“ไม่เป็นไรพี่ไม่ถือ”
พูดจบก็คีบตับในถ้วยปานตะวันไปกินเอง คนตัวเล็กกระแอมเบาๆ จากนั้นก็หันกลับมาสนใจถ้วยสุกี้ของตัวเองต่อ แต่สุดท้ายก็หันไปหาพี่ชายบ้านตรงข้ามจนได้
“แล้วพี่เมศชอบกินอะไร”
“หืม” ชายหนุ่มผมดำเอียงคอ “พี่เหรอ?”
ปานตะวันกลอกตา ก็เรียกชื่อไปแล้วนะว่าพี่เมศ...ยังจะมาถามอีกว่าพี่เหรอ
“แถวนี้มีราเมศหลายคนหรือไง”
“กวนประสาท”
“ก็มันน่าไหมล่ะ”
คนอายุมากกว่าส่ายหัว ยอมใจกับความช่างเถียงของไอ้เด็กแสบตรงหน้า ราเมศคีบเต้าหู้ปลาใส่ถ้วยอีกฝ่าย ปานตะวันน่าจะชอบเพราะเขาเห็นชายหนุ่มตัวเล็กเลือกกินเต้าหู้ปลาเป็นอันดับแรกๆ เสมอ แถมกินเยอะกว่าอาหารอย่างอื่นที่เขาตักให้ด้วย
“เอาวุ้นเส้นอีกไหม”
“พอแล้วครับ ขอบคุณ แล้วก็พี่ยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลย”
“คำถาม อ๋อ ที่ว่าชอบกินอะไรน่ะนะ ก็กินได้หมดแหละ”
“ไม่มีของที่ชอบเหรอ อย่างอื่นก็ได้ ขนม อาหารอย่างอื่น”
ดวงตากลมแป๋วมองมาอย่างสงสัยใคร่รู้ ปานตะวันเป็นแบบนี้เสมอ หากเจ้าตัวสงสัยหรือกำลังหาคำตอบอะไรสักอย่างก็จะมีท่าทีเอาจริงเอาจัง นัยน์ตาสีน้ำตาลจะเป็นประกายขึ้นมาทันที
ราเมศยกตะเกียบแตะริมฝีปาก เขาไม่มีของกินที่ชอบเป็นพิเศษ เป็นพวกกินง่ายอยู่ง่าย อะไรที่รสชาติไม่แย่ไปนักก็กินได้ทั้งนั้น แต่ถ้าหากพูดถึงของที่ได้กินบ่อยกว่าอย่างอื่นล่ะก็...
“ขนมไทย...ล่ะมั้ง”
“ขนมไทย?”
“อื้ม พวกขนมชั้น บัวลอย วุ้น ลูกชิด สาคูอะไรพวกนี้”
“เห...”
เห็นหน้าดุๆ ไม่คิดว่าจะกินอะไรติดหวานด้วย เป็นเรื่องใหม่ที่ได้รู้เลยนะเนี่ย และเหมือนจะรับรู้ได้ถึงความคิดเขาราเมศเลยพูดขึ้นมาว่า “ไม่ได้ชอบเป็นพิเศษแต่ก็ชอบน่ะ เมื่อก่อนจันทร์ทำมาให้กินบ่อยๆ”
“อ๋อ จริงด้วย พี่จันทร์ทำขนมอร่อย” สมัยเด็กๆ พี่กับพ่อมักจะช่วยกันทำขนมโดยมีเขาเป็นคนลองชิม พี่เคยเล่าให้ฟังว่าคุณแม่ของพี่จันทร์มีหนังสือสูตรขนมไทยอยู่เล่มหนึ่ง ทำออกมาตามสูตรอร่อยทุกอย่างแน่นอน ความฝันของพี่จันทร์คืออยากเปิดร้านขนมเหมือนที่คุณแม่ของพี่เคยทำ
“พี่จันทร์เคยเล่าให้ฟังว่าอยากเปิดร้านขนมไทยเป็นของตัวเอง”
“ก็เคยเปิดนะ” ราเมศตอบ ปานตะวันสังเกตว่าน้ำเสียงอีกฝ่ายอ่อนโยนลงจนเขารู้สึก...วูบโหวง “เมื่อก่อนจันทร์เคยจะปรับปรุงด้านหน้าเรือนไทยเป็นร้านขนมแบบให้คนมานั่งทานได้แต่ทุนไม่พอ เลยทำได้แค่ทำแล้วฝากพี่ไปขาย จันทร์ทำขนมอร่อย ใครๆ ก็ชอบ เขายังเคยบอกเลยว่าถ้าเก็บเงินได้พอเมื่อไหร่จะเปิดร้านขนมให้ได้”
ปานตะวันกัดริมฝีปาก ลอบมองดวงหน้าหล่อเหลาที่อ่อนโยนลง ในใจพลันรู้สึกหนักอึ้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขารู้สึกได้...ว่าความรู้สึกของราเมศที่มีให้จันทร์จ้าวมากกว่าที่เจ้าตัวแสดงออกให้คนทั่วไปเห็น
บางที...ราเมศอาจจะ...
