สาสมของเขาเองมากกว่า มันควรจะสาสมกับที่เขาทำไว้
“เพราะเช่นนั้นอย่างไรเล่า การตายมันถึงง่ายเกินไป” ท่านหม่าวรู้ได้ว่าฟารันคิดอะไรเอ่ยขึ้นพ้องกับความคิด
“ข้าจะพาเจ้ากลับไปยังโลก หากแต่เจ้าต้องชำระล้างบาปที่ตัวเองก่อไว้ก่อน....แบบไม่ต้องผ่านนรกเพราะข้าจะเป็นผู้ชำระเอง”
แมวเหมียวสีขาวโบกหางอวบของตนอย่างแช่มช้าสบายใจ เสียงครางต่ำๆดังหึ่งพาให้กายสะท้าน ชายหนุ่มเพ่งดูใบหน้ากลมอิ่มนั้นแล้วพูดด้วยเสียงหนักแน่น “ข้าพร้อม”
คมเขี้ยวแยกแสยะตามด้วยคำพูดทิ้งท้าย “ไม่ต้องกังวลเจ้าตายอีกหนไม่ได้ดอก”
ปากนิ่มพุ่งเข้างับที่ลำคอและด้วยขนาดปากที่ใหญ่มันจึงยาวไปถึงอก เบื้องแรกเหยื่อรูปงามไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรนักจนเมื่อฟันเรียงรายเหล่านั้นค่อยๆ ออกแรงกดกรีดเนื้อ
“อะ!..” เปล่งเสียงออกมาได้แผ่วในความเจ็บแรกก่อนจะทวีพล่านเมื่อแรกกดเพิ่มขึ้น “อ้า!”
และทันใดนั้น
กึก! กรอบ! เขี้ยวแหลมงับเต็มแรงจนทะลุเนื้อ กระดูกแตกแหลกกรอบแล้วกระชากดึงฉีกทึ้งเหมือนเสือกินเหยือ เลือดทะลักสาดพุ่งเจิ่งนองไปกับพื้นขาวโพลน
“อ๊ากกกกกกกกกกกก!” ฟารันตัวแหว่งวิ่นร้องลั่นอย่าเจ็บปวด ขนปากที่เคยขาวเปื้อนเลือดโชกพุ่งลงมากัดกินเนื้อส่วนท้องแล้วใช้ขาหน้ายันยึดเศษร่างก่อนจะทึ้งดึงเนื้อขึ้นมากิน เสียงร้องแผดไกลเคล้าเสียงกระดูกหักกายสะบัดเร่ากระตุกตามกลไกที่ไม่อาจฝืน
ไม่ได้พิเศษอะไรมากด้วยเหตุการณ์นี้เป็นเพียงการกินเหยื่อทั้งเป็นของแมวซนๆ เท่านั้น เพียงแต่น่าชื่นใจเสียหน่อยตรงแมวอ้วนตัวนี้จะกินได้ไม่หมดไม่สิ้นด้วยเหยื่อของมันไม่ตายหากแต่ฟื้นขึ้นพร้อมร่างสมบูรณ์ให้กัดกินได้อีกครั้งซ้ำไปซ้ำมาวนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์เหมือนผีที่ไม่ผุดไม่เกิด
.........
