❀ Moon's Embrace : บทที่ 19 ... ครบ ❀
พระจันทร์เคลื่อนคล้อยออกจากกลีบเมฆทมิฬยามค่ำคืน ลมราตรีหนาวสะพัดลอดผ่านหน้าต่าง หลังจากที่แบ่งหน้าที่ให้บรรดาแพทย์ทั้งสองเสร็จสรรพ หม่าเต๋อหวนเพิ่งแหวกม่านบรรทมสีฟ้าอมม่วงเพื่อตรวจพระอาการของจวิ้นอ๋องอีกครั้ง โดยมีหมอแซ่อู่คอยอยู่ข้างๆ
ริมฝีปากบางเฉียบลงจนเห็นเป็นเส้นตรง นัยน์ตาเรียวสวยแม้จะแสดงด้านนอกให้เห็นว่าเรียบนิ่ง แต่หากภายในกลับครุ่นคิดอยู่เงียบๆ พลางเฝ้ามองคนที่กำลังเอื้อมมือไปตรวจชีพจรให้อ๋องเมืองหู่
ตั้งแต่อยู่ที่สำนักหมอที่วังหลวง เขาเข้าใจว่าหม่าเต๋อหวนเป็นคนประเภทเงียบขรึม และคาดเดาความคิดได้ยากเย็น แต่ทุกครั้งที่อีกฝ่ายอยู่ต่อหน้าเขา ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่เต๋อหวนมักจะแสดงท่าทีอย่างตรงไปตรงมา ครั้งนี้เองก็เช่นกัน ที่เขาเห็นดวงตาคมกริบคู่นั้นฉายแววไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน
เขารู้ดีว่าเต๋อหวนคิดกับเขาเช่นไร แต่หากจะให้ตอบรับ น่ากลัวว่าจะต้องสงสารตนเองไปจนวันตาย ซึ่งเต๋อหวนเองก็น่าจะรู้คำตอบของเขาดีอยู่แล้ว แต่เพื่อไม่ให้บรรยากาศคุกรุ่น ทำร้ายใครไปมากกว่านี้ ลี่จินจึงเลือกที่จะสงบปากสงบคำ ทำตัวว่าง่ายอยู่ข้างเต๋อหวน แม้จะไม่มีบทสนทนาใดเอ่ยขึ้นมาอีกหลังจากนั้นก็ตาม
ใช้เวลาสักพักหนึ่งได้ ในที่สุดฉินกวนเจ๋อก็กลับมาพร้อมใต้เท้าทั้งสอง กระนั้นเต๋อหวนจึงแหวกม่านที่เตียงบรรทมออกมาพร้อมกับอู่ลี่จิน
หมอแซ่หม่ายืดตัวตรง นัยน์ตาคมมองใต้เท้าคนสนิททั้งสองอย่างเรียบนิ่ง
“ขออภัยที่ข้าน้อยเรียกพวกท่านมา ระหว่างการสอบสวน”
“เจ้ามีเรื่องอันใดจงรีบว่ามา” จางรุ่ยเหรินเป็นคนแรกที่อดทนรอไม่ไหว ใบหน้าของคนสนิทหนุ่มดูเคร่งเครียด ไม่อยากปล่อยเวลาให้เสียเปล่าแม้แต่วินาทีเดียว
เต๋อหวนพยักใบหน้ารับ ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ
“หลังจากตรวจพระอาการข้าน้อยทราบแล้วว่าสาเหตุมาจากสิ่งใด”
“จงรีบว่ามา”
“ท่านอ๋องทรงได้รับพิษจากกลิ่นกำยาน”
กลิ่นกำยานงั้นหรือ? ทั้งรุ่ยเหรินและไป่หานต่างขมวดคิ้วพร้อมกัน ฟังอย่างไรก็กำกวมไม่เข้าใจ
“อธิบายให้มากกว่านี้”
ได้ยินกระนั้นหมอแซ่หม่าจึงเดินไปที่โต๊ะ เขาหยิบช้อนเงินที่ละลายผงกำยานจนกลายเป็นยางสีขาวขึ้นมาให้ดู
“นี่เป็นกำยานที่บดผสมกับยางของดอกยี่โถ หากจุดแล้วสูดควันของมันเข้าไปจะทำให้มีอาการตาพร่ามัว หนักศีรษะ หัวใจเต้นแรง บางรายอาจทำให้เส้นชีพจรแตกพล่าน หากสูดดมเข้าไปมากๆ อาจถึงขั้นคลุ้มคลั่งหมดสติหรือเสียชีวิตได้”