“งั้นตะวันจะทำให้บ้าง”
“หือ”
น้ำเสียงของปานตะวันตอนพูดประโยคนั้นแผ่วเบาจนราเมศไม่แน่ใจว่าตนได้ยินถูกต้องหรือไม่ คิ้วเข้มเลิกขึ้น “เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ”
“ตะวันบอกว่าตะวันจะลองทำให้บ้าง”
“ทำขนมไทยเป็นหรือไง”
“ไม่...ไม่เป็น” ปานตะวันกัดริมฝีปาก เงยหน้ามองราเมศด้วยท่าทีเอาจริงเอาจัง “แต่ก็ฝึกกันได้ไม่ใช่เหรอ”
“บอกไว้ก่อนเลยนะว่าพี่ทำขนมไทยไม่เป็น” ราเมศถนัดทำแต่อาหารคาวเท่านั้น ถ้าเรื่องของหวานนี่คงสอนให้ไม่ได้
“ตะวันไปเรียนกับคนอื่นก็ได้ ถ้าหาคนสอนไม่ได้ยูทูปกับอินเตอร์เน็ตก็มี”
“โอเคๆ อยากทำก็ฝึก พี่ไม่ได้ว่า แล้วจะทำหน้าเครียดทำไมเนี่ย”
พอถูกทักคนตัวเล็กก็สะดุ้งเฮือก เบือนหน้าหนีทันที เขาไม่รู้สักนิดว่าเผลอขมวดคิ้ว ทำหน้ายุ่งออกไป ตอนนั้นเองที่เสียงเล็กๆ ของเจียหลินดังขึ้นพร้อมกับร่างนุ่มนิ่มปีนมานั่งบนตัก
“เจียหลินกินด้วย นะๆๆๆ น้าตะวัน หนูเจียชอบบัวลอยยย”
“โอ้โห อย่างนี้นายคงต้องไปหัดเรียนแบบจริงๆ จังๆ แล้วล่ะ จะได้ทำบัวลอยให้พี่กับหนูเจียกิน”
“อื้ม...นั่นสินะ”
ปานตะวันกอดเจียหลินไว้
ไม่รู้ทำไมเมื่อครู่...ในใจมันถึงเกิดความรู้สึกอยากจะเอาชนะขึ้นมา รู้ดีว่าไม่ควรคิดแบบนี้ รู้ดีว่าเป็นสิ่งผิด แต่พอเห็นราเมศชมพี่สาวของเขาว่าทำขนมอร่อย ปานตะวันก็อยาก ‘ทำให้อร่อยกว่า’ เพื่อที่ว่า...ราเมศจะได้ชมเขาบ้าง
จะมีสีหน้าอ่อนโยนให้เขา...เหมือนที่มีให้พี่จันทร์บ้าง
ความรู้สึกในตอนนี้...อยากเอาชนะตัวตนของพี่ในใจของราเมศให้ได้...ความคิดแบบนี้ไม่ควรเลย ไม่ควรเลยจริงๆ
“เอ้า ทำหน้ายุ่งอีกแล้ว” เสียงทุ้มห้าวดังขึ้นก่อนที่ปลายนิ้วจะนวดเบาๆ ให้ตรงหว่างคิ้ว ปานตะวันหันไปสบตาอีกฝ่าย รอยยิ้มใจดีที่พักนี้เห็นบ่อยขึ้นถูกส่งมาให้ “อย่าทำหน้ายุ่งสิ”
มันเพราะใครกันล่ะ!