ตอนนั้นโรเรเนสนั้นหลับฝันไป มิได้ล่องลอยไปไหนไกลหากแต่จิตไหลไปเวียนวนอยู่กับสวนของตนบนแดนสรวง อากาศเย็นสบายไม่จำเป็นต้องสร้างอุณหภูมิที่ต่างกันสำหรับพืชพันธุ์ใช้เพียงเวทมนตร์เล็กน้อยก็หล่อเลี้ยงทั้งหมดทั้งมวลของพฤษาเหล่านี้ได้
เขาเหม่อมองบ้านเก่าอย่างเลื่อนลอยก่อนจะเริ่มทำงานเหมือนตามปรกติด้วยไม่รู้องค์ว่าตนฝันอยู่ กลิ่นหอมอบอวลอยู่รอบตัวแต่จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงกลิ่นที่เด่นแปลกไปจากอดีตจึงตามไปจนพบดอกกุหลาบจันทรากำลังผลิดอก
มือเรียวเอื้อมไปแตะอย่างแผ่วเบาหวังใจจะเพียงลูบคลำแต่ไม้ดอกน้อยก็หลุดหักออกมาจากก้านก่อนจะสลายกลายเป็นน้ำคามืออุ้งมือ
แล้วเทพหนุ่มก็สะดุ้งตื่น ร่างตรงหน้ายังนิ่งไม่มีความเปลี่ยนแปลงแต่เวลานั้นเลยไปยามบ่ายแล้วหลายชั่วโมงแห่งชีวิตเสียปล่าไปอย่างไม่จำเป็น! เด็กหนุ่มลุกขึ้นพรวดจนลากลอซและหมอที่พยายาบาลองค์ราห์โออยู่นั้นตกใจ เขาหน้าตื่นมองสหายสนิทครู่หนึ่งพลางทบทวนความฝันก่อนจะหันไปเรียกกีก้าให้ตามตนออกไป
“เจ้าจะไปไหนน่ะ”
“ไปเอากุหลาบจันทรามันช่วงฟารันได!” เขากล่าวขึ้นแล้ววิ่งจี๋ออกไปจากห้อง คำนั้นเป็นดังน้ำหยดลงดินแห้งความหวังในปาฏิหารเกิดขึ้นมาในห้อง ลากลอสไล่ตามด้วยความตื่นเต้น
“เดี๋ยวสิ กุหลาบนั่นไม่ออกดอกในยามนี้เสียหน่อย”
“ข้าเป็นเทพข้าทำให้มันออกดอกได้”
“เยี่ยมเลย!”
โรเรเนสวิ่งตรงไปทางสวนกระจกพร้อมหมาเตี้ยที่ควบขาตาม ลากลอสผู้ไล่ตามไปเกิดนึกขึ้นได้ว่าควรไปตามองค์ชายตอนผ่านห้องบรรทมจึงเฉเข้าไปหาโฮรันที่นอนนิ่งด้วยอ่อนเพลีย เขาทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงแล้วเขย่าเรียกอีกฝ่าย
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท! ตื่นเถิดเรามีความหวังขึ้นมาแล้ว” ใบหน้าคมคายอ่อนพริ้มนั้นผุดพรายไปด้วยเหงื่อกาฬและแดงก่ำ โฮรันลืมตาตื่นขึ้นอย่างช้าๆ แววตาอ่อนล้าหมดอาลัย
“นี่ท่านมีไข้เหรอเนี่ยองค์ชาย”
“ลากอส นี่กี่โมงแล้ว ท่านพี่ ท่านพี่ล่ะ” เสียงแหบพร่าเปล่งออกมาพร้อมอาการซมเมื่อพยายามหยัดกายลุก
“ยามบ่ายแล้วแต่โรเรเนสรู้แล้วว่าจะรักษาอย่างไร ท่าน องค์ชายท่านมีไข้จริงด้วย” สหายสนิทเอื้อมมือแตะหน้าผากอีกฝ่าย โฮรันนั้นยังนิ่งไม่ใส่ใจต่อคำพูดของเพื่อน
“มันเป็นไปไม่ได้หรอกลากลอส ข้าเป็นหมอข้ารู้มันไม่มีทางทำให้ท่านพี่ฟื้นตื่นมาหรอก”
“ทำไมพูดแบบนั้น ถ้าเราหวังปาฏิหารมันก็ไม่มีอะไรเชื่อได้มากกว่าคำของเทพอีกแล้ว” ทว่าเมื่อได้ยินผู้ฟังก็กลับก้มหน้างุดก่อนจะทิ้งตัวลงบนตักเพื่อนเหมือนสิ้นแรง
“ไม่มีเทพที่ไหนหรอก”
“ท่านพูดอะไรน่ะ”
“เขาเคยเป็นเทพแต่ตอนนี้เขาเป็นมนุษย์ เขาเป็นแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นไม่ต่างจากพวกเทวดาตกสวรรค์เลย ดังนั้นข้าไม่เคยคิดว่าเขาเป็นเทพ ไม่เคยเลย”
