บทที่ 18
ตอนแรกก็พยายามไม่ใส่ใจ แต่หลังๆ มานี้แอชลีย์ก็เริ่มรู้สึกว่ามันแปลกจริง วันนี้อัลฟ่าหนุ่มสวมสเวตเตอร์ไหมพรมสีครีมดูแปลกตาไปจากปกติรวมกับกางเกงขายาวสีขาวและผมที่ไม่ได้เซ็ตปล่อยตามธรรมชาติขับความเคร่งขรึมดังเช่นทุกวันให้ดูอ่อนโยนขึ้นกว่าเก่า
ไม่บ่อยนักกับการแต่งตัวที่ให้บรรยากาศผ่อนคลายแบบนี้ในวันไปทำงาน แต่จะให้เขาทำอย่างไรล่ะตัวที่จะใส่หายไปไหนก็ไม่รู้ วันนี้เลยต้องเลือกหยิบชุดที่ไม่ค่อยได้ใส่ออกมาแทน
เขาเก็บความประหลาดใจสับสนทั้งหลายเอาไว้มาหลายวันพกมาทำงานด้วยและตอนนี้มันก็ใกล้ปะทุเต็มที
คาร์ลินเลิกคิ้วจ้องมองไปยังที่ปรึกษาซึ่งเอาแต่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดมาตลอดการประชุมประจำสัปดาห์ ตอนแรกเขากำลังจะเดินออกจากห้องไปตามคนอื่นๆ แล้วแต่พอหันกลับมายังอัลฟ่าที่มีตำแหน่งนั่งเยื้องกันออกไปทางขวาคนนี้เลยอดไม่ได้จะต้องนั่งกลับลงบนเก้าอี้ประธานดังเดิม
“วันนี้นายดูแปลกตาไปนะ” เริ่มทักด้วยประโยคทั่วไป ใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มสุภาพตามแบบฉบับของเจ้าตัว
“เหรอ” คนโดนทักทำเพียงเหลือบตามามองเพียงสามวินาที
“อืม ดูผ่อนคลาย” เขาเสริมไปอีกนิด “ใส่สีสดใสก็เป็นนี่”
“ปกติก็ใส่แค่ตอนอยู่บ้าน พักผ่อน”
“แล้ววันนี้?”
คาร์ลินเริ่มรู้สึกสนุกขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้รับเสียงถอนหายใจตอบกลับมาแทน ดูเหมือนคนอย่างแอชลีย์คิมก็มีวันนี้เหมือนกันนะ วันที่มีเรื่องอึดอัดใจหรือประสบกับปัญหายุ่งยาก ดูจากท่าทางก็รู้ว่าพร้อมจะเล่าทุกเมื่อแค่รอให้มีคนเปิดประเด็นก็เท่านั้น
“ไม่ยักรู้ว่านายก็มีวันนี้กับเขาเหมือนกัน” ราชาแห่งวินเทอร์ฟอลกลั้นขำขณะมองไปยังอัลฟ่าผู้มีใบหน้าเย็นชาเขม่นใส่ ตานี่ขวางเชียว
“มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นในบ้านมาสักพักแล้ว” แอชลีย์นิ่งไปคล้ายกำลังเรียบเรียงคำพูด เนื่องจากสิ่งที่กำลังจะเอ่ยต่อไปนี้มันดูงี่เง่าสิ้นดี ใครจะเชื่อล่ะถ้าเขาบอกไปว่าคฤหาสน์คิม หนึ่งในตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจถูกโจรบุกเข้ามาปล้น ใครได้ยินก็คงหัวร่อจนขาดอากาศหายใจตาย
แถมของที่โดนปล้นไปก็ยัง...
