มาต่อให้แล้วนะคะ เชิญอ่านค่ะ
เตือนอีกครั้ง เรื่องนี้จะเรื่อยๆ เอื่อยๆ แอบอุ่นทีละน้อย นะคะ
ปล.แอบมากดบวกให้รีบนฐานที่มาเรียกได้ตรงวัน 55555
.........................
บทที่หนึ่งในความทรงจำ
: “Eu já gostou de você.” ในที่สุดการเรียนของวันแรกก็จบลงครับ วันๆหนึ่งที่นี่เรียนแค่ครึ่งวันเท่านั้น
ผมเลยเลิกเรียนตอน 11 โมงครึ่ง
ผม.....อยากได้ของจำเป็นในการดำรงชีวิตที่นี่ แล้วคนที่จะช่วยได้ก็คงมีคนเดียว...เอดู
“I want to buy dictionary.”
“Qué?”“ดิกชันนารีน่ะ นายช่วยพาไปร้านขายหนังสือได้มั้ย?”
เหอะๆนี่ขนาดดูท่าเป็นคนที่ภาษาอังกฤษดีที่สุดในชั้นแล้วนะ ประโยคที่ผมพูดไปมันก็ธรรมดาๆไม่ยากสักหน่อย แต่ในเมื่อผู้ช่วยหนึ่งเดียวที่พอหาได้ของผมไม่เข้าใจ
ผมเลยเขียนคำว่า dictionary ใส่กระดาษแล้วยื่นให้เอดูมันดูซะเลย
“Ahh dicionário” เฮ้อ.....เข้าใจจนได้
“อืม ดิซิโอน้าริโอ้ของแกนั่นแหละ ช่วยพาไปซื้อหน่อยได้มั้ย?”
ผมถามเอดูอีกครั้ง ไม่เข้าใจว่าจะยิ้มเรี่ยราดขนาดนั้นทำไม สงสัยสำเนียงของผมเวลาพยายามออกเสียงภาษาบ้านเขาคงจะเหน่อมากแน่ๆ
“Claro!” หงะ ไอ้บ้าเอดู มันจะพยายามสอนมากไปมั้ย
ผมเงยหน้ามองมันที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะ กำลังล้วงเอาหมวกแก๊พที่สอดไว้กระเป๋าหลังกางเกงยีนส์สีซีดทรงกระบอกขึ้นมาใส่
คาดว่าแววตาของผมคงแสดงออกถึงความหมั่นไส้มันเต็มแก่
มันเลยหัวเราะร่วนออกมาแล้วก็ยอมพูดกับผมเป็นภาษาอังกฤษจนได้
“Sure!”
“อ๋อ...... คลาโร อืมๆ โอบริกาโด้ เอดู”
“อ๋อออออออ” กร้ากกกกกกกกส์ เอดูมันเลียนเสียงผมครับ มันออกเสียงอ๋อแล้วลากยาวๆ ตลกสุดๆ ฮ่าๆๆๆ ผมชักเข้าใจแล้ว ว่าทำไมเพื่อนๆถึงหัวเราะทุกทีที่ได้ยินผมพูดภาษาของพวกเขา
“หึๆๆ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
“Qué?” แน่ะๆมันทำหน้าตากึ่งงงกึ่งอยากหาเรื่องมาให้ผม
ทีนี้เข้าใจกันบ้างรึยังล่ะว่าเวลาที่ผมพูดอะไรแล้วโดนเพื่อนๆรุมหัวเราะน่ะ มันเป็นยังไง
“อ๋อ is the sound we use when we’re understanding in something.”
เอ่อ....เอาน่า แกรมม่าช่วยคุณไม่ได้หรอกเวลาต้องมาอธิบายอะไรแบบนี้ การสื่อให้คนตรงหน้าเข้าใจได้ดูจะสำคัญกว่ารูปประโยคสละสลวยงดงามเป็นไหนๆ
“อ๋อออออออ entende!”เอดูมันพยักหน้าหงึกหงักเข้าใจอยู่คนเดียว ส่วนผมสิเริ่มงงกะไอ้ ‘เองเทนจิ’ ของมันอีกแล้ว
คง....ประมาณว่าเข้าใจแล้วเหมือนกันล่ะมั้ง
ร่ำลาเพื่อนๆที่ยังเหลืออยู่ในห้องไม่กี่คนแล้วผมก็เดินตามเอดูออกมา
“ร้านอยู่ไกลมั้ย?”
“ไม่หรอก ขี่จักรยานไปไม่เกินสิบนาทีก็ถึง”
“แล้วถ้าเดินล่ะ?”