“แต่ท่านบอกตลอดว่าท่านเชื่อ”
“ก็ข้าเป็นหมอจะทำร้ายจิตใจคนอื่นได้อย่างไร อีกทั้งข้าก็ชอบเขามากและอยากแกล้งท่านพี่---แต่ตอนนี้มันไม่สำคัญแล้ว ท่านพี่กำลังจะตายเหตุเป็นเพราะข้า ข้าไม่สนใจอะไรแล้วและไม่อยากได้อะไรแล้ว ไม่เอาแล้ว”
ท้ายเสียงหายห้วงแทรกเสียงเครือเขาซุกหน้าหนีลงกับตักลากอสผู้ก็รู้สึกได้ถึงน้ำอุ่นๆ ที่ซึมออกมา องค์ชายนั้นเหมือนกลายเป็นเด็กที่งอแงจากที่เคยเป็นบุรุษสุขุมภูมิฐาน ความสิ้นหวังทำให้เขากล่าวพาลสหายสนิทรู้ดีว่าโฮรันไม่ได้หมายเช่นที่พูดจริง
“ท่านจะงอแงเหมือนตอนเด็กไม่ได้แล้วนะแล้วมาซุกตักผู้ชายด้วยกันแบบนี้มันก็น่าอายออก”
“ตอนนั้นข้าก็ทำแบบนี้ ตอนที่ท่านพี่หายไป”
“ตอนนั้นท่านเพิ่ง 6 ขวบ ข้าเองก็เด็กเพียง 8 ขวบเท่านั้น”
“มันเหมือนกันเพราะข้าคิดว่าท่านพี่ตายแล้ว”
“แต่เขาก็รอดมาได้ เขารอดมาได้ตลอดไม่ว่าตอนนั้น ในสงครามหรือครั้งไหนๆ--- ลุกขึ้นเถิดองค์ชาย ข้ารับปากว่าเขาจะกลับมาถ้าหากท่านเชื่อ องค์เทพอยู่กับเราแล้ว”
องค์เทพอยู่กับพวกเขาแล้วองค์เทพผู้ทรุดตัวลงนั่งข้างกอกุหลาบจันทราไร้ดอก ด้วยช่วงเวลาแห่งการเบ่งบานได้ล่วงเลยผ่านไป เจ้าหมาอาการตรงจมูกดีขึ้นอย่างทันทีที่ได้เข้าใกล้ไม้ดอกต้นนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าพิษร้ายแปลกประหลาดสามารถรักษาได้ด้วยพืชชนิดนี้ หากแต่ยังไม่พอต้องเป็นยากลั่นจากดอกเท่านั้นที่จะสัมฤทธิ์ผล
แต่อย่างไรเล่าเมื่อยามนี้ไม่มีทางจะฝืนธรรมชาติไปได้ ต้นไม้ต้นนี้ไม่ได้ถึงเวลาผลิดอกจะมีดอกได้อย่างไร?
“ที่ข้าเป็นคนได้ก็ผิดธรรมชาติเช่นกัน”
องค์เทพยามนี้ไร้สิ้นความประหม่าหวั่นเกรงเขาเอื้อมมือไปแตะแผ่วที่กิ่งก้านตรงหน้านิ่งนานเพ่งระลึกถึงสิ่งที่ตนทำเป็นกิจวัตรยามเมื่ออยู่บนสวรรค์---ร่ายเวทย์เพื่อไม้งามจะเบ่งบานออกมา
ทว่าทิ้งระยะจนแขนล้าก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น นับจากลองครั้งแรกก็เพียรแล้วเพียรเล่าทั้งตั้งจิตอย่างที่เคยทำทั้งกล่าวร้องขอต้นไม้แสนงามให้รับฟังและช่วยกัน แต่กระทั่งยามเหงื่อผุดพรายเลือดฝาดพล่านทั่วก็ไม่มีวี่แววว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาทิ้งแขนผ่อนพักหลายครั้งเมื่อล้าแล้วเริ่มใหม่ซ้ำไปซ้ำมายาวนานนับชั่วโมง เวลาสุดท้ายใกล้กระชั้นเข้ามา
เจ้าหมาน้อยร้องงี๊ดนอนหงอยเหมือนมันก็เข้าใจได้ ร่างขาวเนียนเริ่มหอบเหนื่อยความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วกายพร้อมกับอาการปวดมวลไม่อาจรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างมนุษย์นี้ เขาไม่สนและไม่คิดถึงมันพยายามยกแขนที่จู่ๆก็หนักอึ้งเหมือนถือทั่งขึ้นชูอย่างลำบาก พลังมหาศาลที่พยายามเรียกคืนมานั้นอาจหนักหนาไปสำหรับกายหยาบนี้
ออกดอกมาเถอะ เบ่งบานขึ้นเถอะนะได้โปรด……………...
