เป็นหนี้ ครั้งที่ 29 ตี้ดดดดดดดดดดดดดด
ภาพรอยหยักขึ้นลงที่แสดงงการเต้นของชีพจรและความดันเคลื่อนที่ถี่และเร็วกว่าปกติจนใจหวาดหวั่นก่อนจะหยุดลงและเป็นเส้นตรงยาวเพื่อบอกให้รู้ว่าชีพจรที่เต้นเร้าอยู่อย่างทรมารใจผู้เฝ้าดูได้กลับสู่ความสงบนิ่ง
นี้คือสิ่งที่ปรากฏสู่สายตาที่เบิกค้างของอัมรินทร์ก่อนที่ภาพหน้าจอการโทรแบบเห็นหน้าของอีกฝ่ายจะถูกตัดลง ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบงันอีกครั้ง และครั้งนี้มันกลับเงียบไปถึงขั้วหัวใจ
ตุบ
โทรศัพท์มือถือเครื่องสีขาวที่เพิ่งถูกใช้งานเมื่อครู่ล้วงหลนจากมือคู่อ่อนแรง หากแต่อัมรินทร์ยังคงยืนอยู่ตรงที่เดิม เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยใจที่ว่างเปล่า
เปลวตายแล้ว...
ภาพที่แม้จะดับไปแล้วแต่กลับแจ่มชัดติดตายากจะสลัดให้หลุด ขาเข่งที่ยืนหยัดอย่างแข็งเกร่งมานานนับยี่สิบแปดปีกลับอ่อนแรงไร้กำลังจนไม่สามารถทรงกายให้ตั้งตรงได้อย่างทุกครั้งเหมือนเสาหินที่เคยแข็งแรงถูกพังลงจนล้มลงกับพื้น
เพราะที่พังคือใจของเขา...
ดีที่เขาใช้มือทั้งสองข้างค้ำตัวตัวเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไปทั้งตัว แต่ยิ่งเห็นโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นตกอยู่ตรงหน้ามือทั้งสองข้างก็เผลอกำเข้าหากันแน่น เขาขบเขี้ยวตัวเองแน่นยกมือข้างหนึ่งชกพื้นกระเบื้องของโรงพยาบาลอย่างแรงเจ็บร้าวอย่างอัดอั้น
พลัก
พลัก
แต่ถึงจะเจ็บจนกระดูร้าวยังไงเขาก็ไปได้สนใจมัน อัมรินทร์ชกกำปั้นลงพื้นอย่างไม่หยุดยั้งจนเนื้อแตกก่อนจะกู่ร้องออกมาเหมือนคนจะขาดใจ
“อ๊ากกกกก!”
เรียงร้องปานจะขาดใจลงด้วยความเจ็บปวดดังออกไปถึงด้านนอกห้องพักฟื้นจนคนสามคนที่กำลังเดินตรงมายังห้องที่ว่าชะงักมองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนจะวิ่งสุดฝีเท้าไปยังห้องที่ว่า
“ไอ้อัน!”
อนิรุทธิ์ผลักบานประตูออกอย่างแรงแล้วเรียกคนที่อยู่ในห้องเสียงดัง หากแต่ภาพของน้องชายที่เขารักกลับทำให้คนอย่างเขาแทบหยุดหายใจ
อัมรินทร์ที่เอาแต่ชกมือลงกับพื้นเหมือนคนคลุ่มคลั่งไม่รับรู้อะไรแม้แพวกเขาจะเปิดประตูผลัวะผละเข้ามาเสียงดัง ลิลดาเองที่เป็นผู้หญิงถึงกลับยกมือขึ้นปิดปากกับภาพของเพื่อนสนิทที่อยู่ในสภาพย่ำแย่จะมีก็แต่ลูกตาลที่เหมือนจะพอตั้งสติได้เร็วกว่าใครวิ่งชนไหล่เรียกสติของอนิรุทธิ์ตรงไปล็อกตัวอัมรินทร์จากด้านหลังไม่ให้ชายหนุ่มทำร้ายตัวเอง
“ลุง ใจเย็นก่อน!” เด็กหนุ่มตะโกนใส่ พยายามรั้งร่างที่พยศใส่ให้สงบ
“ปล่อยกู! กูบอกให้ปล่อย” อัมรินทร์ดิ้นเร้า
อนิรุทธิ์ที่พอได้สติกลับมาอยุ่กับที่กับทางก็รีบตรงเข้าไปช่วยเด็กหนุ่มจับตัวอัมรินทร์ที่คลุ่มคลั่งเอาไว้ไม่หยุด
“ไอ้อัน! พอได้แล้วมือมึงพังหมดแล้ว” อนิรุทธิ์พูดเสียงดังคล้ายเรียกสติผู้เป็นน้อง
หลังมือหนาสีแทนน้ำผิวของอัมรินทร์มีแต่เลือดที่ไหลซึมออกมาจากบาดแผลที่เกิดจากการเนื้อกระแทรกพื้นอย่างแรงโดยเฉพาะตรงข้อนิ้ว หากเขายังปล่อยไว้แบบนี้เขาไม่รู้เหมือนกันว่ากระดูกที่มือของอีกคนจะแตกไปด้วยหรือไม่
“เดี๋ยวลิลจะไปตามพยาบาล” ลิลดาเสนอตัวก่อนจะวิ่งออกจากห้องไป เพราะเธอรู้ตัวว่าตัวเธอเป็นผู้หญิงคงไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะช่วยอนิรุทธิ์กับลูกตาลจับตัวอัมรินทร์ได้แน่ แต่อย่างน้อยสิ่งที่เธอทำได้ก็คงไม่พ้นการไปตามพยาบาลให้มาทำแผลที่หลังมือให้อัมรินทร์ หลังจากที่อีกคนเลิกคลุ่มคลั่งแล้วละนะ..
