เนื้อหาในตอนนี้มีความไม่เหมาะสม โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านตอนที่ 15
ดวงตาของผมพร่ามัวไปหมด หูทั้งสองข้างอื้ออึงเหมือนได้ยินเสียงหลอนสารพัด นิ้วมือทั้งสิบยังคงเกร็งเครียด บีบเม็ดยาในกำมือเอาไว้แน่นกระทั่งรู้สึกถึงความสั่นไหวของร่างกาย เสี้ยววินาทีหลังจากนั้นผมเหลือบตามองบางสิ่งผ่านม่านสายตาอันเลือนราง มันเป็นภาพในห้วงของความคิดที่สร้างขึ้นมาหลังจากรับรู้ความจริงว่าไม่มีทางเกิดขึ้น
“ตัวเล็ก...เหรอ” เสียงที่เอ่ยออกไปกวัดแกว่งเต็มที เป็นเขาใช่มั้ย เขาที่ไม่ใช่คนในความฝัน ผมถามตัวเองอย่างนั้นแม้จะรู้ว่ามันเป็นเพียงเรื่องหลอกลวง
“ตัวเล็กมาส่งพี่แล้วใช่มั้ย” ผมก้าวเท้าไม่หยุด เดินผละจากเตียงไปยังโต๊ะเขียนหนังสือตรงมุมห้อง พร้อมกับยาในมือที่เริ่มร่วงทีละเม็ดสองเม็ดผ่านซอกนิ้ว ผมเห็นสิงหายืนยิ้มอยู่ตรงนั้น เขายิ้มให้ผมเหมือนกำลังบอกอะไรสักอย่าง แต่ผมโง่...ผมไม่รู้ว่าแววตาของเขาหมายความว่ายังไง
“พี่ต้องไปแล้ว เราเรียกพี่เหรอ”
ไม่มีคำตอบจากอีกฝ่าย สมองของผมรวนเรหลังจากมันดับวูบไปก่อนหน้านั้น ผมอาย ผมไม่อยากให้เขาเห็นความขื่นขมที่เกิดขึ้นกับชีวิต มันไร้ค่า น่าสมเพชและเวทนา
ได้โปรด...อย่าให้ใครต้องมารับรู้ภูผาที่ไม่เอาไหนตอนนี้เลย
“ขอโทษนะ ทะ...ที่บอกให้ไม่ต้องรอ พี่แค่จะไป พะ...พี่เหนื่อยแล้วครับ ตรงนี้ทรมานมากเลย ดะ...เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวก็หนาวจนนอนไม่หลับ อยากนอน พี่อยากนอนใจจะขาด ให้พี่ไปเถอะนะ”
จะให้บอกว่ายังไง ขอโทษนะแต่ตอนนี้ต้องไปแล้วอย่างนั้นเหรอ พี่กำลังฆ่าตัวตาย พี่ไม่อยากอยู่บนโลกอีกต่อไป พี่เหนื่อยมามากพอแล้ว คำพูดพวกนี้ไม่สามารถเอ่ยออกมาให้อีกฝ่ายรับรู้ได้เลย
สิงหายังคงยิ้ม ฉุดรั้งให้ผมเดินตามความเลือนรางตรงหน้าเพื่อหวังจะได้สัมผัสร่างเล็กเป็นครั้งสุดท้าย แต่พอเดินไปถึงมันกลับว่างเปล่า สิงหาไม่ได้อยู่ตรงนี้ และผมก็รับรู้ได้ในทันที แม่งก็แค่บ้าไปเอง ใครจะอยากรั้งคนไม่เอาไหน ใครจะอยากมาส่งคนเลวๆ ที่ไม่มีใครต้องการ แม้ในใจลึกๆ ผมจะยังอยากให้ใครสักคนจับมือและพาไปส่งถึงความฝัน ลูบหัว และกล่าวปลอบโยนว่าไม่เป็นไรซ้ำๆ จนกระทั่งหลับใหลไป
ผมเคยกลัวที่ต้องตายอย่างโดดเดี่ยว กลัวที่ต้องจากไปเพียงลำพังอย่างเจ็บปวด แต่ถ้าไม่รีบตัดสินใจผมอาจทรมานมากกว่าที่เป็นอยู่ ภูผาคนนี้ไม่อยากสูญเสียอะไรอีกแล้ว ดังนั้นผมจึงต้องหยุด
หยุดเพื่อไม่ให้สิ่งใดหายไปอีก
บางทีก็คิดอิจฉาใครหลายๆ คนที่จากโลกนี้ไปแต่ทิ้งสิ่งที่มีคุณค่าและยิ่งใหญ่ไว้มากมาย แตกต่างจากผม เพราะมันเป็นเพียงแค่การหายไปโดยไม่ได้กระทบต่อความรู้สึกหรือหัวใจของใครเลย
ผมแบมือข้างขวาซึ่งกำยาเม็ดสีขาวเอาไว้เต็มฝ่ามือ แม้ภาพตรงหน้าจะไม่ชัดเพราะถูกน้ำตาบดบังก็ตามที หัวใจมันเต้นกระหน่ำขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ระยะของยากับริมฝีปากปากห่างกันเพียงไม่กี่เซน มือข้างนั้นทวีแรงสั่นสะท้าน สั่นราวกับไม่สามารถจับต้องสิ่งใดได้ จนเผลอทำยาในมือร่วงกราวราวกับเม็ดฝน ตกลงสู่พื้นห้องโดยมีฝ่าเท้าเหยียบย่ำบางส่วนของมัน
“อึก...”