คำอธิบายนั้นช่วยให้กระจ่างเพียงแค่จุดเดียว เดิมทีท่านอ๋องเป็นคนบรรทมได้ยาก จึงขอให้หมอเฒ่าคนเก่าช่วยถวายการรักษา แล้วใช้กำยานนี้มาตลอด หากเป็นพิษจริงๆ เหตุใดถึงเพิ่งมีพระอาการกำเริบ
“แต่ท่านอ๋องก็ทรงใช้กำยานนี้มาตั้งนานแล้ว เหตุใดถึงไม่มีพระอาการใดๆ ”
“เดิมทียางของดอกยี่โถจะมีฤทธิ์เฉียบพลันหากรับประทานเข้าไปโดยตรง แต่ถ้านำมาทำเป็นกำยานพิษของยางจะเจือจางลง กลายเป็นพิษสะสม”
“เช่นนั้น เหตุใดอาการถึงได้กำเริบขึ้นมา”
“เหตุที่พิษกำเริบมาจากท่านอ๋องเสวยอาหารที่บำรุงปราณอย่างโสมเข้าไป ทำให้ชีพจรร้อน เลือดลมสูบฉีด กระตุ้นพิษให้กำเริบ”
คำตอบของหม่าเต๋อหวนทำเอาทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน
รุ่ยเหรินขมวดคิ้ว ถ้าหากเรื่องนี้เป็นอย่างที่หมอตรงหน้าว่าจริง เช่นนั้นไก่ดำนิ่งโสมที่ช่วยบำรุงปราณให้อุ่นขึ้นของหมอแซ่ฉินก็เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด
ดวงตาเรียวคมของจางรุ่ยเหรินตวัดมามองที่หมอตัวเล็กที่พยายามยืนตัวลีบอยู่หลังอู่ลี่จิน สายตานั้นทำเอากวนเจ๋อถึงกับผงะ หน้าซีดเผือด ล่วงรู้ได้ทันทีเลยว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีกับเขาเป็นแน่
“ถ้าเป็นเช่นนั้น...จับตัวหมอแซ่ฉิน! ”
เหมือนหัวใจหลุดออกไปจากอก กวนเจ๋อแทบล้มทั้งยืน เมื่อได้ยินคำประกาศก้าวที่พรึงพรั่นไปทั่วห้องบรรทม ไม่ช้าเหล่าทหารในอาณัติต่างมุ่งตรงมาหาอย่างรู้หน้าที่ แต่ไม่ทันที่พวกทหารจะได้พรากท่อนแขนที่กำลังเกาะเพื่อนตนเองไว้แน่นออก ซุนไป่หานก็ก้าวเท้าเข้ามาขว้างต่อหน้าจางรุ่ยเหริน
“เดี๋ยวก่อนรุ่ยเหริน ข้าคิดว่าหมอฉินมิน่ามีส่วนเกี่ยวข้อง” ได้ยินกระนั้นรุ่ยเหรินก็นึกขันนัก นานวันเข้าไป่หานดูจะทำตัวสนิทสนมกับหมอหลวงพวกนี้มากเกินไป
“ที่เจ้าพูดหมายถึงจะไม่มีผู้ใดรับผิดชอบเรื่องนี้ใช่หรือไม่”
“มิใช่ ข้าหมายถึงเราต้องพิจารณาและไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน มิเช่นนั้นจะเป็นการทำร้ายผู้บริสุทธิ์ อีกอย่างสิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ มิใช่การหาคนผิด เป็นการช่วยชีวิตท่านอ๋องมิใช่หรือ”
น้ำเสียงจริงจังของซุนไป่หานทำเอารุ่ยเหรินถึงกับชะงักงัน เป็นความจริงที่ว่าตอนนี้เรื่องรักษาท่านอ๋องสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เช่นนั้นการจับตัวหมอแซ่ฉินตอนนี้มิใช่เรื่องดี ถึงจะเจ็บใจนักที่มิอาจหาผู้กระทำความผิดถวายท่านอ๋องได้ แต่เขาสาบานว่าจะไม่ปล่อยปละละเลยเรื่องนี้ให้ผ่านไปโดยง่ายแน่
“จริงอย่างที่เจ้าว่า...เช่นนั้น” ดวงตาเรียวคมตวัดกลับมามองฉินกวนเจ๋อที่ยืนขาสั่นอยู่ด้านหลังอู่ลี่จิน ก่อนเบี่ยงมองไปทางหมอแซ่หม่า “พวกเจ้าทั้งสามคน จงถวายการรักษาท่านอ๋องให้จงได้ มิเช่นนั้นข้าจะให้หมอฉินเป็นคนรับผิดชอบ”