“ไอ้อัน มึงใจเย็นก่อนดิวะ มันกะ-“ คนพูดชะงักคำถามที่กำลังจะถามออกไปเมื่อใบหน้าของคนที่กำลังอารวาทฟาดงวงฟาดงาอย่างไม่สนใจใครหน้าไหนกำลังร้องไห้ออกมา
อัมรินทร์กำลังร้องไห้...
“ไอ้อัน” อนิรุทธิ์เรียกอีกคนเสียงแผ่วเบาเหมือนคนใจหาย “จะ ใจเย็นก่อนนะเว้ย ค่อยๆพูดค่อยๆจาอย่าทำร้ายตัวเองแบบนี้” เขาพยายามปลอบ
พวกเขาโตมาด้วยกันด้วยคำสอนของสุริยะผู้เป็นบิดาของอัมรินทร์ ‘ผู้ชายน่ะ อ่อนแอได้แต่อย่าให้ใครเห็นน้ำตาของเราเด็ดขาด’ และพวกเขาก็ปฏิบัติกันมาอย่างนี้ตลอด โดยเฉพาะอัมรินทร์ เขาไม่เคยเห็นคนที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและน้องชายที่เขารักร้องไห้ออกมาแบบนี้ นี่ถือเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้
การสูญเสียเป็นเรื่องที่ใครก็ยากจะยอมรับมันได้เรื่องนี้ตัวเขาที่เคยผ่านมันมาย่อมรู้ดี และเขารู้จากคำบอกเล่าของลูกตาลแล้วเมื่อเช้าก่อนออกมาว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงที่เขายังยังอยู่ภายในงาน
เขาสูญเสียหลาน ลูกตาลสูญเสียน้อง และอัมรินทร์กับเปลวอรุณสูญเสียลูก...
การสูญเสียของอัมรินทร์ถือเป็นเรื่องที่หนักหนาถึงเขาจะไม่รู้ว่ามันมากขนาดไหนแต่ก็คงไม่ต่างกับตัวเขาที่เคยเสียพ่อกับแม่ผู้ให้กำเนิดไปตั้งแต่ตัวยังเล็ก ถึงจะพูดได้ไม่เต็มปากว่าเข้าใจแต่เขาเชื่อว่าเขาเข้าใจมัน
“ใจเย็นนะ” เขาดึงตัวอัมรินทร์เข้ามากอด ตบหลังเบาๆคล้ายกำลังปลอบ เมื่อเห็นว่าอัมรินทร์ยอมที่จะสงบลงมาบ้างแล้วลูกตาลที่ใช้แขนทั้งสองข้างล็อคช่วงไหล่อยู่จึงค่อยๆคลายกำลังออก
หลังจากคลุ่มคลั่งทำร้ายตัวเองอัมรินทร์ก็เซื่องซึมจนอีกสองคนได้แต่มองหน้ากัน อัมรินทร์นั่งลงที่ขอบเตียงใบหน้าก้มต่ำดวงตาเหม่อลอยไร้ชีวิตชีวาถึงพวกเขาจะอยากถามหาเปลวอรุณจากอีกคนว่าพักฟื้นอยู่ห้องไหนก็ได้แต่เก็บเงียบเอาไว้แล้วเปิดทางให้พยายาลที่ลิลดาพาตัวมาเข้ามาทำแผลให้อัมรินทร์
โชคดีที่แผลที่มือไม่ได้ร้ายแรงจนถึงขั้นที่ว่าจะมีชิ้นส่วนไหนสึกหรอหรือกระดูกหักอย่างที่พวกเขากลัว มีเพียงผิวเนื้อที่ปริแตกจากการกระแทรกแต่ก็เจ็บน่าดูอยู่พอตัวยิ่งเป็นมือข้างที่ถนัดด้วยการดำเนินชีวิตของอัมรินทร์จนกว่ามือข้างนั่นจะหายก็ลำบากเอาการอยู่
“อย่าเพิ่งให้แผลโดนน้ำนะคะ” พยาบาลวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“น้ำหน่อยไหม” ลูกตาลเอ่ยขึ้นพลางบิดฝาขวดน้ำที่แช่เอาไว้อยู่ในตู้เย็นส่งมาให้คนยังคงนั่งซึมกระทืออยู่กับที่