หากเป็นคนอื่นคงหมดความอดทนแล้วเดินจากไปแล้วกับความยื้อเวลาเช่นนี้โดยเฉพาะตัวแอชลีย์เอง แต่มันคงไม่ใช่กับผู้ฟังอย่างคนตรงหน้า คาร์ลิน ไล ชายผู้แสนใจเย็น สุภาพบุรุษเป็นที่หนึ่ง ต่อให้คู่สนทนาจะเป็นแบบไหนแต่เขาก็ยังคอยให้เกียรติฟังจนจบเรื่องเสมอ น้ำอดน้ำทนของอีกฝ่ายมีสูงมากกว่าแอชลีย์หลายสิบเท่า
“ฉันคิดว่าอาจมีขโมยในคฤหาสน์”
คาร์ลินแสดงแววตาประหลาดใจออกมาอย่างโจ่งแจ้ง “อะไรทำให้คิดแบบนั้น”
“หลายวันมานี้เสื้อผ้าในตู้ของฉันหายไป”
“แค่เสื้อผ้าเหรอ มันฟังดูไม่ค่อยมีเหตุผลเลยนะ”
แน่ล่ะสิ ตัวเขาเองก็ไม่ได้อยากจะพูดออกมานักหรอก โจรบ้าที่ไหนจงใจบุกเข้ามาถึงคฤหาสน์ของตระกูลระดับสูงขนาดนี้ แถมของมีค่าอะไรไม่มีหายไปสักอย่างมันเจาะจงเอาแต่เสื้อผ้าของเขาไป แถมยังอุตส่าห์ใจดีเอากลับมาคืนอีกด้วย ถ้าเป็นคนอื่นที่นำเรื่องนี้มาเล่าให้แอชลีย์ฟังสาบานเลยว่าคนคนนั้นต้องโดนเขาไล่ตะเพิดออกไปแน่นอนเพราะมันฟังดูไร้สาระสิ้นดี
โจรอะไรจะติ๊งต๊องขนาดนี้
“อืม แค่เสื้อผ้า เลือกเอาเฉพาะตัวที่ใส่บ่อยๆ ด้วย หายไปทีละชิ้นสองชิ้นบางครั้งก็เสื้อ บางครั้งก็เนคไท” เขาหยุดคิดไปครู่หนึ่ง “ผ้าเช็ดตัวก็มี”
คาร์ลินลูบคางอย่างใช้ความคิด แวบหนึ่งเขารู้สึกสะกิดใจอะไรบางอย่างแต่ก็ขอรอฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากเพื่อนคนนี้ก่อน
“ใช่โจรจริงหรือเปล่าเนี่ย พฤติกรรมประหลาด”
“ก็ใช่น่ะสิ มีที่ไหนขโมยไปแล้วยังอุตส่าห์เอากลับมาคืนด้วย ฉันล่ะซึ้งใจแทบตาย” เขาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่รู้ต้องโมโหหรืออะไรดีกับเหตุการณ์แบบนี้ แอชลีย์รู้สึกว่าจะหัวเราะก็ไม่ได้จะร่ำไห้ก็ไม่ออก
“เดี๋ยวนะ แน่ใจจริงๆ น่ะหรือว่าเป็นขโมย ถ้าเอามาคืนก็ไม่เรียกขโมยแล้ว” ทางคนฟังเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน
“แล้วมันจะหายไปไหนล่ะ ถามคนในบ้านแล้วก็ไม่มีใครเห็น”
“คู่ของนายล่ะ”
“ถามแล้ว เขาบอกว่าไม่รู้” แอชลีย์นึกไปถึงเมื่อวานที่ได้ลองสอบถามคนตัวเล็กดู “จะว่าไปก็ดูแปลกๆ นะตอนโดนถาม” เขาว่าอย่างไม่ใส่ใจ
เป็นคาร์ลินที่เงียบไปบ้าง ชายหนุ่มกอดอกขณะครุ่นคิดความเป็นไปได้บางอย่าง
“พักนี้ท่านชายวาเลนเธียเป็นอย่างไรบ้าง”
“ถามทำไม” คราวนี้แอชลีย์ตวัดสายตามามองเขม็ง น้ำเสียงเข้มขึ้นอีกระดับ
“เห็นเจย์เล่าให้ฟังว่าคุยกันถูกคอ นิสัยใจคอน่ารักน่าคบหา ฉันเองก็ไม่ค่อยได้พบท่านชายเลยคิดว่าถ้ามีโอกาสก็อยากจะสนทนากันสักครั้งในฐานะเจ้าบ้าน”
“ไม่จำเป็น” ตอบเสียงห้วน
“ทีเมื่อก่อนนายมาวุ่นวายกับเจย์ฉันยังไม่เห็นจะห้ามสักคำ”