“ตะวันอิ่มแล้ว” เมื่อทนไม่ไหวชายหนุ่มก็พูดออกมา ตัดสินใจรวบช้อนแล้วยกชามไปเก็บ จากนั้นก็คว้ากระเป๋าเงินขึ้นมา พอเห็นราเมศก็ร้องถาม “จะออกไปไหนน่ะ”
“เซเว่น เอาอะไรไหม”
“ไม่ล่ะ...เดินดีๆ นะ รีบกลับอย่าเถลไถลล่ะ”
“คร้าบพ่อ”
ปานตะวันขี่มอเตอร์ไซค์ไปที่เซเว่นใกล้บ้าน ชายหนุ่มหยิบเบียร์ออกมาสองกระป๋องแล้วเดินไปจ่ายเงิน ตั้งแต่มาอยู่กับเจียหลินเขาก็ไม่ค่อยได้ดื่มเท่าไหร่ อย่างน้อยก็ยังไม่อยากให้หลานเห็น แต่วันนี้ไม่รู้ทำไมถึงนึกครึ้มอกครึ้มใจอยากดื่ม แน่ล่ะว่าเบียร์สองกระป๋องไม่ทำให้เมา...แต่ก็ช่วยให้หยุดฟุ้งซ่านได้
เขาไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่เมศกับพี่จันทร์เป็นแบบไหน ทำไมอีกฝ่ายถึงดูใส่ใจเจียหลินมากเกินฐานะเพื่อนบ้าน จะว่าเป็นเพราะเป็นเพื่อนพี่จันทร์...ก็ยังดูทะแม่งๆ
สัญชาตญาณของเขาบอกว่าสองคนนี้มีอะไรมากกว่านั้น
ถ้าหาก...ถ้าหากว่าจริงๆ แล้วราเมศเป็นพ่อที่แท้จริงของเจียหลินล่ะ จะว่าไปเขาไม่เคยเห็นหน้าพ่อแท้ๆ ของหนูเจียมาก่อน ญาติฝ่ายพ่อก็ไม่เคยมาดูหน้าหลาน ถ้าเกิดว่าที่จริงแล้วราเมศเป็นพ่อเจียหลินแต่โกหกเขาว่าเป็นแค่เพื่อนบ้านล่ะ
“แต่ว่าทำไมถึงจะต้องโกหกด้วยนะ” คนตัวเล็กขมวดคิ้ว เผลอพึมพำออกมาจนพนักงานที่กำลังคิดเงินมองเขาตาปริบ ปานตะวันยิ้มเจื่อน รีบส่งเงินให้แล้วคว้าถุงใส่เบียร์ออกมา
เขาฟุ้งซ่านไปจริงๆ นั่นแหละ
เห็นทีวันนี้คงต้องใช้เวลาอยู่กับตัวเองสักหน่อยแล้ว
พอกลับมาถึงบ้านปานตะวันก็เอาเบียร์ไปแอบไว้ในตู้เย็น ราเมศเก็บล้างจานชามอยู่เขาเลยพาหนูเจียไปอาบน้ำแล้วส่งเข้านอน วันนี้เด็กชายนอนเร็วเพราะไม่มีการบ้าน หลังเจียหลินหลับปานตะวันจึงแอบย่องออกมา เดินไปหยิบเบียร์สองกระป๋องออกจากตู้เย็นแล้วย้ายตัวเองไปนั่งตรงชานบ้าน
คืนนี้พระจันทร์สวย ดวงกลมโตสว่างอยู่กลางฟ้า
สวย...เหมือนพี่จันทร์ของเขา
ป๊อก
เบียร์กระป๋องแรกถูกเปิดออก ชายหนุ่มผมน้ำตาลนั่งเหม่อลอย
พักนี้เขารู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เหมือนว่าจะเขินง่าย แก้มแดงง่าย หัวใจก็เต้นถี่บ่อยเกินไป ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย
ไอ้อาการใจเต้นแล้วก็หวั่นไหวกับผู้ชายแบบนี้
เขาเคยคิดว่าตัวเองชอบราเมศ ความคิดนั้นแวบเข้ามาในหัวตอนที่ป่วยแล้วอีกคนเป็นฝ่ายมาดูแล...แต่พอฟื้นไข้ก็คิดไปว่าคงเป็นเพราะป่วยอารมณ์เลยฟุ้งซ่านแล้วก็อ่อนไหวง่ายกว่าปกติ แต่ตอนนี้คงพูดแบบนั้นไม่ได้แล้ว
เขาเป็นคนซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเองมาโดยตลอด ชอบก็ยอมรับว่าชอบ เกลียดก็ยอมรับว่าเกลียด
ถ้าทบทวนความรู้สึกดู...กับราเมศ...จะใช่ชอบหรือเปล่านะ?
ราเมศผู้ชายที่ตอนแรกเจอกันโคตรไม่ชอบหน้า ชอบมองเขาด้วยสายตาดูถูกแถมยังปรามาสว่าเขาดูแลเจียหลินไม่ได้ ตอนนั้นคิดไว้แล้วว่าผู้ชายคนนี้ต้องปากร้ายและหยิ่งรวมถึงหลงตัวเองขั้นโคม่าแน่ แต่พอมาอยู่ด้วยกันกลับไม่ใช่เลย พอเขาเริ่มเปิดใจ พอราเมศเริ่มเปิดใจถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายใจดี ช่างตามใจ และเป็นที่ปรึกษาที่ดี
เป็นคนไม่ค่อยยิ้มแต่พอได้ยิ้มก็ทำเอารู้สึกว่าอยากมองไปนานๆ
เป็นคนไม่ค่อยพูดแต่พอพูดก็ทำให้รู้สึกอบอุ่น(และอยากต่อยหน้าบ้างบางครั้ง)
เป็นคนที่ให้คำปรึกษาได้ พึ่งพาได้
เป็นคนแรกที่ลูบหัวเขา เป็นคนแรกที่ชมและบอกว่าปานตะวันเองก็เป็นคุณน้าที่ดีได้ เป็นคนแรกที่บอกว่าเขาเก่ง เป็นคนแรกที่ดูแล เอาใจใส่ ห่วงใย
รู้ตัวอีกทีก็ชอบไปอยู่ใกล้ๆ ชอบไปให้ดุ ให้บ่น ชอบให้อีกคนยิ้มให้เยอะๆ ชอบให้สอน ชอบให้ชม
ชอบ
ชอบ
“ชอบ”
วินาทีที่คำคำนั้นหลุดรอดริมฝีปากปานตะวันก็ยกมือตะครุบปากตัวเองทันที สองแก้มร้อนผ่าว ไม่ใช่เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์แน่ๆ หัวใจเองก็เต้นถี่ราวกับรัวกลอง
“ชอบ...ชอบงั้นเหรอ”
“ชอบใครเหรอ?”
“เฮ้ย!!!”
เสียงทุ้มที่ดังข้างตัวทำให้คนที่กำลังจมอยู่กับความคิดตัวเองสะดุ้งเฮือก ปานตะวันตกใจประหนึ่งเห็นผี รีบถอยหลังไปหลายก้าว ราเมศมองกิริยานั้นด้วยสายตากึ่งขบขันกึ่งแปลกใจ
“ขวัญอ่อนจริงนะ”
“แล้ว..แล้วใครใช้ให้เดินเข้ามาเงียบๆ เล่า”
ได้ยินไปมากแค่ไหนก็ไม่รู้! ดีนะไม่ได้หลุดออกมาว่าชอบใคร
“แล้วเมื่อกี้พูดว่าชอบ ชอบใครเหรอ”
คนถูกถามสะดุ้งเฮือก ปานตะวันจะรู้ไหมหนอว่าตอนนี้หน้าตัวเองแดงก่ำไม่ต่างจากตำลึกสุกเลยสักนิด
“ชอบอะไร...บ้า!”