อัมรินทร์เมินเฉย น้ำตาที่ไหลก่อนหน้าเหือดแห้งลงแล้วเหลือเพียงแค่คราบรอยที่ยังอยู่กับเวลาตาปวดร้าวแทบขาดใจจนคนที่มองดูพลอยปวดร้าวใจตาม
“มันเกิดอะไรขึ้นหรออัน” ลิลดาเอ่ยถาม โดยละเรื่องที่เปลวอรุณแท้งเอาไว้ด้วยกลัวจะกระทบจิตใจของเพื่อน
อัมรินทร์ขบกรามกำมือแน่นแล้วคลายออกด้วยใบหน้าเจ็บปวด
“เปลวตายแล้ว”
คำตอบที่ได้อยู่เหนือความคาดคิดของทุกคน อนิรุทธิ์ ลิลดา และลูกตาลต่างมีสีหน้าที่ตื่นตกใจกับข่าวคราวการสูญเสียอีกครั้งอย่างไม่ทันตั้งตัว
“มันฆ่าเปลว ไอ้ราชัน ไอ้ฆาตกรนั่นมันฆ่าเมียกู มันฆ่าเปลว” อัมรินทร์คว้าเสื้อของอนิรุทธิ์เข้ามากำไว้แน่น “มันให้คนฉีดอะไรให้เปลว ชีพจรเปลวเต้นเร็วมาก แล้ว แล้วก็หยุดลง” มือสองข้างเปลี่ยนมากุมหัวตัวเอง
ลิลดาหน้าซีดเผือก เธอแทบไม่อยากจะเชื่อว่าราชันจะทำอย่างที่ถูกกล่าวหาหากแต่สภาพของอัมรินทร์ในตอนนี้กลับหักล้างคำว่าไม่เชื่อของเธอจนหมดสองขาเรียวสวยอ่อนแรงก้าวถอยหลังและสะดุดนั่งลงกับโซฟา
“แต่เราไม่มีหลักฐาน ยังไงก็ฟ้องเอาผิดกับคนทำไม่ได้” ลูกตาลพูดขึ้น “ถ้าลุงคิดจะไปเอาเรื่องเขาละวังจะโดนฟ้องกลับข้อหาหมิ่นประมาท” อัมรินทร์ไม่อยู่เฉยเรื่องนี้แน่ เด็กหนุ่มจึงพูดดักทางเอาไว้เสียแต่เนิ้นๆ
อนิรุทธิ์เห็นด้วยหากแต่ใบหน้าเด็กหนุ่มใรครานี้กลับดูยากกว่าทุกครั้งที่เคยเห็น แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาให้ความสนใจอะไรมากเท่ากับสภาพของอัมรินทร์ในตอนนี้
“ มึงควรพักก่อน” เขาว่าพลางดับตัวอัมรินทร์ให้นอนลง
“กูไม่อยากนอน” อัมรินทร์รั้นขื่นกายเอาไว้ไม่ยอมนอน
“มึงต้องพักไอ้อัน ไม่ก็ไปอาบน้ำให้ใจเย็นลงก่อน” เขาว่าพร้อมส่งถุกกระดาษที่บรรจุเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้ “กูเชื่อว่าถ้าเปลวเขารู้เขาคงรู้สึกไม่ดีเท่าไรที่เห็นมึงทำร้ายตัวเองแบบนี้หรอกนะ”
อัมรินทร์หน้าม้ายยอมที่จะเอื้อมมือรับถุงกระดาษที่ส่งมาแล้วลุดเดินหายเข้าห้องน้ำไป
อนิรุทธิ์มองตามหลังอีกคนไปแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“เรื่องนี้มันเป็นเรื่องจริงหรอคะ” ลิลดาเอ่ยถามเสียงเบาสั่น กรอบตาสวยเลือไปด้วยน้ำตา
“ไม่รู้สิ แต่ไอ้อันมันคงไม่เอาเรื่องพวกนี้มาล้อพวกเราเล่นแน่” อนิรุทธิ์ว่าอย่างลำบากใจเดินลงไปทรุดตัวนั่งข้างลิลดาแล้วรั้งตัวเธอเข้ามากอดปลอบ
“แล้วนั่นนายจะไปไหน” อนิรุทธิ์หันมาทักเมื่อเห็นว่าลูกตาลกำลังจะเดินออกจากห้องไปด้วยสีหน้าทะมึนตึง
“โทรไปลางาน เดี๋ยวผมมา” เจ้าตัวว่าด้วยเสียงคล้ายไม่สบอารมณ์เสียเท่าไรก่อนจะเปิดประตูออกไปโดยไม่พูดอะไรต่อ
