CHAPTER 15
THE ONLY ONE
ขอโทษสำหรับทุกอย่าง
และขอบคุณที่ทำให้ผมรู้จักกับความรัก
เพื่อนที่คณะแนะนำเพลงสำหรับฟังตอนอ่านหนังสือให้มีสมาธิอยู่หลายเพลง พอฟังวนซ้ำไปซ้ำมาจนเบื่อเลยเริ่มหาเพลงใหม่ๆ มาฟังแทน กระทั่งแอพพลิเคชั่นซาวน์คราวด์เปลี่ยนเพลงอัตโนมัติ ผมเลยมีโอกาสได้ฟัง Original Score ของหนังเรื่อง If Beale Street Could Talk เข้า
ชีวิตคนเราพอต้องทำอะไรเดิมๆ กินอะไรเดิมๆ หรือฟังเพลงเดิมซ้ำๆ ล้วนต่างรู้สึกเบื่อหน่ายเป็นธรรมดา ทว่าเพลงนี้กลับไม่ใช่ความรู้สึกสูตรสำเร็จแบบนั้น เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมได้ฟัง ภาพของใครคนหนึ่งก็มักฉายชัดขึ้นมาในหัว
ผมได้รู้จักความสวยงามของรัก พอๆ กับที่รู้จักผู้ชายชื่ออาคเนย์
“เปิดเพลงนี้อีกแล้ว” ร่างบางซึ่งนั่งกดมือถืออยู่ตรงโซฟาบ่นพึมพำ
“ชอบอ่ะ โรแมนติกดี”
“ไม่เบื่อบ้างหรือไง”
“ยัง ยังรักได้มากกว่านี้อีก” ผมหมายถึงทั้งตัวตนของเขาและบทเพลง
เดือนมกราคมผันผ่าน ชีวิตในแต่ละวันของผมกับไอ้เนย์ก็ไม่มีอะไรพิเศษนัก ทว่าผมกลับรับรู้ถึงคุณค่าในแต่ละวินาทีที่เรายังคงอยู่ด้วยกัน อาจไม่ต้องทำอะไรสุดโต่ง เพราะบางวันก็แค่อยากนอนโง่ๆ อยู่ในห้อง หรือไม่ก็ตื่นขึ้นมากินนมพร่องมันเนยแล้วออกไปเรียน
ช่วงวัยแห่งความโลดโผนถูกแทนที่ด้วยความเป็นผู้ใหญ่แสนสุขุม พอนึกย้อนกลับไปก็อดขำไม่ได้ว่าทำไมถึงได้หัวร้อนง่ายและใช้ชีวิตเสี่ยงตายซะขนาดนั้น
“ขอนอนตักได้มั้ย” ผมขยับกายประชิดกับคนตรงหน้า ใบหน้าขาวเงยขึ้นมองครู่หนึ่งก่อนหลับตาลงอย่างช้าๆ เป็นการตอบตกลง
ชีวิตมันง่ายแค่นี้ แค่นี้จริงๆ
อาคเนย์ขยับตัวนั่งจนชิดกับโซฟาด้านหนึ่ง แบ่งพื้นที่อีกสามส่วนให้ผม หลังทิ้งตัวนั่งผมจึงค่อยๆ เอนหลังลงนอน หนุนศรีษะลงบนตักของคนตัวเล็ก
“ถ้าง่วงก็นอน” มันบอกเสียงเอื่อย กดมือถือยุกยิกต่อไปโดยไม่คิดสบตา
“มึงทำอะไรอยู่”
“ตอบข้อความไอ้ปราชญ์ แม่งเพิ่งไปก่อเรื่องมา”
“ยังไง” เนย์ไม่ค่อยเล่าเรื่องของเพื่อนๆ หรือคนรอบตัวให้ผมฟังเท่าไหร่ แต่กับเรื่องของไอ้ปราชญ์ นานทีปีหนถึงจะได้ยิน
“หักอกสาว” ผมร้องอ้อในใจ ก่อนคนพูดจะขยายความเพิ่มเติม “คนนี้ดีมากเลยนะ”
“บางทีความดีอาจไม่ใช่เหตุผลหลักของความรักก็ได้” เพราะเรียนรู้ว่าบางความรู้สึกก็ไม่สามารถแจกแจงรายละเอียดปลีกย่อยได้ว่าทำไม นอกจากจะลองกระโจนลงไปในห้วงของความไม่รู้ก่อน ถึงจะเข้าใจมันด้วยตัวเองในเวลาต่อมา
“คงงั้นมั้ง”