“อ้าว ก็นายเป็นคนพูดว่าชอบ”
“เฮ้ย ละเมอ หูฝาด หูแว่วแล้ว ใครพูด ไม่มี”
“อ้าวเหรอ สงสัยจะหูฝาดจริงๆ”
ราเมศคิดว่าตัวเองไม่ได้หูฝาดหรอก ได้ยินเต็มสองหูว่าอีกคนพูดว่าชอบ แต่ไม่รู้ว่าชอบใครหรืออะไร พอจะถามก็กลบเกลื่อนเป็นพัลวันแบบนี้แปลว่าไม่อยากให้รู้ เอาเถอะ ไม่อยากให้รู้เขาไม่ถามก็ได้
ปานตะวันขยับกลับมายืนข้างราเมศอีกครั้ง ชายหนุ่มตัวสูงข้างๆ เงยหน้ามองพระจันทร์ ไม่รู้ว่าคิดเหมือนเขาหรือเปล่า
“เบียร์ไหมครับ”
“ขอบใจ”
คนสองคนยืนข้างกันเงียบๆ จมอยู่ในความคิดตัวเอง สุดท้ายก็เป็นปานตะวันที่เอ่ยขึ้นมาก่อน
“วันนี้หนูเจียดูร่าเริงดีนะ ผมคิดว่าหลานเปลี่ยนไปนิดๆ ล่ะ” เมื่อก่อนก้มหน้า ทำหน้าตาอมทุกข์ แต่ตอนนี้เด็กน้อยร่าเริงสดใสขึ้นมาก คนเป็นน้าเห็นก็ดีใจ ราเมศพยักหน้าเห็นด้วย “แบบนี้ดีแล้วล่ะ จะว่าไปก็ไม่ได้เปลี่ยนหรอก เรียกกลับมาเป็นแบบเดิมดีกว่า เจียหลินน่ะเมื่อก่อนเป็นเด็กดี พูดเก่ง ร่าเริงสดใส แต่พอจันทร์เสียช่วงแรกคงเคว้ง ไม่คุ้นกับญาติ ไม่คุ้นกับนายเลยเงียบ ไม่พูด อมทุกข์ ตอนนี้ก็เริ่มดีขึ้นแล้ว”
“แปลว่าหลานเปิดใจให้ผมแล้วสินะ” ไม่รู้ว่าเปิดเยอะแค่ไหน แต่ก็ถือเป็นเรื่องดี “ได้ยินแบบนี้แล้วดีใจแฮะ” คนตัวเล็กว่ายิ้มๆ จากนั้นระหว่างพวกเขาก็ไม่มีบทสนทนาใดขึ้นมาอีกจนกระทั่งปานตะวันทำลายความเงียบขึ้นมาอีกหน
“คืนนี้...พระจันทร์สวยเนอะ”
“อืม สวย”
“ชอบไหม”
“อะไร”
“พระจันทร์”
ใจจริงก็อยากจะถามไปว่า จันทร์จ้าวน่ะ...ชอบไหม แต่ไม่ถามดีกว่า
“ชอบ” เห็นไหม แค่นี้เขารู้สึกแน่นในอกแล้ว หน่วงๆ เหมือนอกจะหักตั้งแต่ยังไม่เริ่ม ในตอนนั้นเองที่คนข้างกายเขาพูดออกมาว่า “แต่ชอบกลางวันมากกว่ากลางคืน”
“กลางวันไม่เห็นพระจันทร์นะ”
“อืม บางวันไม่เห็นก็ดีเหมือนกัน”
“อ้าว ไหนบอกชอบ”
“ก็บางครั้งพอมองแล้วมันก็เศร้า...หน่วง เลยชอบตอนกลางวันมากกว่า พอมีแสงสว่างแล้วมันก็รู้สึกมีชีวิตชีวาดี”
“ร้อนจะตาย”
