พิมพ์หน้านี้ - ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง EP20 Prom day ✈

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: DaydreamIsland ที่ 18-05-2020 17:41:19

หัวข้อ: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง EP20 Prom day ✈
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 18-05-2020 17:41:19
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

***************************************


บทนำ
คุณเคยถามกับตัวเองไหมว่าคนเราจะออกเดินทางกันไปทำไม
   ส่วนใหญ่คนเราออกเดินทางเพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง ซึ่งมันก็อาจจะเป็นประสบการณ์ใหม่ๆ ผู้คนใหม่ๆ สิ่งแวดล้อมใหม่ๆ หรือตัวตนอีกด้านที่เราเองก็ไม่รู้ว่ามีอยู่ บางคนอาจจะออกเดินทางเพื่อเติมเต็ม แรงปรารถนา ความฝัน ความทะเยอทะยานของตนให้มันเติมเต็มและสมบูรณ์ และบางครั้งการออกเดินทางสำหรับใครบางคนก็เพียงเพื่อที่จะหนีอดีตที่มันเจ็บปวดและหากเราโชคดีการเดินทางก็อาจจะทำให้เราพบเจอกับใครคนหนึ่ง ใครที่จะใช้หัวใจและลมหายใจเดียวกันตลอดไป แล้วคุณละออกเดินทางไปท่องโลกที่มันกว้างใหญ่ใบนี้เพื่ออะไร?
[/b]


(https://www.img.in.th/images/b8b117f76cf7e33b19a5081d223319f8.jpg)
หัวข้อ: When love travel เมื่อความรักจบลง
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 18-05-2020 17:43:41
    “เลิกเหรอ อันนี้พูดเล่นใช่ไหม?” น้ำเสียงสั่นๆ ปนสะอื้นของเด็กหนุ่มผิวสองสี พูดกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

       “เปล่า... พี่ขอโทษแต่พี่คิดว่าเราสองคนน่าจะจบกันตรงนี้ได้แล้ว พี่ไปต่อกับเราไม่ได้แล้วจริงๆ พี่คิดว่าเราไม่ใช่แล้ว” อีกน้ำเสียงหนึ่งตอบกลับไป ด้วยโทนเสียงที่เย็นยะเยือกราวกับไม่เคยรู้สึกอะไรกับคนตรงหน้าเลย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้คน คนนี้ก็เป็นคนคนเดียวกันที่พร่ำบอกคำว่ารักมากมาย

       ไอจากฤดูร้อนภายนอกได้แผ่เข้ามาในห้องอย่างไม่ลดละ ซึ่งโดยปกติแล้วอากาศร้อนแบบนี้คนตัวเล็กย่อมไม่พลาดที่จะเปิดแอร์เย็นฉ่ำไว้ในห้อง แต่วันนี้แม้คนตัวเล็กจะลืมเปิดแอร์ ความเย็นก็แผ่ซ่านมาตั้งแต่ปลายนิ้วเท้ายันเส้นผม

       “แล้วทำไมพี่ กราฟ พึ่งมาพูดเอาตอนนี้ แล้วพี่จะให้ธํนไปอยู่ไหน ก็พี่เป็นคนบอกให้ธันคืนห้องที่หอไปแล้วย้ายมาอยู่กับพี่ แล้วตอนนี้พี่มาบอกเลิกธันแล้วธันจะไปอยู่ไหน” คนตัวเล็กเริ่มพูดอีกครั้งหลังจากต่างฝ่ายต่างเงียบไปสักพักใหญ่

       “อันนั้นมันก็เป็นปัญหาของเราไม่ใช่ปัญหาของพี่ เลิกกันแล้วก็ต้องดูแลตัวเองสิ ถ้าหาห้องไม่ได้จริงๆก็กลับไปอยู่บ้านพ่อบ้านแม่เราสิ” สิ้นคำพูดของคนรักเก่าป้ายแดงน้ำตาของหนุ่มผิวแทนก็ร่วงลงตรงพื้นเหมือนสายฝนหย่อมเล็กๆ ทั้งๆที่ในใจก็เต็มตื้นไปหมดแต่ก็ต้องฝืนยิ้มแล้วก็ตอบกลับไป

       “ได้ ครับขอธันเก็บของหน่อยนะ”

       หลังจากเก็บของร่วมชั่วโมง ผู้ขออาศัยก็แบกสัมภาระรุงรังลงลิฟท์ออกมาชั้นล่างซึ่งมีเพื่อนสนิทสองคนของเขาจอดรถรออยู่หน้าคอนโดสักพักแล้ว

       “โห พี่ขอจอดแปปเดียวเพื่อนผมมันกำลังลงมาแล้ว แปปเดียวเดียวก็ไปแล้วไม่อยากจะอยู่นานนักหรอกกลัวจะคัน” เสียงหวานอมเปรี้ยวของทอมตัวเล็กที่พยายามจะพูดให้ดังและเข้มเพื่อที่จะทำให้คู่สนทนาเกรงใจแต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ช่วยเท่าไหร่

       “แต่ตรงที่คุณจอดเนี่ยมันปิดทางเข้าออกของคนในคอนโดเขานะครับ แล้วคุณก็บอกว่าจะจอดแค่สิบนาทีแต่นี้มันจะชั่วโมงแล้ว ยังไงผมก็ต้องให้คุณถอยรถครับ” พี่ ร.ป.ภ. ที่ทำงานในส่วนที่จอดรถก็พยายามอธิบายตามหน้าที่

       “เฮ้ย เอ๋ไม่ต้องเถียงกับพี่เขาแล้ว ไอ้ธันมันเดินมานู้นแล้ว เดี๋ยวกูไปช่วยมันถือของก่อนนะ เดี๋ยวกระดูกมันจะหักเอาตัวยิ่งผอมๆอยู่” ยีนส์หันไปบอก จ้ะเอ๋ ทอมฮะ หลังจากยืนร้อนรนมาสักพักเนื่องจาก เพื่อนตัวดีที่โทรให้มารับมาเลทกว่าที่กำหนดไปค่อยข้างมากจนหวิดจะมีเรื่องกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของตึกอยู่แล้ว

       “ไหวไหมมึง” เพื่อนสาวถามหลังจากรับกระเป๋าบางส่วนมาช่วยถือไว้ในมือ

       “ไหวสิมึง ของไม่ได้เยอะอะไรขนาดนั้นถึงกูจะสวยแต่ก็ยังเป็นผู้ชายนะอย่าลืมสิ” คนผิวแทนตอบกลับอย่างกระฉับกระเฉงแม้จะพึ่งผ่านเรื่องร้ายๆมายังไม่ข้ามวันดี

       “ไม่ กูหมายถึง หัวใจมึงอะไหวไหม” คำพูดสั้นๆแต่เจ็บลึกไปถึงข้างใน ก็อย่างว่าแผลสดมันก็จะเจ็บจี๊ดๆหน่อย

       “ไหว ไหวก็เหี้ยแล้วสิมึง มึงจะพูดทำไมเนี่ย” แม้จะพยายามทำตลกกลบเหลื่อนแต่เพื่อนสนิททั้งสองก็พอจะรับรู้ถึงสภาวะจิตใจของเพื่อนของพวกเขาได้ จากทั้งน้ำเสียงและคราบน้ำตาของเพื่อนตัวเล็กของพวกเขา

       จ้ะเอ๋ และ ยีนส์ ต่างเป็นเพื่อนสนิทของธัน ทั้งสามรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ด้วยความที่ว่าทั้งสามคนเป็นคนอารมณ์ดีและชอบทำกิจกรรมเลยทำให้สนิทกันค่อนข้างเร็ว และครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนตัวเล็กต้องมีน้ำตาเพราะความรัก เพื่อนคนนี้ของเขามักจะทุ่มเทหัวใจไปกับความรักแบบสุดตัวเวลาหลงรักใครสักคน ดังนั้นจึงไม่แปลกเเมื่อเวลาถูกทิ้งจึงมีสภาพไม่ต่างอะไรกับหุ่นกระบอกมีรูปร่างแต่ไร้ซึ่งวิญญาณและหัวใจ ถ้าไม่มีเพื่อนคอยหิ้วปีกออกมาจากคอนโดก็ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง

       “เฮ้ย ทำไมเงียบจัง มึงทำหน้าให้มันดีๆสิ เดี๋ยวแม่มึงเห็นจะเป็นห่วงนะเว้ย โตแล้วก็ทำตัวให้มันโตด้วยนะมึง แค่ผู้ชายคนเดียวอย่าไปให้ความสำคัญกับมันมาก กูรู้ว่ามึงแผลสดแต่ว่า ทั้งกูทั้งที่บ้านมึง ก็บอกแต่แรกแล้วว่าอย่าย้ายไปอยู่กับเขา ให้มีห้องหับเป็นของตัวเองอะดีที่สุด แล้วเป็นไงไม่เชื่อพวกกู แล้วแว่นกันแดดอะมึงจะใส่ทำซากอะไร นั่งก็นั่งข้างหลัง เอามาให้กูใส่นี่แดดแยงตาจนตากูจะบอดแล้ว” หลังจากขับรถออกมาได้สักพัก คนนั่งหน้าทั้งสองคนก็พยายามชวนคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเนื่องจากไม่ได้เจอกันมาร่วมเดือน เพราะคนผิวแทนเอาแต่ติดแฟนไม่มีเวลาให้ แต่คนนั่งข้างหลังก็ตอบแต่แบบ ส่งๆขอไปที จนจะเอ๋ผู้เป็นสารถี เริ่มจะมีน้ำโห

       “โห พวกมึง กูเพิ่งโดนบอกเลิกยังไม่ทันข้ามวันเลย มึงจะให้กูทำใจได้เลยเหรอไง ไวไปป่าว” คนตัวเล็กที่เมื่อขึ้นรถมาก็เอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่าง เพิ่งจะปริปากพูดประโยคยาวๆกับเพื่อนครั้งแรก

       “เออ ไอ้เอ๋มึงก็เข้าใจเพื่อนหน่อยดิวะ มึงนี่มัน เอ๋จริงๆเลย” ยีนส์ หันมาตะคอกเพื่อนจนรถแอบส่ายเล็กน้อย โชคดีที่ไม่มีรถตามหลังมา

       “มึงขึ้นเสียงใส่กูทำไมวะ ไอ้ยีนส์”คนขับรถหันมองเพื่อน ที่นั่งข้างๆหลังจากควบคุมรถให้เป็นปกติได้แล้ว

       “ทำไม มึงมีปัญหาเหรอไง” สาวตัวใหญ่หันไปพูดกับคนข้างๆอย่างเอาเรื่อง

       “ป่าว กูไม่ได้จะมีปัญหา กูแค่ตกใจ เดี๋ยวกูหัวใจวายไปทำไง” ทอมตัวเล็กตอบกลับ ทำให้ทั้งรถหัวเราะกันได้บ้างหลังจากปล่อยให้รถมีแต่เสียงหายใจ และ เสียงเพลงคลอเบาๆมาตลอดทาง

       “มึง พวกกูกลับก่อนนะ พรุ่งนี้พวกกูมี งานเช้า ฝากสวัสดีแม่ด้วยมึง”หลังจากเอาของลงจากรถ เพื่อนทั้งสองก็รีบบอกลาเพราะระยะทางจากบ้านของธัน กลับไปในตัวเมืองกรุงเทพหากออกเลทกว่านี้อีกสักเล็กน้อย ก็จะต้องเจอปัญหารถติดไม่ต่ำกว่าสองถึงสามชั่วโมงแน่

       “เฮ้ย อย่าเพิ่งดิ มานี้ก่อน” ธันหันกลับไปสวมกอดเพื่อนทั้งสองก่อนที่ทั้งสองคนจะได้ก้าวขึ้นรถ

       “ขอบคุณนะมึง ขอบคุณมากๆ กูแม่งไม่มีใครจริงๆวะ ต้องรบกวนพวกมึงบ่อยๆ” ธันพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา พร้อมสวมกอดเพื่อนทั้งสองแบบหลวมๆ

       “อย่าดราม่าได้ปะ มึงไม่มีใครก็มีพวกกูนะเว้ย ผู้ชายแบบนี้อย่าไปนึกถึงมันให้มาก ถ้าเขารักมึงจริง เขาจะไม่ทำให้มึงร้องไห้เลยเว้ย หาเอาใหม่ อย่างมึงยังหาได้อีกเยอะ” ยีนส์ สาวอวบของกลุ่มพูดพร้อมเอามือลูบบ่าของคนตรงหน้า

       หลังจากยืนส่งเพื่อนจนรถขับออกไปลิบตา ธันก็พยายามหยิบของทั้งหมดขึ้นมาไว้ในมือและพยายามจะเปิดประตูรั้วบ้าน แต่ประตูก็เปิดออกมาทั้งๆที่ยังไม่ได้บิดลูกบิดประตูด้วยซ้ำ ภาพของหญิงวัยกลางคน ยืนยิ้มอยู่ตรงด้านหลังประตูที่เปิดออก และยังเป็นรอยยิ้มที่ยังดูสวยงามไม่เปลี่ยน

       “เป็นไงลูก ลมอะไรหอบมาละ แล้วนั่นหิ้วข้าวของอะไรมาเต็มไม้เต็มมือ อ้าวแล้วพี่กราฟไปไหนละ ไม่ได้มาด้วยเหรอ” คนเป็นแม่พยายามมองข้ามไหล่ลูกชายเพื่อจะที่มองหาแฟนของลูกที่จะต้องตามติดกันแจเหมือนกับขนมปังและแยมทุกครั้ง

       “หนู เลิกกันแล้วแม่” เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ของวันที่เขาจะต้องแบกความรู้สึกนี้เอาไว้ ความรู้สึกที่ว่าคนข้างๆของเขาไม่อีกต่อไปแล้ว ความสดใสช่วงหนึ่งของชีวิตของเขามันได้หายไปแล้ว

       อาหารเย็น ถูกวางตรงหน้ามากมาย มองแล้วดูเป็นอาหารมื้อพิเศษกว่าทุกๆวันที่เขาเคยกิน เนื่องด้วยว่าตอนอยู่ที่คอนโดของแฟนเก่าครัวที่มีก็เป็นครัวขนาดค่อนข้างเล็ก ซึ่งสามารถทำได้แต่อาหารเบาๆเท่านั้น ดังนั้นส่วนใหญ่คู่รักคู่นี้จะชอบออกไปหาอะไรกินกันข้างนอก หรือไม่ก็จะสั่งอาหารผ่าน Delivery กันซะมากกว่า

       “กิน เยอะๆนะ ไม่ต้องไปคิดมาก เดี๋ยวกราฟก็มาง้อหนูเชื่อแม่สิ พี่เขารักธันจะตาย” คนเป็นแม่พยายามพูดเพื่อให้ลูกของเธอสบายใจ ทั้งๆที่รู้ว่ารอบนี้น่าจะหนักเพราะเจ้าตัวเล็กล่อหอบข้าวของมาจนหมดทุกชิ้น

       “ธันว่าคงไม่เป็นแบบนั้นแล้วละแม่ ดูที่เขาส่ง ข้อความมาสิ” คนเป็นลูกยื่นมือถือให้คนเป็นแม่ดู

       “พี่ขอโทษนะที่มันต้องจบแบบนี้ พี่เองก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย แต่พี่คิดว่าเราพยายามปรับเข้าหากันมาหลายรอบมากๆแล้ว แต่มันก็เหมือนฝืนกันไปทั้งคู่ พี่ว่าเราต่างคนต่างไปหาคนที่เข้ากันได้แบบไม่ต้องฝืนดีกว่า” คนเป็นแม่ค่อยๆเงยหน้ามามองหน้าลูกช้าๆ พร้อมยื่นโทรศัพท์คืนมาให้

       “แม่ ธันไม่เป็นไร ไม่เป็นไรจริงๆ ธันแค่ขอเวลาหน่อยนะ” หลังจากช่วยแม่ล้างจานเสร็จธันก็เดินเข้าห้องของตัวเอง เขามองสัมภาระมากมายที่วางกระจัดกระจายอยู่บนพื้นพรมสีตุ่น มีทั้งสัมภาระใหม่ที่เพิ่งขนเข้ามาเมื่อเย็นนี้และก็มีของใช้บางส่วนที่แม่ของเขาเอาเข้ามาเก็บไว้ในห้องเนื่องจากคิดว่าลูกชายคงจะไม่ได้กลับมานอนบ้านอีกพักใหญ่ๆ ห้องส่วนตัวของเขาจึงกลายเป็นห้องเก็บของไปกลายๆ หลังจาก มองสัมภาระอยู่ชั่วครู่ เขาก็ตัดสินใจได้ว่าจะค่อยจัดสัมภาระเอาพรุ่งนี้และ เริ่มเอนกายลงบนเตียงทั้งๆที่ยังไม่ได้เอาผ้าคลุมกันฝุ่นออกเลย เขานอนนิ่งแหงนมองบนฝ้าเพดาน มองจากจุดด่างจุดหนึ่งข้ามไปอีกจุดหนึ่ง รอยด่างส่วนใหญ่เกินจากตอนเป็นเด็กเขาและพี่ชายชอบแข่งกันเคี้ยวหมากฝรั่งแล้วโยนขึ้นไปเพื่อแข่งกันว่าหมากฝรั่งของใครจะติดอยู่ข้างบนได้นานกว่ากัน พอแม่รู้เข้าก็โดนตีกันทั้งสองหน่อแถมให้ปีนบันไดไปเอาหมากฝรั่งลงมาด้วย ไม่รู้ของใครเป็นของใครคิดแล้วก็แขยงมือกันน่าดู

       นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่เขาเหม่อลอยอยู่แบบนั้น แต่นานมากพอที่จะทำให้เขาเกือบจะผลอยหลับไปแล้วถ้าไม่มีเสียงโทรศัพท์ดังเข้ามาซะก่อน

       ติ๊ง! ข้อความบนหน้าจอ มาจาก น้องที่ทำงานเก่าที่เขาเคยสนิทด้วย ธันเลยอดไม่ได้ที่จะหยิบขึ้นมาเปิดดู

       “พี่ธัน นี่แบมบูเองนะ อยากจะชวนไปกินข้าวหน่อย คิดถึงไม่ได้เจอนาน พอดีเพิ่งจะกลับมาจากอังกฤษ แต่ว่าตอนนี้ก็กำลังจะทำเรื่องไปเรียนภาษาต่อที่ออสเตรเลียอีก ถ้า Visa ผ่านก็น่าจะไม่ได้เจอกันอีกนานเลย ออกมากินข้าวกันหน่อยสิพี่ คิดถึง.
หัวข้อ: Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 18-05-2020 17:45:50
หากมีข้อเสนอแนะอะไรรบกวนแจ้งได้เลยนะครับ สิงอยู่ในบอร์ดมาตั้งนานแต่ว่าพอลองมาเขียนเอง ก็แอบงงๆเรื่องการใช้งานบอร์ดอยู่เหมือนกัน อาจจะต้องฝึกอีกหน่อย ยังไงช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 18-05-2020 18:52:50
 :pig2:
 :3123:
หัวข้อ: When love travel เมื่อคิดถึงความรัก
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 19-05-2020 20:19:12
   “อืม ได้สิที่ไหนละ” เขาเองก็ไม่ได้เจอรุ่นน้องคนนี้มาสักพักแล้ว อีกทั้งไม่รู้ว่าถ้าพลาดโอกาสนี้จะได้ไปเจอกันอีกทีเมื่อไหร่ จึงทำให้ตัดสินใจรับนัดได้ไม่ยาก
              “ตอนนี้พี่ยังทำงานที่โรงแรมเดินไหม ถ้ายังทำอยู่ไปร้านประจำเราที่ Central world ประมาณห้าโมงเย็นพรุ่งนี้ไหมละ สะดวกหรือเปล่า” อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
       “เออ ก็ยังทำที่เดิมแหละ ทำจนเขาโปรโมทให้เป็น Super แล้วเนี่ย เจอกันที่ร้านนั้นเวลานั้นก็ได้ พี่ก็คงออกกะพอดี” หลังจากตอบเสร็จธันก็ปล่อยโทรศัพท์วางไว้ข้างๆ พร้อมทั้งเปิดเพลงฟังคลอไปเบาๆ
       เสียงจิ้งหรีดเรไรลอดเข้ามาตามหน้าต่างเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าขณะนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้วด้วยความที่บ้านของธันนั้นตั้งอยู่บริเวณชานเมืองทำให้สภาพแวดล้อมโดยรอบยังหลงเหลือความเป็นธรรมชาติอยู่บ้างแต่ถึงบรรยากาศจะเอื้อแก่การนอนหลับมากแค่ไหนเขาก็ไม่สามารถข่มตาหลับตาลงไปได้ เพราะเขายังคงคิดถึงวันเก่าๆของเขากับพี่กราฟ ในวันแรกที่เจอกันเขายังจดจำรอยยิ้มนั้นได้ดี วันนั้นก็เป็นวันที่มีอากาศร้อนอบอ้าวอย่างเช่นคืนนี้นี่แหละ จะต่างกันก็คงจะเป็นสถานที่ เพราะวันนั้นเขากำลังหงุดหงิดอยู่นิดหน่อยเนื่องจากจะบ่ายโมงแล้วแต่เพื่อนสนิทที่นัดกินข้าวไว้ตอนเที่ยงยังไม่มากันเลยสักคน
       “ทำหน้าบึ้งๆไม่เข้ากับหน้าหวานๆเลยนะครับ” เสียงนุ่มๆทุ้มๆดังขึ้นข้างหลังคนตัวเล็กที่กำลังนั่งหน้าเป็นตูดเพราะหิวข้าวอยู่
       หนุ่มผิวแทนหันหลังกลับอย่างรวดเร็วเพราะคิดว่าเพื่อนตัวดีคงจะดัดเสียงอำเป็นแน่ แต่พอหันไปกลับพบหนุ่มผิวขาวรูปร่างสูงโปร่ง ใส่แว่น กำลังยิ้มตอบกลับมาให้เขา เขาเลยเริ่มหันมองรอบๆเผื่อหนุ่มคนนี้กำลังพูดกับคนอื่น เพราะเขาไม่ได้รู้จักกับคนตรงหน้าสักหน่อย แต่ก็ต้องหันกลับมาอย่างช้าๆเพราะไม่มีใครแถวนั้นเลยนอกจากเขาคนเดียว
       “โรคจิต?” ในหัวของเขาคิดประโยคอื่นไม่ออกเลยนอกจากคำนี้ เพราะโดยปกติคนที่ไม่รู้จักกัน จะเข้ามาคุยกันแบบนี้ได้เหรอ ยิ่งรูปประโยคที่พูดออกมาก็ยิ่งดูแปลกจนทำเขาค่อนข้างหวั่นใจ แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ถอยห่างหนุ่มตรงหน้าก็เริ่มพูดอะไรบางอย่างต่อ
       “ไม่ต้องตกใจนะครับ พอดีพี่เห็นเรานั่งอยู่คนเดียวมาสักพักแล้ว พี่ไม่ใช่โรคจิตนะครับไม่ต้องกลัว” ชัดเลย โรคจิตที่ไหนจะบอกว่าตัวเองโรคจิตกันละ แต่คนตรงหน้าก็เป็นแบบที่เขาชอบพอดีด้วยถ้าคุยต่อด้วยอีกหน่อยจะอันตรายไหมนะ ระหว่างกำลังสองจิตสองใจอยู่ว่าจะวิ่งหนีดีหรือจะคุยด้วยดีเพื่อนตัวดีก็ดันโผล่มาพอดิบพอดี
       “ขอโทษมึงรถมันติดมากเลยวะ นี่กูกับไอ้ยีนส์รีบๆสุดๆแล้วนะเว้ย” จ้ะเอ๋ กึ่งพูดกึ่งหอบซึ่งดูสภาพแล้วน่าจะวิ่งมาไกลเป็นแน่ มองข้ามไหล่จ้ะเอ๋ไปก็เห็นสาวยีนส์กำลังกึ่งวิ่งกึ่งคลานขึ้นบันไดตามมาเช่นกัน ซึ่งเอาเข้าจริงสภาพของทั้งสองคนก็ดูไม่จืดด้วยกันทั้งคู่
       “เหรอ แต่ว่าพวกมึงนั่ง BTS มาไม่ใช่เหรอวะ มันจะมีรถติดได้ยังไง” หนุ่มผิวแทนยืนกอดอกพร้อมกรอกตามองบนจนตาแทบจะไหลกลับไปยังก้านสมอง เพราะสิ่งที่เพื่อนของเขาพูดมันช่างฟังดูแล้วไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย
       “เออ ก็ BTS มันค้างไงมึง ไอ้เอ๋มันจะบอกว่า BTS มันค้างเว้ย มึงนี่ใช้คำไม่ถูกเลย ทำเพื่อนสับสน” เป็นยีนส์ที่มีไหวพริบ ค่อนข้างที่จะดีกว่ารีบชิงตอบกลับมาแทน เพราะจ้ะเอ๋ตอนนี้นิ่งอึ้งไปเสียแล้ว
       “อ๋อ โอเค BTS ค้างเนาะ” แม้จะไม่ค่อยเชื่อแต่ตอนนี้คนตัวเล็กก็หิวเต็มทีแล้ว จึงเลือกที่จะตัดบทไป
       “ว่าแต่ ใครวะมึง”เพื่อนทั้งสองเดินเข้ามาประชิดหนุ่มผิวแทนก่อนจะจ้องมองหนุ่มหล่อที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่วางตา คนหนึ่งก็มองด้วยความปลื้ม แต่อีกคนน่าจะมองเพราะความอิจฉา
       “อ๋อ พอดีพี่ชื่อกราฟนะครับ พอดีเห็นเพื่อนน้องนั่งอยู่คนเดียวเลยเป็นห่วงว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่าน่ะครับ” คนตรงหน้าตอบกลับมาพร้อมยิ้มตาหยี เพื่อผูกสัมพันธ์เต็มที่ นี่คงกะเข้าทางเพื่อนเต็มที่สินะหนุ่มตัวเล็กคิดในใจ
       “อ๋อครับ ผมเจอเพื่อนแล้วยังงั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” พูดจบเขาก็พยายามลากเพื่อนเดินไปที่ร้านอาหารที่พวกเขาได้ทำการจองเอาไว้
       ชั่วครู่ ทั้งสามก็มาถึงร้านอาหารสไตล์ ญี่ปุ่นแบบสายพานชื่อดังใน Siam square แต่ก่อนที่จะก้าวเข้าไปในร้านก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมาข้างหลัง
       “อ้าว บังเอิญจังเลยนะครับ”หนุ่มตี๋ผู้มีรอยยิ้มสดใสได้เดินมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า
       “บังเอิญหรือเดินตามพี่ เอาดีๆ”คนตัวเล็กถามกลับอย่างเอาเรื่องเพราะมันเริ่มจะจะดูแปลกจนกึ่งจะเป็นการคุกคามแล้ว
       “บังเอิญจริงๆครับ พอดีร้านนี้ที่บ้านพี่เป็นเจ้าของ เข้ามาสิครับเดี๋ยวจะให้เชฟจัดอาหารพิเศษให้” คนตัวโตตอบกลับอย่างใจเย็นพร้อมทั้งไม่ลืมที่จะโปรยยิ้มหวานๆให้อีกหนึ่งที
       “เปลี่ยนจากจัดอาหารพิเศษเป็นกินฟรีได้ไหมครับ” จ้ะเอ๋พูดตอบทันควันเนื่องจากเป็นคนที่ชอบของฟรีอยู่แล้ว
       “ได้สิ ถ้าน้องเอาเบอร์เพื่อนน้องให้พี่ จะกินเท่าไหร่พี่ยอม” ทางด้านนี้ก็คงจะหัวไวไม่แพ้กันเพราะตอบกลับได้ทันทีโดยแทบไม่ต้องคิด
       “ได้พี่ เดี๋ยวผมเอาให้เล...”ก่อนที่จ้ะเอ๋จะทันพูดจบก็โดนศอกปริศนา มาถองเข้าที่บริเวณท้องน้อยซะก่อน
       “มึงเป็นอะไรเนี่ย”คนตัวเล็กถามกลับไปอย่างหัวเสียเพราะถูกขายกันจะจะตรงหน้าแบบนี้
       “เป็นทอมไง อยู่กันมาตั้งนานไม่รู้จริงๆเหรอ”จ้ะเอ๋ตอบกลับอย่างไม่รู้สึกรู้สา
   “ครับ อะไรของมึงเนี่ย เล่นซะกูเคลิ้มกูหมายถึงมึงอะหิวเหรอ จะขายเพื่อนแลกข้าวเนี่ย” ถึงจะสตั้นไปเล็กน้อยกับคำตอบของเพื่อนแต่หนุ่มผิวแทนก็สามารถตอบกลับไปได้อย่างรวดเร็ว
   “โห มึงก็นานๆทีจะได้กินฟรีหรือเปล่า มึงก็ให้ๆพี่เขาไปเหอะ”
   “เลว”ธันพูดพร้อมทั้งเดินเข้าร้านไปโดยไม่รอเพื่อน ส่วนหนุ่มตี๋เห็นดังนั้นก็เดินตามเข้าไปติดๆ
   “ด่าพี่เขาแหละ” จ้ะเอ๋ยังหันกลับไปขำกับยีนส์โดยไม่มีสลด
   “ด่ามึงนั้นแหละ” ธันตะโกนเสียงแข็งออกมาจากข้างในร้านทันควัน
       และถึงแม้หนุ่มธันจะพยายามดึงหน้าและตอบคำถามแบบขอไปที พี่กราฟก็ไม่มีย่อท้อที่จะยิงมุข บวกกับเพื่อนทอมของเขาเองก็พยายามเชียร์เต็มที่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกคอกับพี่กราฟ หรืออยากจะกินข้าวฟรีกันแน่ สุดท้ายแล้วธันก็เลยให้ Line ไปก่อนซึ่งดูเหมือนแค่นั้นก็ทำให้หนุ่มตี๋ยิ้มหน้าบานไม่หุบแล้ว
       จากวันเลื่อนไปเป็นเดือน หนุ่มตี๋ก็พยายาม ทำคะแนนด้วยการแชทหาทุกวันชวนออกเดททุกครั้งที่ว่างตรงกัน จนในที่สุดหนุ่มผิวแทนก็ใจอ่อนและยอมตอบตกลงเป็นแฟน
       “พี่ไม่สามารถรับปากได้นะว่าพี่จะไม่ทำให้ธันไม่มีน้ำตาแต่พี่ขอสัญญาว่าพี่จะไม่ยอมปล่อยมือธันแน่นอน” หลังจากพลุดอกสุดท้ายของปีใหม่จบลง และธันยอมตอบตกลงเป็นแฟน หนุ่มตี๋ก็หันมายิ้มพร้อมทั้งพูดประโยคนี้กับคนที่ตัวเล็กกว่าที่ยืนกุมมืออยู่ข้างๆ
       “ไหนว่าจะไม่ปล่อยมือกันไง” ธันมองดูรูปคนตัวสูงที่กำลังยิ้มแฉ่งบนโทรศัพท์ของเขา พร้อมกันนั้นน้ำใสๆก็ไหลอาบแก้มของเขาเป็นทาง หลังจากเลื่อนดูรูปเก่าสักพักหนึ่ง คนตัวเล็กก็ผลอยหลับไปโดยที่ยังมีเพลงคลอไปเป็นเพื่อนตลอดคืน
       แดดยามเช้าลอดเข้ามาผ่านม่านบังแดด ทำให้ตาของหนุ่มน้อยค่อยๆลืมอย่างช้า จนเมื่อตาเริ่มปรับกับแสงได้ เขาก็ต้องรีบเด้งตัวขึ้นจากที่นอนเนื่องจากว่าเขากำลังจะไปทำงานสายแล้ว
       “เฮ้ย ไหวป่าววะมึงทำไมแลดูไม่สดชื่นเลย” กาย เพื่อนร่วมงานตัวกลมถามเพื่อนตัวผอมด้วยความเป็นห่วง
       “เออ ไม่เป็นไรมึงตื่นสายแล้วกินข้าวไม่ทันเฉยๆว่ะ เลยเพลียๆ” ธันตอบกลับด้วยเสียงราบเรียบ
       “อย่ามา ฉันเห็นแกโพสอะไรใน IG ยังกับคนอกหัก ไหนเล่าสิ” สาวตัวกลม ยังคงซักถามไม่หยุด
       “เออ เลิกกันแล้ว แต่ขอยังไม่พูดอะไรเยอะนะมึง ยังไม่พร้อมว่ะ” เสียงของหนุ่มตัวเล็กจากราบเรียบเริ่มสั่นไหวคล้ายน้ำตาที่กลั้นไว้จะไหลมาอีกรอบ
       “เออ มึงพร้อมแล้วค่อยเล่าก็ได้ หรือ ถ้ามึงไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร ขอแค่ให้รู้ว่ากูเป็นห่วงมึงนะ” หลังจบประโยคสาวเจ้าก็เร่งเคลียเอกสารตรงหน้าเพื่อที่จะได้กลับบ้านตรงเวลา
       หนุ่มตัวเล็ก นั่ง BTS เพื่อมาถึงจุดนัดพบกับเพื่อนรุ่นน้องแต่เมื่อมาถึงกับพบข้อความส่งเข้ามาว่าอาจจะมาสายนิดหน่อยเพราะรถค่อนข้างติด เขาเก็บมือถือเก็บเข้ากระเป๋ากางเกง ก่อนที่จะเริ่มนึกว่าตอนนี้รุ่นน้องเขาจะเปลี่ยนไปแค่ไหน ภาพจำของแบมบูที่ธันจำได้คือ เกย์หนุ่มเจ้าเนื้อชอบย้อมผมเป็นสีแรงๆเช่นสีเขียวหรือสีแดง พร้อมทั้งจะต้องใส่ของแบรนด์เนมทั้งตัว กระเป๋ารองเท้าเครื่องประดับ งาน HYPE ต้องมา หลังจากคิดอะไรเพลินๆได้สักพัก เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นตรงหน้า
       “ฮ้ายๆ กระเทย” เสียงทุ้มที่พยายามบีบให้แหลมซึ่งหากพิจารณาแล้วก็ยังรู้อยู่ดีว่าไม่มีทางเป็นผู้หญฺงไปได้เลย
       “มึงสิกระเทย” ประโยคสุดคลาสสิคถูกตอบโต้ขึ้นโดยอัตโนมัติ
       “ฮ่า ฮ่า ยังไวเหมือนเดิมเลยนะ” พูดจบคนตัวใหญ่ก็สวมกอดคนตัวเล็กทันที
       “แล้ว พ่อหนุ่มเกาหลีไม่มาด้วยเหรอ ปกติตัวติดกันตลอดนี่” แบมบูถามด้วยความสงสัย
       “พูดอะไรให้เกรียติคนตายด้วยมึง” ธันพูดพร้อมทำสีหน้าเรียบเฉย ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆนั้นทำให้แบมบูเริ่มคิดว่าที่เขาพูดน่าจะเป็นเรื่องจริงเลยเงียบไม่ได้พูดโต้ตอบอะไรออกไป
       “ฮ่า ฮ่า ฮ่า แกนี้ยังหลอกง่ายเหมือนเดิมนะ มันยังไม่ได้ตายหรอก ฉันสองคนแค่ แค่เลิกกันน่ะ” ธันยิ้มฝืนๆให้น้องที่ตอนนี้มีสีหน้าตกใจขึ้นกว่าเดิมอีก
       หลังจากกินข้าวและถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันพอสมควร แบมบูก็ทำสีหน้าจริงจังแบบแปลกๆออกมา และพูดขึ้นมาว่า
       “ไหน ไหน ก็ไหน ไหนแล้ว อกหักก็ไปเรียนด้วยกันซะเลยสิ เผื่อจับผลัดจับผลู จะได้หนุ่มตาน้ำข้าวกับมาไหว้แม่นะพี่”
       “หนุ่มตาน้ำข้าวเหรอ”ธันคิดในใจ พร้อมทั้งเหม่อลอยมองไปนอกหน้าต่างร้าน ที่วิวภายนอกเริ่มมองเห็นแสงไฟของเมืองหลวงบางแล้ว

หัวข้อ: Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.2
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 20-05-2020 16:59:20
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: When love travel เมื่อรักติดปีก
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 20-05-2020 19:02:53
   “พ่อครับ แม่ครับ ถ้าธันจะไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย พ่อกับแม่จะว่าไงครับ” หนุ่มน้อยของเรานอนคิดทบทวนเรื่องที่ แบมบูออกปากชวนไปต่างประเทศทั้งคืน ใจจริงการไปเรียนต่อต่างประเทศก็เป็นความฝันของเขาอยู่แล้ว บวกกับที่เขาเพิ่งอกหักมาหมาดๆแล้วด้วย การไปอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ๆ สถานที่ใหม่ๆ ผู้คนใหม่ๆ น่าจะดีกับหัวใจของเขามากกว่า เพราะการอยู่กับสถานที่เดิมๆ สิ่งแวดล้อมเดิมๆ ก็จะพาลทำให้เขาคิดไปถึงช่วงเวลาที่เขาและพี่กราฟยังรักกันอยู่ ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดแต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เขาปวดใจจนแทบอยากจะหยุดหายใจ เมื่อคิดได้ว่า เขาคงไม่มีช่วงเวลาเหล่านั้นกับพี่กราฟอีกแล้ว

   หลังจากหนุ่มผิวแทนของเราได้พูดประโยคข้างต้นออกไป ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากคนตรงหน้า ทั้งคู่ยังคงตักอาหารเช้าเข้าปากต่อไปอย่างเงียบๆ จนผู้เป็นพ่อได้เริ่มพูดอะไรบางอย่างเพื่อทำลายความเงียบนั้นลง

   “คิดดีแล้วเหรอลูก”ผู้เป็นพ่อ พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เหมือนประโยคที่เขาถามมันเป็นคำถามที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไร

   “ธัน อยากไปเรียนต่อต่างประเทศมานานแล้วครับพ่อ อีกอย่างช่วงอายุประมาณนี้ถ้าธันไปแล้วกลับมาก็ยังน่าจะหางานได้ง่ายอยู่ ธันไม่อยากมานั่งเสียดายทีหลังว่าทำไมตอนนั้นไม่ยอมไปน่ะครับ” คนตัวเล็กพูดจบก็หลุบตาลงมองที่จานข้าวตรงหน้าของตัวเอง

   “แหม่ ถ้าคิดมาขนาดนี้แล้วใครจะไปห้ามเราได้ละ แล้วเรื่องเอกสาร เรื่องเงิน ต้องใช้อะไรเท่าไหร่ยังไงดูไว้แล้วหรือยัง” เป็นคราวของคนเป็นแม่ที่จะเริ่มซักถามบ้าง

   “ก็ดูไว้คร่าวๆแล้วครับแม่ คือจริงๆธันไม่ได้กะจะไปเรียนต่อปริญญาโทที่นั่นนะครับ แค่จะเทคคอร์ส ภาษาเป็นช่วงเวลาสั้นๆสักหกเดือนอะไรประมาณนี้น่ะครับแม่” แม้จะสามารถตอบกลับได้ในทันทีแต่ในน้ำเสียงของเขานั้น ยังคงแฝงความไม่มั่นใจอะไรบางอย่างอยู่ด้วย

   “อืม ก็ถ้ามีอะไรจะให้พ่อกับแม่ช่วยก็บอกมาแล้วกัน อีกอย่างมันก็จริงของเรานั้นแหละไปตอนนี้กลับมาก็ยังมีโอกาสหางานหาการทำได้ ขืนไปตอนแก่กลับมาตกงานจะให้พ่อกับแม่เลี้ยงก็ไม่ไหวละมั้ง” คนเป็นพ่อยังคงใช้โทนเสียงที่ราบเรียบตอบกลับไปหาลูกชาย แต่ภายในแววตานั้นกลับแฝงความเป็นห่วงอย่างเอ่อล้น

   หลังจากพูดคุยกันอีกสองสามประโยคต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันออกไปทำงาน ถึงแม้ว่าธันจะมีรถยนต์เป็นของตัวเองแต่ส่วนใหญ่เขาก็ไม่ค่อยจะได้ใช้เนื่องจากเขาเคยมีสารถีส่วนตัวคอยไปรับมาส่งทุกวันและนั่นทำให้เขายังรู้สึกโหวงอยู่ในใจลึกๆเมื่อวันนี้เขาเดินก้าวออกจากบ้านแล้วไม่เจอรถคันที่คุ้นตามาจอดรออีกต่อไปแล้ว

   วันและคืนค่อยๆเลื่อนผ่านไปจนเกือบจะเป็นเดือน หลังจากวันที่เขาชำระเงินค่า Visa และค่าเล่าเรียน จนถึงเอกสารต่างๆที่เอเจนท์ร้องขอเขาก็ส่งไปทั้งหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นจะมีวี่แวว การติดต่อกลับมาจากเอเจนท์เลย ประจวบกับวันที่เขาจะเริ่มเรียนก็ใกล้เข้ามาทุกที จนเขาเริ่มจะหวั่นใจว่าจะสูญเงินฟรี กระทั่งบ่ายแก่ๆ ของวันทำงานวันหนึ่งก็มีเบอร์แปลกๆ โทรเข้ามายังโทรศัพท์ส่วนตัวของเขา

   “สวัสดีค่ะ อันนี้น้องธันหรือเปล่าคะ” เป็นเสียงของผู้หญิงวัยกลางคนที่อยู่ปลายสาย

   “ครับ พูดอยู่ครับ จากไหนครับเนี่ย” หนุ่มผิวแทนถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ เพราะเขาไม่ได้ให้เบอร์ส่วนตัวใครไว้เลยนอกจาก เพื่อน กับ คนในครอบครัวเท่านั้น

   “แหม่ พี่ฝ้ายเองค่ะ จากบริษัท Work and study ไงคะ ที่น้องธันเคยมาติดต่อเรื่องสมัครที่ออสเตรเลีย คือพี่จะโทรมาแจ้งผล Visa ค่ะ” เธอเว้นระยะหายใจไปหนึ่งอึดใจแต่แค่นั้นหัวใจของหนุ่มผิวแทนก็เต้นระรัวเหมืองมีคนมารัวกลองอยู่ข้างๆ

   “สรุป ว่าน้อง Visa ผ่านแล้วนะคะ ยินดีด้วยค่ะ” ยังไม่ทันจะจบประโยคดี ธันก็หลุดร้องดีใจออกมาอย่างลืมตัว จนเพื่อนร่วมงานและแขกที่เข้ามา Check-in มองมาด้วยด้วยความขบขัน จนธันต้องเดินหลบออกไปบริเวณภายนอกโรงแรมเพื่อเป็นการแก้เก้อ

       ถึงแม้ว่าตามกฎระเบียบ ของที่ทำงาน คนตัวเล็กจำเป็นต้องแจ้งออกล่วงหน้า 30 วัน แต่ก็ถือเป็นโชคดีเพราะงานโรงแรมนั้นสามารถสะสมวันหยุดได้ และเมื่อหักลบวันหยุดสะสมแล้ว เขาก็เหลือวันที่ต้องมาทำงานจริงๆแค่ 5 วัน เท่านั้น

       “มึง จะไปจริงๆเหรอวะ กูก็รู้นะเว้ยว่ามันจะดีกับมึง แต่ก็รู้สึกใจหายว่ะ” กายเพื่อนร่วมงานคนสนิทของเขาพูดขึ้น ในวันสุดท้ายของการทำงาน พูดไปธันกับกายก็ผ่านอะไรกันมาค่อนข้างมากเหมือนกัน ทั้งตีกับแขกเรื่องค่าเสียหายของปลอกหมอน เพราะแขกย้อมผมแล้วนอนเลยทำให้ปอกหมอนจากสีขาวกลายเป็นสีเขียวนกแก้วแทน ไหนจะเรื่องเมียหลวงตามมาตบเมียน้อยหน้า Lobby ก็ได้คนผิวแทนกับคนตัวกลมนี่แหละคอยแยกมวย คิดไปคิดมาคนตัวเล็กก็แอบใจหายเหมือนกัน

       “เออ มึง กูคิดดีแล้วว่ะ แล้วกูก็ไม่ได้บินเพราะอยากจะหนีใครนะเว้ย แต่กู อยากไปเรียนต่อเมืองนอกนานแล้ว มันเป็นความฝันของกูว่ะมึง” ธันหันกลับไปมองเพื่อนพร้อมกับยิ้มมุมปาก

       “เออ ไปก็เอาผู้ชายมาฝากเพื่อนบ้างนะ เพื่อนอยากลองของนอก”กายที่แม้จะยังคงจดจ่อกับงานที่หน้าคอมแต่ก็ยังไม่วายที่จะยิงมุขส่งมาให้คนตัวเล็กได้อมยิ้มและมันคงจะเป็นการอมยิ้มครั้งสุดท้ายในสถานที่แห่งนี้แล้ว

       “เออ เดี๋ยวเอามาฝาก แต่เพื่อนขอลองก่อนนะ จะได้บอกเพื่อนได้ว่าดี หรือไม่ดี “ ธันและกายหันมายิ้มมุมปากให้กันเหมือนจะเป็นการสื่อความหมายที่รู้กันสองคนว่า แล้วเจอกันใหม่นะ

       หลังจากกล่าวลา พี่ๆเพื่อนๆทีทำงานเสร็จเรียบร้อย ธันก็เก็บของลงกล่องกระดาษ  A4 ซึ่งจริงๆแล้วของเขาก็ไม่ได้มีอะไรมาก ส่วนใหญ่จะเป็นพวกของจิปาถะเช่น รองเท้าแตะเอาไว้เดินในออฟฟิศ กับพวกผ้าพันคอ เสื้อกันหนาว เพราะว่าหัวหน้าของพวกเขาชอบเปิดแอร์แรงๆ จนครั้งหนึ่ง วิกผมที่หัวหน้าใส่ปลิวออกไปด้านหน้า เดือดร้อนพี่ยามต้องออกไปตามไล่เก็บกันอีก

       “เสื้อกันหนาวเช็ค ที่ชาร์ตแบตโทรศัพท์เช็ค ยาแก้ภูมิแพ้เช็ค น่าจะไม่ลืมอะไรแล้วนะ” ธันมองดูกระดาษเช็คลิสต์สิ่งของที่ต้องเอาไปในมือสลับกับสัมภาระที่ยัดลงกระเป๋า หลังจากเช็คจนแน่ใจแล้วเขาก็ลงมือปิดกระเป๋าแบบทุลักทุเล เพราะเหมือนว่าเขาจะเอาของใส่ไปในกระเป๋าเยอะไปหน่อย ซึ่งหลังจากปล้ำกันอยู่นานเขาก็สามารถปิดกระเป๋าได้สำเร็จ แม้จะน่าหวั่นใจอยู่บ้างเพราะน้องซิปเหมือนใกล้จะปริออกจากกันอยู่แล้ว ตรงบริเวณที่เขาจัดกระเป๋ามีกระจกบานใหญ่ที่เขาใช้ส่องแต่งตัวตัวอยู่ทุกเช้า และมันก็เป็นโอกาสอันดีที่จะได้สำรวจตัวเองบ้างหลังจากปล่อยปะละเลย มาพักใหญ่ๆ แม้อายุของธันจะ 27 ปีแล้วแต่ใบหน้าเขายังคงแลดูอ่อนเยาว์เหมือนคนอายุ ราว 20 ต้นๆ จมูกที่โด่งรับกับรูปหน้า ตาสองชั้นหลบใน และปากกระจับได้รูป ถึงแม้สีผิวของเขาจะเป็นผิวค่อนข้างเข้มและมีรอยสิวที่เกิดจากการแกะอยู่บ้างแต่ดูโดยรวมก็ยังคงมีสเน่ห์อยู่มาก

       ระหว่างที่เขากำลังเพ่งพินิจใบหน้าของเขาอยู่นั้น เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น

       “แม่เข้าไปได้ไหม” เป็นผู้เป็นแม่นั้นเอง ที่มาเคาะห้องของเขาแต่เช้าตรู่

       “ได้ครับแม่ เข้ามาได้เลย ประตูไม่ได้ล็อคครับ” ผู้เป็นลูกก็ตอบกลับไปในทันทีที่สิ้นเสียงของแม่

       “ลืม อะไรหรือเปล่าลูก เสื้อกันหนาว ถุงเท้า ถุงมือ เอาไปหรือยัง” คนเป็นแม่ถามด้วยความเป็นห่วง เพราะรู้ดีว่าลูกชายของเธอเป็นคนขี้ลืมขนาดไหน

       “เอาไปแล้วครับ น่าจะไม่ลืมอะไรแล้วแหละ ถ้าลืมจริงๆ ก็เดี๋ยวไปซื้อที่นู้นเอา มันคงไม่ต่างจากไทยเท่าไหร่” คนตัวเล็กพูดพร้อมกับยัดซิปลงในช่องล็อคนิรภัยก่อนจะหมุนรหัส

       “เออ ให้มันจริงเถอะ ไปเอาของไปขี้นรถได้แล้วพ่อเขาสตาร์ทรถรออยู่หน้าบ้านน่ะ รีบหน่อยนะเดี๋ยวจะตกเครื่องเอา” หลังพูดจบผู้เป็นแม่ก็สวมกอดลูกชายหลังจากผละออกจากกัน คนเป็นแม่ก็พูดสั่งลาเสียงสั่นๆ พร้อมทั้งน้ำตาที่เอ้อคลอเบ้า

       “ดูแลตัวเองดีๆนะลูก แม่จะรอหนูอยู่ที่บ้านเรานะ” คนเป็นแม่หันหลังไปปาดน้ำตาก่อนจะหันกลับมายิ้มให้คนตัวเล็กที่มีสีหน้าไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก

       ธันไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาทำแค่เพียงกอดตอบและกระชับอ้อมกอดของเขาให้แน่นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะอีกตั้งหกเดือนกว่าเขาจะได้กลับมากอดผู้หญิงคนนี้อีกที

       เพื่อน และญาติพี่น้องบางส่วนมารออยู่ที่สนามบินแล้ว บางคนก็มาแค่ตัวเปล่าๆ แต่บางคนก็เล่นใหญ่มีป้ายไฟมาด้วย หลังจากกล่าวลาทุกคนเป็นที่เรียบร้อยเขาก็ลากกระเป๋าเดินไปหา แบมบูตามจุดนัดพบ

       หลังจากมองนาฬิกาอยู่หลายรอบ คิ้วของหนุ่มตัวเล็กก็เริ่มขมวดเข้าหากัน เพราะมันเลยเวลานัดมาจะสิบนาทีแล้ว ฉับพลันเขาก็ได้ยินเสียงคนร้องเพลงเดินมุ่งหน้ามาทางเขา

       “สวย เริ่ด เชิ่ดๆ คือฉัน ” แบมบูเดินลากกระเป๋ามาเป็นจังหวะ และมาหยุดหมุนตรงหน้าเขา

       “จ้ะ สวยจ้ะ มาสายนะแก นัดกี่โมง มากี่โมง” หนุ่มน้อยเอ็ดทันที ที่แบมบูมาถึง

       “โห แค่สิบนาทีเอง อย่าจู้จี้หน่อยเลยพี่” แบมบูพูดพร้อมกรอกตาไปมา

       “ปะ ไปต่อแถวเช็คอินกันดีกว่า" คนตัวกลมรีบชิงพูดขัดขึ้นมาก่อนเมื่อเห็นคนตัวเล็กกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง

      ระหว่างรอคิวเช็คอินอยู่ แบมบูก็หยิบลิปมันยี่ห้อดังขึ้นมาเติมพร้อมทั้งเอ่ยปากถามความรู้สึกของธัน ว่าเป็นยังไงบ้าง

       “เป็นไงคะ คุณพี่ ตื่นเต้นไหม นี่เราจะได้บินไปออสเตรเลียแล้วนะ หนูอะนะนอนไม่หลับเลย คิดแต่ว่าจะแต่งตัวยังไงดีให้เป็นจุดสนใจ ทั้งไทยทั้งเทศ พอดีอยากปังๆอะคะ”แบมบูพูดไป ก็เติมลิปไป อันที่จริงตามความเห็นเขาใครเห็นแบมบูก็ต้องให้ความสนใจอยู่แล้ว เนื่องจากน้องของเขา ใส่ชุดจัดเต็มทั้งเสื้อผ้าหน้าผมกระเป๋า บางมุมก็ดูเหมือนนางแบบนายแบบตามนิตยาสารแฟชั่น แต่บางมุมก็ดูละม้ายคล้าย คุณหมอที่มีชื่อเสียงจากการผ่าพิสูจน์ศพ

       แต่เหมือนว่าการเดินทางของเขาทั้งคู่จะไม่ได้ราบเรียบเท่าที่ควร เพราะทางพนักงานสายการบินแจ้งทั้งคู่ตอนมาเช็คอินว่า

       “เอ่อ... ขอโทษนะคะผู้โดยสาร ระบบน่าจะมีปัญหานิดหน่อยนะคะ พอดีว่าที่นั่งของผู้โดยสารมีคนมา Check in ไปแล้วทีแรก หนูคิดว่าผู้โดยสารน่าจะมาเช็คอินผิดวันแต่กลับเป็นว่า ผู้โดยสารทั้งคู่มาถูกต้องแล้ว แต่ระบบของเราผิดเอง ยังไงเดี๋ยวหนูขอปรึกษาหัวหน้าสักครู่นะคะว่าจะแก้ยังไงดี” พนักงานสาวหน้าเสียก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์โทรหาหัวหน้าของตนอย่างร้อนรน

       “ยังไงก็ได้คะพี่ แต่หนูต้องได้ไปวันนี้” แบมบูที่เก็บเสียงและสีหน้าไม่อยู่ พูดขึ้นมาทันทีหลังพนักงานพูดจบ

       “โอเค ค่ะ คือ ทางเราได้ตัดสินใจแล้วว่าจะอัพเกรดที่นั่งของผู้โดยสารให้ เป็น Business class แต่ว่า ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้โดยสารอาจจะไม่ได้นั่งติดกันนะคะ ผู้โดยสารจะว่ายังไงดีคะ” พนักงานสาวพูดจบพร้อมส่งยิ้มแห้งๆมาให้

       “ก็ต้องโอเคละค่ะ ไม่งั้นจะให้ทำยังไงคะ จะให้พวกหนูสองคนพายเรือกันไปเองเหรอ” แบมบูพูดจบก็ยกกระเป๋าเหวี่ยงขึ้นไปบนเครื่องชั่งน้ำหนักที่สายการบินจัดให้ทันที

       ด้วยความที่ทั้งคู่มาก่อนเวลาอยู่มากโขหลังจาก Check-in กระเป๋าพร้อมทั้งจัดการเรื่องวุ่นๆเสร็จทั้งคู่เลยตัดสินใจไปเดินเล่น ฆ่าเวลากันที่ Duty free ทั้งคู่เดินเช้าช็อปนู้นออกช็อปนี้เป็นว่าเล่น แต่ส่วนใหญ่ก็จะไปลองเทสมากกว่าไม่ได้ซื้ออะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะทั้งคู่อ่านข้อมูลมาแล้วว่าของพวกเครื่องสำอางค์ พวกของประทินผิวเหล่านี้พวกเขาสามารถหาซื้อได้ราคาถูกกว่าที่ประเทศ ออสเตรเลีย

   "เออ นี่ว่าจะทักตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ฉีดน้ำหอมอะไรอะทำไมมันดูเศร้าจัง"แบมบูพูดพร้อมกับหยิบรองพื้นสองสามขวดมาลองทาลงบนหลังมือ

   ซึ่งการทักของแบมบูก็ทำให้ธันต้องเอาหลังข้อมือขึ้นมาดมเพื่อเช็คว่าน้ำหอม Lolita Lempicka ที่เขาฉีดมามีกลิ่นอย่างที่คนตัวกลมพูดจริงหรือ แต่ดมไปเท่าไหร่ก็ไม่ได้รู้สึกอย่างที่คนตัวกลมว่ามาเลยสักนิด

   "เออ แกเดี๋ยวฉันขอไปดูน้ำหอมหน่อยนะ" ธันพูดเรียบๆก่อนที่จะหันหลังเดินออกมา

   แต่ระหว่างที่ธัน กำลังจะทันได้เดินออกจากโซนเครื่องสำอาง ไปยังโซนน้ำหอม แบมบูก็มาคว้าข้อมือของธันพร้อมกับกึ่งลากกึ่งจูงกลับไปยังทางเดิม

       “อะไรของแกเนี่ย ฉันจะไปดูน้ำหอม” หนุ่มผิวแทนพยายามแกะข้อมือของแบมบู แต่ก็ไม่เป็นผมเพราะด้วยขนาดมือและขนาดไซต์ที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

       “นี่ มาดูของตรงนี้ก่อน หนูอยากให้ มาช่วยหนูเลือกรองพิ้นหน่อย”

       “อะไรของแก เนี่ย แกก็ดูไปสิ แกก็ใช้แต่ของเดิมๆ จะมาถามทำไมวะ ทุกทีไม่เคยถาม แปลกๆนะเนี่ย แล้วทำไมตาหลุกหลิกขนาดนั้น มีอะไรหรือเปล่า” ธันมองแบมบูด้วยความสงสัย เพราะปกติ เรื่องการแต่งหน้าหรือแฟชั่น แบมบูจะมั่นใจในรสนิยมตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่แบมบูจะต้องการคำแนะนำจากเขาเรื่องเครื่องแต่งหน้า เพราะขนาด รองพื้น กับ คุชชั่น เขายังไม่รู้เลยว่ามันต่างกันอย่างไร

       หลังจากยื้อยุดชุกกระชากกันพักใหญ่ ธันก็สามารถ ดึงมือหลุดออกมาได้ เขาจึงกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่แผนกน้ำหอมทันที เพราะอีกไม่นานเครื่องบินจะขึ้นแล้ว และเขาก็อยากได้น้ำหอมอยู่ตัวหนึ่งที่ได้ข่าวว่าสามารถหาซื้อได้แค่ ที่ Duty free ที่สุวรรณภูมิเท่านั้น แต่ยังไม่ทันจะถึงดีเขาก็ต้องชะงัก กับภาพตรงหน้า มันเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนลง และหัวใจของเขาก็หยุดเต้นตามไปด้วย เพราะภาพที่เขาเห็นคือภาพที่พี่กราฟเดินจูงมืออยู่กับผู้ชายตัวเล็กอยู่คนหนึ่ง และดูจากการกระทำแล้ว ไม่น่าใช่เพื่อนหรือน้องเป็นแน่

       “ที่บอกว่าไปต่อกับเราไม่ได้แล้ว หมายความว่าแบบนี้เอง น่ะเหรอ ไปต่อกับเราไม่ได้แต่ไปต่อกับคนอื่นได้แบบนี้น่ะเหรอ” ธันกัดฟันกรอด พร้อมกำหมัดแน่น พร้อมทั้งสาวเท้าเดินตรงไปยังทั้งคู่ทันที แต่ก่อนที่ธันจะทำอะไรลงไป แบมบูก็มาถึงตัวธันซะก่อน

       “พี่ธัน ปล่อยเขาไปเหอะพี่ พี่กำลังจะไปมีอนาคตใหม่แล้ว อย่าไปเสียเวลากับเขาเลย คนแบบนั้นสักวันหนึ่งเขาจะต้องเสียใจที่ทิ้งคนดีๆแบบพี่ไป เครื่องจะขึ้นแล้วพี่ ไปเหอะ” แบมบูจับไหล่ธันพร้อมทั้งพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆแต่แฝงไปด้วยความห่วงใยอย่างท่วมท้น

       “เออ ไปเหอะแก” หลังจากพูดจบธันก็หันหลังแล้วออกเดินทันที แต่ด้วยความไม่ระวัง ธันกลับชนคนๆหนึ่งตรงหน้าเข้าอย่างจัง

       “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ธํนถามขึ้นทันทีหลังจากตั้งสติได้

       “Tu as des yeux ?” (นายมีตาหรือเปล่าเนี่ย?)คนตรงหน้าพูดด้วยสีหน้าและท่าทางหงุดหงิดเป็นอย่างมาก เพราะสัมภาระที่เขาถือมาได้หล่นกระจัดกระจายลงเต็มพื้นด้วยแรงกระแทกของธัน และแม้ว่าธันกับแบมบูจะพยายามช่วยเก็บ แต่พ่อหนุ่มตรงหน้ากลับปัดมือออกอย่างไมใยดี

       “มึง เขาไม่ให้ช่วยว่ะ แล้วเขาพูดภาษาอะไรวะทำไมฟังไม่ออกเลย”ธันเขยิบเข้าไปกระซิบกระซาบกับแบมบู

       “ไม่รู้อะ แต่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ แต่จะว่าไปเขาก็หล่ออยู่นะ ยิ้มสู้ไปเผื่อได้” ด้วยความที่ไม่รู้จะขอโทษยังไงทั้งสองจึงตัดสินใจ ยืนรอให้พ่อหนุ่มตรงหน้าเก็บของให้เสร็จ และยื้มตลอดเวลาที่เขาหันขึ้นมามอง

       “pourquoi te moques tu de moi ?” (นี่ยิ้มให้ทำไมเนี่ย?) แต่ดูเหมือนว่าพ่อหนุ่มหน้าเข้มจะ ไม่เข้าใจว่าเขาทั้งสองต้องการจะยิ้มขอโทษ ดังนั้นเมื่อเห็นทั้งสองยิ้มให้เขาก็แลดูจะหงุดหงิดกว่าเดิมและเมื่อเขาเก็บของชิ้นสุดท้ายเสร็จ เขาก็เลือกที่จะเดินผ่าตรงกลางระหว่าง แบมบูและธัน ตรงไปยัง ที่นั่งรอขึ้นเครื่องทันที

       “แหม่ หล่อตายแล้วมั้ง แค่ชนนิดเดียวทำเป็นหน้าบูดหน้าบึ้ง”แบมบูพูดตามหลังทันที เพราะค่อนข้างมั่นใจว่าหนุ่มคนนี้ฟังภาษาไทยไม่ออกแน่นอน

       “เออ ไปเหอะมึง อย่าไปสนใจเลยเขาคงโมโหอะ” เป็นธันที่ต้องพูดดึงสติแบมบูทั้งๆที่เมื่อไม่กี่นาทีก่อน แบมบูยังดึงสติเขาอยู่เลย

       สิ่งที่ใจฉันได้สัมผัส เมื่อเวลาที่เราใกล้กัน

คืนวันเปลี่ยนไป ใจเธอเปลี่ยนผัน

แต่ว่าเธอก็ยังทนอยู่ แต่ว่าเธอไม่กล้าจากไป

คงลำบากใจที่จะบอกฉัน

คำที่เคยผูกพันเหมือนสัญญา

จะมีค่าอะไรถ้าไม่รักกัน

หากว่าเธอไม่เหลือใจ เหตุใดทนทรมาน

อาจเป็นเพียงคำสั้นสั้นอย่างเช่นเธอ

ลืม เธอลืมหมดแล้ว

ลืมว่าเราเคยรักกัน

บอกเถอะฉันรู้ว่าเธอ

ลืม ลืมคนที่เคยจริงใจ

และคอยห่วงใยเธอทุกอย่าง

หากไม่รักก็พูดมาให้เข้าใจ



       “พี่กราฟครับ กินข้าวกินยาก่อนเร็ว” หนุ่มธัน ถือถาดเดินเข้ามาในห้องนอนของคนรักที่ตอนนี้นอนป่วยเป็นไข้อยู่

       “ป้อนพี่หน่อยสิครับ” หนุ่มผิวขาวที่นอนอยู่บนเตียง พูดออดอ้อนคนตัวเล็กที่เพิ่งถือถาดเดินเข้ามา

       “กินเองสิครับ เดี๋ยวธันต้องไปเตรียมน้ำเช็ดตัวอีกนะ” หนุ่มธันวางถาดไว้ที่หัวเตียงคนป่วยก่อนที่กำลังจะหันหลังเดินออกไป แต่ก็ถูกมือหนาคว้าเอวกดลงบนเตียงซะก่อน

       “ถ้าไม่ป้อนก็ไม่ให้ออกจากห้องนะครับ” พี่กราฟพูดจบก็ค่อยๆลดหน้าลงมาที่หนุ่มผิวแทนที่นอนจมอยู่กับเตียงเพราะแรงกดจากมือทั้งสอง

       “โอเค โอเค ยอมแล้วปล่อยสิ”หนุ่มตัวเล็กพูดขึ้นมาหลังจากหน้าของคนตัวใหญ่ห่างจากเขาเหลือเพียงแค่ฝ่ามือ

       “นี้ ตัวเล็ก เดี๋ยวพี่หายแล้วเราไปเที่ยวต่างประเทศกันไหม เอาประเทศไหนดี ญี่ปุ่นไหม” คนผิวขาวพูดขึ้นระหว่างที่กำลังกินข้าวต้มอยู่

       “ไม่เอาอ่ะ ญี่ปุ่นเห็นคนไปกันเยอะจนช้ำ ไปหมดละ ถ้าให้ธันเลือก ธันอยากไปพวก ออสเตรเลีย อยากไปถ่ายรูปกับ พวกน้องจิ้งโจ้ น้องโคอาล่า อ๋อ อ๋อ แล้วก็โอเปร่าเฮาส์ด้วย พี่กราฟว่าไง” หนุ่มธันพูดอย่างตื่นเต้นจนชามในมือสั่นไปหมด เดือดร้อน หนุ่มกราฟต้องคอยประคองเพราะกลัวข้าวจะหกเลอะบนที่นอนและเลยมาที่หน้าเขา

       “ใจเย็น แม่สาวน้อย เดี๋ยวข้าวหกพี่ต้องย้ายไปนอนโซฟาอีก ออสเตรเลียก็ดีนะ เดี๋ยวเรามาลองขอวีซ่าดูละกันเนาะ” พูดจบก็เอามือขยี้หัวหนุ่มตัวเล็ก อย่างเอ็นดู แต่หนุ่มตัวเล็กกลับมองค้อนกลับมาซะวงใหญ่ เพราะ เขาเพิ่งจะเซ็ทผมมาเมื่อเช้า

       ติ๊งต่อง

Qatar airways To Brisbane. It's now boarding at gate number 56, please board at gate number 56, Thank You. (โปรดทราบ สายการบิน กาตาร์ เที่ยวบินสู่ นครบริสเบน พร้อมแล้วที่จะออกเดินทาง ขอเชิญผู้โดยสารทุกท่านขึ้นเครื่องได้ที่ทางออกหมายเลข 56 ขอบคุณคะ) ธันถูกเรียกให้ตื่นจากภวังค์ด้วยสัญญาณเรียกขึ้นเครื่อง หลังจากสะบัดหัวทีสองทีธันก็ลุกขึ้นเดินตามแบมบูเข้า ประตูทางออกไป

       “พี่กราฟ ธันกำลังจะได้ไปดูจิงโจ้ ไปถ่ายรูปกับน้องโคอาล่าแล้วนะครับ แม้ธันจะไม่มีพี่ยืนข้างๆเหมือนที่ธันเราเคยสัญญากันไว้ แต่ทำไงได้อะเนาะ คนเรามันก็ต้องก้าวต่อไปใช่ไหมละ ยังไงก็ขอบคุณนะครับ ที่ทำให้ธันได้เห็นภาพวันนี้ มันทำให้ธันเดินต่อไปได้ง่ายขึ้นเยอะเลย ลาก่อนนะพี่กราฟ” คำพูดที่ไม่มีเสียงนี้ผุดมาในหัวของเขาระหว่างเดินไปทางเชื่อมขึ้นเครื่อง แต่เขาคงจะเดินช้าไปหน่อย เพราะว่าหนุ่มอวบที่คงต้องตัวติดกันไปอีกหลายเดือน ทำเสียงเร่งเร้าให้เขาเดินไวๆ เพราะกลัวว่าช่องใส่สัมภาระจะเต็มซะก่อน

       เมื่อทั้งคู่เดินขึ้นมาถึงบนเครื่อง ก็แยกย้ายไปนั่งตามหมายเลขที่นั่งใหม่ที่พนักงานพึ่งจะสับเปลี่ยนให้ ที่นั่งข้างๆเขายังคงว่างอยู่เหมือนกับว่าเพื่อนร่วมทางของเขายังไม่มาถึงแต่หลังจากที่เขาหันหน้าออกไปนอกเครื่องบินสักครู่ก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเล็กๆ ข้างๆที่นั่งเขาและเมื่อเขาหันกลับไปก็ต้องประหลาดใจ เพราะเป็นหนุ่มนัยส์ตาสีฟ้าที่เขาเพิ่งชนไปเมื่อสักครู่

       “sérieusement?”(จริงจังปะเนี่ย) ท่าทางหนุ่มตาสีฟ้าก็คงประหลาดใจอยู่เหมือนกัน แต่ไม่น่าจะประหลาดใจไปในทางที่ดีเหมือน ธันเพราะดูจากหน้าตาแล้ว บ่งบอกเลยว่าไม่สบอารมณ์อย่างมาก

       เนื่องจากว่าธันคิดไม่ออกว่าจะทำให้สถานการณ์ผ่อนคลายยังไง จึงได้แต่ยิ้มแหยๆ กลับไปให้ แต่เหมือนว่าจะทำให้หนุ่มหน้าหล่อยิ่งไม่พอใจขึ้นไปอีก

       “qu’est-ce qu’il y a d’amusant ?”(มีอะไรน่าตลกเหรอหะ?) จบประโยค เพื่อนร่วมทางของเขาก็ใส่หูฟังและหันหน้าไปฝั่งตรงข้ามทันที

       เมื่อเห็นปฎิกิริยาดังนั้น หนุ่มธันของเราก็ได้แต่นั่งจ๋อย และเมื่อแน่ใจแล้วว่าทริปนี้คงจะไม่ได้คุยกับคนข้างๆเป็นแน่จึงหยิบหูฟังที่ทางสายการบินเตรียมไว้ให้มาใส่ และมองเหม่อลอดออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบิน เพียงเพื่อเก็บภาพสุดท้ายของประเทศไทยเอาไว้ในความทรงจำ
หัวข้อ: Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.3
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 21-05-2020 12:28:14
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: When love travel เมื่อรักบินพลาด
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 21-05-2020 20:54:24
   “Excuse me sir, what would you like to take fish or chicken?”(ขอโทษนะคะ, ไม่ทราบว่าผู้โดยสารจะรับปลาหรือไก่ดีคะ) พนักงานสาวบนเครื่องเข็นรถอาหารมาหยุดอยู่ตรงข้างๆ ที่นั่งของธันกับหนุ่มฝรั่ง แต่ขณะนี้หนุ่มตัวเล็กของเราไม่สามารถเลือกได้ว่าเขาจะกินอะไร เพราะว่าตั้งแต่เครื่อง Take off ขึ้นมาจากพื้นเขาก็ออกตัวไปเข้าเฝ้าพระอินทร์ทันทีเช่นกัน

   “Chicken for me and Fish for him please.”(ขอไก่ให้ผมและปลาให้เขาละกันครับ) เดือดร้อนหนุ่มตาสีฟ้า ต้องตอบแทน เพราะถ้าหากจะรอให้หนุ่มผิวแทนตื่นมาเลือก เครื่องบินก็น่าจะ Landing ตรงที่หมายซะก่อน

   “So sweet, Is this your boyfriend? How long have you been in your relationship?”(แหม่น่ารักจังเลยนะคะ เป็นแฟนกันเหรอคะเนี่ย คบกันมานานเท่าไหร่แล้วคะ) แอร์สาววางอาหารให้หนุ่มฝรั่งและหนุ่มธันพร้อมทั้งส่งสายตาวิบวับสลับไปมาระหว่างฝรั่งหน้าหล่อ และ หนุ่มตัวบาง จนน่าเกลียด

   แต่แทนที่จะได้รับคำตอบอย่างที่ตัวเองคาดหวังกลับได้สายตาเย็นชาและว่างเปล่า จ้องกลับมาแทนแล้วยิ่งหนุ่มตาฟ้ามีดวงตาที่กลมโตคมกริบซึ่งเมื่อมันมาประสานกับหนวดเคราบางๆบนหน้าแล้ว มันก็ยิ่งดูน่ากลัวเหมือนพวกมาเฟียฝรั่งเศสไปกันใหญ่

   เมื่อแอร์สาวเห็นดังนั้นจึงรีบเข็นรถอาหารไปยังล็อคถัดไปอย่างรวดเร็วจนถาดอาหารในรถมีอาการสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด

   “คร้อก แค่ก แค่ก แค่ก” หนุ่มตัวเล็ก สำลักน้ำลายเฮือกใหญ่ และนั่นก็คงเพียงพอที่จะปลุกเขาตื่นจากภวังค์หลับใหลขึ้นมา

   “อ้าว ข้าวมาแล้วเหรอ ว้าว ปลาแซลมอนด้วย หว่ายอะไรอะ ไก่ เหรอไม่เห็นน่ากินเลย”หนุ่มตัวเล็กตื่นขึ้นมาเจออาหารโปรดก็ดีใจยกใหญ่ แต่ก็ไม่วายหันแขวะหนุ่มตาฟ้าหลังจากเห็นอาหารที่คนข้างๆได้รับ

       “ฟังไม่ออกละสิ หวาย หวาย หวาย” เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต หนุ่มตัวเล็กจึงมองหน้าจอตรงหน้าที่ตนเองเปิดหนังค้างไว้ พร้อมพูดล้อเลียน หนุ่มข้างๆ แต่เขาก็ต้องผวาเล็กน้อยเพราะเมื่อพูดจบก็ได้ยินเสียงกระแอมดังมาจากคนข้างๆ แต่เมื่อเแอบหลือบมองแล้วก็ไม่เห็นความผิดปดติอะไร จึงเปลี่ยนมากินข้าวตรงหน้าอย่างเงียบๆจนหมดแทน

       “เมื่อไหร่จะถึงเนี่ย เบื่อแล้วนะ” หนุ่มธันพูดออกมาหลังจากเขาดูหนังจบไปแล้ว 2 เรื่อง และกำลังเลื่อนจอภาพเพื่อหาเรื่องที่สามมาดูต่อ แต่ก่อนที่จะได้เลือกนั้น อยู่ๆแก้วน้ำของเขาก็เกิดอาการสั่นขึ้นมาอย่างแปลกๆ และเมื่อสังเกตดูรอบข้างก็พบว่าแก้วน้ำของคนข้างๆก็มีอาการสั่นไหวเช่นกัน ต่อมาเครื่องบินทั้งลำก็เริ่มโยกเยกโคลงเคลงเหมือนกับเรือที่ปะทะคลื่นที่รุนแรงกลางมหาสมุทร แต่ต่างกันตรงที่นี่เป็นเครื่องบิน และหากเครื่องบินกระเด้งกระดอนแบบนี้แล้วละก็ คงเป็นสัญญาณที่ไม่สู้ดีเป็นแน่

       “Excuse me, please fasten your seatbelts!!!”(ขอโทษนะคะ รบกวนคาดเข็มขัดด้วยคะ ผู้โดยสาร!!!) เป็นพี่แอร์สาวคนเดิมที่มาเสริ์ฟอาหารให้พวกเขาแต่ว่าครั้งนี้ เสียงของเธอดูจริงจังชัดถ้อยชัดคำ และหลังจากพูดกับพวกเขาจบเธอก็เดินก้าวเท้าไปยังที่นั่งลำดับต่อไปพร้อมพูดประโยคเดิมๆไปเรื่อยๆ จนลับหายไปหลังม่านของฝั่ง Economy class

       “We are going through a turbulence right now. Please remain seated and fasten your seatbelt while we are going through it” (ขณะนี้เครื่องบินของเรากำลังตกหลุมอากาศอยู่ ผู้โดยสารทุกท่านโปรดกลับไปที่ที่นั่งของท่านพร้อมทั้งรัดเข็มขัดด้วยครับ) เสียงกัปตันดังออกมาจากลำโพง และแม้ว่าน้ำเสียงของกัปตันจะแลดูหนักแน่นเพียงใดแต่ผู้โดยสารหลายๆคนก็เริ่มมีอาการตื่นตระหนกแล้ว เช่น เจ๊ที่นั่งข้างหลังหนุ่มธันก็เริ่มเอาสร้อยประคำออกมาท่องสรรเสริญเจ้าแม่กวนอิม หรือ ลุงที่นั่งข้างหน้าก็เริ่มพูดจาภาษามนุษย์ต่างดาวแปลกๆจนดังมาถึงที่นั่งของคนตัวเล็กด้วยเหมือนกัน ซึ่งพอเห็นดังนั้นตัวธันเองก็เริ่มเหงื่อตกและหวั่นใจนิดๆเหมือนกัน แต่พอเขาหันกลับมามองคนข้างๆกลับพบว่าหนุ่มตาฟ้ากำลังอ่านหนังสืออย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรนั่นทำให้เขา ผงะและอดไม่ได้ที่จะทำหน้าตาแปลกๆออกไป

       “Quoi” (อะไร) ท่าทางว่าธันจะจ้องหน้าหนุ่มหน้าเข้มนานไปหน่อย จนเจ้าตัวจับได้เลยหันมามองพร้อมทั้งพูดประโยคอะไรสักอย่างที่เขาไม่รู้เหมือนกันว่ามันแปลว่าอะไร

       “English please, I cannot speak tomatoes” (พูดภาษาอังกฤษด้วยครับ พอดีผมพูดภาษามะเขือเทศไม่ได้) ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ธันพูดออกไปแบบนั้น เพราะถึงมันจะฟังดูตลก แต่หาหนุ่มตาฟ้าเป็นคนที่ซีเรียสหรือเป็นพวกชาตินิยม หนุ่มตัวบางของเราได้กระดูกหักสองท่อนแน่ เพราะเมื่อกะด้วยสายตาคร่าวๆฝรั่งหน้าเข้มที่นั่งติดๆกับเขานั้นคงสูงราวๆเกือบหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรได้ แต่หนุ่มธันสูงพ้นหลักร้อยเจ็ดสิบเซ็นติเมตร มาแค่หนึ่งหน่วยเท่านั้น ดังนั้นหากตาฝรั่งคนนี้ฟังสำเนียงอังกฤษแบบไทยๆของธันออก ไม่แคล้วธันได้ไปเฝ้าพญายมเพราะคอหักตายไม่ใช่เพราะเครื่องบินตกเป็นแน่

       แต่ทว่าหลังจากธันตอบโต้กลับไปแบบนั้น หนุ่มตัวใหญ่ก็แค่ขมวดคิ้วใส่และหันกลับไปสนใจหนังสือของตนต่อ เหมือนเขาไม่ได้รับรู้บรรยากาศรอบตัวเลยว่า มันน่าหวั่นใจสักเพียงใด หรือ บางทีเขาอาจจะเดินทางไปไหนมาไหนด้วยเครื่องบินเป็นประจำ เลยชินกับเหตุการณ์ที่เครื่องบินตกหลุมอากาศเช่นนี้ แต่จะใครจะไปรู้ว่าหนุ่มหน้าตาเย็นชาไร้ความรู้สึกแบบนี้จะคิดอะไรอยู่ในหัว

       “ประสาทหรือเปล่าวะ จะตายแหล่ไม่ตายแหล่ เครื่องบินกระเด้งหัวสั่นหัวคลอนยังจะมีกะใจมาอ่านหนังสืออยู่อีก” ธันพูดขึ้นด้วยเสียงกระซิบกระซาบ และไม่ทันจะจบประโยคดี เครื่องก็หยุดไหวและกลับมาเป็นปกติอีกครั้งเหมือนเมื่อสักครู่ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลย

  หลังจากเหตุการณ์วุ่นๆเล็กน้อย ที่เกิดขึ้น ผู้โดยสารก็ได้รับขนมหวานปลอบขวัญคนละชิ้น เป็นแยมโรล มันม่วงวิปครีมฉ่ำๆ ซึ่งสำหรับสายของหวานอย่างหนุ่มตัวเล็กนั้นบอกได้เลยว่าถูกใจจนออกนอกหน้าสุดๆ เพราะทันทีที่ พี่แอร์ เอาของหวานมาเสริฟ์ตรงหน้า เขาก็กินอย่างไม่รีรอจนวิปครีมเปื้อนมุมปากไปหมด โดยนอกจากหนุ่มธันจะกินหมดได้อย่างรวดเร็วแล้วนั้นเขาก็ยังกินมันซะจนเกลี้ยงจาน จนถึงขนาดที่ว่าแค่เอาทิชชู่เช็ดเล็กน้อยก็สามารถนำไปใช้เสริฟ์ผู้โดยสารคนต่อไปได้โดยไม่ต้องล้างเลย กลับกันกับหนุ่มคนข้างๆ เพราะเมื่อหนุ่มผิวแทนแอบชำเลืองมอง กลับพบว่าคนตาสีฟ้ากลับไม่แตะต้องขนมของตัวเองเลย

       “อะไรกัน ไม่กินสักนิดเลยเหรอ น่าเสียดายจัง ขอกินแทนดีไหมนะ?” แต่ทว่าถึงจะพูดแบบนั้น หนุ่มธันก็พอจะหลงเหลือมารยาทอยู่บ้างจึงไม่ได้พูดอะไรน่าอายออกไป หลังจากกินเสร็จหนุ่มธันก็เริ่มเอนกาย ดูหนังจากจอสี่เหลี่ยมเล็กๆของตนอีกรอบ เพราะเมื่อเหลือบดูเวลาจากนาฬิกา เขายังเหลือเวลาอีกถึงห้าชั่วโมงกว่าเครื่องจะลงจอดยังจุดหมายปลายทางของเขา ซึ่งนั้นหมายความว่าเขาสามารถดูหนังที่เขาชื่นชอบได้อีก สอง ถึงสามเรื่องเลยทีเดียว แต่ทว่าหลังจากดูเรื่องแรกยังไม่ทันจะถึงครึ่งเรื่อง น้ำตาลในเค้กมันม่วงก็เริ่มจะอกฤทธิ์ทำให้เขาผล็อยหลับลงไปโดยไม่รู้ตัว

       กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีเครื่องก็เทียบท่าลงจอดเสียแล้ว ทำให้เขาพลาดโอกาสที่จะถ่ายรูปน่านฟ้าออสเตรเลียไปอัพโหลดลง Instagram เรียกยอดไลค์ไปอย่างน่าเสียดาย และเมื่อตาของเขาเริ่มจะปรับแสงได้ เขาก็ต้องฉงนเล็กน้อย เพราะเขาเห็นกล่องสีขาวอะไรไม่รู้ว่าอยู่ตรงหน้า และเมื่อถือวิสาสะเปิดดู ก็พบว่าเป็นเค้กแยมโรลมันม่วงที่เขาเพิ่งจะกินไปเมื่อสักครู่ซ่อนตัวอยู่ภายในกล่องนั้น และถึงแม้ว่าเขาจะแอบดีใจอยู่ๆลึกๆว่าจะได้กินขนมแสนอร่อยอีกครั้ง แต่อีกใจก็แอบกังวลว่าจะกินดีหรือเปล่าเพราะถ้าขนมมันไม่มีอะไรผิดปกติทำไมเจ้าของถึงไม่กินไป จะเอามาวางไว้ทำไม แต่ก่อนที่ความคิดของเขาจะตีกันไปมากกว่านี้ พี่พนักงานต้อนรับก็เดินเข้ามาประชิดที่ตัวเขา

       “Are you ok? Do you need any help?” (คุณผู้โดยสารมีอะไรให้ช่วยไหมคะ) แอร์สาวเจ้าเดิมเดินเข้ามาสอบถาม

       “Oh nothing serious, Thank you very much” (ไม่มีครับ ขอบคุณมากครับ) หนุ่มธันนึกสงสัยว่าเขาแสดงอาการออกไปชัดเจนมากถึงขนาดที่ว่าพนักงานจะต้องมาสอบถามเลยเหรอ แต่เมื่อหันซ้ายหันขวาเขาก็ถึงบางอ้อ ที่พี่พนักงานมาสอบถามเขานั้นเป็นเพราะผู้โดยสารคนอื่นนั้น ลุกออกไปจากเครื่องบินกันหมดแล้วนั่นเท่ากับว่าเขาเป็นผู้โดยสารคนเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ หลังจากเกาหัวด้วยความขัดเขินเขาก็ค่อยๆลุกขึ้นเปิดช่องสัมภาระเหนือหัวเพื่อเอากระเป๋าใส่อุปกรณ์กระจุกจิกที่เขาใส่ไว้ออกมา แต่ก่อนที่เขาจะเดินแก้เก้ออกไปยังประทางออก พี่แอร์คนเดิมก็ตะโกนออกมาขัดจังหวะเสียก่อน

       “Excuse me sir, you forgot something” (ขอโทษนะคะผู้โดยสารลืมของน่ะค่ะ) พนักงานสาวพูดขึ้นพร้อมหยิบกล่องขนมเอามายื่นให้เขา

       “That one is my?” (อันนี้ของผมเหรอครับ) หนุ่มธันถามพร้อมกับเอานิ้วชี้ไปที่หน้าของตน พี่แอร์ไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่พยักหน้าลงเล็กน้อย เป็นการตอบคำถามและก่อนที่หนุ่มธันจะได้หันหลังเดินออกไป พี่พนักงานก็ยื่นหนังสือเล่มหนึ่งมาให้เขาด้วย

       “And also this one” (อันนี้ด้วยคะ) มันเป็นหนังสือเล่มบางปกสีฟ้า ที่ถูกห่อหุ้มด้วยพลาสติกใสบางๆ บนหน้าปกมีวงกลมสีขาวล้อมรอบตัวอักษรที่เขียนว่า “la nuit des temps” แม้หนังสือจะดูใหม่มากหากมองด้วยตาเปล่า แต่เมื่อจับดูจะรู้ได้เลยว่ามันผ่านการใช้งานมาแล้ว เพราะสันหนังสือมีความสึกหรอจากการถูกเปิดอ่านนับครั้งไม่ถ้วน เมื่อธันลองพลิกไปดูที่ปกข้างหลัง ก็พบว่ามีรอยฉีกขาดเล็กน้อยซึ่งหากมองให้ลึกลงไปรอยขาดนี้น่าจะเกิดจากการที่หนังสือโดนของเหลวบางอย่างหกใส่

       “But this one is not my” (แต่อันนี้ไม่ใช่ของผมนะ) หนุ่มตัวเล็กพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำเนื่องจากว่าเขาไม่ต้องการจะเอาของที่ไม่ใช่ของเขาติดตัวไป แม้ของนั้นจะเป็นของที่มีมูลค่าหรือไม่ก็ตาม ถ้าไม่ได้มาด้วยเงินของเขา เขาจะไม่แตะต้องเลย มีของประเภทเดียวที่ถึงแม้จะไม่แน่ใจว่าเป็นของเขาหรือไม่เขาก็จะหยิบมาเสมอหากมีโอกาส นั่นคือของจำพวกขนม ยิ่งเป็นพวกเค้กหรือแยมโรลนี้เห็นเป็นไม่ได้เลย

       “Yes, but I think it might be your friend book because I saw it leave behind your seat” (ใช่คะ แต่ดิฉันเห็นมันตกอยู่ข้างๆที่นั่งผู้โดยสาร บางทีอาจจะเป็นของเพื่อนน้องก็ได้นะคะ) พี่พนักงานสาวพูดจบพร้อมยิ้มและยัดหนังสือเล่มนั้นมาใส่มือเขา

       “Ho…” (ยังไ..) หนุ่มผิวแทนไม่ทันจะได้พูดประท้วงจบประโยค แอร์สาวก็รีบกลับหลังแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็วทิ้งให้หนุ่มตัวเล็กได้แต่เกาหัวแกรกๆ เป็นรอบที่สองพร้อมทั้งเดินไปยังประตูทางออกอย่าง งงๆ

       เมื่อธันเดินออกมาถึงประตูทางออก ก็ต้องพบคนที่คุ้นตายืนหน้าบูดเป็นตูดลิงอยู่ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากแบมบูที่หันมองมาที่เขาด้วยตาเขียวปึ้ด

       “โอ้ย นึกว่าบินกลับไทยไปแล้ว รอจนขาแข็งเป็นหินหมดแล้วเนี่ย”แบมบูร่ายยาวทันทีเมื่อธันเดินเข้ามาถึงตัว

       “เออ เออ โทษที แล้วทำไมแกไม่โทรหาฉันละ ฉันก็หลับเพลินเลยเนี้ย ไม่ยอมทำหน้าที่น้องที่ดีเลยนะแกเนี่ย” หนุ่มผิวแทนผู้ไม่มีอาการสำนึกใดๆโต้กลับไปทันควันหลังจากแบมบูพูดจบ

       “ฮัลโหล พักก่อนคะ จะเอาซิมจากไหนไปโทรตาม นี่ไม่ได้เปิดโรมมิ่งต่างประเทศไว้ แล้วถึงจะเปิดไว้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมานั่งโทรตามไหม มันแค่หยิบกระเป๋า แล้วเดินออกมาเนี่ย มันยากมั้ง”หนุ่มแบมบูที่ตอนแรกที่แค่โกรธระดับ หนึ่ง แต่เมื่อเห็นพี่ร่วมชะตากรรม มีท่าทีไม่สำนึก จึงเพิ่มระดับความโกรธเป็นระดับกินหัวได้กินไปแล้ว แทน

       “อ่าๆ ไปเอากระเป๋ากันดีกว่าปะ เดี๋ยวคนอื่นหยิบผิดไปจะแย่เอา” เมื่อรู้ตัวว่าไม่มีเหตุผลจะเถียงสู้ได้ คนตัวเล็กจึงตัดบทเปลี่ยนเรื่องพร้อมทั้งเดินนำหน้าไปยังสายพานหมายเลข 8 ที่ๆกระเป๋าของเขาหมุนรออยู่

       “โอ้ย หนักจังวะ เข็นจะไม่ไปละเนี่ย” ธันบ่นอุบทันที หลังจากแบมบูวานให้ธันช่วยเข็นกระเป๋าให้ ระหว่างที่เขากำลังหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าสะพายอยู่

       “เรื่องเวอร์นี่ต้องยกให้เธอจริงๆนะ ให้ลากยังไม่ถึงสามวินาทีเนี่ย บ่นแล้ว อะเอามา”หลังจากหยิบมือถือออกมาได้ แบมบูก็เปิดดู รายการจดบันทึกของเขาก่อนจะเดินนำหน้าธันไปยังจุดขายซิมมือถือทันที

       “อะ จะเปิดกับค่ายไหนดี ที่เนี่ย มี ซิม ของ Telstra Optus แล้วก็ Vodafoneแหละที่ดังๆอะ” แบมบูพูดพร้อมผายมือช้าๆไปทีละร้าน อย่างน่ามั่นไส้

       “แล้วมันต่างกันยังไงอะ” ธันถามขึ้น เพราะไม่มีข้อมูลของซิมทั้งสามค่ายอยู่ในหัวของเขาเลย

       “ต่างกันที่สีอะ” แบมบูพูดหน้าตายกลับไป

       “จ้า เห็นแล้วจ้า ตาไม่ได้บอดจ้า แหม่กระจ่างขึ้นมาเลย ขอบใจนะจ้ะ” กับคำตอบที่ได้รับมา ก็อดไม่ได้ที่ธันจะค้อนแบมบูด้วยสายตา ปะหลัก ปะเหลือก

       “ไม่รู้ไหมละ ก็พึ่งลงเครื่องมาพร้อมกัน แต่ถ้าถามนี่นี่ชอบสีแดง นี่จะไปเปิดสีแดง”พูดจบแบมบู ก็เดินนำหน้าไปยังบูทของค่าย Vodafone ทันที

       “เออ เอาไงก็เอาละกัน” ธันเดินตามหลังแบมบูไปติดๆ

       หลังจากเปลี่ยนซิมเรียบร้อย แบมบูก็โทรติดต่อ พี่เจ้าของห้องที่พวกเขาจะไปพักด้วยเพื่อสอบถามเส้นทางและวิธีการไป หลังจากวางสาย แบมบูก็ทำการเรียก Uber มารับที่สนามบินเพราะเมื่อลองคำนวณราคาต่อคนแล้วไม่ต่างจากการขึ้นรถไฟไปมากนัก แถมหลังจากลงรถไฟพวกเขายังต้องเดินต่อไปอีกไม่ต่ำกว่า 15 นาทีซึ่งมันคงไม่ดีแน่สำหรับคนที่มีกระเป๋าหนักและหลายใบอย่างพวกเขาทั้งคู่

       “เฮ้ย แกระหว่างที่ยังไม่เปิดเรียน เนี่ยเราไปเดินถ่ายรูปเล่นกันที่หน้า โอเปร่าเฮาส์ไหม” ธันถามขึ้นขณะนั่งอยู่ในรถ

       “พักก่อนแม่ พึ่งลงเครื่องมาตูดยังไม่ทันเย็นจะให้นั่งไปอีกรอบก็ไม่ไหวนะ” แบมบูพูดมาจากเบาะด้านหน้าคนขับอย่างเหนือยๆ

       “มันไกลจากที่พักเราขนาดนั้นเลยเหรอแก ถ้าเดินไปไม่ได้ เดี๋ยวนั่งรถไปก็ได้ เดี๋ยวฉันออกค่ารถให้”ขณะที่พูดธันก็ลองค้นดูใน Google map ถึงระยะทางระหว่างที่พักของเขากับ โอเปร่าเฮาส์

       “นี่พี่พูดเล่นปะเนี่ย เรานั่งรถกันไปไม่ได้นะ เราอยู่รัฐควีนแลนด์ บริสเบนนะ โอเปร่าเฮาส์ มันอยู่ซิดนีย์ อันนี้ไม่รู้จริงๆเหรอว่าเราอยู่ที่ไหน คือตอนที่พี่เอเจนท์ เขาส่งเมลล์รายละเอียดเรื่องที่ตั้งโรงเรียนนี่ไม่เคยเปิดอ่านเลยใช่ไหมเนี่ย แต่ที่หนักสุดคือตอนจองตั๋วเครื่องบินอะ คนปกติมันก็ต้องดูปะวะว่าปลายทางมันคือที่ไหน ไม่ใช่เรือด่วนเจ้าพระยานะที่ลงท่าผิดแล้วค่อยไปลงป้ายหน้าได้น่ะ!!!” คำพูดของธันแค่ประโยคเดียวทำให้แบมบูถึงขนาดต้องเอี้ยวทั้งตัวหันมามองด้วยสายตาหวาดหวั่นพร้อมกับสวดคาถาบทใหญ่กลับไปแบบไม่หายใจ ซึ่งด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่จริงจังของคนตัวกลมนั้นทำให้ธันตกใจเป็นอย่างมาก จริงอยู่ที่เขาอาจจะเบลอไปบ้าง ไม่สิช่วงที่ทำเรื่องมาออสเตรเลีย เป็นช่วงที่เขาเบลอหนักมากๆต่างหาก เพราะเขาเพิ่งถูกทิ้งมา นั่นทำให้ข้อมูลต่างๆที่เอเจ้นท์ให้กรอกเขาก็แค่กรอกจริงๆ ไม่ได้สนใจจะอ่านเลยว่ารัฐที่เขาจะไปอยู่ไปเรียนเป็นรัฐไหนใช่รัฐเดียวกันกับที่ตั้งโอเปร่าเฮาส์หรือเปล่า

       และเมื่อมองดูยังหน้าจอผลลัพธ์นั้นก็ทำให้เขายิ่งมั่นใจว่า แบมบูไม่ได้อำเขาแน่นอน เพราะระยะห่างระหว่างจุดที่เขาอยู่กับ โอเปร่าเฮาส์ไกลกันถึง 933 กิโลเมตร ธันเงยหน้าขึ้นจากจอมือถือช้าๆ ด้วยอาการยิ้มเพ้อๆคล้ายคนสติหลุดออกจากร่างไปเรียบร้อยแล้ว

       เซอร์ไพร์ทครั้งที่ หนึ่ง
หัวข้อ: When love travel เมื่อรักบังเอิญ ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 24-05-2020 09:10:49
   คุณๆเคยมีอาการวิ้งไหมครับ บางคนอาจจะไม่ทราบว่าอาการวิ้งคืออะไร อาการวิ้งมันก็คลายอาการหน้ามืดหลังจากที่เราลุกจากที่นอนเร็วๆ หรือลุกจากที่นั่งเร็วๆ มันจะเป็นอาการเบลอๆ หูอื้อๆ เห็นแสงสว่างวิบวับๆอยู่ข้างหน้าคล้ายๆโดนแสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปสาดเข้าหน้ามารัวๆจนตาเราพล่าไปหมด นั่นแหละคืออาการที่ หนุ่มผิวแทนของเรากำลังเป็นอยู่ตอนนี้

   “พี่ธัน พี่ธัน พี่ธันโว้ย” แบมบูตะโกนสุดเสียงในทีสุดท้ายหลังจากเรียกด้วยเสียงปกติสองครั้งแรกแล้วหนุ่มร่างบางยังคงนิ่งเฉยไม่ไหวติงอยู่

   “เฮ้ย!!! ตะโกนทำไมวะ ตกใจหมด”หนุ่มธันสะดุ้งโหยงแทบจะหงายหลัง เมื่อเสียงตะโกนดังแสบแก้วหูทะลุเข้ามากระตุ้นโสตประสาทของเขา หลังจากที่เหมือนวิญญาณจะหลุดออกจากร่างไปแล้วในทีแรกหลังจากรับรู้ว่าเขาเลือกมาเรียนผิดรัฐ

   “ก็เห็นเดินเก่งเดินไม่ยอมหยุด บ้านอะอยู่นี่ จะเดินไปไหนเหรอจ๊ะ สติอะเรียกกลับมาก่อนเนาะเพราะยังไงตอนนี้ก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วจ้ะ” แบมบูจีบปากจีบคอพูดสุดฤทธิ์ ซึ่งถ้าเป็นยามปกติก็ไม่แคล้วจะต้องมีปะทะฝีปากกันแน่ๆแล้ว แต่ว่า ณ ตอนนี้แค่การสูดลมหายใจเข้าออกก็เป็นการยากเต็มทีแล้วสำหรับหนุ่มธัน เพราะฉะนั้นเขาคงทำได้แค่เพียงทด 1 ไว้ในใจและค่อยไปเอาคืนทีหลัง หลังจากสติกลับมาเต็มร้อย

   “ทำไมพี่เขาลงมารับช้าจังนะ”หนุ่มตัวกลมเริ่มแสดงอาการหงุดหงิด หลังจากโทรขึ้นไปบนห้องเพื่อให้เจ้าของห้องลงมารับ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาหัวของเจ้าของเลย

   ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าพวกเขาคือตึกสีส้มอิฐ ซึ่งเมื่อคาดคะเนจากสายตาแล้วความสูงไม่น่าจะเกิน 5 ชั้น สภาพตึกดูเก่าเล็กน้อยและหากจะว่ากันตามตรงมันดูเหมือนโกดังเก็บของเก่าที่ทำการรีโนเวทใหม่เพื่อมาเป็นที่พักมากกว่าที่จะตั้งใจสร้างให้เป็น คอนโด หรือ อพาร์ทเม้นท์ตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะด้วยหลังคาที่เป็นทรงโค้งคล้ายโดม หรือ ไม่ว่าจะเป็นช่องไฟระหว่างกระจกต่อกระจกที่ดูเบียดกันเกินพอดีนั่นอีก ดูรวมๆแล้วถ้าคนออกแบบไม่ไร้ฝีมือ เขาก็คงไม่รู้หลักการที่ดีในออกแบบตึกให้อากาศถ่ายเทดีๆโดยไม่ต้องติดกระจกมากเกินความจำเป็นแบบนี้

   “ใช่น้องแบมบูหรือเปล่าครับ” หนุ่มตัวผอมสูง ผิวขาว แขนขายาวเก้งก้าง อีกทั้งผมหยิกยาวชี้ฟูคล้ายคนเพิ่งตื่นนอน ซึ่งมองแค่แว๊บแรกก็สามารถเดาได้ทันทีว่าคนๆนี้น่าจะเป็นคนที่่แล้งน้ำใจอย่างแน่นอนเพราะเขาไม่ยอมแม้แต่จะเดินออกมาต้อนรับหรือมีท่าทีจะเข้ามาช่วยขนกระเป๋าแต่อย่างใด สิ่งที่เขาทำคือ ยื่นหน้าออกมาจากประตูทางเข้าเพื่อตะโกนสอบถามเขาทั้งคู่เท่านั้นเอง

   “ใช่ครับพี่” แบมบูตะโกนตอบกลับไปด้วยเสียงที่ดัดให้แมนเกินจริงไปมาก และนั่นก็ทำให้ ธัน ชักเอะใจ

   “แกแลดูมีพิรุธนะ”ธันหันหัวไปในองศาที่คนเปิดประตูมาจะมองไม่เห็นและกระซิบเข้าที่ข้างหู แบมบู

   “พิรุธอะไร หนูไม่มีพิรุธอะไรทั้งนั้น”แบมบูพูดแบบไม่ขยับปาก เพราะกลัวคนผมหยิกจะสงสัยเข้า

   “ลากกระเป๋าเข้ามาได้เลยครับ ขอโทษทีพี่ออกไปช่วยขน ไม่ได้พอดีพี่แพ้แสงแดดยามเช้าอะครับ”เจ้าของห้องยิ้มให้พร้อมพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้พวกเขาเดินเข้าไปหา

   แพ้แสงแดดยามเช้าเหรอ ไม่อยากจะยกของหนักก็บอกตรงๆเถอะ ข้ออ้างอะไรไม่เห็นสมเหตุสมผลเลย ธันได้แต่คิดในหัวไม่กล้าพูดออกมา เพราะเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า คนที่ร่วมทางมาด้วยจะมีความเห็นตรงกันหรือเปล่า

   และเมื่อเดินใกล้จะถึงตัวประตูทางเข้า ธันก็สัมผัสได้กับกลิ่นไม่พึงประสงค์โชยออกมาจากชายหนุ่มตรงหน้า ซึ่งเขาก็สามารถรับรู้ได้ในทันทีโดยไม่ต้องใช้สมองตรึกตรองว่ามันเป็นกลิ่นของคนที่กินเหล้าอย่างหนักจนมันแทรกซึมออกมาจากรูขุมขนนั่นเอง ซึ่งนอกจากกลิ่นเหล้าก็มีกลิ่นเขียวเล็กๆเหมือนคนไม่ได้อาบน้ำออกมาทักทายด้วยเช่นกัน ซึ่งนั้นทำให้ธันต้องกลั้นหายใจเป็นระยะๆ และบางทีเขาก็ต้องแอบลอบหายใจทางปากด้วยเมื่อหายใจทางจมูกไม่ทัน

   “น้องเป็นไรหรือเปล่าครับ ทำไมดูหายใจหอบๆ” พ่อหนุ่มหัวหยองหันมาถามธันระหว่างรอลิฟท์ ซึ่งนั่นดูเหมือนจะเป็นข้อดีเพียงข้อเดียวของตึกนี้ที่ถึงแม้จะเก่าแต่ก็ยังอุตส่าห์มีลิฟท์ให้ ไม่อย่างนั้นเขาและแคนตัวกลมคงต้องตายกันแน่ๆ เพราะกระเป๋าของพวกเขาทั้งสองไม่ใช่เหมือนการย้ายบ้าน แต่เหมือนเป็นการแบกเอาบ้านติดตัวมาด้วย

   “อ๋อ ไม่ได้เป็นไรครับพี่ พอดีผมเพลียแดดนิดหน่อยอะครับ เลยหายใจไม่ค่อยทัน เดี๋ยวก็หายไม่ต้องห่วงครับ” ธันแถอย่างสุดฤทธิ์ เพราะตอนนั้นในหัวเขาคิดอะไรไม่ออก เนื่องจากสมองของเขาต้องควบคุมการกลั้นหายใจเป็นระยะๆ ดังนั้นนี่คงเป็นเป็นคำตอบที่ดูเป็นธรรมชาติที่สุดจากสมองที่ อ็อกซิเจนไปเลี้ยงไม่ทัน

   “ใช่ไหมละ พี่ถึงไม่ค่อยชอบออกไปไหนตอนเช้าๆไง อะลิฟท์มาละ ปะครับน้องๆ”ช่วงจังหวะที่ หนุ่มตัวยาว ผายมือกั้นลิฟท์ให้พวกเขานั้น กลิ่นไม่พึงประสงค์ก็ออกมาปะทะหน้าของเขาตรงๆเนื่องจากต่อมกลิ่นส่วนใหญ่ก็จะออกมาจากใต้วงแขนอยู่แล้ว และยิ่งหนุ่มหัวหยองใส่เสื้อกล้ามแล้วด้วย นั่นยิ่งทำให้ไม่มีอะไรมาซับกลิ่นที่รุนแรงให้เขาได้สักชั้นเลย ดังนั้นกลิ่นที่เขาได้รับคือกลิ่นที่แรงและเพียวจนทำให้เขารู้สึกขมคอ ซึ่งเมื่อหันไปมองเพื่อนร่วมชะตากรรมก็มีสีหน้าที่ไม่ต่างกันนัก

   ถ้านั่นคิดว่าหนักแล้ว การที่ต้องเข้ามาในลิฟท์ตัวเดียวกันยิ่งแล้วใหญ่ เพราะโถงทางเข้ายังพอมีอากาศไหลเวียนจาก เครื่องปรับอากาศอยู่บ้าง แต่ในลิฟท์กลิ่นมันจะไม่มีทางออกไปไหนได้เลย มันจะไหลวนๆ อวนๆ อยู่ทั่วๆ ซึ่งนั่นทำให้น้ำเปรี้ยวในคอของหนุ่ม ธันเริ่มจะทำงานแล้ว แต่ถือว่าพวกเขาทั้งสองยังพอจะมีบุญเก่าหลงเหลือกันอยู่บ้าง เนื่องจากในขณะที่กำลังจะไม่ไหวแล้ว ประตูลิฟท์ก็ค่อยๆเปิดออก ทำให้กลิ่นบรรเทาลงไปบ้าง

   “ถึงแล้วครับน้องๆ สวรรค์ชั้น 7 ของพี่”เมื่อประตูเปิดออก หนุ่มหัวหยองก็เดินออกจากลิฟท์ ตรงไปเรื่อยๆตามทางเดิน ด้วยตัวเปล่าไร้ซึ่งการช่วยหยิบหรือยกกระเป๋าใดๆ

   เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไป ธันก็ต้องเจอกับ เซอร์ไพร์ทลำดับที่สองของวัน เนื่องจากตลอดทางเดินของห้อง พื้นนั้นถูกเรียงรายไปด้วยขวดแก้วว่างเปล่าหลากสี บางขวดก็เป็นยี่ห้อที่มีขายในไทย แต่บางขวดก็ดูไม่ใช่ยี่ห้อที่คุ้นตาเลย หนำซ้ำบางขวดก็ยังมีก้นบุหรี่อยู่ในนั้นเสียด้วย ถัดจากทางเดินก็เป็นครัวขนาดเล็ก ที่มีหม้อ และกระทะใช้แล้ววางอยู่บนเตา ข้างๆเป็นที่ล้างจานและอย่างไม่ต้องสงสัยมีจานที่กินแล้วไม่ได้ล้างวางอยู่ 2 ถึง 3 ใบ สุดท้ายเป็นตู้เย็นขนาดสองประตูที่วางอยู่ติดชิดผนัง ด้านบนของเตาและที่ล้างจาน เป็นชั้นวางของแบบบานผับ ซึ่งให้ตายยังไงธันก็จะไม่เปิดดูแน่ๆ เพราะเชื่อได้เลยว่าจะต้องมีของไม่พึงประสงค์ถูกยัดอยุู่ข้างใน เช่นซอสหมดอายุ หรืออาจจะมีถึงขั้นขนมปังหมดอายุจนรางอกเต็มตู้ก็เป็นได้ ใครจะไปรู้ ด้านหน้าครัวเป็น บันไดทางขึ้นชั้นสอง ซึ่งช่องว่าง ระหว่างบันไดก็มีกีตาร์เก่าๆและกระเป๋าเดินทางฝุ่นจับวางอยู่ ถัดจากบันไดเป็นที่นั่งเล่น หรือจะเรียกว่าห้องเก็บของเก่าก็ไม่แน่ใจ เนื่องจากว่า ภายในเป็นที่ตั้งของโซฟาหนังเก่าๆจนหนังบางส่วนเริ่มแตกแล้ว และในส่วนของเบาะนั่งนั้น หนังบางส่วนก็เริ่มจะมีรอยแตก บางจุดหนักถึงขนาดปริขาดจนเห็นฟองน้ำที่บุไว้ด้านใน ส่วนที่ไม่มีรอยปริหรือแตกก็มีลักษณะเว้าเป็นแอ่ง ซึ่งหากนั่งลงไปน่าจะจมจนลุกไม่ขึ้นแน่ ส่วนฝั่งตรงข้ามโซฟาก็เป็นทีวีจอแตก ซึ่งมองรอบๆก็ยังไม่เห็นวี่แววของรีโมตเลย แต่ถึงจะเจอรีโมตธันก็คิดว่ามันน่าจะเปิดไม่ติดอยู่ดี สุดทางเดินของชั้น 1 เป็นระเบียงสำหรับตากผ้า ซึ่งเจ้าของห้องก็ไม่ได้เอาไว้ใช้ตากผ้าอย่างเดียวเขายังนำเอาม้านั่งและโต๊ะมาวางด้วย หากเป็นตอนกลางคืน มุมนี้ที่นั่งตรงนี้คงจะดูดีไม่น้อย แต่ก็นั่นแหละ ที่ไหนมีพื้นที่นั่นก็ย่อมเห็นน้องขวดมาจับกลุ่มกันเป็นทิวแถว อีกทั้งแม้จะมองผ่านๆก็ยังเจอเศษก้นบุหรี่เป็นหย่อมๆอีกด้วย

   ห้องของพวกเขาทั้งคู่อยู่ชั้นสอง เมื่อเปิดดูก็ค่อยโล่งอกเนื่องจากไม่มีขวดเครื่องดื่มแอลกฮอลล์วางระเกะระกะเหมือนชั้นล่างแต่ความดีใจก็คงอยู่ได้ไม่นานเนื่องจากเมื่อย่างฝ่าเท้าเข้าไปก็รับรู้ถึงฝุ่นจำนวนมหาศาลอยู่ใต้เท้า และถึงแม้ห้องจะเป็นพื้นไม้แต่ความรู้สึกแต่ละย่างก้าวเหมือนพวกเขาเดินอยู่บนพื้นพรมยังไงยังงั้น ผนังห้องมีสีขาวออกครีมๆซึ่งเมื่อก่อนก็น่าจะเป็นสีขาวสว่างแต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปบวกกับการไม่ได้บำรุงรักษาสีก็เลยน่าจะซีดลง หนึ่งถึงสองระดับ ในห้องไม่มีของอะไรมากนอกจากเตียงขนาด 5 ฟุต ซึ่งเขายังนึกไม่ออกเลยว่าจะแบ่งกันนอนกับคนตัวกลมได้ยังไง นอกจากเตียงก็เป็นโครงตู้เก็บเสื้อผ้า ที่ต้องบอกว่าเป็นโครงเพราะมันไม่มีฝาปิด และข้างบนก็ไม่มีฝาครอบเช่นกันหากเป็นรถก็ดูคล้ายรถเปิดประทุน แต่ตู้เสื้อผ้าเปิดประทุนมันไม่น่าจะใช่เรื่องดีเพราะมันดูเหมือนจะพังได้ทุกเมื่อ ข้างๆตู้เสื้อผ้าเป็นโต๊ะเขียนหนังสือที่มีกระจกขนาดใหญ่วางอยู่ข้างบน ซึ่งนั่นหมายความว่ามันไม่ได้มีไว้เขียนหนังสือแต่น่าจะมีไว้สำหรับการแต่งหน้าแต่งตัวเป็นแน่ แต่คนผิวแทนเองก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นักเพราะตัวกระจกเองไม่มีความใสมากพอที่จะสะท้อนอะไรกลับมาได้แม้แต่น้อย แถมตรงมุมล่างซ้ายขวาของกระจกยังมีรอยร้าวอันเนื่องมาจากการใช้งานที่ไม่ระวังอีกต่างหาก ที่ปกติที่สุดในห้องคงเป็นโต๊ะหัวเตียงที่ตั้งขนาบหัวเตียงทั้งสองข้าง แต่ก็ไม่วายจะมีรอยสีดำ ขาว กระดำกระด่างทั่วหน้าโต๊ะ เยื้องๆมุมห้องเป็นที่ตั้งของห้องน้ำ ซึ่งเมื่อธันยื่นหน้าเข้าไปดูก็ต้องทำหน้ายี้ เนื่องจากในห้องน้ำนั้นมีราดำกระจายอยู่เป็นจุดๆ ส่วนของอ่างล่างหน้าตัวอ่างนั้นอยู่ในสภาพที่ยังพอใช้งานได้ หากเราไม่นับคราบดำปนเหลืองที่อยู่รอบๆตัวก๊อกและคราบเขียวๆ ตรงรูระบายน้ำ ส่วนตรงฐานรองอ่างล้างหน้านั้นน่าจะทำจากไม้อัดราคาถูกเพราะขนาดดูด้วยตาเปล่า ก็ยังเห็นอาการบวมน้ำเด่นชัดอยู่หลายจุด ชักโครกก็ดูเก่าและโทรมตามกาลเวลมีคราบเหลืองกระจายอยู่ตรงฐานชักโครก และปุ่มกดที่ควรจะมีอยู่สองปุ่ม เป็นปุ่มหนัก และปุ่มเบา ก็คงเหลือแค่เพียงปุ่มหนักอยู่ปุ่มเดียว แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือฝาชักโครกได้ถูกปิดไว้ ซึ่งคนตัวเล็กคงจะต้องกดย้ำๆหลายๆทีก่อนที่จะเปิดฝาออกดู ครึ่งหนึ่งของห้องน้ำถูกกั้นไว้ด้วยกระจกเพื่อแยกส่วนแห้งและส่วนเปียกออกจากกัน และก็ไม่น่าแปลกใจที่กระจกกั้นจะมีคราบหินปูนเกาะอยู่ทั่วอันเนื่องมาจากการที่ไม่เคยจะใส่ใจขัดล้างมาก่อน

   “เอาละครับ ห้องนี้ก็เป็นห้องของน้องๆนะครับ ส่วนห้องพี่ก็อยู่ฝั่งตรงข้ามนี้ ถ้ามีอะไรก็มาเคาะห้องได้ตลอดเลยครับ ค่าห้องจ่ายทุกวันอาทิตย์ เดี๋ยวพี่จะให้เลขที่บัญชีเราไว้อีกที อ๋อแล้วตรงข้างๆห้องพี่จะเป็นห้องน้ำอีกห้อง ซึ่งถ้าน้องจะต้องออกไปเรียนพร้อมกันก็มาใช้ห้องนี้ได้  ในห้องนี้จะมีเครื่องซักผ้า และเครื่องอบผ้าด้วย เครื่องซักผ้าใช้ได้ปกตินะครับ แต่เครื่องอบผ้าใช้ไม่ได้ครับ” หนุ่มหัวหยองพูดพร้อมชี้ไปที่ห้องเขาและห้องน้ำข้างๆห้องตามลำดับ

   “ที่ใช้ไม่ได้เพราะมันกินไฟเหรอครับพี่”ธันถามขึ้นทันทีหลังหนุ่มตัวผอมพูดจบ

   “อ๋อมันเสียน่ะครับ แล้วค่าซ่อมมันแพงพี่เลยไม่ได้เอาไปซ่อม”หนุ่มหัวหยองตอบกลับพร้อมขำแห้งๆ

   “อ๋อ คุยกันมาตั้งนานยังไม่ได้แนะนำตัวเลย พี่ชื่อพี่อ้นนะครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วย”หนุ่มอ้นพูดจบพร้อมเอามือเสยผมขึ้นพร้อมขยิบตาให้ทั้งคู่

   “ผมชื่อแบมบูครับพี่ เป็นคน แมนๆชอบเตะบอลครับ แถวนี้มีสนามไหนก็ชวนได้นะครับผม ส่วนนี้พี่ธันครับ ไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ”หนุ่มแบมบูก้าวเท้าออกมาข้างหน้าพร้อมแนะนำตัวเองและหนุ่มธันอย่างเสร็จสรรพ

   หลังจากพูดคุยสอบถามเรื่องของป้ายรถประจำทางและห้างสรรพสินค้าใกล้ๆที่พักเสร็จ ก็เป็นฝ่ายหนุ่มอ้นที่ขอตัวไปนอนต่อ ทั้งๆที่เวลาก็เลยบ่ายคล้อยมามากแล้ว และเมื่อประตูห้องของทั้งคู่ปิดลง ธันก็เป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้นทันที

   “นี่แกไปหาห้องจากไหนเนี่ย ทำไมสภาพห้องมันเป็นแบบนี้ ถ้าไม่บอกว่ามีคนอยู่นี่คิดว่ากำลังเดินเข้าบ้านผีสิงอยู่นะ สภาพห้องก็รกยังกับกองขยะ อยู่ไปได้ยังไงวะ”หนุ่มธันพูดร่ายยาวก่อนจะจบประโยคด้วยการถอนหายใจเฮือกใหญ่

   “แหม่ มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรือเปล่า แค่มันรกเฉยๆเดี๋ยวช่วยกันทำความสะอาดก็ดีขึ้น อีกอย่างห้องมันก็ใกล้โรงเรียนเราด้วย เดินไปได้ไม่ต้องเสียค่ารถ เธอจะได้เอาเงินส่วนนี้ไปทำอย่างอื่นได้ไง” หนุ่มแบมบูพูดอย่างรู้ทัน เพราะเขารู้จุดอ่อนของธันเป็นอย่างดีว่ามีนิสัยประหยัดขนาดไหน

   “เออ ประหยัดได้มันก็ดี แต่ฉันถามแกหน่อยเหอะ ทำไมแกต้องแอ๊บแมนด้วย นี่แกอย่าบอกนะว่าไอ้พี่อ้นอะไรเนี่ย เขาไม่รู้ว่าเราสองคนเป็นเกย์อะ”หนุ่มผิวแทนถามหนุ่มตัวกลมด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เพราะหากหนุ่มหัวหยองเป็นพวกต่อต้านเกย์หัวรุนแรง พวกเขาทั้งคู่คงต้องระเห็ดออกจากห้องตั้งแต่วันแรกเป็นแน่

   “เออ อันนั้นก็ไม่รู้อะ แต่ว่าถ้าทำตัวแมนๆก็น่าจะเข้าถึงได้ง่ายกว่าปะ”หนุ่มตัวกลมที่ยืนนานชักจะเมื่อยเลยลงไปนั่งบนเตียงก่อนจะตอบคำถาม หนุ่มตัวเล็ก

   “นี่แกอย่าบอกนะ ว่าแกจองห้องนี้เพราะผู้ชาย อะหะ”หนุ่มธันเผลอตะโกนออกมาอย่างลืมตัว

   “”เบาๆ เดี๋ยวพี่เขาได้ยินหรอก คือนี่ก็ลองค้นข้อมูลดูว่าจะหาที่พักในออสเตรเลียได้ยังไงบ้าง แล้วก็ไปเจอมาว่าส่วนใหญ่เขาจะไปแชร์ห้องกับคนอื่น บางห้องก็อยู่กันเองแค่คนเช่าบางห้องเจ้าของห้องก็อยู่ด้วย แต่ประเด็นคือนี่ลองไปหาห้องที่เว็บ Flatmate ตามที่พี่ๆส่วนใหญ่ที่เขาอยู่ใที่นี้เขาแนะนำมา แล้วเว็บเนี่ยมันมีหน้าเจ้าของห้องแปะไว้ให้เราดูด้วย แล้วก็เผอิญไปเห็นหน้าพี่อ้น เอ้ย เผอิญไปเห็นห้องนี้มันอยู่ในทำเลดี เลยติดต่อขอเข้ามาอยู่กับพี่เขาไง” แบมบูพูดไปก็บิดตัวไปมา ด้วยความเขิลอายเหมือนสาวน้อยแรกรุ่นเพิ่งพบกับความรักเป็นครั้งแรก

   “อะไรของแก ตาพี่อ้นเนี่ยนะ หน้ายังกับโจรชอบไปได้ไงวะ”หนุ่มธันพูดพร้อมพ่นลมหายใจแรงๆออกมาผ่านจมูก

   “ถึงพี่เขาจะเป็นโจร ก็เป็นโจรปล้นใจนะ”หนุ่มแบมบูยังคงบิดไปบิดมา พร้อมพูดประโยคดังกล่าวอย่างเขิลอาย

   “โจรปล้นใจกะผีอะสิ โจรปล้นจริงนี่แหละ”หนุ่มธันพูดขึ้นพร้อมทำตาเหลือกขึ้นข้างบน อย่างอดไม่ได้

   “ตบปากสิบครั้ง ปฏิบัติ! โจรเจิรอะไร หน้าพี่เขายังกับพระเอกเกาหลี พูดอะไรให้เกียรติว่าที่สามีในอนาคตน้องด้วย”แบมบู กระเด้งตัวขึ้นจากเตียงและพูดออกโรงปกป้องหนุ่ทเจ้าของห้องอย่างสุดฤทธิ์

   แต่ก่อนที่ทั้งสองคนจะตีกันไปมากกว่านี้ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นขัดจังหวะซะก่อน ซึ่งมันจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากหนุ่มเจ้าของห้องผู้ซึ่งหอบเอาผ้าห่มมาให้ถึงสองผืนใหญ่

   “เผอิญพี่ลืมเอาผ้าห่มมาให้เราน่ะ ออสเตรเลียถึงตอนกลางวันจะร้อนแต่ตอนกลางคืนมันหนาวสุดๆเลยนะ อะรับไปสิ”หนุ่มตัวผอมยื่นผ้าห่มมาให้เขาทั้งคู่ ซึ่งหนุ่มตัวกลมก็รีบคว้ามาไว้ในอ้อมแขนของตนพร้อมกับพูดขอบคุณเสียงหวาน ส่วนหนุ่มตัวเล็กที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ได้แต่หันหน้าเข้ากำแพงอย่างไม่สนใจใยดีกับการมาถึงของเจ้าของห้อง แต่ก่อนที่หนุ่มหัวหยองจะเดินกลับเข้าห้องไปเขาก็ได้พูดอะไรบางอย่างที่ทำให้หนุ่มธันต้องรีบหันหน้ากลับไปมอง

   “คือ ที่ออสเตรเลียเนี่ยนะครับเขาจะใช้วัสดุออกแบบภายใน ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พี่อยู่นี่มา สี่ ห้าปี ย้ายมาหลายที่แล้ว ทั้งห้องใหญ่ ห้องเล็ก บางที่ประตูภายในห้องก็ล็อคได้ บางที่ก็ล็อคไม่ได้ต้องคอยมานั่งระวังข้าวของ แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันทุกห้องทุกที่เลยคือ ผนังห้องจะบางมาก ถ้าอยู่ห้องติดกันพูดอะไรนิดหน่อยก็ได้ยินหมดแล้วนะครับ” หนุ่มตัวสูงพูดโดยที่ไม่ได้หันมามองเขาทั้งคู่ก่อนจะเดินหายลับเข้าห้องไปทิ้งให้คนผิวแทนและแบมบูยืนตัวแข็งตาตั้งเหมือนคนเห็นผีตอนกลางวันแสกๆ
หัวข้อ: When love travel เมื่อรักบังเอิญ ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 24-05-2020 09:11:47
หลังจากตั้งสติอยู่พักใหญ๋เขาทั้งสองคนก็รีบหยิบกุญแจและเดินหนีออกจากห้องมาหาซื้อวัตถุดิบเพื่อที่จะทำกับข้าวในตอนเย็นและเช้าวันถัดไป พร้อมทั้งจะหาซื้อชุดอุปกรณ์ทำความสะอาดที่ซุปเปอร์มาเก็ต Woolworths ใกล้บ้านตามที่หนุ่มหัวหยองแนะนำไว้

   ซุปเปอร์มาเก็ต Woolworths จะมีสัญลักษณ์เป็นรูปตัว W สีเขียวโดยรูปทรงจะคล้ายฟักทองลูกใหญ่ๆ การตกแต่งภายในจะเป็นการตกแต่งอย่างง่ายๆไม่มีอะไรหวือหวาเหมือนห้างที่ประเทศไทย แต่จะเน้นหนักในเรื่องความปลอดภัย และ คุณภาพของอาหารซะมากกว่า พื้นที่เดินภายในก็เป็นพื้นยางกันลื่นสำหรับผู้สูงอายุ ส่วนโซนของที่ต่างประเภทกันก็จะมีป้ายกำกับตัวใหญ่ๆไว้ชัดเจนทำให้สามารถเดินหาของที่ต้องการได้ในเวลาอันรวดเร็ว หนำซ้ำยังมีพนักงานกระจายอยู่ในทุกจุด เพื่อคอยให้ความช่วยเหลือลูกค้าและเฝ้าระวังการขโมยของต่างๆด้วย

   “ทำอะไรง่ายๆกินละกันเนาะ พวกกะเพรา ผัดพริกแกงอะไรแบบเนี้ย”ธันพูดขึ้นระหว่างกำลังเดินหาใบกะเพรา ที่โซนผักและผลไม้

   “เอ่อ น้องว่าพวกไก่ทอด หมูทอดก็ดีนะ นี่ไม่ค่อยกินผักอะ”แบมบูพูดขัดคอขึ้นทันทีหลังจากได้ฟังเมนูอาหารที่ธันเสนอ

   “แกนี่นะ เข้าคอนเซปเด็กอ้วนเลยนะ กินแต่ของทอดๆมัน แล้วก็มาบ่นว่าอยากผอม” ธันบ่นอย่างไม่จริงจัง ขณะสอดส่ายสายตามองหาผักที่เขาต้องการ

   “อะไร บูลลี่อ๋อ อ้วนแล้วมันยังไงอ้วนแล้วขาหนีบน้องไปเบียดตรงง่ามขาพี่เหรอ อีกอย่างนะคนที่กินของหวานเป็นประจำอย่างพี่ไม่มีสิทธิ์มาว่าน้องเรื่องของทอด พี่ก็แค่โชคดีที่กินแล้วไม่อ้วนปะ”แบมบูพูดด้วยน้ำเสียงกระแหนะกระแหนสุดฤทธิ์ เนื่องจากเขาไม่ชอบให้ใครมาวิจารณ์ลักษณะการกินของเขาเท่าไหร่นัก

   “เฮ้ย 3 ก้านตั้ง 5 เหรียญเลยอ๋อวะ ทำไมมันแพงจัง แล้วอีกอย่าง นี่มันก็ใบโหระพาไม่ใช่เหรอทำไมเขียนว่า Thai Basil ละ”ธันพูดขึ้นอย่างตกใจหลังจากหยิบกล่องพลาสติกที่ภายในบรรจุโหระพาอยู่สามก้านขึ้นมาดูราคา

   “อย่าหาว่าน้องสอนเลยนะคะ Basil เนี่ยเขาก็ใช้เรียกพืชตระกูลนี้หมดละคะ Thai Basil Sweet basil คือโหระพา ส่วน กะเพราเนี่ยเขาเรียก Holy Basil คะแต่จริงๆที่นี้เขาไม่นิยมกินใบกะเพราะกันกลิ่นมันแรง ฝรั่งไม่ชอบ แล้วก็ที่เนี่ยเขาให้ราคากับพวกผักมากไม่เหมือนบ้านเราที่ผักจะราคาถูกยังกะได้ฟรี ดังนั้นผักกับเนื้อที่นี่ราคาจะไม่ต่างกันเท่าไหร่ ผัก 5 เหรียณเนื้อหมูครึ่งโล 8 เหรียญ เป็นเรื่องปกติจ้ะ น้องเรียนมาสูงเชื่อน้อง” แบมบูพูดอธิบายอย่างเนิบๆช้าๆด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจที่ตนได้ศึกษาข้อมูลมาอย่างละเอียดก่อนเดินทาง

   “เรียนบนกิ่งไม้เหรอที่ว่าสูงน่ะ เออ ยังงั้นก็ทำพวกหมูทอด ไก่ทอด ไข่ทอดไปก่อนละกัน เพราะเดี๋ยวต้องซื้อพวกซอสปรุงรส น้ำมัน ไหนจะน้ำยาซักผ้าน้ำยาล้างห้องน้ำอีก จ่ายหนักๆทีเดียวเห็นบิลแล้วใจมันหวิวว่ะ” หลังจากเห็นราคาผัก ธันก็ตัดสินใจที่จะทำอาหารประเภททอดๆแทนไปก่อนเพราะทำใจไม่ได้ที่จะซื้อผักในราคาใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์

   “โหอะไรกัน ขนาดถุงพลาสติดยังต้องซื้ออีกเหรอ ไม่มีแจกฟรีเหรอ” ธันพูดบ่นอย่างต่อเนื่องหลังจากซื้อของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยและเมื่อมาถึงขั้นตอนการชำระเงินก็พบว่าเขาต้องจ่ายเงินค่าถุงพลาสติกสำหรับใส่ของด้วย

   “เอาน่ามันก็แค่ 15 เซนเองไหมถ้าไม่อยากจ่ายค่าถุงพลาสติกทีหลังก็เอาถุงผ้ามาใส่สิ Save world save money อะ You know?” แบมบูพูดด้วยความเหนื่อยหน่ายกับความเค็มของหนุ่มตัวเล็กก่อนที่จะได้รางวัลตอบแทนความดีเป็นค้อนเล็กๆหนึ่งวง

   เมื่อกลับมาถึงห้อง ธัน และหนุ่มตัวกลมก็ไม่เห็นวี่แววของพี่อ้น ซึ่งนั่นทำให้เขาทั้งคู่โล่งใจเพราะ ณ ตอนนี้พวกเขาก็ไม่รู้จะทำหน้ายังไงเหมือนกัน หลังจากได้รู้กลายๆว่าทุกคำพูดที่เขาพูดกันในห้องส่วนตัวนั้นเจ้าของห้องก็น่าจะได้ยินด้วยเช่นกัน หนุ่มตัวกลมน่ะไม่เท่าไหร่ แต่เขานี่สิด่าไม่ซ้ำกันเลย ไม่รู้ว่าหนุ่มหัวหยองจะเกลียดเขาตั้งแต่วันแรกเลยหรือเปล่านะ

   มื้อเย็นวันนั้นพวกเขาทั้งคู่ได้กินข้าวหมูทอดกระเทียม และเนื่องจากธันกะปริมาณของหมูและข้าวไม่ถูก พวกเขาจึงเหลือหมูและข้าวเยอะพอสมควรที่จะเป็นอาหารเช้าของเขาทั้งคู่ได้ ดังนั้นพวกเขาจีงเอากล่องพลาสติกที่พวกเขาหาเจอบนชั้นเก็บของโดยบังเอิญ มาใส่และแช่เก็บไว้ในตู้เย็น นอกจากพวกเขาจะบังเอิญเจอกล่องพลาสติก พวกเขายังเจอไมโครเวฟอยู่ใต้อ่างล้างจานอีกด้วย และนั่นยิ่งตอกย้ำความรู้สึกธันว่าตาเจ้าของห้องต้องไม่ใช่คนปกติดีแน่ๆ

   หลังจากมื้ออาหารเย็น พวกเขาทั้งคู่ก็ลงมือทำความสะอาดห้องเล็กๆน้อย ก่อนจะต่อคิวอาบน้ำกันโดยหนุ่มตัวเล็กเสียสละให้หนุ่มตัวกลมอาบน้ำก่อน เพราะตัวเขาอาบน้ำค่อนข้างนาน

   “โอ้ย ทำไมกรนเสียงดังจัง นอนไม่หลับเลยเนี่ย”หนุ่มธันผุดลุกผุดนั่งขึ้นมากลางดึกหลังจากทนฟังเสียงกรนของหนุ่มตัวกลมอยู่นานสองนาน แต่ก็ไม่มีทีท่าว่า แบมบูจะหยุดกรนสักที บวกกับอากาศในห้องค่อนข้างร้อนอบอ้าวเขาจึงตัดสินใจลงมายังชั้นล่างเพื่อหาน้ำเย็นกิน ระหว่างกินน้ำ ธันก็เหลือบมองออกไปตรงระเบียงแล้วก็พบว่า ดาวในเมืองนี้ช่างดูสว่างสุกใสผิดกับกรุงเทพมหานครเมืองของเขาเป็นอย่างมาก ทั้งๆที่เป็นเมืองใหญ่เหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงอยากจะเข้าไปชมความงามให้ใกล้กว่านี้อีกหน่อย และสงสัยว่าเท้าจะไวกว่าความคิดเพราะไม่กี่อึดใจต่อมาตัวเขาก็มาโผล่อยู่ที่กลางระเบียงเรียบร้อยแล้ว หลังจากแหงนมองดาวอยู่ชั่วครูขาก็ต้องขนลุกเกรียวเนื่องจากพึ่งจะรู้สึกตัวว่าไม่ได้มีเขาแค่คนเดียวที่อยู่ตรงลานด้านนอก

   “ชอบดูดาวเหมือนกันเหรอครับ”หนุ่มอ้นผู้ออกมาสูบบุหรี่ เป็นฝ่ายทักขึ้นก่อน

   “ก็ไม่ค่อยได้ดูหรอกครับ เพราะตอนอยู่ที่กรุงเทพ ธันอยู่คอนโดน่ะครับ แล้วแสงไฟจากตึกมันก็สว่างไปหมด เลยมองไม่เห็นดาว พอมาอยู่ที่นี้ทั้งๆที่มันก็มีตึกเยอะเหมือนกัน อีกอย่างห้องนี้ก็อยู่ใจกลางเมืองแต่แปลกที่เห็นดาวชัดขนาดนี้เลยอดไม่ได้ที่จะออกมาชมเขาหน่อยอะครับ” ธันพูดขึ้นอย่างไม่เต็มเสียงเนื่องจากมีอาการเกร็งนิดหน่อยจากเหตุการณืเมื่อช่วงบ่าย

   “เอ่อ... พี่อ้นครับ ธันต้องขอโทษเรื่องวันนี้ด้วยนะครับ ที่พูดจาไม่ดีออกไป หวังว่าพี่จะไม่โกรธนะครับ” หนุมผิวแทนหลบตาต่ำลงมองพื้น และพูดประโยคข้างต้นด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ

   “ขอโทษอันไหนดีละครับ ที่ว่าห้องพี่สกปรก หรือว่าที่พี่หน้าเหมือนโจร”หนุ่มผิวขาวพ่นควันบุหรี่สายใหญ่ ก่อนจะตอบคำถามด้วยคำถามอีกที

   “ที่ว่าพี่หน้าเหมือนโจรอะครับ จริงๆแล้วธันก็ไม่ได้คิดแบบนั้น แค่หมั่นไส้เจ้าแบมบูที่ดูเหมือนจะปลื้มพี่เกินเหตุ แต่เรื่องห้องรกธันไม่ขอโทษนะครับ เพราะห้องพี่รกจริง ซึ่งพี่ก็ควรทำความสะอาดสักหน่อยก่อนจะปล่อยห้องให้คนอื่นมาแบ่งเช่านะครับ” ธันหลบตาพี่อ้นทันทีหลังจากพูดจบประโยค เพราะถึงเขาจะรู้ว่าความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่คนพูดความจริงตายมานัดต่อนัดแล้ว

   “เรานี่ตรงดีว่ะ พี่ชอบ เออเดี๋ยวพรุ่งนี้พี่เลิกงานแล้วเดี๋ยวพี่เก็บห้องให้ จะเอาให้สะอาดเลยครับผม”พี่อ้นพูดขึ้นพร้อมขยิบตาให้หนุ่มตัวเล็กหนึ่งที ซึ่งนั่นทำให้ธันหลุดขำออกมาจนได้ หลังจากพูดคุยกันอีกเล็กน้อย ธันก็ขอตัวขึ้นนอนเนื่องจากพรุ่งนี้เขามีเรียนเช้ากลัวจะตื่นไม่ไหว

   เช้าวันต่อมาจะด้วยเหตุอันใดไม่ทราบทำให้เขาทั้งคู่ลืมตั้งนาฬิกาปลุกและอีกเพียงสิบห้านาทีงานปฐมนิเทศจะเริ่มแล้ว นั่นทำให้หนุ่มทั้งสองทำได้แค่เพียงแปรงฟันล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนที่จะวิ่งหน้าตั้งจากตึกที่เขาพักอาศัยไปยังโรงเรียนสอนภาษา Brose ซึ่งเป็นที่ๆพวกเขาจะต้องเรียนกันไปอีกอย่างน้อย ครึ่งปี โชคดีที่พวกเขาไม่ลืมหยิบข้าวหมูทอดกระเทียมติดมาด้วยแต่โชคร้ายหน่อยที่อาหารมื้อเช้าของพวกเขาจะต้องเปลี่ยนมาเป็นมื้อกลางวันแทน ตลอดสองข้างทางเดินของพวกเขานั้นมีต้นไม้ใหญ่อยู่ตลอดแนว นั่นทำให้พวกเขามีร่มเงาไว้คอยบังแดดอยู่บ้างในวันที่ร้อนอบอ่าวเช่นนี้ หน้าตึกทางเข้าโรงเรียนมีต้นไม้ขนาดย่อมกระจัดกระจายอยู่สี่ห้าต้น ดอกของมันเป็นพวงสีเหลืองทองอร่าม เกสรนั้นมีขนาดยาวกว่าตัวดอกไม้ประมาณ 2 ถึง สามเท่า แต่ก่อนที่เขาจะเก็บรายละเอียดได้มากกว่านี้นาฬิกาเจ้ากรรมก็ดันโชว์เวลาขึ้นมาว่าเขาเหลือเวลาอีกเพียงสามนาทีก่อนที่งานจะเริ่ม ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องวิ่งเข้าไปในตัวตึก และสอดส่ายสายตาหาลิฟท์ตัวที่ใกล้ที่สุดก่อนเวลาจะหมด โชคดีในความโชคร้ายเพราะว่าลิฟท์ตัวที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากเขาเพียงแค่สิบเก้าแต่ลิฟท์ตัวนั้นก็กำลังจะปิดเหมือนกัน

   “Excuse me”(ขอโทษครับ) หนุ่มธันตะโกนสุดเสียงก่อนจะกึ่งลากกึ่งจูงหนุ่มตัวกลมที่หอบแฮ่กๆอยู่ด้านข้างไปยังลิฟท์ตัวนั้น

   โชคดีที่ใครบ้างคนกดเปิดลิฟท์ให้เขาทั้งคู่ และจังหวะที่ลิฟท์เปิดเผยให้เห็นคนที่อยู่ด้านในนั้นเขาก็ต้องชะงักเล็กน้อย เพราะหน้าของคนที่กดเปิดลิฟท้ให้พวกเขานั้นเป็นใบหน้าเดียวกันกับที่นั่งข้างเขาบนเครื่องบิน

   “You again” (นายอีกแล้วเหรอ) หนุ่มธันพูดพร้อมชี้นิ้วเข้าไปในลิฟท์อย่างลืมตัว

   “Ce sont mes mots” (คำนั้นฉันควรเป็นคนพูดมากกว่านะ) หนุ่มตาสีฟ้าพูดตอบกลับมาด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย

   แจ็คพอร์ตแตก
หัวข้อ: Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.5
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-05-2020 00:23:06
 :3123:
หัวข้อ: When love travel เมื่อรักเดินทาง ความรัก ความคิดถึง และเวลา ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 25-05-2020 21:04:36
   มันมีทฤษฏีหนึ่ง ที่บอกเอาไว้ว่าถ้าเราจ้องตาใครสักคนเกิน 8 วินาที จะสามารถตกหลุมรักคนๆนั้นได้ แล้วถ้าหากคนนั้นเป็นคนที่เราไม่ชอบหน้าตั้งแต่แรกพบละ เราจะเปลี่ยนจากความเกลียดมาเป็นความชอบได้ภายใน 8 วินาทีจริงๆน่ะเหรอ

   ณ เวลานี้ต่างฝ่ายต่างจ้องหน้ากันอย่างไม่ลดละไม่มีใครยอมถอยให้ใคร หากเปรียบเทียบเป็นมวย ฝ่ายหนึ่งก็สามารถตั้งกาดและหลบได้เป็นอย่างดี ส่วนอีกฝ่ายก็ฮุกซ้ายฮุกขวาอย่างไม่ยอมเหน็ดเหนื่อย บางจังหวะก็มีโยกตัวหลอกล่อและพยายามหาทางสวนกลับด้วยศอกและเข่าหากมีโอกาส ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นแค่เพียง 8 วินาที แต่เป็น 8 วินาทีที่ช่างยาวนาน โดยไม่มีคำพูดใดหลุดรอดออกมาจากปากของทั้งคู่มีแต่เพียงเสียงแห่งความเงียบ เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองอย่างชัดเจน จนกระทั่งเสียงของใครบางคนดังขึ้นมาทำลายความเงียบนั้นลง

   “อ้าว จะแข่งจ้องตาชิงแชมป์กันมั้ง ถ้าไม่ขึ้นก็หลบนะคะ คนสวยจะเข้าค่ะ นี่ก็อีกคนชิดในหน่อยค่า พ่อทำสัมปทานลิฟท์ไว้เหรอคะ Can you move please” (หลบหน่อยคะ) หลังจากยืนจ้องทั้งคู่มองตากันอยู่นานสองนานจนลิฟท์ร้องเตือนขึ้นมา แบมบูจึงอดรนทนไม่ไหว ต้องดันตัวคนอายุมากกว่าเข้าลิฟท์ไป พร้อมทั้งตะโกนบอกให้คนข้างในถอยหลังไปหน่อย หากไม่อยากโดนชนกระเด็น เพราะหากเราเปรียบเทียบกันจากขนาดตัวแล้ว แบมบูยังเป็นต่ออยู่มากหากเราเทียบกันในแนวขวางไม่ใช่แนวตั้ง

   “Second floor please”หนุ่มผิวแทนพูดขึ้นมาหลังจากที่คนตรงหน้าปุ่มกดลิฟท์ไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยปากถามแต่ประการใด แต่ถึงจะพูดออกไปด้วยเสียงอันดังและชัดถ้อยชัดคำ คนตาฟ้าก็ยังไม่มีท่าทีจะกดปุ่มให้จนคนตัวเล็กต้องยื่นมือไปกดปุ่มนั้นด้วยตัวของเขาเองพร้อมกับหันหน้าไปจ้องคนตัวสูงอย่างหาเรื่อง

   ซึ่งหนุ่มตาฟ้าก็หันกลับมามองหน้าหนุ่มตัวเล็ก เล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปพร้อมทำเสียง หึ ในลำคอเบาๆ และนั่นก็เกือบจะทำให้เขาได้วางมวยกันแล้วถ้าเสียงแจ้งเตือนว่าลิฟท์มาถึงยังยังจุดหมายไม่ดังขึ้นมาซะก่อน

   “เออ ไปๆแยกๆ ไปติดต่อธุระก่อนค่ะ อย่าเพิ่งตีกับเขาตอนนี้ น้องยังไม่อยากโดนส่งตัวกลับตั้งแต่อาทิตย์แรก” แบมบูจับมือธันออกมาจาก ลิฟท์ตรงไปที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ ถึงกระนั้นหนุ่มธันก็ยังจ้องหนุ่มตาฟ้าอย่างไม่ลดละ จนกระทั่งลิฟท์ปิดไป หนุ่มธันจึงค่อยหันมาสนใจพนักงานประชาสัมพันธ์ตรงหน้า

   “Hello guy, my name is Jenny and you should be a new student right? Can I have your passport please?” (สวัสดีจ้ะ พี่ชื่อเจนนี่นะ พวกน้องเป็นนักเรียนใหม่ใช่ไหม ยังไงขอหนังสือเดินทางด้วยนะ) พนักงานสาวหน้าตาออกไปทางเอเชีย พูดพร้อมส่งยิ้มน้อยๆมาให้พวกเขาทั้งคู่ และแม้หนุ่มผิวแทนจะมีรสนิยมชอบผู้ชาย แต่ก็แอบมีเคลิ้มอยู่เล็กๆเหมือนกัน เพราะเขาไม่เคยจ้องหน้าคนสวยระดับ เจนนี่ แบบใกล้ขนาดนี้มาก่อน

   หลังจากค้นหาหนังสือเดินทางในกระเป๋าอยู่ชั่วครู่ หนุ่มธันก็ยื่นหนังสือเดินทางที่ห่อหุ้มด้วยซองหนังสีน้ำตาลเรียบๆให้กับเจนนี่ ผิดกับหนุ่มตัวกลมที่ใส่ซองพลาสติกลายนักร้องเกาหลีที่กำลังดังอยู่ ในขณะนี้พร้อมด้วยพื้นหลังสีฉูดฉาด

   หลังจาก เจนนี่ตรวจสอบเลขหนังสือเดินทางในฐานข้อมูลอยู่สักครู่ ก็ส่งคืนหนังสือเดินทางให้พร้อมกับ คู่มือนักเรียนใหม่และขนม Tim tam เล็กๆคนละ  1 ห่อ แต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้คนตัวเล็กยิ้มแก้มปริกับขนมฟรีที่ได้รับแล้ว

   “Ok Guy, After this, we going to test how English is you and don’t think too much about the answer if you don’t know you can skip it we just want to know which level is suited to you..” (เอาละ เดี๋ยวหลังจากนี้จะมีการทดสอบระดับภาษาอังกฤษกันนะคะ แต่ว่าไม่ต้องกังวลอะไรถ้าข้อไหนทำไม่ได้ก็ให้ข้ามได้นะคะ ทางโรงเรียนแค่อยากจะรู้ว่าน้องๆควรจะเรียนระดับไหนแค่นั้นเองค่ะ) เจนนี่อธิบายพร้อมผายมือให้พวกเขาเดินตามเธอไปยังโซนคอมพิวเตอร์ที่อยู่ห่างจากจุดประชาสัมพันธ์ไม่มากนัก ภายในโซนคอมพิวเตอร์ จะแบ่งออกเป็นสองฝั่งชัดเจน ฝั่งซ้ายจะเป็นโต๊ะสีขาวสำหรับใช้วางคอมพิวเตอร์ซึ่งยาวสุดลูกหูลูกตา บนโต๊ะสีขาวก็จะเป็นคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่จากค่ายผลไม้ ซึ่งกะด้วยสายตาคร่าวๆน่าจะมีไม่ต่ำกว่า สี่ถึงห้าสิบเครื่อง ส่วนฝั่งขวาจะมีโต๊ะไม้โอ๊คตัวใหญ่หกถึงเจ็ดตัว ที่ขัดมันจนเห็นเงาสะท้อนได้อย่างชัดเจน และรอบๆโต๊ะก็มีเก้าอี้แบบพนักพิงบุผ้ากำมะหยี่สีฟ้าสดใส ซึ่งการจัดวางโต๊ะนั้นจะจัดวางสลับกับประตูทางเข้าห้องเรียนเรียนอย่างหลวมๆ ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าต่อให้เปิดประตูมาจนสุดแรง ก็ไม่น่าจะกระแทกกับคนที่นั่งอยู่แน่นอน

   “Could you sit on the left-hand site please we will start your test in 5 minutes and please make sure your computer is working as well.” (รบกวนน้องๆ ไปนั่งทางซ้ายมือด้วยคะ เราจะเริ่มทำการทดสอบกันในอีก 5 นาทีแล้ว และก็อย่าลืมดูคอมพิวเตอร์ด้วยว่าสามารถใช้งานได้อย่างปกติหรือเปล่า) เจนนี่พูดพร้อมชี้นิ้วไปยังคอมพิวเตอร์ที่ยังเหลือว่างอยู่เพียง สองตัว

   หลังจากที่หนุ่มผิวแทนมานั่งหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์และลองขยับเมาท์ดูก็พบว่า คอมพิวเตอร์เปิดอยู่ในหน้าแบบทดสอบแล้ว หลังจากอ่านข้อสอบข้อแรกและชำเลืองมองหน้าจอของแบมบูและหนุ่มชาวเอเชียที่นั่งอีกข้างแล้วก็พบว่าข้อสอบที่ได้มาเป็นคนละชุดกัน ดังนั้นจึงหมดสิทธิ์ที่จะใช้วิชาคอยืดคอยาวที่อุตส่าห์ร่ำเรียนจนเป็นระดับปรมจารย์จากไทย

   “แกรมม่าตัวนี้มันมีด้วยเหรอวะ ทำไมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย มั่วละกันวะ”หนุ่มธันพึมพำในใจกับตัวเองหลังจากทำข้อสอบไปได้สักพักแล้วพบว่าระดับข้อสอบนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาคิดเลย

   หลังจากทำข้อสอบเสร็จไม่ทันถึง 10 วินาทีหน้าจอของหนุ่มตัวเล็กก็ดับลงทำให้หนุ่มธันเผลอหลุดอุทานด้วยความตกใจเพราะคิดว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของเขามีปัญหาและเขาอาจจะต้องทำการทดสอบใหม่หรือหนักกว่านั้น เขาอาจจะต้องไปเรียนยังระดับหนึ่งเลยก็เป็นได้ แต่โชคดีที่เจนนี่อยู่แถวนั้นพอดีและเมื่อเธอเห็นอาการของหนุ่มผิวแทนแล้วก็ต้องอมยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า

   “That ok don’t worry when the computer is turned down it means your time is up and we will tell your score in the afternoon after speaking test and city tour.” (ไม่ต้องตกใจนะคะ ถ้าหน้าจอดับหมายถึงเวลาหมดเฉยๆคะ แล้วเดี๋ยวคะแนนจะแจ้งให้ทราบช่วงบ่ายนะคะหลังจากทดสอบการพูดแล้วก็การพาชมเมืองน่ะคะ) เจนนี่ยิ้มอย่างใจดีก่อนจะเชิญเขาและแบมบูที่คอมพิวเตอร์ดับในเวลาไล่เลี่ยกันไปนั่งรอหน้าห้องหมายเลข 3 เพื่อรอทดสอบการพูดเป็นลำดับต่อไป

   หลังจากนั่งเตรียมใจได้ไม่ถึง 10 นาทีอาจารย์ที่นั่งอยู่ข้างในก็ตะโกนออกมาเชิญให้เขาทั้งคู่เข้าไปในห้องเพื่อทำการทดสอบ

   “Hello my name is Ben, I will test your speaking skill today, by the way, don’t be serious just relax and chill if you don’t understand or if I speak fast you can request me to repeat the question or speak slowly, Are you ready?” (สวัสดีผมชื่อ เบนนะ ผมจะเป็นคนทดสอบระดับการพูดของพวกคุณวันนี้แต่ไม่ต้องเครียดมาก ทำตัวสบายๆ แล้วถ้าไม่เข้าใจหรือถ้าผมพูดเร็วไป คุณสามารถบอกให้ผมทวนคำถามอีกทีได้หรือจะให้ผมพูดช้าลงหน่อยก็ได้นะครับ) ข้างในห้องทั้งคู่ก็ได้พบกับผู้ชายวันกลางคนรูปร่างผอมเพรียวใส่แว่นและตัดผมคล้ายๆทรงรองทรงยืนยิ้มรอจับมือทักทายกับเขาอยู่ แต่ไม่แน่ใจว่าคุณลุงคนนี้จะรอพวกเขานานเกินไปจนค่อนข้างหงุดหงิดหรือว่าเป็นธรรมเนียมของที่นี้คือต้องจับมือกระชับแนบแน่นและค่อนข้างหนักจนคนตัวเล็กต้องลอบถูมือกับหน้าขาหลังจากเบนดึงมือกลับเพื่อบรรเทาอาการเจ็บ

   “Ok, Let take a sit first” (เอาละนั่งก่อนนะครับ) เบนผายมือไปยังเก้าอี้สีขาวสองตัวที่อยู่หน้าโต๊ะทำงานของเขา เมื่อทั้งสองนั่งลงเรียบร้อย อาจารย์หนุ่มใหญ่ก็ไม่รีรอเริ่มบทสทนาทันที

   “Shall we start with your name first?” (เรามาเริ่มจากชื่อของพวกคุณกันก่อนดีไหม)  เบนยิ้มอบอุ่นพร้อมกับหยิบกระดาษและดินสอเล็กๆมาไว้ในมือเพื่อเตรียมจดโน็ตอะไรบางอย่าง และแม้เบนจะบอกให้หนุ่มผิวแทนไม่ต้องเกร็งแต่ในใจเขาก็รู้อยู่ดีว่าทุกคำพูดของเขามีผลต่อระดับที่เขาจะเรียนดังนั้นหากเขาได้ระดับที่ต่ำกว่าแบมบูมากๆ มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่

   “My name is Suchon but you can call me Thun” (ผมชื่อสุชลครับ แต่ว่าเรียกผมธันก็ได้) ธันพูดพร้อมกับยิ้มที่เขาคิดเอาเองในหัวว่ามันจะต้องดูสบายๆและแฝงด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมแน่ๆ ทั้งๆที่จริงๆแล้วปากของเขาสั่นจนเห็นได้ชัด

   “And my name is Nutthapon but you can call me Gorgeous” (ส่วนผมชื่อ ณัฐพลครับหรือจะเรียกว่าสุดสวยก็ไม่ติดนะ) แบมบูพูดพร้อมยิงมุขเล็กๆตบท้าย ซึ่งนั่นก็ทำให้เบนอดที่จะอมยิ้มไม่ได้

   “Gorgeous or Gorilla” (สุดสวนหรือกอลิล่ากันแน่) หนุ่มธันพูดพร้อมทั้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่เบนก็เอ่ยอะไรบางอย่างทันทีหลังธันพูดจบประโยค

   “Hey Thun, I don’t know about your country but in Australia that so rude. Can you say sorry?” (เฮ้ ธันฉันไม่แน่ใจนะว่าประเทศเธอเป็นยังไง แต่แบบนั้นน่ะในออสเตรเลียมันถือว่าเสียมารยาท ฉันว่าเธอควรพูดขอโทษนะ) ซึ่งหน้าตาที่ดูจริงจังของเบนอดที่จะทำให้ ธันหน้าเสียไม่ได้ ดังนั้นธันจึงพูดขอโทษออกมาทั้งๆที่ในใจก็ยังคิดว่าเป็นแค่การแซวกันเล็กๆน้อยๆเองทำไมถึงต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย

   “Sorry, Bamboo” (โทษทีนะแบมบู) ธันหันไปมองหน้าแบมบูที่ทำไหล่ยึกๆยักๆ ซึ่งหากเป็นเวลาปกติหนุ่มตัวเล็กต้องอดไม่ได้ที่จะต้องเอามือฟาดสักทีสองข้อหาหมั่นเคี้ยวไปแล้ว ยิ่งบวกกับหน้าตาผยองเพราะโดนถือหางนั่นอีกมันช่างน่าทุบนักเชียว

   “That ok, don’t worry” (ไม่เป็นไรจ้ะ) แบมบูพูดพร้อมหันหน้ามายิ้มปลอมๆให้หนึ่งที ก่อนที่จะแอบลอบพูดเบาๆว่า

   “ว้ายว้าย มีคนโดนดุว่ะ”แม้แบมบูจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ เบนก็ยังอุตส่าห์ได้ยิน

   “Here we don’t allow to speak in another language and if we hear you say that we will fine you 1 dollar per word but this time is ok but next time I have to do it. So, the next question is…” (ที่นี้เราไม่อนุญาตให้พูดภาษาอื่นนะและถ้าเราได้ยินเราจะปรับคำละเหรียญครั้งนี้ยังไม่เป็นไรแต่ครั้งหน้าผมคงต้องปรับนะ เอาคำถามต่อไป) เบนพูดประโยคข้างต้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและชี้ไปที่ป้ายด้านหลังที่เขียนกำกับว่า “English zone” (โซนภาษาอังกฤษ) ก่อนที่จะเริ่มคำถามต่อไปโดยที่สองหน่อของเราสันหลังเย็นวาบๆด้วยคิดไม่ถึงว่าที่นี้จะจริงจังขนาดนี้

   “Ok, that is my last question. Well done guy.” (โอเคอันนี้เป็นคำถามข้อสุดท้าย ทั้งคู่ทำดีมากครับ) เบนพูดก่อนจะพับกระดาษที่เขาใช้จดเขากระเป๋าเสื้อ

   “You will know your classroom number and your level after city tour until that time please enjoy your lunch break” (พวกคุณจะรู้หมายเลขห้องเรียนและระดับของคุณหลังจาก ทัวร์เที่ยวชมเมืองนะครับ แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นขอให้สนุกกับช่วงพักเบรคอาหารกลางวันนะ) เบนพูดช้าๆเนิบๆก่อนที่จะลุกขึ้นไปเปิดประตูให้ธันและแบมบู

   หนุ่มธันและหนุ่มแบมบูเดินโซซัดโซเซ ตรงไปยังลิฟท์ด้วยความหิวโหยเนื่องจากเมื่อเช้าเขาทั้งคู่ตื่นสายดังนั้นตลอดการทดสอบช่วงเช้า พวกเขาจึงยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยนอกจากน้ำเปล่าแค่คนละแก้ว หนุ่มธันว่าหน้าซีดแล้วหนุ่มแบมบูนี่ยิ่งซีดกว่าเหมือนคนน้ำตาลตกก็ไม่ปาน

   “Hey guy are you ok?” (พวกคุณโอเคไหม?) เจนนี่ที่นั่งอยู่ตรงประชาสัมพันธ์ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงเนื่องจากเด็กนักเรียนทุกคนอยู่ในความดูแลของเธอ ดังนั้นหากเด็กคนไหนเป็นอะไรไป เอเจนซี่ของเด็กนักเรียนคนนั้นเอาเธอตายแน่ ยิ่งเด็กนักเรียนไทยที่ เอเจนซี่ขึ้นชื่อในเรื่องของความเยอะและเรื่องมากสุดๆแล้วด้วยนั้น เธอยิ่งต้องดูแลเป็นพิเศษ

   “We are ok just hungry” (พวกเราไม่เป็นไรแค่หิวนิดหน่อยครับ) ทั้งคู่หันมายิ้มให้เจนนี่ แต่ก่อนที่เจนนี่จะพูดอะไรต่อลิฟท์ก็ดันมาซะก่อน และด้วยความหิวทั้งคู่จึงต้องพยายามแทรกเข้าไปในลิฟท์ทั้งๆที่ภายในจะแน่นจนเกือบเต็มแล้วก็ตาม

   “City tour will start at 1 o'clock, don’t be late” (ทัวร์ชมเมืองจะเริ่มเวลา บ่ายโมงตรง อย่ามาสายละ) เจนนี่ตะโกนเข้ามาในลิฟต์อย่างรวดเร็วก่อนที่ลิฟต์จะทันได้ปิดลง ซึ่งเธอเองก็ไม่แน่ใจว่าทั้งคู่จะฟังทันไหม แต่ยังไงซะก็ถือว่าเธอได้บอกแล้ว

   ด้วยที่ตั้งโรงเรียนเป็นย่านดาวทาวน์ของเมืองสองฝากฝั่งถนนจึงเรียงรายไปด้วยตึกขนาดย่อมๆ สองถึงสามชั้น เพื่อเป็นการรักษาทัศนวิสัย โดยตึกแต่ละตึกนั้นจะออกแบบให้ไปในทิศทางเดียวกันคือเป็นแบบสไตล์เรเนซอง หรือ อิตาเลี่ยนยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา แต่สีและรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของตัวตึกสามารถแตกต่างกันได้ ขึ้นอยู่กับว่าตึกนั้นๆออกแบบมาเพื่ออะไร เช่นเป็นตึกที่มีธนาคารมาเช่าก็จะมีสัญลักษณ์ของธนาคารแขวนอยู่บนตัวตึกพร้อมสีประจำของธนาคารนั้นๆ หรือหากเป็นร้านอาหารก็จะมีรูปส้อมกับมีดติดอยู่ด้านบนพร้อมกับชื่อและสัญลักษณ์ของร้านอยู่ด้านล่าง อย่างไรก็ดีแม้แต่ร้านเสื้อผ้าแฟชั่นเช่นแบรนด์ Zara H&M หรือแม้กระทั่ง Louis Vuitton ที่จะมีสไตล์การตกแต่งร้านในแนวของตัวเองค่อนข้างชัดเจน หากเราเคยเดินผ่านห้างใหญ่ๆในประเทศไทยเราก็คงจะแยกออกได้ในทันทีแม้ว่าจะยังไม่เห็นชื่อร้านด้วยซ้ำว่า นี่เป็นร้านของแบรนด์ใด แต่ที่นี้ร้านทุกร้านจะต้องตั้งอยู่ในกติกาเดียวกันคือ การคงไว้ซึ่งรูปแบบเดิม ซึ่งสิ่งที่ทางสภาเมืองอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงได้อย่างเดียวคือสีตึกและการเปลี่ยนจากผนังหินอ่อนมาเป็นผนังกระจกเพื่อโชว์สินค้าด้านในร้าน ดังนั้นหากร้านที่มีรูปแบบเสื้อผ้าใกล้เคียงกันมากๆ เช่น H&M กับ Zara ถ้าจะซื้อต้องดูชื่อร้านดีๆไม่เช่นนั้นคุณอาจจะได้ เสื้อ Zara ยี่ห้อ H&M มาก็ได้

   เมื่อทั้งคู่เดินออกมานอกตึกก็เริ่มสอดส่ายสายตามองดูร้านอาหารที่ใกล้โรงเรียนเป็นอย่างแรก

   “อะ ยังไง” ธันมองมาที่หนุ่มตัวกลมที่ยังไม่หยุดมองหาร้านของกิน

   “อะไรก็ได้ เลือกเลยคะ” ประโยคสุดคลาสสิคหลุดออกมาจากปากหนุ่มตัวกลม แต่ถึงจะพูดแบบนั้นสายตาก็ยังดูสอดส่ายหาร้านของกินรอบๆไม่หยุด

   “อะ งั้นไป Subway ละกันมึง กินเสร็จจะได้มีเวลาขึ้นไปพักผ่อน นี่แอบเห็นตรงแถวๆ โซนคอมพิวเตอร์มีโซฟา น่าจะเอาไว้งีบได้นะ” ธันพูดพร้อมชี้ไปยังร้านแซนด์วิชชื่อดังที่อยู่ถัดไปอีก 2 บล็อก

   “โอ้ย Subway กลับไปกินที่ไทยก็ได้ปะ มาถึงนี่ก็ต้องกินอะไรที่หากินที่ไทยไม่ได้ดิ” แบมบูที่น่าจะจำไม่ได้แล้วว่าเมื่อกี้พูดอะไรออกมา หันมาวีนใส่ คนผิวแทนที่ยืนอยู่ข้างๆ

   “หากินที่ไทยไม่ได้ งั้นกินเนื้อจิงโจ้ เนื้อโคอาล่าไหมละมึง” เป็นฝ่ายหนุ่มตัวเล็กหันมาวีนกลับบ้าง

   “เอาดีๆ เขาให้เวลาพักชั่วโมงเดียวช่วยคิดหน่อยดิว่าอะไรที่มันอร่อยๆ แล้วไม่ต้องเดินเยอะอะ เมื่อย อุ้ย” แบมบูจ้องหน้าหนุ่มธัน พร้อมบ่นกระปอดประแปดก่อนที่จะหยุดพูดกลางอากาศแล้วเลื่อนระดับสายตาจากหน้าหนุ่มธันเป็นใครสักคนด้านหลัง พร้อมทั้งก้าวเท้าเดินตามหลังคนๆนั้นไป โดยไม่สนใจหนุ่มธันที่ตะโกนตามหลังมาเลย

   “นี่แก เรียกไม่หันนะ เดี๋ยวจะโดน”หนุ่มธันที่วิ่งไล่ตามคนตัวกลมที่มาหยุดยืนอยู่หน้าร้าน ซูชิ พูดขึ้นอย่างมีอารมณ์ เพราะหลังจากที่แบมบูเดินข้ามฝั่งถนนมาโดยไม่รอเขา และ พอเขาจะเดินตามไป สัญญาณไฟเจ้ากรรมก็ดันเปลี่ยนจากไฟเขียวเป็นไฟแดงซะอย่างนั้น ทำให้เขาต้องยืนรอสัญญาณไฟอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะข้ามมาได้ แต่โชคยังดีที่หนุ่มแบมบูนั้นเป็นคนที่สามารถมองเห็นมาได้แม้จะอยู่ไกล ด้วยสไตล์การแต่งตัวที่ผิดแปลกจากคนทั่วไป และถ้าจะพูดตามตรงก็เป็นเพราะขนาดตัวด้วยนั้นแหละ

   หนุ่มแบมบูหันขวับมาตามเสียงของหนุ่มธันที่ยืนอยู่ข้างหลังทันที พร้อมรอยยิ้มที่ดูเขิลอายแปลกๆ

   “เป็นอะไรวะ ทำไมยิ้มสยองแบบนั้นละ” หนุ่มธันถามขึ้นทันทีหลังจากได้เห็นรอยยิ้มของแบมบู

   “หนูว่าหนูเจอเนื้อคู่แล้วละ ไอ้ต้าวความรักอะ พี่รู้จักปะ” แบมบูยืนเขิลตัวบิดตัวงออยู่หน้าร้านซูชิ กลางจัตุรัสเมือง ซึ่งมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาอย่างขวักไขว้แต่ถึงจำนวนคนจะเยอะอย่างไรหนุ่มตัวกลมก็ไม่ได้ลดระดับการแสดงออกของตนลงเลย

   หนุ่มธันได้แต่ทำตามองบน พร้อมทั้งคิดอยู่ในใจว่า “ฉันมาทำอะไรที่นี้” แต่ทำได้ไม่นานก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเนื่องจากแบมบู อยู่ๆก็ร้องโวยวายขึ้นมาจนคนในร้านยังอดไม่ได้ที่จะชะโงกหน้ามามอง

   “อ้าว หายไปไหนแล้ว เนี่ยเมื่อกี้เขายังยืนอยู่ตรงนี้เลย เพราะพี่นั่นแหละ ชวนคุยเขาเลยเดินไปไหนแล้วไม่รู้ดูสิ” หนุ่มตัวกลมหันมาฟาดงวงฟาดงาใส่ หนุ่มผิวแทนเป็นชุด หลังจากการที่เขาหันมาคุยกับหนุ่มธันเพียงครู่ทำให้เขาต้องคลาดสายตากับหนุ่มในฝันของเขาไป

   “เออ ไปซื้อของกินก่อนไหม นี่จะหมดเวลาพักแล้วเนี่ยเรื่องบ้าผู้ชายอะไว้ก่อนเนาะ ตอนนี้หิว” หนุ่มธันพูดจบก็เดินเข้าไปยังหน้าเคาเตอร์ เพื่อเลือกซูชิมากินทันที ซึ่งหลังจากเลือกซูชิพร้อมจ่ายเงินเสร็จหนุ่มธันก็ต้องแปลกใจเล็กน้อย เพราะซูชิที่เขาได้ไม่ใช่ซูชิที่หั่นเป็นขนาดพอดีคำ แต่เขาได้ซูชิที่เป็นแท่งยาวออกมาทั้งดุ้นเลย ถ้าจินตนาการไม่ออก ก็เหมือนคุณเดินไปซื้อ ฟุตลองไบท์ ในเซเว่นโดยหวังว่าหลังจากชำระเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว พนักงานจะหั่นไส้กรอกให้คุณกินง่ายๆ แต่เปล่าเลยหลังจากจ่ายเงินเสร็จ พนักงานก็ส่งไส้กรอกที่ยาวเป็นศอกให้คุณไปกินเอาเอง
หัวข้อ: When love travel เมื่อรักเดินทาง ความรัก ความคิดถึง และเวลา ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 25-05-2020 21:05:30
           หลังจบพักกลางวัน นักเรียนใหม่ทุกคนก็มารวมตัวกันอยู่ที่หน้าลิฟท์ เพื่อที่จะไปเที่ยวชมเมืองในช่วงบ่าย ซึ่งรวมถึงสองหน่อของเราด้วยเหมือนกัน

      “เฮ้อ” หนุ่มแบมบูถอนหายใจเป็นรอบที่ล้าน หลังจากคลาดกับหนุ่มคนนั้น คนตัวกลมก็เอาแต่ถอนหายใจจนหนุ่มธันอดรำคาญไม่ได้ต้องพูดอะไรบางอย่างออกมา

   “Can you stop it and concentrate what jenny say” (ช่วยหยุดถอนหายใจแล้วตั้งใจฟังเจนนี่พูดหน่อยได้ไหม) หนุ่มธันหันไปพูดกับหนุ่มแบมบู เพราะทุกครั้งที่หนุ่มแบมบูหายใจเพื่อนที่อยู่รอบๆก็จะหันมามองเขาและแบมบูทีละคนสองคนเนื่องจากเจนนี่กำลังอธิบายถึงจุดแต่ละจุดที่เธอจะพาไป และบางคนก็ตั้งใจมากๆเนื่องจากภาษาของพวกเขาอาจจะยังไม่ดีนัก ดังนั้นการที่พวกเขาฟังไม่ทันสัก หนึ่ง คำหรือ หนึ่งประโยค พวกเขาอาจจะไม่เข้าบริบททั้งหมดไปเลยก็ได้

   “Ok, are you ready?” (พวกน้องๆพร้อมกันหรือยังจ๊ะ) เจนนี่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานชวนฟังอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ

   “If you are ready please take the elevator to the first floor and wait for me in front of the building” (ถ้าพร้อมแล้วก็กดลิฟท์ไปยังชั้นหนึ่งนะจ๊ะแล้วก็ไปรออยู่หน้าตึกนะเดี๋ยวพี่ตามไป) เจนนี่ไม่พูดเปล่าเธอกดปุ่มลิฟท์ให้ พร้อมกับเอามือกั้นลิฟท์หลังจากลิฟท์มาถึง เพื่อป้องกันลิฟต์จะไปหนีบนักเรียนใหม่ของเธอเข้า

    หลังจากที่ ธันและแบมบูเดินออกมารอที่หน้าตึกพร้อมกับกลุ่มเด็กใหม่บางส่วนได้ไม่นาน เจนนี่และเด็กใหม่กลุ่มสุดท้ายก็เดินตามมาสมทบ และจุดหมายแรกที่พวกเขาจะไปนั่นก็คือ บริษัททัวร์เล็กๆที่เป็นพาทเนอร์กับโรงเรียน อันมีชื่อว่า Grab and go

   เจนนี่พาพวกเขาเดินข้ามฝั่งถนนและตรงมายังจัตุรัสกลางเมือง ก่อนจะเลี้ยวซ้ายที่หัวมุมและเดินตรงไปอีกเล็กน้อยก็จะพบจุดหมายอยู่เยื้องๆกับร้านอาหารไทยที่มีชื่อว่า โภชนา

   “Hello Serena, How are you” (สวัสดีจ้ะ เซเรน่า เป็นไงบ้าง) เจนนี่เปิดประตูเข้าไปในร้านพร้อมพูดประโยคทักทายก่อนที่จะสวมกอดพนักงานงานในร้าน พร้อมทั้งจุ๊บแก้มสองข้างของเธอ อันเป็นการทักทายแบบปกติของที่นี้

   “Hello, Jenny glad to see you and this should be your new student right?” (ไงเจนนี่ ดีใจที่ได้เจอนะ และนี่ก็น่าจะเป็นนักเรียนใหม่ของเธอใช่ไหม) เซเลน่าตอบหลังจากผละออกจากออมกอดของเจนนี่ และหันมาชำเรืองมองผู้มาเยือนใหม่กว่า 20 ชีวิตที่มองทั้งคู่ด้วยสายตาแป๋วแหวว

   “My name is Serena and I am staff here, it is obvious right by my uniform and name tags” (ฉันชื่อ เซเรน่านะ เป็นสตาฟที่นี้ แต่ฉันว่ามันคงเห็นได้ชัดอยู่แล้วจากป้ายชื่อและชุดพนักงานที่ฉันสวมใส่อยู่)

   หลังจากแนะนำตัวและประวัติส่วนตัวพอสังเขป เธอก็เริ่มแนะนำสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจในเมืองบริสเบนเช่น สวนสัตว์ lone pine , Eat street พิพิธภัณฑ์ ควีนแลนด์ หรือสถาที่ ที่อยู่ห่างออกไปนิดหน่อยแต่สามารถเดินทางไปได้โดยรถเมลล์หรือรถไฟ เช่น Ocean world, Dream world, Sea world และ WB world ที่ตั้งอยู่ที่ Gold coast ซึ่งเธอยังจบบทสทนาด้วยการแจ้งว่า หากนักเรียนจาก Brose คนใดสนใจซื้อทัวร์กับบริษัทจะได้ส่วนลดถึง ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ในการซื้อทัวร์ครั้งแรกด้วย หรือหากใครสามารถพูดภาษาอังกฤษระดับที่สามารถสื่อสารได้ ก็สามารถมาฝากเรซูเม่ไว้ได้เผื่อว่าทางบริษัทต้องการพนักงาน part-time จะได้ติดต่อไป

   หลังจากจบจากบริษัททัวร์ เจนนี่ก็พาเดินไปยังร้านขายของชำ Asian supermarket , ร้านขายเครื่องเขียน office work และร้านขายยา และอาหารเสริม Chemist warehouse ก่อนจะมาจบลงยังหน้าหอนาฬิกาที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรง Queen street mall เจนนี่อธิบายว่านอกจากจะเป็นหอนาฬิกาที่ใช้บอกเวลากลางแล้วนั้น ภายในยังใช้เป็นศาลากลางของเมือง หอจดหมายเหตุของเมือง แถมช่วงเวลาเย็นๆเรายังสามารถขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกได้อีกด้วย ทว่า ช่วงเวลาที่ทุกคนมายืนอยู่หน้าหอนาฬิกานั้นยังคงเร็วเกินไปที่จะสามารถชมพระอาทิตย์ตกได้ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นทุกคนก็ยังคงจะได้ขึ้นไปข้างบนเพื่อชมทัศนียภาพของเมืองแทน เพราะหอนาฬิกาเป็นสิ่งปลูกสร้างเดียวในบริเวณนี้ที่ได้รับอนุญาตให้สร้างในระดับความสูงเกินกว่าตึกสิบชั้น ดังนั้นเมื่อเราขึ้นไปก็จะเห็นย่านดาวทาวน์ได้รอบด้าน

   “หูว สวยเนาะแก ดูตรงนั้นสิใช่ตึกเราป่าววะ” หนุ่มธันกระซิบถามหนุ่มแบมบู ที่ยืนชมวิวอยู่ข้างๆ

   “หลงอีกละ อันนี้มันทิศเหนือ บ้านเราอยู่ฝั่งตรงกันข้าม นี่ถ้าโลกนี้ไม่มีแอปที่ชื่อว่า Google map เธอจะไปไหนยังไงถูกเนี่ย”หนุ่มแบมบูตอบกลับแบบเอือมๆ

   “ก็ใช้ปากถามเอาไง อย่าจู้จี้ดิ แล้วก็มาถ่ายรูปให้ด้วย”หนุ่มธันแกล้งโมโหเพื่อดับความเขิล แต่ที่แบมบูพูดมาก็ถูกต้องเพราะหนุ่ม ผิวแทนมักจะหลงทางเป็นประจำและถึงแม้จะใช้ Google map บางทีเขาก็ยังหลงอยู่อันเนื่องมาจากว่า ทักษะการอ่านแผนที่ของเขานั้น ห่วยพอๆกันกับทักษะการจดจำเส้นทาง

   หลังจากเดินชมวิวทิวทัศน์และถ่ายรูปกันจนพอใจแล้ว ทั้งคู่ ก็เดินไปกดลิฟต์ลงชั้นล่างเนื่องจากตอนนี้ได้เวลากลับไปดูผลสอบที่โรงเรียนแล้ว

   แอด แอด หลังจากพวกเขาเข้าไปในลิฟต์ เสียงแจ้งว่าน้ำหนักเกินก็ดังขึ้น ซึ่งธันผู้อยู่หน้าสุดก็ต้องเป็นคนเสียสละออกไปรอลิฟต์ตัวใหม่ ปล่อยให้แบมบูและเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆลงไปก่อน ระหว่างรอลิฟต์ หนุ่มตัวเล็กก็ตัดสินใจเดินชมทิวทัศน์ของเมืองอีกรอบเพื่อบันทึกความทรงจำเอาไว้ เนื่องจากหากไม่ได้มากับโรงเรียนเขาต้องจ่ายค่าเข้าชมเป็นจำนวนเงินถึง 60 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (เรทปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 20.05 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์ ) ซึ่งคนรู้จักใช้เงินอย่างคนตัวเล็กคงไม่ยอมเสียแน่ๆ หลังจากเดินวนเกือบจะครบรอบเขาก็ต้องชะงักเล็กน้อยเนื่องจากเขาพบใครบางคนตรงหน้า คนที่ไม่น่าจะบังเอิญมาเจอกันได้บนนี้ คนที่ว่าคือคนตัวสูงพร้อมกับตาสีฟ้าซึ่งกำลังยืนเหม่อมองออกไปยังนอกกระจกอยู่

   “Hi” ธันทักขึ้นอย่างเสียไม่ได้ แต่คนหน้าเข้มก็เพียงแค่หันมามองก่อนจะหันกลับไปสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าต่อ โดยไม่สนใจที่จะเอ่ยทักทายกลับมา

   “อะไรวะ คนอุตส่าห์ทักไม่ยอมทักตอบ เสียมารยาทชะมัด หน้าตาก็ดีแต่มนุษย์สัมพันธ์แย่สุดๆ นี่เห็นว่าน่าจะเรียนอยู่ตึกเดียวกันหรอกนะ เลยทักน่ะ” หนุ่มผิวแทนบ่นพร้อมทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่ แต่คนที่ถูกบ่นก็ไม่ได้สนใจใยดี หนุ่มตัวเล็กจึงเลิกบ่นพร้อมหันหน้าออกไปยังกระจกเพื่อชมทิวทัศน์ภายนอกบ้าง และภาพตรงหน้าก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันกำลังไล่ระดับลงมายังหลังคาโบสถ์คาทอลิกสีแดงอิฐ ช่างน่าแปลกที่แม้หลังคาโบสถ์จะเก่าแล้วแต่เมื่อมันต้องกับแสงมันยังดูแวววับเหมือนทองแดงลนไฟ หลังชื่นชมได้เพียงครู่ เสียงสัญญาณลิฟท์ก็ดังขึ้น เขาทั้งสองคนหันหลังกลับไปมองก็พบเจ้าหน้าที่หน้าตายิ้มแย้มโบกมือมาให้ หนุ่มธันยิ้มตอบกลับพร้อมเดินตรงไปหาเจ้าหน้าที่โดยมีหนุ่มตัวสูงเดินตามมาติดๆ

   “ทำไมนานจังเลย นึกว่าหลับอยู่ข้างบนแล้วนะเนี่ย” หนุ่มตัวกลมทำหน้าบึ้งใส่หลังจากที่ต้องยืนรอหนุ่มตัวเล็กอยู่เกือบ ยี่สิบนาที

   “ทำไงได้ล่ะ ก็ลิฟต์มันมาช้านี่นา แกก็เห็นอยู่กว่ามันจะมาแต่ละที มันใช้เวลานานแค่ไหน”หนุ่มธันตอบกลับ

   “ใช่เหรอ นี่แอบเห็นคนที่ลงลิฟต์มาด้วยนะ สรุปสานสัมพันธ์ต่อจากบนเครื่องบินเหรอจ๊ะ” หนุ่มแบมบูพูดแซวๆ เหตุที่เขารู้ว่าหนุ่มคนนี้นั่งที่นั่งติดกันกับหนุ่มธํน ก็เนื่องมาจากหนุ่มธันได้บ่นถึงความไม่มีมนุษย์สัมพันธ์ของหนุ่มคนนี้หลังจากที่ลงมาจากเครื่องบิน และวันนั้นทั้งวันหนุ่มตัวเล็กก็บ่นไม่หยุด จนแบมบูต้องขอให้หยุดบ่นหนุ่มผิวแทนจึงเลิกพูดไปได้

      “สานต่อกับผีอะดิ นี่ขนาดเอ่ยปากทักก่อนเขายังไม่ตอบเลยแก ไหนจะหวิดมีเรื่องกันเมื่อเช้าอีกละ”หนุ่มธันพูดอย่างหน่ายๆ

       “เขาฟังภาษาอังกฤษไม่ออกมั้ง” หนุ่มแบมบูพูดแก้ตัวแทน

       “แต่มันแค่คำทักทายเองนะเว้ย ถ้าฟังไม่ออกสักคำจะผ่าน ต.ม. มาได้ไง ตลกป่าว” หนุ่มธันยังบ่นกระปอดกระแปดต่อไป

       “ช่างเหอะน่า เออ ระหว่างรอ น้องไปดูห้องเรียนมาให้แล้วนะ สรุปเราได้อยู่ห้องเดียวกันจ้ะ ดีใจปะ” หนุ่มตัวกลมขี้เกียจจะฟังคำบ่น ของคนตัวเล็กจึงหาทางเปลี่ยนเรื่องทันที

       “ดีใจมาก ดีใจสุดๆเลยแก”หนุ่มธันพูดไปอมยิ้มไป

       “ดูออกเลยนะ” หนุ่มแบมบูพูดพร้อมทั้งทำตาเล็กตาน้อยใส่

       “ดูออกว่าดีใจเหรอ”คนผิวแทนย้อนถาม

       “ดูออกว่าโกหกอะ แต่ถ้าเกิดสนิทก็จะพูดอีกคำหนึ่ง” คนตัวเล็กพูดพร้อมกลั้นขำ

       “ดีนะที่ไม่สนิทอะ” หลังจากจบประโยคทั้งคู่ก็หันมองหน้ากันก่อนจะพร้อมใจกันหัวเราะ

       ระหว่างทางเดินกลับบ้านสองหนุ่มเจอร้านอาหารเกาหลีเล็กๆจึงได้แวะลองชิม สำหรับหนุ่มธันรสชาติถือว่าไม่เลวโดยเฉพาะ ซุปกิมจิ แต่กับหนุ่มแบมบูเขากลับมองว่ามันไม่ได้ดีเท่าที่ควรเนื่องจากเขาซึ่งเป็นผู้ที่ชอบเดินทางไปเที่ยวเกาหลีใต้จนเหมือนเป็นบ้านหลังที่สองไปแล้วนั้นมองว่าร้านนี้ยังห่างไกลจากต้นตำหรับและราคาก็ไม่ได้น่ารักด้วย

       “เออ เอาน่าไว้วันหลังลองไปกินร้านอื่นเลิกบ่นได้แล้ว” กลับกลายเป็นว่าหนุ่มธันต้องเป็นคนพูดประโยคนี้บ้างหลังจากหนุ่มแบมบูพูดติไม่หยุดหลังจากออกมาจากร้านอาหาร

       “ก็มันจริงนี่นา ซุปกิมจิอะไรจะเปรี้ยวก็ไม่เปรี้ยวจะเค็มก็ไม่เค็มไม่สุดสักทางเล... เฮ้ย” เสียงของหนุ่มแบมบูขาดช่วงไปเมื่อเขาเปิดประตูเข้ามาแล้วพบว่าขวดแก้วจำนวนเกือบร้อยที่เคยวางระเกะระกะอยู่บริเวณชั้นล่างได้หายไปหมดแล้ว และพื้นตั้งแต่ทางเข้าจนมาถึงห้องนั่งเล่นก็ไม่สากเท้าเหมือนเช่นเคย ซึ่งหนุ่มผิวแทนที่เดินตามหลังมาก็แปลกใจจนต้องเอามือทาบอกเช่นกัน

       “มึงว่าพี่เขาผีเข้าปะวะ” หนุ่มธันพูดหลังจากมองดูรอบๆห้องที่สะอาดราวกับเป็นคนละห้องกับเมื่อวาน

       “หรือว่าเราเข้าผิดห้องวะมึง ฉันว่าเราออกไปดูเลขหน้าห้องกันก่อนดีกว่า” หนุ่มผิวแทนพูดด้วยน้ำเสียงงุนงงและกำลังจะเดินออกไปเช็คข้างนอกจริงๆ แต่ยังไม่ทันที่จะได้เดินก้าวออกจากห้องก็มีเสียงๆ หนึ่งดังออกมาจากตรงระเบียง

       “แหม่ ถูกแล้วครับน้อง” เป็นเสียงของพี่เจ้าของห้องที่นั่งสูบบุหรี่อยู่ข้างนอก ตะโกนเข้ามา

       “พี่ก็แค่ว่างเลยจัดห้องครับน้อง แหม่แซวซะพี่เขิลเลยนะ” พี่อ้นพูดทั้งๆที่คีบบุหรี่อยู่ในปาก

       “แหม่ก็มันตกใจนี่พี่ นึกว่าขโมยขึ้นบ้านซะแล้ว”หนุ่มธันยังแซวต่อเนื่องไม่ยอมหยุด

       “พี่อ้น เล่นกีตาร์เป็นด้วยเหรอครับ” หนุ่มแบมบูถามขึ้นเมื่อเห็นกีตาร์โปร่งสีไม้โอ๊ควางพาดระหว่างแขนของหนุ่มหน้าตี๋

       “ก็พอได้นิดหน่อยครับน้อง เดี๋ยวพี่โชว์ให้ดู” หนุ่มตัวสูงพูดจบก็ทำท่าจับคอร์ดกีตาร์อย่างมืออาชีพ

       “โอโห เพราะจังครับ” หนุ่มผิวแทนพูดขึ้น ทั้งๆที่หนุ่มตัวสูงยังไม่ทันได้ดีดด้วยซ้ำ

       “ถ้าแซวอีกที พี่ตีด้วยกีตาร์แล้วนะครับ” หนุ่มอ้นเงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าทีเล่นทีจริง ซึ่งนั้นก็ได้ผลพอควรเพราะหนุ่มธันสงบปากสงบคำลงแทบจะทันที

       “มองดูดวงดาว

ก็คงเป็นดาวดวงเดียวกัน

มองดูดวงจันทร์

ก็เหมือนกับจันทร์ที่บ้านเรา”

       เสียงพี่อ้นนั้นทุ้มและกังวานเหมือนกับเสียงระฆังแก้ว ไหนจะการจับคอร์ตกีตาร์ที่พอดีเปะเหมือนจับวางนั่นอีก บวกกับใบหน้าที่ดูดีๆก็ลเหมือนพระเอกเกาหลีอยู่ หากไม่นับหัวที่ยุ่งเหยิงแล้ว ดูรวมๆพี่อ้นก็เท่ไม่หยอกอยู่เหมือนกัน จังหวะที่หนุ่มผิวแทนเพลินกับการฟังเพลงอยู่อยู่ ก็มีเสียงโทรศัพท์เข้า เมื่อเอาขึ้นมาดูก็ปรากฏว่าเป็นแม่ของเขา โทรไลน์เข้ามา

       “ครับแม่”

       “เป็นไงมั่งเจ้าตัวดี ใจคอจะไม่โทรบอกแม่หน่อยเหรอ ว่ากินอยู่ห้องหับเป็นยังไงบ้าง” แม่ของเขาพูดด้วยเสียงน้อยใจเล็กๆ

       “โถ่แม่ครับ ธันก็เพิ่งถึงเมื่อวาน ก็กะว่าคืนนี้แหละครับจะโทรหา ธันสบายดีไม่ต้องห่วง นี่ก็ยืนฟังพี่เจ้าของห้องเล่นกีตาร์อยู่นี่แหละครับ” ธันพูดด้วยเสียงออดอ้อน หวังให้แม่ของเขาหายเคือง ซึ่งระหว่างที่คุยสายกับแม่ คนผิวแทนก็แหงนหน้ามองขึ้นไปยังดวงจันทร์ที่ลอยกลมและเด่นชัดยิ่งกว่าที่กรุงเทพฯ บ้านของเขา ไหนจะแสงไฟที่ลอดออกมาจากตัวตึกต่างๆที่ส่องระยิบระยับไปทั่วทั้งเมืองนั่นอีก แต่ถึงวิวทิวทัศน์จะงดงามและบทเพลงที่ขับกล่อมจะอบอุ่นสักเพียงใดแต่ในใจของคนตัวเล็กก็ยังคงรู้สึกเหงาและคิดถึงคนปลายสายที่เพิ่งจากมาอยู่ดี

       “ยามนี้ฉันเหงา

คิดถึงบ้าน

มองดูท้องฟ้า

ก็ยังเป็นฟ้าผืนเดียวกัน

มองดวงตะวัน

ก็ยังส่องแสงไปบ้านฉัน

ยามฟ้ามืดคล้ำ

คิดถึงบ้าน”
หัวข้อ: Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.6
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 26-05-2020 18:03:19
หากเพื่อนๆพี่ๆมีอะไรแนะนำหรือติชม คอมเม้นท์มาได้เลยนะครับ ผมรออ่านอยู่
หัวข้อ: Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.6
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 27-05-2020 16:55:22
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: When love travel ความรักและมิตรภาพครั้งใหม่ ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 29-05-2020 20:17:20
    เป็นอีกเช้าที่สองศรีพี่น้องต้องวิ่ง ร้อย คูณ ร้อยจากห้องพักมายังโรงเรียน แต่ว่าเหตุผลคราวนี้ไม่ใช่ว่าลืมตั้งนาฬิกาปลุก แต่ดันเป็นเพราะลืมเปิดสวิตช์ไฟ ดังนั้นที่เสียบสายชาร์ตแบตไว้ทั้งคืนก็เหมือนเสียบเอาไว้เฉยๆ แบตที่เหลือกันคนละประมาณ ยี่สิบ กว่าเปอร์เซ็นต์ก็มาหมดกันเอาช่วงเวลา ตีสองตีสาม ยังโชคดีที่พอจะเหลือแต้มบุญอยู่บ้างเพราะช่วงเวลาประมาณเจ็ดโมงกว่าพี่อ้นนึกครึ้มใจอะไรไม่รู้เล่นกีตาร์เสียงดังทำให้ หนุ่มตัวเล็กสะดุ้งตื่น และเมื่อเห็นนาฬิกาหัวเตียงก็เอามือตีไปที่หน้าขาคนอ้วนรัวๆ เพื่อปลุกคนอ้วนที่นอนซุกผ้าห่มอยู่ข้างๆให้มาตื่นเต้นเป็นเพื่อนกัน เช้านี้ทั้งคู่เลยพร้อมใจกันอัดน้ำหอมมาเต็มที่เนื่องจากกลัวเพื่อนร่วมคลาสจะจับได้ว่าไม่ได้อาบน้ำกันมา

       “แฮ่กๆกี่โมงแล้ววะ” หนุ่มธันเอามือเท้าเอวพักเหนื่อย พร้อมสูดลมหายใจเข้าปอดไปเฮือกใหญ่

       “อีกห้านาที แปดโมงครึ่ง โชคดีนะที่กดสัญญาณไฟข้ามถนนแล้วรอไม่นานไม่งั้นสายตั้งแต่วันแรกแน่เลย”หนุ่มแบมบูที่มีสภาพหอบไม่ต่างกัน เอามือเท้าไปที่ต้น Golden Penda ก่อนที่จะมองนาฬิกาแล้วตอบคำถาม

       ที่ประเทศออสเตรเลียนี้ ค่อนข้างจะทำตามกฎจราจรกันอย่างเคร่งครัด ถ้าคุณกดสัญญาณไฟข้ามถนนแล้วสัญญาณปล่อยให้ข้ามคุณก็ข้ามได้โดยไม่ต้องมองรถซ้ายขวาเลยเพราะรถจะไม่มาชนคุณอย่างแน่นอน แต่ในขณะเดียวกันถ้าสัญญาณยังไม่ปล่อยให้ข้าม อย่าข้ามเด็ดขาดเพราะต่อให้รถเห็นคุณข้ามถนนแต่ถ้าสัญญาณไฟไม่ได้บอกให้เขาหยุดเขาก็จะชนคุณโดยไม่เบรคเลยเหมือนกัน กว่าสองหน่อจะปรับตัวเลิกใช้นิสัยคนไทยที่พอเห็นถนนโล่งก็โกยอ้าวได้นั้นก็ต้องปรับตัวอยู่สักพักเหมือนกัน

       “เออ รีบขึ้นไปเหอะเดี๋ยวต้องเอาของกินไปไว้ในตู้เย็นอีก ชักช้าไม่มีที่วางจะแย่เอา” ภายในโรงเรียนของพวกเขาจะมีห้องครัวเอาไว้ให้บริการนักเรียนด้วย ภายในห้องครัวก็จะมีตู้เย็นขนาดใหญ่สำหรับเอาไว้แช่อาหารหรือพวกเครื่องดื่มต่างๆ แต่ว่าต้องเอาของกลับไปวันต่อวันไม่สามารถแช่ข้ามวันได้ เพราะตกเย็นแม่บ้านก็จะทำการทิ้งทุกอย่างที่อยู่ในตู้เย็น ถัดจากตู้เย็นก็จะเป็นชั้นวางไมโครเวฟที่ตั้งเรียงรางกันอยู่ประมาณร่วม ยี่สิบเครื่อง สุดมุมห้องเป็นที่ตั้งของอ่างล้างจานและถังขยะ แต่เจนนี่แอบกระซิบมาว่าให้เอาพวกภาชนะที่กินเสร็จกลับไปล้างที่บ้านน่าจะดีกว่าเพราะว่าน้ำยาล้างจานที่นี้นั้นล้างยังไงก็ไม่หายมัน สงสัยจะผสมน้ำกับน้ำยาล้างจานมากไปหน่อย

       “Room number 1, Room number 2 and here we are room number 3 come-on Bamboo” (ห้อง 1, ห้อง 2 นี่ไงห้อง 3 มาเร็วแบมบู)

       ภายในห้องเรียนของ Brose นั้นไม่ได้มีอุปกรณ์อะไรที่เยอะแยะมากมาย ก็จะมีกระดาน กระดานไวท์บอร์ดขนาดใหญ่ตั้งอยู่ข้างหน้า ส่วนโต๊ะเก้าอี้ก็จะจัดเป็นรูปตัว U กล่าวคือจะเหลือที่ว่างตรงกลางไว้ให้สำหรับอาจารย์ เดินสำรวจนักเรียนว่าติดขัดปัญหาตรงไหนหรือมีคำถามอะไรหรือเปล่า บนเพดานกลางห้องก็จะมีเครื่องฉายโปรเจคเตอร์ติดไว้เผื่ออาจารย์มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมนอกเหนือจากในหนังสือ

       “อ้าว อุตสาห์ รีบมาไหงยังไม่มีคนเลยวะ” หนุ่มธันบ่นทันที้เมื่อเห็นว่าข้างในห้องยังไม่มีใครมาเลยสักคน

       “อันนี้เรามาถูกวัน ถูกเวลาใช่ไหม” หนุ่มตัวเล็กหันขวับกลับไปถามหนุ่มตัวกลมทันทีเนื่องจากไม่อยากจะเข้าไปเสียเวลา นั่งรอเก้อ

       “ถูกนี่ไงในแอปก็บอกอยู่ว่าห้อง สาม ฝั่งตรงข้ามโซนคอมพิวเตอร์ เวลาเริ่มเรียนก็คือแปดโมงครึ่ง ถึงบ่ายสองครึ่ง เนี่ยเอาไปดูดิ” หนุ่มแบมบูพูดจบก็ส่งมือถือให้หนุ่มธันดู ซึ่งข้อมูลทุกอย่างมันก็ตรงกับที่หนุ่มตัวกลมบอก แต่หลังจากหันดูนาฬิกามันก็ยังเหลือเวลาอีกสามนาที กว่าจะแปดโมงครึ่งพวกเขาก็เลยลองนั่งรอดูก่อน ถ้าไม่มีใครมาก็ค่อยเดินไปหาเจนนี่ที่หน้าประชาสัมพันธ์ก็ยังไม่สาย

       หลังจากพวกเขานั่งรออยู่เพียงชั่วครู่ ประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกันนั้นเพื่อนร่วมห้องก็ทยอยกันเดินเข้ามาทีละคนสองคนจนเก้าอี้ที่ว่างเปล่ากลับเต็มอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่ถึงนาที

       “Hello, Everyone. How are you” (ไงทุกคนเป็นยังไงกันบ้างเอ่ย) เสียงทุ้มแน่นเหมือนกับเสียงกลองดังขึ้นก่อนเสียงเปิดประตูจะตามมา ทำให้เห็นชายหนุ่มวัยไม่น่าเกินสามสิบ ที่มีรูปร่างอวบอ้วนเล็กน้อย ซึ่งเมื่อผสมระหว่างหุ่นกับหน้าตาบวกด้วยผมและเคราสีออกส้มธรรมชาติ นั่นก็ทำให้เขาดูเหมือนแมวส้มการ์ฟิลราวกับหลุดออกมาจากการ์ตูนเลยทีเดียว

       “Oh, today we have new students. Shall we start with introduce ourselves before study? For example, my name is Bare I sit on the share over there. Ha-ha, Is really cool words” (โอ้, วันนี้เรามีนักเรียนใหม่ด้วยนี่นา งันเราควรมาเริ่มจากการแนะนำตัวกันก่อนดีไหมทุกคน ตัวอย่างนะ ผมชื่อแบร์ ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ ตรงด้านโน้น เป็นไงดูเจ๋งใช่ไหมละ) หลังจากพูดแนะนำตัวจบเขาก็หัวเราะชอบใจที่พูดประโยคเด็ดของตัวเองได้ก่อนที่จะไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงกลางห้อง

       “Yes, your name is Bare and we do not care”(ใช่ นายชื่อแบร์แล้วเราก็ไม่สน) เป็นหญิงผมสีดำขลับหน้าตาดูออกไปทางเอเชีย แต่หนุ่มผิวแทนก็ดูไม่ออกเหมือนกันว่าจะเป็น เกาหลี จีน หรือญี่ปุ่น แต่เชื้อชาติไหนไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญคือหน้าตาที่ดูเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้แต่   คำพูดคำจากลับแรงใช้ได้นั่นต่างหากที่ทำให้หนุ่มตัวเล็กแปลกใจ และถึงแม้เด็กหญิงชาวเอเชียจะพูดด้วยน้ำเสียงค่อยๆแล้ว แต่ด้วยที่ว่าเก้าอี้ถูกจัดไว้ติดกันมากจนศอกแทบจะเกยกันอยู่แล้ว ดังนั้นแม้จะแค่เพียงเสียงกระซิบที่แผ่วเบาก็คงจะได้ยินไม่ยากเย็นนัก และสงสัยหนุ่มธันจะจ้องหน้าเธอนานเกินไปจนเธอรู้ตัวทำให้เธอหันหน้ามาหาพร้อมกับยิ้มให้เห็นฟันกระต่ายเล็กๆที่อยู่ด้านหน้าพร้อมเอ่ยขึ้นมาว่า

       “Hello, my name is Hana, I come from Japan. Are you new student? Where are you from” (สวัสดีฉันชื่อฮาน่าจังมาจากญี่ปุ่นนะ เธอเป็นนักเรียนใหม่เหรอ? มาจากประเทศอะไรอะ) หลังจากถามจบฮาน่าจังก็จ้องมองเขาอย่างใจจดใจจ่อเพื่อรอฟังคำตอบ

       “Hayman, Can you stop talking while other people introduce themselves?”(นี่พวกเธออย่าพูดขณะที่คนอื่นแนะนำตัวได้ไหม?) ดูเหมือนว่าการคุยกันของฮาน่าจังและหนุ่มตัวเล็กจะไม่รอดพ้นสายตาของแบร์ และนั่นก็ทำให้ฮาน่าทำสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนักที่ถูกอาจารย์ว่าเอา

       “My name is Hana and I come from japan, Thanks” (ฉันชื่อ ฮาน่ามาจากญี่ปุ่น ขอบคุณ) เมื่อถึงตาเธอแนะนำตัวเธอก็เลยพูดห้วนๆออกไปด้วยเพราะอารมณ์ยังคุกรุ่นอยู่

       “My name is Suchon or you can call me Thun. I come from Thailand. Nice to meet you everyone” (ผมชื่อสุชล หรือจะเรียกผมว่าธันก็ได้นะ ผมมาจากประเทศไทยครับ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะครับ) หนุ่มผิวแทนพยายามพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรและยิ้มให้กับเพื่อนๆทุกคนรอบห้อง

       “Good but next time let attempt with S sound, Next” (ดีแต่ครั้งหน้าลองพยายามพูดเสียง “S” หน่อยนะ คนต่อไป) แบร์พูดด้วยใบหน้าที่ดูยิ้มแย้มเหมือนว่าสิ่งที่เขาพูดมันเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ผิดกันได้ แต่หนุ่มตัวเล็กดันมาจากประเทศที่หากพูดหรือตอบอะไรผิดไปเล็กน้อยเพื่อนๆก็จะพากันหัวเราะ ดังนั้นการที่อาจารย์พูดแบบนั้นต่อหน้าคนเยอะๆ ก็ทำให้หนุ่มผิวแทนหน้าเสียอยู่เหมือนกัน

       “My name is Nuthapon or it will be good if you call me beautiful. Just kidding. My nickname is Bamboo and I come from Thailand too” (เราชื่อ ณัฐพลนะ แล้วมันก็จะดีมากๆถ้าพวกเธอเรียกเราว่าสุดสวย ล้อเล่นจ้า ชื่อเล่นเราชื่อแบมบู เรามาจากประเทศไทยเหมือนกัน) หลังจากสิ้นประโยคที่ให้เพื่อนเรียกว่าสุดสวย ทุกคนก็พากันหัวเราะรวมทั้งตัวแบมบูเองด้วย ซึ่งเขาต้องรออยู่พักใหญ่ๆกว่าจะแนะนำชื่อเล่นจริงๆของเขาได้ แต่หลังจากเขาแนะนำตัวจบเพื่อนๆก็พากันตบมือและผิวปาก ซึ่งนั่นก็เป็นสัญญาณอันดี เพราะดูเหมือนเพื่อนๆจะดูชอบเขาเอามากๆ

       “Ok, let me see 1 2 3 4 … 12 where is the last one? “(เอาละไหนดูสิ หนึ่ง สอง สาม สี่ .... สิบสอง อ้าวแล้วคนสุดท้ายอยู่ไหนละ) พูดยังไม่ทันขาดคำ ประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับคนที่น่าจะเป็นผู้ถูกเอ่ยถึงเมื่อครู่ก็ได้ก้าวเข้ามา และเมื่อคนในห้องเห็นหน้าเขาก็เกิดอาการซุบซิบกันเล็กน้อย โดยเฉพาะพวกผู้หญิงที่พากันเขิลและหลบตากันเป็นพัลวัน แต่ไม่ใช่กับธันที่กรอกตาขึ้นจนตาดำแทบจะไหลกลับไปที่สมองแล้ว เพราะคนที่ก้าวเข้ามาไม่ใช่ใครแต่เป็นหนุ่มตาฟ้าที่เขาบังเอิญเจออยู่บ่อยๆนั่นเอง

       “You late today and I hope this won’t happen next time. So could you introduce yourself?” (นายมาสายนะ และ ฉันหวังว่ามันคงจะไม่เกิดขึ้นในครั้งต่อไป ยังไงก็ตามรบกวนแนะนำตัวด้วย) นอกจากธันที่ไม่ค่อยจะชอบหมอนี่ แบร์เองก็ดูจะไม่ค่อยพอใจเช่นกัน ที่มีนักเรียนมาสายตั้งแต่วันแรก

       แต่ว่าคนที่ถูกแบร์มองแรงใส่ก็ดูจะไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเท่าไหร่ เพราะเขาก็ยังคงเอามือล้วงกระเป๋า ด้วยสายตานิ่งเฉยก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆขึ้นมาว่า

       “My name is Ruben and I am a French “(ชื่อ รูเบน เป็นคนฝรั่งเศส) น้ำเสียงที่ดูเข้มเหมือนกับกาแฟดำยามเช้า คงจะทำให้สาวๆใจละลายได้ไม่ยาก แต่สำหรับธันนั้นหน้าที่หงิกตั้งแต่หมอนี่เอาเท้าก้าวเข้ามา ก็ยิ่งหงิกหนักกว่าเดิมเข้าไปอีก เพราะตอนนี้เขารู้แล้วว่า รูเบนสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ และพูดได้ค่อนข้างดีซะด้วย ดังนั้นการที่เขาสื่อสารไปแล้วตานี่ไม่ตอบเป็นเพราะไม่อยากตอบไม่ใช่ฟังไม่รู้เรื่อง

       “Bamboo could you move to this chair and Ruben, can you sit instance of Bamboo.” (แบมบูรบกวนมานั่งเก้าอี้ตัวนี้หน่อย แล้วรูเบนช่วยไปนั่งแทนแบมบูด้วย) แบร์พูดพร้อมกับชี้นิ้วไปมาระหว่างเก้าอี้สองตัว ซึ่งแบมบูดูมีความสุขอย่างออกหน้าออกตาเพราะที่นั่งที่เขาได้ย้ายไปนั่งนั้นเป็นที่นั่งทิ่ติดกับหนุ่มหล่อชาวเอเชีย แต่สำหรับธันนั้นแทบจะเอาเท้าขึ้นมาก่ายหน้าผาก เพราะต้องมานั่งติดกับคนที่ไม่ชอบหน้า ไหนจะต้องมาฝึกสนทนาด้วยกันตามบทเรียนอีก แค่คิดก็กุมขมับแล้ว

       “Ok, Today we are going to learn about Article. It looks like easy but actually…” (เอาละวันนี้เราจะมาเริ่มกันที่คำนำหน้านาม ฟังดูเหมือนง่ายนะแต่จริงๆแล้ว…) หลังจากแบร์จัดแจงย้ายที่นั่งเสร็จเขาก็เปิดหนังสือเรียนพร้อมกับหยิบปากกาไวท์บอร์ดขึ้นมา และเดินตรงไปที่กระดานดำทันที

       “เป็นไงบ้างจ้ะ ได้นั่งกับหนุ่มตาน้ำข้าวที่สาวๆอยากจะกินกันทั้งห้อง รู้สึกยังไงบ้าง” หนุ่มตัวกลมพูดแซวขึ้นขณะรอเวฟข้าวอยู่ในห้องครัว ที่โรงเรียนมีกฎห้ามพูดภาษาจากประเทศตัวเองแต่จะมีพื้นที่พิเศษอยู่ 2 พื้นคือโซนห้องครัวและโซนระเบียงด้านนอกที่อนุญาต ให้พูดได้

       “ดี ดีก็บ้าแล้ว แกมันพูดกับฉันเฉพาะตอนฝึกพูดบทสทนาอะแก หลังจากจบบทสนทนา ปุ๊บมันก็เหมือนปิดสวิต ถามอะไรก็ไม่ตอบไม่หันมามองด้วยซ้ำ สงสัยมันจะไม่ชอบคนเอเชียปะวะ” ธันพูดด้วยน้ำเสียงหน่ายๆ แถมทำคิ้วขมวดชนกันจนแทบจะกลายเป็นปมอยู่แล้ว

       “เออว่าแต่แกเหอะ ทำไมแกทำหน้าแปลกๆตอนที่มันเดินเข้ามาวะ แกก็รู้สึกว่ามันขี้เก็กเหมือนกันใช่ปะ” ธันถามขึ้นอย่างมีความหวังว่าจะมีคนไม่ชอบ รูเบนเหมือนเขาด้วยเหมือนกัน

       “ป่าว หน้าตาหล่อขนาดนั้น เขาก็มีสิทธิ์เก็กปะ แต่ที่ฉันทำหน้าแบบนั้นเพราะเมื่อวานตอนน้องมาดูรายชื่อ จำได้ว่ามันมีสมาชิกในห้องแค่ สิบสองคน แต่วันนี้มีคนมานั่งเรียน สิบสามคน ก็เลย งงๆนิดหน่อย แค่นั้นแหละ” แบมบูหันมามองหน้าธันด้วยการยิ้มมุมปากเหมือนจะเป็นการบอกเป็นนัยๆว่า ขอโทษด้วยนะเราไม่ได้อยู่ทีมเดียวกันจ้ะ และ นั่นก็ทำให้ธันยิ่งเซ็งหนักเข้าไปอีก

       “เออๆ ไม่รู้สึกก็ไม่รู้สึก ข้าวอ่ะได้ยัง” หนุ่มธันเริ่มพาลหลังจากรู้ว่าแบมบูไม่ได้คิดแบบเดียวกันกับเขา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หนุ่มตัวกลมรู้สึกรู้สาอะไรกับการกระทำอะไรของเขากลับหัวเราะอย่างชอบใจที่ทำหนุ่มผิวแทนหัวเสียได้ซะอีก

       “Hey Thun, You can sit here” (ธันนั่งตรงนี้ได้นะ) ฮานะจังยิ้มพร้อมโบกมือรัวๆให้หลังจากธันและแบมบูออกมายืนตรงระเบียงที่เต็มไปด้วยผู้คน แล้วสอดส่ายสายตามองหาที่นั่งที่ยังว่างอยู่

       “Thank you Hana” (ขอบใจนะ ฮานะ) หนุ่มธันหันพูดขอบคุณทันทีหลังจากเดินมาถึงโต๊ะ

       “Haha, It’s my pleasure Oh this is my friend his name is David” (ด้วยความยินดีจ้ะ อ๋อแล้วนี้เพื่อนเรานะชื่อเดวิท) ฮานะจังพูดเสร็จก็ผายมือไปยังหนุ่มตี๋ที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายมือของเธอ

        “My name is Bamboo, Nice to meet you David” (เราชื่อแบมบูนะยินดีที่ได้รู้จักนะเดวิท) แบมบูพูดสวนขึ้นทันทีหลังจากฮานะจังพูดจบ แถมไม่พูดเปล่ายื่นมือออกไปจับมือหนุ่มตี๋ทันทีแต่ด้วยความโชคดี เพราะที่นี้การจับมือทักทายกันนั้นเป็นอะไรที่ปกติ แต่ถ้าอยู่ประเทศไทยหนุ่มตัวกลมอาจจะไม่ได้จับแค่มือแต่อาจจะได้จับมือที่ใช้เดินด้วยเหมือนกัน

       “Nice to meet you Bamboo and Thun” (ยินดีที่ได้รู้จักนะแบมบู ธัน) หนุ่มเดวิทยิ้มตาหยีให้ธันและแบมบู พร้อมกันนั้นก็พยายามชักมือ ออกจากการเกาะกุมของหนุ่มตัวกลมที่เหมือนว่าจะจับมือเขาค้างนานไปเสียแล้ว

       “Which part of Japan you are from” (เธอมาจากส่วนไหนของญี่ปุ่นเหรอ) หนุ่มผิวแทนหันไปถามสาวจากแดนซากุระ 

       “Harajuku, Tokyo. Have you ever been there?” (ฮาราจุกุ โตเกียวอะ เคยไปหรือเปล่า) ฮาน่าจังถามพร้อมกับเอียงหัวดุ๊กดิ๊กไปมาอย่างน่าเอ็นดู

       “Not yet, but if I would like to visit there, Could I ask you to be a local guide.” (ยังไม่เคยไปเลย แต่ถ้าฉันจะไปครั้งหน้าเธอมาเป็นไกด์ให้ฉันหน่อยได้ไหม) หนุ่มตัวเล็กถามพร้อมกับส่ายหัวดุ๊กดิ๊กตาม

       “Haha. Stop acting like me. I am happy to be your guide. By the way which part of Thailand are you from?” (ฮ่าฮ่า หยุดเลียนแบบฉันเลยนะ อ๋อแล้วฉันก็ยินดีมากที่จะเป็นไกด์ให้พวกเธอ ว่าแต่พวกเธอมาจากส่วนไหนของไทยเหรอ) สาวฮานะระเบิดหัวเราะจนตาหยี หลังจากธันส่ายหัวดุ๊กดิ๊กตามเธอ พร้อมกับยิ้มอย่างยินดีหลังจากหนุ่มตัวเล็กขอให้เธอเป็นไกด์ให้

       “It’s Bangkok, We come from capital city” (กรุงเทพน่ะเรามาจากเมืองหลวง) เป็นหนุ่มแบมบูที่เงียบอยู่นาน เอ่ยขึ้น แต่สายตาของเขานั้นไม่ได้หันมองไปที่หน้าของสาวฮานะเลยแม้แต่น้อย แต่กลับหันไปมองหน้าของหนุ่มเดวิทแทน จนหนุ่มแดวิดเริ่มมีอาการ ล่อกแล่กแล้ว

       “How about you David where do you come from” (แล้วเดวิทละมาจากไหนเหรอ) เป็นหนุ่มแบมบูที่พูดด้วยเสียงที่ สามสิบแปด พร้อมกันนั้นก็ยังคงพยายามชวนหนุ่มตี๋คุยอย่างไม่ลดละ

       “Ah… I come from Taiwan, Taipei” หนุ่มตึ๋เอ่ยขึ้นโดยไม่หันหน้าขึ้นมาสบตากับใครเลย อาจเป็นเพราะเขาไม่เคยโดยรุกด้วยสายตาหนักขนาดนี้ก็เป็นได้