แอชลีย์มุมปากกระตุก เขาเอนตัวลงกับเก้าอี้แล้วหมุนตัวไปสบตาคู่สนทนาตรงๆ “ไม่ห้ามแต่ต่อยกันยับ อีกอย่างตอนนี้ซินเธียเป็นคนของตระกูลคิมแล้ว ยังจะมาเจ้าบ้านอะไรอีก ตอนนี้เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของวินเทอร์ฟอลเหมือนกัน”
ไม่บ่อยนักกับการจะได้เห็นท่านชายคิมคนนี้พูดยืดยาวในหนึ่งประโยค คาร์ลินเองก็เป็นคนประเภทเดียวกับอีกฝ่ายเหมือนกันแต่วันนี้เขาดันรู้สึกสนุกสนานในการสนทนากับที่ปรึกษาคนนี้เป็นพิเศษ
“นั่นมันสมควรแล้วกับสิ่งที่นายมายั่วโมโหฉัน ทำอะไรไม่เข้าท่า” ดวงตาสีครามหลุบลงมองเวลาจากนาฬิกาข้อมือเล็กน้อย “เอาล่ะ อีกเดี๋ยวฉันต้องรีบกลับแล้ว พูดเรื่องของนายมาเสียที สรุปช่วงนี้คู่ของนายเป็นยังไงบ้าง”
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าผู้ชายรักครอบครัวแบบคาร์ลินจะรีบกลับบ้านไปทำอะไร ถึงจะไม่พอใจกับคำถามอีกฝ่ายแต่เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของเจ้าตัวถึงยอมเล่าออกไปแต่โดยดี อัลฟ่าตรงหน้านี้น่ะปกติไม่ใช่คนไร้สาระอยู่แล้ว ทุกประโยคที่หลุดออกมาจากคนคนนี้ย่อมเป็นเหตุเป็นผลเสมอ
“ก็สบายดี เจริญอาหาร ช่วงนี้ติดจะนอนเยอะเป็นพิเศษ” แวบหนึ่งมองเห็นประกายบางอย่างในดวงตาของราชาอัลฟ่า
“เขาดูไม่ใช่คนเกียจคร้านเลยนะ”
“ปกติก็ไม่ใช่ แต่ไม่รู้ช่วงนี้เป็นอะไร กลับบ้านไปก็ไม่ค่อยเจอเห็นคนบอกว่านอนอยู่ในห้องทั้งวัน” กล่าวถึงตรงนี้แอชลีย์ก็เริ่มฉุกใจ “หรือจะไม่สบาย”
“คิดว่าไม่หรอก”
“นอนมากไปแบบนั้นจะดีหรือ เกิน 10 ชั่วโมงแล้วมั้งมันดูผิดปกตินะ”
“ไม่หรอก ปกติ” คาร์ลินยิ้มเล็กๆ ในดวงตาคล้ายคนมีอะไรในใจ
“ฉันว่าคฤหาสน์คิมไม่ได้มีขโมยหรอก”
แอชลีย์ขมวดคิ้ว “หมายความว่ายังไง”
“นายเคยได้ยินเกี่ยวกับการสร้างรังไหม” ยิ่งพูดคู่สนทนาก็ยิ่งทำหน้างุนงง เป็นครั้งแรกที่คาร์ลินอยากจะลองทำตัวยียวนดูสักครั้งแต่ก็รู้ว่าอัลฟ่าตรงหน้าเป็นประเภทขีดจำกัดทางอารมณ์ต่ำเลยล้มเลิกความคิดนั้นไป เอาเท่าที่คุยกันมาวันนี้ก็ได้เห็นอะไรแปลกใหม่มาเยอะแล้ว
“ไอ้เรื่องที่นายเล่ามาน่ะฉันก็เคยประสบอยู่นะ แต่ไม่ใช่ว่ามีขโมยที่ไหนหรอก บางทีมันอาจจะเป็นสัญญาณบางอย่าง”
“สัญญาณอะไร” แอชลีย์นับถือใจตัวเองที่ยังคงนั่งฟังอีกฝ่ายพูดมาจนถึงประโยคนี้ เขาไม่เคยอดทนถามหนึ่งประโยคตอบหนึ่งประโยคแบบนี้มาก่อน เสียงของชายหนุ่มเริ่มต่ำลงทุกวินาทีบ่งบอกว่าขีดจำกัดความอดทนนั้นใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
“เรื่องนี้อัลฟ่าทั่วไปจะไม่รู้ก็ไม่ผิดแต่คนที่มีคู่เป็นโอเมก้าจะเข้าใจดี พวกเขามีพฤติกรรมอย่างหนึ่งเรียกว่าการสร้างรัง”
แอชลีย์เงียบฟังปล่อยให้ทางนั้นอธิบายมารวดเดียวไม่คิดขัดอีก