อนิรุทธิ์เองก็เข้าใจว่าเด็กหนุ่มคงกำลังอยู่ในช่วงที่สับสนและเคว้างคว้างไม่ต่างจากอัมรินทร์เพียงแต่เลือกที่จะแสดงออกออกมาต่างกันเท่านั้น
อัมรินทร์หายเข้าไปในห้องน้ำอยู่นานกว่าจะออกมาได้แม้สีหน้าจะไม่ได้ดูสดชื้นหรือสู้ดีมากกว่าเดิมแต่ก็ดูเหมือนคนที่พอจะทำใจยอมรับกับเรื่องร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่มากก็น้อย แต่สภาพที่เหมือนร่างไร้วิญญาณอย่างนั่นก็ยังทำให้คนข้างหลังที่มองมารู้สึกสะท้านในอกไม่ได้
พวกเขาพาอัมรินทร์กลับบ้าน ลุงอุ่นกับแววที่ออกมารอรับอย่างทุกทีเมื่อเห็นรถเจ้านายก็ยิ้มกว้างดีใจแต่สีหน้าของอัมรินทร์กับการไร้เสียงหยอกล้อทักทายของลูกตาลทำเอาสองคนที่มาดักรอวิตก
“มันเกิดอะไรขึ้นคะคุณรุทธิ์ ทำไม” แววถามขึ้นพลางมองตามหลังทั้งสองคนไป
คนถูกถามเองก็หนักใจไม่แพ้กันจึงเลือกพูดแค่เรื่องที่คุณหนูตัวน้อยของบ้านจากไปโดยไม่ได้พูดถึงเปลวอรุณเพราะเขาไม่รู้ว่าควรจะพูดมันอย่างไรดี แต่ข่าวร้ายยังไงก็คือข่าวร้ายต่อให้พูดเพียงแค่ครึ่งเดียวใจของคนที่ฟังก็ยังสลายอยู่เช่นเดิมยิ่งกับคนอายุเยอะอย่างลุงอุ่นด้วยแล้วถึงกับลมจับเป็นลมเป็นแร้งลงไป
“ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับคนดีๆอย่างคุณอันด้วย” แววตัดพ้อน้ำตาคลอสงสารเจ้านายหนุ่มจับใจ
“มันคงเป็นกรรมของคุณเขานั่นน่ะนะนังแวว” น้อยหญิงสาวต่างจังหวัดเพื่อนร่วมงานของเธอตบบ่าปลอบขวัญเพื่อน
“สงสารก็แต่สองคนนั่นนั้นละ” อนิรุทธิ์ถอนใจ เหลือบมองไปทางด้านบน
ตั้งแต่กลับมาถึงบ้านอัมรินทร์กับลูกตาลก็พากันเดินขึ้นบ้านแยกกันเข้าห้องใครห้องมันไม่พูดไม่จา ถึงลูกตาลจะดูเหมือนคนที่ทำใจได้ดีกว่าอัมรินทร์แต่เขาเชื่อว่าเด็กหนุ่มก็คงจะมีความรู้สึกที่ไม่ต่างกับอัมรินทร์เท่าไรนัก
เย็นวันนั้นอัมรินทร์กับลูกตาลไม่ได้ลงมาร่วมกินข้าวด้วยกันซึ่งอนิรุทธิ์เองก็พอเข้าใจและคิดเอาไว้อยู่แล้วอย่างน้อยวันนี้เขายังมีลิลดานั่งกินข้าวเป็นเพื่อนละนะ
ลิลดาอยู่เป็นเพื่อนอนิรุทธิ์จนดึกก่อนจะขอตัวกลับ แต่ยังไม่ทันที่อนิรุทธิ์จะเดินมาส่งเธอที่หน้าบ้านรถยนต์สำหรับครอบครัวคันใหญ่ของบ้านเขาก็มาจอดเทียบที่หน้าประตูทางเข้าบ้าน ชายหนุ่มเลิกคิ้วแปลกใจด้วยความสงสัยด้วยจำไม่ได้ว่าตนได้ยินเสียงรถวิ่งออกจากบ้านไปเมื่อตอนไหน
“คุณลุง คุณป้า” อนิรุทธิ์เรียกคนสองคนที่ประคองพากันลงมาจากรถยนต์โดยสารด้วยความกึ่งตกใจกึ่งแปลกใจ