       “Hey stop it Bamboo you make our new friend tumultuous. So, what are you doing after lunch?” (นี่หยุดซะทีแบมบู เธอทำให้เพื่อนใหม่เรารู้สึกอึดอัดนะ ว่าแต่พวกเธอจะทำอะไรหลังอาหารกลางวันเหรอ) หนุ่มธันตีไปที่มือหนุ่มตัวกลมเบาๆ และหันไปถามหนุ่มเดวิทกับฮานะจังที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

       “We are going to room number 101 it’s a Speaking club. Do you want to join?” (เราจะไปห้องหมายเลข 101 น่ะ มันมีชมรมฝึกสนทนาอยู่ จะไปด้วยกันไหมละ) หนุ่มเดวิทที่ยังก้มหน้าก้มตาพูดขึ้น

       “Yes we will” (พวกเราไป) เป็นหนุ่มตัวกลมอีกตามเคยที่พูดขึ้นอย่างแข็งขัน ซึ่งหนุ่มตัวเล็กของเราก็ทำต้องฝืนยิ้มแบบปุเลี่ยนๆไป เนื่องจากใจของเขาอยากจะกลับไปพักเต็มแก่แต่ก็ไม่อยากจะหักหน้าและเสียมารยาท เนื่องจากทันทีที่แบมบูพูดจบ ฮานะก็ยิ้มตอบรับอย่างดิบดีทันทีเหมือนกัน

       หลังจากกินข้าวกันเสร็จทั้งหมดก็ออกเดินไปที่ห้องครัวพร้อมกัน โดยมีหนุ่มธันเป็นคนเปิดประตูให้ แต่เพราะว่าเขามัวแต่หันไปคุยกับเพื่อนที่อยู่ด้านหลังเลยไม่ทันสังเกตว่ามีคนยืนอยู่ตรงหน้าประตู ดังนั้นจังหวะที่เขาผลักประตูออกประตูจึงไปกระแทกกับคนที่อยู่ด้านหน้าเต็มรัก

       “โอ้ย” คนตรงหน้าร้องออกมาทันทีหลังจากโดนประตูตีหน้าเข้าไป

       “Oop, Sorry are you ok?” (อุ้ย ขอโทษครับเป็นอะไรรึเปล่า) หนุ่มตัวเล็กรีบลงไปคุกเข่าถามคนตรงหน้าทันที แต่พอหนุ่มผิวแทนลองมองดูดีๆแล้วชุดกับทรงผมคนๆนี้ดูคุ้นๆอยู่เหมือนกันนะ

       “It’s ok do not worry” (ไม่เป็นไรครับ) พอคนที่ล้มลงเอามือที่จับหน้าตัวเองออก หนุ่มผิวแทนถึงกับรีบชักมือออกจากขาคนเจ็บพร้อมทำหน้าบี้ทันที

       “Oh, Ruben are you ok” (โอ้ รูเบนเป็นไรไหม) หลังจากฮานะจังที่เดินตามมา สมทบเห็นว่าเป็นใครที่ล้มลงก็เอ่ยปากถามทันที

       “Yes I am ok” (ไม่เป็นไรๆ) รูเบนพูดก่อนจะลุกขึ้นยืนพร้อมกับยิ้มบางๆให้กับฮานะจัง และนั่นก็ทำให้สาวญี่ปุ่นของเราถึงกับหน้าแดงไปถึงหูเลยทีเดียว

       “Next time if you have eyes, Please be careful” (ครั้งหน้าถ้าเกิดนายมีตาก็ระวังหน่อยนะ) จังหวะที่รูเบนกำลังจะผลักประตูออกหลังจากลุกขึ้นยืนได้แล้ว เขาก็หันมากระซิบที่ข้างหูหนุ่มตัวเล็กด้วยเสียงแผ่วเบาที่สามารถได้ยินกันแค่สองคน ก่อนจะผละออกและเปิดประตูก้าวออกไปที่ตรงระเบียงโดยไม่หันหลังกลับมามอง

       และด้วยความไวของหนุ่มตาสีฟ้าก็ทำให้สมองของหนุ่มธันตามไม่ทัน เพราะจังหวะที่จะหันกลับไปด่าหนุ่มตัวสูงก็เดินไปไกลแล้ว
หัวข้อ: When love travel ความรักและมิตรภาพครั้งใหม่ ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 29-05-2020 20:18:42

       “What did he say to you” (เขาพูดกับเธอว่าอะไรเหรอ) แบมบูถามขึ้นด้วยความอยากรู้ทันทีหลังจากหนุ่มรูเบนเดินออกจากประตูไป และดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่แบมบูคนเดียวที่อยากรู้เพราะพอหันไปดู สองคนที่ยืนขนาบข้างหนุ่มแบมบู ก็เห็นสายตาที่ฉายแววอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน

       “He said… nothing” (เขาพูดว่า...อืม ไม่ได้พูดอะไรหรอก) ธันพูดขึ้นหลังคิดอยู่สักพัก เขาไม่ได้กลัวว่ารูเบนจะโดนคนอื่นเกลียด แต่เป็นเขาเองนี่แหละที่จะโดนเกลียดเนื่องจากพูดอะไรไปไม่มีหลักฐาน

       “He spoke quickly and I cannot catch any words from him” (คือเขาพูดค่อนข้างเร็วน่ะฉันเลยฟังไม่ทัน) หลังจากเห็นสายตาของทั้งสามคนที่มองมาอย่างไม่ค่อยจะเชื่อ ธํนก็เลยต้องยกคำพูดอื่นมากลบแทน

       “So, Shall we go to the speaking club” (อืม ฉันคิดว่าเราน่าจะไปที่ชมรมฝึกสนทนาได้แล้วนะ) หลังจากพูดจบธันก็เดินออกจากวงล้อมเพื่อน ตรงไปยังห้อง101 ทันที ทิ้งเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างหลังยืนมองตากันปริบๆ

       “Welcome to my club my name is Vanesza yes it spells with S and Z” (ยินดีต้อนรับสู่ชมรมของฉัน ฉันชื่อว่า วาเนสซ่า ใช่มันสะกดด้วยตัว เอส และ ตัวซี (พูดด้วยเสียงก้องในลำคอ)) คุณป้ารูปร่างค่อยข้างอวบพร้อมกับผมสีบลอนด์กระเซอะกระเซิง และใบหน้าที่แต่งอย่างไม่ค่อยประณีต ยืนกอดอกพูดด้วยเสียงดังฟังชัดอยู่หน้าชั้น

       “Ok in this club everyone has to speak and the rule is so easy if I ask the question and point at someone that one has to answer, is that clear?” (ในชมรมนี้ทุกคนจะต้องพูด และกฎก็ง่ายมาก ฉันจะถามคำถามและหลังจากพูดจบฉันจะชี้ไปที่ใครคนใดคนหนึ่งและคนนั้นก็จะต้องตอบ เข้าใจไหม) คุณป้าพูดพร้อมกับมองหน้าคนในห้องตั้งแต่คนแรกยันคนสุดท้าย ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่คนที่นั่งอยู่ในห้องนั้นหน้าเหวอไปตามๆกัน โดยเฉพาะเด็กชาวเอเชีย

       การถามในห้องดำเนินไปอย่างขนหัวลุก เพราะพอจบประโยคคำถามที เด็กก็หันซ้ายหันขวาหลบตากันอย่างพร้อมเพียง แต่คุณป้าวาเนสซ่าก็ไม่ได้สนใจกับอาหารเหล่านั้น เอาจริงๆเธอก็ชี้คนจากทางขวามือของเธอและวนไปทางซ้าย เนื่องจากเด็กในห้องนั่งกันเป็นรูปตัวยูอยู่แล้วการชี้ของเธอจึงทำได้โดยง่าย ซึ่งคำถามก็เป็นคำถามพื้นฐานทั่วไปตอบได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ วาเนสซ่าก็ไม่ได้ว่าอะไรพร้อมกับยิ้มอย่างใจดีและแก้ไขคำเหล่านั้นให้ถูกต้อง

       “Ok, thank you for coming today and see you again tomorrow” (ขอบคุณที่มานะทุกคนเจอกันอีกทีพรุ่งนี้นะ) วาเนสซ่าพูดจบก็หันหลังลบกระดานไวท์บอร์ดก่อนจะเดินออกจากห้องไป

       “What are you going to do next” (พวกนายจะทำอะไรต่อเหรอ) เป็นเดวิทที่หันมาถาม

       “I will…” (เราว่าเราจะ...) หนุ่มตัวเล็กเอ่ยปากจะพูดแต่ยังไม่ทันพูดได้จบประโยค หนุ่มตัวกลมที่ยืนอยู่ด้านหลังก็พูดแทรกขึ้นมาซะก่อน

   “We will go back home. Where do you live? Maybe we can walk together.” (พวกเราจะกลับบ้านน่ะ แล้วนายพักอยู่ตรงไหนเหรอบางทีเราอาจจะเดินกลับพร้อมกันได้นะ) หนุ่มแบมบูที่ออกตัวแรงจนฉุดไม่อยู่พูดขึ้น ซึ่งนั่นก็ทำให้เดวิทหน้าเจื่อนเล็กน้อย ก่อนจะตอบออกมา

   “I stay at Roma Upper Street how about your guys” (เราพักอยู่ตรงถนนอัปเปอร์โรม่านะ แล้วพวกนายละ) สุดคำตอบหนุ่มตัวกลมก็ทำหน้าผิดหวังเล็กๆ ก่อนจะบอกที่อยู่ที่เขาและหนุ่มตัวเล็กอยู่ ซึ่งนั่นก็ทำให้หนุ่มตี๋ของเราแอบลอบหายใจอย่างโล่งอก

   “อ้าวกลับมาแล้วเหรอสาวๆ” พี่อ้นทักขึ้นทันทีหลังจากที่ แบมบู และ ธันเปิดประตูห้องเข้ามา

   “สาวไรพี่ผมไม่สาวนะ ไอ้แบมบูนู่นสาว” หนุ่มธันพูดเสียงขึงขังก่อนจะบุ้ยปากไปที่แบมบูที่ยืนอยู่ข้างๆ

   “ค่ะ แมนมากค่ะ มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าเป็นตุ๊ด” หนุ่มแบมบูพูดพร้อมกับกรอกตาไปมา

   “ว่าแต่ พี่จะออกไปไหนเหรอครับ” และก่อนที่ธันจะได้ทันได้ตอบโต้ หนุ่มตัวกลมก็ตัดบทโดยการหันไปชิงถามหนุ่มผมยาวของเรา

   “อ๋อ พอดีพี่จะออกไปทำงานน่ะ” หนุ่มอ้นพูดพร้อมกับใส่รองเท้าหนังสีดำซึ่งดูตัดกันอย่างลงตัวกับกางเกงยีนส์สีขาวที่เขาใส่วันนี้

   “ทำงาน” หนุ่มตัวกลมพูดขึ้นอย่างสงสัย

   “อ้าวพี่ไม่เคยบอกเหรอ พอดีพี่เล่นดนตรีอยู่ร้านอาหารไทยน่ะ เป็นมือกีตาร์ ชื่อร้าน ณ สยาม น่ะ ถ้าวันนี้ว่างไม่มีอะไรทำก็ลองมาดูสิ เดี๋ยวพี่จะหาส่วนลดให้ ไปก่อนนะ” หนุ่มผมยาวพูดอย่างรวดเร็วก่อนจะเปิดประตูออกจากห้องไป ชะรอยว่ากำลังจะไปทำงานสายเป็นแน่

   หลังจากทั้งสองคนอาบน้ำและทำการบ้านเสร็จก็มานั่งคลุกกันอยู่ที่โซฟาก่อนที่ หนุ่มธันจะเอ่ยปากชวนขึ้นมา

   “แกเราลองชวนเดวิทกับฮานะไปร้านที่พี่อ้นเล่นดนตรีกันไหม เบื่อๆวะไม่มีไรทำขี้เกียจอยู่บ้าน” หนุ่มธันพูดขึ้นพร้อมกับเลื่อนหา Instagram ของเดวิทและฮานะจังที่แลกกันไว้ก่อนจะแยกกันเมื่อเย็น

   “เออ ถ้าเกิดเดวิทไปฉันไป งั้นเธอลองชวนฮานะจังนะ เดี๋ยวฉันจะลองชวนเดวิทเอง” หนุ่มแบมบูพูดจบก็หยิบมือถือขึ้นมาปลดล็อคและกดเข้าโปรแกรมด้วยความรวดเร็วเหมือนกลัวว่าหนุ่มธันจะแย่งชวนเดวิทไปซะก่อน

   “แหม่จ้ะ กับผู้ชายเนี่ยไวเชียวนะ” หนุ่มธันพูดแซวขณะที่มือก็พิมหา ฮานะจังไปด้วย

   ไม่กี่อึดใจต่อมาหลังจากทั้งคู่ก็มายืนรอ เดวิทกับฮานะที่หน้าร้านอาหารที่พี่อ้นบอกไว้ โดยหนุ่มธันใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าเรียบๆเข้าคู่กับกางเกงสแล็คและรองเท้าสีขาว ส่วนหนุ่มบูมก็ใส่เสื้อและกางเกงสีดำออกแนวสปอร์ตๆ ตัดกับรองเท้ากุชชี่สีขาวของเขา

   “พี่ธันว่าหนูแต่งตัวเป็นไงมั้ง น่ารักพอจะมัดใจเดวิทได้ปะ” แบมบูถามพร้อมหันซ้ายหันขวาเพื่อจะให้หนุ่มธันมองได้ชัดๆทั้งตัว ซึ่งหนุ่มธันก็กรอกตาหนึ่งรอบก่อนที่จะตอบคำถาม

   “สวยจ้ะ แหม่ถ้ามองไวๆนี่คิดว่า เจนนี่ แบล็คพิงค์นะเนี่ย” หนุ่มธันจีบปากจีบคอพูด

   “จริงเหรอ ไหนลองมองไวๆสิ”หนุ่มตัวกลมพูดจบ หนุ่มผิวแทนก็หันซ้ายหันขวารัวๆทันที

   “เลว” หนุ่มแบมบูพูดพร้อมกับแอบขำ

   “ด่า ฮานะกับ เดวิทแหละที่มาช้า” หนุ่มตัวเล็กพูดด้วยด้วยตัวที่เอียงซ้ายทีขวาทีเนื่องจากหันไวไปหน่อย

   “แหม่เราก็รู้จักกันมานานนะ อย่าบังคับให้น้องต้องพูดเลย” หนุ่มแบมบูพูดพร้อมกับกลั้นหัวเราะ ซึ่งหนุ่มธันก็มีอาหารไม่ต่างกัน

   “Sorry we are late” (ขอโทษที่มาสาย) หนุ่มตี๋และสาวญี่ปุ่นเดินลงมาจากรถ Uber ก่อนจะเดินกระมิดกระเมียนมายังพวกเขาที่ยืนรอกันอยู่หน้าร้าน

   “That’s ok don’t worry. Let’s go inside I already booked a table” (ไม่เป็นไรเข้าไปข้างในกันเถอะ เราจองโต๊ะไว้แล้ว) หนุ่มธันพูดขึ้นกับทั้งฮานะและเดวิทที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามรวมถึงหนุ่มแบมบูที่ย้ายจากยืนข้างๆเขาไปยืนข้างๆหนุ่มเดวิทเรียบร้อยแล้ว

   เมื่อประตูเปิดออกให้เห็นการตกแต่งภายในร้านทั้งสี่คนก็มองรอบๆอย่างสนใจ เพราะร้านอาหารตกแต่งด้วยความทันสมัยไม่เหมือนร้านอาหารไทยที่เป็นร้านอาหารไทยแท้ๆ แต่เป็นเหมือนร้านอาหารกึ่งผับมากกว่า โดยมีเวทีตั้งอยู่ตรงกลาง และลักษณะเวทีก็เป็นเวทีทรงกลมทำให้แขกที่มานั่งกินข้าวหรือมานั่งจิบเครื่องดื่มสามารถมองเห็นบนเวทีได้ทุกจุด ส่วนด้านบนก็มี ชั้นลอยที่กั้นด้วยกระจกใส ทำให้สามารถมองลงมาเห็นข้างล่างได้อย่างชัดเจน รอบๆฝาผนังร้านก็ประดับด้วยป้ายโฆษณาเก่าๆของไทย เช่นพวกป้ายเป็ปซี่ ยาอมแฮคส์ หรือพวกเครื่องดื่มชูกำลัง ซึ่งหากจัดไม่ดีก็จะดูเหมือนรก แต่ว่าร้านนี้จัดได้อย่างลงตัวมากๆเพราะว่าเจ้าของร้านไม่ได้ติดไว้ถี่มากนักจึงยังพอทำให้เห็นฉากด้านหลังที่เป็นไม้ไผ่สานอยู่

   พวกเขาเดินลัดเลาะมายังโต๊ะที่จองไว้ ซึ่งก็คือโต๊ะที่ติดกับหน้าเวที และเมื่อแงนมองขึ้นไปก็พบกับพี่อ้นที่กำลังเช็คเสียงกีตาร์อยู่ และคนที่แลดูมีอายุกว่าพี่อ้นนิดหน่อยก็กำลังเช็คสายเบสอยู่ข้างๆเช่นเดียวกัน เมื่อมองเลยไปด้านหลังก็เห็นคนผิวออกแทนๆ อีกคนกำลังง่วนอยู่กับการฝึกตีกลองลมอยู่ แต่พอหันกลับมามองยังนักร้องหน้าเวทีคนตัวเล็กก็ต้องผงะเล็กน้อย
หัวข้อ: Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.7
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 29-05-2020 21:01:05
 :pig4: :pig4: :pig4:

สงสัยคู่ปรับนู๋ธัญ  อิตา Ruben คงเป็นนักร้องในวงนี้แน่เลย
หัวข้อ: Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.7
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 30-05-2020 03:49:21
ขอบคุณที้มาคอมเม้นนะครับ ถ้ามีอะไรติชมบอกได้เลยนะครับ
ส่วนเรื่องนักร้องนำเดี๋ยวมาลุ้นกันตอนหน้านะครับ
 :mew3:
หัวข้อ: When love travel ความรัก และ น้ำเมา ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 01-06-2020 21:52:07
   ใช่ครับถึงคุณจะไม่มีดวงกับการเสี่ยงโชค และซื้อหวยไม่เคยถูกเลยแม้แต่งวดเดียวแต่รอบนี้คุณคิดถูกครับ เพราะคนที่อยู่ตรงหน้าหนุ่มผิวแทนแบบระยะห่างระหว่างเท้ากับหน้าเพียงแค่หนึ่งช่วงแขนนั่นก็คือ หนุ่มรูเบน หนุ่มฝรั่งเศสตาสีฟ้าเจ้าของเสียงนุ่มลึก ซึ่งตัวหนุ่มธันก็ได้ทำหน้ามุ่ยรอทันทีที่สบตากับหนุ่มตัวสูงเข้า
   แตกต่างกับเพื่อนร่วมโต๊ะของอย่างสิ้นเชิง เพราะ เมื่อเหลือบตาไปมองทางด้านฮานะ เธอก็ได้เอามือมาเกยคางพร้อมทั้งทำสายตาชวนฝันจ้องไปยังหนุ่มหน้าคมเรียบร้อยแล้ว ตัดภาพมายังหนุ่มตัวกลมที่ทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นหน้าหนุ่มรูเบน แต่กลับทำท่าทีเขินหนักเมื่อพี่อ้นโบกมือทักทายตรงมายังโต๊ะ หรือแม้กระทั่งหนุ่มเดวิดก็ยังยิ้มอย่างเป็นมิตรไปให้หนุ่มตาฟ้าบนเวที ก็เห็นจะมีแต่หนุ่มตัวเล็กนี่แหละ ที่เริ่มจะทำหน้าเหม็นเบื่อเหมือนกับว่าค่ำคืนนี้มันไม่น่าอภิรมย์เท่าที่ควรซะแล้ว
   ในขณะเดียวกันหนุ่มรูเบนก็มีท่าทีแปลกๆจนสังเกตได้เมื่อหันมาพบกับกลุ่มของหนุ่มธันที่นั่งอยู่หน้าเวที หนุ่มตัวสูงถึงกับขมวดคิ้วเล็กน้อยและหากคนตัวเล็กตาไม่ฝาดเขาก็แอบเห็นคนตรงหน้าทำปากขมุบขมิบก่อนที่จะหันไปพูดอะไรบางอย่างกับคนในวง ซึ่งถึงแม้เขาจะนั่งติดหน้าเวทีและระยะทางก็เพียงแค่เอื้อมมือ แต่ด้วยความที่ว่าลูกค้าคนอื่นๆเริ่มทยอยเข้ามาในร้าน และเสียงเพลงที่เปิดคลอผ่านลำโพงก็มีระดับเสียงค่อนข้างดังทำให้เขาได้ยินไม่ถนัดนัก
   และหากสังเกตอากัปกริยากับสีหน้าของคนในวงก็เดาได้ไม่ยากว่าเรื่องที่คุยกันไม่น่าใช่เรื่องที่ดีนัก เพราะหลังจากหนุ่มรูเบนของเราหันมาคนอื่นๆในวงก็แอบลอบถอนหายใจพร้อมส่ายหัวเล็กน้อยก่อนจะหันไปเช็คเครื่องดนตรีของตนต่อ แต่หลังจากนั้นเพียงครู่รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของทุกคนตามเดิม อย่างว่าถึงจะมีเรื่องที่ไม่ค่อยพอใจหรือต่อให้รอยยิ้มที่ออกมาต้องเป็นการแสร้งยิ้มหรือเป็นยิ้มการค้า แต่ว่างานสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชม รอยยิ้มก็ยังคงสำคัญที่สุดและวงนี้ก็ดูจะเป็นมืออาชีพอยู่พอสมควร ที่สามารถข่มอารมณ์ของตนไว้ข้างในได้
   “Hello, do you know what would you want?” (สวัสดีคะ พร้อมสั่งอาหารหรือยังคะ) พนักงานเสิร์ฟสาวเดินเข้ามาตรงกลางระหว่าง ธันและแบมบูเพื่อทำการรับออเดอร์
   “คนไทยป่ะจ้ะ” แบมบูเลื่อนเมนูที่ถือไว้ลงมาใต้ระดับตา ก่อนที่จะพูดภาษาไทยสำเนียงอีสานหน่อยๆ ตอบกลับไป
   “อ้าว คนไทยกันเหรอคะ นึกว่าไม่ใช่คนไทยดูจากหน้าจากการแต่งตัวเหมือนคน เกาหลี ญี่ปุ่นกันหมดเลย” พนักงานเสิร์ฟดูชะงักเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับด้วยภาษาไทยสำเนียงใต้เช่นกัน
   “อ๋อ คนไทยแค่สองคนครับ ส่วนสองคนนี้คนไต้หวันแล้วก็คนญี่ปุ่นครับ” ธันพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อนที่จะผายมือไปที่ เดวิด และ ฮานะ ตามลำดับ ซึ่งทั้งสองคนก็ยิ้มน้อยๆตามมารยาท เมื่อธันผายมือไปยังเขาแต่ละคนแม้จะดูเหมือนว่า ทั้งคู่จะไม่เข้าใจบริบทที่ธันและแบมบูพูดสักนิดเลยก็ตาม
   “มีอะไรน่ากินบ้างจ๊ะพี่จ๋า แนะนำหนูหน่อย หนูเพิ่งเคยมาร้านครั้งแรก” แบมบูพูดพร้อมกับเอาตัวและสมุดอาหารเลื่อนเข้าไปใกล้ๆพี่พนักงานเสิร์ฟ
   “อ๋อ ร้านเราขึ้นชื่อพวกเรื่องยำ และ ก็พวกแกงเผ็ดค่ะ รสชาติจัดจ้าน ซี้ดซาด เหมือนเอาพริกทั้งสวนมาใส่ อร่อยแบบเต็ม สิบ สิบ สิบ กรรมการหาจุดหักไม่ได้เลยอ่ะค่ะ คุณน้อง คุณพี่รับรองว่าถ้าคุณน้องได้ลองกินจะต้องติดใจกลับมาที่ร้านพี่ทุกอาทิตย์แน่นอนค่ะ” พนักงานสาวใต้ลดตัวลงมาเล็กน้อยให้อยู่ระดับเดียวกับธันและแบมบู ก่อนจะอธิบายเมนูเด็ดอยากออกรสออกชาติ
   “กลับมาทุกอาทิตย์ เพราะอร่อยเหรอคุณพี่”แบมบูถามด้วยท่าทีกระเซ้าเย้าแหย่
   “อร่อยก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่กลับมาเพราะที่ร้านพี่ใส่กัญชาน่ะค่ะ ลูกค้าเลยติดกันงอมแงม แล้วที่ออสเตรเลียดันไม่มีถ้ำกระบอกด้วยเลยรักษากันไม่หาย” พนักงานสาวพูดไปก็กลั้นขำไป และเมื่อพูดจบประโยคทั้งหนุ่มตัวเล็กและหนุ่มตัวกลมก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ทิ้งไว้แต่หนุ่มไต้หวันและสาวญี่ปุ่นที่ตอนนี้เริ่มนั่งกันอยู่ไม่สุขแล้ว
   “Oh sorry, Hana. Sorry, David. We don’t want to rude with you but when we talk with someone who has the same nationality, it quite hard to speak with each other in English” (โอ้ ขอโทษนะฮานะ ขอโทษนะเดวิด เราไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาทกับพวกนายนะแต่เวลาเจอใครที่มาจากประเทศเดียวกันมันก็อดไม่ได้ที่จะพูดภาษาบ้านเกิดน่ะนะ) ธันพูดพร้อมยิ้มแห้งๆกลับไปทันทีหลังจากหันมาเห็นเพื่อนทั้งคู่เริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก ซึ่งหนุ่มผิวแทนก็เข้าใจความรู้สึกของทั้งสองคนได้ ถ้าเรานั่งอยู่ในกลุ่มคนที่พูดภาษาเดียวกันแล้วเราเป็นคนเดียวที่ไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไรกัน มันก็คงกระอักกระอวก น่าดู ดังนั้นธันจึงสะกิดแบมบู ที่ยังคุยกับพนักงานเสิร์ฟอย่างออกรสออกชาติให้หันมารู้สึกผิดร่วมกัน ซึ่งเมื่อหนุ่มตัวกลมผละออกจากบทสนทนาและหันมามองเพื่อนทั้งสองก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะกระแอมไอ เพื่อแก้เก้อและหันมาสอบถามเพื่อนทั้งสองว่าเลือกอาหารกันได้หรือยัง
   “I am ok with everything but not spicy please and do you want to drink with me?”(เราเอาอะไรก็ได้แต่ขอไม่เผ็ดนะ อ๋อ แล้วมีใครอยากกินเครื่องดื่มแอลกฮอลล์กับเราปะ?) สาว ฮานะพูดขึ้นก่อนจะหันซ้ายหันขวามองหาแนวร่วมดื่มน้ำเมากับเธอ
   “I am not good at eat spicy too but I will fight tooth and nail for beer, Do you want to duel with me, Hana?” (ฉันก็กินเผ็ดไม่เก่งเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นเรื่องเบียร์ผมสู้ไม่ถอยแน่นอน ฮานะอยากจะลองดวลกับฉันไหม) เดวิดที่พอได้ยินเรื่องเบียร์ก็หูตาผึ่งเปลี่ยนเป็นคนละคน แถมมีการหันไปท้าฮานะแข่งอีกต่างหาก งานนี้ไม่ใครก็ใครต้องมีหลับคาโต๊ะกันไปข้างแน่ๆ
   “Oh ok, if you guy cannot eat something hot we might order Grilled chicken, Pad Thai with shrimp, Papaya salad one spicy for me and Bamboo and one is not for your guys. Is that ok?” (โอเค ถ้าพวกนายกินเผ็ดไม่ได้ งั้นเราสั่งไก่ย่าง ผัดไทยกุ้ง ส้มตำเผ็ดหนึ่งสำหรับฉันกับแบมบูไม่เผ็ดสำหรับพวกเธอหนึ่งโอเคไหม?) ธันมองเมนูแล้วลองเลือกสิ่งที่คิดว่าเพื่อนน่าจะกินได้ก่อนจะลองถามความเห็นอีกที
   “That good I love Pad Thai but you guy have to drink beer with us, Ok?” (โอเคเลย ฉันชอบกินผัดไทยมาก ก.ไก่ ล้านตัว แต่ว่าพวกนายต้องกินเบียร์กับพวกฉันด้วย ตกลงไหม) ฮานะยิ้มด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ซึ่งนั่นก็ทำให้ หนุ่มผิวแทนมองว่าเธอเป็นสาวใสๆ น่ารักคาวาอิไม่ได้อีกต่อไป
   “ขอโทษที่ขัดจังหวะนะคะ จะสั่งอาหารกันเลยไหมเอ่ย พอดีแขกเริ่มเข้าร้านเยอะแล้ว พี่กลัวว่าพวกน้องจะรอกันนานน่ะค่ะ” พี่สาวเสริฟ์คนเดิมเลยบี้ออเดอร์จากโต๊ะหนุ่มผิวแทน เนื่องจากเธอยืนคอยค่อนข้างนานจนหางคิ้วเริ่มจะกระตุกและถ้าโต๊ะหนุ่มตัวกลมยังไม่รีบสั่งอวัยวะส่วนอื่นก็น่าจะกระตุกตามเหมือนกัน
   “โอเค คุณพี่ น้องเอา ไก่ย่าง ผัดไทยกุ้งสด ส้มตำปูปลาร้าแซ่บๆหนึ่ง ส้มตำไทยไม่ใส่พริก แบบเด็กอนุบาลกิน แล้วก็เบียร์ด้วยค่า” แบมบูลากหากเสียงยาวจนดูจะเป็นการกึ่งๆประชดประชันสาวเสิร์ฟอยู่ในที เนื่องจากเธอก็เห็นว่าพวกเขาก็ปรึกษาเรื่องอาหารกันอยู่ดังนั้นการที่เธอมาถามกึ่งกดดันมันก็ทำให้แบมบูไม่ค่อยจะชอบใจหนัก
   “ไก่ย่างนี้เอายังไงดีคะเป็นชิ้น ครึ่งตัว หรือตัวหนึ่งเลยดี” พนักงานสาว ถามขึ้นเสียงดังเพื่อแข่งกับเสียงเพลงในร้านขณะที่มือก็ยังจดออเดอร์ไม่หยุด
   “เอาแบบดิบก็ได้ค่ะ” แบมบูแอบพูดงึมงำในลำคอ โชคดีที่เสียงนั้นเบามากจนไมม่มีใครได้ยิน
   “เอามาครึ่งตัวก็น่าจะพอครับพี่ ว่าแต่เบียร์นี่ขายยังไงอะครับ” หนุ่มธันซึ่งเห็นสีหน้าแบมบูไม่ค่อยจะสู้ดีแล้ว เป็นฝ่ายเอ่ยปากแทน
   “ก็มีแบบกระป๋อง แบบขวด แบบเหยือกอ่ะคะ แล้วแต่ยี่ห้อ” สาวใต้ทำท่าคิดนิดหนึ่งก่อนที่จะตอบ
   “Shall we start with one jar first? I mean beer” (เราควรสั่งเบียร์มาลองเหยือกหนึ่งก่อนไหม) หนุ่มธันหันไปถามฮานะกับเดวิด ซึ่งทั้งสองคนก็พยักหน้ากันรัวๆทันที สงสัยจะอยากเบียร์กันเต็มแก่แล้ว
   “ค่ะ งั้นก็เอาเบียร์หนึ่งเหยือกนะคะ ส่วนยี่ห้อเดี๋ยวพี่แนะนำให้รับรองไม่ผิดหวัง” สาวเสริฟ์พูด ก่อนจะสะบัดบ็อบเดินจากไป
   “เอาข้าวเหนียวมาด้วยนะพี่ ได้ยินไหมวะ” แบมบูตะโกนไล่หลังไป แต่พอเห็นสาวเจ้าไม่หือไม่อือ ก็ได้แต่ขมวดคิ้วพร้อมสบถออกมาเบาๆ
   “Thank you everybody for coming, Are you ready for fun” (ขอบคุณทุกคนที่มานะครับ ทุกคนพร้อมที่จะไปสนุกด้วยกันหรือยังครับ) เสียงทุ่มนุ่มละมุน ดังกังวานขึ้นมาจากบนเวที แถมเจ้าของเสียงเองก็ยังทำท่าทีทะเล้นด้วยการป้องหูรอฟังคำตอบพร้อมทั้งส่งยิ้มกระชากใจลงมาอีกต่างหาก ไหนจะดวงตาสีฟ้าคู่สวยที่ไล่มองสบตากับแขกแต่ละโต๊ะนั้นอีก ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็เพียงพอที่จะดึงความสนใจจากคนด้านล่างได้อย่างอยู่หมัด ซึ่งหลังจากพูดจบเสียงกรี๊ดจากสาวๆก็ดังมาจากทุกสาระทิศ จนเดวิดต้องเอามืออุดหูเพราะฮานะที่นั่งข้างเขา ก็กรี๊ดจนคอแทบจะแตกอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ว่าใครจะมีท่าทียังไง หนุ่มตัวเล็กของเราก็ยังคงกรอกตาจนจาดำแทบจะไปเอ่ยทักทายกับก้านสมองอยูเหมือนเดิม
   “อยากรู้จริงๆ ว่าถ้าสาวๆพวกนี้เขารู้ว่า พ่อนักร้องสุดโปรดของพวกเขา เป็นคนมนุษย์สัมพันธ์ห่วยขนาดไหนจะยังกรี๊ดกันอยู่ไหม
    “บ่นอะไรอ่ะ หรือคุยกับแม่ซื้อ” คนตัวกลมซึ่งถึงแม้จะต้องตะโกนแข่งกับเสียงดังรอบข้างแต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะหันมาแซว
  หนุ่มธันค่อยๆผละมือออกจากคางก่อนจะหันมายิ้มให้หนุ่มตัวกลม พร้อมกับบรรจงเอานิ้วชี้ไปที่ปากของตัวเองก่อนจะขยับปากช้าๆ ชัดๆ ซึ่งแบมบูก็ต้องสะดุ้งตัวเล็กน้อย พร้อมยิ้มแห้งๆเพราะรูปปากมันจะอ่านเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลยนอกจากคำว่า “เผือก”
   “Thank you for cheering me up and we will start this night with this song” (ขอบคุณสำหรับเสียงเชียร์นะครับ เรามาเริ่มต้นคืนนี้ด้วยเพลงนี้กันดีกว่า) รูเบนไม่พูดเปล่าขยิบตาลงมาอีกครั้ง ซึ่งก็ทำให้เสียงเชียร์ก็ดังกระหึ่มขึ้นอีกระลอก
   หลังจากหันไปพยักหน้าให้กับคนในวง หนุ่มหน้าคมก็ถอดไมค์ออกจากขาตั้งก่อนจะเริ่มต้นเปล่งเสียงร้องที่ทั้งนุ่มและมีเอกลักษณ์ออกมา
“Let’s Marvin Gaye and get it on
You got the healing that I want
Just like they say it in the song
Until the dawn, let’s Marvin Gaye and get it on”
   หนุ่มตัวเล็กถึงกับต้องเอาแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดปากเนื่องมาจากอาการสำลักน้ำ เพราะทันทีที่หนุ่มตัวสูงเปล่งเสียงใสดังกังวานออกมา มันก็ทำให้หนุ่มผิวแทนต้องแอบตะลึงเล็กน้อยด้วยหนุ่มตาฟ้ามีเนื้อเสียงที่ค่อนข้างละม้ายจนเกือบจะคล้ายกับต้นฉบับ อีกทั้งเขายังมีเทคนิคการร้องไล่ระดับเสียงสูงต่ำแบบไม่มีที่ติ ไหนจะความแข็งแรงของเสียงก็ดูดีจนเกินกว่าจะเป็นนักร้องมือสมัครเล่นที่เล่นตามผับตามบาร์นั่นอีก ที่สำคัญแม้ในใจหนุ่มผิวแทนจะไม่ชอบขี้หน้าคนร้องบนเวทีสักเท่าไหร่นัก แต่ ณ จุดนี้ก็ต้องยอมรับว่าเสน่ห์ของคนบนเวทีนั้นเหลือร้ายจริงๆ
   บรรยากาศโดยรอบร้านเกิดเงียบเป็นเป่าสาก จากที่แต่ละโต๊ะพูดคุยกันเสียงดังอย่างออกรสออกชาติ บางโต๊ะก็แย่งอาหารกันเสียงดังโฉ้งเฉ้งช้อนส้อมตีกันเป็นพันลวัน แต่เมื่อรูเบนเริ่มร้องเพลงเสียงโดยรอบก็เริ่มเงียบลงเรื่อยๆจนเงียบสนิท เหมือนหนุ่มตาฟ้ามีเวทมนตร์ที่สามารถสะกดทุกคนให้หันมาสนใจเพียงแค่เขาได้ โซนข้างล่างอาจจะมองไม่เห็นเด่นชัดเท่าไหร่ว่าหนุ่มคนนี้กระชากใจคนดูได้ขนาดไหน แต่โซนชั้นลอยด้านบนนี้เห็นชัดเจนมาก เพราะสมาชิกที่นั่งอยู่ในแต่ละโต๊ะ ค่อยๆทยอยลุกออกจากโต๊ะมาชะโงกหน้ามองหาเจ้าของเสียงเพลงกันวุ่นวายไปหมดจนน่ากลัวว่าจะหลุดออกมาจากกระจกกั้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีอยู่หนึ่งคนที่สามารถหลุดออกมาจากมนต์สะกดได้
   หลังจากหนุ่มธันเคลิ้มและเผลอยิ้มมุมปากไปกับหนุ่มบนเวทีเกือบครึ่งค่อนเพลง เขาก็เริ่มดึงสติได้และก็กลับมาขมวดคิ้วเข้าหากันตามเดิม ก่อนจะเบือนหน้าหนี ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พนักงานเสริฟ์ของเราเริ่มลำเลียงอาหารมาวางบนโต๊ะ ซึ่งพอเธอวางจานสุดท้ายเสร็จแล้วเงยหน้าขึ้นมองหนุ่มผิวแทนซึ่งทำหน้าบึ้งอยู่ก็อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
   “เป็นอะไรคะไม่ชอบนักร้องเหรอคะ” พนักงานเสริฟ์ถามพร้อมยิ้มแปลกๆ
   “อะ อ๋อ เปล่าครับพอดีไม่ค่อยถนัดฟังเพลงสากลเท่าไหร่อะครับ” หนุ่มธันเกาหัวแกร็กๆพร้อมยิ้มแห้งๆกลับไป
   “โอ้โห น่ากินจังเลยนะครับ Hey, Guy I am hungry let’s eat first.” (เพื่อนๆเราหิวแล้วมากินกันก่อนเถอะ) หนุ่มตัวเล็กถึงกับต้องหลบฉากหันหน้ามาทางเพื่อน เพราะพี่พนักงานเสริฟ์ยังจ้องเขาไม่หยุด แต่พอหันกลับมาทางเพื่อนก็เห็นแต่ละคนตกอยู่ในภวังค์ ไม่เว้นแม้แต่เดวิดซึ่งนั่นก็ทำให้คิ้วของหนุ่มธันขมวดเป็นปมก่อนจะถอนหายใจออกมาเล็กๆ ซึ่งก็มีเสียงถอนหายใจดังซ้อนมาทางด้านหลังด้วยเหมือนกันก่อนจะมีเสียงก้าวเดินจากไป ซึ่งหนุ่มธันก็ทำอะไรไม่ได้ดีกว่าการหันกลับไปมอง หลังจากข่มใจไม่ให้เดินไปเอาเรื่องพนักงานสาวได้ คนผิวแทนก็เริ่มที่จะรินน้ำสีทองใส่แก้วให้เพื่อนๆ ไปพลางๆ เพราะตอนนี้ทุกคนยังคงตกอยู่ในอาการเคลิ้มกันอยู่
"Just like they say it in the song
Until the dawn, let's Marvin Gaye and get it on
Just like they say it in the song
Until the dawn, let's Marvin Gaye and get it on, Woo"
   เสียงกรี๊ดและเสียงผิวปากดังกระหึ่มมาจากทั่วทั้งร้านทันทีหลังจากรูเบนจบประโยคด้วยการตะโกนขึ้นฟ้า ยิ่งเขาหันมาขยิบตาและกัดริมฝีปากให้สาวๆข้างล่างเวทีเป็นการปิดท้าย ก็ยิ่งทำให้สาวๆและหนุ่มๆบางคนเช่นคนข้างตัวหนุ่มผิวแทน กรี๊ดกร๊าดกันอีกระลอกจนกระจกในร้านสั่นไหวเบาๆ
   หลังจากจบเพลงแรกบนเวทีก็ง่วนอยู่กับการเตรียมตัวที่จะร้องเพลงต่อไป ซึ่งก็เหมือนกันกับโต๊ะของหนุ่มตัวกลมและหนุ่มผิวแทน ที่ทั้งสี่คนก็กำลังง่วนอยู่กับการกินอาหารตรงหน้า แต่ดูเหมือนว่าขณะที่หนุ่มตาฟ้ากำลังจะอ้าปากร้องเพลงถัดไป พี่พนักงานสาวก็ยื่นกระดาษเล็กๆที่ม้วนไว้อย่างดีเหมือนกระดาษขอเพลงจากลูกค้ายื่นส่งให้หนุ่มนักร้องนำ และหากเขาไม่ได้คิดไปเอง เขาก็แอบเห็นหนุ่มตาฟ้าเหลือบมามองใครสักคนบนโต๊ะด้วยหางตาก่อนจะหันไปคุยอะไรบางอย่างกับพี่อ้น ซึ่งนั่นก็ทำให้พี่อ้นหน้ามุ่ยเล็กน้อยก่อนที่จะถอดสายคล้องกีตาร์ออกจากตัวแล้วยื่นกีตาร์ให้หนุ่มรูเบนไป ส่วนตัวเองก็เลื่อนตัวขึ้นมากุมไมค์แทน
หัวข้อ: when love travel ความรักและน้ำเมา ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 01-06-2020 21:53:11
“เอาละหลังจากฟังเพลงสากลจากคนขี้เหร่กันไปแล้ว เรามาฟังเพลงไทยจากหนุ่มหน้ามนคนชื้ออ้นกันบ้างดีกว่านะครับ เอาละ มา” ถือว่าพี่อ้นรับช่วงต่อได้ค่อยข้างดีเพราะขณะที่ลูกค้าในร้านบางโต๊ะเริ่มหันมาซุบซิบกันว่าทำไมถึงมีการเปลี่ยนตัวนักร้อง พี่อ้นก็ทำการเรียกความสนใจจากลูกค้ากลับมาได้อย่างรวดเร็วด้วยประโยคดังกล่าว และเมื่อหนุ่มผมยาวเปล่งเสียงร้องออกมาก็ต้องบอกว่าทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวแต่ก็ต้องยอมรับข้อเท็จจริงอยู่อย่างหนึ่งว่าแม้ หนุ่มตี๋ของเราจะร้องเพลงได้ค่อนข้างดีแต่ก็ยังดีไม่พอเมื่อเทียบกับนักกีตาร์จำเป็นที่ดีดคอร์ดกีตาร์อยู่ด้านหลัง และแม้ว่าเขาจะโดนลดทอนความเด่นลงไปเล็กน้อยแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เสน่ห์ของเขาลดลงเลยเพราะการจับคอร์ดกีตาร์ของเขาก็รวดเร็ว ไหลลื่น และแพรวพราวไปด้วยเทคนิคไม่ต่างจากการร้องเพลงที่เขาทำเมื่อสักครู่ เผลอๆการดีดกีตาร์และร้องเป็นแบ็คอัพให้กับพี่อ้นยิ่งทำให้เขาดูมีออร่าน่าค้นหามากกว่าตอนร้องเพลงเสียอีกยิ่งเม็ดเหงื่อที่ผุดออกมาตามกรอบหน้าและไรผมนั่นยิ่งทำให้สาวๆที่นั่งอยู่มุมตรงหน้าเขาแทบจะคลั่งตายกันไปข้าง
   “กรี๊ดๆ หล่อจังเลยค่า” หนุ่มตัวกลมป้องปากตะโกนขึ้นไปบนเวที อยู่เนื่องๆหลังจากพี่อ้นได้มาจับไมค์แทนและเหมือนจังหวะหนึ่งพี่อ้นก็คงจะรู้สึกถึงเสียงตะโกนได้เพราะเขาได้หันหน้ามาทางโต๊ะของหนุ่มผิวแทนก่อนจะขยิบตาให้ และนั่นก็ยิ่งทำให้คนที่นั่งข้างๆเขาส่งเสียงหวีดร้องดังหนักขึ้นไปอีก จนโต๊ะข้างๆถึงกับหันมามองด้วยความตกใจ เดือดร้อนถึงหนุ่มธัน เดวิด และฮานะต้องทำการยิ้มแห้งๆและผงกหัวเป็นการขอโทษกลับไป
   ราตรีนั้นราตรีนั้นค่อยๆเคลื่อนคล้อยไปเหมือนกับบทเพลงที่คนเวทีนำออกมาร้องแพลงแล้วเพลงเล่าแต่ก็เหมือนกับงานเลี้ยงทุกงานที่ย่อมต้องมีวันเลิกรา และเมื่อบทเพลงสุดท้ายมาถึงคนในวงทั้งหมดก็ออกมายืนเรียงหน้ากระดานไม่เว้นแม้กระทั่งมือกลองก่อนที่จะโค้งคำนับและก็เป็นพี่อ้นที่เป็นคนพูดปิดท้ายค่ำคืนนี้ด้วยประโยคที่ว่า
   “ขอบคุณแฟนคลับทุกคนที่มาให้กำลังใจวง One upon a dream นะครับคืนพรุ่งนี้เราจะไปเล่นกันที่ไหนไปตามดูตารางงานของพวกเราได้ใน IG วงเลยนะครับ ขอให้กินอาหารให้อร่อยใครที่จะเดินทางกลับบ้านก็ขอให้เดินทางกลับดีๆ นะครับ” พูดจบก็คำนับอีกครั้งก่อนที่จะลงเวทีไป แต่ตอนปิดท้ายนี้เสียงเชียร์จะดูแผ่วๆกว่าตอนแรกหน่อยไม่ใช่ว่าคนกล่าวปิดขาดแรงดึงดูดแต่เป็นเพราะเวลามันก็ล่วงมาเกือบจะตีสามแล้ว ลูกค้าในร้านก็เริ่มจะบางตาส่วนลูกค้าที่ยังนั่งอยู่บางคนก็เริ่มจะสัปหงกกันแล้ว และเนื่องจากเป็นร้านอาหารไทย กฎก็เลยยืดหยุ่นได้อยู่บ้างแต่หากคุณไปผับท้องถิ่นของออสเตรเลียหากคุณสัปหงก เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะมาเชิญคุณกลับไปนอนที่บ้านทันที ฮานะกับเดวิดกลับไปเมื่อสักชั่วโมงที่แล้วแล้ว เนื่องจากรถไฟเที่ยวสุดท้ายของทั้งคู่อยู่ที่เวลาประมาณ ตีสองสามสิบดังนั้นถึงแม้จะเป็นกังวลเล็กน้อยว่าเพื่อนที่เหลือทั้งสองจะกลับยังไงแต่เมื่อได้รับคำยืนยันหนักแน่นจากทั้งคู่ว่าให้กลับไปก่อนได้เลยไม่ต้องเป็นห่วงเพราะว่าหนุ่มแบมบูจะรอกลับพร้อมกับเจ้าของห้อง ฮานะกับเดวิดจึงไม่มีทางเลือกต้องปล่อยไปตามความต้องการของทั้งสองคนแต่สาวญี่ปุ่นก็ยังกำชับว่าให้ส่งข้อความมาบอกเธอด้วยหลังจากถึงห้อง ทว่าหลังจากสองคนคล้อยหลังไปสักพักหนุ่มตัวเล็กก็ฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะ อันเนื่องมาจากอาการร้านหมุนสาเหตุก็คงไม่พ้นมาจากการโดนบังคับกินเบียร์ไปร่วมสิบแก้วจะปฏิเสธก็กลัวจะเสียน้ำใจเพื่อน สภาพเลยเป็นอย่างที่เห็นส่วนหนุ่มแบมบูเองก็มีสภาพไม่ต่างกันแต่สาเหตุไม่ใช่เพราะโดนคะยั้นคะยอกิน แต่เป็นเพราะนักร้องนำจำเป็นมันช่างถูกใจเขาเหลือเกินยิ่งดูยิ่งเพลินยิ่งเพลินยิ่งกระดก ตอนนี้เลยต้องลงไปนั่งคุยกับขาโต๊ะ
   “เอาไงดีวะ กูลากกลับพร้อมกันสองคนไม่ไหวนะเว้ย ดันไม่เหลือสติด้วยกันทั้งคู่ด้วย”พี่อ้นทำท่ากอดอกอย่างกลุ้มใจเมื่อเดินมาเจอสภาพของสองหนุ่มที่ทั้งสองคนเปิดวาร์ปไปเฝ้าพระอินทร์กันเรียบร้อยแล้ว
   “เอางี้ไหมพี่เดี๋ยวพี่แบกคนตัวใหญ่กลับไป เดี๋ยวคนตัวเล็กผมแบกกลับเอง แล้วถ้าเขาตื่นเดี๋ยวผมไปส่ง” ถึงแม้ตาของคนตัวเล็กจะหนักเกินกว่าจะลืมขึ้นมาดูว่าใครเป็นเจ้าของเสียง แต่เขาก็สามารถรับรู้ได้ว่าน่าจะเป็นใครคนใดคนหนึ่งในวงของพี่อ้น เป็นคนพูดขึ้น ซึ่งถ้าจะให้เดาก็น่าจะเป็นพี่มือกลอง หรือไม่ก็พี่มือเบส เพราะสำเนียงที่พูดเป็นสำเนียงคนไทยแท้ๆ อีกอย่างคนตาฟ้าเองก็ไม่น่าจะมีน้ำใจพอที่จะมาทำเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย และนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่สติของหนุ่มผิวแทนจะรับรู้ได้ก่อนสติจะวูบดับไป
   “เออ เอางั้นเหรอวะ ก็ได้แต่มึงอย่าทำอะไรน้องเขานะเว้ย คนนี้กูหวง” หนุ่มผมยาวกำชับก่อนจะหันไปฉุดกระชากลากถูหนุ่มแบมบูให้เอามือออกจากโต๊ะก่อนที่จะประคองกันออกจากร้านไป
   “ไม่ต้องห่วงหรอกครับพี่อ้น ผมจะดูแลให้เป็นอย่างดีเลย”เจ้าของเสียงพูดขึ้นมาในลำคอ ซึ่งฟังดูจากน้ำเสียงแล้วดูแฝงนัยยะอะไรบางอย่างจนน่าสงสัย
หัวข้อ: Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.8
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 01-06-2020 23:11:19
 :3123:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.8
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 02-06-2020 00:57:18
 :pig4: :pig4: :pig4:

ตะหงิดว่าคนที่รับอาสาแบกนู๋ธัญกลับบ้าน(เขา) น่าจะเป็นเจ้ารูเบนอ่ะแหละ

ป.ล. อิตารูเบนมันพูดไทยได้แหละ  มันฟังนู๋ธัญรู้เรื่องมาตลอดตั้งแต่ตอนอยู่บนเครื่องบินแล้ว  (เดาเอา)
หัวข้อ: Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.8
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 02-06-2020 01:25:11
 :pig4:
หัวข้อ: Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.8
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 02-06-2020 06:37:31
ไว้รอติดตามกันไปเรื่อยๆนะครับ
คนเขียนดีใจมากๆเลยที่เริ่มมีคนมาคอมเม้นเยอะๆแบบนี้ ขอบคุณทุกคนมากนะครับ
หัวข้อ: When love travel เป็นคนในความลับที่ยังบอกไม่ได้ ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 05-06-2020 20:52:26
เพดานห้องสีขาวสะอาดตา โคมไฟดาวไลท์เล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ตามมุมผนังห้อง บัวเพดานที่นูนออกมาเป็นรูปช่อดอกไม้สีขาว ผ้าม่านกำมะหยี่สีฟ้าที่ถูกรวบไว้กับพู่รวบผ้าม่านสีเหลืองทอง หน้าต่างสีขาวที่มีลวดลายบางอย่างที่ซึ่งมองไม่ค่อยถนัดเนื่องจากโดดแสงแดดยามเช้าตกกระทบจนลวดลายแลดูเบลอๆเล็กน้อย
สายลมที่แทรกตัวเข้ามาจากหน้าต่างได้หอบเอากลิ่นชื้นๆจากฝนเข้ามาด้วย ชะรอยตอนเช้ามืดฝนน่าจะตกเป็นแน่ รูปภาพติดผนังด้านหลังเป็นรูปของนกเป็ดน้ำสีสวยสองตัวกำลังแหวกว่ายน้ำอยู่กลางสระบัว หัวเตียงชั้นบนเป็นที่อยู่ของหุ่นฟิกเกอร์การ์ตูนโจรสลัดชื่อดังที่วางเรียงรายเต็มไปหมด แต่เมื่อมองดูใกล้ๆก็จะพบว่าตัวตุ๊กตาแต่ละตัวไม่มีฝุ่นจับเลยแม้แต่น้อย บ่งบอกได้ว่าเจ้าของดูแลทำความสะอาดเป็นอย่างดี เตียงนอนที่ปูด้วยผ้าปูสีดำตัดกับสีของทั้งห้องได้อย่างโดดเด่น
เตียงนอนที่คนตัวเล็กคดตัวอยู่ นั้นเป็นเตียงนอนขนาดใหญ่คาดคะเนจากตาแล้วน่าจะเป็นเตียงขนาดคิงไซต์ ผ้าห่มที่คลุมตัวเขาอยู่ ก็นุ่มนิ่มจนเหมือนเอาปุยเมฆมาห่ม แต่ก็คงไม่แปลกอะไรเพราะผ้าห่มที่เขาห่มอยู่นั้นเป็นผ้าห่มที่ทำมาจากขนแกะอันเป็นสินค้าท้องถิ่นขึ้นชื่อของออสเตรเลีย
ด้านขวามือของเตียงนอนเป็นฉากกั้นห้องที่ทำมาจากโครงเหล็กทั้งชิ้นซึ่งถูกฉลุเป็นลวดลายของนกนานาชนิด ถัดจากฉากกั้นก็เป็นโซนนั่งเล่นเล็กๆ โดยมีโซฟาสีน้ำเงินขนาดสองที่นั่งและฝั่งตรงข้ามก็เป็นชั้นวางทีวีและทีวีจอขนาดใหญ่ อีกทั้งยังมีภาพวาดขนาดใหญ๋ที่ขนาดสูงจากพื้นเท่ากับเพดานห้องแต่ก็ไม่รู้ว่าด้านในเป็นรูปอะไรเพราะถูกผ้าคลุมเก่าๆคลุมอยู่
ภายในห้องยังมีประตูอีกประตูซึ่งน่าจะเป็นประตูห้องน้ำ และถ้าจะให้เดาห้องๆนี้น่าจะเป็นห้องหลักเนื่องจากมีห้องน้ำอยู่ในตัว ซึ่งแค่เพียงเพดานห้องที่แตกต่างก็มากเพียงพอแล้วที่จะทำให้คนใต้ผ้าห่มรู้ว่าห้องนี้ไม่มีทางเป็นห้องของเขา อีกทั้งแสงของแดดที่กำลังแยงตาเขาอยู่ในตอนนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันชั้นดีว่าเขาไม่ได้ฝันไป
เหงื่อเริ่มซึมออกมาตามง่ามนิ้วมือนิ้วเท้าและไรผมถึงแม้ว่าอากาศของออสเตรเลียเช้านี้จะมีอุณหภูมิค่อนข้างต่ำก็ตาม คนบนเตียงนอนกระพริบตาไปมาเพื่อทำให้สายตาปรับเข้ากับแสงยามเช้าและเรียกสติของตัวเองไปในตัว ภาพสุดท้ายก่อนความทรงจำจะตัดไปคือเขาพยายามชวนแบมบูกลับบ้านแต่เจ้าน้องตัวดีก็ดันทุรัง จะรอพี่อ้นเจ้าของห้องท่าเดียว เขาซึ่งปกติแล้วก็จะเป็นคนหลงทางตลอดเวลาแม้จะมีตัวช่วยเป็น Google map แล้วก็ตาม ยิ่งอยู่ในสภาพเมามายแบบนี้โอกาสที่จะกลับถึงห้องยิ่งเป็นศูนย์
“ที่ไหนวะเนี่ย” หนุ่มตัวเล็กพูดกับตัวเองในหัว ก่อนที่จะพยายามยันตัวเองขึ้นมาจากที่นอนด้วยความยากลำบากเนื่องจากมีอาการหนักหัวซึ่งเป็นผลมาจากการดื่มอย่างหนักหน่วงเมื่อคืน
เสียงน้ำฝักบัวออกมาจากห้องน้ำที่ปิดอยู่ทำให้เขารู้ได้ว่าตอนนี้เขาไม่ได้อยู่เพียงลำพังคนเดียวในห้อง ฉับพลันเสียงบางอย่างในหัวเขาก็พูดขึ้นมาว่าต้องรีบออกจากห้องนี้ไปให้เร็วที่สุดขณะที่ยังมีโอกาส เพราะมันคงไม่ดีแน่หากประตูห้องน้ำเปิดออกมาแล้วดันพบว่าคนที่พาเขามานอนที่ห้องนี้เป็นคนที่เขาไม่รู้จัก ความรู้สึกมันคงจะกระอักกระอวกน่าดู เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงใช้แขนและขาดันผ้าห่มออกจากตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกขึ้นด้วยอาการโซเซเล็กน้อย
“กระเป๋าตังค์ มือถือ กุญแจอยู่ไหนวะ” หนุ่มผิวแทนตบกระเป๋ากางเกงและกระเป๋าเสื้อพยายามหาสัมภาระของตัวเอง เหงื่อที่ซึมออกมาบางๆกลับเริ่มไหลเป็นทางเนื่องจากความคิดในแง่ร้ายเริ่มผุดขึ้นมามากมายในหัว อย่างเช่นว่า เขาอาจจะโดนรูดทรัพย์ไปแล้วก็ได้ แม้ในใจจะรู้ดีว่ากระเป๋าเงินของเขามีเงินไม่ถึง 50 เหรียญออสเตรเลียก็ตาม (*เรทเงินล่าสุด 1 เหรียญเท่ากับ 20.70 บาท) และมือถือของเขาก็ไม่ใช่มือถือรุ่นใหม่อะไรแถมหน้าจอก็เป็นรอยขีดข่วนอยู่เต็มไปหมดอีกต่างหาก
หลังจากพยายามสอดส่ายสายตาอยู่ชั่วครู่เขาก็เห็นสัมภาระทั้งหมดของเขาวางกองอยู่บนโต๊ะกาแฟตัวยาวสีไม้โอ๊คที่อยู่ระหว่างหน้าทีวีและโซฟา เห็นดังนั้นเขาก็ออกเดินอย่างช้าๆ ซ้ายทีขวาทีไปที่เป้าหมายก่อนจะรวบทุกอย่างมาไว้ในมือ ก่อนจะต้องชะงักเล็กน้อยเพราะใต้ของๆเขากับเต็มไปด้วยรูปภาพและอัลบั้มเพลงของนักร้องคนโปรด อย่าง Charlie Puth และ Shawn Mendes แต่ก่อนที่จะทันได้รื้ออะไร จิตใต้สำนึกเขาก็ได้เร่งเร้าให้เขารีบเดินออกจากห้องโดยเร็ว ดังนั้นเขาจึงรีบเดินไปบิดลูกบิดและคงจะได้ก้าวออกไปจากประตูห้องแล้ว ถ้าหากสายตาไม่เหลือบไปเห็นถังขยะที่อยู่มุมห้องซะก่อน
“คุ้ยดีไหมวะ”ธันพึมพำกับตัวเองก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พร้อมนั่งยองๆเอามือค้นหาบางสิ่งในกองขยะ โชคดีที่ขยะเกือบทั้งหมดเป็นพวกเศษกระดาษและเศษกล่องขนม เพราะหากมีขยะเปียกเขาคงจะแขยงมือน่าดู
หลังจากคุ้ยดูสักครู่แล้วไม้เจอกล่อง ซอง หรือเศษซากถุงยางใช้แล้วเขาก็รีบลุกขึ้นยืนและบิดลูกบิดประตูออกไปทันทีซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับน้ำในห้องน้ำก็หยุดลงเช่นกัน แต่เมื่อก้าวเท้าออกมาจากห้องแล้วก็พบว่าห้องนี้เป็นห้องชุดเช่นเดียวกับที่อยู่ของเขาและห้องที่อยู่ติดกันก็เป็นห้องครัวที่ดันมีคนกำลังยืนทำอาหารอยู่พอดี และถ้าเขาจำไม่ผิดคนที่กำลังยืนหันหลังต้มอะไรบางอย่างอยู่นั้นก็เป็นพี่มือกลองที่เล่นดนตรีในวงพี่อ้นเมื่อคืน
ถึงแม้ในใจคนตัวเล็กจะรู้ว่าเป็นการเสียมารยาทถ้าหากเดินออกไปโดยไม่ทักคนในห้องเลย แต่ด้วยใจของเขาที่ไม่อยากจะเห็นคนที่อยู่ในห้องน้ำว่าเป็นใคร ดังนั้นเขาจึงรีบเดินสาวเท้าอย่างเงียบๆ ตรงไปที่ประตูที่อยู่มุมห้องและเมื่อบิดลูกบิดประตูได้เขาก็รีบ โกยอ้าวออกจากห้องไปทันทีโดยไม่ลืมที่จะถือรองเท้าของตัวเองออกมาด้วย
“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ คะ รับ” พี่มือกลองรีบหันมาทักทายทันทีหลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าของคนตัวเล็กเดินตรงดิ่งไปที่ประตู แต่เขาน่าจะรู้ตัวช้าไปหน่อยเพราะยังไม่ทันจะพูดจบประโยค ดี ประตูที่ถูกเปิดกระชากออกมาด้วยความรวดเร็วก็ค่อยๆปิดลงโดยไร้ซึ่งเงาของหนุ่มผิวแทน
“พี่ ไอ้ตัวเล็กในห้องผมมันไปไหนแล้วอ่ะ” เจ้าของห้องที่คนตัวเล็กได้อาศัยนอนเมื่อคืนถามขึ้นอย่างร้อนรน สายตาก็สอดส่ายไปทั่วทั้งห้อง
“เห็นเดินออกไปหลังไวๆ กูจะหันไปทักยังไม่ทันเลย คงไม่เป็นไรมั้ง ว่าแต่มึงอะแต่งตัวให้มันดีๆหน่อยก่อนจะออกมาได้ป่ะวะ กูไม่อยากเห็นของดีแต่เช้านะเว้ย” หนุ่มผิวแทนตัวใหญ่พูดจบก็รีบหันหลังกลับไปทำอาหารของเขาต่อ เนื่องจากว่าตอนนี้คนตรงหน้ามีแต่ผ้าเช็ดตัวปิดท่อนล่างอยู่และการผูกปมก็ดูหมิ่นเหม่จะหลุดแลไม่หลุดแล ซึ่งพอดูจากลักษณะแล้วคงคว้าอะไรได้ก็รีบหยิบรีบใส่ออกมาเลย
หนุ่มเจ้าของห้องทำเสียง จิ๊จ๊ะ ไม่พอใจในลำคอก่อนจะเดินกลับเข้าห้องสีขาวของเขาไปอย่างเสียไม่ได้
ทางด้านหนุ่มตัวเล็กของเราหลังจากออกมาจากตัวตึกได้ก็ยืนงงๆเบลอๆสักพัก หันซ้ายทีหันขวาที จนคุณป้าที่เดินผ่านมาอดไม่ได้ที่จะทักเข้าให้
ยี่สิบนาทีต่อมา หนุ่มตัวเล็กก็มายืนอยู่หน้าห้องของเขาซึ่งจริงๆแล้วเขาต้องมาถึงตั้งแต่สิบนาทีก่อนหน้าแต่ด้วยความที่เดินหลงทิศหลงทางจากที่ต้องเลี้ยวซ้ายตรงหัวมุมถนนตึกที่เขาออกมาก็กลับเลี้ยวขวาซะได้ จึงทำให้คลาดกับรถบัสสายที่จะมา อพาร์ทเม้นท์ของเขา แต่โชคก็ยังดีที่รถบัสคันถัดไปมาถึงติดๆกัน ไม่งั้นวันนี้เขาอาจจะต้องขาดเรียนทั้งๆ ที่เพิ่งจะเป็นการเรียนวันที่สอง
“เออ น้องมันกลับมาพอดี ไม่ต้องห่วงแล้ว” เมื่อก้าวเท้าเข้ามาในห้องคนตัวเล็กก็เห็นหนุ่มผมยาวกำลังคุยโทรศัพท์กับใครบางคนก่อนจะวางสายไป แต่ว่า ด้วยความที่ธันมีอาการเหนื่อยล้ามาจากเมื่อคืนบวกกับการวิ่งตามรถบัสเมื่อสักครู่ ทำให้เขาจับใจความไม่ได้ว่าพี่อ้นพูดอะไรกับใคร
“กลับมาแล้วเหรอ พี่กำลังเป็นห่วงเชียว” เจ้าของห้องหันมายิ้มให้ก่อนจะพูดไถ่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงเป็นใย
“ถ้าเป็นห่วงจริง เมื่อวานก็น่าจะพาผมกลับมาด้วยนะครับ พี่ไม่รู้หรอกว่าเมื่อเช้าตอนผมตื่นมาที่ห้องใครไม่รู้ ผมจะตกใจแค่ไหน” หนุ่มธันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มีอารมณืน้อยใจแฝงอยู่เล็กๆ 
สิ้นประโยคห้องทั้งห้องก็เงียบลงจนเสียง “แกร็กๆ” ของสายลมที่พัดมากระทบกับประตูบริเวณระเบียงห้องยังดังเสียกว่า
“ขอตัวนะครับ” ธันพูดตัดบทพร้อมกับเดินตรงไปยังห้องของตนที่อยู่บริเวณชั้นสอง
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอ” ยังไม่ทันจะเปิดประตูสุดแขน เสียงร่าเริงของแบมบูก็ลอดออกจากห้องมาทักทาย
“กลับมาแล้วเหรอนี่ไง กลับมาแล้วเหรอ” หนุ่มตัวเล็กเดินตรงปรี่เข้าไปแจกขนมตุ๊บตั๊บเข้าที่หนุ่มตัวกลม ตุ๊บ สอง ตุ๊บทันทีเมื่อเดินเข้ามาในห้องได้
“โอ๊ย อะไรเนี่ย มาตีน้องทำไม” แบมบูลูบแขนตัวเองป้อยๆ พร้อมกับมองหนุ่มตัวเล็กตาขวาง
“เมื่อวานแกกลับมายังไง ทำไมถึงไม่เอาฉันกลับมาด้วย รู้ไหมว่าเมื่อเช้าฉันต้องเจอกับอะไร” ธันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือด้วยพยายามจะสะกดกลั้นอารมณ์และน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
มันอาจจะฟังดูเหมือนโอเวอร์ไปเล็กน้อย แต่ความรู้สึกของหนุ่มผิวแทนมันแย่จริงๆ มันเหมือนถูกทิ้งและยิ่งได้เห็นว่าแบมบูกลับมานอนอยู่ในห้องเหมือนปกตินั่นยิ่งทำให้เขาน้อยใจว่าทำไม เจ้าของห้องถึงไม่พาเขากลับมาด้วย ถ้าแบกกลับพร้อมกันสองคนไม่ไหว ก็ไปส่งแบมบูก่อนแล้วค่อยวกกลับมารับเขาก็ได้
“เฮ้ยๆ เป็นอะไรอ่ะ โดนอะไรมาไหนเล่าสิ เฮ้ย มันหนักถึงขนาดจะร้องไห้เลยเหรอ น้องขอโทษน้องก็เมาเหมือนกัน ตื่นมาก็อยู่ในห้องแล้ว ไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งไว้คนเดียวนะเว้ย” หนุ่มแบมบูพูดขึ้นอย่างละล่ำละลัก เพราะเหมือนจะเห็นน้ำตาของหนุ่มตัวเล็กปริ่มมาตรงขอบตาแล้ว
“เออ ช่างเหอะ เดี๋ยวฉันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เดี๋ยวจะไปเรียนไม่ทัน” หนุ่มผิวแทนคว้าเสื้อผ้าในตู้ก่อนจะเดินตรงดิ่งไปเข้าห้องน้ำ โดยไม่หันกลับไปมองหนุ่มตัวกลมที่นั่งหน้าเหลือสองนิ้วอยู่บนเตียง
“ไม่มี ตรงนี้ก็ไม่มี เฮ้อ ค่อยโล่งอกหน่อย” หนุ่มธันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ด้วยความโล่งอก หลังจากสำรวจตัวเองในกระจกห้องน้ำเพื่อหาว่าตัวเองมีรอยจูบติดอยู่ตรงไหนหรือเปล่า แต่เมื่อหันซ้ายหันขวาสำรวจจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีร่องรอยบุบสลายใดๆ เกิดขึ้นบนตัวเขาก็ยิ่งมั่นใจว่าเมื่อคืนใครบางคนที่พาเขาไปนอนที่ห้องไม่ได้แตะต้องหรือล่วงเกินโดยเขาไม่ได้ยินยอมพร้อมใจ
“แต่งตัวเสร็จแล้วเหรอจ๊ะ” หนุ่มแบมบูพูดขึ้นด้วยเสียงอ่อยๆ แถมทำหน้าตารู้สึกผิดจนทำให้หนุ่มตัวเล็กแอบสงสารอยู่เหมือนกัน
“เออ ฉันไม่เป็นไรแล้ว ไปโรงเรียนเหอะ เดี๋ยวสาย” หนุ่มธันพูดขึ้นพร้อมกับคว้ากระเป๋าที่มีหนังสือเรียนอยู่ภายในก่อนจะเดินลงมายังชั้นล่าง
พี่อ้นยังนั่งอยู่ตรงโซฟาห้องรับแขกไม่ขยับเขยื้อนไปไหน และทันทีที่เห็นธันและแบมบูเดินลงมาจากบันได หนุ่มผมยาวก็เด้งตัวขึ้นก่อนจะเดินตรงดิ่งเข้าไปหาทั้งคู่
“เอ่อ... น้องธันครับ คือพี่”หนุ่มหน้าตี๋กำลังจะพูดอธิบายเรื่องมือคืนแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสายตาของหนุ่มตัวเล็กมองกลับมายังตน
“ผมจะไปรีบเรียนครับไม่มีเวลาคุย ขอตัวก่อนนะ”หนุ่มธันพูดจบก็ออกก้าวเดินไปเปิดประตูโดยไม่หันหลังกลับมามองหนุ่มตี๋แม้แต่น้อย ส่วนหนุ่มตัวกลมเองก็ได้แต่ส่งรอยยิ้มเจื่อนๆ ให้เจ้าของห้องก่อนจะรีบเดินตามหลังหนุ่มตัวเล็กไป
“...แล้วฉันก็รีบออกมาจากห้องเขา แต่ก่อนออกมาฉันแอบเห็นพี่มือกลองที่เล่นกับวงพี่อ้นอยู่เมื่อคืนนะ” หนุ่มตัวเล็กเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนให้หนุ่มตัวกลมฟังระหว่างเดินเท้าไปโรงเรียน
“อย่างนั้นก็หมายความว่าคนที่พาพี่กลับไปเมื่อคืน คือพี่มือกลองเหรอ”แบมบูถามขึ้นอย่างกระตือรือร้นอยากรู้อยากเห็น
“ไม่ใช่ เพราะเจ้าของห้องน่าจะกำลังอาบน้ำอยู่ ตอนที่ฉันอยู่ในห้องฉันได้ยินเสียงเปิดน้ำดังมาจากในห้องน้ำ” หนุ่มตัวเล็กพูดขี้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เหมือนกำลังใช้สมองคิดทบทวนเรื่อง เมื่อเช้าอยู่
“ถ้างั้นก็เหลือแค่พี่มือเบส แล้วก็ตารูเบนสิ” แบมบูพยายามจำกัดวงของคนที่น่าจะเป็นไปได้ให้แคบลง
“อาจจะใช่หรือไม่ใช่ รูเบนนี่ตัดไปได้เลย เมื่อวานเห็นโปรยสเน่ห์ให้แต่สาวๆ อีกอย่างคนมนุษย์สัมพันธุ์ติดลบอย่างตานั่น คงจะไม่สู้แบกฉันกลับมาให้เมื่อยหรอก แต่จะบอกว่าเป็นพี่มือเบสก็น่าแปลกใจอยู่นะ เพราะว่าคนเราเพิ่งเคยเจอกันครั้งเดียวจะถึงขนาดแบกกลับมาที่ห้องแถมยังห่มผ้าห่มถอดรองเท้าให้ด้วยเหรอ แกว่ามันไม่มากไปหน่อยเหรอวะ”หนุ่มธันหันมาถามความคิดเห็นหนุ่มแบมบู ซึ่งคิ้วของหนุ่มตัวเล็กตอนนี้ก็ได้ผูกกันเป็นปมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากกำลังใช้สมองอย่างหนัก
“ไม่แปลกหรอกถ้าคนมันชอบอ่ะ แต่จริงๆแล้วอาจจะเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่คนในวงก็ได้นะ อาจจะเป็นเพื่อนพี่อ้นคนอื่นหรือเปล่า” คนตัวกลมตอบกลับมาด้วยสีหน้าและคิ้วที่ผูกกันไม่ต่างจากคนตัวเล็กเท่าไหร่นัก เผลอแป๊บเดียวทั้งคู่ก็เดินมาถึงจุดหมายคือหน้าตึกโรงเรียนโดยธันได้บอกให้แบมบูขึ้นไปจองที่นั่งให้ก่อนเลยเพราะว่าเขาจะแวะซื้อกาแฟร้านลุงหนวดยาวที่ตั้งอยู่ใต้ต้น Golden panda หน้าโรงเรียนก่อน และถึงแม้หน้าตาของลุงเจ้าของร้านจะดูดุเคร่งขรึมตลอดเวลา
 แต่ว่าจริงๆแล้วคุณลุงเป็นคนที่ใจดีและใจเย็นมากเพราะตอนนี้ภาษาของคนตัวเล็กเองก็ยังไม่ได้แข็งแรงมากนักดังนั้นบางครั้งเมื่อสั่งเครื่องดื่มไปคุณลุงเองก็จะดูงงๆอยู่บ้างแต่ว่าไม่มีครั้งไหนเลยที่คุณลุงจะชักสีหน้าใส่หรือ พูดโต้ตอบด้วยท่าทีหงุดหงิด กลับกลายเป็นว่าคุณลุงจะยิ้มอย่างใจเย็นทุกครั้ง และจะถามกลับอย่างช้าๆชัดๆเพื่อให้คนตัวเล็กฟังได้ง่ายขึ้น ซึ่งมันทำให้คนตัวเล็กได้เรียนรู้ว่าบางครั้งเราไม่สามารถที่จะตัดสินคนอื่นจากที่เราเห็นภายนอกได้เลย
“ใครกันนะที่พาเรากลับมาเมื่อคืน อยากรู้จัง” หนุ่มผิวแทนจิบกาแฟที่เพิ่งได้มาในมือก่อนที่จะเหม่อมองขึ้นไปบนฟ้าเหมือนกับว่าจะถามคำถามกับใครสักคนข้างบนนั้น
เมื่อเดินก้าวเข้ามาในห้องเรียนก็พบว่าแบร์กำลังเช็คชื่อนักเรียนอยู่พอดีและโชคดีที่อาจารย์ยังเช็คชื่อไม่ถึงเขาดังนั้นเขาจึงรีบก้าวเท้ายาวๆไปนั่งข้างๆหนุ่มตัวกลมที่เว้นที่ไว้ให้เขา
“Hey why you didn’t text to me yesterday after you arrive home, I really worry about you guys” (นี่ทำไมเมื่อวานไม่ส่งข้อความหาตอนถึงบ้านอะ เราเป็นห่วงพวกเธอนะเว้ย) ก้นของหนุ่มธันยังไม่ทันจะถึงเก้าอี้ดี ฮานะก็ใช้นิ้วมือของเธอสะกิดเข้ากับข้อศอกของหนุ่มตัวเล็ก และเมื่อหันไปหาก็ต้องพบกับสีหน้าไม่พอใจของสาวญี่ปุ่น ซึ่งธันก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ายิ้มแห้งๆพร้อมตอบกลับเธอไปด้วยเสียงกระซิบเบาๆ
“Sorry Hana, I fell asleep last night after I am home” (ขอโทษนะฮานะ พอดีเมื่อวานฉันเผลอหลับตอนถึงบ้านแล้วน่ะ) ธันพูดพร้อมกับเอามือเกาหัวเล็กน้อย
“Oh, ok” (อ๋อ โอเคจ้ะ) ฮานะพูดพร้อมส่งยิ้มบางๆกลับมาให้
“Thun” แบร์ตะโกนเสียงดังลั่นห้อง และนั่นก็ทำให้หนุ่มผิวแทนสะดุ้งโหย่งก่อนจะยกมือขึ้นพร้อมขานต่อ
“I am here” หนุ่มตัวเล็กยกมือค้างไว้พร้อมยิ้มแหย่ๆไปทางที่แบร์ยืนอยู่
“Yes, I saw you already but I just want to remind you again, When I am speaking don’t butt in .Ok?” (ผมเห็นคุณตั้งนานแล้วแต่ผมแค่อยากจะเตือนคุณว่าอย่าพูดแทรกขณะผมพูดอยู่ เข้าใจไหม?) แบร์กรอกตาหนึ่งรอบก่อนจะพูดกับหนุ่มตัวเล็กด้วยเสียงที่นุ่มนวลกว่าตอนแรกแต่ก็ยังแฝงความเหนื่อยหน่ายอยู่ในที
 และเมื่อจบประโยคลงก็หันหลังไปที่กระดานไวท์บอร์ดเพื่อที่จะเริ่มทำการสอน ซึ่งแม้ประโยคดังกล่าวจะดูธรรมดาแต่มันก็ทำให้หนุ่มผิวแทนหน้าเสียอยู่ไม่น้อย แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้มากนอกจากจะค่อยๆ เอามือลงมาไว้ที่หน้าตักเหมือนเดิม แต่โชคดีที่เมื่อมองไปรอบๆ ห้องไม่มีเพื่อนร่วมห้องคนไหนขำที่เขาโดนเอ็ดสักคนมีแต่คนที่ยิ้มบางๆอย่างให้กำลังใจเมื่อธันหันไปสบตาพวกเขา
ยิ่งสาวฮานะที่เป็นคู่สนทนาของเขาเมื่อสักครู่ยิ่งแล้วใหญ่ เธอทั้งฝืนยิ้มและทำหน้ารู้สึกผิดในคราวเดียวกัน จะมีก็แต่หนุ่มตาฟ้าที่นั่งอยู่ตรงมุมห้องที่ทำหน้านิ่ง เรียบเฉยเหมือนเมื่อสักครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และนั่นยิ่งทำให้หนุ่มผิวแทนไม่ชอบหน้าเขายิ่งขึ้นไปอีก
“Ok, that enough for today” (เอาละวันนี้พอแค่นี้) เหมือนเสียงสวรรค์ เพราะทันทีที่แบร์พูดประโยคทองจบ ทั้งห้องก็โห่ร้องกันด้วยความยินดีก่อนจะเริ่มต้นเก็บหนังสือของตนลงกระเป๋าแต่ก่อนที่จะเคลื่อนตัวออกจากห้องแบร์ก็พูดขัดขึ้นมาก่อน
“Oh sorry I forgot to tell you something, Tomorrow we don’t have afternoon class because we will go to BBQ at the Roma park , I will bring all of necessary equipment and sausage if you want to eat something more you should bring it by yourself, Just that and goodbye for now ” (โอ๊ะโอ ขอโทษทีพอดีลืมแจ้งไป พรุ่งนี้เราจะไม่มีการเรียนการสอนในช่วงบ่ายนะเพราะเราจะไป บาร์บีคิวกันที่ สวนสาธารณะ โรม่า เดี๋ยวผมจะเอาอุปกรณ์ที่จำเป็นไปรวมถึงไส้กรอกด้วย ถ้าใครต้องการกินอะไรอย่างอื่นก็ให้เอามาเองนะ เจอกันพรุ่งนี้) คนตัวหนาพูดขึ้นก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“So, what do you bring tomorrow?” (พรุ่งนี้เธอจะเอาอะไรมาเหรอ) ฮานะจังถามหนุ่มตัวบางและหนุ่มตัวกลมขึ้นในขณะที่นั่งกินข้าวกลางวันกันอยู่ตรงระเบียงด้านนอกอาคาร
“Um, I am not sure, How about you” (อืม ยังไม่แน่ใจเลย ว่าแต่เธอละจะเอาอะไรมาเหรอ) หนุ่มตัวกลมเป็นคนเอ่ยปากตอบคำถามด้วยคำถามอีกทีหนึ่ง
“Maybe, Onigiri. Do you know what it is? “(บางทีอาจจะเป็นข้าวปั้นนะ รู้จักไหม) ฮานะจังคิดสักครู่ก่อนจะตอบออกมา
“Yes Yes I know” (รู้สิๆ) หนุ่มตัวเล็กพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นก่อนจะร้องเพลงของสาวๆวงไปด้อลที่เคยเป็นที่นิยมก่อนจะทำท่าทางประกอบ
ซึ่งนั่นก็ทำให้ ทั้งโต๊ะอดที่จะขำไม่ได้กับความน่ารักน่าเอ็นดูของเขา
“How about you David?” (แล้วเดวิดละจะเอาอะไรมาเหรอ) แบมบูหันไปถามเดวิดบ้าง
“I will bring beef, I really love it” (ฉันจะเอาเนื้อวัวไปน่ะ ฉันชอบมากๆเลยละ) เดวิดพูดขึ้นพร้อมทั้งเลียปากบนล่าง เหมือนกับจะเป็นการบอกนัยๆว่าเขาชอบสิ่งนี้มากจริงๆ
“Oh ok, I will bring Chicken satay what do you think?” (อืมงั้น นี่ก็คงจะเอาไก่สะเต๊ะไปน่ะ นายคิดว่าไง?) ธันพูดขึ้นก่อนจะหันไปหาแบมบูเพื่อถามความเห็น
“Oh great I love it, maybe you don’t know but Thun is good at cook I mean really well.” (อุ้ย นี่ชอบมากเลยนะ บางทีพวกเธออาจจะไม่รู้แต่ธันน่ะทำอาหารเก่งมากๆๆเลยนะ) แบมบูตบมือขึ้นมาอย่างดีใจเมื่อรู้ว่าธันจะทำไก่สะเต๊ะเมนูโปรดของหนุ่มตัวกลมและเมนูเด็ดของหนุ่มผิวแทน พร้อมทั้งหันไปหาเดวิดและฮานะจังที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเพื่อที่จะบอกพวกเขาว่าคนตัวเล็กนั้นทำอาหารเก่งจริงๆ
“Really?” (จริงเหรอ) ทั้งคู่พูดขึ้นก่อนจะพร้อมกัน ก่อนจะหันไปมองธันด้วยสายตาที่ไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่
“You will see” (เดี๋ยวก็รู้) หนุ่มตัวกลมพูดขึ้นพร้อมยิ้มกรุ้มกริ่มกลับไป
“I think you talk too much” (พูดมากไปแล้ว) ธันตีไหล่แบมบูเบาๆก่อนจะหันไปกินข้าวตรงหน้าตัวเองต่อ ซึ่งการกระทำทั้งหมดของทั้งคู่ก็อยู่ในสายตาของคนๆหนึ่งตลอดเวลาและดูเหมือนว่าคนๆนั้นจะไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก
หัวข้อ: When love travel เป็นคนในความลับที่ยังบอกไม่ได้ ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 05-06-2020 20:53:50
บ่ายวันนั้นหลังจากเลิกเรียนทั้งคู่ก็นั่งรถบัสกันมาย่าน Chinatown ย่านนี้อยู่ถัดจากใจกลางเมืองมาหน่อย และนั่งรถสาย 375 มาเพียงสองป้ายก็ถึงแล้ว
การตกแต่งของตัวสถานที่ไม่ได้มีความเป็นจีนจ๋าเหมือนย่านเยาวราชบ้านเราแต่จะเป็นการผสมผสานระหว่างความเป็นออสเตรเลียและจีนอย่างลงตัวกล่าวคือ แม้จะมีโคมแดงยาวเป็นแถวตลอดท้องถนนแต่ว่าเสาที่ใช้ติดโคมแดงก็เป็นเสาหนาสีขาวซึ่งน่าจะนำมาจากต้นยูคาลิปตัส แถมด้านบนของเสาก็มีรูปปั้นโคอะล่าแม่ลูกที่ทำมาจากไม้ชนิดเดียวกันเกาะอยู่ หรือว่าตรงใจกลางเมืองที่ทำเป็นลานน้ำพุคล้ายๆหน้าห้างสรรพสินค้าชื่อดังของบ้านเรา ก็ตกแต่งด้วยรูปปั้นปลาทองขนาดยักษ์กำลังแหวกว่ายน้ำกันอยู่ แต่ตัวปลาทองนั้นทำมาจากโครงเหล็ก เก่าๆ ซึ่งเหมือนจะเป็นการบอกว่าที่ออสเตรเลียผู้คนค่อนข้างจะจริงจังและใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมเพราะขนาดของตกแต่งในเมืองยังใช้วัสดุที่เป็นขยะเหลือใช้มาทำเลย
“จะหมักไก่ต้องใช้อะไรบ้าง”หนุ่มแบมบูถามขึ้นขณะที่พวกเขาทั้งสองเดินมาหยุดอยู่หน้าร้านของชำขนาดใหญ่ในย่านนี้
“อืม ก็ใช้ผงขมิ้น ผงกะหรี่ ผงยี่หร่า ลูกผักชี พริกไทย ข่า ตะไคร้ กะทิ แล้วก็น้ำตาล”หนุ่มตัวเล็กพูดรัวๆจนผู้ฟังต้องกะพริบตารัวๆตามเช่นกัน
“เป็นอะไร กระพริบตาถี่ขนาดนั้นเดี๋ยวตาก็บอดหรอก” หนุ่มผิวแทนพูดขึ้นพร้อมกับเอาศอกตีกระทุ้งไปที่สีข้างของหนุ่มตัวกลมไปที
“บอดเพราะ กระพริบตาเร็วเกินเหรอ”หนุ่มแบมบูพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงยียวน
“บอดเพราะฉันเอามือตีนี่แหละ ไปเข้าไปได้แล้วเดี๋ยวต้องกลับไปทำข้าวเย็นอีก” หนุ่มธันพูดขึ้นพร้อมทั้งดันตัวหนุ่มแบมบูเข้าร้านไป
“อืม ของบางอย่างไม่เห็นเลยนะ แถมของบางอย่างก็แพงจัง” หนุ่มธันพูดขึ้นขณะหยิบจับเลือกของอยู่ในร้าน
“ก็นี่มันต่างประเทศนี่นา ของที่ส่งมาก็ต้องแพงเป็นธรรมดาแหละ ขนาดมาม่าซองละ เจ็ดบาทบ้านเรา มาที่นี้ยังขึ้นมาเป็น สิบหกบาทเลย” หนุ่มตัวกลมที่อยู่ในฟากของบะหมี่กึ่งสำเร็จพูดขึ้น
“อืมมันก็จริง อะ เจอแล้ว ผงยี่หร่า เท่านี่ก็ครบแล้วสินะ” หนุ่มธันหยิบซองที่เขียนข้างหน้าว่า Cumin ขึ้นมาดูก่อนจะค้นหาความหมายจากเว็ป Google และเมื่อรู้ว่ามันคือผงยี่หร่าก็กระโดดโลดเต้นอย่างลิงโลด จนคุณป้าที่ยืนอยู่ข้างหลังต้องเขยิบตัวออกห่างๆ
“ทำไมถึงไม่ใช้ผงปรุงสำเร็จไปเลยอะ ง่ายกว่าอีก” หนุ่มตัวกลมพูดขึ้นมาขณะกำลังคิดเงิน
“อันนั้นมันก็ง่าย แต่มันจะขาดความหอมของเครื่องเทศหลายๆอย่างไปนะ ลองคิดดูสิของที่เราซื้อทั้งหมดมันอยู่ที่ ห้าสิบเหรียญ ในขณะที่ ผงปรุงสำเร็จอยู่ที่ สามเหรียญ แกคิดว่าของต้นทุนสามเหรียญเขาจะใส่เครื่องเทศมาให้เยอะขนาดไหนเหรอ” หนุ่มตัวเล็กอธิบายพร้อมทั้งเอาเงินยื่นให้พนักงานที่อยู่ตรงหน้า
“จ้า จ้า จ้า แล้วอย่ามาบ่นทีหลังละกันว่าใช้เงินเปลือง” แบมบูพูดขึ้นพร้อมทั้งรวบถุงของที่จ่ายเงินแล้วทั้งหมดไปถือไว้ในมือ แต่ในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังจะก้าวเดินออกจากร้านหนุ่มธันก็หยุดกึกจนหนุ่มตัวกลมข้างหลังแทบจะล้มหัวทิ่ม
“หยุดทำไม” แบมบูพูดขึ้น
“เราจะทำอะไรนะ”หนุ่มธันหันมาถาม
“อ้าวเป็นบ้าเหรอ ก็จะทำไก่สะเต๊ะไง”หนุ่มตัวกลมพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าที่บ่งบอกได้ชัดเลยว่าเริ่มจะมีอาการหงุดหงิดเกิดขึ้นเล็กน้อย
“ใช่ ทำไก่สะเต๊ะ แต่เรายังไม่มีไก่เลย!”หนุ่มตัวเล็กขำความเบลอของตัวเอง
“อ้าว ปัดโถ่”แบมบูอดที่จะขำตามไม่ได้ เพราะตัวเขาเองก็ยืนอยู่ข้างๆแท้ๆตอนจ่ายเงินแต่ก็ลืมที่จะทักเช่นกัน
“เออ ใช่ๆ ฉันเองก็ว่ามันแปลกๆเหมือนกัน” ธันกับแบมบูพูดคุยกันขณะเดินเข้ามาในห้อง แต่ทั้งคู่ก็ต้องหยุดการสนทนาลงเมื่อเห็นเจ้าของห้องอยู่ตรงหน้า
“อ้าวกลับมากันแล้วเหรอครับ” พี่อ้นหันมาพูดขณะหั่นอะไรบางอย่างอยู่ในครัว
“ก็เห็นไหมละ ถ้าเห็นก็แสดงว่ากลับมาแล้วปะ” คนตัวเล็กพูดเบาๆขณะถอดรองเท้าออก แต่นั่นก็ดังพอที่จะทำให้คนตัวกลมที่ถอดรองเท้าข้างๆได้ยิน และนั่นเองก็ทำให้แบมบูต้องยกมือขึ้นตีแขนหนุ่มตัวบางเบา ซึ่งก็ทำให้ธันมองกลับมาที่หนุ่มตากลมตาขวางไม่ใช่น้อย
 “กินอะไรมาหรือยังครับ พอดีพี่กำลังทำข้าวเย็นอยู่พอดี กินด้วยกันไหม”แม้ทั้งคู่จะไม่ได้ตอบอะไรกลับไปหนุ่มตัวสูงก็ยังยิ้มตาหยีส่งมาให้ พร้อมยังชวนคุยต่อไป
“กินครับ ไหนทำอะไรกินเอ่ย มีอะไรให้ช่วยไหม” คนตัวกลมเดินตรงไปยังพี่อ้นทันทีโดยไม่สนใจคนตัวเล็กที่ยังยืนนิ่งอยู่อย่างถือทิฐิ
“เฮ้อ” แต่สุดท้ายแล้วคนตัวเล็กก็ถอนหายใจขึ้นมา ก่อนจะเดินไปช่วยทั้งคู่ที่กำลังง่วนอยู่กับการหั่นของเตรียมของสำหรับอาหารมื้อเย็น ซึ่งนั่นก็ทำให้สถาการณ์โดยรวมในห้องดูผ่อนคลายลงไปได้บ้าง
“อืม สีดูสวยดีนะครับ”หลังจากกินอาหารมื้อเย็นเสร็จ ธันก็เริ่มทำการหมักไก่สเต๊ะของเขา ซึ่งด้วยส่วนผสมที่พอดิบพอดีและลงตัวสีของไก่ก็เลยดูดีและเสมอกันทั้งหมด
“รสชาติก็ดีเหมือนกันนะ ผมเคยชิมมาก่อน”หนุ่มตัวกลมที่กำลังล้างจานอยู่พูดขึ้นมาเพื่อเป็นการยืนยันฝีมือของคนตัวเล็ก
“จริงเหรอครับ พี่อยากลองชิมดูจังเลย” หนุ่มตี๋พูดขึ้นมาลอยๆแต่ดูก็รู้ว่าจงใจจะพูดกับใคร
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ ธันจะทิ้งบางส่วนไว้ให้ พี่ก็ย่างเองแล้วกัน ย่างเองได้ใช่ไหม”ธันหันมาสบตากับพี่อ้นที่ยิ้มรออยู่แล้วและนั่นก็ทำให้ธันหันหน้ากลับไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งคนตัวกลมที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตรงหน้า ก็เกิดความรู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นในใจ
   เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นด้วยฟ้าที่มีสีขมุกขมัว เหมือนกับขี้เถ้าแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เหล่ากลุ่มนักเดินทางเปลี่ยนใจยกเลิกแผนการไปปิกนิกและปิ้งย่างที่สวนสาธารณะลงไป
   “Hey, quickly we don’t want to wait right?” (เอาละเร็วหน่อย เราไม่อยากจะเปียกหรอกใช่ไหม) แบร์พูดขึ้นพร้อมกับยกมือเร่งนักเรียนของเขาให้ออกเดินให้เร็วหน่อย
   “Oh someone bring bread today?” (วันนี้ใครเอาขนมปังมาไหมเนี่ย) อาจารย์ตัวหนาถามขึ้นมาเหมือนพึ่งจะนึกขึ้นได้ ในขณะที่เดินเหล่านักเรียนกำลังเดินผ่าน ซุปเปอร์มาเก็ต Woolworth
   เหล่านักเรียนก็มองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่กซึ่งจากท่าทีดังกล่าวก็คงเดาได้ไม่ยากว่าไม่มีใครนำขนมปังติดตัวกันมาเลย
   “Oh man, the sausages goes well with bread. You don’t know about that?” (เฮ้ พวกนายไม่รู้เหรอเนี่ยว่าไส้กรอกน่ะมันต้องกินกับขนมปังนะ) แบร์ร้องอย่างโอดครวญ
“Ok someone has to buy it in the supermarket and others will go to the park first but don’t worry I will send the location when we arrived there” (เอาละใครบางคนต้องไปซื้อมันมาจากซุปเปอร์ให้ผม ส่วนคนที่เหลือจะออกเดินทางไปก่อนแต่ไม่ต้องกลัวถ้าเราไปถึงผมจะส่งแชร์โลเคชั่นมาให้) แบร์พูดขึ้นพร้อมกับสบตานักเรียนทีละคนทีละคน ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่ก็ได้แต่หลบตากันเป็นแถวเพราะว่าไม่มีใครอยากที่จะไปซื้อขนมปังแล้วเดินไปที่สวนคนเดียว ทุกคนอยากที่จะเดินไปพร้อมเพื่อนๆ
   “How about you Ruben can you do that for us” (อืม รูเบนนายพอที่จะไปซื้อขนมปังมาให้พวกเราหน่อยได้ไหม) แบร์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆตรงไปยังหนุ่มตาฟ้าที่เป็นคนเดียวที่กล้าสบตาเขาโดยไม่หลบตา
   “No problem” (ไม่มีปัญหา) หนุ่มรูเบนทำเสียงฮึดฮัดออกมาทางจมูกเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นมาพร้อมกับเบนสายตาไปทางอื่น
   “But I think he should have someone to walk with isn’t it?” (แต่ผมคิดว่าเขาควรจะมีใครเดินไปด้วยนะ) หนุ่มตัวกลมยกมือขึ้นพูดกับแบร์ และนั่นเองก็เริ่มที่จะทำให้สาวๆในห้องเริ่มเออ ออ เห็นด้วยพร้อมกับเสนอตัวเองไปเป็นเพื่อนหนุ่มหน้าคมทันที
   “Hey Hey, don’t be louder. Thun can you go with him?”  (เฮ้ อย่าเสียงดัง ธันไปเป็นเพื่อนเขาหน่อยละกันนะ) แบร์พูดขึ้นพร้อมออกเดินต่อไปโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของเหล่าสาวๆที่ต้องการจะไปเป็นเพื่อนหนุ่มรูเบน แต่ก็นั้นแหละทุกคนก็ทำได้แค่โห่ร้องด้วยความไม่พอใจก่อนที่จะออกเดินตามอาจารย์ตัวหนาไปทิ้งธันที่ยังยืนงงและเอานิ้วชี้ไปที่หน้าของตัวเองค้างอยู่อย่างนั้น
   “Do you want to come with me or stay there all day, Idiot” (นายจะมากับฉันหรือจะยืนอยู่ตรงนั้นทั้งวัน งี่เง่าเอ้ย) คนตัวสูงกว่าพูดขึ้นก่อนจะเดินลงบันไดเลื่อนไปโดยไม่รอคนตัวเล็ก
   “Hey wait!!!” (เฮ้ยรอก่อนดิ) หนุ่มตัวเล็กเมื่อตั้งสติได้ก็เดินตามลงไปติดๆ เพราะเขาซึ่งดูแผนที่เองยังหลงถ้าถูกทิ้งให้เดินไปสวนสาธารณะเองจากใจกลางเมืองแบบนี้วันนี้คงไม่ถึงแน่
หัวข้อ: Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.9
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 05-06-2020 21:11:40
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.9
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-06-2020 01:08:45
 :pig4: :pig4: :pig4:

อิตาแบร์  แกตั้งใจจัดฉากให้  ใช่ป่ะ?
หัวข้อ: Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.9
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 06-06-2020 04:02:22
5555 อาจารย์อาจจะสุ่มก็ได้นะครับ
ว่าแต่เป็นไงบ้างอ่านกันมาถึงตรงนี่แล้ว ชอบไหมเอ่ย
หัวข้อ: When love travel ความรักและขนมปริศนา
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 06-06-2020 19:40:00
การเดินตามหาอะไรสักอย่างในชีวิตบางครั้งก็เป็นเรื่องที่ยากและซับซ้อนเพราะในชีวิตจริงเราไม่มีป้ายบอกทางไว้คอยมองหา ไม่มีคนคอยชี้บอกทางว่าของอันนั้นอันนี้อยู่ที่ไหน หรือจริงๆ แล้วอาจจะเป็นเราเองนั้นละที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรากำลังมองหาอะไร หรือ เรากำลังมองหาใครอยู่
แต่ต้องไม่ใช่ที่นี้ และไม่ใช่ในซุปเปอร์มาเก็ต Woolworth แห่งนี้ เพราะ คนตัวเล็กของเรารู้ดีว่าเขาต้องเดินไปที่ชั้นวางขนมปัง ส่วนคนที่เขากำลังตามหานั้นก็คือหนุ่มตาฟ้าที่ก้าวเท้ายาวและไว จนคนขาค่อนข้างจะสั้นเกินกว่ามาตรฐานนิดหน่อยอย่างหนุ่มผิวแทน ซอยเท้าตามไม่ทันและเกิดอาการลนลานเพราะดันพลัดหลงเข้ากับคนหน้าคมเข้าเสียแล้ว
“หายไปไหนนะ เมื่อกี้ยังเห็นหลังไวๆอยู่เลย” หนุ่มตัวเล็กพยายามสอดส่ายสายตามองหาทั้งโซนจัดวางขนมปังและคนตัวสูงที่มีผมสีวอลนัท แต่เดินมาจนจะนาทีแล้วก็ยังไม่มีวี่แววของทั้งสองสิ่งที่เขากำลังตามหาเลย จนกระทั่งมีเสียงๆหนึ่งดังแว่วมาจากทางด้านหลังของเขา
“Hello, Do you need any help?” (สวัสดีครับมีอะไรให้ช่วยไหมเอ่ย)
เมื่อหันหลังไปตามเสียงเรียก ก็พบกับพนักงานหนุ่มผมแดงที่มีกระแดงตรงกลางระหว่างใบหน้าเป็นหย่อมๆกับใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมให้บริการอย่างเต็มที่ แต่ผู้รับบริการท่าทางจะยังงงงวยอยู่เล็กน้อย เพราะว่าหนุ่มผิวแทนยังหันซ้ายหันขวามองรอบๆตัวก่อนจะเอานิ้วชี้ ชี้ไปที่หน้าของเขาเหมือนกับจะเป็นการถามกลับไปว่า คุยกับเขาอยู่เหรอ ซึ่งดูจากสีหน้าหนุ่มผมแดงที่พยายามกลั้นขำน้อยๆ ก็ทำให้หนุ่มตัวเล็กรู้ตัวได้โดยอัตโนมัติว่า พนักงานหนุ่มกำลังคุยกับเขาอยู่ และท่าทีเด๋อด๋าที่เขาแสดงออกไปเมื่อครู่ก็ทำให้เขาเกิดอาการเขินจนหน้าเปลี่ยนเป็นสีอยู่เหมือนกัน
“Ah… it will be nice if you could tell me where is Bakery Shelves” (เอ่อ...คือมันก็จะดีมากๆเลยละถ้าคุณช่วยบอกผมหน่อยว่าชั้นวางขนมปังอยู่ที่ไหนน่ะครับ) หนุ่มธันใช้เวลาเรียบเรียงประโยคสักครู่ก่อนที่จะพูดตอบหนุ่มผมแดงไป
“That easy just next aisle” (ง่ายมากเลยแค่ช่องถัดไปครับ) หนุ่มผมแดงตอบกลับพร้อมรอยยิ้มบางๆ ซึ่งพอได้คำตอบหนุ่มผิวแทนก็ไม่รอช้าพูดขอบคุณและกำลังจะก้าวเดินไปยังช่องวางสินค้าข้างๆ ทันทีแต่ก่อนที่จะได้หันหลัง หนุ่มตัวสูงตรงหน้าก็ถามคำถามอะไรบางอย่างจนคนตัวเล็กต้องขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
“Sorry but I would like to know what kind of perfume do you wear”(ขอโทษนะครับแต่จะเป็นไรไหมถ้าผมจะอยากรู้ว่าคุณใส่น้ำหอมอะไรมา) หนุ่มผมแดงถามประโยคดังกล่าวด้วยเสียงสั่นๆ ดูออกแนวประหม่าเล็กน้อย ซึ่งนั่นก็ทำให้คนตัวเล็กรู้สึกแปลกใจ เพราะกะอีแค่ถามน้ำหอมทำไมถึงต้องมีความรู้สึกประหม่าด้วย
“Oh it my pleasure and it is Guer...” (ด้วยความยินดีครับ น้ำหอมที่ผมใส่มาคือ เกอ...) แม้จะงุนงงเล็กน้อยเพราะไม่บ่อยหนักที่เขาจะถูกถามด้วยคำถามนี้ แต่ด้วยความที่มันไม่ใช่คำถามที่ยากอะไร อีกทั้งเมื่อครู่พนักงานหนุ่มก็เพิ่งจะช่วยเหลือเขา ธันก็เลยคลี่ยิ้มมารยาทบางๆ ก่อนที่จะบอกหนุ่มผมแดงให้รู้ถึงน้ำหอมที่เขาใส่มาถ้าไม่มีคนมาขัดซะก่อน
“Hey!!!” (เฮ้ย!!!) เมื่อทั้งคู่หันไปตามเสียงเรียกก็พบกับหนุ่มตาฟ้าที่กำลังทำหน้าถมึงทึงมายังพวกเขาทั้งคู่
“Come here” (มานี่) หนุ่มตัวสูงออกคำสั่งด้วยเสียงที่ดูหงุดหงิดเหมือนพึ่งจะกินรังแตนมาสดๆ ร้อนๆ ซึ่งหนุ่มตัวเล็กก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการชักสีหน้าใส่เล็กน้อยก่อนที่จะเดินไปหารูเบนตามที่เขาสั่ง
“Oh sorry, it’s Guerlain” หนุ่มธันเหมือนจะนึกได้ว่าเขายังตอบคำถามหนุ่มผมแดงไม่เสร็จเลยหันหน้ากลับไปหาพร้อมบอกถึงชื่อยี่ห้อน้ำหอมไป ซึ่งนั่นก็ทำให้หนุ่มหน้าคมถอนหายใจหอบใหญ่ออกมาก่อนจะเดินตรงไปที่จุดชำระเงินโดยไม่รอหนุ่มผิวแทน
ซึ่งเมื่อหนุ่มตัวเล็กเห็นดังนั้นก็ต้องวิ่งไล่ตามหนุ่มตาฟ้าไปด้วยเหตุที่ว่าถ้าเขาพลัดหลงกับรูเบนอีกเขาก็คงจะต้องเสียเวลามานั่งงมหาสถานที่ปิคนิคอีกเป็นชั่วโมงแน่
“Oh Great now I know the brand but I don’t know which model. By the way that tan boy is so cute.” (โอ้เยี่ยมเลยตอนนี้เราก็รู้ยี่ห้อแล้วแต่ไม่รู้ว่าเป็นรุ่นไหน ยังไงก็เหอะหนุ่มผิวแทนคนนั้นน่ารักชะมัด) หนุ่มหัวแดงยิ้มให้กับตัวเองก่อนที่จะถอนหายใจและเดินกลับไปทำงานของเขาต่อ
เมื่อมาถึงตัวหนุ่มรูเบนเขาก็ได้รับการมองแรงใส่อย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะพ่นคำบ่นออกมาอย่างรวดเร็วจนเขาแทบจะฟังไม่ทัน
“Don't talk to strangers, your mom never teach you about that?”(แม่ไม่สอนเหรอว่าอย่าคุยกับคนแปลกหน้าอะ) ซึ่งจริงๆแล้วคนตัวสูงพูดเยอะกว่านี้ แต่ทว่านี้เป็นประโยคเดียวที่คนตัวเล็กสามารถฟังทันและจับใจความได้
“Sorry, that guy is a staff and I think this one isn’t your business” (ขอโทษนะคนนั้นอ่ะเป็นพนักงานแล้วอีกอย่างฉันก็คิดว่าอันนี้มันก็ไม่ใช่ธุระของนายด้วย) หนุ่มตัวเล็กเถียงกลับไปและแม้มันจะดูเหมือนหนูสู้กับสิงโตแต่ถ้าเป็นเรื่องการปะทะฝีปากแล้ว คนตัวเล็กก็ไม่มีทางจะลงให้ใครง่ายๆ อยู่แล้ว
“Oh great, Have it your way” (โอ้ถ้างั้นก็แล้วแต่ละกัน) เหมือนธันจะเห็นอาการสั่นไหวน้อยๆ ในดวงตาสีฟ้าคู่นั้นแต่นั่นก็คงเป็นจะเป็นเพราะหนุ่มตัวสูงคงจะมีน้ำโหเล็กน้อยกับคำตอบที่ได้รับจากหนุ่มตัวเล็ก
ซึ่งทันทีที่รูเบนพูดจบประโยคก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่รูเบนจ่ายเงินค่าขนมปังเสร็จพอดี และนั่นก็ทำให้เขาไม่รีรอที่จะเดินจากไปโดยไม่รอคนตัวเล็ก
แต่ครั้งนี้คนตัวเล็กไม่พลาดเหมือนก่อนหน้านี้เพราะทันทีที่คนตัวสูงเริ่มออกก้าวเดินคนตัวเล็กก็เปลี่ยนจังหวะการเดินจากปกติเป็นการเดินเร็วแทนและนั่นก็ดูเหมือนว่าจะเพียงพอที่จะทำให้หนุ่มผิวแทนก้าวทันคนที่ขายาวกว่า 
ทั้งคู่เดินกันออกมาจนถึงถนนเส้นหลักก่อนที่จะมีลมแรงพัดเอาฝุ่นดินจากพื้นเข้าปะทะหน้าคนตัวเล็กอย่างจังจนเศษฝุ่นบางส่วนหลุดเข้าตา และนั่นก็ทำให้ธันต้องกระพริบตาถี่ๆอย่างอัตโนมัติเพื่อที่จะให้น้ำตาไหลออกมาไล่เศษฝุ่นนั้นให้ออกไป
เพียงครู่เดียวน้ำตาก็ไหลออกมาชะสิ่งสกปรกออกไป แต่เมื่อธันลืมตาได้ตามปกติแล้วพบว่าหนุ่มตาฟ้าที่ยืนรอข้ามถนนอยู่ข้างๆ ไม่ได้มีท่าทีจะสนใจหรือช่วยเหลืออะไรเขาเลย ซ้ำร้ายยังหยิบมือถือขึ้นมากดเล่นอย่างไม่แยแสอีกหาก
แต่อย่างน้อยก็ดูเหมือนว่าคนผมสีวอลนัทจะไม่ได้ใจร้ายนักเพราะว่าก่อนที่เขาจะลืมตาได้เต็มตา เขาได้ยินเสียงสัญญาณไฟเขียวร้องขึ้นเพื่อให้คนที่รอข้ามถนนได้เดินข้ามไปยังอีกฝาก ในใจของคนตัวเล็กตอนนั้นก็คิดได้แต่เพียงว่าคงโดนทิ้งแล้วแน่ๆ แต่พอเอาเศษฝุ่นออกจากตาได้ก็พบว่าคนตัวสูงยังรออยู่ข้างๆ ไม่ได้หายไปไหน และนั่นก็ทำให้ธันมีความรู้สึกแปลกใจอยู่เล็กๆ เหมือนกัน
เส้นทางระหว่างหน้าซุปเปอร์มาเก็ต กับสวนสาธารณะดูไกลยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อมีความเงียบเข้ามาเป็นตัวคั่นกลางระหว่างคนตัวเล็กและคนตัวสูง
ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันเลยแม้แต่คำเดียวตั้งแต่เดินออกมาจาก Woolworth และหากไม่นับที่คนตัวเล็กพูดบ่นเรื่องอากาศร้อน เรื่องทางเดินลาดชัน และเศษขยะที่เห็นอยู่ตามพื้นอยู่ประปราย เสียงที่แวดล้อมทั้งคู่ก็คงจะมีแต่เสียงรถที่ขับผ่านและเสียงอีกาที่ร้องขู่อยู่บนต้นไม้เพราะคิดว่าสองคนนี้จะมาขโมยไข่ของมันเป็นแน่
“อะ นี่มัน White ibis นี่นา”หนุ่มตัวเล็กร้องทักขึ้นเมื่อเห็นนกท้องถิ่นของออสเตรเลียกำลังเดินกระหย่องกระแหย่งหาอาหารอยู่ ซึ่งนั่นก็เป็นสัญญาณว่าพวกเขาเดินมาใกล้ถึงจุดแคมปิ้งแล้ว เนื่องจากว่านกชนิดนี้ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ใกล้ๆ กับแหล่งที่อยู่ของมนุษย์หรือแหล่งที่มนุษย์มาชุมนุมกันทำกิจกรรมเกี่ยวกับอาหาร เพราะพวกมันรู้ดีว่าสามารถขโมยอาหารหรือหาเก็บกินเศษอาหารได้โดยง่าย
“อุ้ย ตัวนี้ยังตัวเล็กอยู่เลย สงสัยจะยังเป็นเด็กอยู่ มากินนี่มา”หนุ่มตัวเล็กหยิบขนมปังถุงที่อยู่ในมือเขามาบิออกเล็กน้อยก่อนที่จะโยนไปที่เจ้านกสีขาวตัวเล็กที่มองเขม็งมาที่เขาตั้งแต่เขาเริ่มแกะถุงพลาสติกแล้ว
“Hey don’t feed that ugly bird” (เฮ้ย อย่าให้อาหารเจ้านกน่าเกลียดนั่นนะ) หลังจากที่ไม่ได้พูดอะไรกันมาสักพัก ประโยคแรกที่รูเบนพ่นออกมาก็ทำให้หนุ่มผิวแทนคิดขึ้นมาในใจว่าสู้ไม่ต้องพูดกันจนถึงที่หมายยังจะดีซะกว่า แต่ก็เหมือนสัญชาติญาณ อัตโนมัติเมื่อได้ยินใครบางคนพูดอะไรที่ไม่เข้าหูมันก็อดรนทนไม่ได้ที่จะต้องโต้ตอบกลับไป
“Why even it ugly it could be hungry as we are or you would like to say you will only feed with something beautiful and let see something ugly starving and death? , You are narrow-minded” (ทำไมน่าเกลียดแล้วหิวไม่เป็นหรือไง หรือจะบอกว่าต้องสวย ต้องน่ารักเท่านั้นเหรอถึงจะได้กิน ถึงจะไม่อดตายน่ะ ใจแคบชะมัด) น้ำเสียงของคนตัวเล็กบอกถึงอาการไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่กระนั้นคนตัวสูงก็ไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านกับคำพูดของคนตัวเล็กแม้แต่น้อย กลับพูดกลับตอบกลับไปด้วยโทนเสียงที่เย็นและราบเรียบ
“Don’t stupid, I don’t know what do you think and I don’t care but in this city, in this country, you will get the find if you feed the wind animal, Hey stop it!!!” (อย่าโง่ไปหน่อยเลย ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายจะคิดยังไงและจริงๆแล้วฉันก็ไม่ได้สนด้วยแต่จะบอกอะไรให้เอาบุญนะ นายน่ะจะถูกปรับเอาถ้าเกิดมาให้อาหารสัตว์สุ่มสี่สุ่มห้าที่ประเทศนี้ นี่ฉันบอกให้หยุดไง) และแม้ตาของธันจะมองจ้องกับคู่สนทนาแต่ว่ามือของคนตัวเล็กก็ยังแอบบิขนมปังและโยนไปตรงจุดที่นกตัวเล็กยืนอยู่ จนคนตัวสูงได้แต่ถอนหายใจกับการกระทำนั้นก่อนที่จะเดินหนีไป ทิ้งไว้ให้คนตัวเล็กหัวเราะตามหลังอย่างชอบใจ
เพื่อนร่วมห้องส่งเสียงเฮกันยกใหญ่เมื่อเห็นทั้งคู่ถือขนมปังหอบใหญ่ เดินตรงมายังโต๊ะที่พวกเขากำลังง่วนอยู่กับการปิ้งย่างไส้กรอกและเนื้อสัตว์ แต่เมื่อลองพิจารณาดูดีๆก็ไม่ได้มีแค่นักเรียนจากห้องเรียนเขาอย่างเดียวแต่มีคนอีกหลายๆ คนที่เขาไม่รู้จักและไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย ซึ่งพอมองไปตรงแบร์ก็เห็นอาจารย์อีกคนยืนอยู่ด้วย แต่อาจารย์คนนี้ธันรู้จักเป็นอย่างดีเพราะถึงแม้ว่าธันจะเคยไปเข้าคลาสของเธอเพียงแค่ครั้งสองครั้งแต่เอกลักษณ์ของเธอก็โดดเด่นเป็นอย่างมาก ใครที่ได้เห็นเธอเพียงแม้เพียงครั้งเดียวย่อมจำได้ไม่รู้ลืมเป็นแน่ ใช่ เรากำลังพูดถึงอาจารย์ วาเนซซ่าอยู่
บรรยากาศรอบๆ สวนสาธารณะที่ใช้เป็นจุดปิ้งย่างบาบีคิวนั้นดูงดงามและเรียบง่ายไปในคราวเดียวกัน ที่ว่างดงามเพราะพื้นที่โดยรอบสวนนั้นถูกตกแต่งเป็นอย่างดีจากธรรมชาติมีทั้งต้นอาคาเซีย ต้นตูเปโล ต้นแครปแอบเปิ้ล และต้นสน เติบโตสลับหว่างกันอย่างลงตัวรอบๆสวนและบริเวณหนองน้ำ
ซึ่งหนองน้ำที่อยู่ติดๆ กับเก้าอี้และม้านั่งก็มีความใสสะอาดในแบบธรรมชาติอยู่กล่าวคือไม่ได้ใสเหมือนกับสระว่ายน้ำที่ผ่านการดูแลใส่คลอรีนมาอย่างดีจนสามารถเห็นก้นสระได้ แต่ความใสในที่นี้คือดูแล้วสะอาดตาไม่มีขยะลอยเหมือนลำคลองที่บ้านเรา แต่กระนั้นก็ยังมีความเขียวของพืชน้ำปะปนอยู่จำพวกตะไคร่ และ พวกกอบัวเป็นต้น ส่วนคำว่าเรียบง่ายนั้นเกิดจากฝีมือของคนที่นี่ที่ไม่พยายามไปรบกวนธรรมชาติมาก ดังนั้นการจัดวางเก้าอี้ยาว โต๊ะ และเตาบาบีคิวก็จะไม่มีการตัดหรือโค่นต้นไม้เพื่อวางสิ่งเหล่านี้แทนที่เลย ดังนั้นเราก็จะเห็นว่า ในหนึ่งโต๊ะบางครั้งก็จะมีเก้าอี้ สองตัวบ้าง สามตัวบ้างหรือครบสี่ตัวบ้าง โดยพื้นที่ของเก้าอี้ที่แหว่งไปก็จะเป็นต้นไม้ขนาดย่อมๆมาทดแทน และทุกจุดที่มีเตาบาบีคิวก็จะมีถังขยะอยู่ใกล้ๆ เสมอ แม้จะไม่ได้ใกล้มากจนคนที่มาใช้บริการได้กลิ่นขยะแต่ก็ใกล้พอที่คนมาปิ้งย่างจะไม่ขี้เกียจเดินเอาไปทิ้ง
เมื่อหนุ่มตัวเล็กวางขนมปังบนโต๊ะกลางเสร็จ ก็หันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาคนตัวกลมว่านั่งอยู่ตรงไหนเพื่อที่เขาจะได้ไปนั่งแจมด้วย หลังจากมองหาเพียงครู่เขาก็เจอแบมบูนั่งอยู่ตรงโต๊ะใกล้ๆ กับเตาปิ้งบาร์บีคิว ซึ่งดูเหมือนว่าคนตัวกลมจะไม่ได้นั่งอยู่กับแค่ เดวิด และ ฮานะ แต่จะมีเพื่อนใหม่สองคนที่เขาไม่รู้จักนั่งอยู่ด้วย และเมื่อเขาเดินไปใกล้ๆ คนตัวกลมที่กำลังคุยอย่างออกรสออกชาติอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมาหาเขาก่อนจะกวักมือไหวๆ ให้เขาเข้าไปร่วมบทสนทนาในครั้งนี้ด้วย
“นี่ไงพี่คนที่อยู่กับแบมบู ชื่อพี่ธัน อันนี้ พี่ซีอิ้วนะ แล้ว นี้ก็ไอ้ตอง”แบมบูผายมือไปทีผู้หญิงที่นั่งอยู่ทางขวามือที่ใบหน้าออกไปทางหมวยอินเตอร์กับผิวที่ออกเหลืองๆ แทนๆ และผมตรงดำขลับประบ่า ดูแล้วน่าจะขายดีที่ตลาดต่างชาติแบบนี้เป็นแน่ และ ทางซ้ายมือก็มีผู้หญิงผิวค่อนข้างคล้ำกับแว่นตาทรงกลมใหญ่หนาที่กินพื้นที่ไปเกินกว่าครึ่งของใบหน้า ซึ่งทั้งทรงของแว่นตาและทรงผมที่หยิกฟูก็ดูไม่ค่อยจะรับกับใบหน้าเท่าไหร่เลย แต่ทว่าทั้งคู่มีรอยยิ้มที่ค่อนข้างจะสดใสและเป็นมิตรเป็นอย่างมาก ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ธันอุ่นใจและเปิดใจที่จะเข้าไปคุยด้วย
“นี่เป็นไงบ้างจ้ะ ไปเดทกับหนุ่มตาฟ้า สองต่อสองเป็นไงบ้าง ดีไหม” แบมบูเปิดประเด็นถามทันทีหลังจาก ธันพูดทักทาย เตย กับพี่ซีอิ้วเสร็จ
“ดีกับผีอะไร ออกจากซุปเปอร์ก็ไม่ได้คุยกันเลย สงสัยคุณเขาอมดอกพิกุลทองไว้มั้ง เพิ่งจะมาคุยกันก็ตอนเดินเข้าสวนมาเนี่ย แถมไม่ได้คุยดีด้วย ออกแนวด่าฉันซะมากกว่า” หนุ่มผิวแทนบ่นกระปอดกระแปดให้เพื่อนๆ ในกลุ่มฟัง ซึ่ง ฮานะ กับเดวิดก็มองตากันปริบๆ ตามระเบียบ
“จริงเหรอ เห็นจากท่าทางภายนอกก็ไม่น่าจะเป็นแบบนั้นนะ แลดูเป็นคนคุยสนุก อบอุ่นดีออก เห็นตอนเดินเข้ามาก็ยิ้มทักทายใครต่อใครไปทั่วอยู่เลย”เตยพูดขณะหยิบขนมกรุบกรอบที่อยู่ในจานแบ่งตรงหน้าเข้าปากกำใหญ่
“มันคือภาพลวงตา อย่าให้หน้าตาของเขาหลอกเธอได้”หนุ่มตัวเล็กเนียบหยิบขนมตรงหน้าของสาวแว่นหนาเข้าปากก่อนจะพูดประโยคดังกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“Oh, Sorry David, Hana. Have you eaten my chicken satay yet?”(โทษที เดวิด ฮานะ ว่าแต่พวกเธอได้ลองกินไก่สเต๊ะของฉันหรือยัง) หนุ่มตัวเล็กเกาหัวพร้อมยิ้มเจื่อนๆ ไปให้เพื่อนชาวต่างชาติทั้งสองที่เริ่มจะทำหน้าเซ็ง เพราะไม่เข้าใจบริบทที่พวกเขาพูดกันสักประโยค เมื่อคนไทยที่เหลือเห็นดังนั้น ก็น่าเจื่อนไปตามๆ กันก่อนจะเริ่มสื่อสารกันเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้ เดวิด และ ฮานะมีส่วนร่วมกับบทสนทนาด้วยได้
“No one eats yet because it has a lot of people around the BBQ station we will cock after they finish” (ยังไม่มีใครได้กินเลยจ้ะ พอดีว่าคนรอบๆเตาบาร์บีคิวค่อนข้างเยอะน่ะ ก็เลยว่าจะค่อยไปย่างหลังคนซาลงหน่อย) ฮานะที่เริ่มปรับสีหน้าได้บ้างแล้วเป็นคนตอบคำถามคนผิวแทนด้วยใบหน้ายิ้มๆ
“Oh, I think it’s time” (อืม ฉันคิดว่าตอนนี้น่าจะเหมาะแล้วแหละ) เดวิดผู้ที่จ้องมองเตาบาร์บีคิวอย่างใจจดใจจ่อ พูดขึ้นก่อนจะเอาเนื้อสเต็กที่เขาซื้อมาแพคใหญ่ออกจากถุงพลาสติกพร้อมกับเดินปรี่ตรงไปที่เตาทันที ส่วนคนที่เหลือบนโต๊ะก็มองตากันก่อนที่จะหัวเราะและส่ายหัวอย่างขำๆ กับท่าทางของหนุ่มตี๋
    เมื่อทั้งหมดเดินมาถึงเตาบาร์บีคิวก็จัดแจงเปลี่ยนกระดาษฟอยด์อันเก่าที่มีคราบเขม่าดำและรูแหว่งที่เกิดจากความร้อนและการขูดขีดของที่คีบออกก่อนจะค่อยๆวางกระดาษฟอยยด์แผ่นใหม่ลงบนหน้าเตาอย่างเบามือ ซึ่งดูเหมือนว่า แบร์จะเอากระดาษที่คุณภาพไม่ค่อยดีนักมาให้ใช้ เพราะว่าแค่พวกเขาจับเบาๆกระดาษก็ย่นยู่ยี่เหมือนจะขาดอยู่มะรอมมะร่อแล้ว
“No David, We have to spray oil first” (อย่าเพิ่งเดวิด เราต้องพ่นสเปย์น้ำมันก่อนนะ) พี่ซีอิ้ว พูดขัดจังหวะหนุ่มตี๋ที่กำลังจะเอาเนื้อชิ้นโตวางลงบนฟอยด์ทันทีหลังจากวางเสร็จ
“Ok that looks good enough” (เอาละ น่าจะย่างได้แล้วแหละ) หลังจากพี่ซีอิ๊วพ่นสเปย์น้ำมันลงบนกระดาษฟอยด์จนทั่วแล้ว ก็ส่งสัญญาณให้ทุกคนลงมือย่างของที่ตัวเองเตรียมมาได้ และคนที่เข้าเส้นชัยก่อนเพื่อนก็ไม่พลิกโผ เป็นหนุ่มแว่นของเราตามคาด เมื่อพี่ซีอิ๊วพูดจบปุ๊ป เนื้อก็วางลงบนเตาปั๊บ จนเตยและแบมบูอดที่จะส่ายหัวอย่างเอ็นดูไม่ได้ 
“What that shit smell, it's too strong” (นั่นมันกลิ่นอะไรอะทำไมมันแรงอย่างนี้) สาวโคลัมเบียที่ยืนปิ้งอยู่เตาข้างๆ อุทานขึ้นมาก่อนจะมองไปบนเตาของพวกเขาด้วยสายตาขยะแขยง ก่อนจะเบือนหน้าหนีไป
“Look at that color it is yellow like a… ha ha ha” เพื่อนที่ยืนอยู่ข้างหลังคนที่อุทานก่อนหน้า สำทับขึ้นมาก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะที่ใครฟังก็ต้องหมั่นไส้จนอยากจะลากไปตบกลางสี่แยกให้รู้แล้วรู้รอด
“What the he…” (อ้าวทำไมพูดเหี...) แบมบูที่เป็นคนที่ยืนใกล้กลุ่มนั้นที่สุดหันไปตวาดแต่ก่อนที่จะได้บวก หนุ่มตัวเล็กที่ยืนข้างๆ ก็ได้หันไปแตะไหล่พร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ ซึ่งนั้นก็ทำให้แบมบูสงบลงเล็กน้อยแต่ก็ยังจ้องไปที่ กลุ่มคนเหล่านั้นอย่างไม่วางตา แต่สาวละตินก็ไม่ได้จะรู้สึกผิดแต่ประการใด แถมเธอยังทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้แถมหันมายิ้มมุมปากให้กับหนุ่มตัวกลมเป็นระยะอย่างท้าทาย
“จะห้ามน้องทำไม ดูดิมันสลดที่ไหนอะ น่าตบให้ดั้งยุบนะอีคนแบบนี้อ่ะ”แบมบูหันมาบ่นหนุ่มตัวเล็กที่เข้ามาห้ามทัพเขาไว้
“เออ หมากัดอย่ากัดตอบ อีกอย่างนะ ไปตบเขาอะไม่กลัวดั้งพังเหรอ ของเขาอ่ะของจริงของเราอ่ะ ของปลอมนะ”หนุ่มธันพูดขณะตาก็จ้องเนื้อบนเตาส่วนมือก็พลิกไม้ไก่ย่าง อย่างกับมืออาชีพมาลงมือทำเอง
“อ้าว ตบพี่แทนได้ไหมเนี่ย อันนี้ไม่ได้ของปลอมจ้ะ ของแท้ซิลิโคนแท้นำเข้ามาจากอเมริกาจ้ะ หมอการันตี เหมือนยิ่งกว่าจมูกแท้ๆ ซะอีก”แบมบูพูดพร้อมโชว์ บิดซ้ายบิดขวาจนน่าหวาดเสียวว่าซิลิโคนจะทะลุออกมาจากจมูก
“Oh can you do like that with your nose, I always thought it is plastic” (นี่เธอบิดจมูกแบบนั้นได้ด้วยเหรอฉันคิดมาตลอดเลยนะว่าจมูกของเธออะของปลอม) ฮานะเอามือทาบอกด้วยความตกใจก่อนจะพูดขึ้นอย่างซื่อๆ ซึ่งนั้นก็ทำให้คนในวงหัวเราะก๊าก ไม่เว้นแม้กระทั่งเดวิด เห็นจะมียกเว้นก็แต่คนตัวกลมที่มองไปที่สาวญี่ปุ่นด้วยตาที่เขียวปั้ด
“What? Did I say something wrong” (ฉันพูดอะไรผิดไปเหรอ) สาวฮานะที่ยังไม่รู้ตัวก็ได้ถามกลับไปเพราะเห็นคนตัวกลมทำหน้างอลๆเธอ
“No, you are right but you know what in my country there are saying logic is like the sword those who appeal to it shall perish by it” (ไม่เธอพูดถูกทุกอย่างแหละ แต่ในประเทศฉันมีคำกล่าวว่า ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายแต่คนพูดน่ะอาจตายได้นะ) แบมบูคีบเนื้อที่สุกแล้วขึ้นมาพร้อมกับค่อยๆบรรจงหั่นและยิ้มไปที่ฮานะอย่างเหี้ยมเกรี้ยม
ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอกลืนน้ำลายลงคอได้อย่างยากลำบาก กลับกันกับเพื่อนที่เหลือ เพราะพอคนตัวกลมพูดจบประโยค คนในวงก็พากันหัวเราะอย่างบ้าคลั่งจน สาวโคลัมเบียข้างๆ เบะปากใส่ด้วยความรำคาญ
หลังจากปิ้งย่างทุกอย่างเสร็จพวกเขาก็แบ่งทุกอย่างออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งวางไว้ที่โต๊ะกลางส่วนอีกส่วนก็ถือกลับไปยังโต๊ะที่พวกเขานั่ง โดยที่ไม่ลืมที่จะทำความสะอาดเตาและถือของกินอย่างละนิดอย่างละหน่อยติดมือมาจากโต๊ะกลางด้วย
“Um… Thun, I don’t want to say like this but your chicken has a strong smell it’s like an India food” (เอ่อ ธันฉันก็ไม่อยากพูดหรอกนะ แต่ว่าไก่ของเธอกลิ่นมันก็ค่อนข้างแรงจริงๆเหมือนกับอาหารอินเดียเลย) ฮานะหยิบไก่ขึ้นมาดมก่อนที่จะพูดด้วยสีหน้าเจื่อนๆ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คนตัวเล็กโมโห หรืองอลเธอเลย เขากับตอบเธอกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มๆ และเสียงที่ดูเรียบเฉยว่า
“How about eat a little bit first and tell me how you feel” (ถ้าไงลองกินสักคำดูก่อนไหมแล้วค่อยบอกฉันอีกทีว่ามันเป็นยังไง) หนุ่มผิวแทนพยักหน้าเล็กๆให้ สาวตาขีดเหมือนกับจะบอกว่ามันไม่เป็นไร ส่วนฮานะก็ทำหน้าแหยงๆ ก่อนจะเอามือบีบจมูกพร้อมกับกัดไก่สะเต๊ะที่ถืออยู่ในมือคำน้อยๆ
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะเคี้ยวเสร็จเธอก็ต้องทำตาโต จนตาแทบจะหลุดออกจากเบ้า พร้อมทั้งเผลอ อุทานมาเป็นภาษาบ้านเกิดของเธอว่า “โอ อิ ชิ อุ๊บ” (อร่อยจัง) เธอรีบเอามือปิดปากเธอทันทีหลังจากเผลออุทานออกมาพร้อมมองซ้ายมองขวาว่าอาจารย์อยู่แถวนั้นหรือเปล่า ก่อนที่จะหันมาหาธันพร้อม กับพูดอย่าง ละล่ำละลัก
“Sorry Thun, to be honest, I thought the test should be terrible but this one is really good juicy softly and tasty” (ขอโทษนะธันตอนแรกฉันคิดว่ารสชาติมันต้องแย่แน่ๆเลย แต่พอลองดูแล้วมันกลับ อร่อยมากๆเลยทั้งชุ่มฉ่ำและนุ่มมากๆด้วย)
ซึ่งหนุ่มตัวเล็กก็ไม่ได้ตอบอะไรมากไปกว่ารอยยิ้ม และดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่ฮานะคนเดียวที่ชอบไก่ของเขา เพราะคนอื่นๆในโต๊ะก็พูดชมเขาไม่หยุดปากและมันก็เริ่มที่จะลามไปยังโต๊ะข้างๆเหมือนไฟลามกอฟาง เสียงชื่นชมมาจากทุกสารทิศและดูเหมือนว่าผู้คนจะอยากรู้ว่าใครเป็นคนทำเมนูนี้ ซึ่งโฆษกประจำตัวของเขาก็ได้พูดแทนเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
   “Thun did it yes I know it delicious even it strong smell and yellow” (ธันทำ ใช่ฉันรู้ว่ามันอร่อย ถึงแม้ว่ามันจะสีเหลืองและกลิ่นแรงก็เถอะ) แบมบูตอบเอาจารย์และเพื่อนๆที่เดินเข้ามาถามว่าใครเป็นคนทำไก่สเต๊ะ ซึ่งเสียงตอนขึ้นต้นประโยคของเขาก็ดูเหมือนจะเป็นการตอบธรรมดา แต่ว่าเสียงตอนลงท้ายนั้นดูจะกระแทกไปยังใครบางคนที่นั่งอยู่ถัดจากพวกเขาสองโต๊ะเต็มๆ และนั่นก็ทำให้พวกเธอถึงกับสำลักไก่ที่กินอยู่ในปากเล็กน้อย
   กิจกรรมหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการพูดคุยกันระหว่างโต๊ะ และ นั่งฟังเสียงเพลงจากคนตาฟ้าที่ไม่รู้ไปหากีตาร์มาจากไหน ก่อนจะจบกิจกรรมด้วยการที่แบร์และวาเนซซ่าบรรยายว่าทำไมพวกเขาถึงต้องมาออกนอกสถานที่แบบนี้ ซึ่งหลักๆ ก็คือเพื่อให้พวกเขาได้ฝึกพูดและใช้คำศัพท์ในชีวิตประจำวันได้คล่องและเป็นธรรมชาติมากขึ้น
ระหว่างเดินทางกลับจากสวนสาธารณะ ธันก็ไม่อาจจะห้ามใจโยนพวกเศษขนมปังและอาหารที่เขาแอบเก็บมาหลังจากที่ทุกคนกินกันอิ่มแล้วไปให้เหล่านกพิราบและลูกนกกุหลาขาว (White ibis) ที่เขาพบเจอตามทาง
เมื่อมาถึงใจกลางเมืองทุกๆคนก็ต่างแยกย้ายกลับที่พักของตน โดยธัน แบมบู และเตย เดินกลับทางเดียวกัน ส่วน เดวิด ฮานะ และพี่ซีอิ๊วก็อยู่ละแวกเดียวกันเช่นกัน
   เมื่อกลับมาถึงห้องก็พบกับความว่างเปล่า ท่าทางพี่อ้นจะออกไปทำงานแล้วแต่ว่าบนโต๊ะกินข้าวก็มี โน้ตสีเหลืองแปะไว้ว่า “ขอบคุณสำหรับไก่สะเต๊ะนะครับ แม้จะไม่มีน้ำจิ้มก็อร่อยสุดๆเลย ไว้วันหลังทำให้พี่กินอีกนะ” ธันหยิบขึ้นมาอ่านพร้อมกับเผลอยิ้มบาง ๆ
   “ไปเก็บของข้างบนก่อนนะ”แบมบูพูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ก่อนจะเดินขึ้นห้องไปอย่างเงียบๆ ธันเองก็คิดขึ้นมาได้ว่าตัวเขาเองก็ควรจะเอาของขึ้นไปเก็บด้วยเช่นกัน
แต่ก่อนหน้านั้นเขาก็ควรที่จะเอาพวกน้ำอัดลม และ ขนมกรุบกรอบที่เขาและหนุ่มตัวกลมเก็บมาหลังจากจบงานปาร์ตี้ออกเสียก่อน คิดได้ดังนั้นเขาก็เริ่มทยอยหยิบขนมออกมาจากกระเป๋าทีละชิ้นๆแต่เมื่อหยิบชิ้นสุดท้ายออกมาเขาก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะเขาค่อนข้างแน่ใจว่าเขาไม่ได้เก็บขนมชิ้นนี้มาแน่ ซึ่งตัวขนมดังกล่าวเป็นขนมที่ยังไม่ได้แกะกินด้วยซ้ำและที่สำคัญคือมันเป็นแยมโรลขนมที่เขาชอบมากอีกด้วย
แต่มันก็ดูน่าสงสัยสุดๆ เช่นกัน เขาพลิกซ้ายพลิกขวาดูว่ามันมีร่องรอยการแกะหรือเปล่าเผื่อว่าบางคนจะแอบแกล้งเขา ซึ่งในระหว่างที่หยิบกล่องพลิกขึ้นดูก็มีกระดาษร่วงลงมาจากใต้กล่องและข้อความบนกระดาษก็ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะกระดาษถูกเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ว่า
“ผมจำได้ว่าคุณชอบกินขนมมากๆ ครั้งหน้าผมจะมอบของบางอย่างให้คุณและจะบอกชอบคุณต่อหน้าด้วย ขอให้ผมได้เตรียมตัวเตรียมใจอีกหน่อยนะครับ
ลงชื่อ คนที่แอบชอบคุณ”
    คิ้วของหนุ่มธันยิ่งขมวดเป็นปมหนาขึ้นไปอีกเมื่ออ่านข้อความในจดหมายจบ โดยอาจจะเป็นเพราะว่า กำลังสงสัยว่าใครกันเป็นคนแอบเอาขนมมาใส่พร้อมกับเขียนจดหมายแนบมาซะหวานหยดขนาดนี้ให้เขา สองคือตัวหนังสือนั้นก็ตัวเล็กมากๆ จนเขาต้องเพ่งแล้วเพ่งอีกกว่าจะอ่านออก
   “ใครกันนะ แอบเอาขนมมาใส่ให้ กินดีไหมเนี่ย เอาไปให้อ้วนลองกินก่อนดีกว่า เผื่อตาย” จบประโยคธันก็ถือขนมและกระเป๋าเดินตามหลังแบมบูขึ้นไปบนห้อง
หัวข้อ: Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.10 หน้าสอง
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-06-2020 22:55:15
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: When love travel ความรักและความกังวล ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 12-06-2020 19:29:09
“เฮ้อ” หนุ่มตัวเล็กทักทายเช้าวันใหม่ด้วยการถอนหายใจเบาๆ หลังจากกดมือถือเข้าเช็คยอดเงินของตน ผ่านแอปพลิเคชั่นของธนาคารในออสเตรเลียและแม้จะดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เขาก็ยังไม่พบความผิดปกติของยอดเงินเข้าออกแม้แต่น้อย หากเราไม่นับว่าการใช้จ่ายเงินเกินตัวเป็นความผิดปกติละก็นะ
ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย ของทุกอย่างมันก็ดูล่อตาล่อใจธันซะเหลือเกิน ทั้งขนมรสชาติแปลกๆ เช่น ช็อคโกแลตที่สอดไส้ลูกอมเป๊าะแป๊ะ คิทแคทรสมินท์คุกกี้ หรือจะไอศครีม Viennetta ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นที่นิยมในอดีตและหาไม่ได้แล้วที่ไทยแต่ที่นี่กลับพบเห็นได้ทั่วไปตามซุปเปอร์มาเก็ต
แต่อันที่จริงแค่ของกินมันไม่ได้ทำให้เงินในบัญชีของธันร่อยหรอลงไปมากนักหรอก จริงๆ แล้วเงินของหนุ่มตัวเล็กนั้นหมดไปกับการซื้อเสื้อผ้า ครีมบำรุง อาหารเสริม และน้ำหอมมากกว่า หากคุณเคยไปเที่ยวฮ่องกงหรือสิงค์โปรแล้วคิดว่า น้ำหอม อาหารเสริม ครีมบำรุงที่นั้นถูกแล้ว เมื่อเจอราคาที่ออสเตรเลียแล้วคุณคงจะต้องเสียอาการหนักกว่านั้นเป็นแน่ เหมือนหนุ่มผิวแทนที่ซื้อของมาอย่างไม่บันยะบันยังจนต้องมานั่งเอามือก่ายหน้าผากอยู่ตอนนี้
“อืม ทำไมไม่เห็นจะมีที่ไหนติดต่อมาเลยนะ”หนุ่มธันพูดกับตัวเองพลางเอามือเขี่ยหน้าจอไปมา
“เอ้า เสร็จหรือยังจะสายแล้วนะ”หนุ่มตัวกลมที่เพิ่งจะทาแป้งทาปากในห้องน้ำเสร็จเดินออกมาพร้อมกับเอ็ดหนุ่มตัวเล็กที่ยังนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง
“เออ เสร็จแล้วน่า หยิบกระเป่าเสร็จก็ออกไปได้แล้ว”หนุ่มผิวแทนค่อยๆยันตัวขึ้นจากที่นอนด้วยใบหน้ายู่ยี่ก่อนจะเอี้ยวตัวไปหยิบกระเป๋าพร้อมกับเดินออกจากห้องตามหลังแบมบูไป
“นี่ แกสรุปว่าเรื่องขนมที่ฉันได้เนี่ยแกว่าไงวะ” ระหว่างรอข้ามไฟแดงหนุ่มธันก็อดไม่ได้ที่จะถามเรื่องนี้กับหนุ่มตัวกลมที่ยืนอยู่ข้างๆ
“โอ้ย นี่พูดไปล้านรอบแล้วนะ น้องก็บอกแล้วไงว่ามันจะเป็นใครก็ได้ อ่านปาก ณัชชานะ จะเป็นใครก็ได้ เพราะว่าเธออ่ะ ชอบเอาขนมไปกินที่ห้องเรียน เพื่อนในห้องก็เห็น ไหนจะตอนกลางวันอีก กินข้าวเสร็จก็ต้องมีขนมตาม ต่อให้ฉันไม่รู้จักเธอก็ต้องดูออกปะ ว่าเธออ่ะ ชอบกินขนม”หนุ่มแบมบูถอนหายใจก่อนจะพูดอธิบายให้หนุ่มตัวเล็กที่ดูจะค่อนข้างจะเข้าใจอะไรยากฟังเป็นรอบที่สามของวัน
“มันก็ใช่ แต่ขนมมันก็มีตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมเขาถึงจงใจเอาขนมแยมโรลที่ฉันชอบที่สุดมาใส่ไว้ละ”หนุ่มผิวแทนยังไม่หยุดที่จะถามเซ้าซี้ต่อ
“อันนี้ก็บอกไปแล้วนะว่าขนมส่วนใหญ่ที่เธอกินก็คือแยมโรล ฉันเห็นเธอกินซ้ำมันทุกวัน ต่อให้ฉันไม่รู้จักเธอมาก่อน แต่แค่สังเกตุเธอติดต่อกันสองสามวันก็เดาได้แล้วปะ” รอบนี้นอกจากจะถอนหายใจแบมบูเริ่มมีอาหารตาเหลือกมองบนเพิ่มไปด้วย
“แต่ว่า...มัน”ยังไม่ทันที่หนุ่มธันจะพูดจบประโยคแบมบูก็พูดสวนขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน
“โอ้ย!!! ถ้ายังไม่เลิกสงสัยนี่จะรำกลางสี่แยกแล้วนะ มีคนชอบก็ดีแล้วไง นี่ถ้ารุ่นเดียวกันก็จะด่าแล้วนะ”หนุ่มแบมบูพูดพร้อมทำหน้าเอือม
“อะไหนลองสมมุติว่าเป็นรุ่นเดียวกันสิ”ธันพูดพร้อมกลั้นหัวเราะ
“อะ สมมุตินะ ถ้าเป็นรุ่นเดียวกันก็จะบอกว่า กินๆ เข้าไปเหอะอย่าสงสัยมาก นี่กินจนออกไปเป็นขี้แล้วยังไม่เลิกสงสัยอีก แหม่ก็คงเป็นเพราะแกสวยแหละเลยมีคนหมายปองเยอะ สวยมาก กอไก่ล้านตัว เลยอ่ะแก นี่มองข้างๆ นึกว่าดารานะเนี่ย เป็นไงดูปลอมปะ”คนตัวกลมจีบปากจีบคอพูดก่อนจะหันมาถามความเห็นของคนตัวเล็กที่ยืนกลั้นขำอยู่ข้างๆ
“ไม่ปลอมหรอกแกดูจริงใจมาก แต่ดีแล้วล่ะที่ไม่ใช่รุ่นเดียวกันอ่ะ” หนุ่มธันที่อดทนไม่ไหวถึงกลับปล่อยขำจนน้ำตาเล็ด แต่ก็ยังพยายามตอบแบมบูไปด้วยเสียงที่มีความสั่นระรัวเล็กน้อย หลังจากคนตัวเล็กพูดจบก็เป็นเวลาเดียวกันกับสัญญาณไฟเขียวดังขึ้นพอดี ทั้งคู่เลยหยุดบท สนทนาลงเพียงแค่นั้นก่อนจะเดินข้ามถนนไปพร้อมกัน
วันนี้ในขณะที่เรียนอยู่ คนตัวเล็กไม่ค่อยมีสมาธิจดจ่อกับการเรียนเท่าใดนัก เพราะเขามีปัญหาเรื่องเงินที่ต้องคิดว่าจะเอาอย่างไรดี ที่จริงแล้วเขาจะส่งข้อความไปหาทางบ้านให้ช่วยเหลือก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพราะทีบ้านเขาก็เอ่ยปากมาตั้งแต่แรกแล้วว่าถ้ามีอะไรให้ช่วยก็ให้รีบโทรหาได้เลยไม่ต้องเกรงใจ แต่ทว่าตัวเขาปีนี้อายุก็ย่างยี่สิบเจ็ดปีเข้าไปแล้ว อีกทั้งตั้งแต่เรียนจบมามีงานทำเขาเองก็ไม่เคยขอเงินที่บ้านอีกเลย
ดังนั้นถ้าจะให้มาขอเอาตอนนี้มันก็ดูตะขิดตะขวงใจยังไงแปลกๆ เขาจึงตัดสินใจที่จะลองพยายามเองให้ถึงที่สุดก่อนโดยการลองหาสมัครงาน Part-time ในเว็บท้องถิ่นของออสเตรเลีย
แต่หลังจากลองยื่นไปหลายๆ ที่รวมถึงเอาใบ Resume ไปฝากที่ร้าน Grab and go ของเซเรน่าแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีที่ไหนติดต่อกลับมาเลย  ไหนจะเรื่องที่เขาไปนอนห้องใครตอนเมามาอีก ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร แล้วเรื่องล่าสุดที่มีคนเอาขนมมาใส่ไว้ในกระเป๋าเขาอีกละ
อันที่จริงแล้วในใจลึกๆ ของเขาก็แอบคิดว่าทั้งสองคนนี้ต้องเป็นคนเดียวกันแน่ๆ และนั่นมันก็ทำให้เขาเกิดความกลัวขึ้นมาอยู่เหมือนกัน เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าใครคนนั้นจะทำแบบนี้ทำไม หรือเขาหวังอะไรในตัวเขากันแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดยิ่งเครียดก็ยิ่งปวดหัวแต่ก่อนที่จะปวดหัวไปมากกว่านั้นก็มีม้วนหนังสือมาตีเข้าที่โต๊ะที่เข้านั่ง จนเขาต้องสะดุ้งโหย่งโชคยังดีที่ไม่เผลออุทานอะไรประหลาดๆ ออกไป
“Do you want to sit on this chair and study or do you want to sit on the Golden Penda outside because I saw you look outside for a while instant of my whiteboard” (เธอจะนั่งเรียนที่เก้าอี้ตัวนี้หรือว่าเธอจะไปนั่งบนต้น Golden Penda ข้างนอกนั่นเพราะว่าผมเห็นคุณนั่งมองมันมาสักพักแล้ว แทนที่คุณจะมองบนกระดานของผม) จะเป็นใครอื่นเป็นไม่ได้นอกจากแบร์อาจารย์ประจำห้องที่เป็นผู้ฟาดหนังสือลงมา และนั่นก็ทำให้คนตัวเล็กยิ้มและเกาหัวแทนคำตอบซึ่งก็ทำให้อาจารย์ถอนหายใจก่อนจะเดินกลับไปที่กระดานของเขาต่อ
“Are you ok” (เป็นอะไรหรือเปล่า) ฮานะที่นั่งอยู่ข้างๆ ถามขึ้นด้วยเสียงกระซิบ
“I am ok, don’t worry” (ไม่เป็นไรไม่ต้องห่วงนะ) หนุ่มธันตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มแกนๆ ซึ่งสาวญี่ปุ่นแม้จะยังมีสีหน้าเป็นห่วงอยู่บ้าง แต่เธอก็จำเป็นต้องหันหน้ากลับไปทางกระดานเพราะตอนนี้ อาจารย์ประจำชั้นเปลี่ยนเป้าสายตามามองที่เธอแทนแล้ว
 แดดตอนกลางวันของออสเตรเลียนั้นไม่ต่างจากประเทศไทยสักเท่าไหร่นัก เผลอๆ ที่เมืองจิงโจ้นี้เราจะรู้สึกร้อนกว่าด้วยเพราะว่าอากาศที่นี่ร้อนและแห้ง และถึงแม้มันจะไม่มีเหงื่อออกมาเหนียวเหนอะหนะให้น่ารำคาญเหมือนบ้านเราแต่การที่เหงื่อคุณไม่ออกเมื่อเจอแดดนี่มันทำให้ผิวคุณแสบและลอกได้ง่ายกว่าเยอะ เหมือนกับกลุ่มของคนเอเชียกลุ่มนี้ที่นั่งโดนแดดจนผิวแสบเหมือนไก่โดนเอาเข้าไปย่างในตู้อบลมร้อนอย่างไรอย่างนั้น แต่มันก็ช่วยไม่ได้เพราะสมาชิกที่นั่งอยู่ในโต๊ะดันโดนอาจารย์ปล่อยช้ากันทุกคนแม้จะอยู่กันคนละห้องก็ตาม แถมวันนี้เป็นวันที่มีนักเรียนใหม่เข้ามาเพิ่มทำให้โต๊ะดีๆ ที่ไม่โดนแดดนั้นโดนเด็กใหม่แย่งไปจนหมดแล้ว อันที่จริงมีโต๊ะที่โดนแดดร้อนๆ ให้นั่งก็ยังดีกว่าต้องนั่งกินข้าวกันบนพื้นละนะ
“Hey, don’t take that from me” (เฮ้ อย่าเอาอันนั่นของฉันไป) เตยร้องโวยวายเมื่อโดนฮานะแย่งเอาลูกชิ้นจากก๋วยเตี๋ยวที่เธอห่อมากินเป็นมื้อกลางวันไป
“Haha, it too late” (ฮ่าฮ่า ช้าไปแล้ว) สาวญี่ปุ่นพูดขึ้นก่อนจะรีบเอาลูกชิ้นเข้าปากตัวเองไป เพราะสาวผมหยิกกำลังจะคว้าตะเกียบมาแย่งลูกชิ้นของเธอคืน
พอเห็นดังนั้น เธอก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการงอลตุ๊บป่อง จนฮานะต้องแบ่งเนื้อแซลม่อนของเธอคืนไป ใบเตยถึงหันกลับมาเป็นปกติได้
บนโต๊ะอาหารตอนนี้มีสีสันมากกว่าที่เคยเพราะว่าจำนวนสมาชิกบนโต๊ะเพิ่มจากสี่คนมาเป็นหกคนแล้ว และนั่นก็ทำให้มื้อกลางวันของพวกเขาดูครึกครื้นมากกว่าที่เคย จนในบางครั้ง มันก็ครึกครื้นเกินไปจนอาจารย์ที่อยู่ข้างในต้องออกมาเตือน
“เป็นอะไรหรือเปล่า วันนี้แลดูเงียบๆ นะ” พี่ซีอิ๊ว ที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมาถามหนุ่มตัวเล็กที่มองเหม่อไปยังต้นไม้ฝั่งตรงข้ามตึกเรียนมาสักพักแล้ว
   “ดูออกขนาดนั้นเลยเหรอพี่” หนุ่มธันที่เพิ่งได้สติจากเสียงเรียกของสาวสวยข้างๆ หันมายิ้มแห้งๆ ก่อนจะถามกลับไปด้วยเสียงอ่อยๆ เล็กน้อย
“จะดูไม่ออกได้ไงก็ปกติพูดเป็นต่อยหอย แต่วันนี้คนบนโต๊ะเขาเล่นมุขขำกันจะตายแกยังเงียบไม่หือไม่อือเลย มีอะไรบอกได้นะ” พี่ซีอิ๊วตักผัดไทยตรงหน้าเข้าปากก่อนจะถามซ้ำอีกรอบ
“ก็เครียดๆ เรื่องเงินอะพี่ พอดีเดือนที่ผ่านมาใช้ไปเยอะ แล้วตอนนี้ก็กำลังหางานพิเศษทำแต่ก็ยังไม่มีที่ไหนเรียกเลย” หนุ่มตัวเล็กพูดพร้อมเขี่ยข้าวของตัวเองไปมา
“แกไปสมัครไว้ที่ไหนอะ ลองของ Thaiaussie หรือยัง ถ้าสมัครพวกเว็บท้องถิ่นของมันอ่ะยาก เพราะเขาก็ต้องเรียกคนท้องถิ่นของตัวเองก่อน จะให้มาเรียกคนเอเชียอย่างเราไปทำงานน่ะยากยิ่งกว่ายาก ไหนจะวีซ่านักเรียนที่ทำงานให้เขาได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยอีก เลิกหวังไปได้เลยแก”พี่อิ๊วพูดโดยใช้เสียงเรียบๆ แต่ชัดเจนและได้ใจความทุกประโยค
“อืม นั่นสินะ เขาก็ต้องเอาคนของเขาก่อนเป็นปกติอยู่แล้ว” ธันยังก้มหน้าก้มตาเขี่ยข้าวของเขาต่อไป
“Excuse me, Can we sit with you” (ขอโทษนะครับ ขอพวกเรานั่งด้วยคนได้ไหม) เสียงพูดอังกฤษสำเนียงเอเชียดังมาจากทางด้านหลังคนตัวเล็ก ซึ่งดูแล้วผู้พูดน่าจะหมายตาเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่อีกสองตัวเป็นแน่
แต่เมื่อน้ำเสียงนั้นสิ้นสุดลงทั้งโต๊ะก็เงียบไม่ยอมตอบจนคนผิวแทนต้องเงยหน้าขึ้นมามองซึ่งก็พบกับสายตาแปลกๆ ของทุกคนบนโต๊ะ จนธันต้องหันหลังไปมองว่าใครเป็นคนขอนั่งด้วย และเมื่อหันกลับไปก็เห็นคนข้างหน้าที่ยืนถือจานข้าวอยู่เป็นหนุ่มเกาหลีใส่แว่นทรงกลมคล้ายๆ กับแว่นของเตยแต่เล็กกว่ามาก ซึ่งมันก็เข้ากับทรงผมหน้าม้าเต่อของเขาอย่างพอดิบพอดี
แต่ไม่ว่าจะมองยังไงคนๆ นี้ก็ไม่ได้อยู่ในเศษเสี้ยวความทรงจำของเขาเลย ผิดกับคนข้างหลังเจ้าหนุ่มเกาหลีหน้ากลมนี่สิเป็นคนที่เขารู้จักดีเชียวแหละ หนุ่มตาฟ้ายืนถือถุงกระดาษ McDonald ด้วยมือข้างซ้ายแถมหน้าตาตอนนี้ก็ดูไม่ค่อยจะสบอารมณ์เหมือนโดนใครเหยียบเท้ามาก็ไม่ปาน
“Can we?” (ได้ไหมครับ) หนุ่มเกาหลีถามซ้ำอีกรอบ
   ซึ่ง ณ ตอนนี้ทุกสายตาบนโต๊ะหันมาจับจ้องคนตัวเล็กเพียงคนเดียวนั่นก็เป็นเพราะว่า หนุ่มผิวแทนเคยบอกกับคนในกลุ่มไปแล้วว่าเขาไม่ชอบหน้า ตารูเบนนี่ ส่วนสาเหตุก็เป็นเพราะคนตาฟ้าคนนี้มีอัธยาศัยที่แย่จนถึงขั้นติดลบในสายตาของเขา แต่ในเมื่อวันนี้เก้าอี้นั่งกินข้าวมันค่อนข้างจะมีจำกัดและหากเขาจะปฏิเสธสองคนนี้เนื่องจากไม่ค่อยชอบหน้า มันก็ดูจะเป็นเด็กไปหน่อยดังนั้นเขาจึงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการถอนหายใจหนึ่งเฮือกก่อนจะพูดตอบกลับไปด้วยเสียงเรียบๆ
   “Sure” (นั่งสิ) หนุ่มตัวเล็กตอบด้วยน้ำเสียงแกนๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกฝั่ง
   “Thank you so much” (ขอบคุณมากครับ) หนุ่มเกาหลีรีบขอบคุณก่อนจะย้ายก้นของตัวเองไปนั่งยังเก้าอี้ตัวที่อยู่ติดกับแบมบูทันที ส่วนคนผมสีวอลนัทก็ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากต้องนั่งเก้าอี้ตัวที่เหลือข้างๆ คนตัวเล็กไป
   “My name is June I am from Korea and this is Ruben. You might know him because my friend is quite hot.” (ผมชื่อจุนครับมาจากเกาหลี ส่วนนี่รูเบนบางทีพวกคุณอาจจะรู้จักเขาอยู่แล้ว เพราะเพื่อนผมคนนี้ค่อนข้างที่จะฮ็อตน่ะครับ) หนุ่มเกาหลีแนะนำตัวเองพร้อมรอยยิ้มก่อนจะผายมือไปยังเพื่อนหน้าคมที่นั่งเก็กอยู่ข้างๆ ซึ่งประโยคที่เขาพูดแนะนำตัวเองนั้นทั้งโต๊ะก็เพียงยิ้มบางๆ ตามมารยาทให้ไป แต่ว่าประโยคปิดท้ายที่พูดแนะนำเพื่อนนั้นได้รับเสียงตบมือจากสาวๆ กันยกใหญ่ ซึ่งผิดกับหนุ่มธันที่กำลังทำปากคว่ำอย่างสุดฤทธิ์
   “Is that a green curry” (อันนั้นคือแกงเขียวหวานหรือเปล่าครับ) หนุ่มเอเชียผู้มาใหม่ชี้ไปที่แกงเขียวหวานของธัน ที่ยังเหลืออยู่เกือบครึ่งค่อนถ้วยเนื่องจากเขาไม่ค่อยจะมีอารมณ์กินมันเท่าไหร่แล้ว และถึงแม้เพื่อนจะชื่นชอบในอาหารฝีมือของเขาแต่ทว่าทุกคนก็มีกับข้าวของตนเองที่ต้องรับผิดชอบอยู่ดังนั้นวันนี้อาหารของเขาน่าจะต้องเป็นม่ายแล้วแน่ๆ
   “Yes, it is. Do you want to try?” (ใช่ อยากลองหน่อยไหมล่ะ) หนุ่มธันยิ้มน้อยๆก่อนจะผลักถ้วยแกงเขียวหวานไปยังกึ่งกลางระหว่างคนตาฟ้าและจุน
   “I would like to know why it called green curry but the color is not too green” (ฉันอยากรู้จังทำไมมันถึงเรียกแกงเขียวหวานแต่สีมันดูไม่ค่อยเขียวเลย) หนุ่มเดวิดถามขึ้น
   Because the color comes from the main ingredient such as green bird's eye chili and bergamot skin that why we call green curry and the color comes from natural not factory that why it not green like a paint color” (สีเขียวที่เราพูดถึงมาจากส่วนผสมหลักก็คือพริกขี้หนูสีเขียวกับผิวมะกรูดดังนั้นเราจึงเรียกแกงนี้ว่าแกงเขียวหวาน อีกอย่างสีที่เราเห็นก็มาจากสีของธรรมชาติไม่ใช่สีทาบ้านจะได้เขียวสดขนาดนั้น) หนุ่มธันให้ความรู้กับหนุ่มเดวิด ไปซึ่งแม้เดวิดจะดูยังไม่ค่อยเข้าใจนักแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ
   “Oh, sorry I forgot to tell you my curry is quite hot. (อุ้ย ขอโทษลืมบอกไป แกงมันค่อยข้างที่จะเผ็ดนะ) หนุ่มตัวเล็กแสร้งทำท่าตกใจพูดออกไป ที่บอกว่าแสร้งเป็นเพราะในใจเขาไม่ได้ลืมอะไรหรอกและที่เขาผลักสำหรับของเขาไปอยู่ตรงกลางระหว่างรูเบนและจุนนั่นก็เป็นเพราะ เขาแอบหวังว่าหนุ่มรูเบนจะลองตักกับข้าวของเขาแล้วเผ็ดจนน้ำตาไหลออกมาหยดสองหยด
ซึ่งมันก็ได้ผล เพราะระหว่างที่เขาหันไปอธิบายให้ หนุ่มตาหยีฟัง รูเบนก็แอบตักแกงเขียวหวานเข้าปากและเมื่อน้ำแกงเข้าไปในปากยังไม่ทันจะถึงนาที น้ำตาใสๆ ก็ไหลมาอาบแก้มของหนุ่มรูเบนจนธันที่ชำเลืองมองก็ทั้งแอบสงสารและแอบขำอยู่ในใจ
   “แหม่พ่อคุณ ขนาดเผ็ดจนน้ำหูน้ำตาไหลก็ยังมีกะใจจะเก็กหน้าต่ออีกนะ” หนุ่มธันคิดในใจพร้อมทั้งยิ้มมุมปากเล็กๆ เพื่อไม่ให้คนอื่นเห็น
“Hey, handsome man I heard from someone you are good at sing. Can you sing a little bit for me?” (ไงหนุ่มหล่อ ฉันได้ยินมาว่าเธอร้องเพลงเก่งนี่ ถ้าไงลองร้องให้ฉันฟังสักหน่อยได้ไหม) เสียงหวานๆดังลอยมาจากฝั่งตรงข้ามของโต๊ะและเมื่อกลุ่มของคนตัวเล็กหันไปมองทางต้นเสียงก็ต้องทำหน้าเหมือนเหม็นเบื่ออะไรสักอย่างขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เพราะคนที่พูดออกมาเป็นสาวหน้าคมคนโคลัมเบียที่เคยวิจารณ์เรื่องสีและกลิ่นของไก่สเต๊ะ ของหนุ่มตัวเล็กเมื่อครั้งก่อน
เมื่อหันมามองทางด้านหนุ่มตาฟ้าที่ยังทำท่าทีไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับคำพูดหวานๆ ของสาวละตินนั้น หนุ่มตัวเล็กก็อดไม่ได้ที่จะแอบขำในใจ แต่ถึงแม้ผู้ชายจะดูไม่เล่นด้วย สาวหน้าคมก็ยังไม่ยอมแพ้เธอเดินเข้ามาประชิดตัวหนุ่มตัวสูงพร้อมโอบไหล่ก่อนจะใช้น้ำเสียงกระซิบกระซาบคุยกับเขา
“Don’t be shy I know, I am beautiful how about I sing first, and you follow me then.” (อย่าเขิลไปหน่อยเลย ฉันรู้ว่าฉันค่อยข้างที่จะสวยเอาแบบนี้เป็นไงเดี๋ยวฉันร้องก่อนแล้วเดี๋ยวเธอค่อยร้องตามเป็นไง) เธอเสนอตัวเป็นคนร้องนำและให้รูเบนร้องตาม อีกทั้งไม่รู้ว่าเธอไปหนาวมาจากไหน เพราะถึงแม้อากาศข้างนอกจะร้อนจนหนุ่มตัวเล็กแทบจะละลายลงไปกองอยู่กับพื้น แต่สาวลาตินก็ใช้เรือนร่างของเธอเบียดเข้าหาไออุ่นของหนุ่มผมสีวอลนัท จนตัวแทบจะเป็นร่างเดียวกันอยู่แล้ว ซึ่งหลังจากเธอกระแอมไอเพื่อวอร์มเสียงชั่วครู่ เธอก็เริ่มเปล่งเสียงใสๆ ออกมา
“I love it when you call me Senorita I wish I could pretend I didn’t need you” เธอจบท่อนด้วยการจงใจพูดคำว่า “you” ลงไปที่ข้างหูของรูเบนและถึงหนุ่มผิวแทนจะไม่ค่อยชอบหน้าสาวคนนี้สักเท่าไหร่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเธอร้องเพลงได้ค่อนข้างดีทีเดียว แต่ถึงยังไงมันก็แลดูตลกอยู่ดีที่จะเข้าหาผู้ชายแบบนี้ ถึงธันจะไม่รู้ว่าสองคนนี้เคยมีอะไรกันมาก่อนหรือเปล่าแต่การที่เดินเข้ามาให้ผู้ชายร้องเพลงให้ต่อหน้าคนเยอะๆ มันก็ดูจะเวอร์และน่าอายไปหน่อยสำหรับความรู้สึกของคนตัวเล็ก
หนุ่มรูเบนยิ้มตอบสาวลาตินก่อนจะพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอต้องหุบยิ้มสวยๆ ของเธอลงทันที
“Nah I don't want to sing with you.” (ไม่อะฉันไม่อยากร้องกับเธอ) หนุ่มรูเบนหุบยิ้มลงทันทีเมื่อพูดจบและลุกขึ้นพรวดพลาดและเดินจากไป ทิ้งให้สาวโคลัมเบียที่ไม่ได้ตั้งตัวเซจนแทบจะตกเก้าอี้ และเมื่อเธอได้สติเธอก็ทำหน้าถมึงทึงใส่คนในโต๊ะที่หัวเราะใส่เธอก่อนที่จะเดินจากไปด้วยอาการเสียศูนย์และเสียหน้าพร้อมกัน
แม้จะเป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้วแต่ความร้อนของพระอาทิตย์ที่แผดเผาก็ไม่ได้ลดลงเลย ยิ่งธันและเพื่อนมายืนคุยกันหน้าตึกที่เป็นกระจกก็ยิ่งแล้วใหญ่เพราะ เมื่อแสงแดดส่องโดนกระจกแล้วตกกระทบมาที่พวกเขามันก็ยิ่งร้อนเหมือนกันกับ มดดำที่โดนแสงแดดแผดเผาผ่านแว่นขยาย จนหนังกำพร้าของพวกเขาแทบจะมีควันขึ้นอยู่แล้ว
“เออ เป็นไงบ้างได้ลองดูงานในเว็ปที่พี่ให้ยัง” พี่ซีอิ๊วหันมาถามธันขณะยืนหลบแดดใต้ต้น Golden Penda กันอยู่
“ลองแล้วพี่แต่ยังไม่มีวี่แววเลย นี่ส่งข้อความไปหามาสี่ห้าร้านแล้วก็ยังไม่มีร้านไหนตอบกลับเลยครับ” หนุ่มธันที่กำลังเขี่ยหน้าจอโทรศัพท์ไปมาตอบโดยไม่หันหน้าขึ้นมามอง
“เออ เอาน่ามันก็คงไม่ได้เร็วขนาดนั้นหรอก พี่เองกว่าจะมีคนเรียกไปทำงานก็เป็นอาทิตย์อยู่เหมือนกัน” สาวหมวยอินเตอร์พูดขณะสอดส่ายสายตาดูรสบัสสายที่เธอจะต้องขึ้นเพื่อไปทำงานไปด้วย
“Hey, please say in English please, I want to know too” (นี่พูดเป็นภาษาอังกฤษกันสิ ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันนะ) ฮานะจังที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดขึ้นมาด้วยหน้าตาอยากรู้อยากเห็น
“Ok ok, I said I would like to get a part-time job but I didn’t get it yet. Maybe I don’t have luck.” (ได้ คือฉันบอกว่าฉันอยากจะได้งานพิเศษทำแต่จนแล้วจนรอดฉันก็ยังหาไม่ได้เลย บางทีฉันคงจะไม่มีดวงละมั้ง) ธันเงยหน้าขึ้นมาอธิบายกับสาวหมวยด้วยรอยยิ้มแกนๆ
“Oh Thun, Don’t worry you might get it soon.” (โอ้ธัน ไม่ต้องห่วงนะฉันคิดว่าเธอน่าจะได้งานเร็วๆนี้แหละ) สาวญี่ปุ่นที่แลดูจะเป็นห่วงธันพูดขึ้นก่อนจะเอามือไปแตะที่ไหล่ของธันเบาๆซึ่งนั่นก็ทำให้คนตัวเล็กรู้สึกอบอุ่นในใจขึ้นมาได้บ้าง
“Um… Thank you Han…” (ขอบใจนะฮาน...) เสียงได้ขาดห้วงหายเข้าไปในลำคอของเขา เพราะทันทีที่เขากำลังจะพูดขอบใจ ฮานะ ก็มีข้อความเด้งขึ้นมาในมือถือของเขาและเมื่อเขาเปิดดูก็พบว่าเป็นข้อความให้เขาเข้าไปลองทำงานดูโดยในข้อความเขียนไว้ว่า
“สวัสดีครับ พอดีพี่เพิ่งเห็นข้อความที่น้องส่งมาสมัครงานถ้ายังไงสนใจก็ให้ลองเข้ามาลองทำดู เสื้อไม่ต้องเตรียมมานะครับทางร้านมีให้ แต่อาจจะต้องเตรียมกางเกงขายาวสีดำ จะเป็นกางเกงสแล็ค หรือ กางเกงวอร์มก็ได้ ส่วนรองเท้าขอเป็นรองเท้าผ้าใบสีดำนะครับ ถ้าสะดวกก็เข้ามาวันนี้ได้เลย เดี๋ยวพี่ส่งโลเคชั่นของร้านให้”เมื่ออ่านจบเขาก็รู้สึกตื่นเต้นสุดๆ จนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ต้องหันไประบายออกกับเพื่อนๆโดยรอบ
“I got it, I got it Hana พี่ซีอิ๊วธันได้แล้ว ธันได้แล้ว” เขาหันไปจับไม้จับมือสาวไทยที่ยืนข้างๆเขาและกอดคอสาวญี่ปุ่นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเช่นกัน
“แบมบู แบมบู ไปเดินซื้อของเป็นเพื่อนหน่อยดิ แล้วก็วันนี้ฉันอาจจะกลับห้องดึกหน่อยนะ” ธันหันหลังไปพูดกับแบมบูที่ยืนจับกลุ่มคุยอยู่กับ เดวิดและจุนอย่างออกรสออกชาติ
“ทำไมอ่ะ ได้งานแล้วเหรอ” แบมบูละการสนทนาจากหนุ่มเกาหลีและหนุ่มไต้หวันก่อนจะหันมาถามหนุ่มตัวเล็กอย่างตื่นเต้นเช่นกัน
“ยังไม่แน่ใจอ่ะ แต่เขาให้ไปลองดูก่อน”หนุ่มผิวแทนที่แม้จะยังไม่รู้ว่าจะได้งานไหมแต่หัวใจของเขาตอนนี้ก็ได้พองโตขึ้นมาแล้วด้วยความหวังเล็กๆ
หลังจากได้กางเกงวอร์มสีดำจากร้าน Zara มาหนึ่งตัวเขากับแบมบูก็เดินมารอรถบัสที่ป้ายรถ โชคดีที่ร้านที่เขาจะไปทำงานกับห้องของเขานั้นสามารถมารอรถที่ป้ายรถเดียวกันได้ เขาจึงไม่ต้องยืนเหงาอยู่คนเดียว
“นี่แกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรวะ” หนุ่มธันที่สังเกตอาการหนุ่มตัวกลมมาสักพักพูดถามขึ้นมา
“ดูออกขนาดนั้นเลยเหรอ”แบมบูเงยหน้าขึ้นมาจากจอโทรศัพท์ก่อนจะถามกลับไปด้วยเสียงเขิลๆเล็กน้อย
“เออดิ่ มีอะไรไม่เล่านะเดี๋ยวนี้” หนุ่มธันมองหน้าหนุ่มตัวกลมสลับกับมองไปยังท้องถนนเพราะกลัวว่ารถบัสที่เขารอจะขับผ่านไปโดยเขาไม่ทันได้ตั้งตัว
“มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก น้องแค่คิดว่าตัวน้องกำลังตกหลุมรักใครบางคนอยู่” หนุ่มแบมบูพูดไปก็บิดตัวไปมาด้วยความเขิล
“ใครวะ ใช่คนที่เรามีประเด็นกันเมื่อวานปะ” หนุ่มธันพูดด้วยน้ำเสียงใคร่รู้
“ไม่บอก เดี๋ยวน้องจะลองรุกจีบดูก่อนถ้าเกิดได้เป็นแฟนแล้วจะค่อยมาเฉลยแล้วกันนะ” คำพูดของแบมบูดูทีเล่นทีจริงแต่นั่นก็ทำให้คนตัวเล็กยิ่งสงสัยอยากรู้เข้าไปใหญ่
“เออ เดี๋ยวนี้มีความลับกับพี่กับเชื้อนะ”หนุ่มตัวเล็กหรี่ตาเล็กไปมองคนตัวกลมจนแบมบูทนสายตาไม่ไหวต้องหันหน้าหนี แต่ก่อนที่หนุ่มผิวแทนจะได้ถามอะไรต่อรถบัสสายที่เขาจะต้องขึ้นก็มาช่วยชีวิตหนุ่มตัวกลมไว้พอดี
“เลิกทำตาแบบนั้นได้แล้ว ขึ้นรถไปเลยเดี๋ยวก็ไปสายหรอก”หนุ่มตัวกลมผลักหลังหนุ่มตัวเล็กเบาๆ เพื่อเป็นการเร่งให้เขารีบขึ้นรถไป แต่หนุ่มผิวแทนก็ยังไม่วายเอานิ้วสองนิ้วชี้ไปที่ตาตัวตัวเองก่อนจะชี้ไปที่หน้าของหนุ่มแบมบูอันเป็นสัญลักษณ์บอกว่าเขาจับตาดูอยู่นะ
หัวข้อ: When love travel ความรักและความกังวล ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 12-06-2020 19:30:24
ใช้เวลานั่งรถเพียงไม่นานเขาก็มาลงที่ป้ายรถบัสเยื้องๆ กับสถานีรถไฟ Clayfield ตามพิกัดที่เจ้าของร้านส่งมา และเมื่อมองซ้ายมองขวาก็เห็นป้ายร้านอาหารไทยขนาดใหญ่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน
หน้าร้านที่เขามาทดลองงานนั้นประดับไว้ด้วยน้ำตกเล็กๆ ที่มาจากอิฐบล็อกสีเทา โดยมีพื้นหลังน้ำตกเป็นรูปโขลงช้างกำลังเล่นน้ำกันอยู่ และด้วยว่าความยาวของบ่อน้ำตกกับความแรงของตัวน้ำตกอาจจะไม่สมดุลกันเพราะว่า น้ำที่ตกลงมานั้นไม่ได้อยู่แค่บริเวณบ่อแต่มันกับกระเซ็นไปทุกทิศทุกทางเหมือนพระสาดน้ำมนต์
ประตูหน้าร้านเป็นประตูกระจกขนาดใหญ่สองบานซึ่งสามารถเปิดได้จริง แค่บานเดียวเพราะเมื่อธันเอามือไปลองขยับอีกบานดูก็พบว่ามันโดนล็อคจากข้างในอยู่และดูเหมือนว่าเขาจะเขย่าประตูแรงไปหน่อยเพราะนั่นทำให้คนที่อยู่ในร้านต้องออกมาดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น
“Hi do you need some help?” (สวัสดีจ้ะมีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าจ๊ะ) คุณป้าวัยกลางคนเดินออกมาสอบถามคนตัวเล็กด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“Oh hi, the owner calls me to come to the restaurant to try.” (สวัสดีครับพอดีเจ้าของร้านเขาโทรหาผมให้มาลองทำงานดูน่ะครับ) ธันยิ้มให้คุณป้าที่เดินออกมาต้อนรับคำพร้อมพูดตอบคำถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“อ้าว คนไทยเหรอจ๊ะ ป้าก็นึกว่าหนุ่มญี่ปุ่นซะอีก” คุณป้าพูดแซ่วพร้อมหัวเราะกลบเกลื่อน
“อ๋อ คนไทยครับ ชื่อธันครับ แล้วน้าชื่ออะไรครับ”ธันถามพร้อมกับส่งยิ้มเล็กๆไปให้ แต่คุณป้าก็ดันตอบกลับเขามาด้วยหน้าบูดบึ้งซึ่งเขาเองก็แอบงงอยู่เล็กน้อยว่าเขาพูดอะไรผิดหรือไม่เข้าหูเธอหรือเปล่าทำไมถึงทำหน้าแบบนั้น
“พี่จ้ะ พี่ชื่อพี่ดาวจ้ะ” กว่าจะถึงบางอ้อ คุณป้าท่านนี้คงไม่พอใจที่หนุ่มผิวแทนไปเรียกเธอน้าเลยออกอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยง ยิ่งตอนเธอตอบกลับมาแล้วเน้นย้ำตรงคำว่าพี่ เขายิ่งรู้เลยว่าเธอไม่พอใจเขาเรื่องอะไร
“อ๋อครับพี่ดาว”หนุ่มธันทวนชื่อคุณป้าไปพร้อมกับยิ้มแห้งๆ ให้ก่อนจะเกาหัวเล็กน้อย ซึ่งการเรียกเธอว่าพี่ก็เหมือนจะทำให้เธออารมณ์ดีขึ้นมากะทันหัน เพราะเธอกลับมายิ้มแย้มเหมือนเดิมก่อนจะเรียกเขาให้เข้าไปในร้าน
บรรยากาศในร้านตกแต่งด้วยวัสดุพื้นบ้านของไทยเกือบทั้งหมด อย่างแรกที่เห็นเด่นชัดคือการแขวนตุงหลากสีสันของทางเหนือไว้ตามมุมต่างๆของร้าน ทั้งยังนำสุ่มไก่ขนาดเล็กมาครอบไฟทุกดวงในร้าน ไหนจะเอากระติ๊บข้าวเหนียวมาห้อยเป็นพวงไว้ตามขอบประตูและหน้าต่างอีก แต่ที่เด็ดสุดเห็นจะเป็นการเอารูปปั้นช้างขนาดใหญ่มาตั้งไว้กลางร้านนี่แหละ ถ้าถามว่ารูปปั้นชิ้นนี้ใหญ่ขนาดไหนก็ให้จินตนาการถึงผู้ชายตัวใหญ่ๆ สองคนเอามือโอบแล้วยังไม่สามารถแตะมืออีกฝ่ายถึง
เก้าอี้และโต๊ะทั้งร้านนั้นทำมาจากไม้อย่างดี โดยด้านบนโต๊ะจะนำผ้าที่เป็นลายไทยสีออกเหลืองๆน้ำตาลๆ มาคลุมไว้ พร้อมกับจานชามลายไทยที่ดูเข้ากันกับผ้า มุมด้านในสุดก่อนจะถึงห้องครัวก็ยังอุตส่าห์มีน้ำตกประดับอีกแต่น้ำตกด้านในมีขนาดเล็กกว่าน้ำตกหน้าร้านเกือบเท่าตัว แต่ที่สำคัญที่สุดคือน้ำตกในร้านไม่มีน้ำกระเด็นออกมาให้กวนใจเหมือนน้ำตกด้านหน้าเลย
“มีน เชอรี่ นี่น้องธันจ้ะ ที่พี่สุทินให้มาเริ่มงานวันนี้วันแรกถ้ายังไงพี่ฝากด้วยนะ” คุณป้าเดินพาหนุ่มตัวเล็กมาที่ในครัวก่อนจะแนะนำเขาให้รู้จักกับคนด้านใน
ข้างนอกร้านว่าดูใหญ่แล้วแต่เมื่อหนุ่มธันเข้ามาในครัวกลับดูใหญ่ยิ่งกว่า เมื่อเดินเข้ามาก็จะเห็นฝั่งที่ทำเครื่องดื่มอยู่ข้างหน้าถัดไปหน่อยก็จะมีช่องที่มองลอดเข้าไปเห็นเตาแก็สขนาดใหญ่สองตัวที่มีกระทะใบบัวตั้งอยู่ข้างบนส่วนตรงหน้าช่องก็มีที่วางของยื่นออกมา น่าจะใช้เป็นที่วางอาหารหลังจากผัดเสร็จแล้วเพื่อที่จะให้พนักงานเสิร์ฟ ไม่ต้องเดินเข้าไปเอาอาหารถึงในครัว
ถัดจากตรงนั้นประมาณสี่ห้าก้าวก็จะเป็นเตาแก็สอีกเตาที่มีขนาดใหญ่กว่าตรงที่ใช้ผัดอาหาร โดยเป็นเตาแก็สสี่หัวที่แต่ละหัวก็จะมีหม้อแกงขนาดเล็กๆ วางอยู่ ซึ่งดูเหมือนว่าแผนกผัดกับแผนกต้มจะแยกออกจากกันอย่างชัดเจน
“ได้ค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะพี่ดาว” สาวที่อายุน่าจะห่างจากเขาไม่น่าเกินห้าปีขานรับขึ้น ก่อนจะเดินตรงมาหา
“ทำอะไรเป็นมั่งล่ะเราอ่ะ” คนที่กำลังง่วนอยู่กับการล้างกระทะในครัวหันมาถาม ก่อนที่จะกลับไปสนใจกับสิ่งที่ตัวเองทำค้างเอาไว้ต่อ
“อ๋อ พอดีธันเองก็พอทำอาหารง่ายๆได้บ้างครับ”หนุ่มตัวเล็กพูดด้วยน้ำเสียงที่ติดๆขัดๆเล็กน้อย อารมณ์เหมือนตื่นเต้นกับงานวันแรก
“พูดอะไรให้มันดูมั่นใจในตัวเองหน่อย อยู่ร้านเนี้ยจะมาเงอะๆ งะๆ ไม่ได้นะ” เสียงดังขึ้นมาจากในครัวอีกระลอกและนั่นก็ทำให้คนตัวเล็กหน้าเสียอยู่ไม่น้อย โชคยังดีที่พี่เชอรี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ สะกิดเขาให้เขาเดินตามเธอไปยังฝั่งการทำแกง
“ไม่ต้องคิดมากนะ ไอ้มีนมันก็เป็นอย่างนี้แหละ ปากร้ายแต่ใจดี วันนี้เราก็มาช่วยพี่ลงแกงลงของว่างก่อนละกันนะ” เธอพูดพร้อมกับรอยยิ้ม และถึงแม้เธอจะมีสิวอักเสบกระจายอยู่ตามใบหน้าอยู่บ้างแต่ดูรวมๆแล้วพี่เชอรี่ก็เป็นคนสวยคนหนึ่งเลยทีเดียว
เย็นวันนั้นลูกค้าเข้าร้านกันอย่างแน่นขนัด จนทำให้ธันต้องวิ่งช่วยทั้งหน้าร้านและในครัวจนขาแทบจะพันกัน ในครัวเขาก็ต้องช่วยพี่เชอรี่ลงแกง ลงออเดิร์ฟ ส่วนข้างนอกก็ต้องช่วยป้าดาวเสิร์ฟเพราะแกเดินเสิร์ฟคนเดียวไม่ไหว อย่างไรเสียทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี แม้จะเสิร์ฟถูกเสิร์ฟผิดบ้างเพราะไม่รู้ว่าโต๊ะไหนเป็นโต๊ะไหน แต่ด้วยความที่ลูกค้าดีไม่เหวี่ยงไม่วีนเมื่อเขาเสิร์ฟผิดโต๊ะก็ทำให้เขามีกำลังใจที่จะทำงานต่อไป
“เป็นไงบ้างไหวไหมน้องธัน” ป้าดาวถามขึ้นขณะกำลังเก็บกวาดร้าน
“โอเคครับ แค่นี้สบายมาก” หนุ่มธันที่กำลังเช็ดจานอยู่ตอบขึ้นด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงที่รู้สึกได้ถึงความเหนื่อย
“อืม ก็ดีแล้ว เมื่อกี้พี่ไปแอบถามในครัวมา ทั้งพี่มีนกับพี่เชอรี่ก็โอเคกับเราอยู่เหมือนกัน ถ้ายังไง เราก็เข้ามาทำหลังเลิกเรียนสักสามวันก่อนแล้วกัน เดี๋ยวยังไงพี่จะให้สุทินบอกอีกทีนะว่าวันไหน” สาววัยกลางคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ดูอบอุ่นซึ่งนั่นก็ทำให้ธันรู้สึกหายเหนื่อยลงไปได้บ้างและยิ่งดีใจที่เพื่อนร่วมงานทุกคนโอเคกับเขาซึ่งมันทำให้เขาได้งานและได้คลายความกังวลเรื่องเงินลงไปได้ด้วย
“ขอบคุณมากๆ ครับ ธันจะตั้งใจทำให้ดีที่สุดครับ” หนุ่มตัวเล็กพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ยิ้มได้กว้างกว่าครั้งแรกอยู่มาก
หลังจากเก็บร้านทุกอย่างเข้าที่ พี่เชอรี่ก็อาสาพาเขาเข้าไปส่งในเมืองเพราะเป็นทางผ่านไปที่บ้านเธออยู่แล้ว ซึ่งหนุ่มตัวเล็กก็รีบขึ้นรถไปด้วยความเต็มใจเนื่องจากว่าทางเดินไปขึ้นรถบัสมันค่อนข้างที่จะมืดและถึงแม้ออสเตรเลียจะขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยเขาเองก็ไม่อยากจะเสี่ยงอยู่ดี
ภายในรถมีแต่เสียงหัวเราะนั่นเป็นเพราะพี่เชอรี่เป็นคนคุยเก่ง แถมตลกอีกต่างหาก ซึ่งเขาเองก็เพิ่งจะรู้ว่าเธอนั้นจบถึงปริญญาโทและก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่นี่เธอก็เป็นถึงระดับผู้จัดการแบงค์อีกต่างหาก
“เนี่ยนะถ้าฉันรู้ว่ามาอยู่ที่นี่ฉันต้องมานั่งลงแกง ลงของทอดให้ลูกค้ากินนะ ฉันไม่เสียเวลาเรียนหรอก จบ ปอสี่ก็บินมาแล้ว นี่ลูกหลานแกคนไหนจะมานะไม่ต้องให้เรียนหนังสือเลยแก อัดพวกเครื่องดื่มชูกำลังเข้าไปตั้งแต่มันเด็กๆ เวลามาถึงมันจะได้มีแรงแบกไหแบกหม้อได้เลย” เชอรี่พูดด้วยน้ำเสียงติดตลก
“อ่ะ แกต้องลงตรงนี้นะ เพราะฉันจะต้องขับรถไปอีกทาง กลับถูกใช่ไหมเนี่ย” พี่เชอรี่ตีไฟเลี้ยวเข้าข้างทางก่อนจะหันมาถามหนุ่มตัวเล็ก
“โอเคอยู่พี่ เดี๋ยวผมเปิด Google map เอาไม่ต้องห่วง” หนุ่มธันเอี้ยวตัวหยิบกระเป๋าด้านหลังก่อนจะลงจากรถไปโดยไม่ลืมขอบคุณพี่เชอรี่ที่มาส่ง
หลังจากรถของพี่เชอรี่ลับตาไปแล้ว หนุ่มธันก็ควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงก่อนจะพบว่ามือถือของเขาแบตหมดไปเสียแล้ว
“เฮ้ย มาหมดอะไรตอนนี้วะ ตอนก่อนเข้าร้านก็ยังเห็นมีตั้งเกือบ สามสิบเปอร์เซ็นจะทำไงดี ไม่ได้เอาแบตสำรองมาซะด้วย” หนุ่มธันที่หันซ้ายหันขวาก็เจอแต่ความมืดและร้านรวงที่ปิดกันไปจนไม่เหลือแล้วสักร้าน
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.11 หน้าสอง ✈
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-06-2020 01:31:06
 :pig4: :pig4: :pig4:

งานเข้าซะแระ  เด๋วคงมีพระเอกตาสีฟ้ามาช่วยแหละ
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.11 หน้าสอง ✈
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 13-06-2020 13:22:27
เดี๋ยวเอาไว้รอลุ้นตอนหน้านะครับ
หัวข้อ: When love travel ความรักและเมล็ดพันธ์ของหัวใจ ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 19-06-2020 21:22:51
   ยามค่ำคืนของเมืองบริสเบนช่างเหน็บหนาว แสงไฟตามร้านรวงก็ปิดมือสนิทเกือบหมด ผู้คนที่เคยเดินกันขวักไขว่ในช่วงเวลากลางวันตอนนี้ที่จะเห็นเหลือก็มีเพียงคนไร้บ้านที่นอนกันสะเปะสะปะอยู่ตามหัวมุมถนนและที่นั่งตรงป้ายรสบัส
อีกทั้งคืนนี้ก็เป็นคืนเดือนดับ แสงดาวที่เคยส่องสว่างสดใส ยามนี้ก็กลับมืดสนิท ทุกสิ่งทุกอย่างแลดูช่างเป็นใจให้คนตัวเล็กหลงทิศหลงทางและหวาดกลัวในเมืองใหญ่ มันอาจจะดูแล้วไร้เหตุผลและตลกเกินไปที่คนในวัยผู้ใหญ่จะมามีปัญหา หาทางกลับบ้านไม่ได้
แต่ในโลกนี้มันก็จะมีคนประเภทที่ว่า ออกจากบ้านก็จะใช้ Google map ตลอดเวลาและไม่เคยจะใช้สมองจดจำเส้นทางกลับบ้านเองเลย เวลาจะไปไหนก็จะให้เพื่อนนำทางตลอดส่วนตัวเองก็คอยเดินตามเพื่อนถ้าเพื่อนหลงก็หลงกับเพื่อนด้วย บางคนพอจะจำเส้นทางหลักได้แต่ถ้าเกิดเลี้ยวผิดแค่ซอยเดียวก็จะหาทางไปต่อไม่ได้แล้ว พูดโดยรวมก็คือคนที่พึ่งทุกอย่างรอบตัวโดยลืมการพึ่งตัวเองไป พอถึงเวลาคับขันแบบนี้มันก็จะลนลานไปหมด อย่าว่าแต่หาทางกลับห้องเลย หาทางไปสถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุดยังไม่รู้ทิศรู้ทางเลยว่าต้องเริ่มจากจุดไหน
   “ตึกนี้คุ้นๆเหมือนเดินผ่านมาแล้วนี่หว่า หงุดหงิดคนออกแบบผังเมืองจังเว้ย คิดยังไงสร้างตึกให้มันคล้ายๆ กันหมด ทีนี้จะจับจุดยังไงละเนี่ย” คนตัวเล็กเดินบ่นพึมพำกับตัวเองในดงของความมืดอันเงียบสงัด แม้อากาศข้างนอกจะค่อนข้างเย็นจนเมื่อหายใจออกมาก็จะมีกลุ่มควันขาวๆ ลอยออกมาด้วยแต่ว่าในใจของธันกลับร้อนรน เนื่องจากถ้าเขาหาทางกลับบ้านไม่ได้คืนนี้เขาต้องนอนค้างข้างถนนแน่ และนั่นคงไม่ใช่ความคิดที่ดีสักเท่าไหร่นัก
   “Hey Sweet” (ว่าไงจ๊ะน้องสาว) คนไร้บ้านที่นอนคุดคู้อยู่ที่ป้ายรถเมล์ ร้องทักขึ้นเมื่อเห็นธันเดินผ่าน และนั่นก็ทำให้ธันต้องเร่งฝีเท้ายิ่งขึ้นไปอีกด้วยความหวาดกลัว เพราะถึงแม้ออสเตรเลียจะเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยค่อนข้างสูง แต่มันก็มักจะมีข่าวลือแปลกๆ เกี่ยวกับคนไร้บ้านหลุดออกมาอยู่เสมอ
ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าคนไร้บ้านที่นี้ ไม่ใช่คนที่ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าเลยต้องมาจบชีวิตลงที่ข้างถนนแบบนี้ ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีสวัสดิการค่อนข้างที่จะดีมาก หากคุณเป็นพลเมืองของเขาแล้ว แม้คุณจะไม่มีงานทำหรือไม่แม้จะพยายามหางานคุณก็ไม่มีวันอดตาย รัฐจะให้เงินคุณใช้ประมาณ 750 เหรียญออสเตรเลีย (1 เหรียญออสเตรเลียเท่ากับ 20.50 บาท โดยประมาณ) ต่อสองอาทิตย์ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะจ่ายค่าเช่าห้องและซื้ออาหารกิน แต่มันจะไม่พอแน่ๆ หากคุณเอาเงินหล่านั้นไปซื้อเหล้า เบียร์ บุหรี่ หรือ กัญชา ซึ่งกฎหมายของที่นี้คุณสามารถซื้อกัญชาได้อย่างเสรี โดยไม่มีกฎหมายควบคุม หากคุณเป็นผู้เสพไม่ใช่ผู้ขายน่ะนะ ดังนั้นคนที่มานอนสะเปะสะปะอยู่ข้างถนน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ป่วยที่สมองถูกทำลายจนไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติในสังคมแล้ว ดังนั้นเมื่อผนวกเรื่องนี้เข้ากับข่าวลือที่มีคนเอเชียโดนฆ่าบนสะพาน Southbank แล้วโยนศพลงจากมาจากบนสะพานโดยฝีมือคนไร้บ้าน มันก็ดูจะเป็นเรื่องที่สามารถที่จะเกิดขึ้นจริงได้ ที่สำคัญแม้เขาจะไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน แต่สะพาน Southbank ก็สามารถมองเห็นได้ลิบๆ จากจุดที่เขายืนอยู่
   “เฮือก” หนุ่มผิวแทนสะดุ้งเบาๆ เมื่อเดินผ่านร้านเสื้อผ้าที่หน้าร้านเป็นกระจกใส เนื่องจากว่าเขาดันเห็นภาพสะท้อนของเขาในตู้กระจกพร้อมกับคนตัวสูงๆ ใส่เสื้อคลุมผ้าร่มแบบมีฮูด ปกปิดหน้าเดินตามเขามาในระยะกระชั้นชิด เหงื่อของคนตัวเล็กเริ่มออกตามใบหน้าและง่ามนิ้วของเขาอย่างเห็นได้ชัด แต่คนตัวเล็กก็พยายามทำใจดีสู้เสือ บางทีเขาอาจจะคิดมากไปเองก็ได้ อาจจะเป็นคนที่พักอาศัยอยู่แถวนี้แล้วมาเดินออกกำลังกายตอนดึกๆ หรือเปล่า    ธันคิดในใจ แต่ทว่าเมื่อเดินต่อไปอีกเล็กน้อยเขาก็ยังเห็นคนๆ นี้ในเงาของกระจกอยู่และที่น่าแปลกคือเมื่อเขาหยุดเดินคนๆ นี้ก็หยุดตามด้วย เป็นแบบนี้สองถึงสามรอบจนคนตัวเล็กแน่ใจแล้วว่าเขาโดนสะกดรอยตามแน่
   “โอ้ย บ้านก็หาทางกลับไม่ถูกยังต้องมาเจออะไรแบบนี้อีกเหรอวะเนี่ย” หนุ่มตัวเล็กพูดในใจพร้อมกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปในทิศทางที่เขาเองก็ไม่รู้จัก แต่สิ่งเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวตอนนี้คือต้องสลัดคนข้างหลังให้หลุดให้ได้เพราะเขาคงไม่อยากจะเป็นคนต่อไปที่จะต้องไปนอนอยู่ก้นทะเลสาบ Southbank แน่ๆ
   “ฮึก”หนุ่มผิวแทนตัวแข็งทื่อเหมือนโดนลูกดอกอาบยาชาปักเข้าที่ตรงคอ ขนเส้นเล็กเส้นน้อยตั้งชันขึ้นมาตั้งแต่ข้อเท้าจนมาสุดที่ท้ายทอยและแม้จะไม่เห็นกระจกตั้งอยู่ตรงหน้าแต่เขาก็รับรู้ได้เลยว่าหน้าของเขาตอนนี้ต้องซีดอยู่แน่ๆ เพราะว่าตอนนี้เขารู้สึกได้ถึงมือใหญ่ๆ อุ่นๆ กำลังจับเข้าที่ไหล่ซ้ายของเขาอยู่
   “เอาจริงเหรอวะ”หนุ่มตัวเล็กกัดฟันกรอดจนกรามขึ้นมาเห็นเด่นชัด มือที่ทิ้งไว้ข้างลำตัวตอนนี้กลับกำหมัดแน่น และในบางครั้งคนเราถ้ากลัวมากๆ มันก็จะเปลี่ยนเป็นความกล้าได้เหมือนหมาที่กำลังจนตรอก
   “เอาว่ะ เป็นไงเป็นกัน เฮ้ย” หนุ่มตัวเล็กตัดสินใจพลิกตัวให้หลุดจากการเกาะกุมพร้อมกับเหวี่ยงหมัดเล็กๆใส่คนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาทันที แต่คงจะเป็นเพราะเขาเหวี่ยงหมัดๆทั้งๆที่หลับตามันเลยพลาดเป้า โชคยังดีที่คนเสื้อดำจับข้อมือเขาไว้ทันไม่งั้นเขาคงต้องลงไปนอนตรงพื้นถนนแน่
   “Oh great, Do you always do like this with someone who tries to help you?” (โอ้เยี่ยมเลย ปกตินายทำแบบนี้กับคนที่พยายามจะช่วยนายเหรอ) เสียงเย็นๆ ของคนใต้ผ้าคลุมถามขึ้น แต่เสียงของคนใต้ผ้าคลุมมันคุ้นมากจนเขานึกกลัว
   “Who are you, why you followed are” (นายเป็นใคร มาเดินตามฉันทำไม) คนตัวเล็กพูดด้วยเสียงติดๆ ขัดๆ เล็กน้อยเพราะเมื่อยืนประจันหน้ากันชัดๆ แล้วเขารู้ได้ทันทีเลยว่ากำลังของเขาสู้คนๆ นี้ไม่ได้แน่
   “Me? Let see by yourself” (ฉันเหรอ ดูเอาเองสิ) เมื่อเปิดป้าคลุมหัวออกพร้อมกับรูดซิบที่ยาวปิดขึ้นมาถึงครึ่งหน้าลง คนตัวเล็กก็ต้องอุทานออกมาเพราะคนตรงหน้าเขาคือหนุ่ม รูเบน
   “And I followed you because I have seen you walk in a circle and I think you might get a problem. Don’t you” (แล้วที่ตามมาเนี่ยก็เป็นเพราะว่าฉันเห็นว่านายอะ เดินเป็นวงกลมมาสักพักแล้วเลยคิดว่าน่าจะมีปัญหา แล้วสรุปว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า) ชายหนุ่มจ้องมองลงมาที่คนตัวเล็กพร้อมกับพูดต่อไปด้วยโทนเสียงที่ตรงข้ามกับสภาพอากาศโดยรอบ
   “It’s not your business Oops” (มันไม่ใช่เรื่องของนาย อุ๊บ) ด้วยความเคยชินหนุ่มตัวเล็ก เผลอหลุดปากพูดออกไปและนั่นก็ทำให้คนตัวโตค่อยๆ ปล่อยข้อมือของเขาพร้อมกับกำลังจะหันหลังเดินกลับไปในทิศทางที่เพิ่งเดินผ่านมา
   “Wait, I lost the way to my home. Can you help me?” (รอเดี๋ยว พอดีว่าฉันหลงทางหาทางกลับบ้านไม่เจอพอจะช่วยฉันหน่อยได้ไหม) หนุ่มตัวเล็กตะโกนออกไปสุดเสียงจนคนที่กำลังจะเอี้ยวตัวหันหลังต้องหันกลับมา พร้อมขมวดคิ้ว
   “Lost the way, you?” (หลงทางนายเนี่ยนะ?) หนุ่มตาฟ้าชี้ไปที่หน้าของคนตัวเล็กพร้อมกับทำหน้าแปลกๆที่สามารถอ่านได้ว่า “โตขนาดนี้แล้วยังหลงทาง จะบ้าหรือเปล่า”
   “Yes I know it looks stupid but can you help me I don’t want to sleep outside tonight.” (ใช่มันฟังดูโ.ง่ แต่ช่วยฉันหน่อยได้ไหม ฉันไม่อยากนอนตายข้างนอกคืนนี้) หนุ่มตัวเล็กพูดอธิบายอย่างอายๆแต่ด้วยความที่เขาไม่อยากนอนหนาวข้างนอก จะมาหน้าบางตอนนี้ก็คงไม่ใช่เรื่อง
   “Please” (ได้โปรด) หนุ่มผมสีวอลนัด พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
   “Please?” (ได้โปรดเหรอ) หนุ่มตัวเล็กทวนคำ
   “Say please” (ขอร้องสิ) หนุ่มตัวสูงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงยียวนพร้อมกับเอาหน้ามาใกล้ๆ ซึ่งถ้าเป็นยามปกติ หนุ่มตัวสูงต้องมีหน้าหันกันบ้างแต่ในสถาณการณ์แบบนี้ ธันมีทางเลือกไม่มากนัก ไม่สิเขาไม่มีตัวเลือกอะไรเลยต่างหาก ดังนั้นเขาจึงได้แต่ก้มหน้ากัดฟันกรอด พร้อมพูดในสิ่งที่คนตัวสูงอยากฟัง
   “Please Ruben” (ได้โปรด รูเบน) หนุ่มตัวเล็กพูดก่อนจะหันหน้าไปอีกทาง
   สักครู่คนตัวสูงก็หยิบโทรศัพท์ของเขาออกมายื่นให้คนตัวเล็กพร้อมกับพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้คนตัวเล็กต้องแอบเบ้ปากเล็กน้อย
   (Put your address on my phone and I hope you are not too stupid to forgot your address right?) (อะ เอาโทรศัพท์ฉันไปใส่ที่อยู่สิ อ๋อแล้วฉันก็หวังว่านายจะไม่โง่เกินไปขนาดลืมชื่อที่อยู่ตัวเองหรอกนะ) หนุ่มตัวสูงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงออกแนวเยาะเย้ยเล็กๆ ซึ่งหนุ่มผิวแทนก็ทำอะไรไปไม่ได้มากไปกว่าการข่มอารมณ์ไว้ในใจก่อนที่จะเอามือยื่นไปหยิบโทรศัพท์ของคนตรงหน้าก่อนจะป้อนที่อยู่ของตัวเองลงไปก่อนที่จะส่งคืนให้หนุ่มตาฟ้า
   “Not too far, we can use the Lime to their” (ไม่ไกลมาก เราใช้ Lime ไปกันได้นะ) หนุ่มตัวสูงพูดขณะจ้องหน้าจอมือถือของเขา
   “Lime?” (Lime เหรอ) หนุ่มตัวเล็กทวนคำพร้อมทำหน้าฉงน
   “Seriously, that is Lime scooter. You haven’t used it before?” (ถามจริง อันนั้นไง Lime Scooter นายไม่เคยใช้มาก่อนเลยเหรอ) หนุ่มผมสีวอนัด ชี้ไปที่รถสกูตเตอร์สีเขียวสลับขาวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพร้อมกับทำหน้าประหลาดใจแบบสุดๆ
   “But it has only one, so I can go by myself. Thank you” (แต่มันมีแค่คันดียงเองนี่ ยังงั้นเดี๋ยวฉันกลับเอง ขอบใจมาก) หนุ่มตัวเล็กคงจะอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนนแล้วถ้าคนตัวสูงไม่พูดอะไรขึ้นมาซะก่อน
   “Your phone is dead and that one needs the phone to connect before use but the main point is I don’t think you can remember the map by saw it only one time.” (โทรศัพท์นายก็แบตหมดไปแล้วส่วนสกูตเตอร์เนี่ยมันก็ต้องเชื่อมกับมือถือก่อนใช้นะ แต่ประเด็นสำคัญคือฉันไม่คิดว่านายจะจำทางกลับบ้านได้โดยการมองแผนที่เพียงแค่ครั้งเดียวหรอกนะ) หนุ่มตัวสูงเดินมาขนาบข้างเขาพร้อมกับเอามือล้วงกระเป๋า ก่อนจะเดินก้าวข้ามถนนไปพร้อมกับคนตัวเล็กไปยังสกูสเตอร์ที่ใหญ่พอจะขึ้นขี่ได้สองคน
   สายลมปะทะหน้าของคนตัวเล็กจนหน้าเริ่มจะชาหน่อยๆ แม้สกูตเตอร์จะทำความเร็วได้ไม่มากเท่ากับมอเตอร์ไซค์หรือกับรถยนต์แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ธันเจ็บหน้าได้
“อย่างน้อยก็ยังโชคดีนะที่ร้านมีเสื้อผ้าให้เปลี่ยนตอนทำงาน แล้วตอนทำแกงก็มีหมวกคลุมอาบน้ำให้ใส่ไม่งั้นนะ ไอ้ฝรั่งนี้ต้องเอาเราไปพูดนินทากับจุนแน่ๆเลย ก็กลิ่นเครื่องแกงไทยมันเบาซะเมื่อไหร่ละ แล้วก็ต้องขอบคุณตัวเองด้วยที่เก็บ Zara น้ำหอมกันตายไว้ในกระเป๋าเผื่อ สถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ หวังว่าไอ้บ้านี่คงจะไม่แพ้น้ำหอมกลิ่นวนิลลานะ ว่าแต่เขาบ้าหรือเปล่าขี่รถไปร้องเพลงไป รู้น่ะว่าร้องเพลงเก่งแต่ร้องใกล้ๆ แบบนี้หูจะแตก “คนตัวเล็กคิดในใจ
“I'm only one call away
I'll be there to save the day
Superman got nothing on me
I'm only one, I'm only one call away
I'll be there to save the day
Superman got nothing on me
I'm only one call away “
หัวข้อ: When love travel ความรักและเมล็ดพันธ์ของหัวใจ ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 19-06-2020 21:25:10
“Thank you” (ขอบใจนะ) หนุ่มตัวเล็กพูดขอบใจด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ก่อนจะลงจากสกู๊ตเตอร์ไปกะพริบตาถี่ๆ เพราะว่าลมมันเข้าตาเขาจนแสบตาไปหมดแล้วแต่เมื่อตาสามารถปรับสภาพได้เขาก็ไม่เห็นรูเบนแล้ว
“อะไรวะแปลกคนจริง” หนุ่มตัวเล็กพูดขึ้นพร้อมกับเดินเข้าตัวตึกไป
“Yes, he didn’t come back home yet.” (ใช้เขายังไม่กลับมาเลย) เมื่อก้าวเข้ามาในห้องนั่นคือประโยคแรกที่เขาได้ยิน และเขาก็ต้องแปลกใจเล็กน้อยที่ชั้นล่างยังสว่างโล่ทั้งๆที่เวลาก็ล่วงเข้าไปถึงเที่ยงคืนแล้ว
“Oh, he arrived. I will tell you tomorrow what happened to him. Thank you guys and goodnights” (อะ เขากลับมาแล้วยังไงเดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟังพรุ่งนี้ว่าเกิดอะไรขึ้น ขอบใจนะทุกคนฝันดี) แบมบูวางสายที่คุยอยู่ก่อนจะเดินตรงมาทางคนตัวเล็กด้วยดวงตาที่เขียวปัด
“ไปไหนมา ทำไมโทรหาแล้วปิดเครื่อง” แบมบูถามด้วยเสียงและอารมณ์ที่แลดูฉุนเฉียว และแม้ตัวจะห่างกับคนผิวแทนเพียงแค่คืบแต่ระดับเสียงที่เขาใช้เหมือนกับว่าคนตัวเล็กอยู่ห่างเป็นวาจนต้องพูดด้วยการตะโกน
“อูย อยู่ใกล้แค่นี้จะตะโกนทำไมเนี่ย พอดีแบตหมด” คนตัวเล็กเอามือป้องหูก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงอ่อยๆ
“แบตหมดเหรอ แล้วเธอกลับมาได้ไง คนอย่างเธอเดินออกจากตึกไม่เกิน สิบก้าวก็หลงแล้วปะ” คนตัวกลมยังคาดคั้นต่อ เพราะเขารู้จักคนตัวเล็กดีว่าเป็นคนที่หลงทางง่ายแค่ไหน ถ้าเดินออกไปไหนโดยไม่มีคนหรือมือถือนำทางเขาไม่มีทางไปถึงจุดหมายแน่
“เออ ก็มีพี่ที่ทำงานมาส่งในเมือง แล้วก่อนลงรถเขาก็เสริ์ชแผนที่ให้ก็เลยมาถูก” หนุ่มตัวเล็กพูดไม่เต็มเสียงเพราะเขารู้ดีอยู่เต็มอกว่าที่เขาพูดน่ะคือความจริงแค่ครึ่งเดียว
“แล้วทำไมถึงกลับดึกขนาดนี้ ทำงานวันแรกเขาปล่อยดึกขนาดนี้เลยเหรอ” แบมบูยังพูดด้วยระดับเสียงที่เท่าเดิมจนคนตัวเล็กเริ่มจะขมวดคิ้ว แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มฟัดกัน พี่อ้นที่มองเหตุการณ์อยู่ตั้งแต่เริ่มแรกก็ได้มาคั่นทั้งคู่เอาไว้
“เอาน่า แบมบู ธันเขากลับมาได้ก็ดีแล้ว นี่ก็ดึกมากแล้วพี่ว่าเราสองคนขึ้นไปนอนก่อนดีกว่าไหม พรุ่งนี้ก็มีเรียนเช้ากันไม่ใช่เหรอ” หนุ่มผมยาวเดินมายืนแทรกระหว่างทั้งคู่ก่อนจะแตะไหล่คนทั้งสองพร้อมกับมองหน้าทั้งคู่สลับกันไปมา ซ้ายทีขวาที
“ขอบคุณครับพี่อ้น งั้นธันขอตัวขึ้นห้องก่อนนะครับ” คนตัวเล็กหันไปยิ้มเล็กๆขอบคุณหนุ่มหน้าตี๋ก่อนจะเดินขึ้นห้องไปโดยไม่หันกลับมามองคนตัวกลมที่ยังยืนนิ่งอยู่ข้างล่าง
“เห้อ เกือบแย่แล้วไหมล่ะ วันนี้ โชคดีนะมาเจอนายนั่นก่อน” คนตัวเล็กพูดกับตัวเองในกระจกห้องน้ำก่อนจะเปิดประตูออกมาเจอคนตัวกลมนั่งอยู่บนเตียงพร้อมหรี่ตาเหมือน คนจ้องจะจับผิดใส่
“อะไรของแก”หนุ่มตัวเล็กเอาผ้าเช็ดผมตัวเองก่อนจะถามแบมบูด้วยเสียงหงุดหงิดเล็กๆ
“โชคดีนะมาเจอนายนั่นก่อนหมายความว่าไง สรุปเธอกลับมานี่ได้ยังไง”คนตัวกลมยังคงเซ้าซี้ถามไม่เลิก จนหนุ่มตัวเล็กขี้เกียจรำคาญจึงต้องปริปากเล่าให้ฟังไป
“โอ้ย บอกก็ได้พี่ที่ทำงานเขามาส่งในเมืองแล้วฉันก็เดินหลงไปหลงมาจนคิดว่าต้องนอนข้างทางซะแล้วจนมาเจอรูเบนโดยบังเอิญแล้วเขาก็เลยอาสามาส่งพอใจยัง เฮ้ย”เสียงอุทานสุดท้ายก่อนจะจบประโยคดังขึ้นเพราะว่าหนุ่มตัวเล็กตกใจกับเสียงปิดประตูดังปังจากฝั่งห้องตรงข้าม
แต่เขาก็ไม่มีเวลาตกใจได้นานเพราะทันทีที่คนตรงหน้าเขารู้ว่าคนตาฟ้ามาส่งเขาก็ซักรายละเอียดเขาซะยกใหญ่ กว่าจะได้นอนก็ล่วงเข้าไปเกือบจะสองยามเสียแล้ว
“Thun, wake up Bear is coming” (ธันตื่น แบร์กำลังเดินมาแล้วนะ) ฮานะที่นั่งอยู่ข้างๆ เอามือสะกิดคนตัวเล็กรัวๆให้ตื่นจากการหลับใหลแต่ทว่าเธออาจจะหนักมือไปหน่อยเพราะคนผิวแทนนั้นหัวโยกหัวคลอนตามจังหวะที่เธอผลักจนแทบจะตกเก้าอี้
“Ok, who doesn’t come today please put your hand up.” (โอเคใครที่ไม่ได้มาช่วยยกมือขึ้นด้วย) ครูตัวหนาเดินเข้ามาพร้อมยิงมุขใส่นักเรียนในห้องแต่ดูเหมือนจะไม่มีใครเข้าใจ หรือไม่อยากจะเข้าใจก็ไม่รู้เพราะนอกจากจะไม่หัวเราะแล้วแต่ละคนยังเบือนหน้าหนีกันเป็นแถวบางคนที่หนักหน่อยก็ถึงกับก้มหัวลงไปสบถข้างล่างโต๊ะจนแบร์ต้องกระแอมไอแก้เขิล ก่อนจะเริ่มไล่ขานชื่อที่ละคน
“Ruben Ruben , is he come?” (รูเบน รูเบน เขามาไหมเนี่ย) หนุ่มธันหันไปมองรอบห้องแต่ก็ไม่เห็นหนุ่มตาฟ้าเลย หวังว่าคงจะกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยและขี้เกียจมาเรียนเฉยๆนะหนุ่มตัวเล็กคิดในใจ และไม่ทันถึงเสี้ยวนาทีคนผมสีวอนัทก็เปิดประตูเข้ามาก่อนจะเดินตรงไปนั่งยังเก้าอี้ที่ว่างโดยไม่สนใจอาจารย์ที่ยืนอยู่ข้างหน้าแม้แต่น้อย
ซึ่งแบร์ก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากจะทำเครื่องหมายอะไรสักอย่างบนกระดาษเช็คชื่อก่อนจะถอนหายใจอย่างเอือมๆ และเริ่มลงมือสอนบทเรียนของวันนั้น
ระหว่างช่วงเบรกระหว่างเรียน หนุ่มผิวแทนก็ได้มาโผล่ที่ห้องน้ำเพียงลำพัง จริงๆ แล้วปกติแบมบูต้องเดินมาเป็นเพื่อนแต่ช่วงนี้หนุ่มตัวกลมติดซีรีย์เกาหลีเขาขั้นคลั่งดังนั้นเมื่อมีเวลาว่างแม้เพียง สิบนาทีเขาก็ต้องหยิบมือถือขึ้นมาดูโอปป้าของเขาต่อจนบางครั้งคนตัวเล็กก็นึกรำคาญเหมือนกัน
“ฮือ ตาดำจัง นี่ขนาดอดนอนแค่คืนเดียวนะเนี่ย” หนุ่มตัวเล็กครวญครางเมื่อเห็นเงาสะท้อนตรงหน้าของตัวเอง
แกร้ก เสียงประตูห้องน้ำเปิดออกและตามนิสัยคนอยากรู้อยากเห็น ธันก็หันขวับไปทางประตูอย่างรวดเร็วและเมื่อเห็นว่าเป็นใครเดินเข้ามา หนุ่มผิวแทนก็ต้องรีบหันกลับไปทำท่าล้างมือทั้งๆ ที่ไม่มีน้ำไหลออกมาจากก๊อกสักหยดเลย
หนุ่มตาสีฟ้ามองเขาผ่านกระจกเงาด้วยแววตาสงสัยเล็กๆ ก่อนจะเดินผ่านไปทำธุระส่วนตัว คนตัวเล็กที่เหมือนจะเพิ่งได้สติว่ามือที่ตัวเองถูนั้นไม่ได้มีความรู้สึกเปียกสักนิดก็ได้แต่ยิ้มกับเงาตัวเองแก้เก้อ ก่อนจะเดินตรงไปที่ม้วนกระดาษทิชชู ที่แขวนอยู่ข้างซิงค์น้ำเพื่อเอามาเช็ดมือที่ยังแห้งสนิทอยู่ แต่ยังไม่ทันที่หนุ่มผิวแทนจะได้เดินออกจากม้วนทิชชู จู่ๆ ก็มีแขนยาวๆ สองแขนมาลอดผ่านใต้รักแร้ทั้งสองของเขาโดยไม่ทันจะได้ตั้งตัว ซึ่งเจ้าของแขนนั้นก็ขยับมากระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของเขาว่า
“Too slow” (ชักช้า) และแขนทั้งสองก็ได้ผละออกจากกันอย่างช้าๆ ก่อนที่เจ้าของๆมัน จะเปิดประตูห้องออกไป ทิ้งไว้ให้คนตัวเล็กที่อึ้งกับเหตุการณ์เมื่อครู่ยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่นานสองนาน
   “นี่เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าแดงๆ ไปเข้าห้องน้ำหรือไปทำอะไรมา” หนุ่มตัวกลมทักขึ้นทันทีหลังจากเห็นรุ่นพี่เดินกลับมาพร้อมกับทำหน้าตาเหมือนวิญญาณลอยหลุดออกจากร่างไปแล้ว
“อ๋อ เออ เปล่าไม่มีอะไร” หนุม่ตัวเล็กตอนกลับไปอย่างตะกุกตะกักเล็กน้อย
“หล่อนแลดูมีพิรุธนะ” แบมบูทำสายตาหรี่มองเหมือนที่เขาชอบทำเวลาจะจ้องจับผิดใคร
“พิรุธอะไร ไม่มี้ ฉันไม่มีพิรุธอะไรทั้งนั้น” หนุ่มผิวแทนพยายามเลี่ยงการตอบโดยการทำตลกกลบเกลื่อนแต่มันกลับยิ่งแลดูน่าสงสัยไปกันใหญ่
“ถ้าฉันเป็นตำรวจฉันรวบเธอก่อนเลยคนแรก แลดูมีพิรุธสุดๆ” หนุ่มตัวกลมทำปากบี้พร้อมกับหันหน้าไปทางอื่น
“English please, I would like to know too” (พูดภาษาอังกฤษสิฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันนะ) หนุ่มเดวิด พูดเสียงยานคางไปยังคนทั้งสอง ตั้งแต่พวกเขาเริ่มสนิทกันมากขึ้นทั้งเดวิด ฮานะ และจุน ก็มักจะเอ่ยแบบนี้อยู่เสมอ แต่ก็อย่างว่าคนไทยเจอคนไทยอยู่กับคนไทยก็มักจะหลุดพูดภาษาไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่แย่มากๆ เพราะคุณอุตส่าห์ออกนอกประเทศมาเพื่อฝึกฝนภาษาอังกฤษแต่เหมือนคุณจะไม่ได้อะไรกลับไปสักเท่าไหร่เลย
“We just talk about last night” (เราแค่คุยกันถึงเรื่องเมื่อคืนนะ) หนุ่มตัวกลมพยายามช่วยคนตัวเล็กที่กำลังอ้ำๆ อึ้งๆเปลี่ยนเรื่อง
“Oh yes, We are really worried about you Thun but that ok because now you are saved but please keep Powerbank with you all the time I don’t want to see you sleep outside.” (ใช่ๆ เราเป็นห่วงเธอมากเลยนะ ธัน แต่ตอนนี้ก็ดีแล้วที่เห็นเธอปลอดภัย ยังไงก็ตามเธอต้องพกเพาเวอร์แบงค์ติดตัวนะรู้ไหมฉันไม่อยากเห็นเธอนอนอยู่ข้างถนนนะ) ฮานะที่นั่งอยู่ใกล้ๆทำหน้าจริงจังใส่หนุ่มตัวเล็กที่ต้องผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นสาวญี่ปุ่นทำหน้าจริงจังแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็ต้องส่งยิ้มกลับไปเพราะเขารู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงของเพื่อน
“Um I will, Thank you guys” (อืม ฉันจะเอามันติดตัวนะ ยังไงก็ขอบใจมากนะทุกคน) หนุ่มตัวเล็กยิ้มน้อยให้กับเพื่อนๆที่นั่งติดกันทีละคน และก็ต้องขอบคุณหนุ่มตัวกลมด้วยที่ยอมปกปิดเรื่องที่หนุ่มตาฟ้ามาส่งเขาถึงหน้าห้องโดยเปลี่ยนเรื่องเป็นเขาหาทางกลับมาได้เองโดยบังเอิญ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดยังไงถ้ารู้ว่า หนุ่มตัวสูงมาส่งเขา ยิ่งฮานะที่ดูคลั่งหนุ่มผมสีวอนัทมากเขาก็ยิ่งไม่อยากให้เธอเปลี่ยนวิธีการที่เธอมองเขาจากเพื่อนไปเป็นอย่างอื่น
“Where were we? Oh, we talked about this weekend right? Thun do you have to work this weekend?” (ถึงไหนกันแล้วนะ อ๋อเราคุยกันถึงเรื่องวันหยุดสุดสัปดาห์ใช่ไหม ธันเธอต้องทำงานไหมอาทิตย์นี้) สาวญี่ปุ่นพูดต่อทันทีหลังจากหนุ่มตัวเล็กยอมรับปากเธอเสร็จเรียบร้อย
“Um, I think no but why?” (อืม ฉันคิดว่าไม่นะ ทำไมเหรอ) คนตัวเล็กทำท่าคิดถึงตารางงานที่พี่ดาวบอกเมื่อวานเล็กน้อยก่อนจะถามกลับอย่างสงสัย
“We would like to go to the zoo what do you think?” (เราว่าเราจะไปสวนสัตว์กันเธอคิดว่าไง) สาวฮานะยิ้มแป้นด้วยความตื่นเต้นก่อนจะถามต่อ
“Sorry but I don’t want to support the zoo, When I was young I love the zoo because I love animals but now I hate the zoo because I love animals. Do you know the animals lost their instinct when they live in the zoo. I want them to get freedom don’t stay in the case forever like this.” (ขอโทษนะแต่ฉันไม่อยากจะสนับสนุนสวนสัตว์เลย ตอนเด็กๆนะฉันชอบสวนสัตว์มากเลยเพราะฉันน่ะรักสัตว์แต่ตอนนี้ฉันเกลียดสวนสัตว์จริงๆเพราะฉันรักสัตว์ เธอรู้ไหมพวกสัตว์น่ะนะมันสุญเสียความเป็นตัวเองสูญเสียสัณชาตญาณของตัวเองเวลาที่มันอยู่ในสวนสัตว์ ฉันอยากเห็นพวกมันเป็นอิสระไม่ต้องมาอยู่ในกรงตลอดชีวิตแบบนี้) หนุ่มตัวเล็กพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆพร้อมกับรอยยิ้มเศร้าๆ ให้ฮานะจัง
“Oh my baby” (โอ้ที่รัก) สาวฮานะยิ้มบางๆ ด้วยความเอ็นดูในหนุ่มตัวเล็ก แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะได้คุยอะไรกันต่อ อาจารย์ตัวหนาขนดกก็เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน ทำให้เรื่องนี้ต้องพับไปคุยกันตอนกลางวันแทน
“Ok, we have to change the place on this Sunday because Thun doesn’t want to support the zoo.” (ตกลงเราต้องเปลี่ยนสถานที่ๆ จะไปวันอาทิตย์นี้เพราะว่าธันไม่สนับสนุนสวนสัตว์อย่างนั้นเหรอ?) ใบตองถามขึ้นมาในขณะที่ทุกคนกำลังกินข้าวกลางวันกันอยู่ และเมื่อฟังดูจากน้ำเสียงก็สัมผัสได้ว่าเธอแลดูงุนงงเล็กน้อยแต่เมื่อคนตัวเล็กอธิบายถึงเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ต้องการจะสนับสนุนเธอเองก็จำยอมเข้าใจ
“Oh Thank god, you haven’t finished your lunch yet.”  (โอ้ขอบคุณพระเจ้า พวกเธอยังกินอาหารกลางวันกันยังไม่เสร็จใช่ไหม) หนุ่มจุนวิ่งอย่างกระหืดกระหอบมานั่งที่โต๊ะกินข้าวพร้อมกับกล่องอาหารกลางวันของเขา
“Yes, why are you late today?” (ใช่ พวกเรายังกินไม่เสร็จว่าแต่ทำไมมาสายล่ะ) หนุ่มเดวิดที่ตอนนี้เหมือนจะสนิทกับหนุ่มจุนที่สุดในกลุ่มถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะเป็นห่วง
“I am ok. Thank you, buddy, but what did your guy talking about.” (เราไม่เป็นไรขอบใจนะเพื่อน ว่าแต่กำลังคุยกันเรื่องอะไรอยู่เหรอ) หนุ่มเกาหลีที่แม้จะยังมีอาการเหนื่อยเล็กน้อยจากการวิ่งมาจากไหนสักที่ ถามถึงสิ่งที่พวกเขากำลังคุยกันเมื่อครู่ด้วยสีหน้าและท่าทางอยากรู้อยากเห็นสุดๆ หลังจากคนตัวเล็กเล่าเรื่องที่ตนไม่อยากไปสวนสัตว์จนเพื่อนๆ ต้องเปลี่ยนสถานที่ให้หนุ่มแดนโสมฟัง ด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด แต่จริงๆ แล้วหนุ่มผิวแทนก็ได้บอกทุกคนไปแล้วว่าทุกคนสามารถไปสวนสัตว์ได้นะเพราะไหนๆ ก็อยากไปกันอยู่แล้ว สวนตัวเขาก็จะใช้เวลาวันหยุดไปกับการดูหนังและทำความสะอาดห้อง ทุกคนสามารถไปได้เลยไม่ต้องเป็นห่วง แต่ถึงจะพูดแบบนั้นสาวฮานะก็ยังยืนยันว่าจะหาสถานที่ๆ ทุกคนสามารถไปได้หมด
“How about go to lone pine koala sanctuary” (แล้วถ้าไป เขตอนุรักษ์พันธุ์โคอาล่า Lone pine ล่ะ) หนุ่มแดนกิมจิตักเนื้อเข้าปากแล้วพูดไปด้วยซึ่งแม้มันจะฟังไม่ค่อยชัดแต่ก็สามารถจับใจความได้
“Gotcha” (นั่นไง) หนุ่มเดวิดเอามือทุบโต๊ะพร้อมชี้ไปที่จุนเหมือนกับนั่นเป็นคำตอบที่ทุกคนตามหาอยู่
“Sanctuary?” (เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าเหรอ?) หนุ่มตัวเล็กเอียงหัวเล็กน้อยเนื่องจากเขาไม่เคยได้ยินศัพท์คำนี้มาก่อน
“Ok, I will translate for him in Thai” (เดี๋ยวเราอธิบายให้ฟังเอง) แบมบูที่นั่งอยู่ติดๆหนุ่มผิวแทนเป็นผู้รับอาสาแปลแทนหนุ่มจุนที่กำลังจะอ้าปากอธิบาย
“ก็อย่างนี้นะคะคุณพี่ คำนี้มันแปลว่าศูนย์อนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า อะยังงงอยู่ เดี๋ยวน้องอธิบายต่อ ก็ถ้าเป็นสวนสัตว์น้องสัตว์มันก็ต้องอยู่ในกรงน่าสงสารใช่ม้า แต่ว่าถ้าเป็นศูนย์อนุรักษ์พันธุ์สัตว์เนี่ยน้องๆก็จะสามารถเดินไปเดินมาได้อิสระแม้จะมีพื้นที่จำกัดก็เถอะ” หนุ่มตัวกลมอธิบายพร้อมทั้งทำไม้ทำมือประกอบ
“อ๋อ แล้วถ้าเป็นสัตว์ดุร้ายอย่างพวกสิงโตอ่ะก็ไม่ขังกรงเหรอ”หนุ่มผิวแทนขมวดคิ้วสงสัย
“ใช่ให้มันออกมางับหัวเธออ่ะ จะบ้าเหรอแบบนั้นมันก็ต้องแยกโซนไหม อีกอย่างนะ ที่เรากำลังจะไปคือศูนย์อนุรักษ์พันธุ์น้องโคอาล่าไง ไม่ใช่น้องเสือ สัตว์ที่อยู่ในนั้นส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นโคอาล่าไหมล่ะ คำถามแบบนี้ถ้าเป็นน้องน้องไม่ถามนะ” แบมบูจีบปากจีบคอพูดแต่ที่น่าหมั่นไส้ที่สุดก็เห็นจะเป็นตอนสุดท้ายช่วงจบประโยคที่เบ้ปากพร้อมกรอกตาขึ้นด้านบน
“เออ งั้นก็ตกลงตามนี้เจอกันกี่โมงดีแล้วเรื่องตั๋วละ เราจะไปซื้อกันที่ไหน” พี่ซีอิ๊วที่นั่งเงียบอยู่นานเป็นคนพูดสรุปขึ้นก่อนจะมองหน้าไปยังเพื่อนๆ ที่เหลือที่ทำหน้างงๆ
“Oop sorry, Thun ok to go there and I asked about the ticket” (อุ้ย ขอโทษที ธันตกลงจะไปศูนย์อนุรักษ์พันธุ์สัตว์น่ะ ส่วนเราถามถึงเรื่องตั๋วน่ะว่าจะยังไงดี) หมวยอินเตอร์ปิดปากพร้อมหัวเราะเบาๆเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนที่เธอคุยด้วยไม่ใช่คนไทยทั้งหมด
“Don’t worry about that thing I have it for you all.” (เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงฉันมีตั๋วสำหรับทุกคนอยู่แล้ว) หนุ่มเกาหลียิ้มพร้อมกับควักกระเป๋าโชว์ตั๋วเข้าศูนย์อนุรักษ์พันธุ์สัตว์ที่แลดูยับนิดๆ คงจะเป็นเพราะเขาพับไว้ในกระเป๋าละมั้ง
“Wow thank you, we are so lucky.” (ว้าว ขอบใจนะ พวกเรานี่โชคดีจริงๆ เลยเนาะ) สาวฮานะหันหน้าไปขอบคุณหนุ่มหน้ากลม พร้อมกับหันไปยิ้มแป้นกับเพื่อนคนอื่นบนโต๊ะด้วยความรู้สึกโชคดี
“Yes we are so lucky, actually too lucky” (ใช่พวกเราโชคดีจริงๆ โชคดีเกินไปด้วยซ้ำ) หนุ่มตัวเล็กมองไปที่หนุ่มเกาหลีที่นั่งอยู่ติดๆกันด้วยสายตาไม่ไว้วางใจและเมื่อหนุ่มจุนรู้ตัวว่าตัวเองถูกมองก็หลบตาเบี่ยงหน้าไปทางอื่นซึ่งนั่นก็ทำให้คนตัวเล็กยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ แต่ยังไงก็ตามมันก็อาจจะเป็นแค่ความบังเอิญก็ได้ หนุ่มตัวเล็กคิดอะไรวุ่นวายในหัวเต็มไปหมดแต่สุดท้ายก็จบด้วยการถอนหายใจก่อนจะรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนบนโต๊ะหายไป หลังจากหันไปรอบโต๊ะก็ไม่เห็นแม้เงาของหนุ่มตาฟ้า
“Where is your friend Jun” (เพื่อนนายไปไหนละจุน) ธันหันไปถามหนุ่มจุนที่ตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก ก่อนจะตอบเขาทั้งๆ ที่เคี้ยวข้าวอยู่
“I don’t know he bought the ah… his food and then go to somewhere” (ฉันไม่รู้เขาซื้อ เอ่อ... อาหารแล้วก็ไปไหนสักที่หนึ่งน่ะ) หนุ่มเกาหลีเหมือนจะหลุดพูดอะไรบางอย่างแต่ก็แค่เหมือนจะเพราะพอสติมาเขาก็สามารถกลับมาตอบคำถามของหนุ่มตัวเล็กได้อย่างเป็นธรรมชาติที่ดูไม่ธรรมชาติเอาซะเลย
“Um…” (อืม) เป็นเสียงของหนุ่มตัวกลมและตัวเล็กพูดขึ้นเกือบจะพร้อมกัน ซึ่งนั่นก็ทำให้ทั้งคู่หันมายิ้มและหัวเราะเหมือนกับเป็นการสื่อว่าทั้งคู่สงสัยอะไรบางอย่างเหมือนๆ กันก่อนที่หนุ่มตัวเล็กจะหันหน้าไปมองดอก Golden Penda ที่กำลังจะค่อยๆ ผลิจากใบและจะเปลี่ยนเป็นดอกไม้ที่หอนหวนในเร็ววันนี้
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่12 (หน้าสอง) ✈
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 19-06-2020 21:26:30
 :pig4:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่12 (หน้าสอง) ✈
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-06-2020 01:33:37
 :pig4: :pig4: :pig4:

ตั๋วนั้นก็คงเป็นของอิตารูเบนหล่ะสิ

พอแก๊งนี้ไปศูนย์อนุรักษ์น้องโคอาล่า  ก็คงได้ป๊ะกะหนุ่มผมสีวอลนัทด้วยความบังเอิ๊ญบังเอิญอีกหล่ะ
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่12 (หน้าสอง) ✈
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 20-06-2020 04:00:06
เอ...จะเป็นแบบนั้นไหมน้า  :katai2-1:
หัวข้อ: When love travel ตอนที่ 13 ความรักและดอกแลนดิไลอ้อน ครึึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 26-06-2020 20:05:25
   “งอกไวๆ นะเจ้าโหระพา เจ้าต้นหอมกับ เจ้าพริกด้วยนะ”หนุ่มหน้ามนคนตัวเล็กเอามือจับคราดอันจิ๋วก่อนจะค่อยๆ บรรจงใช้มันพรวนดินกับกระถางผักสวนครัวที่เขาอุตส่าห์ลงทุนดูแลปลูกไว้ตรงระเบียงด้านหลัง พูดถึงระเบียงห้องที่แสนสกปรกและรกระเกะระกะของพวกเขาตอนนี้มันได้เปลี่ยนเป็นสถานที่นั่งเล่นรับลมยามเย็นชั้นดี
   ธันลุกขึ้นบิดขี้เกียจเล็กน้อยหลังจากนั่งเปลี่ยนกระถาง พรวนดิน และถอนวัชพืชให้เหล่าต้นไม้ของเขาเป็นเวลานานเกือบชั่วโมง
   “เห้อ วันนี้อากาศดีจังเลยนะ ขอให้เป็นวันที่ดีด้วยเถอะ”ธันหันหน้าไปมองยังท้องฟ้าที่มีสีฟ้าสดใส เมฆก้อนใหญ่สีขาวเหมือนปุยนุ่นก็ลอยตัวต่ำ ชะรอยวันนี้แดดน่าจะไม่แรง ก็ดีจะได้ไม่ต้องเอาต้นเดหลีมาหลบมุม หนุ่มตัวเล็กคิดก่อนจะหันไปหยิบฟักบัวอันเล็กสีเขียวรูปเต่าตรงช่องชั้นวางของมาเตรียมจะรดน้ำ ถ้าหากว่าเสียงคนจากด้านหลังไม่ทักเขาเข้าซะก่อน
   “อ้าว ก็ว่าหายไปไหน มานั่งปลูกผักปลูกหญ้าอยู่ตรงนี้นี่เอง รีบใช้เหรอถ้ารีบใช้ทำไมไม่ไปซื้อเอาละ” หนุ่มตัวกลมที่วันนี้แลดูจะแต่งตัวดีเป็นพิเศษกว่าทุกวัน โดยเขาสวมเสื้อเชิ้ตที่แบ่งสีขาวกับดำกันอย่างละครึ่ง พร้อมกางเกงสแลคสีดำที่ตัดข้อให้เต่อขึ้นมาเล็กน้อย ไหนจะแว่นตากันแดดสีชาทรงเพชรกับหมวกปีกกว้างสีดำที่มีเชือกรั้งมาถึงคางอีก ดูแล้วเหมือนแบมบูจะไปเดินแฟชั่นมากกว่ากำลังจะไปศูนย์อนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าเลย
   “ก็ไม่ได้รีบใช้หรอก แต่ว่าเราปลูกเองมันก็รู้สึกดีมากกว่าไปซื้อเขานะ เฝ้าดูมันเติบโตทีละน้อย ใช้เวลารดน้ำพรวนดิน บางทีก็อาจจะต้องมานั่งเป็นกังวลบ้างเวลามันเกิดโรคหรือเฉา แต่กว่าจะรู้ตัวอีกทีต้นไม้พวกนี้มันก็โตพอทีจะกินได้แล้ว”หนุ่มผิวแทนพูดจบก็ผิวปากพร้อมกับเอา บัวรดน้ำ มาให้น้ำกับต้นไม้ทีละต้น ทีละต้น
   “ค่ะ เป็นนางสาวรักโลกก็ต้องรู้จักรักษาเวลาด้วยนะ วันนี้นัดเพื่อนกี่โมงแล้วนี่มันกี่โมงแล้ว จะสวยแล้วสายก็ไม่ไหวนะ” หนุ่มแบมบูกอดอกพร้อมกับถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายกับรูมเมท
   “เออ นั้นดิลืมไปเลย ฝากรดน้ำต่อหน่อยดิ”หนุ่มตัวเล็กหน้าตาตื่นเล็กน้อยเมื่อแอบมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังซึ่งโชว์ว่าเขาเหลือเวลาแต่งตัวก่อนจะถึงเวลานัดเพียงแค่ 20 นาที โชคดีที่เขาอาบน้ำล้างหน้าทาครีมแล้ว เหลือแค่การเปลี่ยนเสื้อผ้าสวมเครื่องประดับเล็กน้อยและฉีดน้ำหอมอีกหน่อยก็พร้อมเดินทางแล้ว
   “วันนี้ ฉีด Jo malone เหรอเราไปอยู่ที่แดดร้อนๆ สักพักกลิ่นมันจะหายนะ” หนุ่มตัวเล็กทำจมูกฟุดฟิดสักแปปหลังเดินผ่านคนตัวกลมก่อนจะพูดประโยคดังกล่าวออกมา
   “จมูกดีจังนะ น้องแบ่งใส่ขวดเล็กมาฉีดระหว่างวันแล้วไม่ต้องห่วง ว่าแต่มีอะไรกินบ้างเนี่ยหิว” หนุ่มแบมบูวางบัวรดน้ำที่เพิ่งจะรดน้ำต้นไม้เสร็จไว้ตรงหน้าทีวี ก่อนจะเปิดตู้เย็นสอดส่ายสายตาหาของกิน
      “อ๋อ ฉันทำแซนด์วิชไว้ในตู้เย็นอะ กะจะเอาไปกินกับเธอแล้วก็เพื่อนเราตอนกลางวัน เพราะเห็นว่าที่ศูนย์อนุรักษ์เขาขายแต่อาหารท้องถิ่นกลัวจะกินกันไม่ได้ เอาไปกินรองท้องก่อนสิ”หนุ่มตัวเล็กตะโกนลงมาจากชั้นสองขณะกำลังใส่กำไลข้อมือเงินแท้ ที่มีจี้เป็นรูปสัตว์ สัญลักษณ์เมือง ตัวการ์ตูนและตัวละครจากหนังดังอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์นี้ ก่อนที่จะฉีดน้ำหอม Dolce & Gabbana Light Blue Sun ที่คอ ข้อพับและหลังมือ
   “วันนี้น้องธันแต่งตัวน่ารักดีนะครับ” หนุ่มหน้าตี๋ที่กำลังนั่งกินแซนด์วิชกับหนุ่มตัวกลมเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นคนตัวเล็กเดินลงมาจากบันได
   “ขอบคุณครับ” หนุ่มตัวเล็กได้แต่ยิ้มแห้งๆ กลับไปเพราะเมื่อเขาสำรวจตัวเองก็พบว่ามันไม่ได้ดูดีอะไรเลยเมื่อเทียบกับหนุ่มตัวกลม เขาก็แค่ใส่เสื้อยืดสีขาวธรรมดากับกางเกงยีนส์ขายาวฟอกสีขาดๆ พร้อมกับพับปลายกางเกงขึ้นมาเหนือข้อเท้าประมาณสองถึงสามทบ ดูแล้วเหมือนเขาจะถูกหาเรื่องชมซะมากกว่า
   “เออ ฉันลืมบอกเมื่อวานตอนเธอไปทำงานน่ะ พี่อ้นกับเพื่อนเขาจะไปกับเราด้วยนะ เดี๋ยวพวกพี่เขาจะเอารถไป แล้วก็ฮานะเพิ่งจะโทรมาบอกว่าเดี๋ยวจุนจะขับรถมารับนาง พี่ซีอิ๊ว เดวิดแล้วก็เตย แล้วก็ให้ไปเจอกันที่นั่นเลยจะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา” หนุ่มแบมบูพูดเสียงเรียบๆ พร้อมกับกลืนแซนด์วิชที่อยู่ในปากก่อนจะลุกขึ้นจัดแจงเอาแซนด์วิชที่เหลือแบ่งใส่กล่องสองกล่องโดยยื่นให้คนตัวเล็กถือกล่องหนึ่งและตนถือเองกล่องหนึ่ง
   “ทำอะไรอ่ะทำไมต้องแบ่งใส่กล่องสองกล่องด้วย”หนุ่มตัวเล็กรับกล่องมาถือในมือก่อนจะถามคนตัวกลมด้วยความงุนงง
   “ก็ถือคนเดียวมันก็หนักปะ ทำไมแค่นี้ช่วยกันถือหน่อยไม่ได้หรือไง”แบมบูที่ไม่รู้ว่ากินแซนด์วิชหรือรังแตนมา พูดอย่างมีน้ำโหนิดๆ จนคนตัวเล็กที่งงเป็นทุนเดิมอยู่แล้วยิ่ง งงหนักเข้าไปอีก และหนุ่มตี๋คงสังเกตเห็นอาการเก้ๆ กังๆ ของหนุ่มตัวเล็กได้ จึงได้เอ่ยปากพูดขึ้นว่า
   “ให้พี่ช่วยถือไหมครับ” ไม่พูดเปล่าคนตัวสูงยังเดินเข้ามาประชิดตัวตามสไตล์อีกต่างหาก และนั่นก็ดูเหมือนว่าจะทำให้คนตัวกลมมีอาการแปลกๆ มากขึ้นไปอีก
   “ไปกันได้ยังครับ ออกสายเดี๋ยวรถติด” คนตัวกลมพูดขณะที่ยืนอยู่หน้าประตู พร้อมบิดลูกบิดเต็มที่แล้วรอเพียงสัญญาณให้เปิดห้องเพียงแค่นั้น
   “อืม ไปสิ” หนุ่มตัวเล็กที่ปรับอารมณ์ตามไม่ทันพูดขึ้นอย่างห้วนๆ ก่อนที่หนุ่มตี๋ที่อยู่ด้านหลังจะช่วยจับบานประตูที่คนตัวกลมเหวี่ยงมาด้านหลังจนแทบจะโดนหน้าคนตัวเล็กอยู่รอมร่อแล้ว
   ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาออสเตรเลียเริ่มจะผลัดเปลี่ยนฤดูจากฤดูร้อนเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว แม้อากาศจะเริ่มมีอุณภูมิที่ต่ำลงและมีฝนประปรายในบางวัน แต่ส่วนใหญ่ทั่วทั้งเมืองก็ยังพอจะมีแสงอาทิตย์ลอดผ่านก้อนเมฆมาให้เห็นอยู่บ้าง ซึ่งหากเป็นตอนที่อยู่ที่ไทย เมื่อคนตัวเล็กเจอแดดก็มักจะวิ่งหามุมตึกหลบร้อนเพราะกลัวผิวจะเสีย แต่กลับกันเมื่อมาอยู่ที่นี่คนส่วนใหญ่รวมถึงคนผิวแทนเมื่อเจอแดด ต่างก็จะวิ่งเข้าใส่เพื่อที่จะได้คลายไอหนาวกัน
 เช้านี้ก็เช่นกันระหว่างที่พี่อ้นเดินไปเอารถ คนตัวเล็กและคนตัวกลมก็ยืนตากแดดรออยู่ริมถนนหน้าตึกโดยแบมบูเว้นระยะห่างจากคนตัวเล็กอย่างเห็นได้ชัดจนแม้ไม่สังเกตก็รู้ได้ว่ามันผิดสังเกต
   “นี่ เธอจะมีปัญหากับฉันเรื่องผู้ชายจริงๆ เหรอ” หนุ่มตัวเล็กพยายามที่จะพูดเสียงเรียบๆ ถึงแม้ในใจจะมีอารมณ์คุกรุ่นอยู่เต็มที่แล้ว
   “เปล่านี่ จะไปมีปัญหาได้ยังไง น้องไม่ได้เป็นอะไรกับเขาซะหน่อย” หนุ่มตัวกลมพูดลอยๆ โดยไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าคนข้างๆ
   “เธอจำที่เธอถามคืนนั้นได้ไหมว่าฉันรู้สึกอะไรกับพี่เขาหรือเปล่า ฉันก็ตอบเธอไปแล้วว่าไม่ได้รู้สึกแล้วเธอจะเอายังไงกับฉันอีก” หนุ่มตัวเล็กอดไม่ได้ที่จะรื้อฟื้น เรื่องวันที่เขาได้รับขนมมาจากพี่อ้น และเมื่อแบมบูเห็นเข้าก็งอลเดินขึ้นห้องไป แถมตอนนอนก็ยังจะนอนหันหลังให้ไม่พูดไม่จา จนต้องสะกิดกันด้วยมือที่ใช้เดิน ถึงได้ปริปากบอกว่าเป็นอะไร ซึ่งหลังจากหนุ่มแบมบู คลานจากพื้นกลับขึ้นมาบนเตียงได้ก็ถามธันด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา อย่างคนที่กลัวคำตอบว่า ธันรู้สึกยังไงกับผู้เป็นเจ้าของห้องบ้าง ซึ่งธันก็ได้แต่ยิ้มละมุนตอบแบมบูกลับไป พร้อมกับพูดคำพูดที่คนตัวกลมต้องปล่อยโฮให้ในภายหลังว่า ไม่ได้รู้สึกอะไรกับพี่อ้นเลย แค่รู้สึกว่าเป็นพี่ที่ดีคนหนึ่งและต่อให้รู้สึกมากกว่านั้น ก็ไม่อยากจะมีปัญหาเรื่องผู้ชายกับหนุ่มตัวกลมแน่เพราะ เราสองคนสนิทกันมากเกินกว่าจะมาทะเลาะกัน ด้วยเรื่องอะไรแบบนี้ พอได้ฟังดังนั้น หนุ่มตัวกลมก็น้ำตาแตกต้องคอยลูบหน้าลูบหลังกันเกือบทั้งคืนกว่าน้ำตาจะแห้งไป
   “ก็จริง แต่ตัวผู้ชายเขาก็ยังอะไรๆ กับเธออยู่นี่” หนุ่มตัวกลมลดระดับเสียงการพูดลงเล็กน้อยแต่ก็ยังมีความแข็งกร้าวอยู่ภายใน ที่สำคัญหน้าเขาก็ยังคงมองไปที่ท้องถนนเหมือนเดิมเหมือนกับจะตอบคำถามคนที่ขับรถผ่านไปผ่านมาซะมากกว่าจะตอบคนข้างๆ
   “อ้าว แล้วเธอจะให้ฉันทำยังไงล่ะ เมื่อกี้ตอนที่พี่เขาทักเธอก็เห็นว่าฉันก็ตอบแบบผ่านๆ ไปแล้ว” หนุ่มผิวแทนที่ทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายหันหน้าไปขึ้นเสียงใส่หนุ่มตัวกลมที่ยังทำลอยหน้าลอยตาอยู่ข้างๆ แต่ก่อนที่จะมีปากเสียง ลงไม้ลงมือกันเกิดขึ้นก็มีเสียงทุ้มๆ ดังขึ้นจากด้านหลังของทั้งคู่ซะก่อน
   “เอ่อ... ใช่น้องที่อยู่ห้องเดียวกับอ้นหรือเปล่าครับ”   เมื่อหนุ่มผิวแทนหันไปก็พบกับหนุ่มผิวคล้ำรูปร่างสูงใหญ่กับหนุ่มผิวขาวที่มีความสูงไล่เลี่ยกัน โดยคนผิวคล้ำจะมีใบหน้าและดวงตาที่ดูดุและกระดูกตรงสันกรามที่ดูชัดและมีมิติมากกว่าอีกคน แต่ถึงกระนั้นอีกคนก็ไม่ใช่ว่าจะไม่หล่อแต่เพียงแค่ทุกอย่างมันดูค่อนข้างที่จะลงตัวมากเกินไป จนไม่มีเอกลักษณ์อะไรให้เห็นเด่นชัดนอกจากความขาวที่เมื่อต้องแสงก็ยิ่งขาวจนเกือบจะกลายเป็นโปร่งใสไปซะแล้ว และแม้ว่าสองคนนี้จะดูแตกต่างกันมากแต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันในความทรงจำของธันคือพี่ทั้งสองคนนี้เป็นคนที่อยู่ในวง One Upon a dream เช่นเดียวกันกับพี่อ้น
อีกทั้งคนที่มีสีผิวค่อนข้างเข้มก็ยังเป็นพี่คนเดียวกับที่เขาเจอที่ห้องปริศนาในวันนั้น แม้โอกาสดีจะมาในช่วงอารมณ์ไม่ดี แต่ยังไงก็ต้องคว้าโอกาสนั้นไว้ วันนี้แหละเขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้าของห้องนั้นเป็นใครกัน คนตัวเล็กรำพึงรำพันในใจ
   “ใช่ครับ ผมชื่อธันนะครับส่วนคนนี้ชื่อแบมบู แล้วพวกพี่ชื่ออะไรกันเหรอครับ”หนุ่มธันยิ้มน้อยๆ เป็นการทักทายคนทั้งสองซึ่งทั้งสองคนก็ยิ้มกลับตามมารยาทก่อนจะแนะนำตัวคืน
   “พี่ชื่อดัมป์นะครับ ส่วนคนนี้ชื่อเบสเล่นดนตรีอยู่วงเดียวกับไอ้อ้นน่ะ”พี่ดัมป์พูดแนะนำตัวเอง ก่อนจะชี้นิ้วไปที่คนผิวขาวที่ยังยืนยิ้มไม่หุบอยู่ข้างๆ
   “อ๋อ เนี่ยเหรอน้องธันฟังคนบางคนเล่ามาตั้งนาน เพิ่งจะได้เจอใกล้ๆ ก็วันนี้ วันที่พี่เล่นดนตรีมันค่อนข้างมืด พี่มองเห็นเราไม่ค่อยชัดน่ะ พออยู่ตรงที่สว่างๆ ก็ดูดีเหมือนกันนะเนี่ย” พี่เบสพูดพร้อมเอามือลูบคางที่มีหนวดขึ้นอยู่หรอมแหรมไปด้วย
   “โห จะบอกว่าวันนั้นผมดำจนมองไม่เห็นเลยเหรอพี่” หนุ่มตัวเล็กหันไปแกล้งค้อนก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา
   “พี่ไม่ได้พูดนะ เราเล่นตัวเอง เองนะ” คนผิวขาวพูดขึ้นพร้อมกับหัวเราะตามไปด้วย
   แต่ขณะที่ทั้งสามคนคุยกันอย่างออกรถออกชาติอยู่นั้นก็มีรถสปอร์ตสีแดงเปิดประทุนขับเข้ามาจอดเทียบท่าอันที่จริงน่าจะเรียกว่าเกือบจะชนท่าจะเหมาะกว่าเพราะว่าหากไม่มีฟุตบาตกั้น รถคันนี้คงจะขับพุ่งเข้ามาปะทะคนตัวเล็กจนกระเด็นไปแล้ว
    “เหวอ” คนตัวเล็กหลุดอุทานด้วยความตกใจกับวินาทีฉุกเฉินเมื่อครู่ ซึ่งจังหวะที่รถเข้ามาจะถึงตัว ปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติของร่างกายก็ได้สั่งให้เขากระเถิบถอยหลัง แต่ทว่าวันนี้อาจจะไม่ใช่วันของคนตัวเล็กเพราะทันทีที่เขาถอยหลังส้นเท้าเขาก็ได้ไปสัมผัสกับเศษหินและนั่นเองเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาล้มลงก้นจ้ำเบ้าจนหน้าเหยเก
   “เฮ้ย น้องเป็นไรหรือเปล่า” พี่ดัมป์ที่กระโดดถอยหลังมาในจุดที่หนุ่มตัวเล็กนั่งอยู่นั้นถามขึ้น และแม้จะกระโดดมาในเวลาไล่เลี่ยกัน และตำแหน่งใกล้เคียงกันแต่หนุ่มล่ำคงจะโชคดีกว่าเพราะว่าเขาไม่ได้เจออุปสรรคเป็นก้อนหินมาขวางเลยไม่ต้องมานอนแอ้งแม้งเหมือนคนตัวเล็กตอนนี้
   “Why do you drive like this, Are you Crazy?” (ทำไมขับรถแบบนี้วะ ประสาทดีหรือเปล่าเนี่ย) พี่เบสที่เหมือนจะเป็นคนที่มีสติที่สุดเดินเข้ามาฉุดธันขึ้นจากพื้นพร้อมทั้งตะโกนตรงไปยังรถที่จอดอยู่อย่างเอาเรื่อง
   “Get off the car and see what you did” (เฮ้ย ลงมาจากรถ มาดูดิว่าทำอะไรไว้อ่ะ) คนผิวขาวยังคงอารมณ์ขึ้นไม่หยุด เพราะขนาดตะโกนไปแล้วรอบแรก คนบนรถยังไม่มีท่าทีกระวีกระวาดเปิดประตูลงมาดู หนุ่มธันเลยซึ่งมันแลดูผิดปกติวิสัยของคนออสเตรเลียเป็นอย่างมาก ชะรอยจะเป็นเศรษฐีใหม่ชาวจีนหรือไม่ก็คนประเทศอินเดียเป็นแน่
   “พี่เบสใจเย็นพี่ ธันไม่ได้เป็นอะไรมาก เขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ได้พี่”หนุ่มธันพยายามจับแขนของคนตัวสูงไว้เพราะกลัวว่าคนผิวขาวจะสติหลุดแล้วไปกระชากคนบนรถลงมาต่อย ทีนี้ล่ะ จากการไปทัวร์ชมน้องโคอาล่าจะได้เปลี่ยนเป็นไปทัวร์ห้องกรงแทน
   “Sorry man I didn’t see that guy because he quite dark” (โทษทีพวก พอดีฉันมองคนนั้นไม่ค่อยเห็นน่ะเพราะเขาค่อนข้างที่จะคล้ำไปหน่อย) คนบนรถเปิดประตูออกมาพร้อมด้วยเสียงที่ยียวนแต่นั่นมันก็ยังยียวนน้อยกว่าประโยคที่เขาได้พ่นออกมา ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้กลับตารปัตรไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะทันทีที่คนตัวเล็กได้ยินประโยคพาดพิงถึงเขา เขาก็ปล่อยแขนพี่เบสพร้อมกันนั้นก็ถกแขนเสื้อขึ้นตรงไปยังรถยี่ห่อม้าศึกสีแดงทันที แต่โชคยังดีที่พี่ดัมป์ขว้าแขนเขาไว้ทันซะก่อน ไม่งั้นคงต้องมีคนหมอบแน่ ซึ่งหากดูจากขนาดตัวคนที่หมอบก็น่าจะเป็นธัน เพราะคนที่ก้าวลงมาจากรถนั้นมีขนาดตัวที่สูงกว่าประมาณ 1 ฟุตเป็นอย่างน้อยและหน้าตาคนที่ลงมาก็คุ้นจนคนผิวแทน มือไม้สั่น อยากจะเอารองเท้าที่ใส่ปาไปให้โดนหน้านัก
   “Hey bro, I don’t know you going to go with us” (อ้าวเฮ้ย กูไม่รู้เลยนะเนี่ยว่ามึงจะไปกับกูด้วย) พี่เบสที่เมื่อสักครู่ยังโกรธเป็นฝืนเป็นไฟ แต่ตอนนี้กลับขยับเข้าไปจับมือเอาไหล่กระแทกทักทายตามแบบที่เด็กฝรั่งฮิบฮอปชอบทำกัน เหมือนเมื่อสักครู่ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลยทั้งๆ ที่ในใจคนตัวเล็กตอนนี้ก่นด่าคนผมสีวอลนัทไปแล้ว ยี่สิบสามภาษา ทั้งๆ ที่ความจริงเขาพูดได้แค่สองภาษาและภาษาที่สองก็ยังงูๆ ปลาๆ ก็ตาม
   “That why we call surprise” (เขาถึงเรียกว่าเซอร์ไพรส์ไงพี่) หนุ่มตาฟ้าพูดพร้อมกับจับมือทักทายพี่ดัมป์ที่เดินเข้ามาสมทบ และยังไม่ลืมที่จะโบกมือทักทายแบมบูที่ยืนอยู่ด้านหลังพร้อมรอยยิ้ม แต่ดูท่าเขาคงจะลืมขอโทษหรือทักทายคนตัวเล็กที่ยืนทำตาเขียว ปากเบ้ ทำท่าไม่พอใจอยู่ใกล้ๆ
   “ฮึ ฮึ่ม” คนตัวเล็กแกล้งกระแอมไอดังๆ ให้รูเบนรู้ตัว ซึ่งมันก็ยังคงได้ผลถึงจะช้าไปหน่อย เพราะเมื่อเขากระแอมไอไป พี่ดัมป์กับพี่เบสต้องหันมามองทางเขาสักพักใหญ่ๆ รูเบนถึงจะทันสังเหตุและค่อยๆ เอี้ยวตัวหันมาก่อนที่จะโบกมือทักทายพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตรมาให้ ซึ่งต่อให้กดลิฟท์กลับไปชั้นด่านฟ้าแล้วชะโงกหน้ามองลงมาก็ยังดูรู้เลยว่าปลอม
   “Sorry to didn’t greet you maybe my eyes have a problem with something black.” (ขอโทษทีนะที่ไม่ได้ทักทายพอดีตาของฉันมันมีปัญหากับอะไรที่มันดำๆน่ะ) หนุ่มตาฟ้าเดินตรงเข้ามาประชิดตัวคนตัวเล็กก่อนจะเอี้ยวตัวลงมากระซิบเบาๆ ที่ข้างหูคนตัวเล็กและผละออกอย่างเชื่องช้า พร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ อย่างมีชัย ซึ่งมองจากมุมข้างๆ มันเหมือนกับการเอาจมูกมาหอมแก้มหนุ่มผิวแทนอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ดังนั้นผู้เฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งสามคนก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงโห่ฮา โดยเฉพาะหนุ่มตัวกลมที่น่าจะตกใจมากเพราะเขาถึงขนาดหวีดร้องออกมาพร้อมเอามือทาบไปที่อก ซึ่งแบมบูน่าจะหลงลืมอะไรบางอย่างไป อะไรบางอย่างประมาณว่าเขายังงอลคนตัวเล็กอยู่
   “I hope it is going to blind soon because either you don't know which one is black and which one is tan.” (ฉันหวังว่าตาของเธอจะบอดในเร็ววันนะเพราะเธอน่ะมันโง่จนแยกไม่ออกเลยว่าอะไรคือดำ อะไรคือผิวแทน) แม้ว่าคนตัวเล็กจะต้องลำบากเขย่งไปกระซิบที่ข้างหูแต่เขาก็ดูจะเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อเท้าของคนตัวเล็กกลับมาสัมผัสที่พื้น ปากและตาของเขาก็เผยรอยยิ้มอย่างมีชัย แต่ดูเหมือนว่าคนตัวโตจะดูไม่สะทกสะท้านกับคำพูดนั้นเท่าไหร่เพราะรอยยิ้มของเขายังคงปรากฏบนใบหน้า ถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนจากรอยยิ้มที่ดูยียวนมาเป็นรอยยิ้มที่แฝงด้วยความประหลาดใจแทน
ผิดกับกองเชียร์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ที่ดูจะมีอาการคิดไปไกลอย่างหนัก เนื่องจากเสียงโห่ฮ่าดังขึ้นทันทีหลังจากที่ทั้งคู่ยืนจ้องตากัน โดยเฉพาะคนตัวกลมที่ยืนอยู่ด้านหลังสุด ท่าจะอาการหนักเพราะดูวิงเวียนคล้ายจะเป็นลมจนต้องเอามือยันต้น Golden Penda เพื่อประคองตัวเองไม่ให้ล้มลง
   “So, who wants to go with me” (เอาล่ะใครจะไปกับผม) รูเบนตัดจบการวิวาทไปเสียดื้อๆ พร้อมกับเบี่ยงตัวหันไปถามคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
   “Why you have to ask when you already should?” (จะถามทำไมวะในเมื่อมึงเองก็เลือกแล้ว) พี่ดัมป์พูดพร้อมหันนิ้วชี้ตรงมาที่คนตัวเล็กที่ยังทำหน้าบอกบุญไม่รับ
   “What???” (ว่าไงนะ) เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนสามัคคีกันเพราะเมื่อคนกล้ามโตพูดจบ ทั้งรูเบนและธันต่างพากันร้องเสียงหลงอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน
   “ผมไม่ไปกับมันนะพี่ดูดิ ขนาดแค่ขับรถมันยังจะตรงเข้ามาชนผมเลย แล้วถ้านั่งไปด้วยมันไม่แกล้งผมหนักกว่านี้เหรอ” คนตัวเล็กพูดจาโหวกเหวกโวยวายพร้อมกับชี้นิ้วสลับไปมาระหว่างใบหน้าตัวเองและคนผมสีวอลนัท ซึ่งนอกจากที่เขาจะกลัวโดนแกล้งระหว่างทางแล้วอีกหนึ่งเหตุผลที่เขาไม่อยากไปด้วยก็เพราะเขาต้องการจะถามเรื่องวันนั้นกับพี่ดัมป์ ซึ่งถ้านั่งรถแยกคันกันโอกาสที่จะได้คุยมันก็น้อยลงไปอีกน่ะสิ
   “ไม่หรอกน่าตัวมันเองต้องเป็นคนขับรถ จะเอาเวลาไหนมาแกล้งเรา ที่สำคัญรถของไอ้อ้นมันก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรขนาดที่จะนั่งเบียดกันได้ห้าคนนะ แล้วดูดิ่พี่ เพื่อนพี่ เพื่อนน้องก็ตัวใหญ่ๆ กันทั้งนั้น จะให้ไปนั่งรถไอ้หรั่งก็ดูท่าจะอึดอัดน่าดู
เอาน่าแค่ครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้วอย่าคิดมาก” พี่ดัมป์พยายามโน้มน้าวสุดฤทธิ์จนดูไม่ออกว่าอยากสบายหรือมีอะไรแอบแฝง ซึ่งก็ดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่หนุ่มผิวแทนและหนุ่มตาฟ้าเท่านั้นที่ดูจะไม่พอใจ หนุ่มแบมบูก็เหมือนจะไม่พอใจด้วยเหมือนกัน แต่จุดที่ทั้งสามคนไม่พอใจนั้นน่าจะต่างกันอยู่ คนตัวเล็กไม่พอใจเพราะว่าเขาไม่อยากจะนั่งรถคันเดียวกันกับคนอัธยาศัยแย่อย่างหนุ่มรูเบน ส่วนหนุ่มรูเบนเองก็คงจะไม่พอใจ เพราะว่าฟังภาษาที่เขาพูดกันไม่ออก แล้วคงพาลคิดว่าพวกเขาสองคนนินทาอะไรอยู่หรือเปล่า เพราะตลอดเวลาที่พูดคนตัวเล็กมองหน้าคนตาฟ้า สลับกับหน้าคนตัวล่ำไม่หยุด ส่วนแบมบูน่าจะไม่พอใจที่ถูกเหมารวมอยู่ในกลุ่มคนตัวใหญ่ด้วย
   “ไปเหอะ พี่รับรองมันไม่กล้าทำอะไรน้องหรอกเชื่อพี่ Can you take this guy to the Lone pine koala sanctuary, Driver” (รบกวนช่วยพาเด็กคนนี้ไปศูนย์อนุรักษ์ฯ โคอาล่าทีนะ คนขับ) พี่เบสที่เงียบอยู่นานพูดพร้อมกับส่งยิ้มเพิ่มความเชื่อมั่นให้คนตัวเล็กก่อนที่จะดันหลังเขากลับไปยืนอยู่ตรงตำแหน่งเดิมข้างๆ รูเบน
   “Fine/ก็ได้ครับ” ทั้งสองคนพูดขึ้นพร้อมกันอีกครั้งก่อนที่ธันจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พร้อมกับเดิมอ้อมไปเปิดประตูผู้โดยสารด้านข้างขึ้นนั่งซึ่งตาเจ้ากรรมก็ไม่วายหันไปเหลือบมองป้ายทะเบียน ที่ระบุไว้ว่า “QLD KITKAT” เท่านั้นแหละสมองก็พลันคิดไปไกลว่าทะเบียนนี้เป็นทะเบียนปลอมหรือเปล่าแล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นตำรวจจะตามสืบเจอไหม แล้วถ้าไอ่หนุ่มตาฟ้านี้พาเขาไปฆ่าหมกส้วมเพราะดันไปพูดจากวนส้นละเขาจะทำยังไง แต่ก่อนที่ความคิดจะทันได้เตลิดไปมากกว่านี้เสียงประตูรถฝั่งตรงข้ามก็ปิดลงดัง “ปัง” พร้อมกับคนผมสีวอลนัทที่หันมาทำตัวยียวนด้วยการทำจมูกย่นฟุดฟิดและเอาลิ้นดุนแก้มก่อนจะพูดอะไรบางอย่างที่คนตัวเล็กฟังไม่เข้าใจ
   “cette odeur est si agrable” (หืม กลิ่นดีไม่เบานี่นา) คนตัวสูงพูดขึ้นด้วยเสียงกระซิบ ก่อนที่จะหันไปกดสตาร์ทรถ และค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป แต่ก็นั้นแหละด้วยความที่ว่าระยะห่างของทั้งคู่มันไม่ถึงหนึ่งศอกดีอีกทั้งรถที่นั่งกันอยู่ก็ยังเป็นรถหรูราคาแพงที่ตัดเสียงภายนอกได้อย่างหมดจดแบบนี้ ต่อให้เสียงหายใจแผ่วเบาแค่ไหนก็คงไม่รอดหูของคนตัวเล็กที่รอหาเรื่องได้อย่างแน่นอน
   “What can you speak again?” (ว่าไงนะลองพูดใหม่ดิ) หนุ่มผิวแทนหันไปถามรูเบนด้วยสีหน้าเอาเรื่อง ซึ่งคนตัวโตก็ไม่ได้มีท่าทีสนใจอะไรใดๆ ซ้ำร้ายเขายังทำปากคว่ำพร้อมหยักไหล่อีกต่างหาก ซึ่งหนุ่มธันที่หงุดหงิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่เมื่อเจอการกระทำกวนโอ๊ยของหนุ่มหน้าคมเข้าแบบนี้    
   “ถ้าไม่ติดว่ารถวิ่งอยู่นะ ฉันลงไปแล้ว มองอะไรทีนายยังพูดภาษาอะไรก็ไม่รู้ได้เลยฉันก็จะพูดภาษาบ้านฉันบ้างไงละ จะทำไม”หนุ่มธันพูดขึ้นด้วยเสียงเล็กเสียงน้อยก่อนจะตบท้ายด้วยการหันไปพูดใส่หน้ารูเบนที่ตอนนี้มีเครื่องหมายคำถามอยู่เต็มหัวด้วยความสะใจ
   “What” (อะไร) เป็นคราวของหนุ่มตาฟ้าถามขึ้นบ้างซึ่งคนตัวเล็กก็ตอบกลับด้วยปฎิกิริยาเช่นเดียวกันกับหนุ่มผมสีวอลนัทอย่างกับแพะกับแกะ แต่ดูท่าทักษะการกวนอวัยวะเบื้องล่างของคนผิวแทนจะมีชั่วโมงบินสูงกว่าหน่อย เพราะนอกจากจะทำลอยหน้าลอยตาพร้อมหยักไหล่แล้วเขายังแถมการยกมือไม้ขึ้นมาโบกไปมาเหมือนจะสื่อว่าให้ขับรถต่อไป และนั่นก็ทำให้คนตัวโตเผลอหัวเราะในลำคอก่อนจะหันไปกดแผงควบคุมเพลงที่ติดตั้งอยู่ตรงปุ่มพวงมาลัย
   “What kind of music do you like?” (นายชอบฟังเพลงแนวไหนเหรอ) หนุ่มตาฟ้าพูดขึ้นด้วยโทนเสียงนุ่มๆ เหมือนที่เขาชอบใช้กับสาวๆ แต่กับคนตัวเล็กที่โดนแขวะมาตั้งแต่ก่อนขึ้นรถโทนเสียงไหนๆ ตอนนี้มันก็คงไม่มีผลอะไรนัก
   “Why” (ทำไมอ่ะ) ธันถามขึ้นพร้อมกับมองหน้ารูเบนด้วยความสงสัย
   “Because I will turn on the music or do you want me to sing for you” (เพราะว่าฉันจะเปิดเพลงน่ะสิหรือจะให้ฉันร้องเพลงให้นายฟังดี) คนหน้าคมพูดขึ้นยิ้มๆ ก่อนที่จะพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ผ่านทางจมูกซึ่งนั่นทำให้คนตัวเล็กกลับมาหงุดหงิดขึ้นอีกครั้งเพราะมันดูเหมือนว่าคำถามของเขามันดูงี่เง่าจนไม่น่าถามขึ้นมา
   “This is your car, you can do whatever you want and I don’t care.” (นี้มันรถนาย นายจะทำอะไรมันก็เรื่องของนาย และฉันก็ไม่สนใจด้วย) หนุ่มตัวเล็กถอนหายใจคืนก่อนจะสะบัดหน้าออกไปนอกหน้าต่าง
   “Ok, cool I didn’t get the answer.” (เยี่ยมเลย สรุปฉันก็ไม่ได้คำตอบอะไรสินะ) เสียงของคนตัวใหญ่ดูราบเรียบจนไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้อารมณ์ของเขาจะเป็นเช่นไร แต่นั่นก็คงไม่มีผลอะไรกับธัน เพราะเขายังคงนิ่งเงียบและสนใจบรรยากาศด้านนอกที่รถเคลื่อนผ่านมากกว่าจะหันกลับมามองคนข้างใน
   “Fine” (ได้) คนผมสีวอลนัทถอนหายใจอย่างเอือมๆ ก่อนจะเริ่มเอานิ้วเคาะพวงมาลัยเป็นจังหวะพร้อมกับค่อยๆ ปล่อยทวงทำนองนุ่มนวลชวนฝันออกมาผ่านบทเพลง

   I get a little bit nervous around you
Get a little bit stressed out when I think about you
Get a little excited
Baby, when I think about you, yeah
Talk a little too much around you
Get a little self-conscious when I think about you
Get a little excited
Baby, when I think about you, yeah
Yeah, when I think about you, babe
หัวข้อ: When love travel เมื่อรักเดินทาง ความรักและดอกแลนดิไลอ้อน ตอนที่13 ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 26-06-2020 20:06:34
แม้คนตัวเล็กจะไม่ชอบคำพูดและการกระทำหลายๆ อย่างของคนตาฟ้าแต่เขาก็อดที่จะยอมรับไม่ได้ว่าคนๆ นี้มีสเน่ห์มากขนาดไหน ยิ่งเวลาร้องเพลงองศาความฮอตยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีกหลายเท่าตัวจนคนตัวเล็กอดที่จะเคลิ้มจนเผลอยิ้มตามไม่ได้
   ระหว่างนั่งอยู่ในรถก็มีหลายทีเหมือนกันที่คนตัวเล็กเผลอเหลือบมองไปที่ฝั่งคนขับด้วยความตั้งใจบ้าง ไม่ตั้งใจบ้าง และตัวคนขับเองก็รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้างเช่นกัน เพราะแสงแดดยามเช้าของนครควีนแลนด์ มันช่างขับสีผมและสีตาของหนุ่มรูเบนออกมาให้เจิดจรัสยิ่งกว่ายามปกติอีกหลายเท่าตัว ผมสีน้ำตาลวอลนัทของหนุ่มหน้าคมนั้นเมื่อยามต้องแสงยิ่งส่องประกายแวววาวคงเป็นเพราะถูกดูแลมาอย่างดีเป็นแน่ อีกทั้งดวงตาสีฟ้ากลมคมโตที่พอคนตัวเล็กพินิจดูในระยะประชิดแบบนี้ก็เห็นได้ชัดว่า มันไม่ใช่ตาสีฟ้ามิติเดียวทั่วไป แต่มีเฉดของสีเขียวแทรกอยู่ด้วยยิ่งต้องกับแสงแดดแบบนี้ยิ่งดูงดงามและเจิดจ้าคล้ายกับน้ำทะเลต้องแสงยามเช้า อบอุ่นแต่ยังแฝงด้วยความลึกลับน่าค้นหา ไหนจะเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนสั้นพอดีตัวที่ถูกปลดกระดุมออกจนเผยให้เห็นกล้ามอกที่นูนขึ้นมาแสดงให้เห็นถึงการออกกำลังกายอย่างหนักและสม่ำเสมอ
      “Which part of my body do you want to take my eyes, my hairs or both of them” (อันไหนในร่างกายฉันเหรอที่เธออยากได้ ตาของฉัน ผมของฉัน หรือทั้งคู่) หนุ่มตาฟ้าพูดขึ้นในขณะที่ตาก็ยังจับจ้องการจราจรบนท้องถนนอยู่ ซึ่งแม้จะเป็นคำพูดเย็นๆ เรียบๆ แต่มันก็ทำให้คนตัวเล็กหน้าร้อนผ่าวได้ไม่ยากเพราะมันสื่อได้ค่อนข้างชัดเจน ว่าเขาจ้องมองคนข้างๆ นานเกินไปจนโดนจับได้ซะแล้ว
   “What are you talking about, I don’t understand” (นายพูดอะไรน่ะฉันไม่เห็นจะเข้าใจเลย) คนตัวเล็กพูดด้วยเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อย ก่อนจะรีบหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้งเพื่อไม่ให้คนตัวโตจับสังเกตสีหน้าของเขาได้ แต่ในใจเขาก็แอบโล่งอกเพราะคนตาฟ้าเห็นแค่ตอนเขามองแค่ตาและผม ถ้าเกิดรูเบนจับได้ว่าเขาแอบมองหน้าอกด้วยคำพูดคงจะไม่ออกมาดีแบบนี้แน่ ซึ่งการที่เขาหันกลับไปมองด้านนอกก็ได้รับเสียงตอบรับกลับมาเป็นการหัวเราะในลำคอเบาๆ
   “จ้อกๆ” เสียงท้องร้องเบาๆ ของคนตัวเล็กดังประท้วงขึ้นมาให้คนผิวแทนขายขี้หน้า จะว่าไปตั้งแต่เช้าธันก็มีเรื่องยุ่งๆ จนลืมไปว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องได้ย่อยเลย แต่ถึงจะพูดแบบนั้นเขาก็เป็นแค่คนอาศัยติดรถมาด้วยเฉยๆ ถ้าเกิดเอาของกินออกมาแล้วเผลอทำมันตกลงบนเบาะที่มีราคาแพงระยับแบบนี้เขาไม่ต้องจ่ายค่าทำความสะอาดหูฉีกเลยเหรอ คิดได้ดังนั้นก็ได้แต่ทำหน้าหมาหงอยพร้อมกับเอามือลูบท้องตัวเองเบาๆ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้รูเบนจับสังเกตได้
   “Do you have anything to eat or do you would like to buy something at Pie-face cafe in one hundred meters.” (นายมีอะไรมากินหรือเปล่าหรือว่าอยากจะแวะซื้ออะไรที่ร้าน Pie-Face อีกร้อยเมตรข้างหน้าไหม) หนุ่มรูเบนหันมาถามพร้อมกันนั้นก็ยักคิ้วให้หนึ่งข้าง
        “Thank you, I have Sandwich but I don’t want to make your car dirty.” (ขอบใจนะ จริงๆแล้วฉันก็มีแซนด์วิชแหละแต่ฉันกลัวทำรถนายเปื้อนน่ะ) หนุ่มธันกระมิดกระเมี้ยนตอบด้วยความอาย เพราะในใจลึกๆ เขาก็อยากที่จะกินมันจนใจจะขาดอยู่แล้วติดอยู่ตรงกลัวเจ้าของรถจะว่าเอาก็เท่านั้น
          “Purrr, sorry but don’t be silly take it out and eat it.” (พรือออ โทษทีแต่นายอย่างี่เง่าไปหน่อยเลย เอามันออกมากินซะ) หนุ่มผมสีวอลนัทเป่าปากขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนคนตัวเล็กต้องหันไปมองค้อนเล็กๆ คนตาฟ้าถึงได้หยุดก่อนจะพูดประโยคถัดมาที่ทำให้หนุ่มธันเผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมาก่อนจะเอามือเข้าไปหยิบแซนด์วิชออกมาจากกระเป๋าอย่างสบายใจโดยที่ไม่ลืมจะเอาผ้าที่เตรียมมารองไว้บนตักกันเศษอาหารหล่นลงบนพื้นพรมใต้ที่นั่งรถ
          “อืม อร่อย” หลังจากคนตัวเล็กกัดแซนด์วิชหมูหยองน้ำสลัดไทยไปคำแรกก็รำพึงรำพันอย่างพอใจ อาจจะเป็นเพราะเขาเป็นคนทำเองทั้งน้ำซอสและหมูหยองดังนั้นเขาจึงสามารถใส่วัตถุดิบและเครื่องปรุงได้อย่างเต็มที่ ซึ่งซอสก็ไม่หวานเกินไปส่วนเนื้อหมูหยองเองก็ไม่แห้งเกินไปด้วยเหมือนกัน ซึ่งดูทีท่าแล้วทางด้านหนุ่มรูเบนเองก็คงจะไม่ได้กินข้าวเช้ามาด้วยเช่นเดียวกัน เพราะเมื่อหนุ่มธันกำลังจะนำแซนด์วิชชิ้นที่สองเข้าปาก หนุ่มตาฟ้าก็หันมามองไม่วางตาก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก จนหนุ่มตัวเล็กอดไม่ได้ที่จะถาม
           “Er… Do you want some?” (เอ่อ... นายอยากกินสักชิ้นไหม) คนผิวแทนหันมาถามอย่างอ่ำๆ อึ้งๆ ซึ่งคำตอบของคนหน้าคมก็ทำให้คนตัวเล็กชะงักไปเล็กน้อย
            “Yes but Can you feed me?” (เอาสิแต่ว่านายป้อนฉันหน่อยได้ไหม) คนผมสีวอลนัทถามขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ อย่างไม่มีอะไรแอบแฝง แต่มันกลับทำให้คนฟังหัวใจกระตุกได้เล็กๆ
        “What? Why?” (อะไรนะ ทำไมเป็นงั้นล่ะ) คนตัวเล็กที่ตอนนี้คิ้วชนกันเรียบร้อยถามขึ้นอย่างสงสัย
         “Because I am driving and I use two hands for drive.if I have three hands I will do it by myself” (เพราะฉันขับรถ และตอนขับรถฉันก็ใช้มือฉันไปแล้วสองมือไง ถ้าฉันมีสามมือก็คงจะทำเองแล้ว) หนุ่มตาฟ้าถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะค่อยๆ พูดช้าๆ ชัดๆ โดยพูดเน้น ทีละประโยคโดยหวังให้คนตัวเล็กรู้สึกผิดและรีบป้อนแซนด์วิชให้เขากิน
        “Ok Ok I understand” (โอเคโอเค เข้าใจแล้ว) คนตัวเล็กพูดขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะเอาแซนด์วิชไปจ่อตรงปากของรูเบน โดยรูเบนเองก็ให้ความร่วมมืออย่างดี รีบอ้าปากงับกินทีละคำๆ อย่างช้าๆ ไม่รีบร้อน ซึ่งมันก็ดูไม่มีอะไรจนกระทั่งรูเบนกัดคำสุดท้ายนั่นแหละ คนตัวเล็กถึงกับต้องรีบชักมือออกและเบือนหน้าหนีออกไปมองหน้าต่างเพราะสีของใบหน้าเริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นทีละน้อยแล้ว เหตุเพราะรูเบนไม่ได้กัดเอาแต่เนื้อขนมปังไปแต่เขายังเอาริมฝีปากดูดตรงข้อนิ้วของธันที่ใช้จับขนมปังไว้อีกด้วย
        “Um…Delicious Are you ok why your face is turning red? (อืม อร่อย นายโอเคหรือเปล่าทำไมหน้าแดงๆ) ” คนตาฟ้าถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสัยเหมือนคนที่ไม่รู้ตัวจริงๆ ว่าได้ทำอะไรลงไป ผิดกับคนตัวเล็กที่คิดไปไกลจนหน้าแดงจนใกล้จะเป็นลูกตำลึงสุกอยู่แล้ว
         “Can I have one more” (ขออีกชิ้นได้ปะ) รูเบนที่น่าจะยังติดใจในรสชาติถามขึ้นอย่างรบเร้า
         “How about eat together with our friend” (ไว้รอไปกินพร้อมเพื่อนแล้วกัน) หนุ่มผิวแทนรีบบอกปัดไปเพราะกลัวจะโดนดูดนิ้วเหมือนเมื่อครู่อีก ซึ่งแค่โดนไปแค่ทีเดียวยังใจเต้นไม่เป็นจังหวะขนาดนี้ แล้วถ้าโดนอีกทีมีหวังเขาได้ช็อคตายแน่
    “Ok that fine” (อืม เอางั้นก็ได้) หนุ่มรูเบนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงผิดหวังเล็กๆ แต่ก็นั้นแหละ ณ ตอนนี้คนตัวเล็กไม่ได้อยู่ในจุดที่จะมาสนใจคนตาฟ้า เพราะในหัวเขากำลังตีกันยกใหญ่ว่า หนุ่มหน้าเข้มทำไมทำแบบนี้ อาจจะเป็นอุบัติเหตุ หรือจริงๆ แล้วคนที่ประเทศรูเบนเขาแกล้งแหย่เพื่อนกันแบบนี้อยู่แล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวจนอยากจะเอาหัวไปโขกกระจกรถระบายความเครียด
 จากคำบอกเล่าของจุนแล้ว ศูนย์อนุรักษ์พันธ์ โคอาล่า Lone pine นั้นเป็นสถานที่ ที่ค่อนข้างกว้างขวาง สะดวกสบาย และเป็นที่นิยมในหมู่คนออสเตรเลียในการมาท่องเที่ยวดังนั้นกลุ่มของเราจึงจำเป็นที่จะต้องมาเช้าหน่อยเพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปเดินเบียดเสียดกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ
      แต่สิ่งแรกที่คนตัวเล็กสัมผัสได้ตั้งแต่ขับรถเข้ามาถึงนั้นก็พบกับความไม่สะดวกสบายเป็นอย่างแรกเพราะภาพในหัวเขา ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่านั้นน่าจะสามารถขับรถเข้าไปชมสัตว์ภายในได้โดยไม่ต้องลงจากรถหรือต่อให้ลงรถก็มีรถของทางศูนย์มารับเพื่อเข้าไปเที่ยวชมสัตว์ต่างๆ ภายในไม่ใช่ต้องมาจอดหน้าทางเข้าแบบนี้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคนตัวเล็กอาจกำลังจะสับสนระหว่าง ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์สัตว์กับสวนสัตว์เปิดก็เป็นได้
         หลังจากลงจากรถด้วยการต้องข่มความอิดออดไว้ในใจ ธันก็ตัดสินใจโทรหาพี่ซีอิ๊วแทนการโทรหาแบมบูที่มีเรื่องกันอยู่เมื่อเช้า
“ฮัลโหล พี่ซีอิ๊วอยู่ไหนแล้วครับ” หลังจากปลายสายรับ ธันก็เอ่ยปากสอบถามไปพร้อมทั้งมองซ้ายมองขวาเผื่อจะเจอกับหนึ่งในสมาชิกที่นัดกันมาในวันนี้
“ฮัลโหล ธันถึงแล้วเหรอ เดินเข้ามาข้างในเลยนะพวกพี่แล้วก็พวกแบมบูเข้ามาแล้ว อยู่กันตรงที่เขามีให้อุ้มน้องโคอาล่าถ่ายรูปเนี่ย” ปลายสายพูดตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นนิดๆสงสัยใกล้จะถึงคิวได้ถ่ายรูปแล้วละมั้ง
“โอเคครับพี่ เดี๋ยวธันตามเข้าไป” หนุ่มตัวเล็กตอบกลับไปก่อนจะกดวางสาย
“They are inside already” (พวกเขาอยู่ข้างในแล้ว) หนุ่มผิวแทนหันไปบอกคนข้างๆที่กำลังเอาเสื้อเช็ดแว่นกันแดดอยู่ โดยคนตาฟ้าก็ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากการพยักหน้าเป็นการรับรู้ก่อนจะเดินตามคนตัวเล็กเข้าไปในช่องทางเข้า
เมื่อเข้ามาถึงด้านในคนตัวเล็กก็มีอันต้องแปลกใจเล็กน้อยเพราะเมื่อมองจากด้านนอกศูนย์อนุรักษ์ฯ มันไม่มีทางที่จะกว้างขวางสุดลูกหูลูกตาแบบนี้ได้เลยเนื่องจากป้ายชื่อสีเขียวด้านนอกที่ตอนนี้สีซีดจนจะกลายเป็นสีขาวอยู่แล้ว
ส่วนรูปปั้นโคอาล่าแม่ลูกสองตัวที่เกาะอยู่กึ่งกลางด้านบนป้ายก็แตกลอกจนแอบเสียวสันหลังว่าจะเป็นผู้โชคดีได้ใกล้ชิดกับโคอาล่าแบบใกล้ๆ เวลาเดินลอดผ่านป้าย ดังนั้นความคิดแรกที่เข้ามาในหัวของหนุ่มผิวแทนคือข้างในมันต้องโทรมมากๆ ถึงขนาดที่อาจจะเห็นเศษขยะจากการคุ้ยเขี่ยหาเศษอาหารของสัตว์อยู่เต็มไปหมดแน่ๆ
แต่พอเอาเข้าจริงเมื่อลอดผ่านประตูไปธันกับเห็นทุ่งหญ้าและเนินเขาเล็กๆ เขียวชอุ่มอยู่ไกลสุดลูกหูลูกตา ไหนจะต้นไม้น้อยใหญ่ที่ส่วนมากจะเป็นต้นสนขึ้นเรียงรายอยู่เป็นแผงเหมือนเป็นกำแพงกั้นระหว่างโลกภายนอกที่วุ่นวายและภายในที่ค่อนข้างเงียบสงบ แต่ที่เด็ดสุดเห็นจะเป็นดอกแดนดิไลออนป่าสีเหลืองที่ขึ้นกระจายอยู่เป็นหย่อมๆ ทั่วศูนย์อนุรักษ์ฯ ยามลมพัดกลีบดอกจะกระจายปลิวว่อนไปตามลม บางกลีบก็ปลิวมาตกที่หัวของคนผิวแทนบ้าง ที่แขนเสื้อบ้าง แรกๆ คนตัวเล็กก็พยายามหยิบออกแต่เมื่อโดนบ่อยๆ เข้าก็เลยปล่อยเลยตามเลย
“ทางนี้ๆ” พี่ซีอิ๊วและเตยกวักมือเรียกให้ธันเดินเข้าไปหาตนที่กำลังยืนต่อคิวถ่ายรูปกับโคอาล่ากันอยู่
“มาถึงกันนานแล้วเหรอ Hi Hana” (ไงฮานะ) หนุ่มธันถามสาวหมวยอินเตอร์ทันทีเมื่อเดินเข้ามาถึงตัว ก่อนจะหันไปทักทาย ฮานะที่โบกไม้โบกมืออยู่ใกล้ๆ
“ไม่นานหรอก มาก่อนแกได้ประมาณสิบนาทีเนี่ย ไปต่อคิวถ่ายรูปดิจะได้ออกไปเดินพร้อมกัน” พี่ซีอิ๊วตอบคำถามก่อนจะพยักเพยิดให้หนุ่มธันไปต่อคิวด้านหลังเดวิดที่ยืนอยู่รั้งท้าย
“เอาเลยพี่เดี๋ยวผมไปเดินเล่นรอบๆก่อน พี่ถ่ายเสร็จแล้วก็โทรหาแล้วกัน”หนุ่มธันที่หันไปเห็นใบหน้าของเจ้าหน้าที่ๆ เป็นคนอุ้มโคอาล่าส่งให้นักท่องเที่ยวที่ตอนนี้มีสภาพเหนื่อยอ่อนคงเนื่องมาจากเธอต้องทำงานมาตั้งแต่เช้า ไหนจะโคอาล่าที่พลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาทำหน้าที่เป็นพร็อปให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปซึ่งมีสภพอิดโรยไม่แพ้กันเลย
“เออๆ เดี๋ยวไว้โทรหา ไปก่อนนะถึงคิวฉันแล้ว” พี่ซีอิ๊วพยักหน้าอย่างส่งๆก่อนจะเดินตรงไปหาเจ้าหน้าที่ๆ อุ้มโคอาล่าไว้ในมือ
“อ้าว ไปไหนอ่ะ”แบมบูถามทันที่เมื่อเห็นคนตัวเล็กเดินพ้นหางคิวที่เดวิดกำลังยืนอยู่ไป
“อ้าว พูดดีๆ กับฉันได้แล้วเหรอ” คนตัวเล็กหันไปทำจมูกย่นใส่พร้อมกับเบะริมฝีปาก
“นี่ก็พูดดีๆ อยู่แล้วปะ ก็บอกตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วว่าไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย” ใบหน้าของคนตัวกลมแลดูอิ่มเอิบใจและมีความสุขซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงไปเจอเรื่องอะไรดีๆ มา
“เมื่อเช้านี่หน้ายังกับตูดทีตอนนี้หน้าบานเป็นกระด้ง มีอะไรดีๆ ไหนบอกมาสิ ไม่งั้นฉันจะซื้อบัตรทุบหลังเธอนะ” คนตัวเล็กเผยอยิ้มน้อยๆ ก่อนจะแกล้งเงื้อมือขึ้นไปบนอากาศ
“โห วาดมือขนาดนั้นก็เอามีดมาแทงเลยเหอะ ก็ไม่มีอะไรมากแค่น้องได้นั่งหน้ามากับพี่อ้นตลอดทางแค่นั้นเอง” คนตัวกลมพูดด้วยเสียงเล็กเสียงน้อยและทำท่าทางกระมิดกระเมี้ยนจนน่าหยิก
“เออหายบ้าก็ดีแล้ว เดี๋ยวฉันไปเดินเล่นก่อนนะ” พูดจบคนตัวเล็กก็หันมาพยักหน้าแล้วก็ยิ้มให้กับเพื่อนๆ ที่เหลือก่อนจะทันสังเกตุว่าพี่อ้นจ้องมอมาทางเขาอยู่ด้วยสายตาที่ไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่จนเขาอดไม่ได้ที่จะแวะถาม
“เป็นไรหรือเปล่าพี่ทำไมทำหน้าแบบนั้น” คนตัวเล็กเดินเข้าไปถามหนุ่มตี๋ที่ยืนอยู่หลังพี่เบส
“สนใจด้วยเหรอครับ”คนตัวสูงตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ โดยไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าคนตัวเล็กด้วยซ้ำ
“อ้าว ก็สนใจสิพี่ไม่งั้นจะเข้ามาถามทำไม”คนตัวเล็กขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความงุนงง ก่อนจะตอบกลับไป
“เมื่อเช้า ทำไมไม่รอไปพร้อมพี่ครับ” สิ้นคำพูดของพี่อ้น ธันก็ทำหน้าเลิ่กลั่กออกมาอย่างเห็นได้ชัด เพราะด้วยน้ำเสียงและรูปประโยคเหมือนคนหน้าตี๋กำลังงอลเขาอยู่ ซึ่งถ้าแบมบูมาได้ยินเข้า ไม่แคล้วคนตัวเล็กกับคนตัวกลมได้มีเรื่องกันอีกแน่ๆ คิดได้ดังนั้นคนตัวเล็กจึงยิ้มแห้งๆ ก่อนจะตอบคนตรงหน้า แบบส่งๆ ไป
“ก็พอดีธันเห็นว่า รถพี่คนไปมันค่อนข้างเยอะแล้วนี่ครับ อีกอย่างรถรูเบนเองถามใครก็ไม่มีใครอยากนั่งเขาบอกว่ารถรูเบนมันเล็กเกินไปนั่งไม่พอดีตัว ธันก็เลยต้องเสียสละไปนั่งน่ะครับ ยังไงเดี๋ยวธันขอตัวไปเดินสำรวจรอบๆ ก่อนนะครับ” คนตัวเล็กรีบขอตัวเดินออกมาทันทีที่พูดจบโดยไม่สนใจหนุ่มผมยาวที่เหมือนกำลังจะพูดอะไรต่ออีกสักอย่าง
“Why you don’t queue up” (ทำไมนายถึงไม่ต่อคิว) เสียงที่มาจากด้านหลังทำให้คนตัวเล็กหยุดชะงักก่อนจะหันหลังกลับมามองหน้าผู้ถาม
“Why you follow me” (แล้วนายละตามฉันมาทำไม) คนตัวเล็กหันไปประจันหน้ากับคนตาฟ้าก่อนจะถามกลับไป
“I asked you first” (ฉันถามนายก่อน) คนผมสีวอลนัทจ้องหน้าคนตัวเล็กพร้อมกับยักคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
“If I don’t take a photo with the Koala maybe the staff and Koala will take a break early a little bit” (ถ้าฉันไม่ถ่ายรูปกับโคอาล่า บางทีเจ้าหน้าที่กับโคอาล่าก็คงจะได้พักไวขึ้นหน่อย) คนตัวเล็กทำท่าคิดก่อนจะตอบและเผลอยิ้มเล็กๆ ให้กับความคิดของตัวเอง
“Yes but if everyone doesn’t take a photo maybe sanctuary doesn’t have money enough to buy the food to the animals.” (ใช่แต่ว่าถ้าทุกคนไม่ถ่ายรูป บางที ศูนย์อนุรักษ์ฯ อาจจะมีเงินไม่พอที่จะซื้ออาหารให้สัตว์ก็ได้นะ) คนตาฟ้ามองเข้าไปในดวงตาของคนตัวเล็กเหมือนกำลังจะดูอะไรบางอย่างจนคนเล็กต้องกลับหลังหันพูดโต้ตอบก่อนจะออกก้าวเดินต่อไป
“Yes but we can support them by something else such as buy a souvenir.” (ใช่แต่เราก็สามารถสนับสนุนพวกเขาโดยการซื้อของที่ระลึกก็ได้นี่นา) ซึ่งคำตอบของคนตัวเล็กก็น่าจะทำให้คนตาฟ้าถูกใจเพราะลับหลังคนผิวแทนเขาก็แอบยิ้มโดยไม่ให้เจ้าตัวรู้ตัว
“How do you do, why the wallaby sits next to you.” (นายทำยังไงให้ตัววัลลาบีไปนั่งข้างนายอ่ะ) จุนและเพื่อนคนอื่นๆ ที่ตามมาสมทบหลังจากถ่ายรูปกับโคอาล่าเสร็จถามหนุ่มตัวเล็กทันทีเมื่อเห็นว่าเหล่าจิ้งโจ้ วัลลาบี และกวางแคระนั่งอยู่รายล้อมคนผิวแทน
“I do nothing” (ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย) คนตัวเล็กพูดพร้อมกับค่อยๆเอามือไปลูบหัวกวางที่ตอนนี้เอาหัวมาหนุนตักเขาอยู่
“What? We are friends right? Why you did not share the secret with us?” (อะไรกัน นี่เราเพื่อนกันไม่ใช่เหรอทำไมถึงไม่ยอมบอกเคล็ดลับกับเราบ้างล่ะ) หนุ่มเกาหลีพูดอย่างใส่อารมณ์นิดๆ เพราะเริ่มจะหัวเสียกับเรื่องที่พยายามยื่นอาหารให้แทบตาย สัตว์สักตัวก็ยังไม่สนใจมาเข้าใกล้เขาเลย พอเดินไปใกล้ๆ ก็กรูกันวิ่งหนี กระโดดหนีไปเสียหมด ซึ่งสมาชิกคนอื่นก็ดูจะไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน
“Hey calm down, I mean you have to be one with nature, do nothing and them will come to you.” (เฮ้ ใจเย็น ฉันหมายความว่านายต้องเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติแล้วพวกเขาจะเข้ามาหานายเอง) คนตัวเล็กพูดพร้อมกับส่งอาหารชิ้นเล็กๆ ที่เขาซื้อมาจากทางศุนย์อนุรักษ์ฯ ให้ตัว วัลลาบีที่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ
“Oh ok I will try” (โอ้ โอเคเดี๋ยวฉันจะลองดู) เมื่อได้รับคำตอบเพื่อนๆ คนอื่นก็ลองทำตามดูบ้างซึ่งบางคนก็ได้ผลบางคนก็ไม่ได้ผล ซึ่งจริงๆแล้วอาจเป็นเพราะน้ำหอม หรือกลิ่นตัวของใครบางคนอาจจะแรงเกินไปจนสัตว์ไม่กล้าเข้าใกล้ และบางทีคนบางคนก็อาจจะไม่นิ่งพอที่จะทำให้สัตว์เชื่อใจเข้าใกล้ก็ได้ แต่ท้ายที่สุดทุกคนก็ได้ภาพสมใจแม้บางคนถึงกับต้อง บังคับให้เจ้าจิงโจ้แคระมาถ่ายรูปกับตนก็เถอะ
ภายในศูนย์อนุรักษ์ฯ มีสถานที่จำหน่ายอาหารอยู่ด้านในบริเวณใกล้ๆ กับประตูทางออก ถึงอาหารจะมีรีวิวในแง่ลบเกี่ยวกับรสชาติและราคาแต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังมีน้ำเปล่าและน้ำอัดลมขายซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะนำมากินกับแซนด์วิชที่หนุ่มตัวเล็กเตรียมมาให้ทุกคน
“I think after this course you should open the restaurant” (ฉันคิดว่าหลังนายเรียนจบคอร์สนี้นายควรเปิดร้านอาหารนะ) เดวิดพูดพร้อมกับลำเลียงแซนด์วิชเข้าปากไม่หยุด
“I think so” (ฉันก็เห็นด้วยนะ) ฮานะที่กำลังหยิบแซนด์วิชเป็นชิ้นที่ ห้าเข้าปากพูดสนับสนุน
“Haha, that too much I love to cook but open the restaurant isn’t only cook', I have to know about management and do the accounting too and I am not good at it.” (ฮ่าๆ ฉันคิดว่ามันเกินไปหน่อยน่ะสิ ฉันชอบทำอาหารนะ แต่การเปิดร้านอาหารเนี่ยมันไม่ใช่การทำอาหารอย่างเดียว ฉันต้องรู้เกียวกับการจัดการและเรื่องการทำบัญชีด้วย ซึ่งเรื่องนั้นฉันไม่เก่งเลย) คนตัวเล็กเกาหัวพลางหัวเราะแกนๆ
“เออ แต่ถ้าเอ็งไม่อยากปวดหัว ทำหมูหยองมาขายพี่อย่างเดียวก็ได้ มันอร่อยจริงว่ะ” พี่ดัมป์ที่กินจนเหมือนว่าจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกแล้วพูดสมทบ
“พี่ก็ชอบนะขนาดปกติไม่ค่อยชอบกินหมูหยองเท่าไรนะเนี่ย”พี่เบสพูดขึ้นพร้อมกับแจกรอยยิ้มสดใสเหมือนเด็กได้กินขนมที่ถูกใจ
“เออ กูก็ชอบ ของฟรีอร่อยด้วย” เตยพูดเสริมขึ้นพร้อมกับถือแซนด์วิชไว้เต็มสองมือด้วยความกลัวว่ามันจะถูกแย่งกินจนหมดซะก่อน
“English please” (พูดภาษาอังกฤษด้วย) สาวญี่ปุ่นพูดยานคางขึ้นมาเป็นสัญญาณเตือนว่าทุกคนพูดภาษาที่เธอไม่รู้จักมากไปแล้ว
“OK Hana” (จ้า ฮานะ) เหล่าคนไทยประสานเสียงพูดขึ้นพร้อมกันจนสาวฮานะอดขำไม่ได้
 “I will go to buy some soft drink, your guy wants anything else” (ฉันจะไปซื้อน้ำอัดลมพวกนายเอาอะไรไหม) คนตัวเล็กลุกขึ้นพร้อมกับถามสมาชิกรอบโต๊ะ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีคนสนใจเนื่องจากทุกคนยังตั้งหน้าตั้งตากินอาหารกันอยู่ ดังนั้นเขาจึงค่อยๆ ดันตัวเองออกจากเก้าอี้ที่นั่งเพื่อที่จะไปซื้อน้ำ
“I will go with you” (ฉันไปด้วย) ฮานะรีบลุกขึ้นพรวดพราดจนเตยที่นั่งอยู่ข้างๆ ตกใจจนเผลอร้องอุทานขึ้นมา
ระหว่างกำลังรอคนขายหยิบน้ำมาให้ สาวญี่ปุ่นก็มีท่าทีลุกลี้ลุกลนจนคนตัวเล็กอดไม่ได้ที่จะถามว่าเธอเป็นอะไรหรือเปล่า
“Do you think Ruben has a girlfriend or not” (เธอคิดว่า รูเบนจะมีแฟนหรือยัง) หลังจากฮานะจังพูดจบหน้าของเธอก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงทีละนิด
“I don’t know why” (ฉันไม่รู้ ทำไมอ่ะ) หนุ่มตัวเล็กขมวดคิ้วอย่างสงสัยและคำตอบของเธอก็ทำให้หนุ่มผิวแทนมีความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้นในหัวใจ
“Ar… I think I fall in love with Ruben” (อ่า...ฉันคิดว่าฉันตกหลุมรักรูเบนเข้าให้แล้วล่ะ) ฮานะจังก้มหน้าลงกับพื้นก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันสั่นระริก ซึ่งหลังจากพูดจบเสียงสายลมที่พัดหอบเอากลีบดอกเลดีไลอ้อนยังจะดังกว่าเสียงหัวใจสองดวงที่ขณะนี้มันบางเบาจนเหมือนจะหยุดเต้นได้ทุกขณะเลย
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่13 (หน้าสอง) ✈
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 26-06-2020 23:51:55
 :hao3:
คลิกเม้นท์ตัวการ์ตูนไว้ก่อน เที่ยงคืนแล้วขอนอนก่อนนะ ถึงแม้อ่านแล้วแทบวางไม่ลงเลยละ
ชอบความจิกกัดกันเองระหว่างธันกับแบบบูนะ เป็นอะไรที่ทันกัน ชอบที่ว่าถ้าเป็นรุ่นเดียวกัน

ตอนแรกบรรยายพี่อ้นจนไม่มีชิ้นดีเลย น้ำไม่อาบ บ้านสกปรก กลิ่นตัวแรง แต่แบมบูชอบ
ชอบการบรรยายภาษาอังกฤษนะ ทำให้เพิ่มอรรถรส ในการอ่านยิ่งขึ้น เราอ่านแล้วก็พยายามแปล ด้วยสมองอันน้อยนิดก่อน
เป็นภาษาซึ่งไกลตัวอยู่แล้วไม่ได้ใช้เลย อ่านแล้วมาดูคำแปลเป็นภาษาไทยก็รู้สึกสละสลวยมากนะ เพราะเราแปลตรงตัว 555

บรรยากาศเหมือนไปเที่ยวออสเตรเลียด้วยเลย สถานที่ ต้นไม้ ดอกไม้ ที่ไม่รู้จักก็มารู้จักในนี้แหละ อ่านเจอ ก็ไปค้นกูเกิ้ล
อ้อ ... สถานที่นี้ ดอกไม้ชนิดนี้ ต้นไม้หน้าตาแบบนี้ แถมนกน่าเกลียดมันหน้าตาอย่างนี้นี่เอง ถ้าไม่ค้นรูปเราก็คงคิดว่านก
ที่กล่าวถึงรูปร่างคงเหมือนอีแร้งแน่นอน อิอิอิ

ชอบป้าเอ้ยพี่ที่ร้านอาหารไทยมาก ทำให้เรานึกถึงคนที่รู้จักคนหนึ่ง อายุหน้าตาเลยคุณป้าไปแล้ว แต่ก็ให้เรียกตัวเองว่าพี่ 

จะติดตามต่อไปนะ ขอบคุณคนเขียนที่มีเรื่องดีๆ มาให้อ่านนะ
 :3123: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่13 (หน้าสอง) ✈
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 27-06-2020 01:55:19
 :pig4: :pig4: :pig4:

อิตารูเบน  ไม่เนียนนะจ๊ะ  ไปฝึกมาใหม่

ส่วนนุ้งธัญ  ทำไมหนูดูไร้เดียงสาจัง   

คนอ่านนี่มองอิตารูเบนออกตั้งแต่ดาวอังคารแระ
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่13 (หน้าสอง) ✈
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 27-06-2020 03:27:51
 :mew5: ไม่มีใครโฟกัสไปที่ฮานะเลยเหรอเนี้ย น่าสงสารจัง
หัวข้อ: When love travel ตอนที่ 14 ความรักและบ้านดอกทานตะวัน ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 03-07-2020 18:38:10
“ธัน แกมีแพลนจะไปไหนพรุ่งนี้ไหม” พี่เชอรี่ถามขึ้นในขณะที่คนตัวบางกำลังยืนเช็ดจานกองโตอยู่ด้านหน้าร้าน วันนี้ที่ร้านลูกค้าไม่ค่อยเยอะเหมือนที่เคยเป็นอาจจะเป็นเพราะพรุ่งนี้เป็นวัน Good Friday คนส่วนใหญ่จีงเก็บตัวกันอยู่ที่บ้านเพื่อรอที่จะไปแย่งชิงซื้อของลดราคาในวันรุ่งขึ้น ดังนั้นคนในครัวจึงมีเวลาออกมาช่วยป้าดาวหรือที่แกชอบให้เรียกว่าพี่ดาว ได้ค่อนข้างมาก ส่วนตัวคนที่ถูกอ้างถึงก็มีเวลาไปจิบชา เมาส์มอยกับร้านขายไก่ทอดสไตล์อินเดียข้างๆ ร้านเช่นกัน
“ก็ยังไม่มีนะพี่ พรุ่งนี้โรงเรียนก็หยุดด้วยจะให้มาเข้าแทนเหรอ”หนุ่มธันเงยหน้าขึ้นมาถามแต่มือก็ยังคงสาละวนเช็ดจานอยู่ไม่หยุด
“เปล่า จะชวนไปเป็นจิตอาสาอ่ะ สนใจไหม”คนในครัวถอดแว่นออกมาเช็ดก่อนจะถามคำถามด้วยน้ำเสียงค่อนข้างจริงจัง
“ที่ไหนอ่ะพี่ ต้องใช้เงินเยอะหรือเปล่า พอดีช่วงนี้อยากประหยัดตังค์อ่ะ” คนตัวเล็กวางจานใบสุดท้ายลงบนกองจานที่เช็ดเสร็จแล้วก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ
“แหม่ ทำงานได้เงินตั้งเยอะจะเอาเงินไปเก็บไว้ไหนจ๊ะ เปล่า ไปช่วยไม่ต้องใช้เงินใช้แค่แรงเฉยๆ มันจะมีมูลนิธิช่วยเหลือคนไร้บ้านอ่ะแก เราก็จะไปช่วยเขาทำอาหารแจกอาหาร พูดคุยกับเขา แล้วบางวันก็จะมีน้องๆ นักดนตรีมาร้องเพลงด้วย” พี่เชอรี่ถอนหายใจเบาๆ พร้อมกลั้นขำก่อนจะยิ้มบางๆ อย่างเอ็นดูมาให้คนตัวเล็กที่ตั้งใจฟังคำบอกเล่าของเธอด้วยใบหน้าซื่อๆ
“อ๋อ ถ้าไม่ต้องใช้เงิน ธันช่วยได้เต็มที่เลยครับ” ธันยิ้มตอบกลับอย่างร่าเริงพร้อมทั้งเบ่งกล้ามโชว์ให้ดูว่าถึงเขาจะตัวเล็กแต่ก็แข็งแรง ถึงแม้ว่าจริงๆ แล้วที่เบ่งออกมาจะเป็นกระดูกล้วนๆ ไม่มีมวลกล้ามเนื้อเลยก็เถอะ
“อ้าว คุยเก่งเมาส์เก่งจะกลับไหมจ้ะเนี่ยบ้านอ่ะ คุณเชอรี่ คุณธันรบกวนมาเก็บหม้อ เก็บไห เก็บกระทะด้วยค่ะ น้องมีนอยากกลับบ้านแล้ว” เสียงตะโกนดังออกมาจากข้างในครัว จนคนตัวเล็ก และ คนที่ใส่แว่นหนาต้องรีบกุลีกุจรวิ่งเข้าไปในครัวตามเสียงเรียก
“เออ พรุ่งนี้เจอกันที่สถานี Wooloowin นะประมาณแปดโมง ถ้าไงแกถึงแล้วโทรมาหาพี่ก็ได้”พี่เชอรี่พูดกำชับก่อนที่ธันจะเปิดประตูลงจากรถ ซึ่งหนุ่มผิวแทนก็รีบตอบกลับด้วยการพยักหน้ารัวๆ พร้อมกับรีบโบกมือบายๆ อย่างรวดเร็วเพราะมีรถคันหลังตามมาจี้ตูดรถพี่เชอรี่อยู่
“อ้าวกลับมาแล้วเหรอ” หนุ่มตัวกลมผละจากกองหนังสือตรงหน้าหันมาทักทายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
อาทิตย์ที่ผ่านมาคนตัวเล็กโดนอัดงานจากทางร้านมาให้ทุกวันกว่าจะเลิกงานถึงห้องก็เกือบจะสามทุ่มทำให้มีเวลาพูดคุยและพบเจอแบมบูค่อนข้างที่จะน้อยลง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คนตัวกลมดูทุกข์ร้อนอะไรตรงกันข้ามคนตัวกลมกลับดูมีความสุขมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
อาจเป็นเพราะว่าเวลาดังกล่าวแบมบูได้ใช้ไปกับพี่อ้นอย่างเต็มที่ โดยไม่มีหนุ่มผิวแทนมาเป็นจุดดึงดูดวามสนใจจากหนุ่มตี๋ จะว่าไปแล้วหลังจากที่กลับมาจาก ศูนย์อนุรักษ์ฯ ธันและพี่อ้นก็แทบจะไม่ได้เจอหรือคุยกันเลย เพราะเวลาของทั้งคู่ก็คาบเกี่ยวกันตลอด และอีกเหตุผลหนึ่งก็คงเป็นเพราะว่า ตอนไปเที่ยวคนผิวแทนนั่งรถไปกลับ มากับคนตาฟ้าโดยไม่สนใจคำทัดท้านของพี่อ้นเลยสักนิด และถ้าคนตัวเล็กไม่ได้คิดไปเอง แววตาของพี่อ้นก็ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อยหลังจากวันนั้น
ไหนจะฮานะที่ตอนนี้พยายามลุกคืบเข้าหารูเบนอีกซึ่งแม้ตัวผู้ชายจะยังดูไม่มีท่าทีแสดงอาการอะไรเป็นพิเศษแต่ในใจลึกๆ ของคนตัวเล็กกลับมีความรู้สึกบางอย่างแปลกๆ ลุกคืบออกมาเช่นกัน ซึ่งเขาเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นความรู้สึกอะไร
และเรื่องสุดท้ายที่ทำให้เขาปวดหัวก็คงหนีไม่พ้น เรื่องที่ไม่สบโอกาสจะเข้าใกล้พี่ดัมป์เพื่อสอบถามถึงเรื่องใครคนนั้น พอมาคิดๆ ดูแล้วอาทิตย์ที่ผ่านมาช่างเป็นอาทิตย์ที่ไม่เป็นใจของคนตัวเล็กเอาซะเลย
“เออ กลับมาแล้ว กินอะไรหรือยังพอดีที่ร้านเขาให้ของกินมาด้วย”คนผิวแทนเอากับข้าวออกมาจากกระเป๋าก่อนจะหันหน้าไปถาม
“กินแล้ว แต่ถ้าเป็นของโปรดก็กินอีกได้” แบมบูพูดตอบโต้พร้อมทั้งพยายาม ชะเง้อคอที่มีอยู่น้อยนิดขึ้นมาส่องดูว่ากับข้าวเป็นอะไร
“ไม่ต้องลำบากนาดนั้นก็ได้ เขาให้พะแนงไก่ กับ ผัดกะเพราหมูมา พอดีพี่ที่ทำงานเขาจด ออเดอร์ลูกค้าผิด” คนตัวเล็กรีบบอกชื่ออาหารที่เขาถืออยู่ในมือเพราะกลัวว่าคนตัวกลมจะคอเคล็ดไปเสียก่อน
“อยากกินพะแนงอ่ะ” แบมบูพูดพร้อมทั้งทำท่ากลืนน้ำลายที่ดูเกินจริง
“แต่ว่าไม่มีข้าวนะ เธอหุงข้าวทิ้งไว้ไหมละหรือจะกินเปล่าๆ”คนตัวเล็กถามกลับพร้อมกับสอดส่ายสายตามองหาหม้อหุงข้าว
“ไม่ได้หุงไว้อ่ะสิ เออ ไม่เป็นไรเก็บไว้กินพรุ่งนี้ก็ได้” คนตัวกลมพูดเสียงอ่อน ก่อนจะค่อยๆ ทยอยเก็บหนังสือที่อยู่ตรงหน้าลงกระเป๋านักเรียน
“งั้นก็ตามนั้น เออ เกือบลืมพรุ่งนี้พี่ที่ทำงานเขาชวนฉันไปทำบุญอ่ะ ไปได้วยกันไหม” คนผิวแทนจ้องหน้าคนตัวกลมเพื่อรอเอาคำตอบ
“กี่โมงล่ะ แล้วไปทำอะไรบ้าง” คนตัวกลมที่เก็บหนังสือเล่มสุดท้ายเสร็จพอดีหันมาตอบคำถามด้วยคำถามอีกที
“ต้องถึงที่นัดประมาณแปดโมงเช้า หมายความว่าต้องตื่นและออกจากบ้านก่อนเจ็ดโมง ส่วนเรื่องไปทำอะไรบ้างที่ฉันรู้มาคร่าวๆ ก็ประมาณว่า ไปทำอาหาร ไปพูดคุยกับคนไร้บ้านเพื่อให้เขาผ่อนคลาย แล้วเห็นพี่เขาว่าอาจจะมีวงดนตรีมาเล่นด้วยนะ” คนตัวเล็กคิดทบทวนสิ่งที่พี่เชอรี่พูดก่อนจะตอบคำถามคนตัวกลม
“ขอผ่านจ้า เช้าเกิน วันหยุดทั้งที่นี่ว่าจะตื่นสายหน่อยอ่ะ กิจกรรมเยอะมาทั้งอาทิตย์แล้ว”คนตัวกลมพูดเสียงยานคางเพื่อแสดงถึงความเหนื่อยอ่อนสะสมของตน
   “เออ ตามใจ ฉันไปอาบน้ำนอนก่อน แล้วแกก็รีบๆ ตามขึ้นมาล่ะ”เมื่อได้คำตอบจากคู่สนทนาแล้ว คนผิวแทนก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นบันไดไปอาบน้ำนอน เพื่อที่จะได้มีแรงไปช่วยเหลือพี่เชอรี่และคนอื่นๆ ในเช้าวันถัดไป
   “พี่เชอรี่ ธัน ถึงแล้วนะครับ” หลังจากลงสถานีรถไฟคนตัวเล็กก็รีบโทรหาพี่เชอรี่ด้วยเสียงที่ค่อนข้างจะเป็นกังวล ส่วนสาเหตุก็คงเป็นเพราะดูเหมือนว่าคนผิวแทนจะวิ่งมาขึ้นรถไม่ทันในเที่ยวแรกและเขาได้มาสายจากเวลาที่นัดกันไว้ไปแล้วประมาณห้านาที
   “แหม่ เสียงแลดูร้อนรนจังเลยนะไม่ต้องตกใจ ฉันก็ยังไม่ถึงเหมือนกัน พอดีรถติดแต่ว่าจริงๆ แล้วเวลาเริ่มมันแปดโมงครึ่ง ฉันนัดแกเผื่อไว้เฉยๆ ยังไงเดินเล่นในสถานีรถไฟไปก่อน เดี๋ยวไงฉันโทรหาอีกที”ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะยังไม่ตื่นดีและเมื่อลองตั้งใจฟังเสียงบรรยากาศโดยรอบมันก็ดูเงียบจนเหมือนกับอยู่ในห้องนอนมากกว่าจะเป็นในท้องถนนอีกด้วย
   “เอาดีๆ พี่ รถติดหรือว่ายังไม่ได้ออกจากบ้านกันแน่ ฮึ” คนตัวเล็กพูดเสียงสูงอย่างรู้ทัน
   “โอ้ย ไฟเขียวแล้วแค่นี้ก่อนนะแก ตืด ตืด ตืด”คนอีกฝั่งที่เหมือนกำลังจะถูกจับได้รีบชิงวางสายไปก่อนที่จะมีพิรุธโผล่ขึ้นมาเพิ่มเติมและคนตัวเล็กก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับส่ายหัว
   ด้วยความที่ว่าสถานี Wooloowin เป็นแค่สถานีทางผ่านดังนั้นนอกจากการถ่ายรูปกำแพงที่เด็กท้องถิ่นมือบอนมาฉีดพ่นสเปย์เป็นรูปกราฟฟิคต่างๆ ที่บางรูปก็ดูออกว่าเป็นอะไรแต่บางรูปก็ดูอาร์ตเกินกว่าที่มุนษย์ปกติจะเข้าใจแล้วนั้น ในสถานีนี้ก็ไม่มีอะไรจะให้ทำฆ่าเวลาได้ตามคำบอกของพี่สาวแว่นหนาเลย
   “เมื่อไรจะถึงนะ นี่อีกสิบนาทีก็จะแปดโมงครึ่งแล้วนะ หืม”หนุ่มตัวเล็กเริ่มจะนั่งไม่ติดที่แล้ว เพราะว่าเมื่อดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือมันก็จวนเจียนจะถึงเวลาที่พี่เชอรี่บอกเต็มทีแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของคนนัดเลย ในขณะที่ผุดลุกผุดนั่งอยู่นั้นตาก็เหลือบไปเห็นกับแผ่นหลังที่ดูคุ้นตาเดินผ่านไปยังทางเดินประตูทางออก ด้วยความสงสัยปนอยากรู้อยากเห็นว่าคนนั้นใช่คนที่ตนรู้จักหรือไม่คนตัวเล็กจึงตัดสินใจเดินตามไปและนั่นก็คงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นเรื่องเดียวที่คนตัวเล็กจะได้มีในช่วงเวลานี้
   “หายไปไหนแล้ววะ เมื่อกี้ยังเห็นอยู่แว้บๆเลย”คนตัวเล็กสอดส่ายสายตาไปรอบๆ ชานชาลาแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิตสักอย่างเลย ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้ามีแต่แค่ม้านั่งเปล่าๆ และบรรยากาศที่ดูเงียบเหงาจนดูวังเวง หากจะมีอะไรน่ากลัวออกมาในช่วงเวลานี้ก็คงไม่น่าแปลกใจนัก
   “มองหาใครเหรอ” สิ้นความคิดเสียงกระซิบเย็นๆ แห้งๆ ก็ดังขึ้นใกล้หูจนธันเผลออุทานออกมาเสียงดังลั่น
   “แหก แหก แหก ครก กะละมัง ถัง หม้อ แหกหมดแล้ว” ด้วยความที่ว่าคนตัวเล็กตะโกนตกใจเสียงดังบวกกับท่าทางที่ดูตลกขบขัน คนที่มาแกล้งถึงกับหลุดหัวเราะออกมายกใหญ่จนต้องเอามือมาปาดน้ำตา
   “ฮ่า ฮ่า ฮ่า อะไรแหกนะ โอ้ย เกิดมาเพิ่งเคยเจอคนอะไรอุทานยาวขนาดนี้” เป็นพี่เชอรี่นี่เองที่แอบย่องมากระซิบข้างหูคนตัวเล็ก โชคดีเหลือเกินที่ธันไม่ได้เป็นคนบ้าจี้ไม่งั้นปานนี้อาจจะมีคนลงไปนอนกองที่พื้นแล้วแน่ ๆและคนนั้นก็คงไม่ใช่คนตัวเล็กด้วย
   “มาสายแล้วยังจะมาแกล้งน้องอีก นิสัยไม่ดี”คนตัวเล็กยืนกอดอกมองคนที่ยังเอามือกุมท้องขำด้วยความหงุดหงิด
   “โอ๋ๆ เดี๋ยวพี่พาไปเลี้ยงข้าว อย่าโกรธนะจ้ะน้องรัก ว่าแต่อุทานให้ฟังอีกทีดิ”พี่เชอรี่ที่ยังคงขำไม่เลิกพูดแซวคนตัวเล็ก
   “ไม่เอาแล้ว ว่าแต่ที่บอกจะเลี้ยงข้าวเนี่ย ใช้ข้าวฟรีของมูลนิธิเขาป่ะเนี่ย”คนตัวเล็กที่แม้จะงอลแต่ก็อยากกินข้าวฟรีถามขึ้นด้วยความสงสัย
   “เออ ตามมาเดี๋ยวก็รู้ รีบไปได้แล้วเดี๋ยวก็สายกันพอดี” คนสวมแว่นถอดแว่นมาเช็ดคราบน้ำตาที่เกาะอยู่ที่เลนส์ก่อนจะเดินตรงไปที่ประตูทางออก
   “โห รอด้วยดิ่พี่” ธันเดินตามสาวแว่นไปติดๆ แต่ในใจก็แอบคิดไปถึงคนที่เขามองหาอยู่เมื่อครู่”อย่างนายนั่นจะมาทำอะไรที่สถานีรถไฟไกลปืนเที่ยงนี้ สงสัยจะนอนน้อยจนตาฝาดตาเบลอไปแล้วมั้ง” เสียงความคิดอันสับสนแอบดังขึ้นภายในใจคนตัวเล็ก
   หนุ่มผิวแทนและสาวแว่นหนาใช้เวลาเดินเท้าไม่ถึงห้านาทีจากสถานีรถไฟก็มาถึงอาคารทรงสี่เหลี่ยมสีออกขาวๆ เหลืองๆ อาจเป็นเพราะตึกนี้ผ่านกาลเวลามาค่อนข้างนานแล้วก็ได้สีขาวที่ทาไว้ในทีแรกจึงเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลือง
   รอบๆ ตัวตึกมีการวาดภาพเป็นรูปอาหาร ขนม และผักผลไม้ ซึ่งดูจากลายเส้นแล้วน่าจะเป็นฝีมือการวาดโดยเด็กๆ เพราะวงกลมมันก็ยังดูไม่ค่อยกลม สี่เหลี่ยมก็ยังดูไม่ค่อยเหลี่ยม ส่วนเส้นตรงก็ดูคล้ายจะเป็นเส้นโค้งซะมากกว่า แต่ยังไงมันก็ดูน่ารัก สดใส และคงไว้ซึ่งกลิ่นอายของความเยาว์วัย ถึงแม้สีที่ลงจะเริ่มลอกออกไปบ้างแล้วก็ตาม
   ข้างหน้าตัวตึกเป็นแปลงดอกทานตะวันเล็กๆ ที่กำลังผลิดอกชูช่อแข่งกันอวดสีเหลืองทองอร่ามตัดกับสีขาวหม่นๆ ของตัวตึกและสีฟ้าสดใสของท้องฟ้าในเช้านี้อย่างลงตัว และเมื่อยามลมหนาวพัดเอื่อยๆ ผ่านมาก็จะหอบเอากลิ่นหอมหวานละมุนของดอกไม้สีเหลืองติดมาด้วย
   “สวัสดีค่ะแม่” พอมาถึงมูลนิธิพี่เชอรี่ก็สวมเข้ากอดกับหญิงสาววัยกลางคนที่มายืนรอรับ โดยหญิงคนนี้มีรอยยิ้มที่ดูอิ่มเอิบและอ่อนโยน แม้ริ้วรอยแห่งวัยจะเริ่มปรากฏชัดตามใบหน้าและดวงตาซึ่งชี้ให้เห็นว่าเป็นคนที่ผ่านโลกมาค่อนข้างมากแล้ว แต่ดูโดยรวมเธอก็ยังคงไว้ซึ่งความสวยและสดใสสมวัย
   “ขอบใจที่มาช่วยนะลูก ว่าแต่นี่ใครกันละ”หลังจากผละออกจากอ้อมกอดหญิงสาวคนดังกล่าวก็หันมายิ้มให้กับธันด้วยสีหน้าและแววตาที่ดูอบอุ่นและเป็นมิตร
   “อ๋อ น้องที่ทำงานค่ะแม่ ชื่อธัน ธันนี่แม่อ้อยนะ เป็นเจ้าของมูลนิธิ”พี่เชอรี่พูดแนะนำคนตัวเล็กก่อน ก่อนจะย้อนกลับมาแนะนำคนสูงวัย
   “สวัสดีครับ วันนี้มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้เลยนะครับ” ธันยิ้มก่อนจะพนมมือไหว้คนที่สูงวัยกว่า
   “ขอบใจที่มานะลูก เดี๋ยวยังไงเข้าไปหาอะไรกินข้างในครัวกันก่อนละกันเนาะ” แม่อ้อยพูดพร้อมกับจับมือพี่เชอรี่เข้าไปในครัวโดยมีธันเดินตามไม่ห่าง
   “จริงๆ แล้วป้าเองก็ไม่ได้อยากจะมาทำมูลนิธิอะไรนี้หรอก แต่มันดันเป็นความฝันของลุงเขาเนี่ยสิ เมื่อก่อนป้าก็เคยคิดนะว่าทำไมเราถึงต้องไปช่วยคนไร้บ้านด้วย รัฐก็ช่วยตั้งเยอะแล้วเผลอๆ เยอะกว่าคนทำงานแบบพวกหนูอีก ที่กินที่อยู่เขาก็จัดไว้ให้ก็ชอบหนีมานอนกันตามข้างถนน มือเท้าก็เท่ากันกลับมานอนหายใจทิ้งไปวันๆ ไม่ยอมทำประโยชน์อะไร ไม่เห็นน่าสงสารน่าช่วยเหลือสักนิด แต่ลุงเขาน่ะเป็นคนมองโลกในแง่ดีจนบางทีป้าก็อ่อนใจ”คนอายุมากที่สุดในโต๊ะ พูดอย่างเหม่อลอยเหมือนกับกำลังอธิบายและรำลึกถึงความหลังในเวลาเดียวกัน
   “ลุงเขาบอกว่า คนที่ประเทศเขาน่ะ ส่วนใหญ่จะต้องออกมาผจญโลกด้วยตัวเอง ตั้งแต่อายุสิบแปด หนูลองคิดดูสิ อายุเท่านั้นบางทีเรายังร้องไห้กับเรื่องไม่เป็นเรื่องจนแม่ยังต้องเข้ามาปลอบกันอยู่เลยนะ แต่นี้เขาต้องออกมารับผิดชอบชีวิตตัวเองตั้งแต่วัยเท่านั้นแล้ว ดังนั้นถ้าเผลอเลือกเส้นทางผิดก็อาจเปลี่ยนชีวิตไปทั้งชีวิตเลย
   แล้วช่วงเวลานั้นมันก็เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ช่วงกำลังคะนอง อยากรู้อยากลองไปหมด ถ้าเจอเพื่อนดีก็ดีไปถ้าเจอเพื่อนแย่พากันไปกินเหล้าเสพยาจนติด สุดท้ายก็จะมาจบชีวิตกันที่กลางถนนแบบนี้แหละ ไม่ใช่ว่าไม่มีเงินนะ แต่สมองมันไม่รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร รู้อย่างเดียวอยากกินเหล้าอยากเสพยา ได้เงินมาก็เอาไปซื้อของพวกนั้นหมด ไม่ยอมเก็บไว้ซื้อข้าวปลา รัฐเขาจัดหาสถานที่พักสะดวกสบายไว้ให้ก็หนีกันออกมา บอกว่าไม่อิสระบ้างล่ะ จะมีคนมาทำร้ายบ้างล่ะ ลุงเขาก็เวทนาเลยทำ มูลนิธินี้ขึ้นหวังให้คนพวกนี้ไม่อดตายน่ะแหละ”ป้าพูดพร้อมกับถอนหายใจและส่ายหัวเบาๆ แต่ใบหน้าก็ยังคงไว้ซึ่งรอยยิ้มอยู่
   “ดังนั้นเมื่อมันเป็นความฝันของลุง เป็นความปรารถนาของลุงเขา คนที่ตัดสินใจร่วมหัวจมท้ายมาอย่างป้าก็ต้องช่วยเต็มที่สิเนาะ แม้วันนี้ลุงเขาจะไม่อยู่แล้วแต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ลุงเขาทำป้าก็อยากจะปกป้องและสานต่อ ก็คงจะทำจนกว่าป้าจะลุกไม่ไหวแล้วน่ะแหละ
   อุ้ย ขอโทษนะฟังป้าบ่นอะไรไร้สาระซะนานเลย ยังไงวันนี้ป้าก็ฝากด้วยนะ” ป้าอ้อยยิ้มส่งท้ายทั้งใบหน้าก่อนที่จะขอตัวลุกไปจัดวางอาหาร และทักทายผู้คนที่เริ่มทยอยเข้ามากันแล้ว
   “จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่คนท้องถิ่นนะที่แกช่วย ใครเดือดร้อนไม่มีเงินซื้อข้าวกิน เดินเข้ามาแกก็หาให้กินหมดน่ะแหละ อย่างตอนนั้นพี่มีปัญหากับแฟนเก่าทะเลาะกันจนมันไล่พี่ออกจากห้อง เงินก็มีอยู่ติดตัวไม่เท่าไหร่ ภาษาอังกฤษก็ยังใช้สื่อสารไม่ได้ จะไปที่สถานีตำรวจให้เขาช่วยติดต่อสถานทูตให้ก็พูดไม่เป็น นั่งร้องไห้อยู่ที่สถานีรถไฟตรงนี้น่ะแหละจนแม่อ้อยเขาเดินเข้ามาถามว่าเป็นอะไร พี่ก็ปล่อยโฮเลย ไม่คิดว่าจะเจอคนไทยที่นี้ ยิ่งแกเป็นธุระจัดหาที่กินที่อยู่ให้จนพี่ตั้งหลักได้ พี่นี่ตื้นตันจนไม่รู้จะตอบแทนแกยังไงเลย” พี่เชอรี่ที่พูดไปก็น้ำตาคลอเบ้าไปด้วยความปลื้มใจในน้ำใจของหญิงร่างท้วม ที่กำลังขะมักเขม้นปิ้งขนมปังและเบค่อนด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม
   “ธัน หนูมาช่วยป้าปิ้งของตรงนี้หน่อยได้ไหมลูก ถ้าเกิดมีคนมาเอาก็ให้ไส้กรอก ไข่ดาว เบคอนแล้วก็ขนมปังเขาอย่างละ สองชิ้นนะลูก เดี๋ยวป้ากับเชอรี่ไปไล่เก็บจานมาล้างก่อนเดี๋ยวจานจะไม่พอเอา” แม่อ้อยเรียกหาคนตัวเล็กมาเปลี่ยนหน้าที่กับเธอเพราะตอนนี้คนเริ่มผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาอย่างไม่ขาดสายจนภาชนะที่ใช้ใส่อาหารเริ่มจะไม่พอแล้ว
   “ได้ครับ เดี๋ยวผมทำให้” คนตัวเล็กที่กำลังหั่นผักสลัดอยู่ต้องรีบวางมือมาดูของบนเตาเพราะหลังจากเจ้าของมูลนิธิพูดเสร็จเธอก็ทิ้งเตาแล้วรีบเดินจ้ำอ้าวไปไล่เก็บจานทันที
หัวข้อ: When love travel ตอนที่ 14 ความรักและบ้านดอกทานตะวัน ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 03-07-2020 18:39:40
แม้ว่าคนตัวเล็กจะยังมีทักษะการฟังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ยังดีที่ว่าผู้คนที่มารับอาหารส่วนมากก็จะไม่ค่อยเรื่องมากกันอยู่แล้ว คำขอที่มันพิเศษจริงๆ ก็คงจะเป็นการขอให้ทอดเบคอนกรอบๆ หน่อย หรือไข่ดาวไม่ต้องสุกมากซึ่งเป็นคำศัพท์ที่ไม่อยากนัก คนผิวแทนยังพอจะเข้าใจได้อยู่
   “Can you make the bacon a little bit crispier please?” (หนูช่วยทำเบคอนให้กรอบกว่านี้อีกสักนิดได้ไหมจ๊ะ) คุณป้าที่มารับอาหารพูดเสียงช้าๆ เนิบๆ พร้อมกับยืนยิ้มโชว์ฟันหลอ
   “Of course and here you are” (ได้สิครับนี่ไง) คนตัวเล็กยิ้มตอบพร้อมกับคีบเบคอนชิ้นที่กรอบที่สุดบนเตาส่งให้
   “Can I have the bacon which one has the color as same as you. I mean the burnt bacon” (ฉันขอเบคอนอันที่สีมันใกล้เคียงกับสีผิวนายหน่อยสิ ฉันหมายถึงเบคอนไหม้น่ะ) เมื่อจบประโยคคนตัวเล็กที่กำลังก้มหน้าก้มตา สาละวนพลิกเบคอน และไส้กรอกอยู่บนเตา ก็ต้องรีบเงยหน้าขึ้นมามองทันทีเพราะอยากรู้ว่าเป็นใครกันถึงกล้าพูดจาเลวร้ายได้ขนาดนี้ และเมื่อได้เห็นภาพของคนตรงหน้า ธันก็ไม่แปลกใจเลยว่าประโยคนั้นหลุดออกมาจากปากได้ยังไง
   “As you wish” (ได้เดี๋ยวจัดให้) หนุ่มธันยิ้มตอบคนตาฟ้าตรงหน้าก่อนจะหยิบพวกเบคอน ไข่ดาว ไส้กรอก และขนมปังที่ถูกคัดออกเพราะทำไหม้ส่งให้คนตรงหน้าพร้อมกับมอบอมยิ้มแบบคนสะใจสุดๆ ให้อีกด้วย
   แต่รูเบนกลับตอบกลับด้วยปฏิกิริยาที่ผิดคาดเพราะเขาไม่โวยวายอะไรเลยกลับแค่ยักไหล่และเดินตรงไปนั่งบนโต๊ะที่มันว่างอยู่ การเจอคนผมสีวอลนัทในสถานที่แบบนี้ก็ว่าแปลกแล้วแต่ปฏิกิริยาที่ไม่รู้สึกรู้สานั้นกลับแปลกยิ่งกว่าแต่อย่างน้อยมันก็เน้นชัดได้อย่างหนึ่งว่าเมื่อเช้าตาของเขาไม่ได้ฝาดไป
   “พี่ขอเอาแบบปกตินะไม่เอาพิเศษแบบเมื่อกี้” พี่ดัมป์ที่เป็นคิวต่อไปเข้ามายืนชิดที่โต๊ะพร้อมด้วยรอยยิ้มสดใสและเสียงหัวเราะร่วน
   “อ้าว มาหาข้าวฟรีกินเหมือนกันเหรอพี่” คนตัวเล็กพูดขึ้นพร้อมยิ้มขำๆ
   “โห ทักซะเสียเลย วงพี่มาเล่นดนตรีให้ที่มูลนิธินี้ แล้วเห็นเราปิ้งของกินอยู่เลยเข้ามาทัก” คนตัวใหญ่หุ่นล่ำเอามือเกาหัวแกรกๆ พร้อมกับยิ้มแห้งๆ ตอบไป
   “มาแดกฟรีก็คือมาแดกฟรี ไม่ต้องอ้างนู้นอ้างนี้ให้มันดูดีหรอก” เป็นพี่เบสที่เป็นคิวต่อไปพูดขึ้นจากด้านหลังพร้อมกับถอนหายใจอย่างขำๆ
   “เออ ตักมาให้พี่เร็วๆ เลย พี่เริ่มอายแล้ว” คนตัวใหญ่พูดเร่งคนตัวเล็กพร้อมกับยื่นจานไปให้ตรงหน้า ทำให้ธันอดที่จะคีบไปขำไปไม่ได้
   “มาทำอะไรที่นี้เหรอครับ” คนหลังจากพี่เบสก็คือพี่อ้น ซึ่งคนผิวแทนเองก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไร ในเมื่อคนตรงหน้าเป็นสมาชิกคนสุดท้ายในวง ถ้าเกิดว่าหนุ่มผมยาวไม่มาสิคนตัวเล็กจะรู้สึกประหลาดใจ
   “พี่ที่ทำงานชวนมาเป็นจิตอาสาครับ แล้วพี่ละมาหาข้าวกินฟรีหรือมาเล่นดนตรีครับ” คนตัวเล็กพูดขึ้นด้วยเสียงทีเล่นทีจริง
   “ป่าวครับ จริงๆ แล้วมาหาธันน่ะแหละ” คนตัวสูงพูดขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มละมุนมาให้ และมันก็ทำให้คนตัวเล็กเริ่มที่จะขำไม่ออกจนเริ่มมีสีหน้าเลิ่กลั่กแล้ว
   “Excuse me. How long you will talk with each other” (ขอโทษนะ จะคุยกันอีกนานไหมเนี่ย) คุณป้าผิวดำด้านหลังตะโกนขึ้นมาพร้อมกับชักสีหน้าอย่างไม่ค่อยพอใจ อันเนื่องมาจากว่าเธอคงหิว และแม้ว่าคนทั้งคู่จะพูดภาษาที่เธอไม่รู้จัก แต่มันก็ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะคุยเล่นหยอกล้อกันมากเกินกว่าจะร้องขอให้ทอดเบคอนให้กรอบขึ้นอีกหน่อย
    ซึ่งด้วยเสียงตะโกนอันทรงพลังของเธอก็คงเพียงพอที่จะทำให้หนุ่มตึ๋หันไปยิ้มขอโทษเจื่อนๆ และล่าถอยไป ส่วนหนุ่มธันกลับยิ้มขอบคุณที่ผู้หญิงคนนี้แทน เพราะว่าคุณป้าเพิ่งจะทำให้เขารอดพ้นจากสถานการณ์กระอักกระอ่วนเมื่อครู่ และนอกจากรอยยิ้มขอบคุณแล้วคนตัวเล็กก็ยังแอบแถมเบคอนให้เธออีกหนึ่งชิ้น พร้อมกับพูดขึ้นด้วยเสียงกระซิบเบาๆ เหมือนจะจงใจให้ได้ยินกันแค่สองคนว่า
   “For Apologize” (เพื่อเป็นการขอโทษนะครับ) เมื่อหนุ่มผิวแทนพูดจบเขาก็ขยิบตาให้เธอหนึ่งที ซึ่งมันก็ได้ผลเพราะเธอเปลี่ยนจากมุมปากที่คว่ำอยู่เป็นมุมปากที่หงายขึ้นทันทีเมื่อเธอได้อาหารที่มากกว่าคนอื่นไป
   เมื่อคนที่มาใช้บริการเริ่มเยอะขึ้น พี่เชอรี่ที่มีประสบการณ์และความคล่องตัวมากกว่าจึงขอสลับหน้าที่กับคนตัวเล็กเพราะกลัวว่าธันจะโดนคุณลุงคุณป้าที่จิตไม่ปกติเท่าไหร่เอ็ดเอาหากพวกเขาหรือพวกเธอต้องยืนรอเป็นเวลานานๆ ดังนั้นหนุ่มผิวแทนก็เลยต้องหันมาเก็บถ้วยเก็บจานที่คนใช้แล้วแทน
   “เฮ้ย กินหมดเลยเหรอ” เมื่อคนผิวแทนเห็นจานที่มีคราบเขม่าดำเต็มไปหมดก็ถึงกับร้องอุทานขึ้นมาอย่างตกใจ และถึงโต๊ะที่เขาจะเข้ามาเก็บจานจะไม่มีใครนั่งอยู่ก็ตามเขาก็รู้ดีว่าเจ้าของจานใบนี้เป็นใครเพราะนอกจากจานที่ใช้ทิ้งของที่ปิ้งไหม้แล้วก็มีจานใบนี้นั้นแหละที่มีคราบเขม่าใกล้เคียงกัน
   “ถ้าเป็นมะเร็งก็อย่ามาโทษกันนะ” คนตัวเล็กพูดในใจก่อนที่จะส่ายหัวเบาๆ พร้อมกับเผลออมยิ้มมุมปากออกมา ก่อนจะเก็บจานขึ้นมาวางไว้บนถาดและเดินไปหาเก็บจานจากโต๊ะอื่นต่อไป
   “เหนื่อยไหมลูก” ป้าอ้อยที่กำลังล้างจานอยู่เงยหน้าขึ้นมาถามทันที เมื่อเธอเห็น ธันยกกระทะไฟฟ้ากลับเข้ามาในครัว
   “ไม่เหนื่อยเลยครับ ถึงจะร้อนหน้าไปนิดหน่อยแต่ถ้าแลกมากับรอยยิ้มและคำขอบคุณของคนที่มากินข้าวแค่นี้สบายมากครับ” ธันพูดด้วยเสียงที่ค่อนข้างแหบเล็กน้อยคงเนื่องมาจากตลอดเวลาที่เขายืนให้บริการอยู่นั้นเขาไม่ได้พักจิบน้ำเลย แต่ถึงแม้หน้าตาจะดูเหนื่อยล้าและลำตัวจะท่วมไปด้วยเหงื่อแต่ใบหน้าและหัวใจของเขาก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่อิ่มเอม
   “ไม่เหนื่อยเลย เสียงแหบขนาดนี้ เอ้ากินน้ำก่อน” พี่เชอรี่ที่เดินกลับเข้ามาจากการไปเก็บแก้วน้ำใช้แล้วในเวลาไล่เลี่ยกันพูดขึ้น พร้อมกับยื่นน้ำที่เหลือครึ่งแก้วในถาดมาให้เขา
   “เฮ้ยพี่ อันนี้เขากินแล้วหรือเปล่า” คนตัวเล็กพูดด้วยเสียงตกใจเพราะเมื่อหมุนดูรอบแก้วกลับพบคราบลิปสติกติดอยู่
   “อ้าวเขากินเหลือ แล้วกินต่อไม่ได้เหรอ โทษๆ” คนแว่นหนากลั้นขำไป พูดไป ดังนั้นเสียงที่ออกมาจึงออกจะฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่องนัก
   “ไม่ได้สิพี่ นี่น้องไง น้องธันเอง” คนตัวเล็กดัดเสียงพูดเพื่อที่จะทำให้มันตลก และนั่นก็ได้ผลเพราะทั้ง ป้าอ้อย และ พี่เชอรี่ ถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนน้ำหูน้ำตาไหลทั่วใบหน้าไปหมด
   “ก็อกๆ”เสียงเคาะประตูดังขึ้นหน้าครัวก่อนจะถูกเปิดออก เผยให้เห็นว่าใครเป็นผู้มาเคาะ
   “คุณป้าครับ เดี๋ยวพวกผมจะขึ้นเล่นแล้วนะครับ ถ้าว่างยังไงเรียนเชิญนะครับ พี่เชอรี่กับน้องธันด้วยนะ” คนผิวคล้ำตัวล่ำ ซึ่งดูเหมือนว่าจะถูกบังคับให้มาเป็นตัวแทนเชิญป้าพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้างๆ
   “ได้เลยลูก เดี๋ยวป้าล้างจานเสร็จแล้ว ป้าออกไปนะ”ป้าอ้อยหันมาพูดกับพี่ดัมป์แต่มือก็ยังไม่หยุดล้างจานจนคนที่เหลือในครัวหวาดเสียวว่าจานในมือจะลื่นแล้วร่วงลงมาแตกแทน
   หลังจากมือกลองประจำวง One upon a dream ออกไป พี่เชอรี่ก็เข้ามาสะกิดแขนธันที่กำลังเช็ดจานอยู่
   “แกรู้จัก ดัมป์ด้วยเหรอ” สาวแว่นหนาพูดด้วยเสียงและแววตาที่อยากรู้อยากเห็นจนมันดันทะลุเลนส์ของเธอ ออกมาอย่างเห็นได้ชัด
   “รู้จักดิพี่ รู้จักทั้งวงแหละ ถามทำไมอะ” หนุ่มตัวเล็กหยุดเช็ดจานพร้อมกันหันมามองคนที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยความสงสัย
   “ก็ป่าว ก็แค่ถามดู” พี่เชอรี่พูดพร้อมกับหลุบตาต่ำลงมองพื้นและม้วนปลายผมแห้งแตกปลายของเธอไปมา
   “ชอบคนไหนละ”หนุ่มธันหันกลับไปเช็ดจานต่อพร้อมกับพูดประโยคดังกล่าวขี้นมาลอยๆ
   “บ้า ชอบใคร ไม่มีอะ”สาวแว่นหนาพูดขึ้นพร้อมกับโบกมือปฎิเสธเป็นพัลวัน
   “ชอบใครก็รีบบอกนะลูก อายุมากแล้วเดี๋ยวจะมาเสียดายทีหลังนะ”แม่อ้อยที่แอบยืนฟังอยู่นานพูดแซวขึ้นพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ในลำคอ
   “แม่อ่ะ ไม่พูดด้วยแล้ว ออกไปฟังเพลงกันดีกว่า ธันเสร็จยังออกไปพร้อมกันเลย” พี่เชอรี่ที่ตอนนี้หน้าเริ่มขึ้นสีใกล้เคียงกับชื่อ รีบเข้ามาจับมือหญิงชราแก้เขิลพร้อมกับชวนคนตัวเล็กที่เพิ่งจะเช็ดจานใบสุดท้ายเสร็จออกไปฟังเพลงด้านนอกด้วยกัน
   “OK for the last song we are going to play this one, Oh hang on we will change the singer. Please wait for a few minutes.” (เอาล่ะสำหรับบทเพลงสุดท้ายเราจะเล่นเพลงนี้กันนะครับ โอ๊ะ เดี๋ยวนะครับ เราขอทำการเปลี่ยนนักร้องสักครู่นะครับ) พี่เบสที่ตอนนี้ควบทั้งตำแหน่งมือเบสและร้องนำสะกิดไปที่ไหล่ของรูเบนที่ยืนอยู่ด้านขวามือเพื่อให้เปลี่ยนที่กับตน
   “อ้าว ทำไมอยู่ๆ เปลี่ยนที่กันละ” พี่เชอรี่ที่ยืนกอดอกอยู่ตรงกลางวงระหว่างธันและแม่อ้อยพูดโพล่งขึ้นมาทันทีเมื่อเธอเห็นว่าหนุ่มมือเบสและมือกีตาร์สลับที่กันอย่างมีเลศนัยหลังจากกลุ่มของเธอเดินออกมาชมดนตรีที่พวกเขาเล่น
   “ไม่มีอะไรหรอกมั้ง น้องเบสเขาคงลืมหรือเปล่าว่าเพลงนี้ต้องให้น้องอีกคนร้องน่ะ”แม่อ้อยผู้ซึ่งไม่รู้สึกถึงความผิดปกติพูดขึ้นมาแต่โดยดวงตายังคงจับจ้องอยู่บนเวทีไม่ห่าง ส่วนคนที่ถูกสะกิดแม้จะดูงงๆ ในตอนแรกแต่เมื่อหันลงมาสบตากับใครบางคนข้างล่างเวทีก็พยักหน้าอย่างเข้าใจพร้อมกับหันไปยิ้มเหมือนจะแสดงความขอบคุณกับหนุ่มมือเบส
   หลังจากคนตาฟ้าขึงสายกีตาร์ของตนสักครู่เขาก็เริ่มต้นเพลงด้วยการเคาะนิ้วลงบนตัวบอดี้กีตาร์ก่อนจะเริ่มขึ้นต้นเพลงด้วยคอร์ด G
   We could leave the Christmas lights up 'til January
This is our place, we make the rules
And there's a dazzling haze, a mysterious way about you, dear
Have I known you for twenty seconds or twenty years?
   เสียงของรูเบนยังคงนุ่มและมีเสน่ห์อย่างเช่นทุกครั้ง และแม้ประตูและหน้าต่างของมูลนิธิจะถูกเปิดไว้เพื่อหอบเอาลมหนาวเข้ามาหมุนเวียนถ่ายเทอากาศภายในจนคนที่เข้ามาชุมนุมกันในสถานที่นี้สั่นไหวทุกครั้งเมื่อสายลมพัดผ่านพวกเขาเหล่านั้นไป แต่เมื่อคนตาฟ้าเริ่มทำการแสดงของเขาก็เหมือนมีดวงอาทิตย์อีกดวงถูกจุดขึ้นภายในห้อง และแม้ความหนาวจะยังสัมผัสผิวกายอยู่ แต่ภายในใจกลับได้รับไออุ่นอย่างน่าประหลาด
   “ทำไมเขามองแล้วยิ้มตรงมาที่แกวะ ธัน”สาวแว่นเอียงคอไปกระซิบข้างๆ หูคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้านซ้ายมือ
   “ยิ้มตรงมาที่ผมก็แย่แล้วพี่ ดูนู้น”คนตัวเล็กทำหน้าพยักเพยิดไปยังสาวสวยโครงหน้าละตินที่นั่งอยู่ตรงด้านหน้าจุดที่เขายืนอยู่
   “เหรอวะ แต่ตามันเหมือนไม่ได้โฟกัสด้านหน้านะเว้ย”พี่เชอรี่ที่ยังคงจับสังเกตสายตาของคนบนเวทีก่อนพูดย้ำกับคนตัวเล็ก
   “ไร้สาระพี่ ไอ้นั้นมันเกลียดผมจะตาย มันจะมายิ้มให้ผมทำไม” คนตัวเล็กพูดด้วยใบหน้าและเสียงที่นิ่งเฉยก่อนจะถอนหายใจทิ้งเบาๆ
   Can I go where you go?
Can we always be this close forever and ever?
And ah, take me out, and take me home (forever and ever)
You're my, my, my, my lover
   หลังจากเสียงกีตาร์และเสียงนักร้องหยุดลง ห้องทั้งห้องก็เงียบสนิทลงไปชั่วครู่ ก่อนที่เสียงโห่ร้องและเสียงปรบมือด้วยความชื่นชมจะดังสนั่นก้องไปทั้งห้อง
   ไม่เว้นแม้แต่แม่อ้อยที่ทั้งตบมือและผิวปากอย่างลืมตัว ส่วนคนบนเวทีเกือบทั้งหมดก็ยิ้มตอบรับพร้อมกับก้มหัวเล็กๆ เพื่อเป็นการแสดงคำขอบคุณที่ชื่นชอบและชื่นชมบทเพลงที่พวกเขาหยิบมาเล่นหยิบมาร้อง ที่บอกว่าเกือบทั้งหมด เพราะว่าพี่อ้นนั้นหุนหันลงจากเวทีพร้อมกับกีตาร์คู่ใจทันทีหลังจากผู้ชมเริ่มตบมือและส่งเสียงกรี๊ด โดยสมาชิกคนอื่นๆ ในวงที่เหลืออยู่บนเวทีก็ออกอาการหน้าเสียจนคนตัวเล็กดูออก แต่ว่าด้วยความเป็นมืออาชีพ ทุกคนก็สามารถปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้ในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งนั่นก็ทำให้คนผิวแทนเกิดความรู้สึกเป็นกังวลแบบแปลกๆ ขึ้นมา
   “ทำไมเมื่อกี้พี่อ้นเขาถึงกระโดดลงจากเวทีทันที หลังเสร็จงานล่ะครับ”คนตัวเล็กเดินเข้ามาถาม พี่ดัมป์ที่กำลังยืนรอพี่เบสวนรถมารับอยู่ข้างหน้าแปลงดอกทานตะวัน
   “อันนี้พี่เองก็ไม่รู้นะ มันคงรีบไปไหนละมั้ง”คนหุ่นล่ำพูดอย่างไม่ค่อยจะเต็มเสียงนัก เพราะอันที่จริงเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมหนุ่มตี๋ถึงรีบร้อนลงจากเวทีนัก
   “เหรอครับ... เออ ธันว่าจะถามพี่หลายที่แล้ว คือว่า คือ”เสียงของคนผิวแทนขาดห้วงไปเล็กน้อยเมื่อนึกถึงคำถาม คำถามที่ติดค้างในใจเขามาสักพักแล้ว
   “คือวันนั้นน่ะครับ ธันตื่นมาในห้องของใครก็ไม่รู้ เรื่องก่อนหน้านั้นก็จำไม่ได้เลย แต่ธันน่ะ... ธันน่ะ จำได้ว่าเห็นพี่อยู่ในอพาร์ทเม้นนั้นด้วย ขอร้องละครับช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่าธันถูกใครพาไป แล้วเขาได้ทำอะไรธันหรือเปล่าครับ” อยู่ๆ หลังจากหนุ่มร่างบางเงียบไปชั่วครู่เขาก็ตะโกนคำพูดเหล่านี้ออกมาเสียงดังจนคนที่อยู่ตรงหน้าถึงกับผงะถอยหลังเล็กน้อยด้วยความตกใจ
   “โอ้ ใจเย็น น้อง คือเรื่องนั้นน่ะ เอ่อ... พี่ก็ไม่ได้อยากปิดบังเราหรอกนะแต่ว่าไอ้บ้านั่นมันดันขอร้องเอาไว้ว่าไม่ให้บอกใคร โดยเฉพาะกับน้องด้วยแล้ว มันบอกว่าเดี๋ยวถึงเวลามันจะเป็นคนมาบอกน้องเอง แต่น้องไม่ต้องคิดมากนะวันนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับน้องแน่นอน พี่รับรองได้เพราะวันนั้นพี่เองก็อยู่ด้วย มันอุ้มน้องไปวางไว้บนเตียงแล้วมันก็ออกมานอนหนาวบนโซฟาข้างนอกทั้งคืน มันกลับเข้าห้องไปอีกทีก็เช้าถัดมาน่ะแหละ แต่เข้าไปแป๊บเดียวน้องก็เดินสวนออกมาเลยนะ”พี่ดัมป์พูดด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มที่อ่อนโยนแม้เนื้อเสียงของเขาจะค่อนข้างกระด้างไปบ้างแต่ก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจภายในคำพูดเหล่านั้น      
   “แต่ผมเป็นคนเสียหายผมก็มีสิทธิ์รู้ไม่ใช่เหรอครับ”คนตัวเล็กยังตื้อเอาคำตอบไม่เลิก
   “มันก็ใช่แต่น้องอย่าทำให้พี่ต้องผิดคำพูดที่ให้ไว้กับมันเลยนะ อะ ไอ้เบสมาแล้วยังไงไว้ค่อยคุยกันนะน้อง” พี่ดัมป์รีบตัดบทจบพร้อมกับรีบวิ่งไปขึ้นรถของพี่เบสที่วนมารับอย่างได้จังหวะพอดิบพอดี
   “พี่ดัมป์เดี๋ยวดิ่พี่”หนุ่มธันพยายามวิ่งตามไปเอาคำตอบแต่ดูเหมือนว่าจะช้าไปหน่อยเพราะเมื่อเขากำลังจะถึงตัวรถ รถก็ได้ถูกขับออกไปเสียแล้ว
   “โถ่เว้ย”คนตัวเล็กถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนที่จะหันหน้าไปทางด้านหลังเพราะถูกสะกิด ไหล่ แต่ด้วยว่าอารมณ์จากเมื่อครู่ยังคงคุกรุ่นอยู่ ดังนั้นใบหน้าของเขาที่หันไปก็มีความทมึงทึงจนคนที่สะกิดมีสะดุ้งเบาๆ
   “What happened? Why do you have a long face?” (เกิดอะไรขึ้นทำไมนายหน้าเป็นแบบนั้นละ) หนุ่มตาฟ้าขมวดคิ้วพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
   “It’s not your business. Why you tapped my shoulder” (ไม่ต้องยุ่งว่าแต่นายมาสะกิดไหล่ฉันทำไม) คนตัวเล็กที่คิ้วยังไม่คายปมถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูยังหงุดหงิดอยู่
   “Oh ok, someone beg me to give this one for you” (โอเคถ้านายว่าแบบนั้น คือมีใครบ้างคนฝากฉันเอาไอ้นี้มาให้นาย) คนผมสีวอลนัทยื่นกล่องเล็กๆ สีขาวที่มีอะไรบางอย่างอยู่ภายในให้คนตัวเล็กก่อนที่จะหันหลังเดินกลับไปทางสถานีรถไฟ
   “Hey who gave this one for me? If I don’t know that guy I can’t take it” (เฮ้ยใครฝากมาให้อะ ถ้าฉันไม่รู้จักฉันไม่รับนะ) คนตัวเล็กตะโกนไล่ตามหลังคนตาฟ้าไป
   “My job is done. You can keep or throw away. I don’t care” (งานฉันเสร็จแล้วต่อจากนี้นายจะเก็บหรือนายจะทิ้ง ฉันก็ไม่สน) คนตัวสูงพูดโดยไม่หันหน้ามามองพร้อมกับโบกมือบายๆ อย่างกวนๆ
   “โอ้ย วันนี้มันวันอะไรวะเนี่ย จะไม่มีอะไรได้ดั่งใจเลยหรือไง อุตส่าห์อารมณ์ดีมาตั้งแต่เช้า มาเสียเอาตอนจะหมดวันซะได้”คนตัวเล็กทำหน้าและเสียงฟึดฟัดอย่างไม่พอใจ
   ใกล้จะได้คำตอบแล้วแต่คำตอบก็ดันหลุดลอยไปซะได้ แบบนี้เราต้องโทษใครนะ โทษพี่ดัมป์ที่ดันไปรับปากอะไรแบบนั้นกับไอ้เจ้าของห้องนั่น หรือต้องโทษตัวเองที่ดันกินเหล้าจนไม่รู้ลิมิตตัวเองถึงได้โดนเขาลากไปได้แบบนั้น สรุปแล้วนายเป็นใครกันแน่นะหนุ่มตัวเล็กถอนหายใจอย่างเหลืออด ก่อนจะหันไปสนใจดอกทานตะวันที่ตอนนี้ค่อยๆ หุบลงไปเพราะพระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าไปเสียแล้ว
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่14 (หน้าสอง) ✈
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 03-07-2020 18:43:32
Writer เองต้องขอขอบคุณเพื่อนๆ นักอ่านทุกคนมากๆเลยนะครับ ที่ตามอ่านกันมาถึงตอนล่าสุดนี้ ตัวผมเองเป็นนักเขียนหน้าใหม่ ด้วยตัวภาษาที่ใช้และเนื้อเรื่องก็ไม่ได้สละสลวยเท่าที่ควร ยอมรับนะครับว่ามีหลายครั้งแรกที่นึกถอดใจอยู่เหมือนกัน ก็ได้คนอ่านที่มาเม้นท์นี่แหละ ที่ทำให้มีแรงเขียนต่อไป เพราะเชื่อว่ายังมีคนอีกส่วนหนึ่งกำลังรออ่านอยู่ ขอบคุณมากนะครับ ขอบคุณมากจริงๆ
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่14 (หน้าสอง) ✈
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 03-07-2020 19:33:26
 :กอด1: :กอด1:
ก็รอมาอัพตลอดจ้าา เป็นเรื่องที่น่ารักดีนะ ได้ความรู้ด้านภาษา
คนรอบข้างก็น่ารัก จิตใจดี ถึงแม้ตอนนี้ไม่ได้ต่อปากต่อคำกับแบมบู แต่บรรยากาศได้อีกแบบ
พ่อตาสีฟ้า ทานขนมปังไหม้หมด นี่ตั้งใจ หรือว่าหิวกันแน่
พี่เชอรี่ สงสัย แอบชอบพี่เด็ปแน่นอน
พี่อ้น ต้องชอบธันแน่ๆ แต่ว่ารีบไปไหนกันนะ
ธัน ตอนนี้คุยกับใคร ก็มีอันต้องตัดฉับๆ ไม่ต้องเสียอารมณ์นะ ว่าแต่เปิดของขวัญจะเป็นอะไรเอ่ย
อยากรู้แล้วนะ
 :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่14 (หน้าสอง) ✈
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 08-07-2020 12:39:58
ขอบคุณมากครับ ฝากติดตามและให้กำลังใจน้องไปเรื่อยๆนะครับผม  :mew1:
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่14 (หน้าสอง) ✈
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 09-07-2020 17:01:24
รูเบนแน่ๆเลย ความรักของน้อง
หัวข้อ: ✈ When love travel ตอนที่ 15 ความรักและความลับของชิงช้าสวรรค์✈ ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 10-07-2020 21:41:59
   ถ้าเราได้นั่งชิงช้าไปกับใครสักคน แล้วรอจนมันหมุนขึ้นไปถึงจุดกึ่งกลางของชิงช้า ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจแต่ถ้าหากปากของคนทั้งสองสัมผัสกันในห้วงวินาทีนั้น ว่ากันว่าคนทั้งสองคนจะได้อยู่คู่กันตลอดไป
   กลิ่นน้ำหอม TOM FORD Tobacco Vanille ที่ส่งกลิ่นหวานๆ คล้ายกับกลิ่นของฝักวนิลาที่ผสมคละเคล้ากันกับกลิ่นอันร้อนแรงของเครื่องเทศและใบยาสูบอย่างลงตัวพอดิบพอดี แต่จะดีกว่านี้ถ้าเจ้าของกลิ่นฉีดลงไปอย่างเบามือและเปิดหน้าต่างระบายกลิ่นออกไปบ้าง ไม่ให้มันลอยวนแบบไม่มีทางออกอยู่แบบนี้ เพราะตอนนี้กลิ่นหอมได้กระจายตลบอบอวลไปทั้งห้องจนผู้ที่เปิดประตูเข้ามาใหม่ต้องเอามือพัดให้กลิ่นดังกล่าวลอยออกไปด้านนอกบ้าง ก่อนจะรีบกลั้นหายใจเอามืดบีบจมูกแล้วเดินก้าวเข้ามาในห้อง
   “โอ้ย นี่พี่กะจะฆ่าน้องหรือเปล่าเนี่ย ทำไมฉีดน้ำหอมฟุ้งไปทั่วห้องแบบนี้”คนตัวกลมที่แม้จะหายใจยังลำบากแต่ก็ไม่วายที่จะใช้ลมหายใจที่เหลืออันน้อยนิดไปกับการบ่นว่าคนผิวแทนที่นั่งเหม่อจ้องมองของที่อยู่ตรงหน้าโดนไม่หือไม่อือ
   “อ้าวพูดแล้วยังทำเฉย แล้วหน้าต่างอ่ะเปิดบ้างนะเกรงใจเพื่อนร่วมห้องด้วยจ๊ะ”แบมบูไม่พูดเปล่า รีบสาวเท้ายาวๆ ไปเปิดหน้าต่างมุมห้องทั้งสองด้านก่อนจะเอาหัวของตนมุดออกไปยังด้านนอกหน้าต่างเพื่อสูดหายใจเอาอากาศเข้ามาเต็มปอด ก่อนจะหันกลับเข้ามามองคนตัวเล็กที่ยังคงนั่งนิ่งเป็นหินอยู่ที่เดิม
   “มันเป็นอะไร ไหนดูสิ เห็นหวงไม่ให้น้องดูมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”คนตัวกลมพูดอย่างมีน้ำโหเพราะไม่ได้รับความสนใจ ก่อนจะถือวิสาสะเอามือหยิบกล่องสีขาวที่คนตัวเล็กนั่งมองอย่างไม่วางตา ซึ่งนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ธันตกใจจนจนสติกลับมาและเริ่มที่จะยื้อแย่งของคืน แต่ก็ดูเหมือนว่าจะช้ากว่าคนตัวกลมไปก้าวหนึ่งเพราะแบมบูได้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
   “น่ารักดีนี่ ใครให้มาอะ อ่ะ ขี้หวงชะมัด”ของที่อยู่ในกล่องสีขาวเป็นจี้ข้อมือรูปโคอาล่า แบรนด์เดียวกันกับที่คนตัวเล็กชอบใส่ไปไหนมาไหนอยู่ตลอด แต่แบมบูก็มองมันได้เพียงแค่แว้บเดียวเพราะคนตัวเล็กดึงมันกลับไปอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งทำหน้ายักษ์และคิ้วผูกโบว์อย่างไม่สบอารมณ์อีกด้วย
   “ไม่ได้ขี้หวง แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนให้ กลัวว่าเขาจะให้ผิดคนแล้วแกดันเผลอซุ่มซ่ามทำตก ฉันต้องซื้อใช้เขาอีก”คนตัวเล็กพูดก่อนจะปิดฝากล่องสีขาวลงและวางกลับไปบนโต๊ะไม้ตามเดิม
   “ถ้าอยากรู้ว่าใครเป็นคนให้ก็ไปตามนัดซะสิ”แบมบูนั่งกอดอกอยู่บนเตียงพร้อมกับลอบถอนหายใจอย่างปลงๆ กับความคิดที่ยุ่งยากและซับซ้อนของคนตัวเล็ก เพราะถึงแม้ว่าคนตัวกลมจะไม่รู้ว่าของในกล่องคืออะไร แต่รายละเอียดอย่างอื่นเช่นเจ้าของกล่องได้แนบจดหมายพร้อมกับตั๋วชิงช้าสวรรค์ The Wheel of Brisbane มาให้ด้วย โดยที่คนตัวกลมรู้ลึกถึงขนาดเนื้อความในจดหมายที่เขียนเอาไว้ว่า
   “วันนั้นผมแอบเห็นในแววตาของคุณดูเสียดายอยู่ไม่น้อยที่ไม่ได้อุ้ม เจ้าโคอาล่าถ่ายรูป ผมเลยซื้อจี้อันนี้มาให้โดยหวังจะบอกคุณว่า ไม่เป็นไรนะถึงคุณจะไม่มีรูปที่ถ่ายคู่กับโคอาล่า แต่อย่างน้อยจี้ของผมก็จะอยู่ข้างๆ คุณตลอดไปเหมือนเจ้าของ ของมันที่หวังจะได้ใกล้ชิดกับคุณในสักวันหนึ่ง ครั้งที่แล้วผมได้บอกกับคุณเอาไว้ว่าจะเอาของมาให้คุณต่อหน้าพร้อมบอกความในใจของผมที่มีต่อคุณด้วย ซึ่งผมเองก็กำลังพยายามคิดหาวิธีอยู่ จนเดินมาเจอชิงช้าสวรรค์ประจำเมืองเลยคิดว่ามันน่าจะดีนะครับ ถ้าเราได้มานั่งชมวิวสวยๆ ของเมืองด้วยกัน และตอนนั้นผมเองก็อาจจะมีความกล้ามากพอที่จะบอกอะไรบางอย่างกับคุณ ยังไงขอโอกาสให้คนขี้อายคนนี้หน่อยนะครับ
ป.ล. รอผมแถวๆ ชิงช้าสวรรค์ตอนเวลาประมาณห้าโมงเย็นนะครับ เดี๋ยวผมจะเดินเข้ามาหาคุณเอง”
ลายมือในกระดาษแม้จะดูเป็นไก่เขี่ยไปหน่อย แต่ก็ยังถือว่าเขียนได้ตัวใหญ่อ่านง่ายกว่าครั้งที่แล้ว ที่ตัวเล็กจิ๋วจนเกือบจะต้องเอาแว่นขยายมาส่องอยู่รอมร่อแล้ว
   “จะดีเหรอวะ”คนตัวเล็กทำหน้าเครียดหลังจากอ่านเนื้อความในจดหมายเป็นรอบที่สิบของวันแล้ว
   “ไปเถอะ เธอก็อยากรู้มาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าพ่อหนุ่มปริศนาคนนี้เป็นใคร อีกอย่างน้องว่าเธอเองก็ตัดสินใจไปแล้วนะ ไม่งั้นไม่ฉีดน้ำหอมฉุนขนาดนี้หรอก จริงไหม”คนตัวกลมยิ้มน้อยๆ ให้กับคนผิวแทน เพื่อเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้
   “แกไม่ไปกับฉันจริงๆ เหรอวะ”คนผิวแทนหันมามองตาคนตัวกลมด้วยนัยน์ตาที่สับสน และสีหน้าที่วิงวอนแกมขอร้อง แต่นั่นก็คงใช้ไม่ได้ผลกับคนตัวกลมที่สั่นหัวและถอนหายใจออกมาแทบจะในทันที เมื่อสิ้นเสียงคนตัวเล็ก
   “ไม่เอาอ่ะ ไปก็เป็นตัว กขค. น่ะสิ อีกอย่างวันนี้น้อง นัดกับพี่ซีอิ๊ว  กับ ไอ้เตยไว้แล้วด้วยว่าจะไปซื้อของด้วยกันตอนเย็น ไปเหอะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็โทรหาน้องได้ เดี๋ยวน้องแจ้งตำรวจให้”คนตัวกลมพูดพร้อมกลั้นขำในลำคอ
   “อ้าว ไอ้นี้ เอองั้นเดี๋ยวฉันไปก่อนแล้วกันนะ กว่าจะเดินไปถึงก็คงเกือบ ห้าโมงพอดี” คนตัวเล็กพูดด้วยใบหน้าและน้ำเสียงผิดหวังเล็กน้อย เพราะเขานึกเอาไว้ว่า ถ้าคนที่มาเจอเขาไม่ใช่คนที่เขานึกเอาไว้ในใจอย่างน้อยก็ยังมีแบมบูเป็นไม้กันหมา
   “เดี๋ยวดิ ไหนๆ ก็ใส่กำไลข้อมือไปแล้ว ทำไมไม่ใส่จี้อันใหม่ไปด้วยล่ะ เขาจะได้ดีใจ” แบมบูหยิบกล่องสีขาวที่มีจี้อยู่ภายในส่งให้คนตัวเล็กที่กำลังจะเปิดประตูออกไปอยู่แล้ว ถ้าคนตัวกลมไม่ส่งเสียงเรียกขึ้นมาซะก่อน
   “เอางั้นเหรอ เออก็ได้ ใส่ให้หน่อยดิ” คนผิวแทนทำท่าลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยื่นแขนข้างที่มีกำไลส่งให้แบมบู พร้อมกับเอ่ยปากขอร้องแกมบังคับให้คนตัวกลมสวมจี้อันใหม่ให้เขา
   “แหม่ ทีเมื่อกี้ล่ะหวง ทีตอนนี้มาให้น้องใส่ให้”แบมบูแกล้งถอนหายใจแรงๆ เป็นการประชดก่อนจะใส่จี้ตัวใหม่ลงไปยังกลางวงของกำไลให้คนตัวเล็ก
   “เออ ขอบใจเว้ยแก แล้วเดี๋ยวเจอกัน”คนตัวเล็กสวมกอดคนตัวกลมเพื่อเป็นการขอบใจและเรียกกำลังใจให้ตัวเอง ก่อนจะผละออก พร้อมก้าวเดินออกจากห้องไป โดยไม่ได้หันกลับมามองแบมบูที่มีสีหน้าสลดลงทันทีเมื่อประตูปิดลงพร้อมกันนั้นเขาก็แอบพูดเบาๆ ด้วยเสียงกระซิบที่หวังจะให้ได้ยินแค่ตัวเขาเองว่า
   “ขอให้คนๆ นั้นไม่ใช่คนเดียวกันกับคนในหัวใจของเราด้วยเถอะ” คนตัวกลมเม้มปากล่างเพื่อเป็นการระบายความอัดอั้นและความรู้สึกจนน่ากลัวว่าจะห้อเลือด หากเขาไม่รีบถอนปากออกมาในเร็วๆ นี้
   “โอ้ย ทำไมตอนเดินออกมาไม่หนาวนะ” คนตัวเล็กถูฝ่ามือ ทั้งสองเข้าด้วยกัน ก่อนที่จะเอามือมาอังตรงบริเวณปากพร้อมทั้งเป่าลมอุ่นๆ ออกจากแก้มเพื่อระบายความหนาว ก็แน่ละ เขาจะไม่หนาวได้ยังไงเพราะตอนนี้อากาศบริเวณรอบๆ ชิงช้านั้นลดต่ำลงเรื่อยๆ จนใกล้จะถึงหลักหน่วยอยู่ร่อมร่อ แล้วสิ่งที่คนตัวเล็กใส่ออกมาในวันนี้มันไม่ได้ทำให้เขาอุ่นได้เลยแม้แต่น้อย
เพราะสิ่งที่เขาสวมมันเป็นเพียงแค่เสื้อยืดสีขาวบางๆ กับกางเกงยีนส์สีซีดตัวเก่งทีมีจุดฉีกขาดไปทั่ว โดยเฉพาะตรงหัวเข่าทั้งสอง ที่รอยขาดนั้นใหญ่จนสามารถเห็นเนื้อหัวเข่าได้อย่างเด่นชัด
The Wheel of Brisbane ตั้งอยู่ตรงริมแม่น้ำ Southbank และด้วยความที่รอบๆ ที่ตั้งชิงช้าเป็นสถานที่ๆ มีไว้เพื่อการปิคนิคและวิ่งเล่นออกกำลังกายของทั้งคนและสัตว์เลี้ยง ดังนั้นทางสภาเมืองจึงตั้งใจที่จะไม่สร้างสิ่งก่อสร้างใดๆ ที่เป็นการบดบังทัศนวิสัยและมีสิ่งกีดขวางอันเป็นอันตรายต่อการวิ่งเลย หากเราไม่นับตึกศูนย์ศิลปะและการแสดงที่ตั้งอยู่ถัดจากริมแม่น้ำและชิงช้า เราก็จะไม่เห็นตึกสูงอื่นใด ที่ตั้งอยู่ในบริเวณรอบๆ นี้เลย นั่นฟังดูดีและสวยงามทีเดียว หากในวันนี้ไม่มีลมหนาวพัดผ่านไปทั่วบริเวณแบบนี้ ยิ่งไม่มีสิ่งปลูกสร้างอะไรที่จะมาลดแรงปะทะระหว่างคนผิวแทนและลม ดังนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรจากการเปิดตู้เย็นช่องแช่แข็งแล้วเอาหน้าไปจ่อใกล้ๆ เลย
“หืม มีร้าน Noosa แถวนี้ด้วยเหรอ ไปหาซื้อช็อคโกแลตร้อน แล้วก็แอบเนียบหลบลมในร้านจนกว่าจะถึงเวลานัดดีกว่า” คนตัวเล็กตาโตทันทีเมื่อหันไปเจอร้านกาแฟและช็อคโกแลต Noosa chocolate factory ด้านใน ตึกศูนย์ศิลปะและการแสดง
เมื่อเห็นดังนั้นคนตัวเล็กจึงไม่รอช้ารีบสาวเท้าเข้าไปยังด้านในตัวตึก แม้แต่ละก้าวจะค่อนข้างร้าวรานเนื่องจากอาการเหน็บชาจากความหนาวที่ทะลุผ่านเนื้อไปยังด้านในกระดูก
“Can I have one hot chocolate please” (ขอช็อคโกแลตร้อนแก้วหนึ่งครับ) คนตัวเล็กสั่งเครื่องดื่มกับบาริสต้าหนุ่มวัยรุ่นผมทองที่ยืนอยู่ด้านในเคาเตอร์
“Ok, Can I have your name please” (ได้ครับ ขอชื่อลูกค้าด้วยครับ) หนุ่มตัวสูงยิ้มการค้าตอบกลับมาพร้อมกับสอบถามชื่อ
“It’s Thun” (ชื่อ ธันครับ) คนผิวแทนยิ้มตอบกลับพร้อมบอกชื่อตัวเอง แต่พนักงานหนุ่มกลับขมวดคิ้วพร้อมกับหรี่ตาเล็กลงเหมือนจะพยายามทำความเข้าใจว่าคนตัวเล็กพูดอะไร
“Thun”(ธัน) คนตัวเล็กพยายามพูดอีกครั้งช้าๆ แต่ก็ดูเหมือนว่าพนักงานจะยังคงสับสนอยู่ดี แต่ในขณะที่เขากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ว่าจะใช้คำไหนที่มันใกล้เคียงชื่อเขาเพื่อให้พนักงานเข้าใจ และตัวเขาเองก็เดินมารับเครื่องดื่มได้อย่างถูกต้องด้วยเมื่อพนักงานขานชื่อ อยู่ๆ ก็มีเสียงนุ่มๆ ที่คุ้นเคยดังแทรกขึ้นมาจากด้านหลังของเขา
 “Let write down my name, it’s Rumen” (เขียนชื่อผมแล้วกันครับ ชื่อรูเบน) คนตาฟ้าที่มาจากไหนก็ไม่รู้ พูดขึ้นมาโดยไม่สนใจเจ้าของเครื่องดื่มและพนักงานเองก็เหมือนจะเอาง่ายเข้าว่า เพราะเมื่อได้ยินสำเนียงที่ชัดกว่าและสะกดได้ง่ายกว่า ก็รีบเขียนชื่อคนตัวสูงลงไปในทันที โดยไม่สนใจคนตัวเล็กที่กำลังจะอ้าปากเอ่ยคัดค้าน
“Whatever he ordered, Could you make it for two” (ไม่ว่าเขาจะสั่งอะไร ทำมันสองแก้วเลยนะครับ) คนผมสีวอลนัทพูดขัดขึ้นในขณะที่คนตัวเล็กกำลังอ้าปากพะงาบๆ เพื่อที่จะให้แก้ชื่อบนแก้วของเขา แค่นั้นยังไม่พอเมื่อพนักงานส่งเครื่องรูดบัตรมาเพื่อที่จะทำการชาร์จเงิน รูเบนก็ยังแย่งจ่ายเงินโดยการจับมือคนตัวเล็กไม่ให้มีโอกาสหยิบการ์ดออกมา พร้อมกันนั้นก็เอาอีกมือของตัวเองที่ว่างอยู่หยิบการ์ดขึ้นมารูดโดยไม่ฟังเสียงโวยวายของคนตัวเล็กแม้แต่น้อย
“What are you doing?” (นายทำอะไรของนายอ่ะ) คนตัวเล็กหันมาประจันหน้าพร้อมกับใช้น้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีนักกับคนตัวสูงทันที เมื่อมือเป็นอิสระจากการถูกเกาะกุม
“Because I have seen you try to speak your name but staff doesn’t understand right? I just make it easy” (ก็เพราะฉันเห็นว่านายพยายามจะพูดชื่อตัวเองไง แต่พนักงานเขาก็ไม่เข้าใจ ฉันก็แค่ทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้น) หนุ่มตาฟ้าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เรียบเฉย เหมือนกับว่าเรื่องที่ตัวเองทำเป็นเรื่องปกติที่ใครๆ เขาก็ทำกัน
“But… Ruben please” (แต่ว่า... คุณรูเบนได้แล้วครับ) ขณะที่คนตัวเล็กกำลังจะหาทางเถียงกลับอยู่นั้น เสียงเรียกให้มาเอาเครื่องดื่มของพนักงานก็ดังขึ้น ทำให้คนตัวเล็กต้องหันกลับไปมองตามเสียงอันเป็นจังหวะเดียวกันกับคนตาฟ้าที่รีบเดินไปคว้าแก้วช็อคโกแลตร้อนตรงเคาเตอร์และรีบเดินหนีหายออกไปทางประตูหน้า โดยทิ้งคนตัวเล็กที่สมองยังประมวลผลไม่ทัน ยืนงงอยู่นานสองนานจนพนักงานคนเดิมต้องถือแก้วช็อคโกแลตมายื่นให้ สติเขาถึงได้กลับคืนมา
หัวข้อ: When love travel ตอนที่ 15 ความรักและความลับบนชิงช้าสวรรค์ ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 10-07-2020 21:43:22
“เอ๋ หรือว่าเรายืนผิดมุมนะ” คนตัวเล็กเริ่มจะมีสีหน้าวิตกกังวลเพราะเมื่อก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ ก็พบว่าเวลามันล่วงเลยมาถึงห้าโมงห้านาทีแล้ว แต่ก็ยังไรวี่แววของบุรุษหนุ่มปริศนาที่นัดเขาออกมายังสถานที่แห่งนี้เลย แถมเมื่อยิ่งค่ำลงเท่าไหร่อุณภูมิก็ยิ่งค่อยๆ ลดต่ำลงเท่านั้น ลำพังแค่เสื้อยืดและกางเกงยีนส์ของคนตัวเล็กเริ่มจะต้านทานลมหนาวไม่ไหว จนทำให้เจ้าของชุดเริ่มสั่นเทาด้วยความหนาว ตั้งแต่ลำตัวจนไปถึงปากที่เริ่มจะสั่นกระทบกันแล้ว
หลังจากยืนหนาวสั่นอยู่สักพัก คนตัวเล็กก็เหลือบไปเห็นม้านั่งยาวสีเขียวที่ตั้งหลบมุมอยู่แถวๆ ริมแม่น้ำ แม้เขาจะรู้ดีว่าการไปนั่งที่เก้าอี้ไม้นั้น ไม่ได้ช่วยให้ความหนาวลดลงไปได้ แต่ทว่ามันก็ยังดีกว่าการยื่นตัวสั่นงันงกอยู่ตรงใจกลางสนาม ให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาขบขันปนสมเพจแบบนี้ คิดได้ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเดินอย่างอยากลำบากไปยังม้านั่ง โดยหมายใจว่า ถ้าเกิดคู่เดทของตนยังไม่มาภายในอีกสิบนาทีนี้ เขาเองก็คงจะกลับบ้านโดยไม่รอพบแล้ว เพราะว่าคนตัวเล็กยังไม่อยากที่จะลงข่าวหน้าหนึ่งของออสเตรเลีย ว่าถูกพบเป็นศพนอนแข็งตายอยู่หน้าแม่น้ำ Sounthbank เป็นแน่
“จนช็อคโกแลตร้อนเป็นช็อคโกแลตเย็นแล้วเนี่ย สงสัยจะไม่มาแล้วมั้ง”คนตัวเล็กที่คิดเอาไว้ว่าจะค่อยๆ ละเลียดจิบเครื่องดื่มในแก้วเพราะกลัวว่าหากเจอกับหนุ่มปริศนา แล้วจะเขิลอายจนไม่กล้าพูดอย่างน้อยก็ยังสามารถจิบเครื่องดื่มแก้เขิลได้ แต่ดูเหมือนว่าความคิดนั้นจะไม่จำเป็นเสียแล้ว เพราะว่าจนถึงตอนนี้แม้แต่เพียงเศษเสี้ยวเงาของใครคนนั้น หนุ่มผิวแทนก็ยังไม่เห็นเลย
“เฮ้อ กลับดีกว่า แล้วเดี๋ยวยังไงค่อยฝากไอ้บ้านั้นเอาบัตรไปคืนเขาแล้วกัน เอ๊ะ...”คนตัวเล็กที่นั่งคุดคู้ห่อตัวท่ามกลางสายลมแรงและไอเย็นที่หนาวเหน็บไม่ไหวอีกต่อไป ตัดสินใจที่จะลุกขึ้นเพื่อเดินทางกลับบ้าน แต่เมื่อมองดูบัตรที่ได้รับมาในมือก็ต้องร้องเสียงหลง เพราะในบัตรดันเขียนระบุไว้ว่าสามารถใช้ได้ภายในวันที่กำหนดเท่านั้น และวันนั้นก็คือวันนี้ ดังนั้นหากเขาเอามันไปคืนคนตาฟ้าในวันรุ่งขึ้นเพื่อให้เขาเอาไปคืนเจ้าของ บัตรมันก็หมดอายุอยู่ดีและถ้าเป็นแบบนั้นมันก็แอบน่าเสียดายเพราะราคาที่ปรากฏอยู่หน้าบัตรมันก็แพงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
“จะทิ้งไปก็น่าเสียดาย นั่งชมวิวคนเดียวแก้เซ็งก็ไม่เป็นไรมั้ง” คนตัวเล็กคิดในใจพร้อมกับเม้มปากมองบัตรเจ้าปัญหาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งหงุดหงิดที่เสียเวลา แต่งตัวและมานั่งรอท่ามกลางอากาศเหน็บหนาว เจ็บใจเพราะคิดว่าเขาอาจะโดนกลั่นแกล้งโดยใครสักคนที่ไม่ชอบหน้าเขา หรือจริงๆ แล้วอาจจะเกิดเรื่องที่ไม่ดีกับเขาคนนั้นเลย ทำให้ไม่สามารถมาตามนัดได้ก็ได้ แต่แม้ว่าในสมองจะตีกันอลม่านไปหมด แต่ขาทั้งสองข้างกลับสามัคคีกันเดินตรงดิ่งไปที่ชิงช้าสวรรค์ อาจจะเป็นเพราะอวัยวะส่วนนี้รับรู้ได้ว่าหากปล่อยเวลาผ่านเลยไปจนเย็นย่ำกว่านี้ อากาศโดยรอบคงจะรุนแรงเป็นทวีคูณจนมันน่าจะใช้การต่อไม่ได้เป็นแน่
   แม้จะบอกว่าบริเวณตรงกลางระหว่างหน้าชิงช้า ตึกศูนย์ศิลปะและการแสดงจะถูกห้ามไม่ให้มีสิ่งกีดขวางใดๆ เพื่อเป็นอุปสรรคต่อการวิ่งและออกกำลังกาย แต่บ่อยครั้งก็จะมีพ่อค้าแม่ค้าที่เป็นแผงลอยเคลื่อนที่คอยฝ่าฝืน ชอบเดินเอาลูกโป่ง ของที่ระลึก และขนมมาเดินเร่ขายนักท่องเที่ยวและชาวบ้านท้องถิ่นอยู่บ่อยครั้ง จนภาพที่ตำรวจเทศกิจวิ่งไล่จับคนกลุ่มนี้นั้นเป็นภาพปกติที่คนที่เดินผ่านไปผ่านมาในบริเวณนี้เห็นจนชินตา
   “Do you want some cotton candy?” (หนูอยากได้ขนมสายไหมสักหน่อยไหมจ๊ะ) คุณยายผิวสีรูปร่างท้วมถามขึ้นพร้อมรอยยิ้ม เมื่อเห็นคนตัวเล็กเดินผ่านมาในระยะที่เธอสามารถสื่อสารได้
   “Ah…No thank you.” (เอ่อ... ไม่เป็นไรครับขอบคุณ) คนตัวเล็กพูดพร้อมกับยิ้มตอบกลับไป แต่ดูเหมือนว่ารอยยิ้มที่เคยเปื้อนหน้าของคุณยาย จะเป็นเพียงแค่ยิ้มการค้า เพราะทันทีที่ธันปฎิเสธเธอ รอยยิ้มนั้นก็หุบลงพร้อมเปลี่ยนเป็นสีหน้าบึ้งตึงและถอนหายใจอย่างหัวเสีย ก่อนจะเดินจากไปทิ้งธันให้ขมวดคิ้วยืนงงว่าเขาทำอะไรผิด และตลอดการเดินทางไปที่ The Wheel of Brisbane คนผิวแทนก็โดนยัดเยียดขายของตลอดเส้นทางซึ่งเมื่อปฏิเสธไปก็มักจะโดนมองกลับมาด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร จนคนตัวเล็กเริ่มจะหงุดหงิด ยิ่งพอมาถึงตรงข้างหน้าชิงช้าแล้วพนักงานที่รับบัตรกลับบอกอะไรบางอย่าง บางอย่างที่คนตัวเล็กแทบจะร้องกรี๊ดออกมาด้วยความหัวเสีย
   “Sorry but the minimum for starting this wheel is two people but now we have only you. Maybe you have to come back tomorrow.” (ขอโทษด้วยค่ะ พอดีจำนวนคนขั้นต่ำที่ทางเรากำหนดอยู่ที่สองท่านนะคะ แต่ว่าตอนนี้ทางเรามีแค่น้องคนเดียวยังไงอาจจะต้องกลับมาใหม่พรุ่งนี้นะคะ) พนักงานสาวที่เหงื่อเริ่มตกแม้อากาศข้างนอกจะหนาวจนทำให้ฟันของคนตัวเล็กกระทบกันอย่างไม่เป็นจังหวะ หากจะถามหาสาเหตุก็อาจจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้ เมื่อคนตัวเล็กได้มาถึงและยื่นบัตรเพื่อจะนั่งชิงช้า เธอก็ได้ปฎิเสธไปแล้วรอบหนึ่งด้วยเหตุผลข้างต้น แล้วพอคนตัวเล็กบอกว่า ถ้าเธอไม่ให้เขานั่งวันนี้ก็ต้องเอาบัตรใหม่มาเปลี่ยนให้เพราะบัตรเขามันหมดอายุแล้ววันนี้ และเขาไม่ยอมเสียสิทธิไปฟรีๆ แน่ ซึ่งเธอเองก็เป็นพนักงานใหม่และไม่รู้ว่ามันทำได้หรือเปล่า ครั้นพอโทรไปหาหัวหน้าก็ยังไม่รับสาย ดังนั้นเธอจึงต้องมานั่งยืนยิ้มแห้งๆ ต่อหน้าคนตัวเล็กแบบนี้
   “But it not fair for me, right? If you can’t run this wheel you have to change the new ticket to me” (แต่มันไม่ยุติธรรมใช่ไหมล่ะ ถ้าเกิดคุณไม่สามารถเปิดเครื่องนี้ได้คุณก็ต้องเอาบัตรอันใหม่มาแลกกับผมสิ) คนตัวเล็กที่อยู่ๆ ก็เก่งภาษาอังกฤษขึ้นมากะทันหันเมื่อมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องเถียงกลับไป แต่ก่อนที่คนตัวเล็กจะได้พูดอะไรไปมากกว่านั้นก็มีมือหนาๆ มือหนึ่งยื่นบัตรอีกใบส่งข้ามหน้าธันไปให้พนักงานสาว
   “Let count me in” (ขอผมนั่งด้วยละกันครับ) และเมื่อไล่จากมือไปยังหน้าของเจ้าของบัตรคนตัวเล็กก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความไม่สบอารมณ์เพราะมันไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่เพิ่งเลี้ยงช็อคโกแลตร้อนเขาไปเมื่อครู่นี้เอง
   “OK, but for let, you know you have to take the same gondola” (ได้เลยค่ะ แต่ต้องขอแจ้งให้ทราบก่อนว่าพวกคุณต้องนั่งกระเช้าเดียวกันนะคะ) พนักงานสาวรีบพูดชี้แจ้งก่อนจะเดินตรงไปเปิดประตูกระเช้าพร้อมกับผายมือให้ทั้งคู่เดินเข้าไป
   ซึ่งถึงแม้ว่าคนตัวเล็กจะมีอีกหลายร้อยคำถามอยู่ในหัว อย่างเช่นว่า ทำไมเขาถึงต้องมานั่งชิงช้าอันเดียวกันกับคนตัวสูงด้วย ทั้งๆ ที่กระเช้าอื่นก็ว่าง หรือ เธอสามารถโทรหาหัวหน้าเธออีกทีได้ไหมเรื่องการใช้สิทธิ์วันหลังหรือการคืนเงินเพราะอากาศตอนนี้มันเริ่มหนาวขึ้นเรื่อยแล้ว
   “Can you move please because I want to see the view today.” (ช่วยขยับหน่อยได้ไหม เพราะฉันอยากจะดูวิววันนี้นะ) คนผมสีอัลมอนด์พูดเสียงเรียบๆ ไปยังคนผิวแทนซึ่งกำลังยื่นตัวแข็งหน้ามุ่ยด้วยความไม่สบอารมณ์อยู่
   “Hurrr ok” (เฮ้อออ โอเค) คนตัวเล็กที่ตอนนี้โดนสถาณการณ์บังคับ ได้แต่ถอนหายใจพร้อมทำหน้าซังกะตาย ก่อนที่จะเข้าไปนั่งข้างในกระเช้าโดยมีคนตาฟ้าตามเข้ามานั่งยังฝั่งตรงข้าม
   The Wheel of Brisbane มีความสูงอยู่ในระดับตึกเกือบสิบชั้นและด้วยความที่มันถูกออกแบบมาให้เปิดโล่งเพื่อที่จะได้เห็นวิวได้ทุกจุด 360 องศาจนทำให้มองเห็นวิวเมืองและแม่น้ำได้อย่างชัดเจน ซึ่งธันเองก็คงจะมีภาพจำที่น่าประทับใจในการขึ้นมาดูวิวบนนี้อยู่บ้าง หากเขาไม่ใช้เวลาเกือบทั้งหมด ตั้งแต่ขึ้นมาในการถูมือเพื่อไล่ความหนาว เนื่องจากเขาใส่เสื้อผ้าที่มันค่อนข้างที่จะบางและต้านทานลมหนาวไม่ได้เลย อีกทั้งเมื่อกระเช้ามันเปิดโล่ง ก็แน่นอนที่ลมหนาวจากทั่วสารทิศจะสามารถโอบล้อม เข้ามาปะทะคนที่อยู่ข้างในได้โดยไม่มีอะไรมากั้นกลางไว้ จนทำธันเองต้องนั่งสั่นสะท้านอยู่แบบนี้
   “โอ้ย นะนะนะหนาว จะจะจะจจังเลย” หนุ่มผิวแทนที่ตอนนี้เริ่มจะรู้สึกได้ว่าคิดผิดที่เลือกจะขึ้นมานั่งบนชิงช้าสวรรค์ แทนที่จะยืนกรานขอเงินคืนหรือขอตั๋วใบใหม่กับพนักงาน เพราะตอนนี้ทั้งมือและหน้าของเขาก็เริ่มจะมีอาการชาจนแทบจะไร้ความรู้สึกแล้วนี่ยังไม่นับอาการที่ฟันกระทบกันจนฟันแทบจะแตกเป็นผุยผงแล้ว
   “ฟึ่บ” เสียงของเสื้อโค้ดหนาแหวกผ่านสายลมแรง ก่อนจะจบลงโดยการมาทาบทับกับร่างกายของคนตัวเล็กที่ตอนนี้เริ่มจะนั่งคุดคู้สู้กับความหนาวเย็นอยู่ ซึ่งเมื่อคนตัวเล็กได้รับเสื้อหนามาคลุมตัวก็ต้องแปลกใจจนเลิกคิ้วขึ้นเพราะเขาไม่คิดว่าคนตาสีฟ้าจะเสียสละยอมทนหนาวเพื่อเขาได้ แต่คำถามที่สำคัญกว่านั้นคือคนข้างๆ จะทนหนาวไปเพื่อเขาทำไม
   “What are you doing” (นายทำอะไรน่ะ) คนตัวเล็กถามออกไปด้วยเสียงที่ยังคนสั่นเล็กน้อยเพราะยังไม่หายหนาวดี
   “Maybe, I don’t want you to die” (บางทีฉันก็แค่ไม่อยากให้นายตายมั้ง) คนตาฟ้าพูดขณะหันหน้าไปมองวิวทิวทัศน์ด้านนอกกระเช้า ที่ตอนนี้ฟ้าเริ่มจะเปลี่ยนเป็นสองสีแล้วซึ่งพอมาคิดๆ ดูแล้วนั่นก็เป็นปฏิสัมพันธ์แรกระหว่างคนตัวเล็กและคนตัวสูงเลย เพราะว่าตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในกระเช้านี้นอกจาก ที่รูเบนจะทำจมูกฟุดฟิดและพูดภาษาที่เขาไม่รู้จักมาหนึ่งประโยคถ้วนกับหยิบโทรศัพท์มาทำอะไรสักอย่าง นอกนั้นต่างคนก็ต่างอยู่ในโลกของตัวเองโดยคนผมสีวอลนัท ส่วนมากก็จะมองเหม่อดูวิวทิวทัศน์ที่ด้านนอกส่วนธันเองก็คิดหาวิธีที่จะทำยังไงไม่ให้แข็งตายอยู่ด้านบนนี้ 
   “Even you are foul-mouthed but thank you.” (แม้นายจะปากหมาแต่ก็ขอบใจนะ)” คนตัวเล็กพูดพร้อมกลั้นยิ้มขำๆ ก่อนจะจิบเครื่องดื่มของตนที่ยังเหลืออีกครึ่งแก้ว และเริ่มจะใช้สมาธิจดจ่อชมวิวทิวทัศน์ด้านนอกได้บ้างเพราะความหนาวเริ่มจะแปรเปลี่ยนเป็นความอบอุ่นขึ้นมาบ้างแล้ว
   “So why you are here. I mean in the cafe and the wheel of Brisbane” (แล้วทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี้ล่ะ ฉันหมายถึงทั้งคาเฟ่แล้วก็ชิงช้าสวรรค์ของบริสเบน) คนผิวแทนที่เก็บความสงสัยไว้ไม่ไหวจนต้องหันหน้ามาถามคนผิวขาวที่ยังคงหันหน้าออกไปด้านนอกอยู่
   “Easy because I like both of them and I don’t have anything to do today” (ง่ายมากก็เพราะฉันชอบมันทั้งคู่และวันนี้ฉันไม่มีอะไรทำยังไงละ) คนตาฟ้าพูดเสียงเรียบโดยตายังคงจดจ้องอยู่ที่วิว
   “Oh, Ok, and why you bought the hot chocolate for me?” (อืม แล้วทำไมนายถึงจ่ายค่าช็อคโกแลตร้อนให้ฉันละ) คนตัวเล็กที่ค่อยๆจิบช็อคโกแลตร้อนที่ไม่ค่อยร้อนเหมือนชื่อแล้วถามขึ้น
   “Because that staff wrote down my name on that cup. That why I paid nothing special” (เพราะว่าพนักงานเขียนชื่อฉันลงไปบนแก้วไงฉันถึงได้จ่ายน่ะ ไม่มีอะไรพิเศษหรอก) คนตาฟ้าที่เริ่มเอามือเกยคางและทำตาปรือๆ ด้วยว่าสายลมอาจจะพัดไปที่ตาเขาเข้าจนทำให้คนผมสีวอลนัทเริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมาก็เป็นได้
   “Um… And can I ask you something, who is the guy that gives charm and ticket to me?” (อืม... งั้นฉันถามหน่อยได้ไหมใครกันที่เป็นคนเอาจี้และตั๋วชิงช้าสวรรค์มาให้ฉันน่ะ) ถึงแม้คำตอบของคนตาฟ้าจะไม่ใช่สิ่งที่คนตัวเล็กอยากได้ยิน แต่อย่างน้อยเขาก็อาจจะได้คำตอบอย่างอื่นที่เขาตามหากับคนข้างๆ ก็ได้
   “I can’t tell you but you will know at soon” (ฉันบอกนายไม่ได้หรอก แต่เดี๋ยวนายก็จะรู้เร็วๆ นี้แหละ) คนตาฟ้าหันกลับมามองธันด้วยรอยยิ้มที่ดูแปลกๆ
พอมาคิดๆ ดูรูเบนเหมือนคนที่มีสองบุคลิกอยู่ในตัวอย่างไรก็ไม่รู้ เพราะเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ตอนพวกเขาเดินทางไปยังศูนย์พิทักษ์พันธ์สัตว์ป่าฯ รูเบนก็ดูจะสามารถเข้าถึงได้และถ้าหากคนตัวเล็กไม่ได้คิดไปเองก็ดูเหมือนคนข้างๆ จะรู้สึกอะไรบางอย่างกับเขาด้วย แต่มาวันนี้คนๆ นี้ กลับดูห่างไกลและเข้าถึงไม่ได้เลย ซึ่งบางทีให้มันเป็นแบบนี้ก็อาจจะดีแล้ว เพราะตัวเขาเองก็รู้อยู่เต็มอกว่า เพื่อนของเขาชอบรูเบนและมันคงไม่ดีแน่ที่จะต้องมาผิดใจกันในเรื่องแบบนี้ เขาก็แค่เป็นคนที่อยากจะทำให้ทุกคนมีความสุข แม้มันจะต้องแลกกับการเก็บซ่อนความรู้สึกอะไรบางอย่างของตัวเขาเองก็ตาม
   “กึกๆ กึกๆ กึกๆ แอ๊ดดดดด”เสียงเฟืองเหล็กกระทบกันอย่างไม่เป็นจังหวะดังขึ้นและสิ้นสุดลงด้วยเสียงที่คล้ายกับมีอะไรฝืดๆ ติดอยู่ตรงข้อต่อเหล็ก แต่เสียงนั้นก็ไม่น่าหวั่นใจเท่ากับตอนนี้ชิงช้าสวรรค์นั้นได้ค้างเติ่งอยู่ตรงกลางท้องฟ้าในจุดกึ่งกลางที่มีความสูงที่สุดพอดิบพอดี ซึ่งนั่นก็เกินพอที่จะทำให้คนตัวเล็กตาเหลือกและเริ่มกวาดตามองหาปุ่มช่วยเหลือที่อยู่ด้านในกระเช้าและมันน่าหวั่นใจเหลือเกินว่าจะไม่มีปุ่มนั้นอยู่ในนี้
   “Oh my god, Do you see any button or something it could help us.” (โอ้พระเจ้า นายเห็นปุ่มหรืออะไรที่จะสามารถช่วยเราได้บ้างไหม) ธันเริ่มจะสติกระเจิงและมันสามารถสังเกตได้อย่างชัดเจนบนสีหน้าและน้ำเสียงของเขา แต่กลับกันคนตาฟ้าดูใจเย็นมาก แม้ในสถานการณ์วิกฤติแบบนี้และนั่นก็ทำให้คนตัวเล็กเริ่มจะระเบิด
   “Hey, can you say something or find some help I don’t want to die here” (นายช่วยพูดหรือทำอะไรหน่อยได้ไหมฉันไม่อยากจะมาตายอยู่บนนี้นะ) คนผิวแทนพูดขึ้นอย่างมีอารมณ์เพราะตั้งแต่เขาร้องขอให้รูเบนลองมองหาสิ่งต่างๆ ที่จะสามารถช่วยพวกเขาได้แต่จนถึงตอนนี้คนตาฟ้าก็ยังไม่เห็นจะทำอะไรสักอย่างนอกจากกดมือถืออย่างใจเย็น
   “Can you calm down” (ช่วยใจเย็นหน่อยได้ไหม) คนตาฟ้าจ้องมองในตาของคนตัวเล็กอย่างไม่สะทกสะท้านจนธันเริ่มจะมีอารมณ์หนักขึ้นไปอีก ทั้งอารมณ์ที่เกิดจากความกลัวและความที่ไม่ได้ดั่งใจ
   “Come down what we are going to die and you oop” (ใจเย็นอะไรละ เรากำลังจะตายกันแล้วแล้วนายยัง อุ๊บ) อารมณ์โมโหและหวาดกลัวที่อยู่ในใจธันถูกพัดดับวูบลงด้วยริมฝีปากสีกุหลาบของชายนัยส์ตาสีฟ้า
เพราะในขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรอีกสักอย่างด้วยความตื่นตกใจ มือหนาก็รั้งเอวสอบเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วจนเจ้าของเอวไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนจะรีบกดริมฝีปากนุ่มเข้ามาประกบกับริมฝีปากบางด้วยความนุ่มนวลและอบอุ่นเหมือนดวงตะวันยามเช้า จนความร้อนนั้นแผ่ซ่านจากหน้าลามไปทั่วตัวและแม้ลมหนาวภายนอกยังคงพัดมาอย่างไม่หยุดหย่อน แต่มันก็คงจะไม่มีผลอะไรกับคนตัวเล็กอีกต่อไป เมื่อร่างกายและหัวใจของคนตัวเล็กถูกโอบกอดไว้จากมือหนาที่ยังคงจับเอวบางอย่างอ้อยอิ่งและดูทีท่าว่าคงจะยังไม่ปล่อยในเร็วๆ นี้แน่
แม้สมองส่วนหนึ่งจะร้องตะโกนออกมาว่าให้เอามือผลักออกไปเพราะคนๆ นี้เป็นของฮานะ เป็นคนที่เพื่อนเขาชอบ แต่สมองส่วนที่เหลือกลับเหมือนค่ำคืนที่มีดอกไม้ไฟหลากสีถูกจุดอยู่เต็มท้องฟ้า มันช่างสวย เปล่งประกาย และงดงามจับใจจนยากจะลืมเลือน
    “I said calm down” (ฉันบอกว่าใจเย็นยังไงล่ะ) รูเบนพูดด้วยเสียงกระเส่าก่อนจะก้มลงจุตพิตอย่างแผ่วเบา บนริมฝีปากของธันอีกครั้งที่ตอนนี้มันขึ้นสีแดงระเรื่อจากการโดนกดจูบในครั้งก่อน และในวินาทีนี้คนตัวเล็กก็ไม่สามารถรับรู้ได้อีกต่อไปว่าคนผมสีวอลนัทพูดโดยใช้น้ำเสียงแบบไหนที่จริงแล้วเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่เขามองตาอยู่พูดว่าอะไร
เพราะขนาดด้านล่างมีเทศกิจวิ่งไล่พ่อค้าแม่ค้าจนเสียงดังวุ่นวายและลูกโป่งถูกปล่อยหลุดมือลอยขึ้นมาเต็มท้องฟ้า ก็ไม่ยังไม่สามารถดึงความสนใจของคนตัวเล็กไปได้เลย เพราะในสมองของเขาตอนนี้มีเสียงเพลงเพลงหนึ่งดังก้องอยู่ในหัว ส่วนหัวใจก็ถูกพัดให้ลอยละลิ่วปลิวขึ้นมาด้วยความรู้สึกและอารมณ์อ่อนไหว เหมือนกับลูกโป่งหลากสีที่ลอยไปมาอย่างไม่รู้ทิศรู้ทางจากสายลมหนาวในฤดูใบไม้ผลินี้
   “This is our place, we make the rules
And there's a dazzling haze, a mysterious way about you, dear
Have I known you twenty seconds or twenty years?
Can I go where you go?
Can we always be this close forever and ever?
And ah, take me out, and take me home
You're my, my, my, my lover”
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่15 (หน้าสอง) ✈
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 11-07-2020 22:52:21
ธัน ความโกรธบังตาและไม่ชอบคนขี้เก็ก ถ้าใจเย็นสักนิดก็จะรู้ว่าใครเป็นคนนัดและให้ตั๋วมา
เมื่อเจอตัวกับเป็นห่วงความรู้สึกเพื่อนอีกว่า ฮานะชอบรูเบนเลยปิดกั้นความรู้สึกไปอีก
แต่ที่คิดไว้ว่าได้จูบคนที่อยู่บนชิงช้าสวรรค์จะได้อยู่คู่กันตลอดไป แม้ไม่ได้ตั้งใจ ก็สมหวังแล้วดิ
 :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่15 (หน้าสอง) ✈
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 12-07-2020 00:51:02
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่15 (หน้าสอง) ✈
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 14-07-2020 11:47:44
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่15 (หน้าสอง) ✈
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 14-07-2020 19:40:38
คนเขียนแอบอยากถามนิดหนึ่ง ว่าฉาก NC มีผลต่อยอดอ่านมากน้อยขนาดไหนกันเหรอครับ
ป.ล. เป็นการอยากรู้ส่วนตัวเฉยๆ ไม่ได้มีผลอะไรกับเส้นเรื่องนะครับ
หัวข้อ: When love travel Ep.16 ความรักในสวนสาธารณะ ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 17-07-2020 21:43:08
   วันนี้เรื่องราวมันเริ่มต้นขึ้นด้วยสายลมเย็นเอื่อยๆ แผ่วๆ แสงแดดรำไรยามเช้าและเงาเล็กๆ ใต้ต้นไม้สูงใหญ่ชื่อว่า Golden Penda
   “แล้วถ้าเป็นมึงอ่ะ มึงจะทำยังไง เขาเป็นคนที่เพื่อนมึงชอบนะเว้ย แถมเพื่อนมึงก็พูดออกตัวกับมึงมาตั้งนานแล้วด้วย” ธันถามคนปลายสายด้วยน้ำเสียงที่มีความสับสนและเอ่อล้นไปด้วยความกังว
   “ก่อนจะไปถึงว่าเพื่อนมึงชอบเขาอ่ะ กูขอถามมึงหน่อยว่าเขาชอบเพื่อนมึงหรือเปล่า”เสียงปลายสายที่ฟังยังไงก็ดูเป็นผู้หญิงแต่เจ้าตัวกลับบอกว่าเสียงแบบตน เป็นเสียงของผู้ชายหวานๆ ต่างหาก
   “อันนั้นกูก็ไม่รู้นะ แต่ตัวผู้หญิงเขาก็ดูพยายามเต็มทิอยู่นะ ไหนจะทำข้าวกลางวันมาฝากทุกวัน พยายามชวนไปไหนมาไหนด้วยทุกครั้งที่มีโอกาส เวลาลงรูปอะไรในไอจีหรือเฟสบุ๊คก็ชอบแท็กหาผู้ชายตลอด” คนตัวเล็กเล่าการกระทำพักหลังๆ ที่สาวญี่ปุ่นปฏิบัติต่อหนุ่มตาฟ้า
   “แล้วผู้ชายล่ะ เขาตอบโต้ยังไง”จ๊ะเอ๋ถามกลับทันควันหลังจากธันพูดยังไม่ทันจะจบประโยคดี
   “เอ่อ...ไม่รู้สิ หมอนั้นก็ดู ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นะ” ธันพูดอย่างไม่เต็มเสียงเท่าใดนัก เพราะเอาเข้าจริงแล้วในเวลาพักกลางวัน กับข้าวของฮานะที่ทำมาให้รูเบนกินก็มักจะเหลือทิ้งเป็นประจำ ไหนจะการปฎิเสธแบบไร้เยื่อใย ในทุกครั้งที่สาวเจ้าชวนไปไหนมาไหนอีก ส่วนเรื่องที่จะมาตอบหรือมาคอมเม้นท์อะไรคืนในโลกโซเชียลน่ะเหรอ แทบจะไม่ต้องพูดถึงก็คงเดาได้มั้ง
   “แล้วกับมึงล่ะ เขาปฏิบัติตัวยังไง”เสียงปลายสายพูดขึ้นมาอย่างเรียบๆ และเว้นช่วงไปหลายอึดใจเพื่อให้คนตัวเล็กได้ทบทวนและคบคิดสิ่งที่ตนได้รับมา
   “ก็ปกตินะก็ แต่เขาชอบแอบจิ้มกับข้าวในกล่องของกู เวลากูหันหน้าไปทางอื่น แล้วหลังจากได้เฟสกับไอจีกูไปก็ชอบมากดไลค์ให้บ่อยๆ แต่มันก็ดูธรรมดาปะวะ ก็แค่เพื่อนกัน”ธันนึกไปถึงทุกช่วงกลางวันที่เมื่อไม่มีใครจับตามองรูเบน เขาก็จะรีบใช้ความไวของมือแอบฉกฉวยอาหารจากจานของคนตัวเล็ก ซึ่งบ่อยครั้งที่เจ้าของอาหารหันมาพบแต่หัวขโมยก็จะทำเนียนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าวันไหนคนผมสีวอลนัทไม่มีจังหวะได้หยิบฉวยกับข้าวจากคนผิวแทนแล้วละก็ หลังจากมื้อกลางวันก็จะได้เห็นคนบางคนทำหน้าเหมือนปวดท้องตลอดเวลา
   ส่วนเรื่องเฟสบุ๊คและไอจีนั้นคนตัวเล็กไม่ได้มองว่ามันพิเศษหรือผิดปกติอะไรเพราะว่าวันที่ รูเบนขอเฟสบุ๊คและไอจีคนผิวแทน เขาก็ไม่ได้ขอแค่กับคนผิวแทนคนเดียว แต่ว่าขอกับทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นโดยคนตาฟ้าบอกว่า เขาเพิ่งจะสมัครเฟสกับไอจี เลยอยากมีเพื่อนในโลกออนไลน์เยอะๆ แล้วจากมุมมองของคนตัวเล็กการที่คนที่เพิ่งเข้ามาเล่นโซเชียลมีเดียจะมากดไลค์ให้บ่อยๆ ก็อาจจะเป็นเพราะยังไม่รู้ละมั้ง ว่าควรจะกดไลค์กับสิ่งที่ตัวเองสนใจจริงๆ หรือบางทีตานี้อาจจะเป็นพวกกดไลค์ไปเรื่อยก็ได้
   “เหรอ แล้วมึงละมึงรู้สึกอะไรกับเขาบ้างไหม” คำถามของจ๊ะเอ๋เป็นคำถามที่เรียบง่ายมากแต่มันก็ทำให้ผู้ถูกถามรู้สึกสะอึกได้เช่นกัน เพราะพอลองค้นเข้าไปในหัวใจของธันแล้วนั้นมันช่างดูขมุกขมัว สับสนและยุ่งเหยิง บางครั้งมันก็รู้สึกพองโตยามที่รูเบนเข้ามาคุยดีๆ ด้วย ถึงส่วนใหญ่จะเข้ามาพูดจากวนอวัยวะเบื้องล่างมากกว่าก็เถอะ ไหนจะรอยยิ้มที่ดูงดงามและอบอุ่นที่คนตาฟ้าชอบแอบยิ้มมาทางเขาทุกครั้งที่สบโอกาสอีก แต่ก็อีกนั้นแหละ เพราะคนตัวเล็กนั่งตรงกลางระหว่างพี่ซีอิ๊ว และ เจ้าเตย ก็เลยบอกได้ไม่เต็มปากว่าหนุ่มผมสีวอลนัทมอบรอยยิ้มนี้ให้ใครกันแน่ แต่เรื่องที่มันเกาะกุมหัวใจคนตัวเล็กมาสักพักแล้วน่าจะเป็นเรื่องจูบวันนั้นที่บนชิงช้าสวรรค์มากกว่า
   เพราะหลังจากที่เครื่องกลับมาทำงานเป็นปกติและหมุนลงมาบรรจบตรงพื้นดินจนทั้งคู่สามารถก้าวออกมาจากกระเช้าได้แล้วนั้น ต่างฝ่ายต่างก็เงียบใส่กันเหมือนกลับจะปล่อยให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นข้างบนนั้นเลือนหายไปกลับสายลมแรงของวันนั้น และถึงแม้คนตัวสูงจะเดินมาส่งคนตัวเล็กถึงหน้าที่พักแต่ระหว่างทางที่เดินมา ก็ไม่มีใครจะปริปากพูดอะไรต่อกันเลยแม้เพียงประโยคเดียว คงจะมีก็แต่เพียงสายตาที่มันดูสั่นไหวและรอยยิ้มที่ยังดูไม่มั่นคงจากคนผิวแทนที่มอบให้คนผิวขาว
แต่สิ่งที่น่าตลกก็คือรูเบนไม่เคยจะรู้เลยว่าตนได้รับสายตาและรอยยิ้มแบบนั้น เพราะว่าคนตัวเล็กมอบทั้งรอยยิ้มและแววตาของตนให้กับอีกฝ่าย เมื่อบานประตูด้านหน้าที่พักถูกปิดลงไปแล้ว ซึ่งตั้งแต่วินาทีนั้นจนถึงตอนนี้ทั้งคู่ก็ยังไม่ได้เปิดใจพูดถึงเรื่องเหตุการณ์ในวันนั้นต่อกันเลย
“ถ้าถามกูตอนนี้กูก็ยังตอบไม่ได้ว่ะมึง จริงๆแล้วมันก็อาจจะเร็วไปสำหรับกูด้วยหรือเปล่า ที่จะรู้สึกดีกับใครแบบนั้น กูกับพี่กราฟเลิกกันยังไม่ถึงห้าเดือนเลยนะเว้ย” คนตัวเล็กพูดด้วยน้ำเสียงอันสั่นไหวจากแผลใจเมื่อครั้งอดีตที่ยังไม่หายจากอาการตกสะเก็ดดี
“มึง จากสิ่งที่มึงเล่าให้กูฟังมานะ กูว่าเขาไม่ได้ชอบเพื่อนมึงหรอกว่ะ”คนปลายสายพูดมาด้วยเสียงนิ่งๆ เหมือนกับผิวน้ำยามคลื่นลมสงบ มันดูใสและไร้ซึ่งอคติใดๆ
“ทำไมมึงถึงคิดอย่างนั้นวะ” ธันถามกลับไปด้วยความรู้สึก ปนๆ กัน ทั้งแอบดีใจนิดๆ ที่มีคนคิดเหมือนเขาว่าคนตาฟ้าไม่ได้ชอบฮานะ แต่ก็แอบรู้สึกแย่อยู่ในทีเพราะตนดันมามีความสุขบนความตั้งใจและความพยายามที่ดูเหมือนจะสูญเปล่าของเพื่อนแบบนี้
“มึง ถามความเป็นผู้ชายที่ยังหลงเหลืออยู่ในตัวมึงดูสิ ผู้ชายอ่ะนะ ถ้าลองได้ชอบใครแล้วมันพุ่งเข้าหาเต็มที่อยู่แล้ว ไม่มีถอยหรอก อาการที่แบบดูไม่ค่อยสนใจแบบนี้มันก็มีความหมายอยู่ในตัวอยู่แล้วป่ะ” จ๊ะเอ๋ที่แม้จะยังมีร่างกายบางส่วนเป็นผู้หญิงอยู่แต่ทั้งหัวใจและจิตวิญญาณนั้นเป็นผู้ชายมานานแล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะสามารถพูดความรู้สึกนึกคิดในมุมมองของผู้ชายได้โดยไม่มีผิดเพี้ยน
“แล้ว มึงว่า เอ่อ...มึงว่าเขาคิดยังไงกับกู”คนตัวเล็กช่างใจอยู่เสี้ยววินาทีหนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยถามไปด้วยหัวใจที่ดูจะสั่นไหวเล็กน้อยเหมือนกัน
“อันนี้กูคิดว่าเขารู้สึกดีกับมึงอยู่นะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นแบบเพื่อนหรือว่าจะพัฒนาต่อไปได้มากกว่านี้ เพราะข้อมูลที่มึงให้มามันน้อยมาก มึงไม่ได้มีอะไรอย่างอื่นปิดบังกูใช่ไหม” ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงคาดคั้นเหมือนกับคนสนิทที่จะรู้แกวกันและกันว่าอย่างไหนคือเล่าหมดแล้วและอย่างไหนคือยังกั๊กไว้
“อะไร ไม่มี กูเล่าไปหมดแล้วไง” อันที่จริงถ้าไม่นับเรื่องการถูกจูบบนชิงช้า ทั้งเหตุการณ์ที่คนตาฟ้ากินแซนด์วิชด้วยการป้อนของคนตัวเล็กบนรถ การขี่สกูตเตอร์ไปส่งถึงหน้าที่พักในค่ำคืนที่มืดมิดและเหน็บหนาว รวมถึงการที่กินอาหารที่ไหม้เกรียมจากการแกล้งของเขาจนหมด ทุกอย่างที่เขาได้พบเจอมาก็ถูกเล่าออกจากปากของคนผิวแทนสู่คนปลายสายด้วยความจริงล้วนๆ โดยไม่มีการใส่สี ใส่ไข่ใดๆ เพราะคนตัวเล็กก็ต้องการความเห็นที่เที่ยงตรงกันเช่นเดียวกัน
“ถ้างั้น กูก็ตอบได้เท่านี้แหละ เออ ยังไงดูแลตัวเองด้วยนะมึงกูต้องไปแล้ว พอดีต้องออกไปทำมาหากินอ่ะ ไม่ได้ว่างเหมือนใครบางคน”คนปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงติดตลก ก่อนจะได้รับรางวัลเป็นการสบถคำบางคำกลับไปอย่างรวดเร็วก่อนจะทันได้กดวางสาย
“ฉันรู้สึกดีกับนาย ส่วนนายก็อาจจะรู้สึกดีกับฉันเหมือนกัน มันหมายความว่ายังไงกันนะ” คนตัวเล็กลุกขึ้นพร้อมกับยัดโทรศัพท์ที่เพิ่งจะกดวางสาย ลงไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์ตัวเก่ง ก่อนจะเริ่มออกเดินกลับบ้านที่อยู่ห่างไกลออกไปเล็กน้อย โดยทิ้งดอกเพนซีสีม่วงที่ร่วงหล่นลงจากม้านั่งสู่พื้นด้านล่างและตามทางที่เขาก้าวเดินไปด้วย
หัวข้อ: When love travel Ep.16 ความรักในสวนสาธารณะ ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 17-07-2020 21:45:03
“Oop sorry” (อุ๊บส์ ขอโทษนะครับ) ธันที่มัวแต่ก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ไม่สนใจทาง รีบเอ่ยขอโทษอย่างรวดเร็วเมื่อรู้สึกตัวได้ว่า ตนได้เดินไปเหยียบเท้าใครบางคนเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจซะแล้ว
“Don’t worry. I am used to understanding your clumsy things.”  (ไม่ต้องห่วงฉันเริ่มจะคุ้นเคยกับการกระทำซุ่มซ่ามของนายแล้วละ) เสียงทุ่มๆ นุ่มๆ ที่ฟังดูคุ้นเคยดังขึ้นตรงหน้า จนคนผิวแทนต้องรีบเงยหน้าขึ้นมามอง หลังจากที่ตอนแรกก้มหน้าก้มตามองพื้นด้วยความรู้สึกสำนึกผิดอยู่
“Why you are here” (ทำไมนายมาอยู่นี้ได้ล่ะ) คนผิวแทนผงะถอยหลังเล็กน้อย ก่อนที่จะอ้าปากพูดประโยคดังกล่าวด้วยความรู้สึกแปลกใจ
“Why not this is a public park everyone can come” (ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ก็ที่นี้มันสวนสาธารณะ ใครจะมาก็ได้หรือเปล่า) คนตาฟ้าที่วันนี้มาในชุดออกกำลังกายของแบรนด์ใบไม้สามแฉกสีน้ำเงินทั้งท่อนบนและล่างบวกกับทรงผมที่ได้รับการจัดทรงมาอย่างดิบดี ช่างดูแตกต่างกับคนตัวเล็กที่เหมือนกับชุดที่ใส่อยู่บ้านพร้อมนอนและทรงผมที่ดูยุ่งเหยิง
“Oh ok, So... see you at school.” (อ๋อ เออ งั้นเจอกันที่โรงเรียนแล้วกันนะ) คนตัวเล็กเลือกจะตัดบทสนทนากับคนตัวโตลง เพราะไม่อยากจะมีอารมณ์ขุ่นมัวตั้งแต่เริ่มเช้าวันใหม่แบบนี้
แต่ก่อนที่คนผิวแทนจะได้เดินออกจากสวนสาธารณะไป ก็มีมือใหญ่ๆ มาเกาะกุมเข้าที่มือน้อยๆ โดยเจ้าของมืออันเล็กไม่ทันได้ตั้งตัว จึงเผลอสะบัดมือไปโดนหน้าของคนที่ยื่นมือมาจับเข้าด้วยความไม่ได้ตั้งใจ
“เพี้ยะ อุ๊บ”เสียงหลังฝามือปะทะเข้าไปที่ใบหน้าคมๆ เข้าอย่างจังจนคนตาฟ้าหน้าสะบัดไปในทิศทางของมืออย่างควบคุมไม่ได้ แต่แม้กระนั้นก็ไม่ได้มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาจากคนผมสีวอลนัทเลยแม้แต่น้อย จะมีก็แต่คนตัวเล็กที่เอามือป้องปากด้วยอารามณ์ตกใจแต่ก็ยังมีเสียงดังเล็ดลอดออกมาอยู่
“I am sorry. I didn’t do that on purpose.” (ฉันขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ) คนตัวเล็กพูดออกมาด้วยเสียงระส่ำระส่าย พร้อมกับจ้องไปที่ใบหน้าของคนตาฟ้าที่ตอนนี้ขึ้นรอยมือมาอย่างชัดเจน
“Say sorry is nothing to me” (พูดขอโทษมันไม่ได้มีค่าอะไรกับฉันหรอกนะ) รูเบนใช้เสียงแข็งจนทำให้คนตัวเล็กทำหน้าถอดสีหนักยิ่งกว่าเดิม
“Um… what do you need me to do?”  (แล้วนายจะให้ฉันทำยังไง) คนตัวเล็กพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีนัก ส่วนสายตาก็หลุบมองไปที่พื้นดินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“You have to eat breakfast with me” (นายต้องไปกินข้าวเช้ากับฉัน) รูเบนพูดด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลงแต่ก็ยังติดกระด้างอยู่บ้างอาจจะเป็นเพราะอาการเจ็บที่เพิ่งได้รับมาเมื่อสักครู่ และทั้งประโยคที่พูดกับน้ำเสียงที่ใช้ก็ทำให้คนตัวเล็กต้องเงยหน้าขึ้นมาจ้องตากับคนหน้าคมก่อนจะต้องพยักหน้าเป็นเชิงว่าตกลงช้าๆ ด้วยความกึ่งเต็มใจและไม่เต็มใจ
“Great. Follow me” (ดีงั้นตามฉันมา) คนตัวสูงพูดจบก็เดินกลับเข้าไปยังใจกลางสวนสาธารณะ และถึงแม้ทิศทางที่รูเบนเดินไปนั้นจะทำให้คนตัวเล็กรู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อย แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้ทำให้ธันเปลี่ยนใจไม่เดินตามไป ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าจุดหมายของของคนผมสีวอลนัทจะเป็นที่ใดก็ตาม
ผู้คนมากหน้าหลายตาหลากหลายเชื้อชาติเดินสวนกันอย่างขวักไขว่ ท่ามกลางร้านค้านับร้อยใจกลางสวนสาธารณะ Davies ที่ในวันธรรมดามันถูกใช้เป็นลานออกกำลังกายของคนท้องถิ่นในรัฐควีนแลนด์ แต่ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ในช่วงกลางวัน จะถูกใช้เป็นตลาดนัดที่ขายสินค้าท้องถิ่นราคาถูกให้นักท่องเที่ยวและชาวบ้านละแวกใกล้เคียงมาเดินจับจ่ายใช้สอยกัน ความสวยงามของตลาดนัดแห่งนี้นั้นนอกจากจะเป็นเรื่องของการจัดแยกประเภทร้านค้าได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและมีเจ้าหน้าที่มาเก็บกวาดขยะอยู่เนืองๆ แล้ว สิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือลูกค้า เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่าที่ตลาดแห่งนี้มีผู้คนหลากหลายมาจับจ่ายใช้สอยรวมถึงเหล่าคู่รักที่พากันมาเดทที่นี้ด้วย ซึ่งมีทั้งคู่รักแบบชายหญิง แบบชายชาย และ หญิงหญิง ซึ่งผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาและเหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ค้าทั้งหมดจะไม่มีการมองคู่รักที่ไม่ใช่คู่รักชายหญิงแบบ แปลกๆ เลยซึ่งนับเป็นสิ่งน่าชื่นชมและพบเห็นได้ทั่วไปยังรัฐนี้ ซึ่งนั่นถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของ รัฐที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ กึ่งเก่ากึ่งใหม่ อย่างควีนแลนด์
“What do you want to eat” (นายอยากกินอะไร) คนตาฟ้าหันมาถามคนผิวแทนที่เดินขนาบข้างอยู่ด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มที่กลับมาเป็นปกติแล้ว
“Whatever but not Thai food, please.” (อะไรก็ได้ แต่ไม่เอาอาหารไทยนะ) คนตัวเล็กกวาดตามองไปที่ร้านอาหารที่ตั้งอยู่รายล้อมซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกอาหาร Grab and go อย่างพวกแซนด์วิช หรือไม่ก็ เบอร์เกอร์
แต่ก็ไม่วายที่จะเจอเต้นท์ที่ขายอาหารไทยตั้งแซมอยู่ ซึ่งถ้าเป็นร้านเล็กๆ เคลื่อนที่ได้แบบนี้ส่วนใหญ่ที่ธันเจอมาจะเป็นอาหารไทยประดิษฐ์ กล่าวคือจะปรับปรุงรสชาติและหน้าตาเอาใจคนท้องถิ่นจนไม่หลงเหลือความเป็นอาหารไทยแล้ว เช่น แกงเขียวหวานสีก็จะเขียวจนนึกว่าเป็นแกงใบเตยส่วนรสชาติก็หวานจนจะเป็นขนมไปแล้ว แต่แปลก ที่ร้านพวกนี้จะขายดิบขายดีกับคนท้องถิ่นอย่างคนออสเตรเลียสงสัย รสแบบนี้จะกินง่ายสำหรับพวกเขากระมัง
“Ok how about something easy such as steak” (อืม ถ้าเป็นอะไรง่ายๆอย่างเช่น สเต็กละ) รูเบนชี้ไปยังร้านสเต็กร้านใหญ่ทางด้านซ้ายมือ ที่กินพื้นที่ถึงสองเต้นท์ ดูแล้วน่าจะเป็นร้านที่ดังและขายดีน่าดู แต่อาจจะเป็นเพราะช่วงเวลาที่เขาเดินกันมาถึง ยังเป็นช่วงเวลาเช้าอยู่จึงมีผู้คนมากินยังไม่เยอะนัก ทำให้พวกเขาไม่ต้องถึงกับยืนรอคิวเพื่อกินกัน
“Good morning guy, do you know what do you want?” (สวัสดีหนุ่มๆ พวกเธอจะรับอะไรกันดีจ๊ะ) ถึงจะบอกว่าเป็นร้านที่ค่อนข้างใหญ่แต่ว่าพนักงานก็มีเพียงคุณลุงที่เป็นคนทำอาหารและคุณป้าที่เป็นพนักงานเสิร์ฟเท่านั้น และประโยคคำถามดังกล่าวก็มาจากคุณป้าผมแดงที่เข้ามาทักทายและสอบถาม ด้วยรอยยิ้ม เมื่อเธอเห็นทั้งคู่เดินเข้ามานั่งพลิกเมนูในร้านเธออยู่สักพัก
“Can I have Rib eye steak and make it medium rare please” (ผมขอสเต็กเนื้อริบอายด์ แล้วก็ขอสุกแบบปานกลางนะครับ) คนผมสีวอลนัทตอบกลับคำถามของคุณป้าด้วยรอยยิ้ม
“How about you” (แล้วหนูละจ๊ะ) คุณป้าหันมาถามคนตัวเล็กหลังจากจดออเดอร์ของรูเบนลงกระดาษเรียบร้อยแล้ว
“Do you have fish or pork because I don’t eat beef” (คุณป้ามีปลาหรือหมูไหมครับเพราะผมไม่กินเนื้อ) ธันถามขึ้นพร้อมรอยยิ้มแห้งๆ เพราะหลังจากเขาพลิกดูเมนูไปมาหลายตลบแล้วยังไม่เจอเมนูไหนที่เป็นเนื้ออย่างอื่นนอกจากเนื้อวัวเลย
“Um… I think we have chicken left. Can you?” (อืม... ฉันคิดว่าเรามีเนื้อไก่เหลืออยู่นะ จะรับไหมจ้ะ?) คุณป้าขมวดคิ้วคิดเล็กน้อย ก่อนจะถามคนผิวแทนด้วยเสียงหวานๆ
“That ok. Thank you” (กินได้ครับ ขอบคุณนะครับ) คนตัวเล็กตอบคำถามกลับคำแทบจะในทันที เพราะความหิวของเขาในตอนนี้นั้นสามารถที่จะกินเนื้ออะไรก็ได้ตราบใดที่มันไม่ใช่เนื้อคนและเนื้อวัว
“Why you don’t eat beef” (ทำไมนายไม่กินเนื้อละ) คนตาฟ้าหันมาถามคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะด้วยสีหน้าจริงจัง หลังจากคุณป้าเดินจากไปแล้ว
“Nothing special but when I was young I have seen the photo of them when they are in the slaughterhouse and that makes me feel bad when I try to eat beef” (ไม่มีอะไรพิเศษหรอกแค่เมื่อตอนฉันเป็นเด็กฉันเห็นรูปพวกมันอยู่ในโรงฆ่าสัตว์แล้วฉันก็จะมีความรู้สึกแย่ทุกครั้งเวลาฉันจะกินเนื้อน่ะ) คนตัวเล็กก้มหน้าหลุบตาต่ำในขณะที่พูดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาด้วยรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความเศร้าอยู่
“Oh ok I thought it about your religion” (อืม ฉันคิดว่ามันเกี่ยวกับศาสนาของนายซะอีก) คนตาฟ้ายิ้มให้คนตัวเล็กอย่างเอ็นดูก่อนที่ จะเปลี่ยนบทสนทนาเป็นเรื่องสัพเพเหระ ดินฟ้าอากาศ ที่พอจะเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคนผิวแทนคืนมาได้บ้าง
ขณะที่ทั้งคู่นั่งรออาหารอยู่ คนตัวเล็กก็จับสังเกตได้บ่อยครั้งว่าคนตาฟ้าชอบจ้องมาที่หน้าของเขาครั้งละนานๆ และเมื่อคนตัวเล็กรู้ตัวและหันหน้ากลับไปมอง รูเบนก็จะหลบสายตาโดยการเบนหน้ากลับไปที่โทรศัพท์ที่เขาถืออยู่ในมือ เป็นแบบนี้อยู่บ่อยครั้งจนคนตัวเล็กอดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมา ส่วนคนหน้าคมก็ทำเป็นทำหน้าเคร่งครึมและเกาหัวเพื่อแก้เก้อไป
“Why you don’t eat vegetables?” (ทำไมนายไม่กินผักละ) คนตัวเล็กมองผักที่เหลืออยู่เต็มจานของคนตาฟ้าสลับกับมองหน้าของเจ้าของจานที่ตอนนี้ทำหน้าเหมือนคนกำลังใช้ความคิดอย่างหนักเพื่อหาทางรอดอยู่
“Because when I was young. I have seen the vegetable was harvested by the farmer and that make me pity of them. So, after that. I always feel bad when I have to eat them.” (เพราะว่าเมื่อตอนฉันเป็นเด็กฉันเห็นภาพที่ผักโดนเก็บเกี่ยวโดยชาวสวนแล้วฉันรู้สึกสงสารน่ะ หลังจากนั้นฉันก็จะรู้สึกแย่ทุกครั้งที่ฉันต้องกินพวกมัน) รูเบนพูดด้วยสีหน้าและท่าทีที่จริงจัง ซึ่งแม้แต่เด็กห้าขวบก็ดูรู้ว่าตานี้กำลังแถจนสีข้างถลอก แถมไม่แถป่าวยังใช้มุขที่ล้อมาจากคำพูดของคนตัวเล็กอีกต่างหาก
“That’s totally nonsense.  ” (มั่วแล้ว) คนตัวเล็กหัวเราะตัวโยนก่อนจะพูดประโยคดังกล่าวด้วยอาหารหอบ ซึ่งหันกลับมาที่คนตาฟ้าก็มีอาการหัวเราะคิกคักไม่ต่างกัน
หลังจากมื้ออาหารจบลงรูเบนก็แย่งจ่ายค่าอาหารอีกตามเคย ซึ่งนั่นก็ทำให้คนตัวเล็กเกิดคำถามขึ้นในใจอีกแล้วว่าคนตัวสูงจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร เพราะระหว่างเขาและรูเบนไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ซึ่งเมื่อคนผิวแทนถามไปคำตอบที่ได้ก็ไม่ต่างจากการที่เขาซื้อ         ช็อคโกแลตร้อนให้ในวันนั้น
เพราะคำตอบที่เขาได้รับคือเขาเป็นคนชวนมาเขาก็ต้องเป็นคนจ่ายให้สิ ไม่เห็นแปลก แต่ความไม่แปลกนี่แหละ ที่จะทำให้คนตัวเล็กได้ใจและเสียนิสัยในภายหลังหรือเปล่า ความคิดนี้ดังก้องในหัวตลอดเวลาที่คนตัวเล็กเดินเคียงคู่ไปกับคนตัวสูง
“Where are you going next” (นายจะไปไหนต่อเหรอ) รูเบนถามขึ้นขณะที่พวกเขาทั้งคู่กำลังเดินใกล้จะถึงประตูทางออกของสวนสาธารณะ
“I don’t know maybe go home” (ไม่รู้เหมือนกันนะ บางทีก็คงจะกลับบ้านละมั้ง) ธันที่กำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศสุดท้ายก่อนจะเดินพ้นออกจากสวนสาธารณะหันไปตอบกับรูเบนพร้อมกับฉายรอยยิ้มที่ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“Can I take you home” (ให้ฉันไปส่งที่บ้านได้ไหม) รูเบนพูดด้วยเสียงน้ำเสียงที่แฝงความเคอะเขินอยูในที
“Um…are you sure about tha… oh look at that man” (อืม...นายแน่ใจเหร... โอ้ดูลุงคนนั้นสิ) คนตัวเล็กก้มหน้ามองพื้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาตอบรูเบนที่ยืนตัวแข็งอยู่ด้านข้างรอฟังคำตอบ แต่แล้วคำพูดของคนตัวเล็กก็ต้องขาดห้วงไปเมื่อเขาเห็นใครบางคนกำลังนั่งก้มหน้าอยู่ด้านหลังรูเบน
เมื่อคนผิวแทนเดินขยับเข้าไปใกล้ขึ้นก็พบว่าคุณลุงคนดังกล่าวน่าจะเป็นนักดนตรีพเนจร เพราะว่าคุณลุงมีเนื้อตัวที่มอมแมมเล็กน้อยบวกกับมีกีตาร์ตัวเก่งที่ดูเหมือนจะปะแล้วปะอีกวางอยู่บนตัก แต่ที่น่าสงสารก็คือถุงใส่กีตาร์ที่วางแบออกด้านหน้านั้นมีแต่เศษเงิน ซึ่งพอกะคร่าวๆ ด้วยสายตาก็พบว่าไม่น่าจะมีเกินห้าเหรียญออสเตรเลีย ซึ่งในประเทศนี้ ห้าเหรียญยังไม่พอที่จะซื้อข้าวได้ครึ่งจานด้วยซ้ำ
“Hello, do you need some help” (สวัสดีครับมีอะไรให้ช่วยไหมครับ) คนตัวเล็กลงไปนั่งยองๆ ก่อนที่จะเอ่ยถามคนด้านหน้าด้วยน้ำเสียงที่สดใส
“Oh boy, don’t come close to me because my smell is too bad. Ah… I don't want to make you feel uncomfortable but if you have some food or some money it will be good because I didn’t eat something for a while” (โอ้พ่อหนุ่ม อย่าเข้ามาใกล้ลุงเยอะ กลิ่นตัวลุงไม่ค่อยดีน่ะ เอ่อ...ก็ไม่อยากทำให้ลำบากใจหรอกนะแต่ถ้าหนูมีอาหารหรือเงินมันก็คงดีไม่น้อยเลยเพราะว่าลุงไม่ได้กินอะไรมาสักพักแล้ว) คุณลุงที่เหมือนจะใช้แรงทั้งหมดที่มีอยู่ในตอนนี้พูดขึ้นด้วยเสียงที่แผ่วเบาและใบหน้าที่อิดโรย
“Ruben do you have some cash can I borrow it and I will pay you back later” (รูเบนนายพอจะมีเงินไหม ฉันขอยืมหน่อยสิเดี๋ยวยังไงฉันจะจ่ายคืนนายทีหลังนะ) คนตัวเล็กที่ค้นในกระเป๋าเงินดูแล้วกลับไม่พบเงินสักสักเหรียญเดียว หันไปคุยกับคนตัวสูงที่ยืนทำหน้าปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ด้านหลัง
“I don’t have too” (ฉันก็ไม่มีเหมือนกัน) คนตาฟ้าพูดขึ้นพร้อมกับโชว์ภายในกระเป๋าที่มีแต่บัตรให้ดู
“That ok don’t worry. I still ok” (ไม่เป็นไรพ่อหนุ่ม ลุงยังไหว) คุณลุงที่เห็นคนตัวเล็กมีสีหน้าสลดลงรีบโบกไม้โบกมือขึ้นมาเพื่อจะบอกกับคนผิวแทนว่าตนไม่เป็นไร แต่หลังจากโบกมือได้เพียงครู่เสียงท้องของคนที่นั่งอยู่กับพื้นก็ดังขึ้นมาโครกครากและนั่นก็ทำให้คนตัวเล็กหันไปหาคนตัวสูงด้วยใบหน้าที่เศร้าลงไปอีก
“Hr… can I borrow your guitar please.” (เฮ้อ...ผมขอยืมกีตาร์หน่อยนะครับลุง) คนตัวสูงยื่นมือไปหาคุณลุงที่ขณะนี้กำลังนั่งกุมท้องด้วยความหิว
“What are you going to do” (นายจะทำอะไรน่ะ) ธันเดินเข้ามากระซิบถามรูเบนทันทีเมื่อเจ้าของกีตาร์ส่งสมบัติที่มีติดตัวอยู่เพียงชิ้นเดียวไปให้คนตาฟ้า ซึ่งในขณะนี้กำลังปรับสายกีตาร์ในมืออยู่อย่างขมักขะเม้น
“Let see by yourself” (ดูเอาเองสิ) รูเบนที่ปรับสายกีตาร์เสร็จพอดี หันมายิ้มพร้อมกับขยิบตาให้คนตัวเล็กหนึ่งทีก่อนจะเริ่มเคาะจังหวะที่เท้าและเริ่มเปล่งเสียงร้องเพลงออกมา
“To be young and in love in Brisbane City
To not know who I am but still know that I'm good long as you're here with me
To be drunk and in love in Brisbane City
Midnight into morning coffee
Burning through the hours talking”
   และเหมือนเวลาในพื้นที่เล็กๆ นี้ได้หยุดลงเพราะเมื่อคนตาฟ้าเริ่มเปล่งเสียงร้องของเขาออกมา คนที่เดินผ่านไปผ่านมาโดยไม่ได้สนใจพวกเขาทั้งสามคนในตอนแรกก็เริ่มจะหยุดชะงักและเริ่มจะล้อมวงเข้ามาฟังเจ้าของเสียงใกล้ๆ ยิ่งพอคนผมสีวอลนัทร้องท่อนต่อไป ผู้คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าก็เริ่มจะมีอาการโยกหัวไปตามจังหวะเพลงส่วนคนที่ไม่ได้โยกหัวก็เริ่มจะช่วยตบมือเข้าจังหวะกันเป็นทิวแถว
   “Damn, I like me better when I'm with you
I like me better when I'm with you
I knew from the first time, I'd stay for a long time 'cause
I like me better when
I like me better when I'm with you”
   ทุกอย่างไปได้สวยผู้คนเริ่มเข้ามาล้อมวงฟังกันมากยิ่งขึ้น และคนส่วนใหญ่ที่มาฟังก็เริ่มควักเงินทั้งแบงค์และเหรียญออกจากกระเป๋าโยนลงไปบนถุงกีตาร์ที่แบอยู่ อย่างไม่ขาดสาย จะติดนิดหนึ่งก็ตรงที่ว่า คนตาฟ้าเริ่มขยับเข้ามาร้องเพลงใกล้ๆ คนตัวเล็กและเริ่มจะใช้มือข้างที่ว่างจากการดีดกีตาร์ในบางท่อนมาจับมือของธันเต้นหมุนไปรอบๆ และนั่นก็ทำให้ธันหน้าแดงเป็นลูกตำลึงด้วยความเขิลอายทั้งเขิลอายกับรูเบนและคนดูที่มุงอยู่รอบๆ
แต่ดูเหมือนว่าผู้คนโดยรอบจะชอบการโชว์นี้ เพราะพวกเขาต่างพาเป่าปากและส่งเสียงเชียร์กันยกใหญ่ จนเมื่อเพลงแรกจบลงผู้คนต่างก็ยกไม้ยกมือมาป้องปากตะโกนว่าต้องการจะฟังเพลงจากนักดนตรีหนุ่มอีกสักเพลง ซึ่งดูเหมือนรูเบนก็เครื่องติดพอดีเพราะเขาก็เริ่มที่จะเคาะจังหวะขึ้นเพลงใหม่ภายในเสี้ยววินาทีหลังจากนั้น
   “Two hundred ninety-night and three hundred. Thank you very much.” (สองร้อยเก้าสิบเก้า สามร้อย ขอบคุณมากๆ เลยนะพ่อหนุ่ม) คุณลุงนั่งนับเงินที่อยู่ในกระเป๋าด้วยรอยยิ้มที่ปลื้มปิติดีใจเพราะเงินจำนวนนี้มันก็มากพอที่เขาจะยังชีพไปได้อีกอย่างน้อย สาม ถึง สี่วัน
   “I don’t have anything to give you but I wish your love last forever” (ลุงไม่มีอะไรจะให้นอกจากคำอวยพร ขอให้ความรักของทั้งสองคนยั่งยืนนานตลอดไปนะ) คุณลุงพูดพร้อมส่งยิ้มให้ทั้งคู่ก่อนแบกกระเป๋ากีตาร์เดินจากไป ทิ้งไว้ให้แต่คนตัวเล็กที่ตอนแรกยิ้มกว้างให้อย่างลืมตัวก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเพราะเพิ่งจะตั้งสติได้ว่าคุณลุงนั้นอวยพรอะไรมาให้และนั้นแหละถึงหันไปทำหน้ายักษ์ใส่คนด้านหลังที่หัวเราะอย่างเป็นบ้าเป็นหลังกับการกระทำตลกๆ ของเขา
   “Wait a few minutes. I will bring my boy to lift you home.” (รอแปปนะเดี๋ยวผมจะไปเอาไอ้หนูของผมไปส่งคุณที่บ้าน) คนตาฟ้าหันมาบอกธํนเมื่อทั้งคู่เดินมาถึงตรงลานจอดรถของสวนสาธารณะ ซึ่งอันที่จริงคนตัวเล็กเองก็พยายามบ่ายเบี่ยงขอกลับเองอยู่หลายครั้งเพราะว่า จากสวนสาธารณะไปยังห้องของเขามันก็ไม่ได้ไกลอะไรเลย ใช้เวลาเดินเท้าเพียงแค่ สิบถึงสิบห้านาทีก็ถึงแล้ว แต่ว่ารูเบนก็ให้เหตุผลมาว่า ในเมื่อเบาะของเขายังว่างแล้วทางห้องของธันกับทางห้องของเขามันก็เป็นทางเดียวกันแล้วจะเดินให้เหนื่อยทำไม ซึ่งพอคนผมสีวอลนัทพูดแบบนั้นคนตัวเล็กเองก็จนใจที่จะสรรหาคำอื่นใดมาพูดปฎิเสธจึงทำให้เขาต้องมายืนไถโทรศัพท์รอระหว่างที่รูเบนไปนำรถของเขาออกมา
   “กริ๊งๆ” เสียงกริ๊งจักรยานดังขึ้นตรงหน้าคนตัวเล็กที่กำลังก้มหน้าก้มตาจดจ่อกับโทรศัพท์อยู่ ดังนั้นเขาก็เลยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง แต่ก็ขยับหลบเข้าไปใกล้กับกำแพงด้านข้างประตูทางออกเพื่อเว้นช่องทางรถออกให้กว้างมากยิ่งขึ้น
   “กริ๊งๆ” เมื่อได้ยินเสียงกริ๊งจักรยานดังขึ้นอีกรอบ คนผิวแทนก็ขยับมากขึ้นไปอีกจนตอนนี้แขนทางฝั่งด้านขวาของเขานั้นแนบสนิทไปกับกำแพงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
   “กริ๊งๆ ๆ ๆ” แต่เจ้าของจักรยานก็ยังดูเหมือนไม่พอใจเพราะเขายังกดกริ๊งจักรายานรัวๆ จนทำให้คนตัวเล็กด่าในใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะละสายตาจากโทรศัพท์มือถือและเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของเสียง
   “What do you Kr…” (คุณต้องการอะ ครือออ) คำพูดที่ออกแนวกระชากเสียงในตอนแรก ถึงกับต้องกลืนลงคอไปพร้อมกับคอและปากที่สั่นกระเพื่อมเพราะพยายามที่จะกลั้นขำเอาไว้
 โดยสิ่งที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าคนตัวเล็กนั้นคือคนตาฟ้าที่นั่งคร่อมจักรยานคล้ายจักรยานจ่ายตลาด คันสีแดงสดพร้อมกับตะกร้าพ่วงข้างหน้าที่เอาไว้ให้แม่บ้านใส่ของตอนไปจ่ายตลาด
“What are you waiting for let jump in” (รออะไรละขึ้นมาสิ) คนตัวเล็กที่คิดไว้ในใจว่าวันนี้จะได้นั่งรถ เฟอรารี่กลับบ้านแต่กลับต้องมานั่งซ้อนเบาะจักรยานประเด็นสำคัญคือสารถีและเขาต้องใส่หมวกกันน็อคสีแดงแปร๊ดซึ่งเป็นสีเดียวกันกับตัวจักรยานเลย ซึ่งคนตัวเล็กก็ได้แต่คิดในใจว่าโชคดีเท่าไหร่แล้วที่ประเทศนี้ไม่มีน้องควาย ไม่อย่างนั้นไม่ใครก็ใครระหว่างเขาและคนตัวสูงได้โดนขวิดกันไปข้างแน่ๆ
สายลมอันแผ่วเบาและความหอมของหมู่มวลดอกไม้ใบหญ้าในระหว่างทางที่ขับผ่านก็รังสรรค์ให้ยานเย็นในวันธรรมดาเป็นช่วงเวลาที่สุดแสนพิเศษได้ไม่ยาก หากเราไม่นับเรื่องที่เด็กตัวโตตาสีฟ้าแสร้งว่าถนนมีหลุมข้างหน้า จนต้องแกล้งเบรกบ่อยๆ เพื่อให้คนที่นั่งซ้อนท้ายอยู่ตัวไหลมากระทบกับแผ่นหลังกว้างละก็นะ
“Thank you very much Thun for today. Your smile and your laugh make my day better. Now I will do what my heart tells me. ” (ขอบคุณมากนะธันสำหรับวันนี้ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของนายทำให้วันธรรมดาของฉันเป็นวันที่น่าจดจำ และตอนนี้ฉันว่าฉันพร้อมแล้วที่จะทำตามเสียงเพรียกของหัวใจ) คนขี่จักรยานพูดด้วยเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังและเอ่อล้นไปด้วยความสุข แต่มันช่างน่าเสียดายเพราะว่าคำพูดทั้งหมดนั้นถูกพัดให้ปลิวหายไปด้วยกระแสลมแรงเสียก่อนที่จะได้เข้าไปในหูของคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง
“What” (นายว่าอะไรนะ) คนตัวเล็กที่จับข้อความของรูเบนไม่ได้สักประโยคตะโกนถามแข่งกับเสียงลมแรงที่พัดกรรโฉกอยู่โดยรอบ
“I said you are so heavy. You should exercise more” (ฉันว่านายตัวโคตรหนักเลย ออกกำลังซะบ้างนะ) คนผมสีวอลนัทพูดขึ้นพร้อมทำท่าออกแรงถีบจักรยานหนักให้กว่าเดิม
“Do you want to die” (นายอยากตายเหรอ) คนตัวเล็กพูดขึ้นด้วยเสียงที่แกล้งทำเป็นว่าโมโหก่อนจะทุบไปที่หลังของคนตัวโตข้างหน้าเบาๆ และนั่นก็ทำให้คนตาฟ้าแกล้งคืนโดยการขี่รถส่ายไปส่ายมาเหมือนจะแกล้งทำเป็นล้ม ซึ่งทำให้คนตัวเล็กผวาโน้มตัวมาข้างหน้าและกอดเอวของเขาแน่น ซึ่งนั่นก็ทำให้รูเบนหัวเราะชอบใจใหญ๋
แต่ท่ามกลางเสียงหัวเราะและความสุขของคนทั้งสองนั้น ไฉนเลยจะมีใครรู้บ้างว่าพายุกำลังถูกก่อตัวขึ้นมาอย่างเงียบๆ และช้าๆ ท่ามกลางเมืองอันแสนสวยงามและเงียบสงบที่มีชื่อว่า ควีนแลนด์ 
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่16 (หน้าสอง+หน้าสาม) ✈
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 17-07-2020 22:30:23
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่15 (หน้าสอง) ✈
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 17-07-2020 23:18:45
คนเขียนแอบอยากถามนิดหนึ่ง ว่าฉาก NC มีผลต่อยอดอ่านมากน้อยขนาดไหนกันเหรอครับ
ป.ล. เป็นการอยากรู้ส่วนตัวเฉยๆ ไม่ได้มีผลอะไรกับเส้นเรื่องนะครับ