ถึงรู้ว่าอาจเป็นไปได้ว่าเรื่องนี้คงเป็นฝีมือของหมอเฒ่าที่โดนประหารไปแล้ว ส่วนหมอฉินก็เป็นเพียงคนโชคร้ายที่เดินของมาติดบ่วงนี้อย่างไม่ระวัง ทว่าความจริงเรื่องที่ไก่ดำนึ่งโสมของหมอฉินเป็นตัวกระตุ้นพิษก็ยังไม่เปลี่ยนไป เรื่องนี้จะผ่านไปโดยไร้คนรับผิดชอบไม่ได้
ดวงตาคมกริบหันไปสบสายตากับซุนไป่หาน องครักษ์หนุ่มพยักหน้ารับอย่างเข้าใจบางอย่าง ก่อนจะหันตัวออกไปจากห้องบรรทม
+++++++
“ข้าตายแน่ ข้าตายแน่ๆ ”
พอมาถึงห้องต้มยา ดูเหมือนคนที่พะว้าพะวังมากที่สุดก็เริ่มออกอาการอย่างปิดไม่ได้ กวนเจ๋อทรุดลงไปกับพื้น สองขายกขึ้นชันกอดเข่า หนำซ้ำยังกัดเล็บตนเอง บ่นพร่ำว่า ‘ตายแน่’ ซ้ำไปซ้ำมาอย่างน่าหดหู่
“กวนเจ๋อเจ้าจะตายได้อย่างไร”
“ไม่ ข้าต้องตายแน่ๆ ข้าทำท่านอ๋องประชวรหนักถึงขนาดนี้ คงไม่มีเงาคุมศีรษะข้าแล้ว” พูดไปก็ทึ้งศีรษะตัวเองแรงๆ ไปด้วย ไม่เข้าใจว่าทำไมชีวิตเขาถึงได้ซวยซับซวยซ้อน ไม่รู้สวรรค์จะกลั่นแกล้งเขามากมายไปทำไมกัน
อู่ลี่จินถอนหายใจมองคนสิ้นอาลัยที่นั่งกองอยู่กับพื้น จะว่าเข้าใจความรู้สึกก็พอจะเข้าใจอยู่ แต่หากหวาดกลัวจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด คนตรงหน้าได้ตายจริงๆ แน่
“กวนเจ๋อข้าจะย้ำรอบสุดท้ายว่าข้าจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าตาย แล้วเจ้าก็ไม่ใช่คนที่ทำร้ายท่านอ๋องด้วย เช่นนั้นอย่ากลัวไป”
ลี่จินพยายามเอ่ยปลอบ ทว่ากลับไม่เข้าคนที่มีความกลัวกระจุกอยู่เต็มหูเลยสักนิด หนำซ้ำยังขึ้นเสียงดังใส่เขาอีก
“ตายสิ! ตายแน่ ข้าต้องหากระดาษ ข้าต้องเขียนจดหมายลาท่านพ่อ ข้าจะบอกว่าข้าภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นคนแซ่ฉิน”
ลี่จินส่ายหน้าละอาย เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป หมอคนงามรีบย่อตัวตัวลง ก่อนจะลงมือลากคนที่นั่งขลุกอยู่ที่พื้นให้ยืนขึ้นมา จากนั้นก็ไม่รีรอหยิกเข้าที่แก้มนิ่มอีกฝ่ายแรงๆ เรียกสติที่เตลิดไปไกลของกวนเจ๋อกลับมา
“ข้าจะไม่มีวันหากระดาษให้เจ้า แต่เจ้าคงได้ตายจริงๆ หากเจ้ายังเพ้อเจ้อไม่รีบช่วยเต๋อหวนรักษาอยู่เช่นนี้”
กวนเจ๋อร้องโอดครวญ แรงหยิกนั้นมากพอที่จะทำให้คนที่เพ้อเจ้อน้ำตาซึม จนหันมาสนใจกับปัจจุบัน
หมอหนุ่มลูบแก้มตนเองด้วยความเจ็บ แต่ท่าทีที่ดูเหมือนยังไม่สำนึกเท่าไรทำให้ลี่จินถลึงตายักษ์ใส่ไม่เลิก กว่าจะยอมสงบลงได้ก็เมื่อได้ยินเสียงเต๋อหวนกระแอมไอออกมาจากทางด้านหลัง
ลี่จินส่ายหน้า ก่อนจะตามไปสมทบเต๋อหวนที่ยุ่งอยู่กับการเตรียมสมุนไพร
“เต๋อหวนเจ้าทราบใช่หรือไม่ ว่าจะใช้วิธีใดรักษา”