“ที่น่าขำก็คือในรังนั่นมีแต่พวกของนุ่มนิ่มกับเสื้อผ้าของฉันเต็มไปหมด” มาถึงตรงนี้คนเล่าก็หลุดขำออกมา นัยน์ตาสีครามเต็มไปด้วยความสุขและเอ็นดูยามนึกถึงคนรัก
“บางทีท่านชายอาจจะกำลังสร้างรังอยู่ก็ได้ เสื้อผ้าของนายคงอยู่ในนั้นนั่นล่ะไม่ได้หายไปไหนหรอก”
“ไอ้รังนั่นมันคืออะไรกันแน่” นี่คือคำถามที่แอชลีย์ต้องการรู้มากที่สุดหลังจากอดทนฟังคนตรงหน้าพล่ามมานาน
“เหมือนเป็นสถานที่ที่ทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยน่ะ ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจกระบวนความคิดของพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนั้นเหมือนกัน แต่การสร้างรังของโอเมก้ามีหลายปัจจัย พวกเขาทำมันตามสัญชาตญาณบางทีก็ขึ้นอยู่กับสภาพอารมณ์ เจย์เดนเองก็เคยสร้างรังเหมือนกันแต่เขาทำมันไม่บ่อยหรอก เขาจะทำเฉพาะตอนที่ฉันไม่ว่างอยู่กับเขาหรือหายจากบ้านไปนานๆ ซึ่งวันแบบนั้นก็ไม่ค่อยมีหรอก” ไม่รู้คิดไปเองหรือไม่ แต่ไอ้สีหน้าราวกับกำลังอวดอยู่นั่นคืออะไร
คาร์ลินจิบน้ำด้วยท่าทางแบบสุภาพชน วันนี้เองก็เป็นวันที่เขาพูดเรื่องไร้สาระนอกเหนือจากงานยืดยาวจนน่าประหลาดใจตัวเองไม่ต่างจากคู่สนทนา
“แต่เท่าที่สังเกตเจย์ชอบสร้างรังบนเตียงไม่ก็ตู้เสื้อผ้านายไม่เห็นบ้างเหรอ เหมือนพวกเขาจะชอบสถานที่ที่เป็นส่วนตัวหรือเงียบๆ แต่คุ้นชิน ถ้าตอนนี้ท่านชายเริ่มสร้างรังมันก็น่าจะอยู่ในห้องนอนนะ”
แน่นอนว่าคนโดนถามส่ายหน้าเป็นคำตอบ พอฟังแล้วนำทุกอย่างมาวิเคราะห์ความเป็นไปได้เรื่องสถานที่ก็คงไม่พ้นห้องนอน เพราะวันๆ เจ้าโอเมก้าของเขาก็ใช้ชีวิตอยู่แค่ไม่กี่แห่ง ห้องหนังสือ ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ถ้าจะสร้างรังจริงๆ มันก็ควรอยู่แถวนั้นสิ แต่ทุกวันนี้เขายังไม่พบความผิดปกติอะไรเลยถึงไม่นึกเอะใจสักนิด
“ถ้าอย่างนั้นนายต้องรีบตามหารังของท่านชายแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นเสื้อผ้าคงจะหมดตู้เข้าสักวัน”
แอชลีย์นั่งนิ่งไม่คิดสนใจน้ำเสียงเจือแววขบขับกับสีหน้าท่าทางหยอกล้อจากคาร์ลิน ตอนนี้ชายหนุ่มกำลังเงียบเพื่อครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
-----
ช่วงบ่ายแอชลีย์กลับมาถึงคฤหาสน์แล้วก็พบกับบรรยากาศเดิมๆ คือไม่เห็นภรรยาตัวแสบนั่งคอยอยู่ในห้องเรือนกระจกเช่นเคย
ไม่รู้ไปแอบอยู่ตรงไหน
ที่ผ่านมาแอชลีย์ไม่ได้นึกใส่ใจอะไรแต่ดูเหมือนวันนี้จะไม่ใส่ใจไม่ได้เสียแล้ว