ตอบอย่างไรดีละ เอาเป็นว่าตอบในความคิดของเราเองนะ ฉาก NC มันเหมือนด้านมืดที่อยู่ในจิตใจ เป็นความอยากรู้
เมื่ออ่านถึงตอนหนึ่ง ก็อยากทราบว่า พระเอกนายเอก จะมีบทอัศจรรย์ไหมนะ เป็นการลุ้นไปในตัวถึงแม้ว่ามีบทนี้แล้ว
เนื้อหาก็ไม่ต่างจากที่คิดไว้นัก แต่ก็ยังอยากจะรู้นะ พูดซะอ้อมโลกเลย สรุป ก็คือมีผลต่อยอดอ่านมากขึ้น

แต่ก็...แล้วแต่บทว่าจะไปทางไหนของเนื้อเรื่องนะ สำหรับเรื่องนี้ น่าจะมี NC แบบบางเบา ไม่ต้องเดือดเลือดพล่าน
เพราะเนื่องนี้ เนื้อเรื่องมาในแนวอบอุ่น ซึมซับบรรยกาศของสถานที่อยู่ ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่เราเองติดตาม
ทั้งนี้ ก็แล้วแต่ผู้อ่านแต่ละคนนะ  พูดแล้วสับสนตัวเองจังเลย
  :mew2: :mew3: :mew2: :mew3:
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่16 (หน้าสอง+หน้าสาม) ✈
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 18-07-2020 09:20:59
 :pig4: :pig4: :pig4:

พายุจริง หรือ พายุจากสาวญี่ปุ่นคนนั้น?
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่16 (หน้าสอง+หน้าสาม) ✈
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 18-07-2020 13:07:44
พายุชื่อฮานะหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่16 (หน้าสอง+หน้าสาม) ✈
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 19-07-2020 16:37:35
ใช่หรือเปล่านะ ฮานะจัง ไม่น่ารักหรือเปล่านะ ???
หัวข้อ: When Love Travel ตอนที่ 17 ความรักและกำแพงที่มองไม่เห็น ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 24-07-2020 20:56:33
   “เป๊าะ แป๊ะ เป๊าะ แป๊ะ เป๊าะ แป๊ะ” เสียงสายฝนแรกของฤดูใบไม้ผลิตกลงมากระทบกับพื้นถนนและหลังคาตรงตรอกแคบข้างๆ ร้านอาหารไทย ณ สยาม ซึ่งหากเราสังเกตดูให้ดี ก็จะเห็นเงาตะคุ่มๆ ของคนอยู่สองคนกำลังวิวาททุ่มเถียงกันอยู่
   “ทำไมมึงถึงทำแบบนี้วะ ก็กูบอกมึงไปตั้งแต่ครั้งแรกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าคนเนี้ยกูหวง คนเนี้ยกูจอง” เสียงของเงาทางด้านขวามือตะโกนใส่อีกเงาอีกดวง ด้วยเสียงตวาดจากความโกรธปนด้วยผิดหวัง
   “ผมเองก็พยายามอยู่ห่างเขา และพูดกับเขาน้อยที่สุดแล้วนะพี่เพราะผมรู้ว่าพี่ชอบ แต่ผมแม่งหักห้ามใจตัวเองไม่ได้ว่ะพี่ สุดท้ายแล้วเรื่องของหัวใจยังไงมันก็ห้ามกันไม่ได้รึเปล่าวะ เหมือนที่พี่ก็พยายามตามติด ตามคุยกับเขาเต็มที่แล้วแต่เขาก็ไม่เคยมองมาเลยไม่ใช่รึไง” น้ำเสียงและแววตาอันมั่นคงและหนักแน่น ถูกพูดออกมาจากปากของอีกฝ่ายอย่างไม่มีทีท่าหวาดกลัวหรือสะทกสะท้านแม้แต่น้อย
   “อ้าว ถ้าพูดเหี้ยๆ แบบนี้ก็คงจะได้กินกำปั้นสักหมัดสองหมัดล่ะวะ” ฝ่ายแรกพูดด้วยน้ำเสียงที่เหี้ยมเกรียมกว่าเดิมและเดินสาวเท้าเข้าใกล้คนที่เป็นฝ่ายตั้งรับด้วยท่าทีคุกคามอย่างยิ่งยวด
   “เอาเลยพี่ ผมเตรียมใจมาแล้ว และผมก็จะไม่ต่อยสวนพี่ด้วย เพราะเรื่องนี้ผมแม่งผิดเอง แต่ผมจะบอกอะไรให้อย่างนะ ต่อให้พี่จะกระทืบผมให้ตายผมก็จะไม่หนีความรู้สึกของตัวเองอีกแล้ว” คนที่ถูกประชิดตัวหลับตา พร้อมกับขบกรามแน่น โดยหวังว่าคนที่เดินเข้ามาจะไม่ต่อยเขาจนถึงตาย เพราะถึงยังไงทั้งสองคนก็มีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอด แต่เมื่อทั้งคู่ดันเผลอหัวใจไปรักคนคนเดียวกันมันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องมาแก้ปัญหาดังกล่าวกันด้วยการใช้กำลังในแบบที่ลูกผู้ชายเขาทำกัน
   “เปรี้ยง”เสียงหมัดกระแทกเข้ากับอะไรสักอย่าง อะไรสักอย่างที่ไม่ใช่ใบหน้าของคนที่กำลังกัดกรามอยู่ และเมื่อคนที่หลับตาค่อยๆ บรรจงเอามือจับที่ใบหน้าของตัวเองก็ค้นพบว่าไม่มีจุดไหนที่เจ็บหรือปวดเลย ซึ่งเมื่อลืมตาขึ้นมาดูก็พบว่าเสียงดังกล่าวนั้นเกิดจากหมัดของอีกฝ่ายที่จงใจ ชกเฉียดไปยังกำแพงที่ตั้งอยู่ด้านข้างแทนที่จะเป็นใบหน้าของเขา
   “เออ มึงเองก็พูดถูก เรื่องของหัวใจมันบังคับกันไม่ได้ แล้วการที่กูจะต่อยหน้ามึงเพราะมึงเป็นศัตรูหัวใจของกูแม่งก็เด็กเกินไป อีกอย่างมันก็ไม่ได้ทำให้น้องเขาหันมาชอบกูมากขึ้นด้วย เผลอๆ ถ้าหน้ามึงแหกแล้วน้องเขารู้ว่าใครทำ เขาอาจจะหันมาเกลียดกูไปเลยก็ได้ ต่อจากนี้มึงจะเอายังไงก็เรื่องของมึงละกัน” คนพูดถอนหมัดออกมาจากกำแพงซึ่งพอหลังมือโดนเข้ากับหยาดฝนก็ทำให้เจ้าของมือต้องหันมาเป็นฝ่ายกัดฟันซะเองด้วยความเจ็บและแสบ
   “ขอบคุณนะพี่ที่เข้าใจผม” รอยยิ้มที่ดูโล่งอกถูกเผยให้เห็นเมื่อหมัดของอีกฝ่ายไม่ได้อยู่บนหน้าของตัวเอง และมันแปรเปลี่ยนไปเป็นความสุขใจยิ่งขึ้นเมื่อเขาลองใช้สมองคิดทบทวนคำพูดของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนกับเป็นการพูดกลายๆ ว่าต่อจากนี้เขาสามารถเดินหน้าจีบคนในหัวใจโดยไม่ต้องเกรงใจใครอีกแล้ว
   “แต่กูเองก็จะไม่ยอมแพ้หรอกนะ ต่อให้เขาจะไม่สนใจกูก็เหอะ ยังไงกูก็จะพยายาม ในแบบของกูเอง และถ้ากูพอมีวาสนาอยู่บ้างกูก็อาจจะได้ใจน้องเขามาครองก็ได้ มึงเองก็อย่าประมาทไปละ” เมื่อพูดจบเขาก็หันหลังและก้าวเดินจากไป แต่ก่อนที่เท้าของเขาจะก้าวพ้นออกจากตรอกนั้นเสียงของอีกฝ่ายก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน
   “ลองทำให้เต็มที่แล้วกันนะพี่ ผมเอาใจช่วย เพราะว่าทางฝั่งของผมเนี่ยดูแล้วท่าจะชนะ ใสๆ ว่ะ” เงาที่ยังหยุดนิ่งท่ามกลางสายฝนที่ยังเทลงมาอย่างไม่หยุดหย่อนตะโกนไล่หลังเงาที่กำลังจะเดินจากไปด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง ซึ่งคนที่กำลังจะเดินจากไปก็ได้หยุดกึกเหมือนกับว่าเท้านั้นตกหล่ม ก่อนที่จะหันมาโชว์นิ้วกลางให้เจ้าของเสียงตะโกนและก้าวเดินต่อไป ทิ้งให้คนที่เพิ่งได้รับของขวัญ หัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างชอบใจแข่งกับเสียงของสายฝนที่ดูทีท่าแล้วไม่น่าจะหยุดตกในค่ำคืนนี้เป็นแน่
   “That Charms really cute, Thun” (จี้อันนี้ของเธอน่ารักจังเลยนนะ ธัน) เสียงของสาวญี่ปุ่นดังขึ้นด้านหลังคนตัวเล็ก ที่กำลังนั่งเอามือเกยคางพร้อมกับหมุนจี้ข้อมืออันล่าสุดที่ได้รับมาอย่างปริศนา ด้วยสีหน้ากึ่งมีความสุขและกึ่งสงสัยอยู่ในที
   “Oh, Hi Hanna what do you have for this morning” (อ้าว ไงฮาน่า เธอมีอะไรเป็นอาหารเช้าวันนี้ละ) ธันหันไปตามเสียงเรียกก่อนจะโบกไม้โบกมือทักทายพร้อมกันนั้นก็ยิ้มให้สาวเจ้าจนตาหยี
   “Haha, it is a normal sandwich and where did you buy it. I mean your charm” (ฮ่าฮ่า ไม่มีอะไรพิเศษหรอกก็แค่แซนด์วิชปกติแหละ ว่าแต่เธอซื้อจี้อันนี้ที่ไหนเหรอ) ฮานะถามขึ้นขณะรีบยัดแซนด์วิชเข้าปากอย่างเร่งรีบ เหตุเพราะว่าเธอเหลือเวลาในการกินอีกแค่ สิบนาทีก่อนที่คลาสเรียนจะเริ่มขึ้น
   “I don’t know someone gave it to me” (ฉันไม่รู้ ใครบางคนให้ฉันมาน่ะ) คนตัวเล็กตอบคำถามพร้อมกับกวาดสายตาไปยังทางเดิน ซึ่งตอนนี้ที่ว่างตรงกำแพงเกือบทั้งหมดถูกแต่งแต้มด้วยโปสเตอร์สีฟ้าพาสเทล โดยมีเนื้อความกำกับบนกระดาษว่า
“Friday 27th September
Prom night
At The Sky and Lotus night club
234 Wickham St, Fortitude Valley
A Special party that you will remember for a long time
No Admission / Start at 9.00 pm”
   นั่นแอบทำให้คนตัวเล็กแอบกุมขมับเล็กน้อย เพราะว่าวันดังกล่าวเขาดันต้องไปทำงานพิเศษแล้วไหนจะต้องไปจัดหาชุดที่จะไปงานอีก ดูท่าแล้วงานนี้เขาคงจะต้องทุบกระปุกออมสินที่อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบมาแรมเดือนเพื่องานนี้เป็นแน่
   “Um… Who is that guy? I hope that man will be suited for you but I hope he isn’t the same man of me.” (อืม... คนคนนั้นจะเป็นใครกันนะ ฉันหวังว่าเขาคนนั้นจะเหมาะสมกับเธอ แต่ยังไงก็ขอให้เขาคนนั้นไม่ใช่คนคนเดียวกับผู้ชายของฉันละกันนะ) ฮานะพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อพร้อมกับจบท้ายด้วยรอยยิ้มบางๆ แต่ดูเชือดเฉือนอยู่ในทีเหมือนกัน
อย่างไรก็ตามแม้รอยยิ้มและแววตาของเธอจะไม่ได้สื่อ อะไรมากไปกว่าการพูดแซวกันเล่นๆ ของเพื่อนในกลุ่มที่สนิทกัน แต่ทว่าคนที่มีชนักปักหลังอย่างธัน แค่คำพูดแค่นั้นมันก็มากเพียงพอแล้วที่จะทำให้เขามีความรู้สึกละอายใจขึ้นมาอย่างท่วมท้น เหตุเพราะว่าผู้ชายของฮานะนั้นเป็นผู้ชายคนที่มักจะมาช่วยเขาในยามที่เขาเจอเหตุการณ์ที่ยากลำบาก เป็นคนเดียวกันกับที่มาคอยแกล้งแหย่พร้อมทั้งกวนประสาทเขาเมื่อยามเขารู้สึกเหงา ที่สำคัญที่สุดชายคนนี้ยังเป็นคนมอบรสจูบที่แสนวาบหวามและแสนหวาน อันทำให้เขาต้องตราตรึงใจมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ความรู้สึกอันงดงามก็ต้องสะดุดลงเพราะสายตาที่เว้าวอนจ้องจะเอาคำตอบจากคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา
   “I am sure. He isn’t Ruben” (ฉันมั่นใจว่าใครคนนั้นไม่ใช่รูเบนแน่นอน) ธันตอบกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มที่พยายามประดิษฐ์ให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด แต่ภายในหัวใจกลับรู้สึกเจ็บแปลบ ยังไงไม่รู้เหมือนกัน
   “I think everyone knows about this Friday already. I just want to remind you of two things. First, don’t bring the alcohol to this party” (ผมคิดว่าทุกคนคงจะรู้เรื่องงานวันศูกร์นี้แล้ว มีสองสิ่งที่ผมอยากจะย้ำเตือนพวกคุณ ข้อแรกคือห้ามเอาแอลกฮอล์เข้ามาภายในงาน) อาจารย์แบร์พูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ดูจริงจัง ซึ่งนั่นทำให้เขาได้รับเสียงโห่กลับมา
   “Second in our party has a lot of alcohol if you cannot drink it all I am not allowed you to go home. Boohoos see you, tomorrow guy.” (ข้อสองในงานของเรามีแอลกฮอลล์โคตรเยอะ ถ้าพวกนายดื่มไม่หมดล่ะก็ ฉันไม่อนุญาตให้กลับบ้านนะ วู้ฮู้ เจอกันวันพรุ่งนี้นะพวก) เสียงโห่ร้องด้วยความไม่พอใจเมื่อสักครู่ถูกแทนที่ด้วยเสียงหัวเราะและปรบมืออย่างชอบใจด้วยความรวดเร็วและกึกก้อง เมื่ออาจารย์หุ่นหมี พูดจบประโยค และก่อนที่แบร์จะเดินออกจากห้องเขาก็ทำท่าเต้น the floss เพื่อเรียกเสียงฮาอีกหนึ่งยก พร้อมกับกึ่งเต้นกึ่งเดินออกไปทั้งแบบนั้น
   “เฮ้ย เป็นไรปะเนี่ย” คนตัวกลมถามขึ้นด้วยสีหน้าแสดงความห่วงใย พร้อมกับสะกิดแขนคนตัวเล็กที่นั่งมองเหม่อออกไปยังหน้าต่าง เพราะตั้งแต่ขึ้นรถไฟมา ธันก็ได้ปลีกวิเวกไปนั่งฟังเพลงอยู่ในโลกส่วนตัว คนเดียวเงียบๆ และแม้เพื่อนแต่ละคนจะพยายามแวะเวียนเดินเข้ามาทักทายหยอกล้อ ธันก็ได้แต่พูดจา เออ ออ แบบขอไปที รวมถึงการส่งยิ้มที่ดูแห้งแล้งเกินพอดี ให้เพื่อนทุกคนที่เข้ามาไถ่ถาม จนเพื่อนๆ ต่างพากลุ้มใจเมื่อได้เห็นสภาพของคนตัวเล็กในตอนนี้ จึงพากันเดินไปเรียกแบมบูที่นั่งปลีกวิเวกอยู่คนเดียวในอีกฟากเช่นกัน ให้ไปนั่งเป็นเพื่อนและสอบถามมาด้วยว่าคนผิวแทนนั้นเป็นอะไรหรือเปล่า
   ภาพตัดมายามตะวันคล้อยบ่ายก่อนที่ทั้งหมดจะขึ้นมาบนรถไฟ โดยที่ช่วงเวลานี้กลุ่มนักเรียนส่วนมาก ก็จะออกจากโรงเรียนกันจนหมดแล้ว แต่วันนี้มันแปลกออกไป เพราะดันมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่นั่งขลุกกันอยู่ในแคนทีนของโรงเรียน โดยจุดศูนย์กลางของคนในวงก็คือสาวหมวยอินเตอร์ ที่กำลังเปิด I-pad หาสถานที่ท่องเที่ยวชมพระอาทิตย์ตกใกล้ๆ เมืองอยู่
   “I think we should go to the beach because that is the best place to see the sunset” (ฉันคิดว่าเราควรไปที่ทะเลนะ เพราะว่าจุดนั้นน่าจะสวยที่สุดแล้วในการชมพระอาทิตย์ตก) เตยที่ยืนอยู่ข้างๆ คนตัวเล็กและจุนพูดขึ้น
   “Yes, that true but it too late for this time. I think when we arrived. We will see the moon and the star instant of the sunset.” (ใช่ อันนั้นก็จริงแต่ว่าตอนนี้มันก็สายไปหน่อยนะที่จะไปทะเลน่ะ ถ้าไปถึงฉันคิดว่าเราจะได้ดูพระจันทร์แล้วก็ดาวแทนพระอาทิตย์ตกน่ะสิ) เดวิดที่ยืนอยู่ริมสุดขยับแว่นเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สุขุมและจริงจังจนเพื่อนๆ ต่างพากันเห็นด้วยและพยักหน้าตามกันเป็นทิวแถว
   “How about the mount Gravatt?” (แล้วถ้าเป็นภูเขา Gravatt ล่ะ) จุนที่ยืนเงียบมาพักใหญ่ เสนอขึ้น
   “That good idea because it has a good cafe on that mountain too.” (เป็นความคิดที่ดีนะ เพราะบนภูเขามีคาเฟ่ดีๆ ตั้งอยู่ด้วยล่ะ) พี่ซีอิ๊วที่เอามือปัดไปมาบนไอแพดพูดขึ้นก่อนจะพลิกหน้าจอให้ทุกคนเห็น คาเฟ่ที่เธอกล่าวถึง
   “Wow that so beautiful. I want to go there” (ว้าวมันสาวยจังเลย ฉันอยากไปที่นั้นจัง) ฮานะที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพี่ซีอิ๊วเอามือทาบอกด้วยความตื่นเต้น พร้อมกันนั้นก็ใช้น้ำเสียงและแววตาที่ออดอ้อน ส่งไปยังเพื่อนคนอื่นในวง
   “Ok, who want to go to mount Gravatt please thump up” (เอาล่ะ ใครอยากไปภูเขา Gravatt ได้โปรดยกนิ้วหัวแม่โป้งขึ้นครับ) คนตัวกลมที่พยายามทำหน้าตาให้ดูเคร่งขรึมและใช้คำพูดที่ดูเป็นทางการที่สุดเท่าที่เคยทำมา จนสามารถสร้างบรรยากาศการโหวตครั้งนี้ให้ดูสำคัญและจริงจังราวกับจะเป็นการตัดสินชะตาชีวิตของใครสักคนก็ไม่ปาน
   ซึ่งทุกคนที่ยืนล้อมวงอยู่ก็พยายามเล่นด้วย โดยการทำสีหน้าเคร่งขรึมตามแบมบู พร้อมกับยกนิ้วโป้งขึ้นมาทีละคน ทีละคน เว้นเสียแต่คนผิวแทนที่ขำจนตัวสั่นตัวงอกับการแสดงออกของคนตัวกลมและเพื่อนแต่ละคนจนจุนที่ยืนอยู่ข้างๆ ต้องจับมือของคนตัวเล็กขึ้นมาพร้อมกับง้างนิ้วโป้งขึ้นเพื่อให้การโหวตครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์เสียที
   “Thun, Can I beg you something?” (ธันฉันขอร้องอะไรเธออย่างได้ไหม) ฮานะรั้งแขนของคนตัวเล็กไว้ก่อนที่เขาจะก้าวออกจากห้องไปขึ้นรถไฟพร้อมกับเพื่อนคนอื่น
   “Sure what is that?” (ได้สิอะไรละ) คนตัวเล็กยิ้มกว้างก่อนจะตอบกลับสาวญี่ปุ่นด้วยน้ำเสียงที่สดใส โดยไม่รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่ฮานะจะพูดต่อจากนี้จะทำให้รอยยิ้มของเขาหายวับไปได้อย่างรวดเร็ว
   “When we are on the train can I sit with Ruben?” (ตอนที่เราอยู่บนรถไฟ ฉันขอนั่งคู่กับรูเบนได้ไหม) สาวญี่ปุ่นพูดขึ้นพร้อมกับเอียงคอเล็กๆ และมอบรอยยิ้มน้อยๆ ที่ทำให้ธันต้องกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก ก่อนจะพยายามควบคุมน้ำเสียงให้ไม่สั่นไหวและตอบฮานะ กลับไปด้วยรอยยิ้มเล็กๆ เฉกเช่นเดียวกันว่า
   “But I am not Ruben this question you have to ask him not me.” (แต่ฉันไม่ใช่รูเบนนะ คำถามนี้เธอต้องเป็นคนถามรูเบนสิไม่ใช่ฉัน) คนตัวเล็กพูดอย่างช้าๆ และชัดๆ โดยไม่ให้มันดูเป็นการตอบรับหรือปฏิเสธแต่ประการใด
   “You and Ruben are close now. I think he will sit next to you on the train By the way if he doesn’t. I will ask that guy to swipe the seat for me.” (ก็ช่วงนี้เธอกับรูเบนค่อนข้างที่จะสนิทกันนี่นา ฉันเลยคิดว่าเขาจะต้องขอนั่งข้างเธอบนรถไฟอยู่แล้ว แต่ถึงเขาจะไม่นั่งกับเธอฉันก็จะไปขอแลกที่กับคนที่เขานั่งด้วยอยู่ดี) ฮานะพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นๆ พร้อมกับระบายยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากและถึงแม้ในใจของคนตัวเล็กอยากจะพูดเป็นอย่างอื่นแต่สิ่งที่คนตัวเล็กพูดออกมานั้น ก็คงจะมีได้แค่คำว่า
   “Ok, I will change the seat with you if he sits next to me.”  (ได้สิฉันจะแลกที่นั่งกับเธอถ้ารูเบนนั่งข้างฉัน) คนตัวเล็กพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงค่อยๆ และรอยยิ้มที่ดูฝืนๆ แต่ถึงกระนั้นสาวญี่ปุ่นก็ดูเหมือนจะไม่รับรู้อาการเหล่านั้นเอาเสียเลย หรือที่จริงอาจจะพยายามไม่รับรู้ก็เป็นได้ เพราะหลังจากที่คนผิวแทนตอบตกลง เธอก็เพียงแค่พูดขอบคุณและเดินตามเพื่อนที่เหลือไปทิ้งให้คนตัวเล็กยืนเบลออยู่ในห้องนั้นสักพักใหญ่ จนแบมบูต้องโทรขึ้นมาตามถึงจะมีสติรู้ตัวเดินตามลงมาได้
   และมันก็เหมือนกับเธอสามารถอ่านกระดานหมากล้อมได้อย่างเฉียบขาด เพราะทันทีที่คณะเดินทางก้าวข้ามจากชานชาลาขึ้นมายังรถม้าเหล็ก คนตาฟ้าก็เดินเบียดแซงคนอื่นๆ ที่เดินอยู่ข้างหน้า จนสามารถเดินตีคู่ขึ้นมาหาคนตัวเล็กเพียงเพื่อว่าจะได้นั่งติดกัน
หัวข้อ: When love travel Ep.17 ความรักและกำแพงที่มองไม่เห็น ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 24-07-2020 20:57:39
   “เป๊าะ แป๊ะ เป๊าะ แป๊ะ เป๊าะ แป๊ะ” เสียงสายฝนแรกของฤดูใบไม้ผลิตกลงมากระทบกับพื้นถนนและหลังคาตรงตรอกแคบข้างๆ ร้านอาหารไทย ณ สยาม ซึ่งหากเราสังเกตดูให้ดี ก็จะเห็นเงาตะคุ่มๆ ของคนอยู่สองคนกำลังวิวาททุ่มเถียงกันอยู่
   “ทำไมมึงถึงทำแบบนี้วะ ก็กูบอกมึงไปตั้งแต่ครั้งแรกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าคนเนี้ยกูหวง คนเนี้ยกูจอง” เสียงของเงาทางด้านขวามือตะโกนใส่อีกเงาอีกดวง ด้วยเสียงตวาดจากความโกรธปนด้วยผิดหวัง
   “ผมเองก็พยายามอยู่ห่างเขา และพูดกับเขาน้อยที่สุดแล้วนะพี่เพราะผมรู้ว่าพี่ชอบ แต่ผมแม่งหักห้ามใจตัวเองไม่ได้ว่ะพี่ สุดท้ายแล้วเรื่องของหัวใจยังไงมันก็ห้ามกันไม่ได้รึเปล่าวะ เหมือนที่พี่ก็พยายามตามติด ตามคุยกับเขาเต็มที่แล้วแต่เขาก็ไม่เคยมองมาเลยไม่ใช่รึไง” น้ำเสียงและแววตาอันมั่นคงและหนักแน่น ถูกพูดออกมาจากปากของอีกฝ่ายอย่างไม่มีทีท่าหวาดกลัวหรือสะทกสะท้านแม้แต่น้อย
   “อ้าว ถ้าพูดเหี้ยๆ แบบนี้ก็คงจะได้กินกำปั้นสักหมัดสองหมัดล่ะวะ” ฝ่ายแรกพูดด้วยน้ำเสียงที่เหี้ยมเกรียมกว่าเดิมและเดินสาวเท้าเข้าใกล้คนที่เป็นฝ่ายตั้งรับด้วยท่าทีคุกคามอย่างยิ่งยวด
   “เอาเลยพี่ ผมเตรียมใจมาแล้ว และผมก็จะไม่ต่อยสวนพี่ด้วย เพราะเรื่องนี้ผมแม่งผิดเอง แต่ผมจะบอกอะไรให้อย่างนะ ต่อให้พี่จะกระทืบผมให้ตายผมก็จะไม่หนีความรู้สึกของตัวเองอีกแล้ว” คนที่ถูกประชิดตัวหลับตา พร้อมกับขบกรามแน่น โดยหวังว่าคนที่เดินเข้ามาจะไม่ต่อยเขาจนถึงตาย เพราะถึงยังไงทั้งสองคนก็มีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอด แต่เมื่อทั้งคู่ดันเผลอหัวใจไปรักคนคนเดียวกันมันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องมาแก้ปัญหาดังกล่าวกันด้วยการใช้กำลังในแบบที่ลูกผู้ชายเขาทำกัน
   “เปรี้ยง”เสียงหมัดกระแทกเข้ากับอะไรสักอย่าง อะไรสักอย่างที่ไม่ใช่ใบหน้าของคนที่กำลังกัดกรามอยู่ และเมื่อคนที่หลับตาค่อยๆ บรรจงเอามือจับที่ใบหน้าของตัวเองก็ค้นพบว่าไม่มีจุดไหนที่เจ็บหรือปวดเลย ซึ่งเมื่อลืมตาขึ้นมาดูก็พบว่าเสียงดังกล่าวนั้นเกิดจากหมัดของอีกฝ่ายที่จงใจ ชกเฉียดไปยังกำแพงที่ตั้งอยู่ด้านข้างแทนที่จะเป็นใบหน้าของเขา
   “เออ มึงเองก็พูดถูก เรื่องของหัวใจมันบังคับกันไม่ได้ แล้วการที่กูจะต่อยหน้ามึงเพราะมึงเป็นศัตรูหัวใจของกูแม่งก็เด็กเกินไป อีกอย่างมันก็ไม่ได้ทำให้น้องเขาหันมาชอบกูมากขึ้นด้วย เผลอๆ ถ้าหน้ามึงแหกแล้วน้องเขารู้ว่าใครทำ เขาอาจจะหันมาเกลียดกูไปเลยก็ได้ ต่อจากนี้มึงจะเอายังไงก็เรื่องของมึงละกัน” คนพูดถอนหมัดออกมาจากกำแพงซึ่งพอหลังมือโดนเข้ากับหยาดฝนก็ทำให้เจ้าของมือต้องหันมาเป็นฝ่ายกัดฟันซะเองด้วยความเจ็บและแสบ
   “ขอบคุณนะพี่ที่เข้าใจผม” รอยยิ้มที่ดูโล่งอกถูกเผยให้เห็นเมื่อหมัดของอีกฝ่ายไม่ได้อยู่บนหน้าของตัวเอง และมันแปรเปลี่ยนไปเป็นความสุขใจยิ่งขึ้นเมื่อเขาลองใช้สมองคิดทบทวนคำพูดของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนกับเป็นการพูดกลายๆ ว่าต่อจากนี้เขาสามารถเดินหน้าจีบคนในหัวใจโดยไม่ต้องเกรงใจใครอีกแล้ว
   “แต่กูเองก็จะไม่ยอมแพ้หรอกนะ ต่อให้เขาจะไม่สนใจกูก็เหอะ ยังไงกูก็จะพยายาม ในแบบของกูเอง และถ้ากูพอมีวาสนาอยู่บ้างกูก็อาจจะได้ใจน้องเขามาครองก็ได้ มึงเองก็อย่าประมาทไปละ” เมื่อพูดจบเขาก็หันหลังและก้าวเดินจากไป แต่ก่อนที่เท้าของเขาจะก้าวพ้นออกจากตรอกนั้นเสียงของอีกฝ่ายก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน
   “ลองทำให้เต็มที่แล้วกันนะพี่ ผมเอาใจช่วย เพราะว่าทางฝั่งของผมเนี่ยดูแล้วท่าจะชนะ ใสๆ ว่ะ” เงาที่ยังหยุดนิ่งท่ามกลางสายฝนที่ยังเทลงมาอย่างไม่หยุดหย่อนตะโกนไล่หลังเงาที่กำลังจะเดินจากไปด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง ซึ่งคนที่กำลังจะเดินจากไปก็ได้หยุดกึกเหมือนกับว่าเท้านั้นตกหล่ม ก่อนที่จะหันมาโชว์นิ้วกลางให้เจ้าของเสียงตะโกนและก้าวเดินต่อไป ทิ้งให้คนที่เพิ่งได้รับของขวัญ หัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างชอบใจแข่งกับเสียงของสายฝนที่ดูทีท่าแล้วไม่น่าจะหยุดตกในค่ำคืนนี้เป็นแน่
   “That Charms really cute, Thun” (จี้อันนี้ของเธอน่ารักจังเลยนนะ ธัน) เสียงของสาวญี่ปุ่นดังขึ้นด้านหลังคนตัวเล็ก ที่กำลังนั่งเอามือเกยคางพร้อมกับหมุนจี้ข้อมืออันล่าสุดที่ได้รับมาอย่างปริศนา ด้วยสีหน้ากึ่งมีความสุขและกึ่งสงสัยอยู่ในที
   “Oh, Hi Hanna what do you have for this morning” (อ้าว ไงฮาน่า เธอมีอะไรเป็นอาหารเช้าวันนี้ละ) ธันหันไปตามเสียงเรียกก่อนจะโบกไม้โบกมือทักทายพร้อมกันนั้นก็ยิ้มให้สาวเจ้าจนตาหยี
   “Haha, it is a normal sandwich and where did you buy it. I mean your charm” (ฮ่าฮ่า ไม่มีอะไรพิเศษหรอกก็แค่แซนด์วิชปกติแหละ ว่าแต่เธอซื้อจี้อันนี้ที่ไหนเหรอ) ฮานะถามขึ้นขณะรีบยัดแซนด์วิชเข้าปากอย่างเร่งรีบ เหตุเพราะว่าเธอเหลือเวลาในการกินอีกแค่ สิบนาทีก่อนที่คลาสเรียนจะเริ่มขึ้น
   “I don’t know someone gave it to me” (ฉันไม่รู้ ใครบางคนให้ฉันมาน่ะ) คนตัวเล็กตอบคำถามพร้อมกับกวาดสายตาไปยังทางเดิน ซึ่งตอนนี้ที่ว่างตรงกำแพงเกือบทั้งหมดถูกแต่งแต้มด้วยโปสเตอร์สีฟ้าพาสเทล โดยมีเนื้อความกำกับบนกระดาษว่า
“Friday 27th September
Prom night
At The Sky and Lotus night club
234 Wickham St, Fortitude Valley
A Special party that you will remember for a long time
No Admission / Start at 9.00 pm”
   นั่นแอบทำให้คนตัวเล็กแอบกุมขมับเล็กน้อย เพราะว่าวันดังกล่าวเขาดันต้องไปทำงานพิเศษแล้วไหนจะต้องไปจัดหาชุดที่จะไปงานอีก ดูท่าแล้วงานนี้เขาคงจะต้องทุบกระปุกออมสินที่อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบมาแรมเดือนเพื่องานนี้เป็นแน่
   “Um… Who is that guy? I hope that man will be suited for you but I hope he isn’t the same man of me.” (อืม... คนคนนั้นจะเป็นใครกันนะ ฉันหวังว่าเขาคนนั้นจะเหมาะสมกับเธอ แต่ยังไงก็ขอให้เขาคนนั้นไม่ใช่คนคนเดียวกับผู้ชายของฉันละกันนะ) ฮานะพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อพร้อมกับจบท้ายด้วยรอยยิ้มบางๆ แต่ดูเชือดเฉือนอยู่ในทีเหมือนกัน
อย่างไรก็ตามแม้รอยยิ้มและแววตาของเธอจะไม่ได้สื่อ อะไรมากไปกว่าการพูดแซวกันเล่นๆ ของเพื่อนในกลุ่มที่สนิทกัน แต่ทว่าคนที่มีชนักปักหลังอย่างธัน แค่คำพูดแค่นั้นมันก็มากเพียงพอแล้วที่จะทำให้เขามีความรู้สึกละอายใจขึ้นมาอย่างท่วมท้น เหตุเพราะว่าผู้ชายของฮานะนั้นเป็นผู้ชายคนที่มักจะมาช่วยเขาในยามที่เขาเจอเหตุการณ์ที่ยากลำบาก เป็นคนเดียวกันกับที่มาคอยแกล้งแหย่พร้อมทั้งกวนประสาทเขาเมื่อยามเขารู้สึกเหงา ที่สำคัญที่สุดชายคนนี้ยังเป็นคนมอบรสจูบที่แสนวาบหวามและแสนหวาน อันทำให้เขาต้องตราตรึงใจมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ความรู้สึกอันงดงามก็ต้องสะดุดลงเพราะสายตาที่เว้าวอนจ้องจะเอาคำตอบจากคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา
   “I am sure. He isn’t Ruben” (ฉันมั่นใจว่าใครคนนั้นไม่ใช่รูเบนแน่นอน) ธันตอบกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มที่พยายามประดิษฐ์ให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด แต่ภายในหัวใจกลับรู้สึกเจ็บแปลบ ยังไงไม่รู้เหมือนกัน
   “I think everyone knows about this Friday already. I just want to remind you of two things. First, don’t bring the alcohol to this party” (ผมคิดว่าทุกคนคงจะรู้เรื่องงานวันศูกร์นี้แล้ว มีสองสิ่งที่ผมอยากจะย้ำเตือนพวกคุณ ข้อแรกคือห้ามเอาแอลกฮอล์เข้ามาภายในงาน) อาจารย์แบร์พูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ดูจริงจัง ซึ่งนั่นทำให้เขาได้รับเสียงโห่กลับมา
   “Second in our party has a lot of alcohol if you cannot drink it all I am not allowed you to go home. Boohoos see you, tomorrow guy.” (ข้อสองในงานของเรามีแอลกฮอลล์โคตรเยอะ ถ้าพวกนายดื่มไม่หมดล่ะก็ ฉันไม่อนุญาตให้กลับบ้านนะ วู้ฮู้ เจอกันวันพรุ่งนี้นะพวก) เสียงโห่ร้องด้วยความไม่พอใจเมื่อสักครู่ถูกแทนที่ด้วยเสียงหัวเราะและปรบมืออย่างชอบใจด้วยความรวดเร็วและกึกก้อง เมื่ออาจารย์หุ่นหมี พูดจบประโยค และก่อนที่แบร์จะเดินออกจากห้องเขาก็ทำท่าเต้น the floss เพื่อเรียกเสียงฮาอีกหนึ่งยก พร้อมกับกึ่งเต้นกึ่งเดินออกไปทั้งแบบนั้น
   “เฮ้ย เป็นไรปะเนี่ย” คนตัวกลมถามขึ้นด้วยสีหน้าแสดงความห่วงใย พร้อมกับสะกิดแขนคนตัวเล็กที่นั่งมองเหม่อออกไปยังหน้าต่าง เพราะตั้งแต่ขึ้นรถไฟมา ธันก็ได้ปลีกวิเวกไปนั่งฟังเพลงอยู่ในโลกส่วนตัว คนเดียวเงียบๆ และแม้เพื่อนแต่ละคนจะพยายามแวะเวียนเดินเข้ามาทักทายหยอกล้อ ธันก็ได้แต่พูดจา เออ ออ แบบขอไปที รวมถึงการส่งยิ้มที่ดูแห้งแล้งเกินพอดี ให้เพื่อนทุกคนที่เข้ามาไถ่ถาม จนเพื่อนๆ ต่างพากลุ้มใจเมื่อได้เห็นสภาพของคนตัวเล็กในตอนนี้ จึงพากันเดินไปเรียกแบมบูที่นั่งปลีกวิเวกอยู่คนเดียวในอีกฟากเช่นกัน ให้ไปนั่งเป็นเพื่อนและสอบถามมาด้วยว่าคนผิวแทนนั้นเป็นอะไรหรือเปล่า
   ภาพตัดมายามตะวันคล้อยบ่ายก่อนที่ทั้งหมดจะขึ้นมาบนรถไฟ โดยที่ช่วงเวลานี้กลุ่มนักเรียนส่วนมาก ก็จะออกจากโรงเรียนกันจนหมดแล้ว แต่วันนี้มันแปลกออกไป เพราะดันมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่นั่งขลุกกันอยู่ในแคนทีนของโรงเรียน โดยจุดศูนย์กลางของคนในวงก็คือสาวหมวยอินเตอร์ ที่กำลังเปิด I-pad หาสถานที่ท่องเที่ยวชมพระอาทิตย์ตกใกล้ๆ เมืองอยู่
   “I think we should go to the beach because that is the best place to see the sunset” (ฉันคิดว่าเราควรไปที่ทะเลนะ เพราะว่าจุดนั้นน่าจะสวยที่สุดแล้วในการชมพระอาทิตย์ตก) เตยที่ยืนอยู่ข้างๆ คนตัวเล็กและจุนพูดขึ้น
   “Yes, that true but it too late for this time. I think when we arrived. We will see the moon and the star instant of the sunset.” (ใช่ อันนั้นก็จริงแต่ว่าตอนนี้มันก็สายไปหน่อยนะที่จะไปทะเลน่ะ ถ้าไปถึงฉันคิดว่าเราจะได้ดูพระจันทร์แล้วก็ดาวแทนพระอาทิตย์ตกน่ะสิ) เดวิดที่ยืนอยู่ริมสุดขยับแว่นเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สุขุมและจริงจังจนเพื่อนๆ ต่างพากันเห็นด้วยและพยักหน้าตามกันเป็นทิวแถว
   “How about the mount Gravatt?” (แล้วถ้าเป็นภูเขา Gravatt ล่ะ) จุนที่ยืนเงียบมาพักใหญ่ เสนอขึ้น
   “That good idea because it has a good cafe on that mountain too.” (เป็นความคิดที่ดีนะ เพราะบนภูเขามีคาเฟ่ดีๆ ตั้งอยู่ด้วยล่ะ) พี่ซีอิ๊วที่เอามือปัดไปมาบนไอแพดพูดขึ้นก่อนจะพลิกหน้าจอให้ทุกคนเห็น คาเฟ่ที่เธอกล่าวถึง
   “Wow that so beautiful. I want to go there” (ว้าวมันสาวยจังเลย ฉันอยากไปที่นั้นจัง) ฮานะที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพี่ซีอิ๊วเอามือทาบอกด้วยความตื่นเต้น พร้อมกันนั้นก็ใช้น้ำเสียงและแววตาที่ออดอ้อน ส่งไปยังเพื่อนคนอื่นในวง
   “Ok, who want to go to mount Gravatt please thump up” (เอาล่ะ ใครอยากไปภูเขา Gravatt ได้โปรดยกนิ้วหัวแม่โป้งขึ้นครับ) คนตัวกลมที่พยายามทำหน้าตาให้ดูเคร่งขรึมและใช้คำพูดที่ดูเป็นทางการที่สุดเท่าที่เคยทำมา จนสามารถสร้างบรรยากาศการโหวตครั้งนี้ให้ดูสำคัญและจริงจังราวกับจะเป็นการตัดสินชะตาชีวิตของใครสักคนก็ไม่ปาน
   ซึ่งทุกคนที่ยืนล้อมวงอยู่ก็พยายามเล่นด้วย โดยการทำสีหน้าเคร่งขรึมตามแบมบู พร้อมกับยกนิ้วโป้งขึ้นมาทีละคน ทีละคน เว้นเสียแต่คนผิวแทนที่ขำจนตัวสั่นตัวงอกับการแสดงออกของคนตัวกลมและเพื่อนแต่ละคนจนจุนที่ยืนอยู่ข้างๆ ต้องจับมือของคนตัวเล็กขึ้นมาพร้อมกับง้างนิ้วโป้งขึ้นเพื่อให้การโหวตครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์เสียที
   “Thun, Can I beg you something?” (ธันฉันขอร้องอะไรเธออย่างได้ไหม) ฮานะรั้งแขนของคนตัวเล็กไว้ก่อนที่เขาจะก้าวออกจากห้องไปขึ้นรถไฟพร้อมกับเพื่อนคนอื่น
   “Sure what is that?” (ได้สิอะไรละ) คนตัวเล็กยิ้มกว้างก่อนจะตอบกลับสาวญี่ปุ่นด้วยน้ำเสียงที่สดใส โดยไม่รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่ฮานะจะพูดต่อจากนี้จะทำให้รอยยิ้มของเขาหายวับไปได้อย่างรวดเร็ว
   “When we are on the train can I sit with Ruben?” (ตอนที่เราอยู่บนรถไฟ ฉันขอนั่งคู่กับรูเบนได้ไหม) สาวญี่ปุ่นพูดขึ้นพร้อมกับเอียงคอเล็กๆ และมอบรอยยิ้มน้อยๆ ที่ทำให้ธันต้องกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก ก่อนจะพยายามควบคุมน้ำเสียงให้ไม่สั่นไหวและตอบฮานะ กลับไปด้วยรอยยิ้มเล็กๆ เฉกเช่นเดียวกันว่า
   “But I am not Ruben this question you have to ask him not me.” (แต่ฉันไม่ใช่รูเบนนะ คำถามนี้เธอต้องเป็นคนถามรูเบนสิไม่ใช่ฉัน) คนตัวเล็กพูดอย่างช้าๆ และชัดๆ โดยไม่ให้มันดูเป็นการตอบรับหรือปฏิเสธแต่ประการใด
   “You and Ruben are close now. I think he will sit next to you on the train By the way if he doesn’t. I will ask that guy to swipe the seat for me.” (ก็ช่วงนี้เธอกับรูเบนค่อนข้างที่จะสนิทกันนี่นา ฉันเลยคิดว่าเขาจะต้องขอนั่งข้างเธอบนรถไฟอยู่แล้ว แต่ถึงเขาจะไม่นั่งกับเธอฉันก็จะไปขอแลกที่กับคนที่เขานั่งด้วยอยู่ดี) ฮานะพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นๆ พร้อมกับระบายยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากและถึงแม้ในใจของคนตัวเล็กอยากจะพูดเป็นอย่างอื่นแต่สิ่งที่คนตัวเล็กพูดออกมานั้น ก็คงจะมีได้แค่คำว่า
   “Ok, I will change the seat with you if he sits next to me.”  (ได้สิฉันจะแลกที่นั่งกับเธอถ้ารูเบนนั่งข้างฉัน) คนตัวเล็กพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงค่อยๆ และรอยยิ้มที่ดูฝืนๆ แต่ถึงกระนั้นสาวญี่ปุ่นก็ดูเหมือนจะไม่รับรู้อาการเหล่านั้นเอาเสียเลย หรือที่จริงอาจจะพยายามไม่รับรู้ก็เป็นได้ เพราะหลังจากที่คนผิวแทนตอบตกลง เธอก็เพียงแค่พูดขอบคุณและเดินตามเพื่อนที่เหลือไปทิ้งให้คนตัวเล็กยืนเบลออยู่ในห้องนั้นสักพักใหญ่ จนแบมบูต้องโทรขึ้นมาตามถึงจะมีสติรู้ตัวเดินตามลงมาได้
   และมันก็เหมือนกับเธอสามารถอ่านกระดานหมากล้อมได้อย่างเฉียบขาด เพราะทันทีที่คณะเดินทางก้าวข้ามจากชานชาลาขึ้นมายังรถม้าเหล็ก คนตาฟ้าก็เดินเบียดแซงคนอื่นๆ ที่เดินอยู่ข้างหน้า จนสามารถเดินตีคู่ขึ้นมาหาคนตัวเล็กเพียงเพื่อว่าจะได้นั่งติดกัน
   “Hi” รูเบนพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มและน้ำเสียงที่นุ่มนวลดั่งเช่นทุกที และ นั่นก็ทำให้คนตัวเล็กเผลอยิ้มตอบและตอบกลับเขาไปด้วยน้ำเสียงที่สดใสและอมยิ้มเล็กๆที่มุมปากเช่นกัน
   “Hi” คนตัวเล็กพูดพร้อมกับก้มหน้าหลบสายตาของรูเบนที่ตอนนี้ ดูซุกซนเหมือนกันกับลิงไม่มีผิด เพราะเขาเอาแต่มองจ้องหน้าคนตัวเล็กไม่หยุด และแม้คนตัวเล็กจะหันหน้าหนีไปทางอื่น เขาก็ยังไล่ต้อนตามไปจนคนตัวเล็กหน้าเริ่มขึ้นสีทีละเล็กทีละน้อย
   “Thun” (ธัน) เสียงเล็กๆ หวานๆ ดังแว่วขึ้นมาระหว่างทางเดินตรงช่วงปลายที่นั่งของทั้งสองคน และแถบไม่ต้องหันไปมองคนตัวเล็กก็สามารถเดาได้ไม่ยากว่ามันเป็นเสียงของผู้ใด ใช่ เสียงของคนๆ นี้เป็นคนเดียวกันกับที่ครั้งหนึ่ง คนผิวแทนชอบที่จะฟังเพราะมันเป็นเสียงที่ น่ารัก และสดใส บวกกับบุคลิกของเจ้าของเสียงที่ดูเข้าถึงง่ายและอ่อนโยน มันก็คงไม่แปลกที่เธอคนนี้จะมีเพื่อนสนิทหลากหลายคนคอยโอบอุ้ม และรายล้อมอยู่รอบตัวเธอเสมอ ซึ่งหนึ่งในเพื่อนสนิทที่ดันไปรับปากกับสิ่งที่ขัดกันกับใจตัวเองอย่างถึงที่สุดก็คงหนีไม่พ้น เป็นคนผิวแทนที่กำลังนั่งทำหน้าลำบากใจอยู่ในตอนนี้
   “Hana. Why you don’t take any seat? The train going to leave soon.” (ฮาน่า ทำไมเธอยังไม่ไปหาที่นั่งอีกละรถไฟกำลังจะออกในไม่ช้านี้แล้วนะ) หลังจากสิ้นเสียงของคนที่กำลังยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ในตอนนี้ ก็เห็นจะมีแต่เพียงความเงียบและความกระอักกระอ่วกใจ ที่ลอยวนอยู่เหนือหัวของคนทั้งสาม จนสุดท้ายก็ต้องเป็นคนตาฟ้าที่เอ่ยปากไถ่ถามเพื่อทำลายก้อนเมฆอันน่าอึดอันใจนี้ออกไป
   “Don’t worry Ruben, I have chosen my seat before we are here. Is that right? Thun” (ไม่ต้องห่วงหรอกรูเบน ฉันเลือกที่นั่งเอาไว้ก่อนที่เราจะถึงที่นี่ซะอีก ใช่ไหมธัน?) ฮานะหันไปตอบคนผมสีวอลนัทก่อนจะเอียงหน้าที่ยังฉาบไปด้วยรอยยิ้ม กลับมาทางธัน
   “Yes it is and this is your seat” (ใช่แล้วและนี่ก็คือที่นั่งของเธอไง) คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับสวมหน้ากากแห่งรอยยิ้มที่ดูจะฝืนใจอยู่ไม่น้อย พร้อมกันนั้นก็ลุกขึ้นยืนและเดินเบี่ยงตัวออกจากฮานะก่อนที่จะเดินหายเข้าไปยังทางเชื่อมโบกี้รถไฟขบวนข้างๆ โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง ส่วนทางด้านคนตัวสูง ก็พยายามตะโกนเรียกชื่อของคนตัวเล็กออกมาอย่างสุดเสียงซึ่งในขณะที่คนตาฟ้าพยายามจะเดินตามไปเขาก็ถูกมือของเล็กๆ ของฮานะจับเอาไว้พร้อมกับส่งสายตาวิงวอนกลับมาซะก่อน
   “ก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่มึง” คนตัวเล็กตอบคนตัวกลมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยขณะที่สายตาก็ยังจับจ้องวิวทิวทัศน์ที่ค่อยๆ เปลี่ยนผ่านไปเรื่อยๆ ทางด้านนอกของตัวรถไฟ
   “ไม่ได้เป็นอะไรแล้วทำไมไม่กลับไปนั่งกับเพื่อนๆ ละ คนอื่นเขาเป็นห่วงเธออยู่นะรู้ไหม” คนตัวกลมที่เริ่มจะวางสายตาไว้ทางด้านนอกขบวนรถไฟ ตามคนตัวเล็กบ้าง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่คล้ายคนกำลังจะหมดแรงไม่แตกต่างอะไรจากคนผิวแทนเลย
   “คนที่ขึ้นมาก็ปลีกวิเวกไปนั่งคนเดียว ไม่น่าจะมีสิทธิ์มาพูดกับฉันแบบนี้นะพูดถึง” ธันถอนหายใจน้อยๆ ก่อนจะหันกลับเข้ามายังขบวนรถและยิ้มให้กับแบมบูที่จ้องมองและยิ้มกลับมาให้ธันอยู่เช่นเดียวกัน
   “ของพี่น่ะมันก็ยังแลดูมีความหวังอยู่ไม่ใช่เหรอ ดูผู้ชายเขาก็มีใจให้เธอเยอะอยู่นี่ แต่ของน้องนี่สิมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยนะ” คนตัวกลมพูดอย่างปลงๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
   “ใครว่าล่ะ ฉันเองก็ไม่มีหวังเหมือนกันแหละ ต่อให้ผู้ชายเขาจะคิดกับฉันเหมือนที่เธอพูด แต่ฉันก็ไม่อยากจะทำลายสายสัมพันธ์ของกลุ่มเราลงไปเพราะผู้ชายแค่คนเดียวหรอกนะ” ธันก้มหน้ามองพื้นพร้อมกับยิ้มปลอบใจให้ตัวเอง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความรู้สึกที่ดูหลากหลาย แต่ส่วนผสมหลักของความรู้สึกนั้นน่าจะเป็นความไม่สบายใจและอึดอัดใจ
   “แล้วตัวเธอเองล่ะ ความรู้สึกของเธอมันบอกว่ายังไง เธอจะหยุดสายสัมพันธ์ที่เธอมีต่อเขา เพียงเพราะเพื่อนเธอชอบเขา แบบนี้มันถูกแล้วเหรอ” แบมบูยังไม่หยุดเอ่ยถาม แม้เขาเองจะเห็นสีหน้าและแววตาเศร้าหมองของคนตัวเล็ก ที่ไม่พร้อมจะตอบคำถามก็ตาม ทว่าคนตัวกลมอยากให้คนตัวเล็กรู้หัวใจตัวเองให้ได้ แม้มันจะทำให้คนผิวแทนรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นก็ตาม
   “แล้วฉันจะทำอะไรได้มากไปกว่านี้เหรอ ในเมื่อฮานะเป็นคนพูดออกมาอย่างชัดเจนกับฉันมาสักพักแล้ว ว่าเธอชอบรูเบนน่ะ ยังไงฉันก็ต้องให้เธอได้ลองพิสูจน์ตัวเองให้ถึงที่สุดก่อนล่ะนะ” คนตัวเล็กตอบก่อนจะหันกลับไปมองยังด้านนอกหน้าต่างเพื่อเป็นการสื่อกับคู่สนทนาว่าเขาไม่พร้อมจะรับฟังอะไรอีกแล้ว
   “เออ ก็ตามใจแล้วกัน น้องก็คงพูดอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ” คนตัวกลมทิ้งท้ายด้วยการถอนหายใจออกมา ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินกลับไปยังที่นั่งของตนที่อีกฝากหนึ่งของโบกี้รถไฟ
   “มันก็คงดีที่สุดสำหรับทุกคนแล้วละมั้ง” คนตัวเล็กมองไปยังเงาสะท้อนของตัวเองผ่านกระจกรถไฟ พร้อมกับส่งยิ้มที่ดูแสนเศร้าอย่างสุดแสน กลับไปยังเงาสะท้อนนั้น
   The Lovewell Project cafes เป็นร้านกาแฟที่ตั้งอยู่บนภูเขา Gravatt ซึ่งความพิเศษของตัวร้านที่ทำให้ผู้คนมากหน้าหลายตา ต่างคอยแวะเวียนเข้ามา ชิมกาแฟและเบเกอรี่กันอย่างไม่ขาดสาย นอกจากจะเป็นเรื่องของ ความสดใหม่ ความอร่อย และความหลากหลายของสินค้าแล้ว อีกหนึ่งเหตุผลก็คือเรื่องของวิวทิวทัศน์อันงดงามที่ทางร้านได้มอบให้ เพราะถึงแม้ว่าร้านจะตกแต่งแบบธรรมดา ไม่ได้มีอะไรพิเศษหวือหวา แต่ทว่าด้านหลังของตัวร้านนั้น มีส่วนที่ยื่นออกจากภูเขาไปเกือบครึ่ง ซึ่งคนสร้างและคนออกแบบใช้หลักการด้านวิศวกรรมและฟิสิกส์อย่างยอดเยี่ยมจนทำให้ตัวร้านนั้นตั้งอยู่ได้อย่างมั่นคงแข็งแรง และไม่ถล่มลงมาแม้วันที่มีพายุโหมกระหน่ำหรือวันที่มีลูกค้ามายืนออกันแน่นขนัดเพื่อรอชมภาพพระอาทิตย์ลับของฟ้า เฉกเช่นวันนี้
   “อร่อยอยู่นะ ช็อคโกแลตมินต์ปั่นเนี่ย” เตยที่แอบเนียนกินน้ำในแก้วของคนตัวเล็กพูดขึ้นก่อนจะส่งยิ้มที่มีเศษช็อคโกแลตสีดำติดตามซอกฟัน ให้คนตัวเล็กที่กำลังพยายามกลั้นขำอย่างสุดกำลังอยู่
   เมื่อลงจากรถไฟ คนตัวเล็กก็พยายามข่มอารมณ์สับสนและขุ่นมัวของตนเอาไว้ข้างใน ก่อนจะเดินเข้าไปสมทบกับเพื่อนๆ ที่ยืนรออยู่ด้านล่าง ทุกอย่างดูกลับไปสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็ว หากไม่นับการที่คนผิวแทนพยายามหลบสายตาของคนตัวสูงที่พยายามจ้องมองมาทางเขา โดยไม่สนใจสาวญี่ปุ่นที่เดินขนาบข้างตนอยู่แม้แต่น้อย จนถึงการเลือกที่นั่ง ธันเองก็พยายามเลือกที่นั่งให้ห่างจากทั้งคู่ให้ได้มากที่สุด ยิ่งโต๊ะเป็นโต๊ะแบบบาร์ยาวนั่งเรียงหนึ่งด้วยแล้ว ระยะห่างระหว่างคนตัวเล็กและคนตัวสูงจึงกลายเป็นหัวโต๊ะและหางโต๊ะไปโดยปริยาย
   “Ew… That so disgusting. Can you stop it?” (แหวะ น่าขยะแขยงชะมัด หยุดทำได้ไหมเนี่ย) เดวิดที่นั่งอยู่ข้างๆ เตยทำหน้าขยะแขยงคล้ายจะอาเจียน กับการเล่นมุขตลกสกปรกของคนแว่นใหญ่หัวฟู และนั่นก็ทำให้เตยเปลี่ยนเป้าหมายใหม่โดยการไปแย่งขนมเค้กชาเขียว ในจานของหนุ่มไต้หวันกินแทนทั้งๆ ที่ตนก็มีทั้งลาเต้เย็นและมูสช็อคโกแลตเค้กอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ
   “อย่าแกล้งเพื่อนสิแก” เป็นพี่ซีอิ๊วที่อยู่ที่นั่งถัดไป ต้องพูดปรามสาวหัวฟู และเมื่อเธอได้ยินดังนั้นแล้วจึงหยุดแกล้งหนุ่มแว่นลงได้
   “Guys look at the sunset.” (พวกเราดูพระอาทิตย์ตกสิ) จุนชี้ไปที่พระอาทิตย์ที่กำลังเลื่อนต่ำลงมาเรื่อยๆ จนสีเหลืองที่เคยส่องสว่างเมื่อยามกลางวันค่อยๆ ถูกยามราตรีกลืนจนเป็นสีส้มและค่อยๆ กลายเป็นสีดำตามลำดับ
   “สวยจังนะ / that is beautiful” ธันและรูเบนพูดอุทานขึ้นมาแทบจะในนาทีเดียวกันและนั่นก็ทำให้ทั้งคู่ หันไปหาเจ้าของเสียงอีกคนแทบจะในทันที และเมื่อนัยส์ตาของทั้งคู่ประสานกันเวลารอบข้างก็ดูเหมือนจะถูกหยุดลงไปในห้วงวินาทีนั้น สายตาของคนผมสีวอลนัทที่ส่งไปยังคนผิวแทนนั้นเต็มไปด้วยคำถามและการตัดพ้ออย่างยิ่งยวด จนคนตัวเล็กต้องเป็นฝ่ายที่ค่อยๆ หลบสายตาออกมาอย่างช้าๆ
   ซึ่งตอนนี้คำถามที่คนตัวเล็กมีขึ้นมาในหัวช่วงพักหลังๆ ก็ได้รับคำตอบเสียที คำถามนั้นเป็นคำถามที่ว่า กำแพงเล็กๆ ระหว่างคนตัวเล็กและคนตาฟ้านั้นคืออะไร และถึงแม้ว่าธันจะไม่รู้ว่ากำแพงในส่วนของรูเบนจะเป็นอะไร หรือเป็นใคร แต่ในส่วนของธันนั้นแน่ชัดแล้วว่ากำแพงใสของเขานั้นคือมิตรภาพ ระหว่างเขาและฮานะ
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่17 หน้าสาม ✈
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 24-07-2020 23:38:25
บอกก่อนแล้วไง สุดท้ายใครเป็นคนเลือก
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่17 หน้าสาม ✈
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-07-2020 01:23:04
 :pig4: :pig4: :pig4:

สรุปว่า...อิตารูเบน  พูดไทยได้ปร๋อเลยสินะ   เห็นทะเลาะกับอิพี่อ้นเป็นภาษาไทยชนิดน้ำไหลไฟดับ

แหม่.....แล้วทำเป็นเก๊กไม่พูดไทยกับนุ้งธันบนเครื่องบิน  ชิ
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่17 หน้าสาม ✈
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 25-07-2020 03:54:04
:pig4: :pig4: :pig4: เอ เงานั้นจะใช้รูเบนไหมน้า?

สรุปว่า...อิตารูเบน  พูดไทยได้ปร๋อเลยสินะ   เห็นทะเลาะกับอิพี่อ้นเป็นภาษาไทยชนิดน้ำไหลไฟดับ

แหม่.....แล้วทำเป็นเก๊กไม่พูดไทยกับนุ้งธันบนเครื่องบิน  ชิ
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่17 หน้าสาม ✈
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 25-07-2020 19:08:34
รูเบน นี่เนื้อหอมจริงนะ อย่างนะคนหล่อเลือกได้
ฮานะ ไม่ผิดหรอกที่จะชอบรูเบน เธอเป็นคนมั่นใจและมีความมุ่งมั่น
ธัน ของเราพอนึกออกไม่ว่าจะเป็นตอนเดือดร้อน มักจะมีรูเบนมาอยู่ข้างๆ เสมอ
ทั้งนี้ อยู่ที่คนกลางละนะ ว่าหัวใจตัวเองอยู่ที่ไหน
 :man1: :man1: :man1:
หัวข้อ: When love travel Ep.18 ความรักและดอกฮิกันบานะแดง ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 02-08-2020 20:15:41
“ฮิกันบานะแดง
ออกดอกงดงามอยู่ริมรั้ว
เร้นพิษซ่อนไว้ใน”
   “เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย ปิดแก็สเร็วไหม้หมดแล้ว” เสียงดังตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ของคนตัวกลม ทำให้คนตัวเล็กรู้สึกตัวและหลุดออกจากภวังค์แห่งความคิด ก่อนที่จะรีบยกเอากระทะที่อยู่บนเตาไปวางไว้บนซิงค์ล้างจานและรีบเปิดน้ำจากก็อกใส่ เพราะว่าตอนนี้ควันและกลิ่นไหม้เริ่มจะลอยโชยขึ้นมาจากอาหารที่อยู่บนกระทะแล้ว
   “เป็นอะไรหรือเปล่า ฉันเห็นว่าเธอมีอาการแบบนี้ตั้งแต่กลับมาจากร้านกาแฟวันนั้นแล้วนะ” แบมบูพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่เป็นกังวล เพราะว่าหลังจากวันนั้นที่ร้านกาแฟ คนตัวเล็กก็มีอาการเหม่อลอย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตลอดเวลา อันที่จริงคนตัวกลมก็พอจะรู้สาเหตุนั่นแหละว่าคนผิวแทนเป็นเช่นนี้เพราะอะไร ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นเพราะใครน่าจะเหมาะสมกว่า
เพราะคนตัวเล็กจะมีอาการเหม่อลอยจนสังเกตได้ชัดทุกครั้ง ยามที่เขาเห็น ฮานะอยู่ด้วยกันกับรูเบน แถมอาการจะยิ่งหนักเข้าไปอีกถ้าสาวญี่ปุ่นเข้าไปเล่นแบบถึงเนื้อถึงตัวกับหนุ่มตาฟ้า
อันที่จริงแล้วฮานะก็พยายามทอดสะพานให้คนผมสีวอลนัททุกครั้งที่มีโอกาสนั่นแหละ อันนี้ไม่ใช่เฉพาะธันที่สังเกตเห็น แต่เป็นสิ่งที่เพื่อนในกลุ่มทุกคนรับรู้กันอยู่แล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ในมุมมองของคนตัวกลมก็ไม่เห็นคนผิวแทนจะแสดงอาการอะไรแบบนี้ออกมาเลย แต่ทว่าหลังจากสลับที่นั่งกับสาวญี่ปุ่นในวันนั้น คนตัวเล็กก็มีอาการอย่างที่เห็น ซึ่งที่จริงแล้วถ้าเกิดว่าไม่อยากจะสลับที่นั่งกับฮานะก็น่าจะบอกเธอไปตรงๆ ไม่ใช่หรือไง แล้วตัวเขาเองในตอนนั้นก็ดันไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์อย่างใกล้ชิดซะด้วยเลยไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“ไม่ได้เป็นอะไรหรอกมึง ก็แค่ช่วงนี้ทำงานหนักนิดหน่อยอ่ะ เลยเบลอๆ ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ต้องห่วงนะยังมีแรงกัดกับแกอีกนาน” ธันเคลียร์อาหารที่ไหม้เป็นตอตะโกลงถังขยะก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่แสร้งทำเป็นว่ายังสบายดี
“อืม ถ้าเธอว่างั้นก็นะ จะเอาอะไรไหมเดี๋ยวน้องเดินไปซื้อน้ำผลไม้ร้านคุณลุงข้างล่างหน่อย” คนตัวกลมหันมาถามก่อนที่จะเดินไปหยิบกระเป๋าตังค์และคีย์การ์ดของตนที่วางอยู่ยนโต๊ะกินข้าว
“เออ เอาอะไรมาก็ได้ เดี๋ยวยังไงฉันรีบทำข้าวเช้าให้ใหม่นะแก ขึ้นมาจะได้รีบกินรีบไปโรงเรียนกัน” ธันพูดขึ้นพร้อมกับตั้งหน้าตั้งตารีบลงมือหั่นพริกหั่นกระเทียมขึ้นมาใหม่เพราะกลัวว่าจะไปโรงเรียนสาย
“ไม่ต้องรีบมากก็ได้นะ น้องอยากกินกะเพราหมูไม่ได้อยากกินกะเพรานิ้ว เอ่อ...เดี๋ยวยังไงจะรีบขึ้นมานะ” คนตัวกลมมีอาการหน้าเสียเล็กน้อยจึงต้องพูดอะไรบางอย่างเป็นการแก้เก้อ เพราะในขณะที่เขาพยายามจะเล่นมุขให้คนตัวเล็กผ่อนคลายสิ่งที่กังวลอยู่ในใจไปได้บ้าง แต่กระนั้นสิ่งที่เขาได้รับกลับมาคือความเงียบและความว่างเปล่าที่เขาไม่เคยได้รับมาก่อนเลยจากคนที่ทั้งสดใสและร่าเริงอย่างคนตัวเล็ก
“ครับ !!!” คนตัวเล็กสะดุ้งสุดตัวก่อนจะขานรับออกมาด้วยใบหน้าที่ตกใจและน้ำเสียงที่ดูสั่นไหวเล็กน้อย เช้านี้ทั้งเช้า หัวใจและสติของเขาไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวเลย มันช่างบางเบาและเปราะบางเหมือนกับกลีบของดอกยิปโซที่หลุดออกจากตัวขั้วดอก ล่องลอยอย่างไร้ซึ่งจุดหมายและทิศทาง ซึ่งเขาก็คงจะเหม่อลอยไปได้อีกสักพักใหญ่ๆ หากไม่มีเสียงของใครคนหนึ่งมาร้องเรียกเขาให้หลุดออกมาจากภวังค์ลึกของตนซะก่อน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตกใจอะไรขนาดนั้นครับเนี่ย พี่แค่ทักทายยามเช้าแค่นั้นเอง ตกใจอย่างกับเห็นผีไปได้” เจ้าของห้องหน้าตี๋ขำเบาๆ กับท่าทีน่าเอ็นดูของคนตัวเล็ก ก่อนจะถือวิสาสะ เอามืออีกข้างที่ว่างจากการถือถ้วยกาแฟมาลูบหัวของเขาอย่างอ่อนโยนและแผ่วเบา
   แต่ทว่าสัมผัสจากคนตรงหน้าจะไม่ใช่สิ่งที่คนตัวเล็กต้องการในเวลานี้ เพราะหลังจากปล่อยให้พี่อ้น ลูบหัวเขาไปได้เพียงครู่ ธันก็เหมือนจะได้สติคืนมาและนั่นก็ทำให้เขาส่งยิ้มที่ดูเหือดแห้ง ตอบแทนสัมผัสที่แสนจะอบอุ่นนั้นไป และยกมือที่อยู่บนหัวของเขาออกอย่างช้าๆ เพื่อที่จะได้ไม่ดูเป็นการปฏิเสธความรู้สึกอันดีที่ได้รับจนน่าเกลียดเกินไป แต่ถึงกระนั้นเจ้าของมือก็ยังมีใบหน้าที่คงไว้ด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนอยู่แม้จะถูกกระทำด้วยท่าทีแบบนั้นก็ตาม
   “เช้านี้ทำอะไรกินล่ะครับ แล้วแบมบูไปไหนซะล่ะ” พี่อ้นมองเข้าไปในกล่องข้าวที่ตั้งอยู่ตรงหน้าของตน ก่อนจะหันซ้ายหันขวารอบตัวเพื่อมองหาผู้เช่าห้องอีกรายแต่จนแล้วจนรอดก็มองหาไม่เจอ เลยต้องเอ่ยปากถามคนผิวแทนที่กำลังเตรียมหยิบ ช้อนซ้อมและกล่องข้าวใส่ในถุงผ้าอยู่
   “อ๋อ มันลงไปซื้อขนมข้างล่างน่ะครับ ลงไปสักพักแล้วยังไม่เห็นกลับขึ้นมาสักที ยังไงเดี๋ยวธันลงไปดูมันแล้วก็เลยไปโรงเรียนเลยดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา ขอตัวนะครับ” หลังจากคนตัวเล็กตอบเสร็จก็จัดแจงหยิบกระเป๋าเป้ของตนขึ้นสะพายหลัง ก่อนที่จะถือถุงอาหารกลางวันและกระเป๋าของรูมเมทตัวกลมอย่างละมือ พร้อมกับเดินตรงดิ่งไปที่ประตูทางออก
   “ว้า ไปซะแล้วเหรอ พี่ว่าจะขอชิมกับข้าวสักหน่อย” หนุ่มตี๋พูดแซวๆ ก่อนจะยกกาแฟในมือขึ้นดื่ม
   “ผมทำเผื่อไว้แล้วครับอยู่ในตู้เย็น เป็นข้าวผัดกะเพราหมูสับเหมือนกันนี่แหละครับ อย่าลืมกินนะครับเดี๋ยวจะเสีย” คนตัวเล็กพูดก่อนจะก้าวออกจากประตูไป โดยไม่ได้หันกลับมามองใบหน้าของผู้ถามที่มีรอยยิ้มพราวผุดขึ้นมาจนเก็บไว้ไม่มิด
   “ก็ใจดีแบบนี้ แล้วจะไม่ให้พี่ชอบได้ยังไงครับ” หนุ่มตึ๋พูดพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเปิดประตูตู้เย็น แล้วสอดส่ายสายตามองหาข้าวเช้าแสนอร่อยฝีมือคนตัวเล็ก
   การจราจรในวันพฤหัสบดียามเช้าที่แน่นขนัดไปด้วยรถยนต์สี่ล้อและรถบัส ที่กระจายอยู่ทั่วท้องถนน มันช่างดูสับสนวุ่นวาย ไม่ต่างอะไรจากหัวใจและหัวสมองของคนตัวเล็กในตอนนี้เลย และแม้ตลอดทั้งทางเดินจะมีคนตัวกลมคอยหาเรื่องมาพูดคุยและหามุกมาหยอกล้อ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คนตัวเล็กมีอาการสดชื่นแต่อย่างใด ในท้ายที่สุดแบมบูก็อดรนทนไม่ไหวต้องพูดเตือนสติคนตัวเล็ก ก่อนจะเดินข้ามไฟแดงเข้าไปยังตึกเรียนอันเป็นจุดหมายในทุกตอนเช้าของเขาทั้งคู่โดยไม่หันกลับมามองว่า
   “นี่พี่ธัน ถ้าพี่บอกว่าพี่ไม่เป็นไร ก็ช่วยแสดงอาการให้ดูเหมือนไม่เป็นไรจริงๆ ได้ป่ะวะ พี่รู้ตัวหรือเปล่าว่าอาการที่พี่แสดงออกมาน่ะมันไม่ต่างอะไรจากอาการของคนอกหักเลยว่ะ” แบมบูพูดด้วยเสียงที่กึ่งตะโกนเล็กน้อยเพราะเขาต้องพูดแข่งกับเสียงของรถที่ขับผ่านไปมาบนท้องถนนรวมถึงเสียงของสัญญาณไฟเขียวไฟแดงที่ร้อง ติ้ก ติ้ก ติ้ก อยู่ตลอดเวลา
   “แกพูดอะไรของแกวะ ฉันจะอกหักได้ไง ฉันยังไม่มีแฟนสักหน่อย” คนตัวเล็กพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบอย่างกับคนที่หมดแล้วซึ่งความรู้สึก ก่อนที่จะออกก้าวเดินตามคนตัวกลมไปยังอีกฝากของถนน
   “ถ้าฉันเป็นเธอนะ ฉันไม่ยอมเสียสละเพื่อคนอื่นจนตัวเองเป็นทุกข์ขนาดนี้หรอก จะทำไปเพื่ออะไรวะ หลบหน้าเขาไม่ยอมคุยกับเขาแล้วมันยังไง แล้วเขาจะหันไปชอบฮานะเหรอ มองจากมุมฉัน ฉันก็ว่าไม่นะ” คนตัวกลมที่ยืนขนาบข้างคนตัวเล็กในลิฟท์ พูดประโยคดังกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มีความหงุดหงิดอยู่เล็กน้อยแต่แฝงความเป็นห่วงอยู่เอย่างต็มเปี่ยม
   “ฉันว่าเราพูดเรื่องนี้กันหลายทีแล้วนะ ฉันแค่อยากเปิดโอกาสให้ฮานะเขาก่อน ส่วนเรื่องจะสำเร็จหรือไม่มันก็เป็นเรื่องของเขาสองคน ฉันว่ามันก็ดีซะอีกนะจะได้รู้กันไปเลยว่าที่ผ่านมา การกระทำของผู้ชายที่เขาทำกับฉันมันเป็นเรื่องจริงหรือว่าฉันแค่คิดไปเองกันแน่” เสียงของคนตัวเล็กหยุดลงเมื่อสัญญาณเตือนของลิฟท์ดังขึ้นเพื่อบอกว่าได้มายังชั้นจุดหมานแล้ว แต่ก่อนที่คนผิวแทนจะเดินออกจากลิฟท์เขาก็ได้หันมายิ้มให้กับคนตัวกลมที่กำลังจะก้าวเดินตามออกไปด้วยเช่นกัน แต่ถึงแม้จะเรียกว่ารอยยิ้มแต่แฝงไปด้วยความไม่แน่ใจและความเศร้าอยู่ไม่น้อย จนคนที่มองดูอดที่จะขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่ได้ มันดูราวกับแบมบูกำลังมองเห็นคนตัวเล็กกำลังค่อยๆ จมดิ่งลงสู่ห้วงนทีแห่งความขมขื่น ทีละเล็กทีละน้อย แล้วความน่าเศร้าสลดของเหตุการณ์นี้ก็คือ แม้ว่าคนตัวกลมและเหล่าเพื่อนในกลุ่มจะพยายามยื้อแย่งก้อนหินหนักหลายร้อยกิโล ที่คนตัวเล็กพยายามโอบอุ้มไว้อย่างเหนียวแน่นอันเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาจมดิ่งลง ยังก้นบึ้งของมหาสมุทร แต่ทว่า พวกเขากลับถูกมือเล็กๆ นั้นผลักไสออกมาอย่างไม่ใยดี ดังนั้นสิ่งที่ทุกคนจะทำได้นับจากนี้ไปก็ คงจะมีเพียงการมองดูอย่างห่างๆ และภาวนาในใจว่า ขอให้คนตัวเล็กได้สติและปล่อยมือออกจากก้อนหิน ที่ชื่อว่ามิตรภาพ ก้อนหินที่ชื่อว่าฮานะ ก้อนนี้โดยเร็ว ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไป
   “Hey Thun, Did you hear me?”(เฮ้ย ธัน นายได้ฟังที่ฉันพูดหรือเปล่าเนี่ย) เป็นจุนหนุ่มเกาหลีของเราที่เอามือขาวๆ มาสะกิดที่ไหล่ของธันเพื่อเรียกคืนสติของคนตัวเล็กที่กำลังล่องลอยไปถึงไหนต่อไหน ซึ่งนั่นก็ทำให้ธันต้องกระพริบตาถี่ๆ ก่อนจะค่อยๆ หันมามองเพื่อนคนอื่นที่นั่งกันเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะและหันมองจ้องมาที่ธันเป็นตาเดียว
   “Yes of course. I heard you” (แน่นอนสิ ฉันต้องได้ยินอยู่แล้ว) คนตัวเล็กตอบกลับไปพร้อมกับยิ้มแกนๆ ส่งกลับไปหาเพื่อนทุกคน พร้อมกับอธิฐานเบาๆ ในใจว่าขออย่าให้มีใครสักคนในโต๊ะถามอะไรต่อเลย เพราะในความเป็นจริงเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับบทสนทนามาตั้งแต่เริ่มแล้ว เอาเข้าจริงเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามานั่งอยู่ที่โต๊ะตั้งแต่เมื่อไหร่ และมานั่งอยู่ได้อย่างไร
   “Really? Ok what we are talking about” (จริงเหรอ งั้นเรากำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่ล่ะ) เดวิดที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ พูดขึ้นมาก่อนจะยิ้มอ่อนๆ ส่งไปให้คนผิวแทนที่ตอนนี้กำลังก่นด่าคนบนฟ้า เพราะว่าคำอธิษฐานที่เขาเพิ่งจะอธิษฐานไปมันไม่สัมฤทธิ์ผล แถมคำถามที่เขาถูกถามก็ดันเป็นคำถามปลายเปิดที่ไม่สามารถมั่วได้เลย อะไรมันดลใจให้ไอ้หนุ่มตาชั้นเดียวมันถามเขาแบบนี้กันนะ
   ธันพยายามมองไปที่คนตัวกลมเพื่อขอความช่วยเหลือซึ่งแบมบูเองก็เหมือนจะรู้งานเพราะเขาพยายามขยับปากใบ้สุดฤทธิ์ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะคนตัวกลมนั่งอยู่ไกลเกินไปจนคนตัวเล็กไม่สามารถมองเห็นรูปปากได้อย่างชัดเจน หรือเป็นเพราะเรื่องที่เพื่อนๆ พูดมันยากเกินไปจนเขาไม่สามารถเดาได้จากเพียงการขยับปากของแบมบูกันแน่ แต่ที่แน่ๆ คนทั้งวงต่างกำลังหรี่ตามามองเขาเป็นตาเดียว และก่อนที่คนตัวเล็กจะได้พูดอะไรออกไป ก็มีเสียงของคนๆ หนึ่งพูดขึ้น เสียงที่ทำให้เขาผ่านพ้นความกดดันอันน่าอึดอัดนี้ไปได้
   “I thought we should go now because the train is coming in 10 minutes” (ฉันคิดว่าเราควรไปได้แล้วนะเพราะรถไฟกำลังจะมาในอีกสิบนาทีนี้แล้ว) รูเบนเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบและแผ่วเบา แต่นั้นก็ดังเพียงพอแล้วที่จะทำให้เพื่อนๆ ในวงกระวีกระวาด เก็บสัมภาระของตนลงกระเป๋าด้วยความรวดเร็วก่อนที่จะกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงไปยังสถานีรถไฟ Central อันเป็นสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดในบริเวณนี้
   “แก แก เรากำลังจะไปไหนวะ” คนตัวเล็กแอบกระซิบถามคนตัวกลมที่นั่งอยู่ข้างๆ โดยพยายามใช้เสียงให้เบาที่สุดเพราะกลัวว่า พี่ซีอิ๊วและเตยที่นั่งอยู่เบาะถัดไปจะได้ยินเข้า
   “ไปดูพระอาทิตย์ตกที่หาดนัดจีไง แสดงว่าเธอไม่ได้ฟังตั้งแต่แรกเลยใช่ไหมเนี่ย” แบมบูใช้ความดังของเสียงในระดับที่เท่ากันกับคนตัวเล็กพูดกลับไป
   “อะไรนะ ไปดูพระอาทิตย์ตกอีกแล้ว กลุ่มเรามันเป็นอะไรกับการดูพระอาทิตย์มากป่าววะ เราไม่ใช่ชมรมคนรักพระอาทิตย์ตกนะเว้ย” คนตัวเล็กอุทานเสียงดังด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลดระดับเสียงลงมาจนเกือบจะเป็นเสียงกระซิบเมื่อเห็นว่าเพื่อนๆ รวมถึงผู้โดยสารคนอื่นหันมามองยังต้นเสียงด้วยสายตาที่กึ่งขำและกึ่งตำหนิ
   “ก็ไอ้รูปพวกนี้เวลาอัพลงโซเชียล มันมีคนมากดไลค์เยอะนี่ อีกอย่างเธอจะมาพูดโวยวายเอาตอนนี้ก็ไม่ถูกนะเพราะเขาถามกันแล้วว่าอยากไปไหน เธอก็ดันไม่เสนอเองมัวแต่นั่งเหม่อลอย” คนตัวกลมพูดจบก็หันกลับไปสนใจมือถือต่อ ทิ้งให้คนตัวเล็กอ๊องอยู่คนเดียว จะบ่นก็บ่นไม่ได้เพราะที่แบมบูพูดออกมาก็ถูกทุกอย่างแต่อีกใจเขาก็อยากจะไปทำอย่างอื่นบ้าง ไม่ใช่ไปดูแต่พระอาทิตย์ตก นี่เขามาต่างประเทศเพื่อที่จะได้ทำกิจกรรมที่มันหลากหลายนะ ไม่ใช่จองทัวร์มาดูอาทิตย์อัสดงทุกวันแบบนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากจะกรี๊ดออกมาดังๆ
   สายลมและกลิ่นไอทะเลพัดเบาๆ เข้ามากระทบหน้าของคนผิวแทน หลังจากอิดออดในหัวใจมาพักใหญ่ๆ ตั้งแต่รู้ว่าจะต้องมาชมภาพพระอาทิตย์ตกอีกครั้ง แต่หลังจากที่เดินลงมาจากรถไฟและเดินเข้ามายังบริเวณหน้าหาด ความหงุดหงิดใจที่มีมาตลอดการเดินทางก็ค่อยๆ มลายหายไปกับสายลมและเกลียวคลื่น อาจจะรวมถึงความเศร้าและความสับสนของเขาด้วยเหมือนกัน
เมื่อหาดนัดจีไม่ใช่ชายหาดหลักของควีนแลนด์จึงทำให้ผู้คนมายังที่แห่งนี้ไม่มากนัก ประจวบกับวันที่พวกเขาเดินทางมาเป็นวันที่มีอากาศค่อนข้างหนาว ดังนั้นนอกจากกลุ่มของคนผิวแทนแล้วก็ไม่เห็นจะใครอื่นเลยในบริเวณโดยรอบนี้
“เป็นกลิ่นที่สดชื่นดีจัง” คนตัวเล็กพูดขึ้นพร้อมกับสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะนั่งลงกับพื้นทรายโดยไม่กลัวว่ากางเกงตัวโปรดจะเปื้อนก่อนจะค่อยๆ หลับตาและนั่งในอิริยาบถที่สบายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“I think your smile is better than this view” (ฉันคิดว่ารอยยิ้มของนายสวยกว่าวิวตอนนี้เยอะเลยนะ) คนตัวเล็กที่เผลอยิ้มออกมาเพราะได้รับความอบอุ่นจากไรแดด และกลิ่นไอสดชื่นของทะเลต้องสะดุ้งตัวขึ้นเล็กน้อยเพราะโดนเสียงนุ่มๆ ทักขึ้นจากด้านข้างก่อนจะลืมตาขึ้นมาดูแล้วพบว่าเจ้าของเสียงนุ่มนั่งอยู่ข้างๆ เขาแล้วตอนนี้
“Hey, Why you do like this if you mad at me in something tell me but don’t do like this. Please” (เฮ้ ถ้านายโกรธอะไรฉันก็บอกกับฉันได้นะแต่อย่าทำแบบนี้ได้ไหม ขอร้องละ) คนตาฟ้ารีบพูดอย่างรวดเร็วจนคนตัวเล็กแทบจะจับใจความไม่ทัน แต่เมื่อดูจากบริบทตอนนี้แล้วนั้นมันก็ดูเหมือนว่าคนตาฟ้าไม่อยากให้คนตัวเล็กลุกจากไปไหน เพราะทันทีที่คนตัวเล็กรู้ตัวว่าเป็นคนตาฟ้าที่มานั่งเคียงข้าง เขาก็รีบยันตัวเพื่อที่จะลุกขึ้นไปนั่งที่อื่น แต่ทว่าคนผมสีวอลนัทนั้นมีจังหวะความไวที่เหนือกว่า เพราะทันทีที่เขากำลังจะลุกขึ้นยืนนั้น รูเบนก็รีบเอื้อมมือคว้าข้อมือเล็กเข้าไว้ไม่ให้ลุกหนีไปไหนได้
“I don’t want to do like this but I have my reason” (ฉันก็ไม่ได้อยากทำแบบนี้เหมือนกันแต่ฉันมีเหตุผลของฉันนะ) คนตัวเล็กทรุดตัวลงนั่งตามเดิมพร้อมกับหลบสายตาของคนข้างๆ และพูดประโยคดังกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มีความไม่มั่นใจและสั่นเครือ แฝงอยู่ในที
“What that reason can you tell me?” (เหตุผลอะไร บอกฉันได้ไหม) คนตาฟ้าที่พยายามก้มหน้าของตัวเองให้ไปอยู่ในระดับสายตาเดียวกันกับคนตัวเล็ก ก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยเสียงกระซิบอันอบอุ่น แสนหวาน และแผ่วเบาจนคนตัวเล็กถึงกับใจหวิวไปเล็กน้อยก่อนที่จะพยายามสูดหายใจและกำลังจะตอบกลับถึงเหตุผลของเขาออกไป ถ้าไม่มีคนมาขัดจังหวะเข้าเสียก่อน
“Sorry to disturb but Ruben can you come with me for a second” (ขอโทษที่มาขัดจังหวะนะทั้งคู่ แต่รูเบนเธอช่วยมากับฉันเดียวหนึ่งได้ไหม) ฮานะที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน เดินเข้ามานั่งยองๆ ตรงหน้าเขาทั้งคู่ก่อนจะพูดกับรูเบนด้วยน้ำเสียงที่อ้อดอ้อนเกินจริงจนแม้แต่คนผิวแทนที่ยังตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความทุกข์และสับสนยังอดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้
อันที่จริงหากเป็นคนปกติลองมองดูสถานการณ์ตรงหน้าแม้เพียงผ่านๆ ก็คงไม่กล้าที่จะเข้ามาขัดจังหวะคนผิวขาวและคนผิวแทนเป็นแน่ เพราะแม้เพียงมองด้วยตาอย่างผิวเผินก็ดูได้ไม่ยากว่าคนสองคนกำลังเคลียร์ปัญหาอะไรกันบางอย่างอยู่ แต่ด้วยว่าสาวญี่ปุ่นอาจจะไม่ได้รับรู้ถึงหมอกควันแห่งปัญหานั้นๆ หรือจริงๆ แล้วเธออาจจะรู้แต่ไม่ได้มองว่าเป็นปัญหาของเธอก็ได้
“But I have something… Ok please come here.” (แต่ฉันมีอะไรบางอย่าง... อืม มาตรงนี้สิ) คนตาฟ้าจะพูดปัดฮานะจังอยู่แล้ว ถ้าธันไม่จับไปที่ข้อมือเขาก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงบอกว่าให้เขาลองทำตามคำขอของสาวญี่ปุ่นดูก่อน ซึ่งจากการกระทำของคนตัวเล็กก็ทำให้รูเบนถึงกับต้องหลับตาและถอนหายใจออกมาเบาๆ หนึ่งครั้งก่อนจะบอกให้ฮานะเดินตามตนไปที่สะพานสีขาวเก่าๆ ตรงท้ายหาดที่มีบางส่วนยื่นออกไปยังทะเล
   “Thun, I don’t know how you feel and you might think I am a selfish  person but if you think I am your friend could you pray for me because I am going to do something a little bit stupid but if I don’t do that I might be feeling regret for all of my life.” (ธัน ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเธอจะรู้สึกยังไงอยู่ตอนนี้ บางทีเธออาจจะคิดว่าฉันเป็นคนเห็นแก่ตัวก็ได้นะ แต่ถ้าเธอยังเห็นว่าเราเป็นเพื่อนกันอยู่ ยังไงเป็นกำลังใจและสวดภาวนาให้ฉันด้วยนะ เพราะฉันกำลังจะทำบางอย่างที่มันดูโง่มากๆ เลย แต่ถ้าฉันไม่ทำมันฉันคงจะรู้สึกเสียใจไปตลอดชีวิตแน่ๆ) ฮานะจังมองตามแผ่นหลังกว้างของรูเบน ก่อนจะหันมายิ้มและพูดกับคนตัวเล็กเพื่อเรียกความมั่นใจให้กับตน โดยไม่ได้สนเลยว่าอีกฝ่ายจะมีสีหน้าหรือหยาดน้ำใสในดวงตาผุดขึ้นมาหรือเปล่า พอเธอพูดจบเธอก็ยันตัวลุกขึ้นจากผืนทรายสีทอง ก่อนที่จะเดินตามคนตาสีฟ้าไป พร้อมกันนั้นเธอก็ฮัมเพลงภาษาบ้านเกิดของเธอเพื่อลดความประหม่าที่มีอยู่ในตัวให้น้อยลง และถึงแม้ว่าคนตัวเล็กจะไม่เข้าใจประโยคที่เธอร้องสักประโยคเดียว แต่ธันกลับรับรู้สึกถึงอารมณ์ของเพลงที่เธอสื่อออกมาได้อย่างน่าประหลาด
ฟังฟังดูแล้วเพลงของเธอมันดูคล้ายกับการเล่าเรื่องการเปลี่ยนผันของฤดูกาลและความน่าเสียดายหากไม่ลองทำตามหัวใจของตัวเองเมื่อมีโอกาส พูดโดยรวมก็คือเรื่องของความกล้าน่ะแหละ ความกล้าที่คนตัวเล็กไม่มีอยู่ในตัวเองเลยในยามนี้
หัวข้อ: When love travel Ep.18 ความรักและดอกฮิกันบานะแดง ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 02-08-2020 20:16:29
kimi no toriko ni natte shimaeba kitto
kono natsu wa juujitsu suru no motto
mou modorenakutatte wasurenaide

nannen tattemo ienai koukai shitatte kamawanai
demo kotoba wa koko made dete'ru no nee sama-taimu
kaigan-doori wo arukitai doraibu datte shite mitai
tada shisen wo awasete hoshii no nee sama-taimu
 