“มึงต้องไปอยู่เป็นเพื่อนไอ้ปราชญมั้ย”
“ไปทำไม”
“เผื่อมันเศร้าไง”
“สรุปใครเพื่อนไอ้ปราชญ์กันแน่ กูหรือมึง เห็นห่วงมันจัง”
“เปล่าแค่ถามเฉยๆ” ประโยคต่อมาขาดหาย ผมชั่งใจครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจบอกความจริง “แค่อยากรู้ว่าถ้ามึงไม่ต้องอยู่กับเพื่อน จะเป็นไปได้มั้ยที่มึงจะอยู่กับกู”
“ที่นั่งอยู่นี่ไม่ได้อยู่ด้วยกันหรือไง”
“แล้ววันเสาร์ล่ะ มึงว่างมั้ย” คนถูกถามก้มหน้ามอง แต่ไม่ยอมตอบคำนอกจากพยักหน้าให้ “งั้นไปบ้านกูกัน ไปลองขับรถดู”
“อืม...”
“เนย์”
“อะไร”
“อาคเนย์...”
“มีอะไรก็พูดมา”
“กูรักมึง”
ผมพูดคำว่ารักอย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะผ่านทางคำพูด การแสดงออก สีหน้าและแววตา รวมถึงการกระทำต่างๆ ตรงข้ามกับอีกฝ่ายอย่างสิ้นเชิงตรงที่ไม่ว่าจะยังไง ผมก็ไม่เคยได้ยินคำว่า ‘รัก’ จากอาคเนย์เลย
“สมุดบันทึกกูอยู่ไหน”
“อยู่ที่กู ลองขับรถเสร็จแล้วจะคืนให้”
“อืม”
สมุดบันทึกที่ว่ามีหน้าปกเป็นสีขาว แต่ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนสีไปเล็กน้อยหลังผ่านการใช้งานมาอย่างหนักหน่วง มันมีเจ้าของชื่ออาคเนย์ ทำหน้าที่เป็นเหมือนเครื่องบันทึกความทรงจำ แค่เปลี่ยนจากภาพและเสียงเป็นตัวหนังสือเท่านั้น
พี่หมอแนะนำว่าควรมีการบันทึกจำนวนครั้งของการทดลอง รวมถึงสังเกตอาการและความรู้สึกหลังผ่านสภาวะที่ยากลำบาก ดังนั้นนี่จึงเป็นหน้าที่ของไอ้เนย์ที่ต้องถ่ายทอดมันออกมาเพื่อให้จิตแพทย์ได้หาแนวทางการรักษา
“เนย์ แล้วนั่นมึงจะไปไหน รถอยู่นี่” ในทุกๆ สุดสัปดาห์ของการกลับบ้าน ทั้งผมและอาคเนย์จะใช้เวลาช่วงสองหรือสามชั่วโมงแรกไปกับการช่วยแม่เตรียมอาหารและนั่งทานข้าวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
เมื่อท้องอิ่มจึงค่อยเปลี่ยนไปทำกิจกรรมอย่างอื่นตามตารางที่แพลนไว้ ทว่าตอนนี้ไอ้ตัวเล็กกลับไม่ยอมเดินขึ้นรถ แต่กลับสาวเท้าไปอีกทางส่งผลให้ผมต้องตะโกนทักท้วงด้วยความสงสัย
“กลับบ้าน”
เจ้าตัวตอบกลับด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น ขณะสองเท้ายังไม่หยุดเคลื่อนไหว
บ้านหลังข้างๆ ซึ่งเป็นความทรงจำตั้งแต่เด็กจนโตของไอ้เนย์อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว แต่สภาพที่เห็นในตอนนี้ไม่เหมาะจะเดินเข้าไปด้วยซ้ำ
“บ้านหลังนี้มีคนซื้อไปแล้ว มึงเข้าไปถือว่าบุกรุกนะ”
“เหรอ” มันหันหน้ามาพลางฉีกยิ้มกวนๆ ใส่ “แล้วไงอ่ะ”
“ได้เหรอวะ!”