ผมย่อเข่าลง เก็บเม็ดยาสีขาวบนพื้นท่ามกลางความพร่าเบลอของดวงตา มือทั้งสองข้างกวาดไปมาสะเปะสะปะคล้ายกับคนตาบอด กระทั่งรู้สึกถึงแรงสัมผัสต่อวัตถุอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่ยานอนหลับซุกอยู่ตรงซอกโต๊ะเขียนหนังสือ ผมหยิบมันขึ้นมา ยกแขนปาดน้ำตาออกจากใบหน้าเพื่อหวังจะได้เห็นวัตถุตรงหน้าได้ชัดกว่าเดิม
มันเป็นซองจดหมายสีขาวที่จ่าหน้าซองถึงผมในอีกหนึ่งปีข้างหน้า ทว่าลายมือที่เขียนนั้นมันเป็นตัวหนังสือเบ้ขวาแสนคุ้นตา ลายมือที่ถูกเขียนอย่างตั้งใจและเป็นของใครบางคนในความทรงจำ...สิงหา
ถึง...ภูผาในอีกหนึ่งปีข้างหน้า
31/03/2015
ห้ามเปิดจนกว่าจะถึงเวลา
หนึ่งปีที่แล้ว สิ้นเดือนมีนาคมกำลังผ่านพ้นไป ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าพร้อมกับใครอีกคนท่ามกลางเสียงนาฬิกาปลุกที่ดังลั่นห้องเพราะเป็นวันสุดท้ายของเดือน เราเลยต้องส่งท้ายเดือนนั้นด้วยการเขียนความฝันของกันและกันอย่างตั้งใจ แต่ผมจำไม่ได้แล้วว่าจดหมายอีกฉบับมันอยู่ที่ไหน จะมีก็แต่ข้อความของสิงหาเท่านั้นที่ยังคงอยู่ เวลานี้ผมไม่ได้นึกว่ามันจะถึงเวลาสำหรับเปิดอ่านข้อความด้านในหรือเปล่า แต่...