“สิบห้านาที ไม่สิ ยี่สิบนาทีได้”
“อืมๆ ไปกันเถอะ” ผมตั้งท่าจะเดินออกจากประตูโรงเรียนก็ถูกมือที่เพิ่งสังเกตว่าใหญ่เบ้อเริ่มคว้าแขนเอาไว้
“อะไรเหรอ?”
“เอาจักรยานก่อน”
ผมเดินตามเอดูไปเข้าไปในทางที่มองจากหน้าประตูจะเห็นว่าเป็นซอกเล็กๆอยู่ด้านข้างตึกอำนวยการ เมื่อเข้าไปถึงได้เห็นว่าภายในแบ่งเป็นช่องไว้สำหรับจอดจักรยาน
ตอนนี้จักรยานที่เหลืออยู่มีไม่ถึงสิบคัน คงเป็นเพราะโรงเรียนเลิกมาเกือบสิบห้านาทีแล้ว
แปลกใจอยู่เหมือนกันที่พอถึงเวลาเลิกเรียนก็แทบไม่มีใครมัวอ้อยอิ่งอยู่เลย
ทำให้ผมนึกเปรียบเทียบกับบรรยากาศหลังเลิกเรียนที่โรงเรียนของผมในกรุงเทพขึ้นมา เสียงเจี๊ยวจ๊าวจะแข่งกันลอดออกมาจากทุกห้องเรียน
ไม่มีใครรีบกลับบ้าน ถ้าไม่อยู่จับกลุ่มเตะบอลเล่นบาส ก็มักจะนัดกันออกไปเดินสยาม ไปดูหนัง หรือไม่ถ้าเป็นพวกที่มีสาระมากๆก็พากันไปรอเรียนพิเศษ
เอดูจูงจักรยานออกมาแล้ว หึๆๆจักรยานสีแดง
ผมว่าก็เข้ากันดีนะ เด็กหนุ่มร่างใหญ่กับผมสกินเฮด ใส่หมวกแก๊พสีเทากับเป้ติดหลังสีเทาอ่อนกว่า
และก็เหมือนเดิม มันพยายามสอนคำศัพท์ใหม่ให้ผม
“bicicleta”
อย่างนี้แหละเข้าใจง่าย เพราะมีของให้เห็นอยู่ตรงหน้า ผมก็ได้แต่ออกเสียงตาม แล้วก็ควักสมุดโน้ตเล่มเล็กๆออกมาจดไว้เป็นภาษาคาราโอเกะ ‘บิซิเคลตะ’
“จักรยาน”
ผมลองแลกเปลี่ยนด้วยการสอนภาษาไทยมันบ้าง มันเองก็พยายามจะออกเสียงตามนะ แต่ให้พูดออกมากี่ครั้งมันก็ไม่คล้ายสักที ผมว่าน่าขันยิ่งกว่าตอนผมพูดตามมันอีก
เอดูมันขึ้นคร่อมจักรยานแล้ว ผมเลยเริ่มตั้งท่าจะออกเดินอีกครั้ง แต่ก็เหมือนเดิม มันส่งเสียงเรียกผม
แปลกแฮะ ที่ชื่ออิส ทำไมมันออกเสียงชัดจัง
“อิส”
“Qué?”
มันบอกให้ผมซ้อนจักรยานมันไป
มันไม่ได้บอกด้วยคำพูดหรอกครับ ผมรู้ว่ามันคงคิดไม่ออกว่าจะพูดภาษาอังกฤษยังไงให้ผมเข้าใจ ว่าต้องการให้ผมขี่จักรยานไปกับมันด้วย มันเลยใช้ภาษาใบ้เอา ชี้มือชี้ไม้ให้วุ่นวาย แต่ผมก็เข้าใจนะว่ามันหมายความว่าอะไร
“não” ผมพัฒนาแล้วครับ อยู่มาเข้าวันที่สองแล้ว แค่คำปฏิเสธง่ายๆนี่สบายมาก ฮ่าๆๆ
“por qué não?”
ซวยแล้วไง ถ้าแค่ เนา ที่แปลว่า no น่ะ ผมรู้ แต่ไอ้ที่เอดูมันเพิ่มขึ้นมาข้างหน้านี่มันอะไรกัน???