เห็นทีจะไม่ทัน ในเมื่อมันได้ทำการปีนป่ายรั้วจนสามารถเข้าไปภายในพื้นที่ดังกล่าวได้สำเร็จ แต่จะให้ผมยืนอยู่ด้านนอกก็คงทำไม่ได้เลยร่วมด้วยช่วยกันกระทำความผิด รีบปีนรั้วตามขึ้นไปในที่สุด
สนามหญ้าหน้าบ้านที่เคยเขียวชอุ่มบัดนี้แห้งระแหง ผลัดเปลี่ยนจากสีเขียวกลายเป็นเหลืองอมน้ำตาลเนื่องจากไม่มีคนคอยรดน้ำดูแลเหมือนในอดีต
“มานั่งนี่สิ” อาคเนย์ไม่ต่างจากเด็กน้อยในวันวาน มันวิ่งวนไปรอบๆ อยู่พักหนึ่งก่อนจะนั่งจุมปุ๊กอยู่ตรงพื้นหญ้า พลางใช้มือตบพื้นปุๆ เป็นการเชิญชวน
ผมไม่เคยขัดมันได้อยู่แล้วเลยทิ้งตัวลงนั่งข้างคนตัวเล็ก กวาดสายตามองพื้นที่โดยรอบ บ้านหลังนี้เปลี่ยนแปลงไปมากหลังไม่มีคนอาศัยมาหลายปี แม้จะมีเจ้าของใหม่ซื้อไปแล้วแต่ผมก็ไม่เคยเห็นพวกเขาย้ายเข้ามาจัดการหรือทำความสะอาดเลยสักครั้ง
“คิดถึงบ้านหลังนี้เหรอ” ริมฝีปากเปล่งคำถาม
“ก็ไม่ได้เข้ามานานแล้ว ปกติเวลามากินข้าวบ้านมึงทีไรกูก็ไม่เคยแวะมา”
“เมื่อก่อนแม่มึงปลูกดอกไม้ไว้หน้าบ้านด้วยกูจำได้” ควาทรงจำอันสวยงามผุดเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ “ส่วนมึงก็ชอบวิ่งเล่นอยู่แถวนี้”
“จำแต่ของกู มึงก็ชอบเอาบอลมาเตะตรงสนามหน้าบ้านกูบ่อยๆ ไม่ใช่หรือไง”
“ก็มึงบอกว่าเล่นได้ ตกใจสุดคือเผลอทำกระจกห้องนั่งเล่นแตกไปสองบานเลย”
“สาม”
“หืม”
“สามบาน รวมที่มึงเอาหัวโหม่งลูกบอลฉลองปิดเทอมด้วย”
“จำโคตรแม่น”
“จะให้ลืมได้ไงวะ แม่เล่นด่าจนหูชาที่ไม่ยอมห้ามมึง กูนี่ผิดทั้งขึ้นทั้งล่อง” คิดถึงตอนนั้นแล้วก็อดหัวเราะตามไม่ได้ เออว่ะ ปัญหามันเกิดจากผมแต่ไอ้เนย์จะต้องตามเช็ดตามล้างทุกครั้งไป นึกๆ ดูแล้วชีวิตของผมล้วนมีมันอยู่ในทุกช่วงของวัยเด็กจนโตเป็นวัยรุ่นจริงๆ
“กูนึกว่ามึงจะลืมทุกอย่างที่เกี่ยวกับกูไปแล้วซะอีก”