เวลาของผมไม่ได้มากเหมือนแต่ก่อนแล้ว
มือทั้งสองข้างค่อยๆ แกะซองจดหมายออกอย่างเบามือ ด้านในมีการ์ดสีฟ้าสอดเอาไว้อย่างเรียบร้อยคล้ายกับรอการเปิดผนึกในสักวัน ผมหยิบแผ่นการ์ดเล็กๆ ขึ้นมา เปิดอ่านข้อความด้านในอย่างใจจดจ่อ ด้วยคาดหวังว่าจะได้อ่านสิ่งที่สิงหาเคยเขียนเอาไว้ในวันที่เรายังรักกันอยู่
31/03/2015
ผมคาดหวังว่าเราจะได้เต้นรำด้วยกัน
ทันทีที่ได้เห็นชื่อของใครอีกคน มันก็ทำให้ความคิดที่กำลังวกวนในสมองหยุดชะงัก ผมเห็นหน้าของเขาและคราบน้ำตาเปรอะเปื้อนอยู่บนกระดาษการ์ดจนเป็นภาพทับซ้อน
แปลกที่ทุกครั้งเวลามีสิงหาโผล่เข้ามาในความคิดพร้อมกับประโยคสร้างความหวังอะไรสักอย่าง มันทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกหน่อย ถึงแม้จะบอกว่าพอแล้วซ้ำๆ ไม่หยุด แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเขาคือเหตุผลเดียวที่ทำให้ผมยังคงหายใจ
“เราอยากเต้นรำกับพี่ในวันสิ้นเดือนเหรอ” เอ่ยออกไป แม้จะไร้ซึ่งวี่แววของคำตอบ
ผมรู้สึกเหมือนความทุกข์ในหัวใจหายไปชั่วขณะ คล้ายมีใครบางคนโอบอุ้มมันขึ้นมาจากนรกสักขุม ตลอดสองวันที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่คนตัวเล็กจะแสดงความรู้สึกที่มีต่อผม อะไรสักอย่างก็ได้ รัก เกลียด หรือห่วงใย ผมเห็นเพียงแววตาเฉยชาและว่างเปล่า นั่นทำให้สุดท้ายผมถึงได้ตัดสินใจที่จะจากไปตลอดกาล
อย่างน้อยก็ไม่ต้องมาเจ็บหรือคาดหวังที่จะอยู่กับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีก กระทั่งได้อ่านข้อความเมื่อหนึ่งปีที่แล้วจากคนตัวเล็ก ความหวังในหัวใจก็ถูกจุดขึ้นอีกครั้ง เขาอยากเต้นรำกับผม เราได้จับมือและเต้นไปด้วยกันตามจังหวะเพลงที่เราชอบ จะผิดมั้ยที่อยากคิดเข้าข้างตัวเองแบบนี้ไปเรื่อยๆ
ได้แต่เอนตัวลงนอนกับพื้น กอดเข่าคุดคู้อยู่ที่ซอกโต๊ะและคิดถึงเรื่องทุกอย่างอยู่ในหัว
ขอผมจินตนาการถึงมันอีกหน่อยนะ ขอเวลาอีกนิดเดียว ให้ผมได้เก็บช่วงเวลาที่มีความสุขเอาไว้และทำตามสัญญาสุดท้ายที่ให้ไว้กับตัวเล็กก่อน ให้เราได้จับมือกัน ยิ้มให้กัน ตอนนั้นผมอาจจะกล่าวลาสักประโยคแล้วค่อยหายไป มันคงดีกว่า...
เราจะเต้นรำเพลงอะไรดี
The luckiest ในหนัง About time ที่ตัวเล็กชอบดีมั้ย
หกโมงเช้ามาถึงเร็วกว่าที่คิด ผมเผลอหลับไปทั้งชุดนิสิต เพราะเมื่อคืนร้องไห้แทบไม่เหลือน้ำตา แต่ทันทีที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาผมก็รีบต่อสายหาไอ้เซนทันที ดีใจที่มันยังคอยช่วยเหลือจนกระทั่งวินาทีสุดท้าย ผมจะไม่มีวันลืมความเอื้อเฟื้อของเพื่อนคนนี้เลย
วันที่ 31 มีนาคม จะตรงกับวันจัดนิทรรศการภาพถ่ายของผมที่หอศิลป์มหาวิทยาลัย ซึ่งก็คืออีกสองวันข้างหน้า ไม่รู้หรอกว่าสิงหาตอบตกลงที่จะมาหรือเปล่า เพราะผมบอกเขาว่าไม่ต้องรอแล้ว แต่ในใจลึกๆ มันก็ยังมีความหวังว่าเราจะได้ทำตามความฝันสุดท้ายไปด้วยกัน
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์เครื่องเดิมดังขึ้น มองดูปลายสายเห็นว่าเป็นเบอร์ไม่คุ้นเคยแต่ก็ตัดสินใจรับในทันที
“สวัสดีครับ”
ผมคาดหวังว่าจะได้ฟังเสียงของใครสักคนตอบกลับมา และในเวลานั้นความปรารถนาของผมก็เป็นจริง ขอบคุณที่ทำให้ภูผาคนนี้ยิ้มได้อีกครั้ง...