“ข้าทราบ แต่...” เต๋อหวนตอบโดยไม่หันมามอง ทว่าประโยคหลังที่ขาดไปทำให้อู่ลี่จินขมวดคิ้วสงสัย ไม่ช้าใบหน้าหล่อเหลาก็เงยขึ้น แล้วหันมาพูดกับลี่จินโดยตรง
“สมุนไพรในห้องนี้มีแต่สมุนไพรพื้นยา ไม่มีสำหรับแก้พิษใดๆ ตอนนี้ท่านอ๋องอาจจำเป็นทั้งฝังเข็มดึงพิษ และใช้โอสถสมุนไพรอื่นให้ขับพิษให้เจือจางลงมากกว่านี้”
ลี่จินพยักใบหน้ารับรู้ ที่ห้องต้มยาส่วนใหญ่เต็มไปด้วยสมุนไพรที่บรรเทาอาการพิษไข้ แก้ตัวร้อน หรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีสมุนไพรที่ไว้สำหรับแก้พิษ หรืออาการแพ้เลยสักนิด อย่างดีที่สุดก็มีแค่ผงแป้งไว้ใช้สำหรับผื่นแดงเพียงเท่านั้น
“ลี่จิน ก้านบัวหยดน้ำค้างที่เจ้าใช้กับหมอเฒ่าเมื่อคราวก่อนช่วยซับพิษได้ดี ถ้าเป็นไปได้เจ้าช่วย---”
“ข้ากับกวนเจ๋อจะเป็นคนนำมาให้เจ้าเอง”
พูดยังไม่ทันจบก็พอจะเข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ ถ้าเป็นก้านบัวหยดน้ำค้างอาจจะพอช่วยขับพิษออกมาได้อยู่บ้าง เต๋อหวนคลี่รอยยิ้มจางๆ
“ข้าต้องอยู่ฝังเข็มดึงพิษให้ท่านอ๋อง เช่นนั้นรบกวนพวกเจ้าด้วย”
ลี่จินพยักหน้ารับคำ ไม่ช้าก็รีบลากหมอแซ่ฉินออกไปจากห้องด้วยความงุนงงด้วย เต๋อหวนมองภาพแผ่นหลังของหมอทั้งสองหายไปจนลับสายตา ก่อนดวงตาคู่เข้มจะเบนหันกลับมามองสมุนไพรในถาดที่จัดเตรียมเอาไว้อย่างว่างเปล่า
+++++++++++++
ราตรียังคงไม่ไกลห่าง ดวงเดือนกลมโตที่เคลื่อนกายออกมาโผล่พ้นจากหมู่เมฆเปล่งแสงเจิดจ้านวลผ่อง ขณะที่สายลมพายพัดกลิ่นอายชื่นฉ่ำของน้ำค้างยามค่ำคืนให้โชยคลุ้งขึ้นมา พานให้ยอดหญ้าพลิ้วไหวโยกย้ายราวกับร่ายรำ
ถึงความเย็นชื้นในราตรีนี้จะพานให้ใจของผู้เดินทางเบาใจลงมากเพียงใด ทว่าอย่างไรก็ไม่อาจกลบสีหน้าร้อนรนและเร่งรีบของใครบางคนได้
หลังจากที่ควบม้ามายังป่านอกเมืองในเวลาไม่ถึงครึ่งถ้วยชา แม้อุณหภูมิของอากาศภายนอกจะลดต่ำลง แต่หยาดเหงื่อก็ยังคงพายผุดและไหลโซมไปทั่วใต้สาบเสื้อชวนให้ไม่สบายกายยิ่งนัก
ทว่าเขากลับไม่มีเวลามาพอที่จะให้อู่ลี่จินและฉินกวนเจ๋อสนใจเรื่องนั้นเท่าไรนัก
หลังจากผูกม้าไว้ที่ต้นไม้บนเนิน หมอทั้งสองก็เดินเลียบไปตามชายป่า
ในหัวของอู่ลี่จินมีแต่เพียงว่าเขาจะต้องหาก้านบัวหยดน้ำค้างมาให้เร็วที่สุด แต่แล้วความคิดทุกอย่างก็เป็นอันต้องชะงักไป กว่าจะรู้สึกตัวว่ามีใครบางคนแอบตามมาด้วย ก็เมื่อได้ยินเสียงเหยียบกิ่งไม้ดังมาจากด้านหลัง พอหันกลับไปก็พบซุนไป่หานกำลังยืนตัวตรงหน้านิ่งอยู่ด้านหลัง
อู่ลี่จินกลอกตา ทีแรกเขาทำทีเป็นไม่สนใจองครักษ์หนุ่ม แต่กวนเจ๋อเล่นสะกิดเขาทุกครั้งที่อีกฝ่ายขยับเท้าตามมา ก็พานให้อดหงุดหงิดเป็นไม่ได้