“ถ้าความทรงจำมันลืมง่าย คงไม่มีใครเจ็บปวดเพราะมันหรอก” คนพูดค่อยๆ เอนตัวลงนอนอย่างช้าๆ ปล่อยให้เส้นผม แผ่นหลัง และร่างกายสัมผัสกับพื้นหญ้าแห้ง สายตาทอดมองไปยังท้องฟ้านิ่งงัน “แต่ก็ดีที่อย่างน้อยกูก็เคยทำเรื่องบ้าบอไปกับมึง”
“เนย์ ขอถามมึงหน่อยได้มั้ย” ผมยังอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ ภาพสะท้อนจากดวงตาถูกอีกฝ่ายดึงดูดไปทั้งหมด
“อืม”
“ตอนที่เรายังเป็นเพื่อนกัน มึง...รักอะไรในตัวกู” แม้รู้ว่าโลกในวัยมัธยมไม่ได้กว้างมากก็จริง แต่ถึงยังไงเราก็ต้องเจอกับคนที่ถูกใจมาไม่มากก็น้อย ผมเลยอยากรู้ว่าทำไมถึงต้องเป็นบูรพาที่อาคเนย์หลงรัก ทั้งที่ผมเองนั้นก็ไม่ได้มีอะไรที่ดีเหนือคนอื่นเลย
“ต้องตอบว่ายังไงดี” เปลือกตาสีอ่อนปิดลง คล้ายกับไม่ต้องการให้ผมรับรู้ถึงความรู้สึกซึ่งอาจฉายสะท้อนให้เห็น“คงเป็นความคิดแบบเด็กๆ นั่นแหละ”
“...”
“มึงเป็นเพื่อนสนิท มึงเข้าใจกูทุกอย่าง เวลามีปัญหาอะไรถึงแม้ช่วยแก้ไขไม่ได้แต่ก็ไม่เคยหายไปไหน กูตกหลุมรักน้ำเสียง สีหน้าท่าทาง ความใส่ใจ ทุกอย่างที่เป็นมึงกูรักหมด”
“...”
“ความจริงแค่รักต่อให้มึงมีข้อเสียเป็นร้อยกูก็ยังมองว่ามันสวยงามอยู่ดี”
“ขอบคุณนะเนย์”
“ขอบคุณทำไม ความคิดแบบนั้นก็อยู่ได้แค่ตอนมัธยมเท่านั้นแหละ”
“แต่คงไม่ใช่กับกู” เมื่อวันหนึ่งที่ความรู้สึกของคนสองคนกลับตาลปัตร ไอ้เนย์เคยรัก ส่วนผมเพิ่งมารัก ผิดแค่ว่าจังหวะและโอกาสกลับไม่ตรงกันสักที
คนตัวเล็กไม่มีปฏิกิริยาใดตอบสนองนอกจากนอนหลับตานิ่ง ปล่อยให้ความเงียบได้ทำหน้าที่ของมัน ไม่รู้หรอกว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่สำหรับผม ช่วงเวลาที่ได้นั่งมองใบหน้าขาวสะอาดอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องที่ต้องฝืนใจอะไร
นาฬิกาข้อมือบ่งบอกว่าเวลาได้ผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีแล้ว ทุกอย่างยังคงไร้ความเคลื่อนไหว ดูเหมือนไอ้เนย์จะจมลงสู่ภวังค์ พาตัวเองเข้าไปวิ่งเล่นในความฝันจนเผลอละเมอชื่อผมผะแผ่ว
“บู...บู...”