ชายหนุ่มเดินผ่านห้องเรือนกระจกทะลุไปถึงห้องนั่งเล่นด้านใน สวนด้านหลัง ห้องครัว ห้องอาหาร ห้องหนังสือวนจนครบแล้วก็มุ่งหน้าขึ้นสู่ชั้นสอง สองเท้าก้าวไปตามโถงทางเดินเชื่องช้า ไม่นึกรีบร้อน นัยน์ตาสีอำพันสอดส่องทุกห้องที่เดินผ่านตั้งแต่ปีกตะวันตกที่นอกจากคุณพ่อกับคุณแม่เคยใช้พักอาศัยจนวนกลับมาสู่ปีกตะวันออกของคฤหาสน์อันเป็นพื้นที่ส่วนตัวของตนเอง ไร้ซึ่งร่องรอยของเป้าหมาย
จนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องนอนของตัวเอง
เดิมทีแอชลีย์ไม่คิดคาดหวังจะได้เจอภรรยาของตัวเองไปป้วนเปี้ยนบริเวณฝั่งปีกตะวันตกอยู่แล้ว ส่วนนั้นเดิมเป็นพื้นที่ส่วนตัวของคุณพ่อกับคุณแม่ มีแค่ห้องนอนกับห้องทำงานเก่ารวมถึงห้องว่างที่เอาไว้เก็บของใช้ส่วนตัว ตอนนี้พวกท่านย้ายออกไปแล้วนอกจากแม่บ้านที่ต้องเข้าไปทำความสะอาดสัปดาห์ละครั้งก็คงไม่มีใครไปอีก ตัวซินเธียเองก็ไม่มีเหตุผลต้องไป
ส่วนฟากปีกตะวันออก ถึงจะมีห้องว่างมากมายรวมห้องรับรองแต่เนื่องด้วยแอชลีย์เป็นบุตรเพียงคนเดียวของตระกูลคิมในรุ่นปัจจุบัน บริเวณนี้เลยมีเขาอาศัยอยู่คนเดียวซึ่งขณะนี้ก็มีใครอีกคนมาอยู่ร่วมด้วย
เอื้อมมือไปจับประตูขยับเลื่อนเพื่อเปิดมันออกอย่างช้าๆ ภาพความว่างเปล่าของห้องนอนปรากฏในครรลองสายตา ยังไม่ทันจะก้าวเข้าไปก็ได้กลิ่นฟีโรโมนของพวกเขาทั้งสองลอยอบอวลอยู่ในอากาศผสมปนเปกันไปจางๆ
‘แต่เท่าที่สังเกตเจย์ชอบสร้างรังบนเตียงไม่ก็ตู้เสื้อผ้านายไม่เห็นบ้างเหรอ เหมือนพวกเขาจะชอบสถานที่ที่เป็นส่วนตัวหรือเงียบๆ แต่คุ้นชิน ถ้าตอนนี้ท่านชายเริ่มสร้างรังมันก็น่าจะอยู่ในห้องนอนนะ’
รอบทั้งบ้านแอชลีย์ไปสำรวจมาทุกซอกทุกมุมอย่างละเอียดแล้ว นอกจากห้องนอนยังจะมีที่ไหนอีก ชายหนุ่มเดินดูรอบๆ ภายในห้องนอนแต่ก็ดูไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร
แมวตัวนี้ซ่อนเก่งเสียจริง
เขาเดินมาทรุดตัวนั่งลงบนปลายเตียงตาก็เลื่อนมองสอดส่องหาบางสิ่งบางอย่างพลางครุ่นคิด ไม่ว่าจะตู้หรือบนเตียงตอนเช้าจากมาเป็นอย่างไรตอนนี้กลับมาก็เป็นอย่างนั้น เมื่อครู่ลองเข้าไปดูในห้องเสื้อแล้วก็ดูปกติจะมีก็แต่ราวข้างหนึ่งในตู้ที่ดูโหวงไปนิดหน่อย มันไม่ได้ดูผิดสังเกตอะไรเลยเพราะจำนวนเสื้อที่หายไปไม่ได้มากขนาดครึ่งตู้แต่สำหรับแอชลีย์ที่กลับมาพร้อมโหมดตรวจตรา สังเกตทุกรายละเอียดย่อมมองเห็นความไม่ปกติในความปกตินั้น
แล้วสายตาก็ต้องไปสะดุดกับบางสิ่งบางอย่าง
อะไรบางอย่างที่แพลมออกมาใต้ช่องของประตูด้านในสุดของห้องนอน แอชลีย์ไม่รอช้าที่จะเดินไปหยิบมันขึ้นมาดู ด้วยความที่ประตูกำลังปิดสนิทอยู่ทำให้ไม่สามารถหยิบมันขึ้นมาได้ทั้งหมด แต่เอาแค่ส่วนที่แพลมออกมาก็รู้แล้ววามันคือเนคไทของเขาไม่ผิดแน่