สุริยะประคองภรรยาลงจากรถก่อนจะปลายตามองหลานชายทีหนึ่งแล้วหันไปมองหญิงสาวข้างกายที่ดูคล้ายๆจะอยู่ในช่วงสับสนระคมแปลกใจจนเห็นว่าตนมองมานั่นแหละถึงได้ยกมือขึ้นไหว้
“หนูลิลดาสินะจ๊ะ” นภาแย้มยิ้ม “เข้าไปนั่งคุยกันก่อนดีกว่า” เธอว่าก่อนจะเปลี่ยนมาจับเข้าที่แขนของหญิงสาวแล้วกึ่งบังคับให้เธอกลับเข้าไปด้านใจ
“ฉันรู้ข่าวแล้ว เข้าไปคุยข้างใน” สุริยะว่าก่อนจะเดินผ่านตัวหลานชายเข้าไปด้านใน
อนิรุทธิ์ก้มหน้าต่ำเครียกก่อนจะเดินตามผู้ใหญ่เข้าไปด้านใน
ห้องนั่งเล่นเงียบงันและอึดอัด ใบหน้าสวยอ่อนโยนของนภาประดับยิ้มบางเหมือนทุกครั้งแต่ปลายจมูกกับขอบตากลับแดงก่ำเหมือนคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักข้างๆมีลิลดานั่งกุมมืออยู่ไม่ห่าง สุริยะเดินเข้าไปบีบไหล่ของภรรยาก่อนจะนั่งลงข้างๆ อนิรุทธิ์เดินเข้ามานั่งลงที่เก้าอี้ที่ว่างอยู่
“อุ่นโทรมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฉันฟังแล้ว” ประมุขของบ้านพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงติดจะสั่นเครือเล็กน้อย
ตอนที่ได้รับสายจากบ้านพวกเขาอยู่ที่ญี่ปุ่นกำลังเดินเที่ยวและหาซื้อเครื่องรางของฝากไปรับขวัญใหญ่ลูกสะใภ้และหลานตัวน้อยแต่ใครจะคิดกันละว่าความสุขในปั้นปลายของคนแก่อย่างพวกเขาจะพังลงเมื่อโทรศัทพ์ของสุริยะดังขึ้น
“คุณเปลวแท้งครับคุณยะ” น้ำเสียงเศร้าสะอื้นของคนเก่าคนแก่ของบ้านทำเอาใจของชายมมีอายุเคว้งหาย ยิ่งนภาแล้วเธอถึงกับเป็นลม
“แล้วหนูเปลวละ” เขาแค่นถาม
“ไม่ทราบเลยครับ ตอนกลับมาคุณเปลวไม่ได้กลับมาด้วย แถมคุณๆเขาก็ไม่มีใครพูดถึงเลย” และนั้นทำให้พวกเขาสองคนรีบซื้อตั๋วเที่ยวเดียวที่เร็วที่สุดกลับมาที่ประเทศไทยทันที
“เจ้าอันกับเด็กที่ชื่อลูกตาลละ”
“ไอ้อันกับลูกตาลหมกตัวอยู่แต่ในห้องตั้งแต่กลับมาแล้วครับ”
สองคนนั้นเป็นคนที่ได้รับผลกระทบจากการจากไปมากที่สุดจึงไม่แปลกหาทั้งคู่จะยังทำใจยอมรับเรื่องที่เกิดไม่ได้ สุริยะพยักหน้า
“แล้วหนูเปลวละตารุทธิ์” นภาทักขึ้น
อนิรุทธิ์เม้มปากแน่น “เรื่องนี้ผมไม่แน่ใจ แต่อัมมันบอกว่าเปลวเสียแล้ว”
คนถามยกมือทาบอกทำท่าคล้ายจะเป็นลมไปอีกรอบจนทุกคนต่างเข้ามาดู
“แล้วเรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง ทำไมอยู่ดีๆหนูเปลวถึงได้แท้งได้” คำถามของสุริยะทำเอาอนิรุทธิ์ถึงกับสะอึก
“เรื่องนี้ผมเองก็ไม่ทราบแน่ชัดเพราะไม่ได้อยู่ด้วยในตอนที่เกิดเรื่อง” เขาไม่ได้อยู่ด้วยจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เท่าที่รู้มาจากปากคำของลูกตาลก็เพียงแค่เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นเท่านั้น แต่รายละเอียดอย่างอื่นเขาไม่รู้อะไรมากไปกว่านั้นเลย