ราเมศหัวเราะ โยกหัวปานตะวันเบาๆ คนถูกรังแกแยกเขี้ยวขู่ เหลือบตามองคนข้างกายก็เห็นรอยยิ้มถูกส่งมาให้อีกแล้ว ยิ้มบ่อยกว่าเมื่อตอนพบหน้ากันแรกๆ จริงด้วย พอคิดแบบนั้นหัวใจก็เต้นแรงขึ้น เขาถูกยอมรับแล้วใช่ไหม ได้ขยับเข้าไปใกล้มากกว่าเดิมแล้วหรือเปล่านะ ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาต้องถาม ใช่...ต้องถามให้รู้เรื่องไปเลย จะได้ตัดใจได้ก่อนจะเลยเถิดไปมากกว่านี้
ก่อนที่ความรู้สึกจะมากขึ้นกว่านี้
“พี่เมศ พี่น่ะ...” ชอบพี่จันทร์หรือเปล่า
“หืม”
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร”
คนตัวเล็กเบือนหน้ากลับมา สุดท้ายก็ไม่กล้า
“พี่เมศ”
“อะไร เรียกแล้วก็ไม่พูด”
“สมมติว่าถ้าเราเผลอชอบคนที่มีคนที่ชอบอยู่แล้ว จะทำยังไงดี”
ราเมศเลิกคิ้ว หรือว่าที่มีท่าทางแปลกๆ แถมยังมานั่งดื่มเบียร์ชมจันทร์อยู่นี่เพราะมีปัญหาหัวใจ? ไม่เคยเห็นเจ้าตัวแสบเป็นแบบนี้เลยแฮะ อยากรู้แล้วสิว่าคนแบบไหนทำให้ปานตะวันชอบได้
“เขามีแฟนแล้วหรือยัง”
“ยัง ก็แค่มีคนที่ชอบ”
ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของพี่จันทร์กับคนตรงหน้าเป็นแบบไหน งั้นเขาจะโมเมไปก่อนแล้วกันว่าราเมศแอบชอบ พอพูดตอบไปแล้วอีกฝ่ายก็เงียบก่อนจะตอบกลับมาว่า “ก็คงจะพยายามเอาชนะคนในใจเขาล่ะมั้ง”
“ต้องพยายามสินะ”
“เออ ไม่พยายามก็ไม่มีวันได้มาหรอก แล้วนี่อะไร มีปัญหาหัวใจเหรอ มาปรึกษาพี่ได้นะ ฮ่าๆ”
“ตัวเองก็โสดแท้ๆ จะเป็นที่ปรึกษาให้ใครเขาได้”
“เห็นอย่างนี้ก็เคยจีบสาวนะ”
ลมหายใจของปานตะวันสะดุด เขารีบเงยหน้ามองร่างสูงทันที “ใครน่ะ”
“ไม่บอกหรอก”
“เฮ้ยยย ได้ไง”
ราเมศหัวเราะลั่น เขากอดคอปานตะวันไว้ ได้กลิ่นแชมพูจากเรือนผมสีน้ำตาลสว่างของอีกฝ่าย “คนบางคนก็ไม่ใช่คนที่จะได้มาง่ายๆ คนในใจเขาก็ไม่ใช่คนที่จะเอาชนะได้ง่ายๆ”
“ความรักนี่ยากเนอะ”
“อืม แต่ได้มีมันก็ดีนะ...ดีกว่าไม่มีเลย”
“ถึงแม้เราจะเสียใจมากๆ งั้นเหรอ” ถึงจะต้องเจ็บปวดเจียนตาย...ถึงสุดท้ายแล้วรักนั้นก็จะไหม้เป็นเถ้า แบบนั้น...ก็ยังดีกว่าไม่มีความรักอีกงั้นหรือ