“มึงเป็นอะไรมั้ย” ผมอดไม่ได้เอื้อมมือไปเขย่าแขนอีกฝ่ายเบาๆ เป็นการปลุก
เปลือกตาสองข้างลืมขึ้น ดวงตาใสเคลือบหยดน้ำตาจนหัวใจสะท้าน หลังได้สติก็ไม่มีประโยคใดจากเจ้าตัวตอบกลับอีกนอกจากเม้มปากแน่นพลางลุกขึ้นยืน สองมือปัดเศษหญ้าตามกางเกงออกพัลวัน“ไปกันเถอะ”
“เมื่อกี้โอเคใช่มั้ย มึงฝันร้ายหรือเปล่า”
“เปล่า กูไม่ได้ฝันร้าย แค่หลับตาเฉยๆ แล้วก็จินตนาการ...แต่บังเอิญที่มันดันเป็นเรื่องของมึง”
“แย่มากเลยเหรอวะ”
คนฟังส่ายหัว ฉับพลันนั้นใบหน้าเรียบเฉยก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มให้เห็น
“มันคือเรื่องที่ดี”
ไม่ปล่อยให้ผมถามต่อกายบางรีบย่ำเท้าไปยังประตูรั้วไอ้เนย์เป็นคนคิดเร็วทำเร็ว บางครั้งผมก็ตามมันไม่ค่อยทันเท่าไหร่หรอกนอกจากวิ่งตามตูดเจ้าตัวต้อยๆ เหมือนเด็ก ผมชอบอาคเนย์ที่เป็นแบบนี้นะ ไม่เศร้าซึมกับทุกอย่างบนโลกตลอดเวลา ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความเกลียดชัง รู้จักยิ้มและหัวเราะจากใจจริงที่สำคัญยังรู้จักการให้อภัยตัวเองเมื่อเผลอทำผิดพลาดไปบ้าง
ผมเองก็เช่นกัน...
รถยนต์จอดสนิทบริเวณหน้าบ้าน เราหยุดยืนอยู่ตรงประตูฝั่งคนขับ
“เดี๋ยวรอกูปรับเบาะก่อน” ปกติผมจะเป็นฝ่ายเตรียมความพร้อมทุกอย่างให้ไอ้เนย์ก่อนเสมอ ซึ่งการขับรถทุกครั้งเราจะนั่งซ้อนกันอยู่บนเบาะตัวเดียวเพราะไม่มีความกล้าพอที่จะปล่อยให้คนตัวเล็กมาเสี่ยง
“บู...” แต่มือบางกลับเลื่อนมาจับต้นแขน ส่งสายตาบางอย่างซึ่งอ่านไม่ออกมาให้
“หืม”
“อยากลอง” ไอ้เนย์พูดอย่างหนักแน่น
“หมายถึงอะไร กูไม่เข้าใจ”
“กูอยากลองขับเอง”
“ไม่ได้ มันอันตราย เกิดมึงเป็นอะไรขึ้นมากูจะทำยังไง”
“ที่ผ่านมากูก็ทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ หนิ”
“มันยังไม่ถึงขั้นที่จะปล่อยมึงได้ รอก่อนได้มั้ย” หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอมหรอก ผมพยายามนึกถึงหลักจิตวิทยาที่พอจะใช้ในการพูดกับคนไข้มากมาย ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยเสียงของคนตรงหน้าก็แทรกขัดซะก่อน
เนย์รู้ดีว่าผมคิดอะไร รู้ว่าผมกลัวแค่ไหน มันถึงได้ทำอย่างนี้
“ถ้ามัวแต่รอแล้วเมื่อไหร่จะได้ทำล่ะ กูคิดว่าวันนี้ตัวเองพร้อมมากแล้ว”
“มึงเชื่อกูเถอะ อย่าเพิ่งเลย”
“แล้วมึงเคยเชื่อใจกูสักครั้งมั้ย”