รวยรินปริ่มสิ้นใจฟารันกระอักเลือดนอนแผ่อยู่บนพื้นเย็นเฉียบมีแมวยักษ์ตัวหนึ่งนั่งเลียอุ้งเท้าเปื้อนเลือดอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่ปลายเท้า
“นี่ข้าสองจิตสองใจอยู่นะ ว่าข้าจะลดโทษให้เจ้ากึ่งหนึ่งดีไหมหรือยังไงดีเพราะจู่ๆข้าก็นึกขึ้นได้ว่าเจ้าเคยโดน---โดนข่มขืนตอนอายุ11ใช่ไหม?”
เสียงฟี้ของลมที่ลอดออกจากช่องคอดังแผ่วเป็นคำตอบ เลือดยังผุดออกมาบ้างใบหน้าที่บิดเบี้ยวขยับตามริมฝีปากที่พยายามเอ่ย ความน่าอานาถเป็นเช่นนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยหวนคืนที่ละนิด ร่างกายแหว่งวิ่นฟื้นคืนเป็นร่างเดิมที่ไร้แม้รอยขีดข่วน นานเท่าใดกันนะ กี่วัน? กี่ปี? เขาโดนกินทั้งเป็นมากี่ร้อยรอบแล้ว? ความทรมาณพิลึกพิลั่นไร้บรรยายดำเนินมายาวนานเหมือนตลอดไป
“องค์รัชทายาทหายไปจากขบวนเสด็จตอน 8 ขวบโดนขายเป็นทาสใช้แรงงานเด็กอยู่ 3 ปีเศษแถมตอนท้ายก่อนจะได้กลับบ้านดันโดนข่มขืนเสียอีก”
อ่า...ใช่ตอนนั้นนานมากมาแล้ว กับตาแก่ใจสัตว์อ้วนสกปรก คนระย่ำเลวผู้คว้าไหดินเผาฟาดร่างเล็กที่ขัดขืนแล้วฉีกกระชากเสื้อผ้าจนวิ่น ย่ำยีเละเทะด้วยหื่นกาม
“แต่ก็ไม่เคยหมดหวังว่าจะได้กลับบ้านเพราะรู้ว่ามีคนสัญญาไว้แล้วว่าจะพาเจ้ากลับไป”
ดอกไม้ดอกน้อยสีม่วงสดผุดขึ้นอย่างทันตากลางก้อนหิน ในตอนนั้นตอนที่เด็กน้อยวัย 8 ขวบ ร้องขอต่อองค์เทพให้รับฟังแล้วดอกไม้ดอกนั้นก็ผุดขึ้นมาราวปาฏิหารเป็นคำตอบสำหรับคำขอ
เขาขอให้เทพโรเรเนสพาเขากลับไปที แม้จะนานล่วงไป 3 ปีแต่เขาก็เชื่อเสมอว่ายังไงก็ต้องได้กลับบ้านเพราะองค์เทพสัญญาไว้แล้ว
ร่างกายกลับมาสมบูรณ์แต่หาได้มีเรี่ยวแรงจะหยัดยืน น้ำตารื้นเอ่อจนไหลรินออกมาเขายกแขนก่ายหน้าผากปิดตาคู่นั้นก่อนกายที่ไร้แม้ริ้วรอยจะสะท้านน้อยๆ แล้วพลางสะอื้น องค์เทพแห่งแมวก้มมองนิ่งสงบแล้วย่อองค์ลงหมอบข้างกัน