จนในที่สุดหมอคนงามต้องหยุดเดิน ใบหน้าเรียวสวยนั้นหันไปมองผู้ที่ไม่ได้รับเชิญซึ่งๆ หน้าเล่นเอาคนที่สาวเท้าตามชะงักงัน
“ท่านจะตามพวกข้ามาทำไม”
องครักษ์หนุ่มยืนนิ่ง นัยน์ตาส่อแววครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนตอบ
“ป่านอกเมืองอันตราย พวกเจ้าไม่ควรไปกันตามลำพัง อีกอย่างหากเกิดเรื่องใดขึ้นมา ข้าจะได้ช่วยเหลือเจ้าได้ทัน ชีวิตท่านอ๋องอยู่อันตรายจะมัวรีรอไม่ได้”
ข้ออ้าง… นั่นคือสิ่งแรกที่ฉินกวนเจ๋อคิด ก่อนหมอตัวเล็กจะแอบปรายสายตามองสหายคนสนิทที่เอาแต่ขมวดคิ้วยืนเงียบ ตอนนี้ในหัวของหมอแซ่ฉินลืมเรื่องอ๋องเมืองหู่ไปเสียสนิท เพราะสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่า คือความสัมพันธ์ระหว่างอู่ลี่จินและกายสูงใหญ่ตรงหน้า
ทั้งถามหา ทั้งตามมาด้วย ร้อยทั้งร้อย ต่อให้เป็นเด็กน้อยก็คงเดาออกได้ไม่ยาก ว่าคนตัวสูงที่ยืนอยู่ด้านหลังกำลังคิดอะไร ขณะที่อู่ลี่จินผู้ซึ่งเชี่ยวชาญและกล้าแกร่งทุกด้านกลับโง่เขลาและ ปากแข็งจนมองความสัมพันธ์นี้ไม่ออก หนำซ้ำยังทำตัวเย็นชาเสียจนน่าจับตี แต่อย่างว่า เรื่องตัดแขนเสื้อก็ใช่ว่าจะเป็นที่ยอมรับกันง่ายๆ
อา...ถึงจะเป็นห่วงอยู่ไม่มากน้อย แต่ตอนนี้คนที่น่าห่วงยิ่งกว่าคือชีวิตเขาจะหารอดไม่ในวันข้างหน้านี้
“กวนเจ๋อเจ้าเลิกทำสีหน้าน่าขยะแขยง แล้วช่วยเดินตามข้ามาสักที”
ในที่สุดน้ำเสียงติดออกไม่พอใจก็ดึงฉินกวนเจ๋อหลุดออกมาจากภวังค์ได้สำเร็จ หมอตัวเล็กยิ้มเจื่อนๆ ก่อนรีบวิ่งเหยาะๆ ตามอู่ลี่จินที่สะบัดเดินนำไปแล้ว
ผ่านไปเกือบหนึ่งเค่อ
การเดินป่ายามค่ำคืนใช่ว่าเป็นเรื่องที่สมควรทำ แล้วยิ่งเป็นป่าเมืองหู่ด้วยแล้ว ย่อมน่ากลัวว่าจะมีอันตรายซ่อนไว้อยู่ทุกหนแห่ง แม้จะเร่งรีบทว่าแต่ล่ะย่างก้าวของอู่ลี่จินจึงเต็มไปด้วยความระมัดระวัง แต่จะระมัดระวังเพียงใด ก็ต้องเป็นอันสะดุดเศษไม้เศษหินทุกครั้ง ถึงจะไม่ถึงขั้นล้มหน้าคะมำและยังทรงตัวอยู่ได้ แต่ทุกครั้งที่หันกลับไปแล้วเห็นใบหน้าคมเข้มของซุนไป่หานเลิกคิ้วกลับมากลับชวนให้หงุดหงิดนัก สุดท้ายก็ได้ทำเพียงไม่สนใจ
อดทนฝืนก้าวเข้าไปลึกอีกได้สักพัก ก็เริ่มได้ยินเสียงเรไร และกบที่เริ่มร่ำร้องดังออกมาตามสายลมราวกับเป็นบทเพลงยามค่ำคืน เพื่อบ่งบอกว่าแหล่งน้ำคงอยู่อีกไม่ไกลนับจากนี้
ก้าวขาตามเสียงไปอีกไม่กี่ก้าว ไม่ช้าขาทั้งสองข้างหยุดเดิน อู่ลี่จินหรี่ตาลง จากมุมนี้เขาเห็นดวงเดือนกลมโตกำลังเปล่งแสงเจิดจ้าเป็นภาพเงาสะท้อนอยู่บนผืนน้ำ และใบบัวที่กำลังเอนลู่พลิ้วไหวตามสายพระพายเอื่อยแผ่ว ขณะที่ดอกบัวกลับบานสะพรั่งโชยกลิ่นหอมอ่อนๆ ราวกับต้องการหยอกล้อให้การต้อนรับกับแสงจันทร์ยามค่ำคืน
“อยู่นั่น...”