สีหน้าผมตอนนั้นคงบอกมันหมดแล้วล่ะ ว่าผมงงและไม่เข้าใจเอาจริงๆ
แต่จะให้อธิบายว่าเพราะจักรยานมันมีอานเดียว แล้วจะให้ผมไปนั่งตรงไหน มันก็ยากเกินไป
ไม่ใช่ว่าผมไม่ลองนะ ผมลองอธิบายมันในภาษาอังกฤษแล้ว แต่มันก็ไม่เข้าใจ
เอ......หรือว่ามันแกล้งทำตีมึนไม่เข้าใจก็ไม่รู้
การสนทนาภาษาใบ้เพื่อเถียงกันเป็นครั้งแรกของผม จบลงด้วยการยื่นนาฬิกาข้อมือมาให้ดูจากไอ้เอดูมัน แถมซ้ำยังเอานิ้วอีกมือมาชี้ๆเป็นการย้ำอีกว่าเสียเวลามานานแล้วนะ ผมล่ะอยากจะด่ามันจริงๆว่าถ้ามันไม่มัวยื้อให้ผมนั่งซ้อนไปด้วยป่านนี้คงใกล้ถึงร้านหนังสือแล้ว
ในที่สุดผมก็แพ้ ......แหงล่ะ ก็ถึงเถียงกันไปก็ไม่จบสักที
ตอนนี้เลยกำลังหามุมเหมาะๆจะขึ้นไปอยู่บนจักรยานอีกคน เอดูมันคงเห็นผมหมุนไปหมุนมาไม่ขึ้นสักที มันเลยดึงผมให้นั่งบนคานจักรยานด้านหน้ามันทั้งๆที่ตัวมันยังยืนคร่อมจักรยานอยู่นั่นแหละ
มันจะรอดมั้ยเนี่ย ผมก็ไม่ใช่จะตัวเบาๆนะ แต่เอาเหอะ จักรยานของมัน
อยากให้นั่งตรงนี้ก็ตามใจมันแล้วกัน.....
ระหว่างทางผมก็ให้เอดูมันบอกคำศัพท์ไปเรื่อย พอผมชี้ไปที่อะไร มันก็จะบอกว่าบ้านมันเรียกว่ายังไง
ที่ออกเสียงตามง่ายๆผมก็จะจำได้
อย่าง rua ฮัว.....ถนน, carro คาห์โฮ....รถยนต์
céu เซว.....ท้องฟ้า, terra เตฮา.....พื้นดิน
ทางที่มันขี่จักรยานพาไปเดี๋ยวก็ขึ้นเนินเดี๋ยวก็ลงเนิน มีช่วงหนึ่งที่เนินลาดชันมากจนทั้งผมทั้งมันต้องลงเดินแล้วจูงจักรยานไป
คือว่าเมืองที่ผมมาอยู่นี่จะเป็นอย่างนี้ทั้งเมืองเลยครับ คุณๆที่ดูหนังที่ฉากหลังเป็นซานฟรานซิสโกก็แบบนั้นแหละครับ เป็นเนินสูงๆต่ำๆไปทั้งเมือง
เพียงแต่ซาน โฮเซ่ เล็กกว่ามาก แล้วก็ไม่มีรถรางด้วย ฮ่าๆๆ
อย่าว่าแต่รถรางเลยครับ รถประจำทางเองยังมีแค่สองสาย แถมจะผ่านมาเป็นเวลาชั่วโมงละครั้งเท่านั้น ข้อมูลพวกนี้นี่ผมรู้มาจากผู้ดูแลนักเรียนแลกเปลี่ยนประจำเมืองตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ
เพราะผมก็ถามไปแหละว่ามันมีรถประจำทางผ่านโรงเรียนมั้ย ซึ่งสรุปได้ว่าถ้าจากบ้านผม ต้องเดินไปที่ป้ายรถเมล์ก็เกือบๆห้านาที แถมรถจะมาผ่านตั้งแต่เจ็ดโมงตรงด้วย ถ้าพลาดแล้วก็พลาดเลย
แต่ถ้าผมเดินจากบ้านตรงไปโรงเรียนเลย ถ้าเดินเร็วๆก็จะใช้เวลาประมาณสิบนาที ผมเลยตัดสินใจว่าเดินไปกลับโรงเรียนเองดีกว่า
พอถึงร้านขายหนังสือ ผมก็ตรงเข้าไปซื้อดิกชันนารีอังกฤษ-โปรตุกีส โปรตุกีส-อังกฤษ ขนาดที่พอจะพกพาได้ไม่ยากมาเล่มหนึ่ง คราวนี้ล่ะ ชีวิตผมที่นี่คงง่ายขึ้นเยอะ
ออกมาจากร้านเอดูมันก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ลากตัวผมขึ้นจักรยานท่าเดิมทันที
ได้ยินมันบ่นอะไรงึมงำไม่รู้เรื่อง ถามผมว่าบ้านอยู่ไหน ผมก็บอกชื่อถนนไป เพราะที่อยู่เป็นอะไรที่ถูกบังคับให้ท่องเป็นอย่างแรก
ตอนแรกมันก็ทำหน้างงกับสำเนียงของผมนิดหน่อย แต่สุดท้ายมันก็หนีบผมมาส่งถึงหน้าบ้านจนได้
“obrigado.”