และจะเป็นของใครไปได้อีกในเมื่อซินเธียเองก็ไม่ได้ใช้มันในการแต่งตัวเลย
ปกติห้องนี้สะอาดเรียบร้อยอยู่เสมอยิ่งการจะมีเสื้อผ้าเรี่ยราดอยู่บนพื้นยิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะเขามีห้องสำหรับแต่งตัวแยกเอาไว้ จะยกเว้นเสียก็ตอนทำกิจกรรมตามประสาสามีภรรยา แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลอยู่ดี เพราะทุกวันจะมีคนคอยเข้ามาทำความสะอาดตามเก็บกวาดทุกสิ่งทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทางเสมอ
อัลฟ่าหนุ่มหยัดตัวขึ้นเต็มความสูงขณะจ้องบานประตูไม้เนื้อดีตรงหน้า ประตูบานนี้เป็นทางเชื่อมไปสู่อีกห้องหนึ่งซึ่งแอชลีย์เคยใช้เมื่อสมัยยังเป็นเด็ก มีทางเข้าสองทางคือด้านนอกซึ่งเป็นทางปกติและเข้าจากห้องนี้เพื่อความสะดวกเวลาคุณแม่แวะมาดูแลเขาตอนดึกๆ แอชลีย์ใช้ห้องนี้ตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งอายุครบ 10 ปีถึงได้ย้ายออกมาอยู่ห้องนี้แทนส่วนบุพการีทั้งสองก็ย้ายไปอยู่ปีกตะวันตก
ตั้งแต่โตขึ้นห้องนี้ก็ไม่เคยถูกใช้อีกเลย จนบางครั้งเจ้าของห้องอย่างแอชลีย์ก็ยังหลงลืมไปเนื่องจากประตูถูกซ่อนเอาไว้มุมในสุดของตัวห้อง บริเวณทางเข้ามีฉากกั้นบังเอาไว้อยู่อีกทอดหนึ่ง
และมันก็คงเป็นห้องสุดท้ายที่ยังไม่ถูกสำรวจ
ประตูถูกเลื่อนเปิดแผ่วเบา กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยเข้ามาแตะจมูก เป็นกลิ่นที่แสนคุ้นเคย
จะไม่คุ้นได้อย่างไรในเมื่อมันเป็นกลิ่นของคนที่เขานอนกอดอยู่ทุกคืน
อัลฟ่าหนุ่มก้าวเข้าไปด้านในเชื่องช้าภาพที่เห็นตรงหน้าไม่ได้สร้างความประหลาดใจเสียเท่าไหร่ เขาคงคาดไม่ถึงหากว่าไม่ได้ฟังคำบอกเล่าจากคาร์ลินมาก่อน แต่ก็นับว่าสิ่งที่เห็นก็ทำเอาต้องแอบชะงักฝีเท้าอยู่เหมือนกัน
พอเข้าใจเรื่องรังมาคร่าวๆ เพียงแต่รังที่ว่าแอชลีย์ไม่คิดว่ามันจะใหญ่ขนาดนี้
ตรงมุมในสุดมีบางสิ่งบางอย่างตั้งอยู่ มันค่อนข้างมองยากเนื่องจากอาณาเขตโดยรอบของสิ่งที่คาดว่าจะเป็นรังของใครอีกคนถูกปกคลุมด้วยมุ้งโปร่งสีอ่อนราวกับปราการชั้นนอก แต่ก็พอมองออกว่าข้างในนั้นเต็มไปด้วยสารพัดข้าวของของเขา
เห็นแบบนี้แล้วความค้างคาใจ ความหงุดหงิดตลอดหลายวันมานี้ก็กระจัดกระจายหายไปไหนไม่รู้ นึกจะโกรธก็โกรธไม่ลง อ่อนอกอ่อนใจไปหมด ไม่รู้ต้องจัดการคนตรงหน้านี้อย่างไรดี
แอชลีย์ขยับเข้าไปใกล้ ยกแขนขึ้นกอดอกขณะทอดมองคนที่กำลังขดตัวนอนซุกหมอนกองโตอย่างสุขสำราญสบายกายสบายใจในนั้น
โดยไม่อาจรู้ตัวเลยว่ากำลังมีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องอยู่
มุมปากหยักขยับเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
TBC