กวนเจ๋อตาโตว่าอย่างตื่นเต้น ลี่จินมองซ้ายมองขวา บริเวณริมบึงนี้มีบัวหยดน้ำค้างขึ้นอยู่เป็นหย่อมๆ กระจัดกระจาย การจะคั้นน้ำสายบัวให้มาเป็นยารักษาอย่างน้อยต้องใช้สายบัวสามกำมือต่อยาหนึ่งถ้วย
“กวนเจ๋อเจ้าไปเก็บตรงนั้น ข้าจะไปดูที่อื่น”
กวนเจ๋อรีบพยักหน้า ก่อนหมอตัวเล็กจะเดินถือตะกร้าลงเนินไปอย่างคล่องแคล่ว
เมื่ออยู่กันตามลำพังแล้ว ในที่สุดซุนไป่หานก็ได้โอกาสเปิดปาก กับคนที่อยู่ด้านหน้าสักที
“ให้ข้าช่วยอะไรหรือไม่”
“ใต้เท้าช่วยรออยู่ที่นี่จะดีกว่า ดูท่าน้ำค้างริมบึงนี่จะทำให้ดินยวบพอดู ข้าตัวเล็กกว่าลงไปเก็บครู่เดียวก็กลับมา”
คำตอบและน้ำเสียงเย็นชาจนหนาวยะเยือกไปถึงสันหลัง ไป่หานพยักหน้ารับรู้ ได้แต่เลียริมฝีปากตัวอย่างเงียบๆ ทำตามที่อีกฝ่ายบอกอย่างเชื่อฟัง แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะปรายสายตามองตามแผ่นหลังบางที่กำลังขยับเดินลงไปเก็บสายบัวอย่างเอาใจช่วย
ทว่า...อีกเพียงแค่อึดใจที่ท่อนแขนเรียวสวยนั้นจะไปคว้าสายบัวได้สำเร็จ อยู่ๆ พื้นดินที่อีกฝ่ายเหยียบอยู่ก็ยวบตัวลงไป หมอคนงามเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ร่างกายเสียการทรงตัวกะทันหัน แต่ก่อนจะพลัดตกลงสู่พื้นน้ำก็ได้ยินเสียงตะโกน พร้อมกับมือหนึ่งที่พุ่งตรงเข้ามาจับ
“ลี่จิน! ”
ซู่ม!
ทว่า...ท้ายที่สุดแล้วกลับไม่ช่วยอะไรเลยสักนิด
ลี่จินล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นน้ำ สภาพร่างกายเปียกปอนไปทั้งตัวตั้งแต่ศีรษะลงมา แต่กระนั้นก็ไม่น่าสมเพชเท่าลมราตรีที่พายพัดมาวูบหนึ่งจนหนาวสะท้านเข้ากระดูก ทั้งหมดนี้จะโทษใครไม่ได้ นอกจากคนที่กระโจนเข้ามาโดยที่ไม่ดูอะไรให้รอบคอบ
พอคิดถึงคนกระทำ นัยน์ตาเรียวสวยดุดันก็เปลี่ยนเป็นถลึงมองกายสูงใหญ่ที่ตกน้ำมาด้วยข้างๆ ด้วยสายตาจะกินเลือดกินเนื้อ น่าหงุดหงิดตรงที่สภาพคนตัวใหญ่กว่ากลับเปียกแค่อก แต่ใดๆ ก็ไม่ชวนโมโหเท่าที่อีกฝ่ายไม่ดูตาม้าตาเรือ รีบพรวดพราดเข้ามาทั้งที่ดินกำลังยวบลงไป สุดท้ายแทนที่เขาจะเปียกแค่ขาข้างเดียว ดันต้องเปียกทั้งด้วยเพราะดินรับน้ำหนักของคนแซ่ซุนไม่ไหว
“ลี่จิน ใต้เท้าซุน!! ”
เพราะเมื่อครู่ได้ยินเสียงเหมือนบางอย่างหล่นลงไปในน้ำ กวนเจ๋อเลยรีบวิ่งหน้าตั้งมาหาลี่จินด้วยความเป็นห่วง แต่กลับเห็นอู่ลี่จินแล้วใต้เท้าซุนลงไปนั่งแช่น้ำกันอยู่ที่ริมบึง หนำซ้ำต่อให้ส่งเสียงโหวกเหวกอย่างไร ก็มิอาจดึงสายตาของอาฆาตของสหายรักที่กำลังส่งให้กายสูงใหญ่ตรงหน้าได้เลย
“ท่านจะตามข้าลงมาทำไม”