“เข้าใจได้ว่าเจ้าทำเพราะสำคัญผิดคิดว่าโรเรเนสเป็นคนอื่นไม่ใช่เทพโรเรเนส แต่กระนั้นก็เถอะไม่ว่าโรเรเนสจะเป็นเทพหรือไม่เจ้าก็รู้นี่ว่าไม่ควรทำกับคนอื่นแบบที่เจ้าเคยเจอ”
สะอื้นไห้ให้หมดสิ้นสิ่งที่ไม่อาจทำได้ชัดแจ้งยามเมื่อเป็นกษัตริย์ เจ็บมาตลอดทั้งตอนที่ทำร้ายลงไป เจ็บที่คิดว่าตนโดนหลอก เจ็บที่คนที่ไว้ใจหักหลัง แต่ยามเมื่อรู้ความจริงก็ดำดิ่งไปกว่าเก่า เจ็บกับความความรู้สึกผิดกับความรู้สึกดีๆ ที่เอาคืนไม่ได้ แต่ความเสียใจมันไม่พอหรอกการลงโทษทั้งหมดนี้ก็ไม่พอหรอก ทั้งที่ตนรู้วาอะไรไม่ควรทำแต่ก็ยังทำไม่มีข้ออ้างอะไรมาอ้างได้
เขามันชั่วช้าจริงๆ
ฟารันสูดลมหายใจเข้าแรงแล้วลุกขึ้นยืนอีกครั้ง “นี่มันยังไม่สาสมกับสิ่งที่ข้าทำลงไป”
“โฮ่!” ท่านแมวหม่าวตาโตกลมแป๋วพลางฟาดหางแรงอย่างตื่นเต้น “งั้นรึ ยังอยากได้อีกรึแต่ข้าเบื่อรสชาติเจ้าแล้วนะ”
“จะฉีกทึ้งตบกระทืบข้าอย่างไรก็ได้” เข้าของขนฟูฝุดลุกนั่งแล้วจ้องมองอย่างจริงจัง
“เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าควรทำอะไร”
“ให้ท่านลงโทษจนกว่าจะสาสม”
“ไม่ใช่ การชดใช้ความผิดนั้นมันไม่มีมาตรวัดหรอกว่าแค่ไหนคือพอมันก็เหมือนการแก้แค้นนั่นแหละ ถ้าคนยังแค้นอยู่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ชดใช้ไปกี่ร้อยกี่แสนปีมันก็ไม่หมด ทีนี้เจ้ารู้สึกผิดและต้องการชดใช้ความผิดหากเจ้าไม่รู้จักให้อภัยตัวเองเจ้าคงได้ชดใช้ความรู้สึกผิดอยู่ที่นี่ไปชั่วกัลปาวสานแน่ ตอนนั้นศพเจ้าก็เป็นอาหารหนอนไปแล้วและโรเรเนสก็ต้องเสียใจมากๆ”
“แล้วจะให้ข้าทำยังไง นี่มัน มันยังไม่พอ!”
“เออข้าก็คิดว่ามันยังไม่พอ ไม่รู้ว่าเจ้ากับข้าใครมันโรคจิตกว่ากันนะแต่ข้าแค่เตือนไว้ในสิ่งที่เจ้าควรทำ หลังจากนี้หาก ก็หากนะสมมติว่าเจ้าได้กลับไป ต้องรู้จักแก้ไขให้มันถูกสมองน่ะะใช้ให้มากๆ ไอ้หัวม่วงมันดูออกง่ายจะตายถ้าเจ้าตั้งใจเจ้าจะรู้เองว่าไอ้เทพอ่อนด๋อยป้อแป้นั่นมันอยากได้อะไร เข้าใจ๊”
“อืม”
“อืมพระบิดาเอ็งสิ! ข้าเป็นเทพ!”
“ขอรับ!”