“ถ้างั้นฉันจะขึ้นไปคุยกับเจ้าอัน” สุริยะพูดขึ้นพร้อมลุกขึ้นเตรียมเดินขึ้นไปด้านบน
อนิรุทธิ์เห็นดังนั้นก็ตาโตรีบเดินตามผู้เป็นลุงไปติดๆ
กลิ่นเฉพาะตัวที่คุ้นเคยดีทำให้มณีนิลที่นอนหมอบอยู่เฝ้าอยู่ที่หน้าประตูห้องของอัมรินทร์ชะโงกหัวขึ้นมามอง เมื่อเห็นว่าเป็นใครเจ้าสี่ขาก็ลุกขึ้นสายหางสั้นๆไปมาพร้อมเดินเข้าไปรับสุริยะ
“ไงคุณนิล พ่อแกอยู่ในห้องใช่ไหม” สุริยะลูบหัวถาม
มณีนิลครางหงิยในลำคอคล้ายจะตอบว่า ใช่
สุริยะยืดการก่อนจะยกมือเคาะที่บานประตู
ก๊อก ก๊อก
แต่เคาะอยู่นานก็ไร้วี่แววว่าคนในห้องจะตอบกลับมา ถาดข้าวที่ใครสักคนยกขึ้นมาให้ยังคงวางนิ่งอยู่ที่ข้างเบาะนอนของมณีนิลไร้ซึ่งการแตะต้องจนข้าวและกับเย็นชื้ด คนเป็นพ่อหน้าเคร่งตึงยกถามอาหารนั่นขึ้นถือแล้วออกปากสั่งให้อนิรุทธิ์ลงไปเปิดเอากุญแจสำรองมา
แก๊ก
พอได้กุญแจมาอนิรุทธิ์ก็จัดการไขมันแล้วดปิกประตูเข้าไปโดยไม่รอให้เจ้าของห้องอนุญาต
ภายในห้องมืดสนิมมีเสียงแสงจากไฟสนามหญ้าด้านล่างที่พอจะทำให้มองเห็นพอสลั่ว สุริยะกวาดตามองห้องนอนของลูกชายคนเดียวไปรอบๆก่อนจะหยุดลงที่โต๊ะข้างหน้าต่างก่อนจะเอื้อมมือออกไปกดสวิตช์ไฟที่กำแพง
แสงไฟนีออนในห้องสว่างขึ้นจนอัมรินทร์ที่นั่งอยู่ในความมืดมานานต้องหลับตาลงเพื่อปรับแสงแล้วลืมตาขึ้นมาใหม่อีกครั้งเพื่อจ้องมองอ่างสวนหินตรงหน้าต่อ
“ไม่ยักรู้ว่าคนอย่างแกชอบปลูกต้นไม้” เสียงคุ้นเคยที่ไม่ได้ยินใกล้ๆมานานเรียกสายตาเหม่อลอยของเจ้าของห้องให้เงยขึ้นมอง
“แต่เปลวชอบ” อัมรินทร์ตอบเสียงลอย
“อันนี้หนูเปลวก็เป็นคนทำหรอ” สุริยะชะเง้อมองพลางชวนคุย
“เปล่า อันนี้ผมทำเอง” เขาตอบพลางลูบเบาๆที่กลีบกุหลาบแคระแผ่วเบา “ผมทำให้เปลวเขา” เขายิ้มพลางนึกถึงสีหน้าแปลกใจของเปลวอรุณตอนที่เห็นมันครั้งแรก
“แล้วหนูเปลวเขาชอบไหม” สุริยะถามพร้มนั่งลงที่เก้าตัวตรงข้าม นั่งมองลูกชายที่ใจสลายอย่างสงสารปวดใจ
“ชอบสิ” ไม่อย่างนั้นเปลวอรุณจะมานั่งที่ตรงนี้ทุกวันแล้วดูแลมันอย่างดีหรือไง
“บอนไซจิ๋วพวกนี้ก็ของหนูเปลวด้วยหรอ” อัมรินทร์มองออกไปนอกหน้าต่างตรงที่มีต้นบอนไซย์ขนาดเล็กหลากหลายต้นวางอยู่ก่อนพยักหน้า
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งเมื่อไม่มีใครคิดจะพูดอะไรขึ้นมาอีก อัมรินทร์นั่งเงียบมอสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยใจล่องลอยนัยน์ตาที่มักจะฉายประกายความเจ้าเล่ห์กลับหม่นหมองและอับแสง สุริยะแลละอนิรุทธิ์มองคนตรงหน้าอย่างเห็นใจ