“ข้าเห็นเจ้าสะดุด เลยจะ---”
“ถึงกลางคืนจะมืดนัก แต่ท่านก็น่าจะมาที่นี่เป็นรอบที่สองแล้ว ท่านคงไม่คิดว่าน้ำแค่หัวเข่าจะทำให้ข้าจมได้ใช่หรือไม่”
เสียงโหวกเหวกนั้นยังคงดังอย่างต่อเนื่อง รู้สึกตัวอีกทีคนนอกอย่างหมอแซ่ฉินก็ได้อ้าปากค้าง มองการทะเลาะของคนที่นั่งปักอยู่ในน้ำเย็นๆ กว่าจะเรียกใบหน้าของทั้งสองให้หันกลับมาได้ ก็เมื่อเขาแทรกเสียงสดใสถามออกไป
“พวกเจ้าลงไปทำอันใดกันน่ะ” ถึงจะถามไปเช่นนั้น แต่ก็มิอาจปกปิดรอยยิ้มกรุ้มกริ่มที่มุมปากตนเองได้ อู่ลี่จินเป็นคนแรกที่หันกลับมาพร้อมกับถลึงตาใส่อย่างหงุดหงิด ทว่าเขาก็ยังแอบสังเกตเห็นใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อขึ้นนิดๆ ก่อนหมอหนุ่มจะลุกขึ้นเดินขึ้นมาด้านบนทั้งร่างกายชุ่มๆ แล้วพูดกับเขาเสียงเย็น
“ได้บัวแล้ว กลับกันเถอะ”
กวนเจ๋อครางรับเบาๆ ก่อนจะเบนสายตาไปมององครักษ์แซ่ซุนที่เพิ่งลุกตามขึ้นมา ทว่าใบหน้าหล่อเหลานั้นกลับยกยิ้มขึ้นอย่างขำขัน แต่พอพบเขากำลังเลิกคิ้วใส่อย่างสงสัย ร่างสูงจึงเปลี่ยนเป็นปั้นหน้าขรึมในฉับพลัน แล้วเดินตัวตรงจากไปเสมือนไม่มีสิ่งใดเกินขึ้น
กวนเจ๋อครุ่นคิด บางทีใต้เท้าซุน กับอู่ลี่จินอาจจะเข้ากันได้ดีกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก
++++++++++++++++++++++
เป็นเวลาเกือบครบสองชั่วยามแล้วที่หยวนจิวหรงนอนระส่ำระสายเพราะพิษไขอยู่บนเตียงบรรทม หน้าผากพรายผุดไปด้วยเม็ดเหงื่อแพรวพราว สีหน้าซีดขาว ริมฝีปากแห้งผาก คิ้วเข้มพาดกดเข้ากันเป็นปมตลอดเวลา ดูเหมือนคนกำลังทรมานอย่างหนัก แต่กระนั้นก็ยังข่มผู้พบเห็นด้วยบารมีอยู่ไม่คลาย
หลังจากบดสมุนไร แล้วต้มยาจนเหลือแต่น้ำโอสถสีน้ำตาลเข้ม หม่าเต๋อหวนก็รีบรุดกายมาที่ห้องบรรทมของท่านอ๋องอย่างไม่รีรอ
พอเข้ามาก็พบจางรุ่ยเหรินยืนเฝ้าอยู่ที่ด้านนอก ดูเหมือนบุรุษผู้นี้ยังมิได้ขยับกายไปไหนเลยตั้งแต่เขากลับเข้าไปต้มยา เมื่อเห็นคนเป็นหมอกลับมาพร้อมกับพระโอสถที่ปรึกษาหนุ่มก็อดไม่ดีที่แสดงสีหน้าอยากรู้ความคืบหน้า
เต๋อหวนทำเพียงพยักใบหน้าราบเรียบ หมอหนุ่มวางโอสถในถ้วยกระเบื้องไว้บนโต๊ะ ก่อนจะถือล่วมยาแหวกม่านบรรทมหายเข้าไป
รุ่ยเหรินตามมาดู หมอแซ่หม่ากำลังพยุงพระวรกายท่านอ๋องให้บรรทมในท่าหันพระปฤษฎางค์ ขณะที่อาภรณ์คลุมกลับถูกถลกขึ้น บนแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้องดงานและหยาดเหงื่อแพรวพราวและเข็มเล่มเล็กๆ นับสิบ
“เจ้าแน่ใจหรือว่าวิธีนี้จะได้ผล”