“ใช่ ควรค่า...แก่การได้รักดูสักครั้ง” สายตาแบบนั้นอีกแล้ว สายตาอ่อนโยน อ่อนหวาน แฝงแววเจ็บปวดเจือจางเอาไว้ เขาแน่ใจแล้วว่าพี่เมศรักพี่จันทร์แน่นอน แต่พี่จันทร์รักตอบไหมเขาก็ไม่รู้และคิดว่าถามไปตอนนี้ก็คงไม่ได้คำตอบ แต่ปานตะวันแน่ใจว่าในแววตาอีกฝ่ายคือความรักที่มีให้พี่สาวเขาไม่ผิดแน่ เพราะแบบนี้เองสินะถึงได้ดูแลเจียหลินอย่างดี เพราะเป็นลูกของคนที่รัก
ปานตะวันหลุบตาลง ซ่อนแววบางอย่างเอาไว้ในดวงตา
“ความรัก...บางครั้งก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรทุ่มเทให้มากขนาดนั้น”
พวกเขาเงียบกันไป ปานตะวันกำกระป๋องเบียร์ในมือแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เห็นดังนั้นราเมศจึงจับมือเขาคลายออก ยึดกระป๋องเบียร์ไป ชายหนุ่มตัวเล็กก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาสับสนวุ่นวายเกินกว่าจะหันไปกวนประสาทอีกฝ่าย
“ง่วงหรือยัง”
“นิดหน่อยครับ”
“งั้นไปอาบน้ำ”
“แล้วพี่ล่ะ กลับไปนอนบ้านเหรอ”
“ก็คงเป็นแบบนั้น”
ปานตะวันพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยรั้ง ไม่ได้พูดอะไรเอาแต่ใจ เขาแค่ยิ้มให้แล้วกล่าวขอบคุณที่มาช่วยดูแลเท่านั้น “ขอบคุณแล้วก็ราตรีสวัสดิ์ครับ”
“อื้อ ฝันดีนะ”
ดวงตากลมวูบไหว ปานตะวันถอยหลังไปช้าๆ แต่พอไปถึงประตูที่กั้นชานเรือนกับตัวบ้านไว้อีกฝ่ายก็หันมาหาเขา พูดขึ้นด้วยท่าทางจริงจังว่า
“ผมจะฝึกทำขนมไทยนะ จะทำให้อร่อยให้ได้” อร่อยกว่าพี่จันทร์ด้วย “ถึงตอนนั้นพี่ต้องกินนะ” แล้วก็ต้องชม ต้องยิ้มให้แบบที่ทำเวลาพูดถึงพี่จันทร์ด้วยนะ
ปานตะวันจะเอาชนะตัวตนของพี่สาวในใจราเมศให้ได้
ถึงความรักบางความรักจะไม่ควรทุ่มเท...แต่หนนี้ปานตะวันคิดว่าเขายินดีเสี่ยงและพร้อมจะทุ่มเทให้มัน
รออยู่ครู่หนึ่งราเมศถึงได้ส่งยิ้มให้ ยิ้มกว้างกว่าครั้งไหนๆ เป็นรอยยิ้มที่ส่งผลต่อหัวใจอย่างร้ายกาจรวมถึงคำพูดที่อีกฝ่ายพูดออกมาด้วย “พี่จะรอนะ!”