ผมพูดไม่ออก อาจจะจริงที่ผมรักเขามากเกินไปจนหลงลืมความเชื่อใจไปจนหมด อึดอัดเหมือนกันที่ในหัวเอาแต่คิดย้อนแย้งไปมา ผมอยากให้อาคเนย์หลุดพ้นจากความทรมาน แต่ขณะเดียวกันก็ยังกลัวว่าเขาจะไม่พร้อมกับการเผชิญหน้าด้วยตัวเอง
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาอาคเนย์มีบูรพามาตลอด พอวันหนึ่งได้ยินว่าเขาจะสู้มันด้วยตัวเองเลยอดเป็นห่วงไม่ได้
“บู ตอนกูล้มมึงช่วยพลิกจักรยานกูขึ้นมา มึงคอยดันเบาะแล้วตะโกนบอกให้กูปั่นไปข้างหน้าด้วยตัวเอง และเพราะกูรู้ดีไงว่ายังไงมึงก็จะอยู่ตรงนี้ กูเลยไม่กลัวอะไรอีก”
“อืม” คงถึงเวลาแล้ว ผลจะเป็นยังไงคิดว่าเขาคงยอมรับมันได้ทั้งหมด ผมเองก็ควรคิดแบบนั้นด้วย “มาลองดูสักตั้งเถอะ”
ผมอยากเชื่อใจเขาให้มากกว่านี้ เหมือนที่เขาเองก็เชื่อใจยอมย้ายมาอยู่ด้วยกัน ทั้งที่ชาตินี้เราไม่จำเป็นต้องเจอกันก็ได้
“ต้องเปิดกระจกรถไว้ตลอดนะ” ทันทีที่คนตรงหน้าแทรกตัวเข้าไปภายในรถ ผมไม่ลืมเอ่ยกำชับตามหลัง อย่างน้อยความปลอดภัยก็ต้องมาก่อนเสมอ
เบาะรถถูกปรับให้เข้ากับผู้ขับขี่ กระจกถูกลดระดับลง อาคเนย์คาดเข็มขัดนิรภัยอย่างแน่นหนา โดยมีผมยืนมองอยู่ด้านนอก รอจนวินาทีที่มือติดสั่นน้อยๆ เลื่อนไปกดปุ่มสตาร์ทระบบอวัยวะในร่างกายของผมก็เหมือนถูกเปิดสวิตช์ไม่ต่างจากเครื่องยนต์ซึ่งกำลังทำงาน
จังหวะการเต้นของหัวใจรัวกระหน่ำ การหายใจเริ่มถี่กระชั้น สองเท้าสั่นเทายืนแทบไม่มั่นคง นี่คืออาการที่อาคเนย์มักแสดงให้เห็นเมื่อนั่งหลังพวงมาลัย ทว่าตอนนี้ผมกลับเป็นซะเอง
“มึงกลัวเหรอ” คนตัวเล็กหันมาถาม ไม่รู้ว่าตอนนี้สีหน้าของผมซีดเผือดขนาดไหน แต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือเอ่ยบอกให้คนฟังสบายใจ
“ไม่หรอก มึงนั่นแหละโอเคใช่มั้ย”
“อืม” ใบหน้าขาวเรียบนิ่ง สองมือซึ่งจับพวงมาลัยไม่สั่นอีกแล้ว มีเพียงดวงตาคู่สวยเท่านั้นที่ไม่เคยโกหก ยังคงมีความกลัวปะปนอยู่ในนั้น
คงไม่ทันแล้วใช่มั้ยหากจะบอกให้เขาหยุด ดังนั้นการเดินหน้าจึงเป็นทางเดียวที่เหลืออยู่
“ตอนที่ปล่อยรถให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่าเพิ่งเหยียบนะ ปล่อยมันไปเรื่อยๆ กูจะเดินตามเอง” ไอ้เนย์พยักหน้าเข้าใจกระทั่งเท้าขวาละจากเบรกล้อรถยนต์ทั้งสี่ก็เริ่มเคลื่อนไปข้างหน้า
“โฟกัสถนนด้วย”
คนบนเบาะกัดปากตัวเองแน่นจนเลือดซิบ เข้าใจแล้วว่าต้องทรมานมากแค่ไหนในการเผชิญหน้ากับความกลัว ผมย่างเท้าให้เร็วขึ้นตามรถ สายตามองเข้าไปยังคนขับเพื่อสังเกตสีหน้าท่าทางไปพร้อมกัน