“แกรักหนูเปลวเขามากเลยสินะ” สุริยะพูดขึ้นขณะจับต้นไม้ต้นน้อยที่อยู่ในอ่างหินสวน
“ครับ ผมรักเปลว” เขาตอบอย่างเลื่อนลอย
“เรื่องเมื่อวานมันเกิดอะไรขึ้น แกพอจะเล่าให้พ่อฟังได้ไหม” สุริยะถามพลางหยิบเอาฟ็อกกี้ขึ้นมาฉีดพมต้นไม้ในสวนหิน
“เพราะผม” อัมรินทร์ยิ้มขืน
“หมายความว่ายังไง” สุริยะเหลือตาขึ้นถาม อนิรุทธิ์เองก็เลิกคิ้วมองอย่างสงสัย
“ถ้าผมไม่หลอกเปลว ลูกก็คงไม่ตาย มันเป็นเพราะผม” พอสงบจิตสงบใจลงและมีเวลาได้อยู่กับตัวเองเขาถึงคิดได้ ว่าจริงๆแล้วไม่ใช่ราชันหรอกที่ฆ่าลูกของเขาแต่เป็นตัวเขานี้แหละที่เป็นคนฆ่าลูกของเขากับเปลวอรุณ
“แกหลอกอะไรหนูเปลว”
“ผมหลอกว่าเปลวติดหนี้ผมอยู่ร้อยล้าน ผมหลอกเขาเพื่อที่จะให้เขายอมมาอยู่ด้วย”
สุริยะนิ่งฟัง
“และเรื่องมันก็แดงขึ้นมา ฮึ เปลวคงผิดหวังในตัวผมมาก” เขายิ้มขันพร้อมน้ำตาคลอ “ทั้งๆที่เขาเปิดใจให้ผมขนาดนั้นแล้วแท้ๆ”
“ไอ้อัน” อนิรุทธิ์มองหน้าน้องชาย
“กูผิดกูรู้ตัว กูอยากขอโทษเขาแต่ แต่” อัมรินทร์กัดฟันแน่น “เปลวเขาไม่อยู่ให้อภัยกูแล้ว” น้ำตาที่คลออยู่ไหลออกมาไร้เสียงสะอื้น
“มึงไม่ผิดเว้ยอัน เรื่องนี้กูต่างหากที่เป็นคนผิด” ถ้าเขาไม่เสนอเรื่องนี้ขึ้นมาเรื่องคงไม่รุกรามใหญ่โตแบบนี้
“แกก็รู้เรื่องด้วยอย่างนั้นหรอเจ้ารุทธิ์” อนิรุทธิ์ชะงัก ก้มหน้ายอมรับผิดต่อผู้ใหญ่หนึ่งเดียวในห้อง
สุริยะมองเด็กทั้งสองที่ตอนเลี้ยงดูมาก่อนจะถอนหายใจ ก็คิดเอาไว้อยู่แต่แรกแล้วว่ามันจะต้องมีเรื่องอะไรลึกกว่าที่เจ้าลูกชายตัวดีเล่าใหญ่ฟังเมื่อครั้งก่อนแต่ก็ไม่นึกว่าสองพี่น้องนี่มันจะช่วยกันวางแผน ใจจริงเขาก็อยากจะดุด่าให้สำนึกอยู่บ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ในเวลาแบบนี้เขาคิดว่ามันคงไม่ใช่เวลาที่จะไปซ้ำเติมขยี้แผลในใจของอัมรินทร์ให้แหวะกว้างกว่าเดิม
ก๊อก ก๊อก
สุริยะละสายตาจากลูกชายตรงหน้าไปยังบานประตูที่ถูกเคาะเรียก อนิรุทธิ์รู้งานดีจึงเดินไปเปิดประตูนั่นโดยที่ไม่ต้องรอให้ผู้ใหญ่บอก
“อ้าว ตาล” อนิรุทธิ์ร้องทักขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝั่งของบานประตูเป็นใคร
“แล้วนี้แปกกระเป๋าจะไปใหน” เขาถามพลางขมวดคิ้วมองกระเป๋าเป้ที่บบจุของเต็มจนตุงแบบเดียวกับตอนที่เด็กหนุ่มสะพายมาที่บ้านหลังนี้เป็นครั้งแรก
“ผมว่าจะออกจากที่นี้เลยว่าจะมาบอกลุงเขาเสียก่อน” เด็กหนุ่มพูด