“ไหนคุณบอกว่าภาพเสร็จแล้ว” คนตัวเล็กเดินเข้ามาในตัวบ้าน หลังจากปล่อยให้ยืนรออยู่ตรงรั้วค่อนข้างนานเพราะไม่สามารถกดกริ่งเรียกได้ แหงล่ะ...ผมถอดมันออกไปแล้ว หรือถ้าจะตะโกนก็คงไม่ได้ยิน
“พี่ทำเสร็จแล้ว แต่อยากให้เรามาช่วยเลือกรูปที่ชอบหน่อย”
“คุณไม่ได้นอนหรือเปล่าครับ ตาดูบวมๆ” ร่างบางเปลี่ยนเรื่อง พยายามจ้องมาที่หน้าของผมด้วยความเคลือบแคลงใจ
“อืม...สงสัยเมื่อคืนทำงานหนัก”
“พักบ้างนะครับ”
“เดี๋ยวก็ได้พักแล้วล่ะ”
“...”
“ว่าแต่เมื่อวานไปกินข้าวกับเพื่อนสนุกมั้ย”
“ก็สนุกดีครับ”
“คินดูแลเราดีหรือเปล่า”
“ดีครับ ว่าแต่คุณจะให้ผมเลือกรูปยังไงเหรอ” ผมรู้...รู้ว่าสิงหาพยายามดึงเราทั้งคู่ออกมาจากความกดดันหลายอย่าง อาจเพราะกลัวว่าผมจะล่ำเส้นมากเกินไปจนทำให้รู้สึกอึดอัด และผมก็เพิ่งรู้ตัวว่ากำลังก้าวก่ายในชีวิตของคนตัวเล็กจนเกินพอดี
“อ่าขอโทษทีนะ เดี๋ยวพี่จะเปิดรูปให้ดู”
สามวันแล้วที่เราได้เจอกัน แต่เป็นสามวันที่มีความสุขปนความเศร้า สิงหายังคงใช้สรรพนามว่าคุณในการเรียกผม มันดูห่างเหิน ดูเคว้งคว้าง แต่ก็นั่นแหละ ดีแค่ไหนแล้วที่เราได้กลับมาเจอกันและยังสามารถคุยกันได้อีก
นิ้วของผมคลิกลงบนเมาส์ ลากมือเลื่อนไปบนโฟลเดอร์งานซึ่งมีภาพของสิงหาอยู่ในนั้นจำนวนมาก ผมบอกให้เขาชี้เลือกมันด้วยตัวเอง หลังจากขยับมือเลื่อนภาพไปเรื่อยๆ พร้อมกับมองเสี้ยวหน้าเล็กที่อยู่ใกล้ไปพลางๆ
ภาพทุกภาพเป็นสีขาวดำ คือความทรงจำทุกอย่างที่ผมมีต่อเขา คืออดีตทุกอย่างที่ในหัวผมจะจดจำ สิงหาเป็นชื่อเดียวที่ผมท่องจนขึ้นใจก่อนจะนอนหลับไปในแต่ละคืน เมื่อก่อนเขามักจะนิยามผมเหมือนกับผีเสื้อ ส่วนตัวเองเป็นเพียงดอกไม้ มีไว้ให้ผมได้พักพิงชั่วครู่แล้วก็บินจากไป
แต่วันนี้ผมรู้แล้ว สิงหาไม่ใช่ดอกไม้หากแต่เป็นผีเสื้อ สักวันเขาก็ต้องเติบโตและบินไปหาดอกไม้ดอกอื่น มีเพียงผมที่ยังอยู่ที่เดิมรอวันเหี่ยวเฉาในสักวัน มันอาจฟังดูเจ็บปวดแต่ก็อดดีใจไม่ได้เพราะอย่างน้อยผมก็ได้มองคนตัวเล็กอยู่ตรงนี้ มองดูปีกของเขาค่อยๆ สวยงามและบินหายไป
“ผมชอบภาพนี้ครับ” นิ้วเล็กชี้ไปบนหน้าจอคอมพิวเตอร์
“ภาพนี้เหรอ”
ถามย้ำอีกครั้ง เพราะรายละเอียดของภาพไม่มีอะไรเลยนอกจากเสี้ยวหน้าเล็กที่กำลังก้มอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้โยก มองเห็นเพียงกลุ่มผมและสภาพแวดล้อมเลือนรางในความมืด
“ครับ”
“ทำไมถึงชอบ”
“เพราะมันไม่เห็นหน้าผม”
“...”