“นั่นแหละดีแล้ว” คำชมเชยถูกส่งตรงให้คนตัวเล็ก
เบื้องหน้าเป็นถนนภายในหมู่บ้าน โชคดีที่เวลานี้ไม่มีรถผ่านไปผ่านมาแม้แต่คันเดียว ความกังวลจึงถูกตัดทิ้งไปแล้วเรื่องหนึ่ง เมื่อระยะทางโดยคร่าวซึ่งกะจากสายตาผ่านไปแล้วประมาณหนึ่งร้อยเมตร คำสั่งที่สองจึงถูกส่งต่อ
“คราวนี้ลองเหยียบคันเร่งดู รักษาระดับไว้ไม่เกิน 30กม./ชม. ไหวมั้ย”
“จะ...จะลองดู”
เหงื่อเริ่มผุดพรายตามกรอบหน้าเล็ก ไอ้เนย์พูดเสียงกุกกัก แต่ทั้งสายตา สองมือ และเท้าขวายังคงทำงานประสานกันเป็นอย่างดี
ความเร็วของรถเพิ่มขึ้น สองเท้าของผมเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่ง ทุ่มความสนใจทั้งหมดไปยังเขา
“เก่งมากอาคเนย์”
“กู...”
“เป็นอะไรมั้ย ถ้าไม่ไหวมึงหยุดได้นะ” เอ่ยพูดปนหอบจบอีกฝ่ายกลับส่ายหัว
“กูคิดว่ากูทำได้ กูไม่กลัวอีกแล้ว กูไม่กลัวอีกแล้ว...มึงเชื่อใจกูใช่มั้ย” อาคเนย์หันหน้ามาประสานสายตากับผมเพียงเสี้ยววินาทีก่อนเปลี่ยนไปจดจ่อกับภาพตรงหน้าต่อ ทว่าผมรู้ดีเขายังรอฟังคำตอบจากผมอยู่
“กูเชื่อมึง”
“งั้นกูขอก้าวไปข้างหน้าด้วยตัวเองได้มั้ย”
“ได้แล้วล่ะ...”
สิ้นสุดประโยคนั้นรถยนต์ซึ่งขับคู่ขนานกับการวิ่งของผมก็ถูกเร่งความเร็วขึ้นจนทิ้งระยะห่างระหว่างเราทั้งคู่ ผมวิ่งตามหลังรถ วิ่งจนกว่าจะไม่ไหวและหมดแรง
ไกลขึ้น ไกลขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มตามไม่ทัน
“นั่นไง ทำได้แล้ว!” ผมตะโกนตามหลัง ซึ่งเป็นประโยคเดียวกับที่เคยบอกกับเขาเมื่อครั้งยังเด็ก อาคเนย์กำลังเติบโตไปอีกขั้นหลังจากต้องเจ็บปวดจากการล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายครั้ง
ขอบคุณจริงๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
ผมสอนเขาปั่นจักรยาน
ผมสอนเขาขับรถยนต์
แต่เขาสอนผมมากกว่านั้น
สองเท้ายังคงวิ่งย่ำไปข้างหน้า ภาพต่างๆไหลวนในหัวไม่ว่าดีหรือร้าย น้ำตามากมายไหลอาบดวงตา จำไม่ได้แล้วว่าเคยร้องไห้หนักที่สุดตอนไหน มันมากมายจนนับครั้งไม่ถ้วนทว่านี่คือครั้งแรก...
ครั้งแรกที่ร้องไห้ออกมาเพราะความดีใจ
ผมมาส่งเขาถึงจุดหมายแล้ว
บูรพามาส่งอาคเนย์ตามสัญญาแล้ว
มีคำถามหนึ่งผุดขึ้นในหัว หากอาคเนย์ต้องจากไป วันใดวันหนึ่งเขาจะกลับมาหาผมมั้ยอ่านต่อด้านล่างค่ะ