รุ่ยเหรินเอ่ยอย่างไม่แน่ใจ เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูทุกข์ทรมานของหยวนจิวหรง หนำซ้ำ เหงื่อกาฬยิ่งพรายผุดออกมาจากร่างกายมากขึ้นหลังจากที่ฝังเข็มลงไป
“ข้าน้อยฝังเข็มดึงพิษให้ชะลอเบื้องต้นแล้ว แต่หากต้องการขับพิษออกให้หมดต้องรอบัวหยดน้ำค้างจากหมออู่”
ข้อเสียของการฝังเข็มดึงพิษคือจะทำให้ร่างกายขับน้ำออกมามากขึ้น ซึ่งเต๋อหวนไม่คิดจะอธิบายให้รุ่ยเหรินฟังเพราะเกรงว่าจะมากความ แต่กระนั้นก็อธิบายเป็นนัยว่าวิธีเขาไม่ได้ช่วยให้หายดี เป็นเพียงชะลอพิษเบื้องต้นเท่านั้น
รุ่ยเหรินมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น เขาเดินวนไปวนมาอย่างหงุดหงิด
“ไป่หานก็ไปด้วยทำไมถึงได้ช้านัก! ”
เมื่อได้ยินได้ยินว่าองครักษ์ซุนไปกับลี่จินด้วย หม่าเต๋อหวนก็ชะงักมือที่กำลังฝั่งลงไปที่หลัง ถึงจะเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะคิดในเวลานี้ แต่สุดท้ายก็ห้ามได้ยากเย็น
หมอหนุ่มพยายามควบคุมลมหายใจตนเอง ทำทีเป็นไม่สนใจเรื่องที่ได้ยิน ก่อนเขาจะลุกขึ้นแหวกม่านออกมุ่งตรงไปที่โต๊ะ แล้วหยิบโอสถรักษาขึ้นมา
ทว่าไม่ทันได้หันกลับไปป้อนยาให้อ๋องเมืองหู่ อยู่ๆ จางรุ่ยเหรินก็เดินออกมาพร้อมกับขว้างทางเขาเอาไว้
“เดี๋ยวก่อน” เต๋อหวนชะงัก มองสีหน้านิ่งงันของจางรุ่ยเหริน
คนสนิทหนุ่มขยับเท้าเข้ามาใกล้ ไม่ช้าก็พุ่งตรงมาคว้าถ้วยโอสถไปจากมือเขา เต๋อหวนตกใจแต่ก็ไม่ได้ปริปากพูดสิ่งใด เขาปล่อยให้รุ่ยเหรินสูดกลิ่นของยานั่น เพียงครู่เดียวปรายสายตาคมกริบก็ตวัดมามอง
“ข้าได้กลิ่นดอกเจ็ดราตรี”
รุ่ยเหรินหรี่ตาลงอย่างจับผิด เขาเคยอ่านตำรามาพอสมควร เลยทำให้รู้ว่า ดอกเจ็ดราตรีเป็นดอกไม้สีชมพูอมม่วงที่บานเฉพาะยามค่ำคืน และจะโรยราในตอนเช้าต่อเนื่องกันเจ็ดวัน มีกลิ่นหอมหวาน ทว่าเกสรของมันกลับมีพิษร้ายแรงถึงขั้นล้มโคหนุ่มได้ แต่กระนั้นแคว้นหู่ก็หาได้มีดอกไม้ชนิดนี้อยู่
“ใช่ โอสถนี้มีส่วนผสมของดอกเจ็ดราตรี” น่าแปลกที่หม่าเต๋อหวนยอมรับอย่างง่ายดายนัก แต่กระนั้นกลับยิ่งทำให้จางรุ่ยเหรินเริ่มขึ้นเสียงโกรธเป็นฟืนไฟ
“ที่เมืองหู่ไม่มีดอกเจ็ดราตรี ดอกไม้นั่นมีพิษ เจ้าคิดจะทำสิ่งใด! ”
ฉับพลันกระบี่คมกริบถูกชักออกมาวางไว้ที่ต้นคอของหม่าเต๋อหวนอย่างไม่ลังเล ทว่าในสถานการณ์อันเลวร้ายเช่นนี้ กลับมีเพียงสายตาที่แข็งกร้าวไม่เกรงกลัว
+++++++++++
ช่วงนี่ สปีดตกมากค่ะ แง T^T สต๊อกหมดแล้วว ขอเวลากลับไปปั่นก่อนนเด้อออ
แงอ่านคอมเม้นแล้วรู้สึกมีกำลังใจขึ้นเยอะเลย♥ ขอบคุณมากนะคะที่ชื่นชอบน้องหมออ ♥