“เออ งั้นก็จัดการซะอุปกรณ์อยู่ข้างๆนั่น” ชายหนุ่มหันไปมองตามคำบอกก็พบเห็นดาบเล่มหนึ่งวางอยู่หน้ากระจกเงา เขาเข้าใจทันทีว่าคืออะไร และไม่คาดคิดถึงสิ่งนี้มาก่อนพลันหัวใจก็หล่นวูบรู้สึกสันหลังวาบจนมือไม้ชา
“เรามาลองอะไรที่มันโบราณกันหน่อยดีกว่า เจ้ารู้ใช่ไหมว่าเจ้าเป็นเหตุให้คอไอ้หัวม่วงเป็นรอยดาบ ถึงจะตั้งใจแค่ขู่แถมเจ้าเทพง่อยนั่นจะทำตัวเองก็เถอะ แต่หันดาบใส่คนกำลังคลั่งก็ไม่ใช่อะไรที่ฉลาดหรอกนะ”
เมื่อโบราณกาลมาแล้วนักรบผู้หาญกล้าของเผ่าสปันโบราณซึ่งเป็นต้นสายของชนชาวสปันเทียมักมีวิธีประหารนักรบด้วยการให้สำเร็จโทษตัวเอง ใช้ดาบคู่ใจบาดคอหน้ากระจกแล้วดูตัวเองตายช้าๆ เป็นการกระทำสยดสยองชวนวิปลาสการฆ่าตัวตายนับว่ายากแล้วแต่การต้องดูตัวเองตายเป็นฝันร้ายที่บาดใจไปยังภพภูมิหน้าได้ทีเดียว ทว่าหากหลังจากฟารันทำสิ่งนี้เขาจะยังไม่ตาย....
ชายหนุ่มคุกเข่าลงหน้ากระจกเห็นชัดถึงใบหน้าของตนเอง หยิบดาบขึ้นอย่างแช่มช้าลังเลหากแม้แค่เชือดคอตนคงพอฝืนทำได้แต่ต้องลืมตาค้างเอาไว้แบบนั้น---แค่คิดมือมันก็ขยับไม่ออก
“กลัวอะไร ทำสิ”
มือที่กำด้ามดาบนั้นสั่นระริกริมฝีปากถูกขบกัดจนห้อเลือด เขาแข็งใจนึกถึงสิ่งที่ควรทำ สิ่งที่สาสมแล้วตัดใจกระชากแขนบาดคมดาบลงลึกกลางคอหอยตนเองแล้วแผงอกแน่นก็ได้อาบเลือดต่างน้ำ หลอกหลอนดั่งฝันร้ายร่างแข็งทื่อไม่อาจขยับแม้อยากหลับตาก็เหมือนไม่สามารถบังคับฝืนใดใดได้ แล้วก็ล้มลงหน้ากระจกบานใหญ่ดูตัวเองตายที่ละน้อยภาพใบหน้าเจ็บปวดไร้เกียรติน่าสมเพช เคยเห็นมามากแล้วภาพคนตายน่าอนาถแต่ตรงหน้าเป็นใบหน้าเขาเอง
คาวเลือดคะคลุ้งแดงฉานก่อนจะดับมืดพลันชั่วครู่ก็สว่างจ้าอีกครั้ง เขาตื่นและเริ่มใหม่
“เป็นไง เป็นประสบการณ์ที่หายากนะ---เอ้า เอาอีก” เหมือนมีบางสิ่งที่มองไม่เห็นบังคับร่างของเขาให้กลับมาอยู่ท่าเดิมที่คมดามจ่อคอตัวเอง “ไม่ต้องห่วงข้าจะช่วยทุ่นแรงให้ เจ้าจะไม่ได้หยุดหรอกจนกว่ามันสมควรแก่เวลา”
ฟารันมองเห็นถึงแววตาหวาดหวั่นของตนที่ระริกสะท้อนเงาอยู่ตรงหน้า การสำเร็จโทษตนเองดำเนินไป อีกครั้ง อีกครั้ง อีกครั้ง ......