“ผมไม่ค่อยชอบหน้าตัวเองตอนเศร้าๆ สักเท่าไหร่ มัน...หดหู่”
“ความจริงพี่ก็คิด สิงหากับรอยยิ้มเข้ากันที่สุดแล้ว” คนตัวเล็กส่งยิ้มกลับมา รู้สึกหัวใจได้รับเลือดเข้ามาหล่อเลี้ยงมากกว่าปกติ คงจะดีถ้าได้เห็นเขายิ้มให้แบบนี้ในทุกวัน ดีมากที่ไม่มีการจากลาแล้วผมนั่งเฝ้ารอเขาเหมือนเมื่อก่อน
ทั้งที่ความจริงแล้ว วันหนึ่งผีเสื้อก็ต้องบินจากไป ทำไมถึงยังโหยหาปีกของมันให้หุบอยู่บนกลีบดอกไม้ดอกเดิมอยู่อีก
“เมื่อคืนพี่เห็นการ์ดที่เราเคยเขียนด้วยกัน”
“...”
“การ์ดที่เขียนไว้เมื่อปีก่อนถึงความฝันในอีกไม่กี่วันข้างหน้า พี่หาเจอแต่ของเรา แต่อีกใบหนึ่งที่เคยเขียนมันไม่อยู่แล้ว” คาดหวังว่ามันจะอยู่กับสิงหา อย่างน้อยก็ขอให้เขาเก็บมันเอาไว้
“มันก็ผ่านมานานแล้ว บางทีมันอาจจะหายไประหว่างทางก็ได้” แต่คำตอบที่ได้คือความจริงที่ไม่อยากรับรู้
“นั่นสินะ”
“ตอนนั้นผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขียนลงบนการ์ดว่าอะไร”
“พี่ก็จำไม่ได้เหมือนกัน เดี๋ยวนี้สมองฟั่นเฟือนจะแย่ จำอะไรไม่ได้เลย” ผมพูดไปตามน้ำ ทั้งที่ความจริงแล้วระลึกได้เสมอว่ากระดาษแผ่นนั้นเขียนว่าอะไร ความทรงจำของนายภูผาอีกหนึ่งปีข้างหน้าซ้อนทับเข้ามาไม่หยุดหย่อนพร้อมๆ กับความฝันของใครอีกคน
แปลกเหมือนกัน คนเรามักโหยหาความทรงจำสวยงามในวัยเด็กแต่ก็ชอบหลงลืมมันไป ผิดกับตอนนี้ที่เราเฝ้าแต่ถามว่าเมื่อไหร่จะลืมความเลวร้ายได้สักที แต่ก็ไม่เคยทำได้เลย
“ชอบรูปนี้มั้ย” ผมถามคนตัวเล็ก ขณะหน้าจอกำลังแสดงภาพที่เจ้าตัวหลับอุตุอยู่บนโซฟาซึ่งอยู่ในคอนโดของเรา
“ชอบครับ แล้วคุณล่ะ”
“พี่ก็ชอบ”
“ผมอยากรู้ว่าทำไมถึงเลือกผมเป็นนายแบบ”
“ก็แค่อยากทำอะไรสักอย่างที่มีตัวเล็กอยู่ในสิ่งที่รักดูสักครั้ง ตอนที่เพื่อนในกลุ่มถาม พี่ก็คิดออกแค่อย่างเดียวคืออยากถ่ายสิงหา อยากถ่ายตัวเล็ก”
“นี่อาจเป็นงานเดียวที่หน้าของผมไปโผล่อยู่ในแกลเลอรี่”
“ไม่จริงหรอก ต่อไปเราจะก้าวหน้า อาจมีรูปสิงหาโผล่ที่งานใหญ่ๆ อีกมากมาย”
“แล้วคุณล่ะ จะเลิกถ่ายภาพจริงๆ เหรอ”
“อืม...พอได้ถ่ายตัวเล็กแล้วก็ไม่อยากถ่ายใครอีก พี่พอแล้ว”
“คุณภูผา...” เสียงหวานเอ่ยออกมาราบเรียบ แต่มันกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ผมอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้
“ว่าไง”
“คุณมีความสุขดีใช่มั้ย”
“พี่มีความสุขมาก พี่โอเคกับทุกอย่างในตอนนี้เลย”
“หลังจากจบงานเราอาจไม่ได้เจอกันอีก”
“พี่รู้ เราต้องยุ่งมากแน่ๆ ต่อไปดูแลตัวเองด้วยนะ”
“ครับ คุณก็เหมือนกัน”