“เฮ้ย! เดี๋ยวก่อนสิ” เขาตกใจ
“มีอะไรกัน”
เสียงของคนแปลกหน้าที่ลูกตาลไม่เคยได้ยินดังขึ้น เด็กหนุ่มมองผ่านไหล่ของคู่สนทนาไปมองชายมีอายุท่าทางภูมิฐานที่นั่งกอดอกมองมาทางประตูอย่างตั้งคำถาม
“นั่น ลูกตาลใช่ไหม” สุริยะถามขึ้น
เด็กหนุ่มมองอย่างสงสัยแต่ก็ยกมือขึ้นมาไหว้
“เข้ามาคุยกันข้างในนี้” เมื่อได้ยินดังนั้นอนิรุทธิ์จึงดึงแขนเด็กหนุ่มให้เข้ามาข้างในตามคำสั่งก่อนจะปิดประตูห้องลง
“นี้ลุงยะ พ่อของไอ้อันมัน” อนิรุทธิ์กระซิบบอกให้คล้ายสงสัย
“เราคือลูกตาล ลูกชายของหนูเปลวสินะ”
“ครับ”
สุริยะพิจารณามองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ดูไม่ต่างจากรูปที่อัมรินทร์เคยส่งมาให้ดูเมื่อครั้งก่อน รูปร่างหน่วยก้านไม่เลวออกจะดีมากในความรู้สึกจนอดไม่ได้ที่จะเผลอยิ้มออกมา
“แล้วเราจะไปไหนดึกดื่นแบบนี้”
“ผมจะกลับไปอยู่ที่บ้านแม่เปลวครับ” เด็กหนุ่มตอบ
“กลับไปแล้วจะอยู่กับใคร” อัมรินทร์แทรกขึ้นมาเหมือนหัวเสีย
“อยู่คนเดียว” ลูกตาลหันมาตอบ “ตอนนี้แม่เปลวไม่ได้อยู่ที่นี้แล้วผมก็ไม่รู้จะอยู่ที่นี้ทำไมสู้กลับไปอยู่ที่บ้านหลังนั้นจะดีกว่า”
“ไม่ต้อง!” อัมรินทร์ขึ้นเสียง
“นายคิดว่าฉันดูแลนายไม่ได้หรือไง หรือคิดว่าที่ฉันพานายมาอยู่ด้วยเพราะเปลว”
ลูกตาลไม่ตอบ
“ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหนว่านายเป็นลูกของเปลวก็ถือว่าเป็นลูกของฉันด้วย ทำไมยังจะออกไปอีก”
“ก็ผมไม่ได้อยากเป็นภาระของคุณหนิ” เด็กหนุ่มเถียง
“ฉันเคยพูดหรือไงว่านายเป็นภาระ” อัมรินทร์ผลุดลุกขึ้น “แต่ถึงนายจะเป็นภาระที่เปลวทิ้งเอาไว้ให้แต่ฉันก็ยินดีที่จะรับนายมาดูแล”
“เพราะอะไร”
“เพราะฉันไม่เหลืออะไรแล้วไง” เขาแค่นยิ้ม “ทั้งลูก ทั้งเปลว แต่อย่างน้อยการมีนายอยู่ก็เป็นสิ่งที่บอกให้ฉันรู้ว่าเปลวยังเหลือนายเอาไว้ให้ฉัน ฉันสัญญากับเปลวว่าจะดูแลนายไม่ใช่เพราะนายเป็นลูกของเปลวแต่เพราะว่านายของลูกของฉันกับเปลวต่างหาก”
ลูกตาลมองคนพูดด้วยความรู้สึกที่หลากหลายและสับสน
“นายจะทิ้งพ่อคนนี้ให้อยู่คนเดียวได้จริงๆหรอ” น้ำเสียงของอัมรินทร์คล้ายคนที่กำลังจะหมดลงไปทุกที
ลูกตาลกำมือแน่นก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้อัมรินทร์ก่อนจะตวัดแขนขึ้นกอดอีกคนเอาไว้
“ผมอยู่นี้ครับพ่อ”
__________________________________________________
ตอนนี้มันดูสั้นๆไปสักหน่อยแถมมันก็จะดูหน่วงๆตามอัตภาพไปอีกสักเล็กน้อย
ไหนๆตอนนี้ก็เป็นตอนเอาคืนหนูอันอันแล้วก็ของสักนิดสักหน่อยก็ยังดี