-----------------
ร่างนั้นซีดเผือดเหมือนเลือดหาย โรเรเนสฟุบหน้าลงดินหอบเหนื่อยขณะแสงตะวันคล้อยต่ำจนใกล้จะเย็นย่ำ เด็กหนุ่มช้อนตาเศร้ามองกอไม้ที่ไม่ไหวติ่งไม่สะทกสะท้านและเขาก็ร้องไห้ออกมาเฉยๆ สะอึกสะอื้นปล่อยโฮเพราะสิ้นหวัง เขาไม่รู้ว่าตัวเองลงมาเป็นมนุษย์เพราะอะไรแต่ถ้าไม่มีฟารันก็ไม่รู้จะทำยังไง ความพันผูกเก่าก่อนนานมาที่เขาจำไม่ได้แต่รู้สึกได้บอกเขาว่าเขาควรอยู่เห็นฟารันมีชีวิตไปเรื่อยๆ นานมาแล้ว เก่ามากแล้วเรื่องระหว่างเขากับกษัตริย์หนุ่มนานมาตั้งแต่ยังไม่ลงมาเป็นมนุษย์แม้จะจำไม่ได้
หยาดน้ำตาหยดหล่นแหมะลงที่โคนต้น อาทิตยายอแสงสาดจ้าเป็นทางส้มสะท้อนเงาหยดน้ำข้างแก้มวาววับเหมือนแสงดาว องค์เทพร่ำไห้อีกครั้งในร่างมนุษย์หากคราวนี้ปวดประหลาดสิ้นหวังมากกว่าเคย แต่หยาดน้ำใสดังยอดเพชรนั่นเองที่ก่อเกิดปาฏิหาร
กลิ่นหอมแปลกที่เย้ายวนและคุ้นเคยเด่นแทรกกลิ่นไอดินขึ้นมา เด็กหนุ่มดีดตัวผุดนั่งแลเห็นตรงหน้าเป็นยอดดอกตูมของกุหลาบน้อย ความหวังและความดีใจท่วมท้นไม่อาจบรรยายเขาหันรีหัวขวางอยู่สองสามทีแล้วกลับมาตั้งสติเพ่งจิตอีกครั้ง คราวนี้ไม่แม้แต่จะแตะก้านดอกด้วยปลายนิ้วเพราะเวทย์มนต์ที่กลับฟื้นคืนสำแดงเดชเร่งการเจริญเติบโตขึ้นอย่างทันตา ไม่นานเท่าใดกอไม้หนามก็ผุดผาดไปด้วยดอกกุหลาบสีนวลนับสิบดอก สวยงามอย่างน่าพิศวงด้วยนี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลกที่กุหลาบจันทราแบ่งบานใต้แสงตะวัน
โรเรเนสร้องไห้โฮเป็นคำรบสองแต่ครานี้ด้วยปิติเจียนสิ้นสติ “ขอบคุณ ขอบคุณ” เขาพร่ำพูดกับเหล่าดอกไม้งามแล้วก้มลงจูบกิ่งหนามตรงหน้าก่อนจะค่อยๆเด็ดดอกไม้สีมุกนั้นที่ละดอกอย่างเบามือ
องค์ชายโฮรันมองตะวันที่ใกล้ลับขอบฟ้าเหมือนตัดใจด้วยสิ้นแสงตะวันก็สิ้นเช่นกันกับชีวิตราห์โอ ผู้คนนับร้อยในเขตวังพากันเศร้าสร้อยแลทำใจเตรียมพร้อมกับการสวรรคตที่เร็วเกินไป แต่ขณะที่ความหวังถูกทิ้งไปโรเรเนสก็วิ่งพรวดเขามาพร้อมดอกไม้ที่หอบมา
“หมอโฮ ข้าได้มันมาแล้ว!” ทุกคนในห้องหันมามองเด็กหนุ่มพลันตกตะลึงกับความงามและกลิ่นหอมล้ำของกุหลาบพันธุ์หายาก ทุกคนไม่คิดฝันว่าชาตินี้จะมีโอกาสเห็นกุหลาบจันทราออกดอกมากไปกว่านั้นคือออกดอกยามมีแสงอาทิตย์อีกด้วย