ผมขอบคุณพร้อมส่งยิ้มกว้างขวางไปให้มันหนึ่งครั้ง ขณะกำลังจะเดินไปกดออดเรียกให้คนในบ้านเปิดประตู มันก็ดึงแขนผมไว้
ผมหันไปเลิกคิ้วส่งสีหน้าสงสัยว่ามันรั้งผมไว้ทำไมไปให้ มันก็ดึงผมเข้าไปใกล้ เอาแก้มแนบแก้ม
ผมสะดุ้งนิดๆแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร เพราะที่นี่เวลาเจอกันหรือเวลาลาก็มักจะทำอย่างนี้
เพียงแต่ว่านอกจากพ่อที่ทำตอนเจอกันครั้งแรกแล้ว ก็ยังไม่เคยมีผู้ชายคนไหนทำแบบนี้กับผมอีกเลย
เพื่อนๆผู้หญิงสิ แทบทั้งห้องแล้วมั้งที่เข้ามาทักทายผมด้วยท่าทางแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อเช้า
เอดูมันโน้มหน้ามาเอาแก้มแนบแก้มแล้วห่อปากส่งเสียงจุ๊บ แล้วก็พูดลา
“tchau”“เชา”
ผมก็ได้แต่ปล่อยให้มันทำไปแหละ ตัวเองยืนแข็งค้างไปแล้ว แถมยังเริ่มรู้สึกหน้าร้อนอีกต่างหาก
เอาล่ะสินี่ผมคงไม่ได้หวั่นไหวกับสัมผัสง่ายๆที่คนอื่นๆก็ทำเพื่อทักทายและล่ำลาหรอกนะ
อีกอย่าง....เอดูกับผม เราเป็นผู้ชายเหมือนกันนี่นา ทำไมตอนสาวๆทำแบบนี้ผมไม่เห็นว่าตัวเองจะรู้สึกร้อนเลยสักนิด
“เชา”
ผมสรุปในใจว่าอาจจะเป็นเพราะเวลาเที่ยงกว่าๆแบบนี้แดดแรง เมื่อเอดูมันเลี้ยวจักรยานย้อนไปทางโรงเรียน
ยกมือซ้ายขึ้นมาในลักษณะโบกลาแล้วปั่นขึ้นเนินกลับบ้านมันบ้าง
แถมไอ้เพื่อนคนแรกของผมยังอารมณ์ดีจนมีเสียงผิวปากเป็นเพลงลอยตามลมมาด้วย
................................
................................
พอเข้าบ้านได้ แม่บ้านจัดการหามื้อกลางวันให้ผมเรียบร้อย ผมก็เข้าไปนอนกลิ้งอยู่บนเตียงในห้องส่วนตัว หยิบพจนานุกรมที่เพิ่งได้มาออกมากาง
พร้อมกับเทียบหาความหมายของคำที่เขียนเป็นภาษาคาราโอเกะไว้ในสมุดโน้ตเล่มเล็ก
จนมาเจอกับประโยคนี้ ‘เอว จา กอสโตว ดิ โว้เส’
‘Eu já gostou de você.’ ผมชอบคุณเข้าแล้ว แหม....อย่างกับประโยคสารภาพความในใจเลยแฮะ
แต่ มันอาจจะหมายถึงชอบ แบบเดียวกับเวลาที่เราตื่นเช้าขึ้นมาเจออากาศดี
แล้วก็บอกว่า ชอบอากาศแบบนี้จังก็ได้นี่นา.......
ผมปัดความรู้สึกแปลกๆที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วออกไป แล้วก็ผล็อยหลับไปทั้งที่ยังอยู่ในเครื่องแบบนักเรียนเสื้อยืดขาวกางเกงยีนส์
แล้วก็......พร้อมกับคำแปลของประโยคนั้นที่ดังก้องอยู่ในสมอง ‘ผมชอบคุณเข้าแล้ว’...................................
...................................
..โปรดติดตามตอนต่อไป..