ปานตะวันกลับเข้าบ้านไปแล้วแต่ราเมศยังคงยืนอยู่ตรงนั้น เขายกกระป๋องเบียร์ที่เป็นของปานตะวันขึ้นจรดริมฝีปาก ชะงักไปเมื่อคิดขึ้นมาเล่นๆ ว่านี่ก็คงไม่ต่างจากจูบทางอ้อม รอยยิ้มหล่อเหลาวาดขึ้นที่ริมฝีปากคู่นั้น ดวงตาคมสีนิลมองดวงจันทร์ที่เปล่งประกายกลางฟ้า
คืนนี้พระจันทร์สวยอย่างที่เด็กคนนั้นพูดไว้ แต่น่าแปลกที่ตอนยืนข้างกันราเมศไม่ได้สนใจพระจันทร์เลยแม้แต่น้อย สมาธิทั้งหมดของเขาจดจ่ออยู่กับคนตัวเล็กข้างกาย
“ชอบ...งั้นเหรอ”
ไม่รู้ว่าประโยคนั้นเป็นการทวนประโยคที่ปานตะวันพูดหรือเพื่อ..สื่อบางสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของเขากันแน่
“นี่จันทร์จ้าว...ตอนนี้เธอจะยกโทษให้ฉันหรือยังนะ” ชายหนุ่มรำพึงกับใครบางคนที่ไม่มีตัวตนอยู่อีกแล้ว “แล้วถ้าฉันขอเป็นคนดูแลลูก...และน้องชายของเธอ เธอจะยอมหรือเปล่านะ”
หัวใจบีบรัดอย่างเจ็บปวดเมื่อนึกถึงคำพูดสุดท้ายที่หญิงสาวคนนั้นพูดกับเขาก่อจะจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
“เธอยังเกลียดฉันอยู่หรือเปล่า...แต่รู้ไหม ถึงเธอจะเกลียดฉันฉันก็ไม่เคยเกลียดเธอเลย” ไม่เลยแม้สักนิด “แต่ว่าตอนนี้ฉันรู้สึกไม่ดีเลย”
ความรู้สึกอีกฝ่ายกำลังแทรกซึมเข้ามาในใจของเขา ทั้งที่รู้ว่าผิด ทั้งที่รู้ว่าไม่ควร แต่ก็ห้ามไม่ได้
กับปานตะวัน...ห้ามไม่ได้เลย
“ฉันยังรักเธอ” หรือเปล่านะ...สับสนเหลือเกิน ความรู้สึกมากมายตีรวนในอกจนแทบทนไม่ไหว “แต่ฉันไม่อยากรักเธออีกต่อไปแล้ว”
และบางทีอาจไม่ได้รักเธออีกแล้ว
ชายหนุ่มเหยียดยิ้มขมขื่น ตอนนี้ในใจเขาเหมือนมีปมเชือกอยู่หนึ่งปม แก้เท่าไหร่ก็ไม่ได้เสียที และตอนนี้มันก็ทำท่าว่าจะซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
ราเมศกระดกเบียร์ในกระป๋องที่ถืออยู่รวดเดียวหมด
“ความรักนี่ยากจริงๆ ด้วยนะ”
แถมยังขมฝาดและเชิญชวนให้ลิ้มลอง ทำให้ลุ่มหลงมัวเมา ไม่ต่างอะไรกับรสสุราเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย
**********************************************************
สวัสดีค่าาา เรากลับมาแล้ววว หลังจากหายไปในดงงานและการสอบนานมากกกกก ขออภัยสำหรับความล่าช้านะคะ แง
อาทิตย์หน้าก็คาดว่าจะไม่ได้ลงเพราะติดสอบ O-net (หลั่งน้ำตา) พบกันเสาร์ถัดจากเสาร์หน้าเลยนะคะ ฮือออ
กลับมาที่ตอนนี้ เขียนจบปุ๊บรู้สึกมึนงงตามพี่เมศ 5555 ความรักยากจริงๆ ด้วย โดยเฉพาะความรักของคนที่ยังสับสนอยู่
มาเอาใจช่วยให้คู่นี้เปิดใจกันสักทีกันดีกว่าค่ะ เย้
ช่วงนี้เราอาจจะไม่ได้ลงงานทุกสัปดาห์ได้เหมือนเรื่องก่อนๆ เพราะมีหลายอย่างจริงๆ
บางครั้งก็เหนื่อยที่จะเขียนขึ้นมาดื้อๆ ขอโทษด้วยนะคะ แต่เราจะพยายามทำให้ดีที่สุดค่ะ
ขอฝากปานตะวันไว้ในอ้อมใจทุกคนด้วยนะคะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ จุ๊บ
ปล. ติดตามข่าวสารนิยายและพูดคุยกับเราได้ทางเพจ AzureDream นะคะ