บทสนทนาของเราจบลง เสียงลมหายใจยังคงดังแว่วท่ามกลางความเงียบของบ้านไม้หลังเดิม ผมกับสิงหาต่างช่วยกันเลือกรูปที่จะใช้จัดแสดงในงาน แน่นอนนิทรรศการครั้งนี้ไม่ได้ใหญ่มาก ผมแค่ขอเช่าพื้นที่หอศิลป์ของมหา’ลัยเพียงครึ่งเดียว เพื่อจัดงานแค่ 12 ชั่วโมงเท่านั้น
ก่อนส่งไฟล์ภาพทั้งหมดให้เพื่อนจัดการเรื่องรายละเอียด และเตรียมพร้อมสำหรับการจัดวางอันเร่งด่วนในวันมะรืนนี้
ผมกับสิงหาขลุกอยู่กับรูปเหล่านั้นเนิ่นนานนับชั่วโมง จนเวลาล่วงเข้าบ่ายสามและผมลืมเรื่องทานอาหารไปโดยปริยาย
“กินข้าวก่อนมั้ย เดี๋ยวเราจะเป็นโรคกระเพาะ”
“ก็ดีครับ”
“อยากกินอะไรเหรอ”
“อะไรก็ได้ครับ ผมกินได้หมดนั่นแหละ”
“วันนี้เรามีงานที่ไหนอีกมั้ย”
“ไม่ครับ ผู้จัดการไม่ได้รับงานอะไรเพิ่มเติม”
“ถ้าอย่างนั้นตอนเย็นอยู่กินข้าวที่นี่ก่อนได้มั้ย พี่อยากจะขอบคุณที่เรามาช่วยโปรเจ็กต์นี้น่ะ” ใบหน้าหวานดูชะงักไปนิดหน่อย ดวงตาสองข้างกลอกไปมาคล้ายกำลังใช้ความคิด ผมคิดว่าสิงหาคงหนักใจอยู่บ้าง แต่เพราะไม่มีเวลามากขนาดนั้นผมถึงต้องเอ่ยออกมา
“อยู่ต่อเถอะ ให้พี่ได้ทำอะไรเพื่อตัวเล็กบ้าง”
“ก็ได้ครับ”
ผมยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยินคำตอบ เราช่วยกันทำอาหารเที่ยงและเตรียมวัตถุดิบสำหรับอาหารเย็นเอาไว้ด้วย บนตู้มีไวน์องุ่นเก็บเอาไว้ ผมคิดว่ามันคงโอเคถ้าจะดื่มกันในช่วงค่ำ เราทำอาหารง่ายๆ สำหรับสองคน นั่งทานเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ทว่ากลับรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในหัวใจ
หลังจากล้างจานเสร็จ คนตัวเล็กก็ปลีกวิเวกด้วยการอ่านหนังสือตรงมุมหนึ่งของบ้าน มือของเขาถือ Inferno เล่มหนาของ Dan Brown เอาไว้ ตั้งใจอ่านต่อจากที่ค้างคาเมื่อครั้งที่แล้วก่อนจะเผลอหลับไปทั้งที่อ่านไปเพียงไม่กี่หน้า
ผมอุ้มสิงหากลับมานอนตรงโซฟาเพราะอยากให้คนตัวเล็กได้นอนสบายขึ้นนิดหน่อย แล้วจึงหันมาทำอาหารสำหรับมื้อค่ำของเรา ผมทำอยู่สองสามอย่าง หุงข้าว และก็เริ่มจัดโต๊ะ ดีหน่อยที่มีอุปกรณ์สำหรับดินเนอร์ในคืนนี้ การทานอาหารใต้แสงเทียนจึงดูพิเศษมากกว่าเดิม
ผมพยายามทำทุกอย่างด้วยความพิถีพิถัน อย่างน้อยก็เหมือนกับการย้อนเวลากลับไปตอนช่วงที่เราเคยรักกัน ระหว่างนั้นก็ฟังเพลงที่อยากใช้เต้นรำไปด้วย ทั้งที่อีกตั้งสองวันกว่าจะมาถึง แต่ก็ยังรีบร้อนจะฟังเหมือนเด็กๆ
ผมค่อนข้างชอบเนื้อร้องบางท่อนของเพลง และเอาแต่พึมพำถึงมันไม่หยุด
In a white sea of eyes
I see one pair that I recognize
And I know…
That I am
I am
I am…
The luckiest
อ่านต่อด้านล่างค่ะ