“เทพแท้ๆ พ่อคุณ” หญิงรับใช้นางหนึ่งพึมพำขึ้น ก่อนเสียงพึมพำจะทวีขึ้นในห้องแต่โรเรเนสไม่ได้ยินหรือสนใจจะฟังเขามุ่งแต่จะให้โฮรันกลั่นยาให้ซึ่งแน่นนอนหมอหนุ่มไม่รอช้าสั่งคนให้เอาอุปกรณ์มาทันที ลากลอสไล่ให้ทุกคนออกไปรอข้างนอกเพื่อให้องค์ชายทำงานสะดวก
“มันจะทันเวลาไหม มันจะทันเวลาไหม” เทพหนุ่มร้อนรนแต่ ถูกห้ามกิริยาไว้ด้วยสหายสนิทองค์ราห์โอรู้ดีว่าเวลานี้ผู้เป็นหมอต้องการสมาธิ
ขะมักเขม้นบดยาอย่างเร่งรีบแข่งกับเวลาอันน้อยนิดไม่กี่อึดใจยาวิเศษก็ได้ที่ เขาจับยากรอกปากพี่ตนแล้วใช้บางส่วนทาพอกลงบนปากแผล ทุกคนยืนนิ่งรอเวลาที่ปาฏิหารจะสัมฤทธิ์ผล แต่จนเมื่อแสงตะวันลับขอบฟ้าแล้วแทนที่ด้วยแสงเทียนก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทุกคนงงงวยแต่ยังไม่ถอดใจ โรเรเนสเดินเข้าไปใกล้ร่างที่นิ่งแล้วทรุดลงนอนแนบศีรษะตนลงกับอกกว้าง หลับตานิ่งพยายามฟังเสียงหัวใจที่เหมือนจะหายไป ใช่เมื่อแนบหูลงฟังเสียงหัวใจได้หยุดไปแล้ว
กลับมาฟารัน กลับมาได้แล้ว “ข้ารอท่านอยู่นะฟารัน”
…..
…………
…………………
ตึก.... แรงบีบเกิดขึ้นอีกครั้ง
ตึก.....แล้วตามด้วยอีกหลายครั้งหัวใจนั้นกลับมาเต้น เต้นขึ้นใหม่เหมือนเด็กแรกเกิดเทพหนุ่มหยัดกายขึ้นเมื่อรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างข้างใต้ตน
“ดูนั่นสิ!”
ลากลอสชี้นิ้วไปยังบาดแผลที่หดหายทันตาร่างกายที่ซีดไร้เลือดค่อยๆกลับคืนดังคนสุขภาพดี ท่านหมอโฮตาตื่นพุ่งเข้าไปจับชีพจรพี่ตนเขานิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยมือข้างนั้นแล้วถอยออกมามองเหมือนไม่เชื่อสายตาตนเอง
“เขาหายแล้ว....เขาหายแล้ว!พิษสลายไปหมดแล้ว!”
องค์ชายโฮรันตะโกนลั่นผู้ที่ถูกกันอยู่ด้านนอกได้ยินก็ถือวิสาสะแห่ถลันกันเข้ามา ปาฏิหารเกิดขึ้นแล้วการส่งเสียงแสดงออกถึงความดีใจเซ็งแซ่ขึ้น นางข้ารับใช้คนเดิมวิ่งออกจากที่เกิดเหตุแล้วประกาศเสียงดังอย่างไม่สำรวมกิริยาว่าองค์ราห์โอรอดแล้ว
ผู้คนในวังต่างดีใจและโล่งใจไปตามกัน ทุกคนออกอาการยินดีกันถ้วนหน้าส่วนองค์เทพรูปงามนั้นเพียงแต่ยิ้มน้อยๆ มองใบหน้าคมสันนั้นอย่างชื่นใจ
มาอัพแล้วจ้า ขออภัยหายไปนานอีกแล้วววว ช่วงนี้ทำโปรเจคจบเดี๋ยวปีหน้าก็เรียนจบ(มั้ง)แล้วเฮ่ หวังว่าจะจบ (เฮ่) หางานทำ (เฮ่) ปีใหม่เทียวไหนกันจ๊ะ ขอบคุณที่ยังรออ่านนะคะ ว่าจะให้จบเรื่องนี้ภายในต้นปีหน้าไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นจะยาวขนาดไหนหะหะ