“เหม่อเลย เป็นไรป่าววะ นางมาพูดอะไรกับเธอเหรอ” แบมบูเดินเข้ามาหาธันที่ยังคงนั่งมองตาม สาวญี่ปุ่นและหนุ่มฝรั่งเศส ณ ที่นั่งจุดเดิมโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน แม้ว่าน้ำทะเลจะเริ่มขึ้นมาจนเรี่ยเท้าของคนตัวเล็กแล้ว
“แก ฮานะจะสารภาพรักกับรูเบนว่ะ ฉันกลัวว่ะแก ฉันกลัวเขาจะตอบตกลงคบกัน” คนตัวเล็กละสายตาจากคู่หนุ่มสาวหันมามองคนตัวกลมด้วยสายตาและน้ำเสียงที่ไม่ต่างอะไรกับเกลียวคลื่นที่พัดเข้าหาชายฝั่งในเวลานี้ ที่มันหอบเอาทั้งกลิ่นอายของความไม่แน่ใจและความหวังมาพร้อมๆ กัน
พื้นทะเลที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนในตอนแรกก็เริ่มจะขุ่นมัวและมองลงไปยังท้องน้ำได้ยากขึ้น อาจจะเป็นเพราะเกลียวคลื่นพัดพาเอาทั้งทรายและตะกอนจากที่ห่างไกลเข้ามาทำให้สีของน้ำเปลี่ยนแปลงไป แล้วใจของคนละหากมีบางอย่างมากระทบมันจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้จริงๆ หรือ
“เฮ้ย อย่าร้องไห้นะ น้องยิ่งปลอบคนไม่เป็นอยู่” แบมบูจับลงไปยังไหล่ของคนตัวเล็กที่ตอนนี้มันเริ่มจะสั่นไหวน้อยๆ อาจด้วยเพราะแรงจากลมภายนอกที่เริ่มจะพัดพาเอาความเย็นเข้ามาหาคนบนชายฝั่ง ซึ่งเพื่อนคนอื่นๆ ที่อยู่ในน้ำก็เริ่มทยอยกันขึ้นมาบนฝั่งเพราะต้านทานแรงลมกันไม่ไหวเสียแล้ว แต่เมื่อหันกลับมาดูที่คนตัวเล็กแรงสั่นขนาดนี้มันไม่น่าจะเป็นเพราะว่าลมทะเลเพียงอย่างเดียวเสียแล้ว มันอาจจะรวมถึงลมหนาวในใจที่กำลังหมุนวนอยู่รอบเทียนแห่งความหวังในหัวใจเขาด้วยกระมัง
“เธอ ฉันไม่แน่ใจนะว่าเธอจะคิดยังไง แต่ฉันมั่นใจว่ายังไงผู้ชายเขาก็ชอบเธอ ไม่เป็นไรนะ ถ้าสุดท้ายแล้วมันไม่เหมือนอย่างที่ฉันพูด เธอก็แค่ไปเมากับฉันก็แค่นั้นเอง ในวันที่เธอไม่มีใครเธอยังมีฉันนะเว้ย” แบมบูลูบไปที่ไหล่ขวาของคนตัวเล็กอย่างแผ่วเบาพร้อมกับพูดด้วยเสียงที่ชัดถ้อยชัดคำแต่ก็แฝงความอ่อนโยนและความเป็นห่วงอยู่อย่างเอ่อล้น
ในขณะที่แบมบู และคนผิวแทนกำลังพูดให้กำลังใจกันอยู่นั้น ฉับพลันตาเจ้ากรรมของคนตัวเล็กก็ดันหันไปมองยังรูเบนและฮานะพอดีและนั่นก็ทำให้ประกายแห่งความหวังของเขาวูบดับลงไปในฉับพลัน เพราะภาพที่เห็นตรงหน้าคือสาวญี่ปุ่นกำลังกอดเอวของหนุ่มผมสีวอลนัทอย่างหลวมๆ และในขณะเดียวกันคนตัวสูงก็ลูบหัวคนในวงแขนอย่างแผ่วเบาซึ่งนั่นก็ทำให้น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ของคนตัวเล็กหลุดล่วงลงมายังพื้นทรายเบื้องล่างแทบจะทันที
“เฮ้ย มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะเว้ย ลองไปถามเขากันดูก่อน”คนตัวกลมที่ตอนนี้ก็งงไม่ต่างกันพูดอย่างละล่ำละลั่ก และมีอาการนั่งไม่ติดกับที่แล้วต่างกับเพื่อนคนอื่นๆ ที่บางคนก็ส่งเสียงเชียร์และบางคนก็ส่งเสียงปรบมือให้กับหนุ่มสาวที่ยืนอยู่บนสะพานซึ่งมันก็คงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก เพราะว่าฮานะเองก็เป็นที่รักของเพื่อนทุกคนอยู่แล้วนี่นา การที่จะมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะด้วยความยินดีในวันที่เพื่อนมีความสุขมันก็เป็นหน้าที่ของเพื่อนที่ดีไม่ใช่เหรอ
   ดังนั้นแม้ข้างในของคนตัวเล็กจะร้องไห้ไปแล้วแต่หน้ากากภายนอกก็ยังฝืนยิ้มทั้งน้ำตาและแม้คนตัวกลมที่นั่งข้างๆ จะสามารถสังเกตได้อย่างชัดเจนว่ามันเป็นการเค้นรอยยิ้มที่เศร้าและน่าสงสารที่สุดจากคนที่มีแต่ความสุขและสดใส แต่ทว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะพูดอะไรได้มาก สิ่งเดียวที่คนที่อยู่ร่วมห้องเดียวกันจะสามารถทำได้ก็คือการบีบมือเบาๆ และมองเหตุการณ์ข้างหน้าไปด้วยกัน
   “มึง มึงไปกินเหล้าเป็นเพื่อนกูหน่อยได้ไหม วะ วะ ว่ะ” คนตัวเล็กพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่สั่นเทาหนักยิ่งขึ้นกว่าเดิมพร้อมกับลุกขึ้นอย่างช้าๆ และปัดทรายที่ติดอยู่ทั่วกางเกงออก ก่อนจะเดินอย่างมึนๆ เหมือนปลาที่ช็อคน้ำ ไปยังทิศทางอันเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟ ซึ่งคนที่ร่วมเดินทางมาด้วย คนอื่นก็หันมาถามกันเป็นเสียงเดียวว่าคนผิวแทนจะเดินไปไหน ก็เลยเป็นหน้าที่จำเป็นของคนตัวกลมที่ต้องหันมารับหน้าให้โดยพูดไปในทำนองว่าคนตัวเล็กมีธุระด่วนต้องรีบกลับห้อง เมื่อพูดจบก็รีบเดินตามคนผิวแทนไป โดยที่ไม่เว้นจังหวะให้เพื่อนคนอื่นตั้งสติได้และถามคำถามที่สองต่อ
   “แกจะฝากหยิบอะไรไหม เดี๋ยวฉันจะได้หยิบลงมาทีเดียว” คนตัวเล็กหันมาถามคนตัวกลมในขณะที่เขาทั้งคู่ยืนอยู่หน้าอาคารที่พักเหตุเพราะว่าเขาต้องขึ้นไปหยิบหนังสือเดินทาง แต่เมื่อเดินมาถึงข้างหน้าที่พักอยู่ๆ คนตัวกลมที่พูดซะดิบดีว่าจะตามไปด้วยทุกที่ ก็ขอใช้สิทธิ์คนอ้วน ไม่ยอมขึ้นไปบนห้องด้วยซะอย่างนั้น โดยอ้างว่าวันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้วขอยืนรออยู่ข้างหน้าเฉยๆ ละกัน เพราะเดี๋ยวก็ต้องไปเต้นต่อที่ร้านเหล้าอีก แต่ก็ยังดีที่เขาไม่ได้ฝากหยิบอะไรที่ทำให้คนตัวเล็กที่ยังมีอาการเบลอๆ มึนๆ ไม่หายเหมือนคนที่เพิ่งถูกค้อนอันใหญ่ทุบมาหมาดหมาด ต้องมานั่งเสียเวลารื้อหาอีก
   “แอด....แอดดดด” เสียงประตูไม้ที่ร้างราจากการหยอดน้ำมันมานานดังขึ้น แต่เสียงนี้เป็นเสียงนี้เป็นเสียงที่เกิดขึ้นบ่อยๆ จนกลายเป็นเสียงที่คุ้นชินของผู้พักอาศัยไปเสียแล้ว แต่สิ่งที่ไม่คุ้นชินดูเหมือนว่าจะเป็นการเปิดไฟในครัวไว้เพียงแค่ดวงเดียวซะมากกว่า
   “สงสัย พี่อ้นจะออกไปข้างนอกหรือเปล่านะทำไม่เปิดไฟไว้แค่นี้” คนตัวเล็กรำพึงรำพันออกมาเบาๆ แต่เขาก็ไม่ได้มีคำถามอะไรมากนักอาจจะเป็นเพราะสมองและหัวใจของเขาเพิ่งจะโดนเรื่องอะไรที่หนักหนาสาหัสถาโถมเข้ามาอย่างสดๆ ร้อนๆ
   หลังจากวิ่งขึ้นไปหยิบหนังสือเดินทางบนห้องและยัดใส่กระเป๋าเป็นที่เรียบร้อยเขาก็รีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งเพื่อจะลงไปหาคนตัวกลมที่ยืนรอคนเดียวอยู่ด้านล่าง และคนผิวแทนก็คงจะลงไปเจอแบมบูแล้วหากไม่โดนขัดจังหวะโดยใครบางคนเข้าซะก่อน
   “อ้าวน้องธัน จะรีบไปไหนเหรอครับ” หนุ่มตี๋ที่ยืนอยู่กลางห้องร้องทักขึ้นเมื่อเห็นคนตัวเล็กเดินลงบันไดมา
   “อ้าวพี่อ้น ไปแอบหลบอยู่ตรงไหนครับเนี่ย เดินเข้ามาไม่เห็นเลย พอดีธันกำลังจะไปกินเหล้าร้านพี่น่ะแหละครับ” คนตัวเล็กพูดตอบด้วยเสียงที่ยังเจื่อไปด้วยอารมณ์เศร้าเล็กๆ พร้อมกับยิ้มบางๆ กลับไปให้
   “อ๋อพอดีพี่ไปยืนคิดอะไรนิดหน่อยอยู่ตรงระเบียงน่ะครับ ว่าแต่เราเป็นอะไรหรือเปล่าครับ แลดูเหนื่อยๆ นะ มีอะไรไม่สบายใจไหม เล่าให้พี่ฟังได้นะ” เจ้าของห้องพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงพร้อมกันนั้นก็เดินสาวเท้าเข้าไปใกล้คนตัวเล็กเพื่อที่จะได้มองหน้าคนตัวเล็กได้ชัดเจนขึ้น
   “ไม่เป็นไรครับ พอดีธันแค่เหนื่อยเดินทางนิดหน่อย พอดีวันนี้ไปทะเลกับเพื่อนมาน่ะครับ ยังไงเดี๋ยวธันขอตัวก่อนนะครับ พอดีแบมบูมันรออยู่ข้างล่างครับพี่” จังหวะที่ธันรู้สึกว่าคนหน้าตี๋เริ่มจะเดินมาประชิดตัวเขามากจนเกินไป คนตัวเล็กจึงพยายามที่จะเดินเหลี่ยงออกมาโดนไวเพราะ หากคนตัวกลมที่ยืนข้างล่างรู้ว่าเขาอยู่กันสองต่อสองกับเจ้าของห้อง ชะรอยจะสร้างปัญหาใหม่ให้กับคนตัวเล็กอีกแน่
   “ธันครับ พี่ก็ไม่รู้เหตุผลหรอกนะครับว่าทำไมธันถึงพยายามหลบหน้าพี่หรือหลีกเลี่ยงที่จะคุยกับพี่ทุกครั้งแบบนี้ แต่พี่อยากจะบอกความในใจของพี่ให้ธันได้รู้ไว้นะครับ แม้พี่จะรู้ตัวดีว่าพี่อาจจะไม่มีโอกาสก็ตาม คำคำนั้นคือ พี่ ชอบ ธัน นะครับ” และเพื่อให้แน่ใจว่าคนตัวเล็กจะไม่เดินออกจากห้องไปเสียก่อนพี่อ้นจึงถือวิสาสะ จับมือของคนตัวเล็กให้มายืนเผชิญหน้ากับเขาแบบชนิดที่ว่าใกล้จนลมหายใจแทบจะรดกันอยู่แล้ว
   “ธัน ว่ายังไงครับ ลองให้โอกาสพี่ได้ดูแลเราได้ไหม” หลังจากที่คนตัวเล็กยืนแข็งจากคำถามของคนข้างหน้าได้สักพัก คนหน้าตี๋ก็พูดขึ้นมาอีกระลอกเพื่อทวงถามถึงคำตอบ ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้คนผิวแทนอึกอักขึ้นไปอีก
   และมันก็ยิ่งตอกย้ำอย่างชัดเจนว่าวันนี้ไม่ใช่วันของคนตัวเล็กเอาเสียเลย เพราะอะไรอะไรมันก็ดูไม่เข้าที่เข้าทางไปเสียหมด มันเหมือนกับว่าคนบนฟ้ากำลังเล่นตลกและทดสอบอะไรบางอย่างกับคนตัวเล็กอยู่ อะไรบางอย่างที่เมื่อผ่านไปแล้วและมองย้อนกลับมาจะไม่มีวันลืมเลือนไปได้เลย
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่18 หน้าสาม ✈
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 02-08-2020 21:08:38
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่18 หน้าสาม ✈
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 02-08-2020 22:57:09
ไม่ชอบฮานะแฮะ ใจกล้า ตื้อ
ที่จริงนางฉลาดรู้ว่ารูเบนชอบใคร
แล้วก็รู้วิธีใช้มิตรภาพ ความเป็นเพื่อน กับธันวาคนขี้เกรงใจ
หรือว่าผู้หญิงเดี๋ยวนี้ต้องเป็นแบบนี้ ไม่งั้นแพ้ผู้ชายหมด
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่18 หน้าสาม ✈
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 03-08-2020 17:35:32
ตอนนี้เม้นอะไรไม่ออกเลย รู้แต่ว่าสงสารธันเป็นที่สุด
 :mew6: :mew6: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: When love travel Ep.19 ความรักและหยาดน้ำตา ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 09-08-2020 19:59:00
เสียงเพลงในร้าน ณ สยาม ในราตรีนี้ช่างแลดูเงียบเหงาไม่และหดหู่ไม่เหมือนเฉกเช่นทุกวัน แม้ว่าท่วงทำนองของดนตรีจะปลุกเร้าและสนุกสนานเพียงใด หรือถึงแม้ผู้คนที่ต่างตบเท้ามากันมาอย่างคราคร่ำจนแทบจะล้นออกไปนอกร้าน จะเต้นกันอย่างสนุกสุดเหวี่ยงสักเพียงไหน แต่ทว่าในใจของคนตัวเล็กตอนนี้นั้นกลับเหนื่อยล้าและสับสน จากสองเหตุการณ์ในชีวิตที่ใหญ่พอกันจนเกินกว่าที่คนตัวเล็กๆ อย่างเขาจะรับมือคนเดียวไหวอีกต่อไป
สายลมพัดผ่านเข้ามาจากประตูระเบียงโดยหอบเอากลิ่นหอมของดอกคาเนชั่นสีเหลืองและกลีบดอกของมันที่หลุดร่วงเข้ามาในห้องด้วยบางส่วน
โดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่แล้ว ที่คนสองคนในห้องจ้องตากันโดยไม่มีเสียงใด หลุดลอดออกมาจากปากของคนทั้งคู่ ดังนั้นเสียงที่พอจะได้ยินในขณะนี้ก็เห็นจะมีเพียงแต่ลมหายใจที่แผ่วเบาของทั้งคู่เท่านั้น
   นัยน์ตาของคนตัวเล็กนั้นฉายแววตื่นตระหนกและสับสนออกมาอย่างเด่นชัด ผิดกับคนตัวสูงที่มีความปรารถนาและความหวังอันแรงกล้าที่ถูกส่งผ่านออกมาจากดวงตาสีเข้ม
   อันที่จริงแล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ก็ไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้คนตัวเล็กเท่าไหร่นัก เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาหากมีจังหวะและโอกาสที่ดี พี่อ้นก็มักจะเข้ามาทำดีและพูดคุยกับเขาเสมอๆ จนเขารู้สึกได้มาสักพักใหญ่แล้วว่ามันเกินกว่าที่เจ้าของห้องที่ดีหรือพี่ชายที่ดีจะพึงกระทำกัน
อย่างเช่น กลางดึกคืนหนึ่งหลังจากคนผิวแทนกลับมาจากทำงานด้วยความเหนื่อยล้าและอิดโรย แต่แทนที่เขาจะตรงดิ่งขึ้นไปยังห้องเพื่ออาบน้ำและเข้านอน คนตัวเล็กกลับตัดสินใจเดินตรงไปที่โซฟาตัวเก่ากลางห้องรับแขก โดยหมายที่จะนั่งพักเหนื่อยเพียงสักห้าถึงสิบนาที แต่ทว่าเขาคงจะเหนื่อยจากการโหมงานหนักจนเกินไป เพราะหลังจากห้านาทีเลยผ่านเจ้าของร่างที่คิดว่าจะพักสักประเดี๋ยวกลับผล็อยหลับบนโซฟาอย่างช่วยไม่ได้ แต่ที่น่าแปลกใจที่สุดคือตอนตื่นจากห้วงฝัน ตัวเขากลับตื่นขึ้นมาบนที่นอนของใครก็ไม่รู้ แต่เมื่อหันไปทางซ้ายก็ต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มอันน้อย เพราะเขาดันหันไปเจอโน้ตแผ่นเล็กๆ โดยมีข้อความภาษาไทยกำกับไว้ว่า
“ไม่ต้องตกใจนะครับ พอดีพี่เห็นเรานอนขดอยู่บนโซฟา
พี่เลยอุ้มเราขึ้นมานอนบนเตียงพี่ แล้วก็ไม่ต้องรังเกียจนะครับ
เพราะพี่เปลี่ยนผ้าปูปลอกหมอนแล้วก็ผ้าห่มให้ใหม่
ก่อนจะเอาเรามาวางบนเตียงแล้ว
                                                           จากพี่อ้น”
        สิ่งที่น่าตลกของเรื่องนี้ก็คือผู้ชายที่ดูดิบ เถื่อน เซอร์ และมีอารมณ์ศิลปินอย่างเต็มเปี่ยมแบบคนหน้าตี๋นี้ ดูไม่น่าจะมีความละเอียดอ่อนถึงขนาดเปลี่ยนชุดเครื่องนอนให้เขาเลย ดังนั้นแม้ในใจลึกๆ จะสั่งให้เขารีบเดินออกจากห้องให้เร็วที่สุด เพราะกลัวว่าคนที่นอนอยู่ในห้องฝั่งตรงข้ามจะตื่นขึ้นมาพบเข้าแล้วเดี๋ยวจะต้องมาเสียเวลาอธิบายกันอีกยกใหญ่ แต่เขาก็เลือกที่จะหยิบปากกาที่วางอยู่แถวนั้นมาเขียนคำขอบคุณตัวใหญ่พร้อมกับรูปรอยยิ้มเล็กๆ ก่อนที่จะเก็บที่นอนให้เป็นระเบียบและเดินลงมายังชั้นล่างเพื่อที่จะหยิบกระเป๋าที่วางไว้บนโต๊ะกินข้าวเมื่อคืน
   แต่เมื่อลงมาถึงชั้นล่างเขาก็ต้องยิ้มและส่ายหัวด้วยความเอ็นดู เพราะภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือภาพของคนตัวยาวทีนอนเหยียดยืดจนมีอวัยวะบางส่วนของช่วงเท้าเลยออกมานอกโซฟาดูแล้วก็อดเมื่อยแทนไม่ได้ เห็นดังนั้นเขาจึงต้องกลั้นขำก่อนจะเข้าไปปลุกให้เจ้าตัวกลับขึ้นไปนอนบนห้องของเขาตามเดิม
   หรือจะเป็นในช่วงแรกๆ ที่เขาเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ในห้องและยังไม่ได้งานที่ร้านอาหาร ซึ่งในตอนนั้นแบมบูก็มักจะออกไปสังสรรค์กับ พวกฮานะ และ เดวิดในยามค่ำคืนอยู่เสมอ โดยคนตัวเล็กเลือกที่จะอยู่ห้องมากกว่าการออกไปข้างนออกเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย โดยส่วนใหญ่เขาจะใช้ข้ออ้างกับคนตัวกลมว่าอยากรีบนอนเพราะเวียนหัวกับบทเรียนที่เพิ่งได้เรียนมาวันนี้ เพื่อไม่ให้คนตัวกลมรู้สึกผิดมากนักที่ทิ้งเขาไว้ที่ห้องคนเดียว แต่เมื่อประตูห้องพักถูกปิดลง ความเงียบเหงาก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาโอบล้อมรอบตัวเขา จนเขาอดไม่ได้ที่จะเอาอ้อมแขนทั้งสองข้างเข้ามากอดปลอบตัวเองอยู่บ่อยครั้ง จนวันหนึ่งพี่อ้นเลิกงานเร็วและเปิดประตูเข้ามาเจอเขานั่งกอดตัวเองอยู่ จึงได้เข้ามาพูดคุยถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คนตัวเล็กก็เลือกที่จะปิดบังบางส่วนเอาไว้กับตัวเองไม่เล่าออกมาให้คนหน้าตี๋ได้ฟังทั้งหมด ถึงจะเป็นแบบนั้นพี่อ้นก็ไม่ได้ว่ากล่าวหรือเซาซี้แต่อย่างใด กลับเลือกที่จะเล่าเรื่องตลกให้เขาฟังบ้าง หรือเล่าประสบการณ์ต่างๆ ที่เขาได้พบเจอมาในแต่ละวัน และในบางครั้งถ้าหนุ่มเซอร์ไม่เหนื่อยจากการทำงานมากนัก เขาก็จะเอากีตาร์คู่ใจมาดีดให้คนผิวแทนฟังพร้อมกับขับกล่อมบทเพลงที่ถูกแปลงเนื้อ จนบางทีก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพลงต้นฉบับเป็นอย่างไรเพราะเพลงที่พี่อ้นร้องนั้น เละเทะจนไม่มีชิ้นดีเลย
   แต่ใครมันจะไปสนใจเพลงต้นฉบับกันล่ะ หากว่าเพลงที่ถูกแปลงเนื้อออกมาจะสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้คนตรงหน้าได้ แค่นั้นมันก็เพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ นี่คือสิ่งที่คนตัวสูงมักจะคิดอยู่เสมอ
   หลังจากนั้นมาพี่อ้นก็มักจะกลับมาที่ห้องไวขึ้นโดยที่คนตัวเล็กไม่ได้ร้องขอแต่อย่างใด ซึ่งมันก็สร้างความรู้สึกบางอย่างให้คนตัวเล็กได้ไม่น้อยอยู่เหมือนกัน แต่ความรู้สึกนั้นมันเหมือนกับความรู้สึกที่น้องเล็กมีกับพี่ชายคนโตมากเกินกว่าจะเป็นอย่างอื่น มันเหมือนความรู้สึกที่มีต่อหลุมหลบภัยเวลามีพายุมืดกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาคือมันอบอุ่นและปลอดภัย แต่ทว่าหลุมหลบภัยมันก็ไม่ใช่สถานที่ที่เราจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ข้างในได้ทุกวัน มันเป็นความรู้สึกที่ดีแต่มันก็ไม่ได้ดีพอที่จะสามารถพัฒนาขึ้นมาเป็นบ้านได้   
แล้วยิ่งได้มารับรู้ความรู้สึกของแบมบูที่เปรียบเหมือนน้องแท้ๆ ของเขา ว่ามีความรู้สึกกับพี่อ้นอย่างไร คนผิวแทนก็แทบจะตัดสินใจได้โดยไม่ต้องลังเลเลยว่าจะต้องจัดการความรู้สึกที่มีต่อพี่อ้นในรูปแบบใดกัน
“พี่อ้นครับ ธันเองก็เคยคิดเอาไว้เหมือนกันนะครับ ว่าถ้าวันหนึ่งพี่อ้นมาพูดอะไรแบบนี้กับธัน ธันควรจะตอบพี่ไปแบบไหน แล้วคำตอบของธันในทุกครั้งที่คำถามนี้มันขึ้นมาในหัวก็คือคำว่า...” คนตัวเล็กเว้นช่วงหายใจพร้อมกับใช้มือน้อยๆ อีกข้างของตนที่ไม่ได้ถูกเกาะกุมเอาไว้มาบีบมือของคนตัวใหญ่ที่ยืนมองด้วยสายตาที่เริ่มมีความประหม่าอยู่ในแววบ้างแล้ว
“คำตอบของธันก็คือ คำตอบของธันก็คือ... ธันคิดกับพี่เกินกว่าพี่ชายไม่ได้จริงๆ ครับ” คนตัวเล็กพยายามกลั้นน้ำตาของตัวเองไม่ให้หยดออกมา เพราะวันนี้เขาสูญเสียน้ำตามามากจนเกินพอแล้ว แต่ถึงจะสามารถกลั้นหยดน้ำใสเอาไว้ได้ แต่ความรู้สึกแย่ที่ต้องบอกปฎิเสธคนที่แสนดีตรงหน้ามันก็สะท้อนออกมาในน้ำเสียงที่มีความสั่นเครืออยู่ดี
   “ทำไมล่ะครับ เป็นเพราะว่าแบมบูชอบพี่เหรอ เราถึงเลือกที่จะปฎิเสธพี่แบบนี้” คนตัวขาวกระชับมือเล็กที่อยู่ในกำมือของเขาอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเอ่ยคำพูดที่แสดงถึงความเสียใจและตัดพ้ออยู่ในน้ำเสียงอย่างท่วมท้น
“พี่อ้นรู้เหรอครับ” คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมาจ้องตากับคนตรงหน้า ก่อนจะเผยแววตาที่แสดงออกถึงความตื่นตระหนกและประหลาดใจไปพร้อมๆ กัน
“รู้สิครับ อย่างที่พี่เคยบอกว่าผนังเรามันบางนะ พูดอะไรกันพี่ก็ได้ยินหมดแหละครับ” คนตัวสูงพูดอย่างแผ่วเบาพร้อมกับส่งยิ้มละมุนบางๆ ลงมายังคนตัวเล็ก
“ครับ แบมบูมันชอบพี่ แต่ความจริงแล้วต่อให้เรื่องนี้ไม่มีแบมบูมาเกี่ยว คำตอบของธันมันก็ไม่น่าจะเปลี่ยนจากนี้หรอกครับ ธัน ธัน ธันต้องขอโทษพี่ด้วยนะครับ ที่ไม่สามารถรับเอาความรู้สึกดีๆ ของพี่เอาไว้ได้” คนตัวเล็กพูดอย่างละล่ำละลักพร้อมกับหลุบตาต่ำลงไปมองพื้นอย่างช่วยไม่ได้ เพราะในตอนนี้ความรู้สึกผิดได้เกาะกุมเข้าไปทั้งหัวใจจนไม่สามารถมองหน้าพี่อ้นได้ตรงๆ อีกแล้ว
ไร้เสียงพูดใดๆ ตอบกลับมาจากคนตัวสูงตรงหน้ามีแต่เพียงอาการสั่นสะท้านไปทั่วร่างที่คนตัวเล็กรู้สึกได้ผ่านมืออันใหญ่ที่เกาะกุมเขาไว้ และนั่นก็สามารถแทนคำพูดได้นับล้านคำพูดแล้ว 
อาการที่พี่อ้นแสดงออกมาต่อหน้าคนตัวเล็กนั้น มันก็ทำให้เขารู้สึกแย่ยิ่งขึ้นไปอีกจนริมฝีปากล่างของคนผิวแทนเริ่มที่จะบิดเบี้ยวขึ้นทีละน้อยพร้อมกับเขื่อนน้ำตา ที่ใกล้จะทะลักอยู่รอมล่อแล้ว
ฝ่ามือที่สั่นไหวของหนุ่มตี๋ค่อยๆ ลูบมาที่หัวของคนผิวแทนอย่างช้าๆ และแผ่วเบา พร้อมกับคำพูดที่มีเสียงสั่นเครืออยู่ในน้ำเสียงว่า
“เป็นพี่ไม่ได้จริงๆ เหรอครับ” ผู้ชายตัวใหญ่ที่มักจะส่งรอยยิ้มมายังคนผิวแทนตลอดเวลาที่พบเจอ แต่ ณ ตอนนี้คนคนนี้กลับต้องมีอาการสั่นไหวเหมือนคนที่กำลังเหน็บหนาวจากการที่เกล็ดน้ำแข็งเล็กๆ ที่เรียกว่าความผิดหวัง กำลังคืบคลานเข้าไปยังหัวใจและส่งผลให้ก้อนเนื้อก้อนนี้กำลังตายลงไปช้าๆ บวกกับน้ำเสียงที่แสดงถึงอาการโศกเศร้าเหมือนของสำคัญได้บุบสลาย หายไปต่อหน้าต่อตา มันยิ่งทำให้หัวใจของคนตัวเล็กกำลังจะพังลงไปไม่ต่างกัน
แต่ถึงกระนั้น คนตัวเล็กก็เลือกที่จะส่ายหัวไปมาอย่างช้าๆ ด้วยว่าไม่อยากจะหลอกทั้งตัวเองและพี่อ้นไปพร้อมๆกัน ดังนั้นเขาจึงจำใจต้องกัดฟันพูดคำบางคำที่แสนยากออกมา แม้มันจะมาพร้อมกับการต้องเว้นจังหวะหายใจเป็นห้วง และหยาดน้ำตาเป็นสายที่หยดไหลออกมาตามจังหวะการเคลื่อนไหวของใบหน้าเขาก็ตาม
“ธัน ธัน ธัน ขอโทษครับ ธัน ขอโทษ มะ ไม่ใช่ว่าพี่ ไม่ดีนะ ครับ แต่ธัน แค่ ธัน แค่ ฮึก ฮึก ฮึก” แม้จะพยายามสะกดกลั้นอารมณ์อย่างมากมาย เพื่อที่จะพูดอธิบายให้คนตัวสูงได้เข้าใจ ถึงเหตุผลว่าทำไมเขาถึงรับรักไม่ได้ แต่เขาก็ทำได้เพียงการพูดซ้ำไปซ้ำมาด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นและการสูดน้ำมูกที่มันกำลังจะหยดตามน้ำตาออกมาเต็มทีแล้ว
การสั่นไหวของพี่อ้นหยุดลงอย่างช้าๆ พร้อมกับมือที่ค่อยๆ ผละออกจากมือของคนตัวเล็กด้วยเหมือนกัน ซึ่งคนตัวเล็กก็ไม่ได้มีอาการปฎิเสธหรือแข็งขืนไขว่คว้าใดๆ เพื่อให้ได้มือใหญ่นั้นกลับคืนมา และเพียงแค่ชั่วอึดใจที่ธันยกหลังมือขึ้นมาปาดน้ำตา พี่อ้นก็อันตรธานหายออกไปจากห้องแล้ว
หลังจากคนตัวเล็กเดินไปล้างคราบน้ำตาที่ซิงค์ในครัว แล้วกลับมาหยิบโทรศัพท์ก็ต้องขมวดคิ้วเพราะ มีข้อความจากแบมบูเข้ามาในมือถือเขา พอกดเข้าไปอ่านก็ต้องรีบกดโทรหาปลายสายอย่างเร่งร้อน เพราะในข้อความนั้นถูกเขียนมาว่า
“ไม่ว่างไปด้วยแล้วนะ พอดีมีธุระด่วน แล้วก็ไม่ต้องตามนะ เดี๋ยวยังไงค่อยเจอกันตอนเช้าทีเดียว” แต่ทว่าแม้จะพยายามกดโทรหาไปมากกว่าสิบครั้ง ก็ไม่มีครั้งไหนที่คนตัวกลมจะกดรับเลย ซ้ำร้ายพอจะขึ้นทีที่สิบเอ็ด สิ่งที่ปลายสายทำก็เปลี่ยนจากการปฎิเสธการรับสายเป็นการปิดเครื่องใส่แทน ซึ่งทำให้คนตัวเล็กงุนงง ยิ่งกว่าไก่ที่โดนตีจนตาแตกว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับแบมบูกันแน่
แต่ถึงคนร่วมทางจะขอแยกทางออกไป มันก็ไม่ได้ทำให้เป้าหมายของคนตัวเล็กสั่นคลอน เพราะตอนนี้การเดินทางของเขาก็จบลงด้วยการมานั่งเหงาคนเดียวที่หน้าบาร์น้ำ ของร้าน ณ สยามแล้ว
“วันนี้มันเป็นวันอะไรกันวะ ทำไมถึงมีแต่เรื่องแย่ๆ” คนผิวแทนเอาปลายนิ้วเรียววนรอบๆ ปากแก้วคอกเทล พร้อมกับทำสีหน้าที่สับสน ด้วยภายในใจของเขานั้น มันมีทั้งความผิดหวัง ความรู้สึกผิด ความเสียใจ และการอกหัก ปะปนกัน ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เข้าใกล้คำว่าความรักเลยแม้แต่น้อย ซึ่งอารมณ์เหล่านี้มันถูกแสดงออกมาทางสีหน้าอย่างเด่นชัด ก็ไม่น่าแปลกเท่าไหร่ เพราะว่า วันนี้คนตัวเล็กเจอความกดดันหลายอย่างเข้ามาพร้อมๆ กัน
“Hello Chocolate. Why do you sit here alone?” (สวัสดีช็อคโกแลต ทำไมนายถึงมานั่งตรงนี้คนเดียวล่ะ) เสียงทุ้มนุ่มลึกของใครบางคน ถูกกระซิบขึ้นที่ข้างหูคนตัวเล็กอย่างแผ่วเบา แต่ถึงกระนั้นเสียงนั้นยังคลับคล้ายคลับคลาในความทรงจำ อย่างไรก็ดีเมื่อเสียงมันมาดังในระยะประชิดโดยไม่มีสัญญาณแจ้งเตือนล่วงหน้า มันก็อดไม่ได้ที่จะทำให้คนตัวเล็กผวาจนเผลอปัดแก้วค็อกเทลร่วงลงพื้น โชคยังดีที่แก้วค็อกเทลที่ร้านอาหารใช้มีความหนาค่อนข้างมาก ดังนั้นเมื่อมันร่วงลงมาจากที่สูง ก็มีเพียงแค่ของเหลวในแก้วเท่านั้นที่กระเด็นออกมา
ถึงแก้วจะไม่ได้เสียหายแต่อย่างใด และรอเพียงแค่ไม่ถึงสามนาทีพนักงานก็เข้ามาจัดการเก็บแก้วและเช็ดน้ำที่หกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแถมยังไม่ได้เซ้าซี้ถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้คนตัวเล็กต้องรำคาญใจ แต่ถึงกระนั้นคนตัวเล็กที่ยังอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัวสุดๆ ก็หันไปหาคนต้นเรื่องที่ทำให้เครื่องดื่มของเขาร่วงอย่างทันที ด้วยหมายใจจะต่อว่าซะให้เข็ด นาทีนี้ไม่ว่าจะเป็นใครใหญ่มาจากไหน เขาก็สามารถมองช้างเป็นหมูได้ไม่ยาก
“What the heck? Who are you and why you not come in front of me and look what did you make me do?” (นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย คุณเป็นใคร แล้วทำไมถึงไม่เดินเข้ามาข้างหน้า แล้วดูสิว่าคุณทำให้ผมทำอะไรลงไป) คนตัวเล็กหันมาพูดด้วยอารมณ์โมโหใส่คนที่เข้ามากระซิบใส่เขาทันที หลังจากพนักงานเดินจากไป ซึ่งเมื่อเห็นชัดๆ จากแสงไฟในร้านว่าคนๆ นั้นเป็นผู้ใดเขาก็ยิ่งมีอารมณ์โมโหเพิ่มยิ่งขึ้นไปอีก
“Oh if I know this is you I would take the glasses back from the staff and throw it to your face” (โอ้ ถ้าฉันรู้ว่าเป็นนายฉันจะเอาแก้วคืนมาจากพนักงานแล้วปาใส่หน้านายไปแล้ว) คนตัวเล็กที่อารมณ์ขึ้นอย่างต่อเนื่องพูดใส่รูเบนที่ตอนนี้หน้าหด เหลือไม่ถึงสองนิ้วแล้ว เพราะหนุ่มตาฟ้าไม่คิดว่าคนตัวเล็กจะโมโหที่เขาเข้ามาทักทายถึงขนาดนี้ จริงอยู่ที่ว่าเขาทำให้คนผิวแทนอดกินค็อลเทลที่เขาเพิ่งสั่งมา แต่จริงๆ แล้วคนอย่างเขาสามารถสั่งเครื่องดื่มให้คนผิวแทนได้ใหม่อยู่แล้ว ซึ่งข้อนี้คนตัวเล็กเองก็น่าจะรู้ดี ดังนั้นมันทำให้เขาอดที่จะคิดไม่ได้ว่า ธันไม่น่าจะโมโหเขาแค่เรื่องเครื่องดื่มอย่างเดียวเสียแล้ว
“Another thing, I have to ask you why are you here not you ask me.” (อีกอย่างนะ ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถามนายว่าทำไมถึงมาอยู่นี่ได้ ไม่ใช่นายเป็นคนถามฉัน) คนตัวเล็กพูดประโยคดังกล่าวด้วยเสียงตวาดจนคนที่นั่งบริเวณรอบๆ เริ่มทยอยหันมามองที่เขาทีละคนทีละคน
“Hey, what happened to you and why I shouldn’t be here?” (เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นกับนายกันแน่เนี่ย แล้วทำไมฉันถึงไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่กันล่ะ?) หนุ่มตาฟ้าเอามือใหญ่ของเขาเข้าไปเกาะกุมมือน้อยๆ ของคนตัวเล็กพร้อมกับบีบเบาๆ โดยหวังว่าไออุ่นจากมือของเขาจะสามารถทำให้คนตัวเล็กสงบลงได้บ้าง ก่อนจะถามคำถามด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นและอ่อนโยน โดยไม่มีอารมณ์หงุดหงิดหรือโมโหเจือปน ถึงแม้เขาจะโดนคนตัวเล็กพูดไม่ดีใส่ขนาดไหนก็ตาม
“Think by yourself and let go of my hand” (คิดเอาเองสิ แล้วก็ปล่อยมือฉันด้วยนะ) คนตัวเล็กไม่มีทีท่าว่าจะตอบคำถามของหนุ่มผมสีวอลนัทแต่อย่างใด แถมเขายังพยายามจะแกะมือที่ถูกเกาะกุมอยู่ด้วยการเอามืออีกข้างที่เป็นอิสระ ทั้งทุบทั้งตีไปที่ไหล่หนาอีกด้วย
“No I don’t let go of your hand until you tell me what wrong with you and if you don’t stop hit me I will kiss you now” (ฉันไม่มีทางปล่อยมือนายหรอก จนกว่าฉันจะรู้ว่านายเป็นอะไรกันแน่ แล้วก็นะถ้านายยังไม่หยุดตีฉัน ฉันจะจูบนายเดี๋ยวนี้แหละ) รูเบนพูดทุกคำช้าๆ อย่างใจเย็นและโน้มตัวเข้าไปกระซิบที่ข้างหูตรงคำว่าจูบ ด้วยเสียงกระเส่า แถมไม่พูดเปล่าเขายังพ่นลมอุ่นๆ ไปที่ข้างหูของคนตัวเล็กอย่างแผ่วเบาอีกด้วย โดยคนตาฟ้าหวังใจให้คนตัวเล็กหน้าขึ้นสีจากการกระทำของเขาด้วยความเขิลอาย แล้วจะได้หยุดตีเขาเสียที เพราะถึงมือของธันจะเล็กและดูบอบบาง แต่ความจริงข้อหนึ่งที่คนตาฟ้าลืมคิดไปคือคนตัวเล็กนั้นยังมีความเป็นผู้ชายอยู่ และแรงของผู้ชายเวลาตีหรือทุบมานั้นก็เจ็บเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
ซึ่งดูเหมือนว่าผลลัพธ์ที่คนผมสีวอลนัทคาดหวังเอาไว้จะได้ผลครึ่งหนึ่งและไม่ได้ผลอีกครึ่งหนึ่ง เพราะธันหน้าแดงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดหลังจากโดนรูเบนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน และการเป่าลมอุ่นๆ เข้ามาที่ใบหู แต่ว่าทว่าการทุบตีของเขานั้นไม่ได้หยุดลงไปด้วย ซ้ำร้ายกลายเป็นว่าสิ่งที่คนตาฟ้าทำ มันกลับทำให้สติของคนตัวเล็กแตกกระเจิงเข้าไปอีก ดังนั้นการทุบตีที่เหมือนจะออมแรงไว้บางส่วนก็กลายเป็นการตีอย่างเต็มเหนี่ยวแทน
“สวัสดีค่ะทุกคน คือน้องไหมจะแจ้งว่าคืนนี้เราไม่มีดนตรีสดนะคะ เพราะว่านักร้องนำของวงที่จะขึ้นคืนนี้ท้องเสียกะทันหัน” พี่สาวเสิร์ฟหน้าคมคนใต้ ขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับประกาศผ่านไมค์ด้วยเสียงที่ประดิษฐ์ให้หวานและนุ่มที่สุด และไม่ต้องให้เดาก็น่าจะรู้ได้ไม่ยากว่าการออกมาเป็นตัวแทนของร้านในการรับบาทาหลายคู่จากลูกค้าที่มานั่งรอฟังดนตรีสดนั้น ในใจจะกรีดร้องหนักซะแค่ไหน เพราะไม่ทันจะสิ้นเสียงของเธอดี ก็มีเสียงโห่จากลูกค้าคนไทยมาทั่วสารทิศ และเมื่อลูกค้าชาวต่างชาติที่ทำหน้างงในตอนแรก ได้รับการแปลภาษาจากเพื่อนคนไทยที่นั่งร่วมโต๊ะบ้าง หรือลูกค้าที่นั่งอยู่ข้างๆ โต๊ะบ้าง ก็เริ่มจะทยอยโห่ตามกันมาเป็นแถว
“ใจเย็นค่ะ ทุกคน น้องไหมจะแจ้งว่าถึงคืนนี้เราจะไม่มีดนตรีสดแต่เราได้จัดคาราโอเกะไว้ให้ทุกคนได้มาแสดงศักยภาพนะคะ แล้วก็ใครก็ตามที่ขึ้นมาร้องแล้วเสียงเข้าตากรรรมการมากที่สุด ก็จะมีรางวัลให้ด้วย เป็น Gift voucher จากห้าง Myer โดยมีมูลค่าถึง 500 เหรียญเลยนะคะ เอาละค่ะ เอาละใครอยากจะขึ้นมาร้องเป็นคนแรกดีคะ” เสียงโห่ที่ดังขึ้นในตอนแรกเริ่มจะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ จนเมื่อถึงคำพูดที่ว่ามีของรางวัลให้ด้วยเสียงโห่ก็เปลี่ยนเป็นเสียงตบมือและเสียงกรีดด้วยความดีใจแทน แต่เมื่อพี่ไหมปล่อยไมค์และเดินลงมาจากเวทีคนข้างล่างก็เริ่มมีการเกี่ยงกันทันทีว่าใครกันจะเป็นคนประเดิมเปิดไมค์เป็นคนแรก
“Wow Gift voucher 500 Dollar that so nice” (ว้าว บัตรของขวัญมูลค่าห้าร้อยเหรียญเลยเหรอ มันดีมากเลยนะนั่นอะ) คนตัวพูดขึ้นพร้อมนัยน์ตาที่แวววาวเปล่งประกายอย่างเห็นได้ชัด
จนคนตาฟ้าได้แต่นึกขำในใจโดยไม่กล้าส่งเสียงหัวเราะออกมาเพราะกลัวว่าจะโดนคนตัวเล็กทุบเข้าให้อีกระลอก ถึงกระนั้นเขาก็ยังเนียนไม่ยอมปล่อยมือที่เกาะกุมไว้ออกแต่อย่างใด แม้มือของเขาจะขึ้นรอยแดงและช้ำจากแรงทุบของคนตัวเล็กแล้วก็ตาม
เสียงปรบมือดังขึ้นมาอีกระลอก เมื่อมีใครคนหนึ่งกำลังเดินผ่านฝูงชนที่นั่งเบียดเสียดกันอยู่ในร้าน เดินตรงขึ้นไปบนเวทีเพื่อเป็นผู้กล้าในการประเดิมร้องเพลงเป็นคนแรก ซึ่งหน้าตาของผู้กล้าของเราก็ดูคุ้นเหลือเกินเพราะดูเหมือนว่าเขาคนนี้ จะเป็นคนเดียวกันกับคนที่มีประเด็นกับคนตัวเล็กไปเมื่อช่วงหัวค่ำ จนทำให้คนผิวแทนต้องร้องไห้ขี้มูกโป่งและมาจบลงด้วยการกินเหล้าอยู่คนเดียวแบบนี้
“ฮัลโหลเทส 1 2 3 ครับผม ผมชื่ออ้นนะครับ ถ้าใครเคยมาที่ร้านนี้ก็คงจะเคยพบเห็นผมอยู่บ้าง วันนี้ผมมาร้องเพลงในใจของผมให้คนคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในร้านนี้นะครับ ก็ขอให้เขาคนนั้นลองฟังดูหน่อยแล้วกันครับ” พี่อ้นพูดด้วยน้ำเสียงช้าๆ พร้อมกับรอยยิ้มเศร้าๆ บางๆ ส่งตรงลงมาจากบนเวทีโดยสายตานั้นก็จ้องตรงลงมายังคนตัวเล็กที่นั่งอยู่เยื้องๆ เวทีจนคนตัวเล็กนั้นเบือนหน้าหนีไปทางอื่นแทบไม่ทัน เพราะสายตาของแขกคนอื่นในร้านก็เริ่มมองตามสายตาของพี่อ้นมาที่เขาด้วยเหมือนกัน
หลังจากหนุ่มตี๋หันไปบอกเพลงที่เขาจะร้องกับพี่ที่คุมคอมพิวเตอร์แล้ว เขาก็เริ่มขับขานเพลงที่อยู่ในใจของเขาออกมาด้วยเสียงและเทคนิคการร้องที่ดีจนผู้คนที่นั่งอยู่ต้องอ้าปากค้างไปเป็นแถบๆ
เผยความจริงให้เธอได้มองเห็น
เห็นในใจใครบางคนที่รอ
ให้เธอหันมอง
หัวใจเราให้ไปสักแค่ไหน
ก็ไม่ทำให้เธอหัน มามอง
เห็นรักในใจ
ให้เท่าไรไม่พอใจเธอไยช่างเป็นสีดำ
พยายามเท่าไรก็ไม่มีหวัง
ทำได้เพียงแค่นั้น ทำได้เพียงแค่ฝัน
ไม่มีทางที่มันเป็นจริงขึ้นมาได้
เธอไม่เคยจะเห็น เธอไม่เคยจะหัน
เธอไม่เคยจะปันหัวใจให้ฉันเลย
ไม่ว่าจะเปิดเผยจะกี่คำเฉลย
เธอก็ยังจะเฉยเฉยชาไม่สนใจ
เธอได้ยินบ้างไหมว่าใคร
ให้รักไปเพียงข้างเดียว

   มาถึงตรงนี้ผู้หญิงที่นั่งอยู่ในร้านก็เริ่มหยิบทิชชู่มาซับน้ำตากันเป็นแถว รวมถึงคนตัวเล็กที่หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดน้ำตาของเขาด้วยเช่นกันแต่ผ้าที่ว่านั้นดันเป็นชายเสื้อของรูเบนที่นั่งอยู่ข้างๆ ส่วนคนตัวโตก็ยังเนียนไม่หยุดเปลี่ยนจากการลูบมือมาลูบหัวคนตัวเล็กเบาๆ แทน

ฉันคงทำได้เพียงแค่เท่านี้
คิดถึงเธอในทุกวินาที
แม้ไม่มีทาง
ให้เท่าไรไม่พอใจเธอไยช่างเป็นสีดำ
พยายามเท่าไรก็ไม่มีหวัง
ทำได้เพียงแค่นั้น ทำได้เพียงแค่ฝัน
ไม่มีทางที่มันเป็นจริงขึ้นมาได้
เธอไม่เคยจะเห็น เธอไม่เคยจะหัน
เธอไม่เคยจะปันหัวใจให้ฉันเลย
ไม่ว่าจะเปิดเผยจะกี่คำเฉลย
เธอก็ยังจะเฉยเฉยชาไม่สนใจ
เธอได้ยินบ้างไหมว่าใคร
ให้รักไปเพียงข้างเดียว...
   เสียงเพลงจบลงไป พร้อมกับหัวใจของผู้ชม ที่ต่างมีคราบน้ำตาเปื้อนเต็มไปทั่วใบหน้า หนุ่มตี๋เก็บไมค์กลับที่เดิมก่อนจะเดินลงมาจากเวทีอย่างช้าๆ และไม่ว่าเขาจะเดินไปทางใดก็จะมีเสียงของคนในโต๊ะที่เดินผ่าน พูดคำให้กำลังใจพร้อมกับแตะไปที่ไหล่บ้าง ไปที่มือบ้าง ซึ่งหนุ่มตี๋ก็ได้แต่พยักหน้าและยิ้มขอบคุณกลับไป
  เมื่อก้าวสุดท้ายของหนุ่มเซอร์มาหยุดลงที่หน้าคนตัวเล็กและหนุ่มตาฟ้า เขาทั้งคู่ก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับพี่อ้น แต่แววตาของทั้งคู่นั้นกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง   
   คนตัวเล็กมองไปที่พี่อ้นด้วยตาที่มีอาการบวมเล็กน้อยจากการร้องไห้แล้วร้องไห้อีกมาทั้งวัน พร้อมกับปากที่สั่นระริกด้วยความเสียใจและรู้สึกผิดที่ยังเกาะกุมในใจยังไม่คลาย
   ส่วนคนผมสีอัลมอลด์นั้นมองมาด้วยความหวาดระแวง อันที่จริงถ้าใช้คำว่าคอยมองเพื่อกันท่าน่าจะถูกต้องกว่าเพราะตลอดเวลาไม่ว่าคนผิวแทนจะพูดอะไรหรือหนุ่มตี๋จะทำอะไรเขาก็คอยมองตามตลอดโดยไม่วางตา
    “พี่อ้น ธัน ขอโทษจริงๆ นะครับ ธันไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ แต่ธัน...” พูดยังไม่ทันที่จะจบประโยคคนตัวเล็กก็ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอีกระลอก แต่คราวนี้เขาไม่ได้ใช้เสื้อของรูเบนมาเช็ดน้ำตาเหมือนเก่า แต่กลับพุ่งเข้าไปกอดเอวของหนุ่มตี๋พร้อมกับเอาหน้าที่เต็มไปด้วยหยดหยาดน้ำตาซุกลงไปบนเสื้อสีขาวของพี่อ้นแทน
   ซึ่งนั่นก็สร้างความตกใจให้ทั้งพี่อ้นและรูเบนอยู่ไม่น้อย แต่จังหวะนั้นก็ไม่มีใครที่อยากจะขัดอารมณ์ของคนตัวเล็กให้มันเสียบรรยากาศ ดังนั้นสิ่งที่ทั้งสองคนทำก็คือการเอามือพลัดกันลูบหัวและไหล่ของคนตัวเล็กที่เริ่มจะมีการสั่นไหวด้วยความเสียใจที่มันล้นเอ่อท่วมท้นออกมาทั่วร่าง
    “ไม่เป็นไรนะครับ ไม่เป็นไร พี่ได้บอกความรู้สึกของพี่ออกมาหมดแล้ว ตอนนี้พี่ก็โอเคขึ้นแล้วด้วย พี่ต้องขอโทษเราด้วยนะครับ ที่ทำให้เราร้องไห้เยอะเลยวันนี้ แต่ไม่ต้องร้องแล้วนะ ไม่ต้องรู้สึกผิดกับพี่แล้วนะครับคนเก่ง พี่เข้าใจเรานะ” พี่อ้นลดระดับของตัวเองจากการยืนเหนือหัวลงมาเหลือเป็นการย่อลงมาระดับเดียวกับตัวเล็ก พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่มีความสั่นเครืออยู่เล็กน้อย เพราะสงสารคนตัวเล็กจับใจที่ต้องมาเสียน้ำตาให้เขาซ้ำไปซ้ำมา และนั่นก็บีบหัวใจของเขาเองอยู่ไม่น้อย
   ทางด้านรูเบนที่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าเป็นอย่างดีก็เลยไม่คิดจะเอ่ยอะไรมาขัดกับคนทั้งคู่ ดังนั้น เขาจึงเลือกที่จะมองไปทางอื่นเสียเพื่อไม่ให้ภาพตรงหน้านั้นมันบาดลึกเข้าไปภายในใจเขา
   “ธันขอบคุณมากนะ นะ ครับ ไม่ใช่ว่าพี่อ้นไม่ดีแต่ ธัน ฮึก ฮึก” ธันพูดด้วยเสียงที่สั่นเครืออย่างควบคุมตัวเองไม่ได้อีกครั้งพร้อมกับอาการสะอึกที่มาเป็นระลอกๆ
  “ครับ ครับ ไม่ต้องพูดแล้วพี่เข้าใจแล้วครับคนเก่ง” พี่อ้นยิ้มแฉ่งออกมาอย่างเสแสร้ง แต่นั่นก็เป็นเพียงสิ่งเดียวในเวลานี้ที่น่าจะช่วยให้คนตัวเล็กหยุดร้องไห้ได้ ดังนั้นถึงมันจะเป็นการฝืนความรู้สึกสักแค่ไหน เขาก็จำเป็นที่จะต้องทำเพราะเขาเองอยากที่จะเห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้ามากกว่าจะเป็นเสียงสะอื้นร่ำไห้แบบนี้
   “If you make him cry I will find the way to take him back. Do you understand?” (ถ้านายทำคนๆ นี้ร้องไห้ ฉันจะทำทุกวิธีทางเพื่อให้ได้เขาคืนมานะ นายเข้าใจไหม) พี่อ้นป้องปากกระซิบไปที่รูเบนที่ขณะนี้ยังคงหันหน้าไปอีกทาง แต่เมื่อได้ยินคำพูดที่กระซิบมานั้นเขาก็ต้องหันไปหาต้นเสียงอย่างทันควัน พร้อมกับยิ้มมุมปากให้เล็กน้อยเพื่อแสดงถึงการรับรู้และการขอบคุณไปพร้อมๆ กัน
หัวข้อ: When love travel Ep.19 ความรักและหยาดน้ำตา ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 09-08-2020 19:59:57
   “เอาละค่ะ อย่าปล่อยให้ไมค์ว่างนานนะคะ เพราะไม่งั้นน้องคนเมื่อสักครู่จะเป็นผู้ได้รางวัลไปนะ ใครอยากจะร้องเป็นคนต่อไปดีคะ” สาวใต้ของเราเดินขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับกระตุ้นผ่านไมค์เมื่อเห็นว่าสมาชิกด้านล่าง มีอาการนิ่งเงียบไม่ยอมขึ้นมาบนเวที แต่เพียงอึดใจเดียวก็มีผู้กล้าอีกคนพยายามเดินแหวกฝูงชนจากโต๊ะด้านในสุดหน้าห้องน้ำมายังหน้าเวที ซึ่งเมื่อเพ่งพินิจดูให้ดีก็ทำให้ ธันถึงกับแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
     “สวัสดีคะ คุณน้องชื่ออะไรคะ” พี่ไหมยื่นไมค์ไปจ่อปากคนตัวกลมที่เดินขึ้นมายังเวทีด้วยอาการกรึ่มๆ เล็กน้อย ซึ่งคำถามของเธอก็ทำให้แบมบูถึงกับมองตาขวาง เพราะตัวเขาเองก็มาร้านนี้ออกจะบ่อย ทั้งมากับคนตัวเล็ก มากับพวกฮานะ รวมถึงมาคนเดียวด้วย ซึ่งแม้จริงๆ แล้วคำถามดังกล่าวจะเป็นคำถามง่ายๆ เพื่อเป็นการเปิดไมค์ให้ แต่ถึงกระนั้นคนตัวกลมที่อยู่ในอารมณ์เมามายเล็กน้อยก็เลือกที่จะดึงไมค์ออกจากมือของเธอและเลือกที่จะพูดชื่อของเขาผ่านไมค์ในมือของเขาเอง
   ซึ่งสาวเสิร์ฟคนใต้ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการตบมือให้ตามหน้าที่ พร้อมกับเดินลงมาจากเวทีอย่างรวดเร็วที่สุดเพื่อไม่ทำให้งานกร่อยลงไป รวมถึงไม่ทำให้อารมณ์อยากตบเด็กของเธอปะทุขึ้นมาด้วย
   "ชื่อ แบมบูครับ วันนี้ไม่ได้อยากจะมาแข่งชิงรางวัลอะไรกับใครหรอกนะครับ เพราะรู้ตัวดีว่าสู้ใครเขาไม่เคยได้เลย เพราะถ้าเปรียบเธอเป็นทานตะวัน เขาก็คงเป็นพระอาทิตย์ ส่วนฉันก็คงเป็นได้แค่พระจันทร์ที่เธอไม่เคยจะหันมามองเลย ฮ่าฮ่าฮ่า พูดอะไรเนี่ยไร้สาระชะมัด อย่าเสียเวลาเลยมาฟังเพลงจากคนขี้แพ้คนนี้ดีกว่า” คนตัวกลมพูดด้วยน้ำเสียงที่ขื่นข่มแถมด้วยการหัวเราะแห้งๆ ที่ยิ่งดูแล้วก็ยิ่งน่าเศร้าและน่าเห็นใจ ดังนั้นจากตอนแรกที่ธันมีอารมณ์หงุดหงิดอยู่เล็กน้อยที่เห็นคนตัวกลมมาโผล่ในร้านนี้ก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกเข้าใจและเอาใจช่วยให้แบมบูร้องเพลงไปให้ได้ตลอดรอดฝั่ง ซึ่งก็คงไม่ต่างอะไรจากลูกค้าคนอื่นๆ ที่ตบมือและส่งเสียงตะโกนให้กำลังใจขึ้นไปบนเวที
   ฉันอยากขอให้เธอมองมาอย่างที่มองเขา ฉันอยากขอฟังคำเดียวกันที่เธอบอกเขา
แต่ฉันคงทำได้แค่ฝัน คงไม่มีวันเป็นเรื่องของเรา ในเมื่อเธอไม่เคยให้ความสำคัญ

              ไม่เคยอยู่ในสายตาเธอสักครั้งใช่ไหม และทุกครั้งก็เห็นว่าเธอได้มองผ่านไป
ข้ามฉันไปที่เขา เหมือนหัวใจถูกดึงหายไป ฉันต้องทำยังไง อีกนานแค่ไหน ถึงจะอยู่ในสายตา

   ต้องยอมรับว่าเทคนิคและจังหวะการร้องของแบมบูนั้นยังห่างจากพี่อ้นอยู่หลายขุม แต่ถ้าหากเราจะเทียบเรื่องอารมณ์นักร้องและอารมณ์เพลงคนตัวกลมนั้นกินขาดอย่างไม่ต้องเขาข้างเลย เพราะแต่ละประโยคที่เปล่งออกมานั้นมันช่างบาดลึกเข้าไปตัดยังขั้วหัวใจ จนคนฟังด้านล่างแม้จะเป็นผู้ชายอกสามศอกก็ยังมีอาการน้ำตาร่วงหยดลงแหมะๆ ไปที่พื้นอย่างควบคุมตัวเองกันไม่ได้เลย
 ฉันอยากขอไปเดินจูงมือกับเธอแทนเขา
ฉันอยากขอเป็นคนที่เธออยากเจอตอนเหงา
ได้แค่คิดไปเพียงเท่านั้น แต่ก็ไม่มีทางเปลี่ยนเรื่องราว
เป็นแค่คนที่เธอจะมองข้ามไป

ไม่เคยอยู่ในสายตาเธอสักครั้งใช่ไหม
และทุกครั้งก็เห็นว่าเธอได้มองผ่านไป
ข้ามฉันไปที่เขา เหมือนหัวใจถูกดึงหายไป
ฉันต้องทำยังไง อีกนานแค่ไหน ถึงจะอยู่ในสายตา

ประโยคจบลงพร้อมกับเสียงตบมือของคนข้างล่างที่ตบกันเกรียวกราว พร้อมกับตะโกนขึ้นไปชื่นชมคนตัวกลมข้างบนเวทีอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งนั้นก็ทำให้แบมบูมีรอยยิ้มที่สดใสขึ้นมาได้บ้าง ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ส่งยิ้มที่แสดงถึงความเมามายอย่างหนักตรงไปยังหน้าบาร์น้ำ ที่มีคนตัวเล็ก หนุ่มหน้าตี๋และคนตาฟ้า ยืนโบกมือให้กำลังใจอยู่แต่คนที่ดูจะออกหน้าออกตามากที่สุดเห็นจะไม่ใช่ใครอื่น นอกจากคนตัวเล็กที่ทั้งพยายามผิวปากแม้จะทำให้มีเสียงออกมาไม่ได้ ไหนจะการส่งมินิฮาร์ทรัวๆ นั่นอีก มองดูแล้วก็น่าเอ็นดูไม่ต่างจากคนตัวกลมที่ยังยืนยิ้มค้างอยู่บนเวที
แต่สิ่งที่ต้องทำให้กลุ่มของธันเหวอ รวมถึงลูกค้าในร้านท่านอื่นๆ ด้วยเหมือนกันก็คือประโยคที่คนตัวกลมพูดผ่านไมค์หลังจากส่งยิ้มหวานไปทั่วร้านแล้ว ส่วนประโยคที่ว่านั่นก็คือ
“เห็นชัดๆ ว่าเขาไม่รักก็พยายามตามจีบเขาอยู่ได้ เมื่อไหร่จะเลิกเป็นควายซะทีวะ ไอ้บ้าเอ้ย” หลังจากตะโกนลั่นร้านด้วยประโยคดังกล่าวจบ แบมบูก็ค่อยๆ ปล่อยไมค์ร่วงลงพื้นอย่างหมดแรง พร้อมกับทิ้งตัวให้ทรุดร่วงลงไปกอดที่ขาไมค์ด้วยความเมามายอันเกินจะต้านไหวแล้ว
เดือดร้อนพนักงานต้องรีบขึ้นไปช่วยกันหามลงมาปฐมพยาบาลด้านล่าง ซึ่งกลุ่มคนตัวเล็กเมื่อเห็นดังนั้นก็ไม่รอช้า พยายามเข้าไปถึงตัวคนตัวกลมให้ได้มากที่สุด พร้อมกับออกปากไล่ไทยและฝรั่งมุงที่ยืนรายล้อมแบมบูให้ถอยออกไปก่อน เพื่อที่จะได้เปิดทางให้อากาศนั้นเข้ามา แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อมองดูรอบๆ ตัวแล้วผู้คนก็ไม่ได้เขยิบออกไปได้มากเท่าไหร่ เพราะว่าขนาดของร้านที่ไม่ได้มีพื้นที่กว้างขวางขนาดที่จะเว้นระยะห่างให้มีอากาศไหลเวียนถ่ายเท บวกกับเป็นคืนวันพฤหัสบดี ที่ผู้คนมักจะมาออกมาเที่ยวกันแล้วด้วย ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการช่วยกันหามคนตัวกลมออกไปจากร้านตรงกลับไปที่ห้อง ถึงแม้ว่ามันจะลำบากและทุลักทุเลเมื่อมีคนแบกแค่สามคนก็ตาม
“เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งวัน ก่อนงานพรอมโรงเรียนจะเริ่มขึ้น”
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่19 หน้าสาม ✈ Up ใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 10-08-2020 21:17:27
 :pig4: :pig4: :pig4:

เง้อ...อิรุงตุงนัง
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่19 หน้าสาม ✈ Up ใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 11-08-2020 13:23:48
เรื่องนี้น่าจะชื่อ แม่งูเอ๋ย อิอิอิ (แซวเล่นจ๊ะ) อีกอย่างอ้างถึงเฉยๆ ไม่ใช่รุ่นเราน้าาาา
อย่างว่าแหละเรื่องของหัวใจนะ บางทีคนข้างๆ ทำดีแทบตาย แต่หัวใจเขาไปอยู่ที่อื่น
สู้ๆ ๆ นะทู๊กคนนนน
 :a2: :a2: :a2:
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่19 หน้าสาม ✈ Up ใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 11-08-2020 15:31:21
 :mew1: เพราะว่าความรักในชีวิตจริงมันซับซ้อน รออ่านตอนต่อไปยิ่งซับซ้อนกว่านี้อีกตั้งสติดีๆนะครัย
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนที่19 หน้าสาม ✈ Up ใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 11-08-2020 23:51:08
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: When love travel EP.พิเศษ เรื่องรักของแบมบู
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 31-08-2020 20:05:28
   “แอบหลงรักเขา เหมือนที่เขาเองก็แอบหลงรักคนอื่นอยู่เหมือนกัน”
“เราไม่ได้คิดเหมือนกันกับแกว่ะ ต้องขอโทษด้วยนะเว้ย ที่ทำให้เข้าใจผิดไปได้ขนาดนั้น” ชายหนุ่มหน้าตี๋ตัวสูงพูดขึ้นอย่างห้วนๆ และกระชับคำพูดด้วยความรวดเร็วที่สุดเท่าที่มนุษย์หนึ่งคนจะทำได้ ก่อนจะหันหลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจากรั้วมหาวิทยาลัยด้วยความรวดเร็วยิ่งกว่าคำพูดที่ตนได้พูดทิ้งไว้อย่างไม่ใยดี เมื่อสักครู่เสียอีก
   สายลมทะเลอันบางเบาช่วยโอบกอดร่างของคนตัวกลมที่สั่นสะท้านจากความรู้สึกผิดหวังอันเอ่อล้นได้อย่างดี ส่วนแสงแดดเองก็ช่วยทำให้หยาดน้ำตาที่รินไหลจากตามาที่สองแก้มนั้นเหือดแห้งลงอย่างช้าๆ เฉกเช่นเดียวกัน
กี่ครั้งแล้วนะที่แบมบูถูกปฎิเสธอย่างไรเยื่อใยเช่นนี้ ยิ่งเขาเข้าใกล้คำว่าความรักมากเท่าไหร่ ยิ่งพยายามเอื้อมมือไขว่คว้ามากแค่ไหน มันก็ยิ่งห่างไกลออกไปมากขึ้นเท่านั้น
เหมือนกันกับครั้งนี้ที่เขาคิดว่าเพื่อนผู้ชายคนที่คอยมอบรอยยิ้มสดใสให้เขาทุกครั้งในยามเช้าที่พบเจอ คอยเช็คชื่อแทนทุกครั้งในคาบเมื่อเขาดูซีรีย์เกาหลีจนดึกจนดื่นแล้วตื่นมาเรียนไม่ไหว ไหนจะชวนเขาไปกินข้าวด้วยกันทุกครั้งหลังเลิกคลาสอีก ที่สำคัญเวลามีเพื่อนในคณะแซวว่าตัวติดกันตลอดอย่างกับคนเป็นแฟนกัน มันก็ไม่ยอมปฎิสธแถมยังตามน้ำโอบเอวโอบไหล่คนตัวกลมอีก แล้วแบบนี้จะไม่ให้คนตัวกลมคิดไปไกลได้อย่างไรกัน
“เสียเพื่อนดีๆ ไปอีกคนแล้วสินะ ต่อจากนี้จะมองหน้ามันยังไงวะเนี่ยเรา ไม่น่าเลยแบมบูเอ้ย ไม่น่าต้องการความชัดเจนเลย” คนตัวกลมรำพึงรำพันกับตัวเองขณะกำลังนั่งหงอยเหงากอดเข่าอยู่ตรงบันไดทางขึ้น ศาลศักดิ์สิทธิ์ ที่เด็กในมหาวิทยาลัยนี้ส่วนใหญ่จะมาบนบานศาลกล่าวให้ตัวเองรอดพ้นการติด F โดยแลกกับการวิ่งเป็นการแก้บน ซึ่งดูเหมือนคนตัวกลมจะนั่งอยู่ผิดจุดไปหน่อยเพราะหลังจากนั่งหน้าเศร้าเป็นนางเอกเอ็มวีได้ยังไม่ถึงสิบนาทีดี ก็ถูกลุงยามเดินเข้ามาไล่ที่ให้ไปทำเศร้าตรงอื่นเพราะมีพลเมืองดีที่เห็นเขานั่งนั่งตาไหลน้ำตาหยด จนกลัวว่าจะเกิดเหตุสลดในมหาวิทยาลัยหรือเปล่า เพราะใกล้ๆ ศาลพระภูมิก็ดันมีบ่อน้ำขนาดใหญ่อยู่ติดกันซะด้วย ชะรอยหากคนตัวกลมหาทางออกให้ชีวิตไม่ได้ก็อาจมีแนวโน้มจะกระโดดลงไปเป็นอาหารปลาเป็นแน่ ดังนั้นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจึงต้องรีบมาเชิญแบมบูออกไปเป็นการด่วน อารมณ์ประมาณว่าถ้าอยากจบชีวิตก็คงไม่มีใครรั้งแต่ช่วยไปทำอัตวิบากกรรมที่อื่น เพราะลุงอยากจะหลับยามโดยไม่ต้องมาระแวงว่าจะมีใครมา สะกิดให้ลุงขวัญผวาในยามค่ำคืน
“แม้แต่จะเศร้าก็ยังเศร้าไม่ได้เลยเหรอเนี่ย คนอย่างฉันมันจะโดนสาปให้พบแต่ความผิดหวังและอุปสรรคอย่างเดียวเลยหรือยังไงกันนะ” คนตัวกลมถอนหายใจพร้อมกับเดินเตะก้อนหินเล็กๆ ที่อยู่ระหว่างทางเดินกลับหออย่างอ่อนใจ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นฟ้าเพื่อแหงนมองก้อนปุยนุ่นที่ลอยกันกระจัดกระจายอย่างไร้ทิศทาง เหมือนกันกับหัวใจของเขาที่มันช่างสับสนและเหว่ว้าเสียเหลือเกิน เขาไม่ขออะไรมากไปกว่าการหวังเพียงจะมีใครสักคนที่เข้ามาเติมเต็ม สิ่งที่ขาดหาย เข้าใจ และยอมรับเขาได้ในแบบที่เขาเป็นในเร็ววันนี้
“ตริ๊ง ตร้อง ตริ้ง ตร้อง” เสียงระฆังทองเหลืองที่ติดไว้เหนือผนังร้านด้านนอกดังขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณบอกว่ามีแขกรายใหม่ เดินก้าวเข้ามาในร้านอาหารไทยที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงลอนดอน
“แบมบูเอ้ย เข้าไปรับออเดอร์ให้แม่หน่อยสิลูก” เสียงดังของหญิงวัยกลางคนตะโกนออกมาจากในครัว เพื่อกระตุ้นให้ลูกชายที่ยืนล้างแก้วอยู่ตรงบาร์น้ำฝั่งตรงข้ามหยุดมือที่กำลังขะมักเขม้นกับการขัดรอยลิปสติกสีแดงที่ติดอยู่รอบปากแก้วก่อน แล้วเดินเข้าไปถามไถ่ลูกค้าว่าต้องการจะรับอะไรดี
“จ้าแม่” คนตัวกลมขานรับอย่างแข็งขันก่อนจะเช็ดมือที่เปียกปอน ของเขาลงกับผ้ากันเปื้อนและเอื้อมไปหยิบดินสอและกระดาษโน้ต พร้อมกับก้าวเดินอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ตรงไปยังโต๊ะของลูกค้าที่เพิ่งจะเข้ามาใหม่
“Hello Sir, Welcome to the Authentic Thai. Do you know what would you like to order?” (สวัสดีครับคุณลูกค้า ขอต้อนรับสู่ร้าน Authentic Thai ไม่ทราบว่าลูกค้าจะสั่งอะไรดีครับ)
“เอาเป็น เซ็ตแกงเขียวหวานไก่แล้วกันครับ” ชายหนุ่มตรงหน้าเอ่ยตอบพร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรกลับมาให้
“อ้าว คนไทยเหรอครับเนี่ย?” ด้วยความที่เสียงตอบกลับมาเป็นภาษาที่คุ้นเคย จึงทำให้คนตัวกลมอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมามอง ยิ่งน้ำเสียงที่เขาได้ยินผ่านโสตประสาทเป็นน้ำเสียงที่สุขุมนุ่มลึกอย่างที่เขาชอบแล้วด้วยเขายิ่งต้องไม่พลาดเข้าไปใหญ่
หนุ่มไทยที่มีเชื้อจีนอยู่เกือบค่อนมองตอบกลับมายังดวงตากลมโตสีน้ำตาลของเขาอย่างไม่กระพริบ และเพียงเสี้ยววินาทีที่ทั้งสองได้มองตากันหัวใจของหนุ่มตัวกลมก็เต้นระรัวอย่างควบคุมไม่ได้ แต่เสียงของแม่ที่ดังขึ้นด้านหลังก็ทำให้เขาได้สติรับรู้กลับคืนมา
“อ้าว น้องทอม สวัสดีค่ะ ไม่ได้เจอกันพักใหญ่เลยนะคะ เอาเหมือนเดิมไหมเอ่ย” เสียงอันอ่อนหวานดังขึ้นข้างๆ ที่คนตัวกลมยืนเพราะตอนนี้ แม่ของเขาที่เห็นว่าแบมบูหายไปนานจนผิดสังเกตเลยเดินมาตาม และพบเข้ากับลูกค้าประจำที่ชอบแวะมาทานอาหารที่ร้านเธอบ่อยๆ เลยอดไม่ได้ที่จะเข้ามาทักทายพูดคุยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ตามมารยาทที่เจ้าของร้านพึงมี
“ครับ เอาเหมือนเดิมครับคุณน้า ว่าแต่นี่ใครครับเนี่ย” ชายหนุ่มยิ้มตอบกลับไปพร้อมกลับหันมามองยังหนุ่มตัวกลม ที่เริ่มยืนไม่เป็นสุข เมื่อรับรู้ว่าคนที่นั่งอยู่เริ่มสอบถามผู้เป็นแม่ถึงชื่อเขา
“อ๋อ นี่ลูกน้าเองชื่อแบมบู พอดีช่วงนี้ที่ร้านน้าลูกน้องดันลางานกลับบ้านกันหมด เลยให้เขามาช่วยน้าก่อนจนกว่าลูกน้องเขาจะกลับมาน่ะจ้ะ เดี๋ยวยังไงน้ากับลูกขอตัวไปทำอาหารมาให้ก่อนนะ ยังไงน้องทอมรอแปปหนึ่งนะลูก” คนเป็นแม่พูดด้วยจังหวะการพูดที่เนิ่บนาบพร้อมด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร ก่อนจะขอตัวแม่ลูกเดินเข้าครัวไปช่วยกันจัดเตรียมอาหารที่เพิ่งได้รับออเดอร์มา
“แม่แม่ พี่เขาเป็นใครอ่ะ” ทันทีที่เดินพ้นประตูครัวมา คนตัวกลมก็รีบสะกิดแขนแม่ยิกๆ พร้อมกับสอบถามคนที่กำลังหยิบหม้อขึ้นมาตั้งบนเตา ด้วยน้ำเสียงเร่งเร้า
“อะไรกันไอ้ลูกคนนี้ ช่วยแม่ไปหยิบของในตู้เย็นออกมาก่อนเดี๋ยวแม่บอก”หญิงวัยกลางคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนใจก่อนจะหยิบปืนจุดเตาแก็สที่วางอยู่ข้างเตามาใช้จุดไฟ
“อ่ะ ได้แล้วแม่ สรุปพี่เขาชื่ออะไร แล้วเขาเป็นใครอ่ะแม่” แบมบูหอบเอาวัตถุดิบที่ต้องใช้ทำแกงเขียวหวานมาวางไว้ข้างเตาด้วยความรวดเร็ว จนคนเป็นแม่ถึงกับส่ายหัวและถอนหายใจ เพราะหากเธอใช้ในยามปกติที่ไม่มีข้อต่อรองอะไรแบบนี้ เธอต้องคอยบอกแล้วบอกอีกกว่าที่ลูกชายตัวดีจะหยิบเอาของที่เธอต้องการมาได้ถูกต้องและครบถ้วน
“พี่เขาชื่อทอม กำลังเรียนปริญญาโทอยู่ที่ มหาวิทยาลัยในเมืองใกล้ๆ ร้านเรานี่แหละ แต่ก่อนเขาชอบมากินข้าวร้านเราแต่เดือนสองเดือนมานี้ไม่เห็นหน้าเลย เพิ่งจะกลับมากินก็วันนี้แหละ” คนเป็นแม่พูดไปพร้อมกับคนพริกแกงที่อยู่ในหม้อไปด้วย
“เหรอแม่เหรอ บังเอิญจังเลยเนาะ ดันเป็นวันที่หนูอยู่ด้วยพอดีเลย หรือว่ามันเป็นพรหมลิขิตกันแน่นะ” คนตัวกลมหลับตาพริ้มพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงวาบหวาม แต่ก่อนที่แบมบูจะเคลิ้มไปมากกว่านี้เสียงเตาแก็สก็ถูกปิดลงพร้อมกับเสียงคนเป็นแม่ที่สั่งให้เขารีบไปตักข้าวและเอาแกงไปเสิร์ฟได้แล้ว อย่ามัวแต่ฝันกลางวันอยู่
“แกงได้แล้วครับ” คนตัวกลมพยายามปั้นยิ้มให้หวานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะเดินออกไปเสิร์ฟอาหารให้ลูกค้า และ เมื่อเดินมาถึงโต๊ะเขาก็ได้ใช้น้ำเสียงที่สามสิบห้าในการเปล่งออกมาพูดคุยกับลูกค้า
“ขอบคุณครับ น้องแบมบู อาหารของแม่น้องยังน่ากินอยู่เหมือนเคยเลยนะครับ” พี่ทอมพูดขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มจนตาหยี
“พี่ทอมชอบกินแกงเขียวหวานเหรอครับ” คนตัวกลมที่แม้จะมีงานล้างถ้วย ล้างแก้ว ล้างชามรออยู่ล้นมือ แต่เขาก็เลือกที่จะหยุดคุยกับคนหน้าตี๋ที่อยู่ตรงหน้าก่อน
“อ๋อครับ อันที่จริงพอมาอยู่นี่พี่ก็ชอบอาหารไทยเกือบทุกอย่าง แต่ต้องปรุงโดยคนไทยนะ” พี่ทอมยิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะเอาช้อนวนเบาๆ บนถ้วยแกง
“หมายความว่าไงครับ ที่ว่าพอมาอยู่ที่นี้ก็ชอบกินอาหารไทยเกือบทุกอย่างแล้วต้องปรุงโดยคนไทย” คนตัวกลมถามขึ้นด้วยความสงสัย ใคร่รู้
“ก็ตอนที่พี่อยู่ไทย พี่ไม่เคยมองอาหารไทยเลยนะ เพราะคิดว่ามันหากินง่ายแล้วรสชาติมันก็คล้ายๆ กันหมด แต่พอย้ายมาเรียนที่นี้ ร้านอาหารไทยก็ได้หายากมาก อันที่จริงเกือบทุกถนน จะมีร้านอาหารไทยอยู่อย่างน้อยหนึ่งร้าน แต่ว่านะคนปรุงหรือเจ้าของบางทีก็ไม่ใช่คนไทย แค่อาศัย อาหารไทยมาดึงดูดลูกค้าเฉยๆ แล้วรสชาติก็อิงเอาที่ฝรั่งชอบกิน พี่เผลอหลงไปอยู่สามสี่ร้าน กินไม่ได้เลยครับ ทั้งเค็มทั้งหวาน ทั้งอะไรก็ไม่รู้ ตักได้คำเดียวต้องรีบเดินไปจ่ายเงินเลย” คนหน้าตี๋เล่าไปก็หัวเราะคลอไปกับความโชคร้ายของตัวเองที่ดันไปเจอร้านอาหารไทยปลอมเข้า
“อันนั้น ผมเองก็เคยได้ยินมาบ้างนะครับ แต่ไม่เคยไปลองสักที แต่ก็นั้นแหละครับ คงไม่มีโอกาสได้ไปลองร้านอื่นหรอก เพราะว่าถ้าแม่จับได้คงโดนดึงหูยานแน่ โทษฐานที่กินอาหารไทยร้านอื่น นอกจากร้านแม่ตัวเอง ว่าแต่วีซ่าพี่ทอมเหลืออีกนานเท่าไหร่เหรอครับ” คนตัวกลมเริ่มจะสอบถามลงรายละเอียดซึ่งในหัวและในใจของเขา ณ เวลานั้นไม่ได้คิดอะไรมากเกินกว่าการตีสนิทเผื่อว่าบางที คนหน้าตี๋อาจจะชอบคนพูดมากอย่างเขาและความสัมพันธ์อาจจะเจริญงอกงามได้โดยเร็วก็เป็นได้
“อ๋อ จริงๆ แล้ววีซ่าของพี่ก็ใกล้หมดแล้วละเหลืออีกประมาณสามเดือนน่ะ แล้วแบมบูละมาวีซ่าอะไร แล้วระยะเวลาวีซ่าเหลือนานเท่าไหร่เหรอ” พี่ทอมถามกลับก่อนจะตักข้าวเข้าปากคำโต
“อ๋อตอนนี้ผมถือบิจจิ้งอยู่นะครับ (วีซ่าชั่วคราวถือไว้เพื่อรอฟังผลวี่ซ่าตัวจริงว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน) พอดีแม่กำลังยื่นเรื่องให้เป็นวีซ่าลูกติดตามแม่อยู่ ถ้าผ่านก็อาจมีสิทธิได้เป็นพลเมืองที่นี้” แบมบูตอบกลับพร้อมรอยยิ้มหวานไป แต่ก่อนที่จะได้พุดคุยกันให้มากยิ่งขึ้น ก็มีเสียงดังมาจากข้างในครัวเพื่อเรียกให้คนตัวกลมรีบกลับเข้ามาล้างถ้วย ล้างชาม เพราะมันใกล้ได้เวลาปิดร้านแล้ว ทำให้แบมบูต้องเอ่ยขอตัวกับคนหน้าตี๋ทั้งๆ ที่ไม่เต็มใจเท่าใดนัก
เช้าวันใหม่ที่ไม่มีแสงแดดยามเช้าลอดผ่านก้อนเมฆออกมาให้เห็นแม้แต่เพียงสายเดียว เพราะว่าเช้ามืดวันนี้ที่ลอนดอนมีพายุฝนฟ้าคะนองเข้ามาเทียบท่า และแม้พายุจะพัดผ่านตัวเมืองไปหลังจากนั้นประมาณสองชั่วโมง แต่ทว่ามันก็ได้ทิ้งเอาสายฝนที่ตกหยุมหยิมไว้เบื้องหลังเพื่อให้ชาวเมืองได้รู้สึกรำคาญใจตลอดทั้งวัน
เช้านี้ แบมบูใส่เสื้อสเวตเตอร์โค้ดไหมพรมสีฟ้าตัวใหญ่เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ตัวเองไว้ดานใน และใส่เสื้อกันฝนสีเหลืองสดใสไว้ด้านนอกเพื่อป้องกันการเป็นหวัดจากละอองฝน
“เอาอะไรเพิ่มเติมอีกไหมแม่”แบมบูตะโกนขึ้นไปถามแม่ของตนที่อยู่บริเวณชั้นสองของบ้าน 
“ไม่เอาแล้ว แล้วถ้าเธอจะกินอะไรเธอก็ซื้อเข้ามาเลยนะ เช้านี้แม่ขี้เกียจทำกับข้าว” คนเป็นแม่ตะโกนตอบกลับมาด้วยเสียงที่มีอาการงัวเงียเล็กน้อย
“จ้า” คนตัวกลมตอบรับคำสั่งสั้นๆ ก่อนจะบิดลูกบิดออกจากบ้านเพื่อเดินทางไปซื้ออาหารสดเข้าบ้านตามกระดาษโน๊ตของผู้เป็นแม่ที่เขียนทิ้งไว้
“เอ๋ ไข่ไก่อยู่ตรงไหนกันน้า” คนตัวกลมเดินหันซ้ายหันขวาอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้า เชลวางแผงไข่ไก่จำนวนมากมายหลากหลายแบรนด์ แต่แบรนด์เจ้ากรรมที่ผู้เป็นแม่ของเขาเขียนกำกับไว้บนกระดาษนั้นกลับอยู่สูงเกินกว่าที่คนตัวกลมจะเอื้อมได้ ถึงแม้ว่าความสูงของเขาจะอยู่ที่ หนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซ็นต์แล้วก็ตาม
“พนักงานไปไหนกันหมดนะ” แบมบูถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มชายตาหาพนักงานที่อยู่บริเวณใกล้เคียง เพราะหลังจากเขาลองพยายามเขย่งตัวอยู่พักใหญ่ แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่สามารถที่จะหบิบไข่ไก่แผงนั้นถึง ซ้ำร้ายเขายังเกือบจะทำไข่ไก่แผงอื่นๆ ตกลงพื้นอีกต่างหากแต่ก่อนที่เขาจะทันได้เรียกพนักงานที่นั่งจัดเรียงสินค้าอยู่ฝั่งตรงข้าม ก็มีมือมาหยิบแผงไข่ไก้บนชั้นที่เขาต้องการอยู่ ก่อนที่จะสะกิดไปที่แขนของคนตัวกลมและยื่นแผงไข่ไก้นั้นให้
ซึ่งพอคนตัวกลมมองไล่จากมือขึ้นไปตรงหน้าของบุรุษปริศนา หน้าของเขาก็มีอันต้องขึ้นสีแดงเพราะความเขิน เพราะเจ้าของมือนั้นไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นพี่ทอม ที่เขาเพิ่งได้พบเจอเมื่อคืนงานนี้เอง
“ขอบคุณครับ” คนตัวกลมรับแผงไข่ไก่มาไว้ในมือก่อนที่จะยิ้มตอบกลับไปด้วยความเขิลอายที่ปิดเอาไว้ไม่มิด
“ปกติน้องแบมบู มาซื้อของที่ร้านนี้บ่อยเหรอครับ” พี่ทอมถามขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินไปจ่ายเงินที่เคาเตอร์ด้วยกัน
“อ๋อ ครับเพราะว่ามันใกล้บ้านน่ะครับ แล้วพี่ทอมละครับปกติมาซื้อของที่นี้บ่อยเหรอครับ” แบมบูถามกลับไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ เพราะว่าถ้ามันเป็นอย่างนั้นเขาก็จะทำเป็นแกล้งเผอิญเดินผ่านมาได้บ่อยๆ แม้จะไม่มีธุระต้องซื้อของก็ตาม
“อ๋อ ใช่ครับเผอิญว่ามันใกล้ที่พักพี่เหมือนกัน บังเอิญจังเลยเนาะ” เหมือนกับคนตัวสูงรู้ความนึกคิดของแบมบูเพราะว่าเขาพูดประโยคเดียวกันกับที่คนตัวกลมคิดอยู่ลึกๆ ในใจ นอกจากนั้นเขายังสงยิ้มอบอุ่นเข้ามาหลอมละลายบางสิ่งบางอย่างที่มันฝั่งรากลึกในใจคนตัวกลมอีกด้วย
“งั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ” แบมบูพูดขึ้นหลังจากที่ทั้งคู่เดินกันออกมานอก ซุปเปอร์มาเก็ตแล้ว ใจจริงคนตัวกลมก็อยากจะอยู่ต่ออีกหน่อย แต่ถึงแบบนั้นเขาเองก็ใสซื่อเกินกว่าจะหาเหตุผลอะไรมาอ้างเพื่อยื้อเวลาให้เขาและพี่ทอมได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันต่อ
“เอ่อ... น้องแบมบูชอบกินไอศกรีมไหมครับ” เป็นคนหน้าตี๋ที่เป็นฝ่ายเริ่มชวนคุยก่อน
“ชอบสิครับ ผมชอบกินขนมหวานทุกชนิดแหละ แต่มันก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่มั้ง ถ้าดูจากรูปร่างของผมละก็นะ แหะๆ ว่าแต่พี่ทอมถามทำไมเหรอครับ”คนตัวกลมพูดขึ้นพร้อมกับลูบหัวตัวเองแก้เขิลเบาๆ เพราะตอนแรกที่พี่ทอมถามเขาว่าเขาชอบกินอะไร ใจของเขามันก็อดไม่ได้ที่พองฟู แต่อีกส่วนของหัวใจก็ต้องถูกหักห้ามลงไป เพราะว่าเขาเองก็รู้ตัวดีว่าทั้งรูปร่างและหน้าตาของเขาก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากพอที่จะทำให้คนที่หล่อขนาดพี่ทอมมาสนใจได้
“รูปร่างอย่างเราพี่ก็ว่าน่ารักดีออกครับ แล้วก็ที่พี่ถามก็เพราะว่า ใกล้ๆ นี้มีร้านไอศกรีมร้านอร่อยอยู่ร้านหนึ่ง ถ้าเกิดเราไม่ได้รีบมากพี่ว่าจะชวนเราไปกินด้วยกัน สนใจไหมครับ” พี่ทอมยิ้มบางๆ ทั้งปากและแววตาก่อนจะเว้นจังหวะเล็กน้อยเพื่อให้คนที่สูงน้อยกว่าตรงหน้าได้คิด
“ไปสิครับ ไป ไป ไป” คนตัวกลมที่ปิดบังความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่รีบตอบรับรัวๆ จนพี่ทอม อดไม่ได้ที่จะขำ ก่อนที่จะเดินนำหน้าไปยังร้านไอศกรีมที่ตนบอก
“เอารสอะไรดีครับ” พี่ทอมถามขึ้นก่อนที่จะส่งยิ้มพิมพ์ใจให้แบมบูอีกรอบหนึ่ง แต่ตอนนี้รอยยิ้มนั้นทำอะไรคนตัวกลมไม่ได้มากนัก เพราะเขากำลังเพ่งพินิจพิจารณา ไอศกรีมหลากหลายรสที่อยู่ตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ
“เอารส Chocolate Brownie แล้วกันครับ” คนตัวกลมพูดพร้อมกับลูบท้องตัวเองปอยๆ
“Can I have Chocolate Brownie for two please” พี่ทอมสั่งไอศกรีมรสชาติที่แบมบูเลือกสองที่กับพนักงานสาวทันที ที่แบมบูเลือกเสร็จ
“บังเอิญอีกแล้วนะครับ พี่เองก็ชอบรสนี้เหมือนกัน” พี่ทอมส่งยิ้มมาให้แบมบูอีกระลอกและมันก็อดที่จะทำให้แบมบูอ่อนระทวยเล็กๆ จากภายใน
“ครับ บังเอิญจังเลย” คนตัวกลมอมยิ้มก่อนที่จะรับไอศกรีมมาถือไว้ในมือ พร้อมกับหยิบกระเป๋าเงินมาเพื่อที่จะทำการจ่ายเงิน
“ไม่ต้องเลยครับ เดี๋ยวรอบนี้พี่เลี้ยงเอง” พี่ทอมหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาอย่างรวดเร็วหลังจากที่เขาได้รับไอศกรีมแล้ว และชิงจ่ายเงินก่อน ท่ามกลางการคัดค้านของแบมบู
“ไม่เป็นไรครับพี่ ต่างคนต่างจ่ายดีกว่าครับ” แต่ก่อนที่คนตัวกลมจะได้พูดอะไรกับพนักงาน พี่ทอมก็ชิงพูดอะไรบางอย่างขึ้นมาที่ทำให้แบมบูต้องยอมรับเงื่อนไขนั้นด้วยความเต็มใจ
“งั้นเอาแบบนี้ดีไหมครับ ครั้งนี้พี่เลี้ยงเราแล้วครั้งหน้าเราค่อยเลี้ยงพี่คืน” หลังจากพี่ทอมพูดจบแบมบูก็ได้แต่พยักหน้าเบาๆ พร้อมกับเลียไอศกรีมที่อยู่ตรงหน้าของตนอย่างเงียบๆโดยไม่ลืมที่จะซ่อนรอยยิ้มที่เขิลอายไว้ด้านในใจ
หลังจากการกินไอศกรีมครั้งแรกทุกอย่างก็ดูเหมือนจะไปได้ดีทีเดียว เพราะพี่ทอมก็จะพยายามชักชวนให้คนตัวกลมไปตามที่ต่างๆ ที่เป็นไฮไลท์ของเมืองด้วยกันทุกครั้งหากทั้งคู่มีเวลาว่างตรงกัน หรือวันไหนที่ตรงกับวันทำงานของคนตัวกลมพี่ทอมก็จะอาศัยเข้ามาสั่งอาหารที่ร้านของแม่แบมบู และพยายามนั่งแช่นานๆ หากไม่มีลูกค้ารายอื่นต่อคิวรอกินอยู่ด้านนอก
“พรุ่งนี้แบมบูว่างไหมครับ” พี่ทอมถามขึ้นขณะที่แบมบูเดินเข้ามาเก็บจาน ที่กินเสร็จแล้วของเขา
“พรุ่งนี้แบมบูต้องไปเดินซื้อของเข้าร้านกับแม่น่ะครับ พี่ทอมจะชวนไปไหนเหรอครับ” คนตัวกลมถามขึ้นหลังจากหยิบจานใบสุดท้ายขึ้นมาวางบนถาด
“อ๋อ พอดีพี่จะชวนไปเที่ยวที่สวนสาธารณ น่ะครับ แต่ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไร ไว้ครั้งหน้าก็ได้ ยังไงเดี๋ยวพี่ส่งข้อความหาอีกนะครับ” พี่ทอมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูผิดหวัง แต่แบมบูก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการยิ้มเล็กๆ ส่งไปให้ เพราะถึงจะอยากไปยังไง แต่หน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบก็ต้องมาก่อนสิ่งอื่นใดอยู่แล้ว
“คิดดีแล้วเหรอลูก” คนเป็นแม่พูดขึ้นมาด้วยเสียงเรียบๆ ในขณะที่แบมบูกำลังยืนล้างจานอยู่หน้าซิงค์
“อะไรเหรอจ๊ะแม่” คนตัวกลมเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัยก่อนที่จะชะงักการล้างจานตรงหน้าลงพร้อมกับหันคอมาไปในทิศทางที่แม่ของตนยืนอยู่
“ก็เรื่องของเรากับพี่ทอมน่ะ คิดดีแล้วเหรอ” คนเป็นแม่ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันมาสบตาผู้เป็นลูก
“ก็ไม่มีอะไรนี่แม่ แค่พี่น้องกัน” คนตัวกลมหันกลับไปล้างจานต่อ พร้อมกับพูดตอบโต้คำถามของแม่ไปน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะมั่นใจนัก
“เออ ถ้าคิดแค่พี่น้องแม่ก็จะไม่พูดอะไรต่อแล้ว แต่ถ้าคิดมากกว่านั้นแม่อยากให้ยับยั้งช่างใจบ้าง เพราะถึงยังไงพี่เขาก็มีวีซ่าเหลืออีกไม่นานแล้ว ห่างกันไปมันจะไปได้สักกี่น้ำ”คนเป็นแม่พูดขึ้นด้วยเสียงที่ไร้ซึ่งอคติใดๆ มาเจือปน มีเพียงความหวังดีและความเป็นจริงของโลกนี้เท่านั้น แม้คนตัวกลมจะไม่ได้พูดอะไรโต้กลับไป แต่ในใจนั้นกลับเต็มไปด้วยข้อความที่ไม่เห็นตรงด้วยมากมายผุดขึ้นมา อย่างเช่นว่า โลกตอนนี้มันไปถึงไหนแล้วถ้าคิดถึงกันก็ Face Time หากันก็ได้ หรือถ้าคิดถึงกันมาก ก็นั่งเครื่องบินไปหากันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น แต่ความคิดที่ร้ายกาจที่สุดที่คิดขึ้นมาได้คือคำว่า อย่าเอาชีวิตรักของตัวเองมาเป็นบรรทัดฐานของเขากับพี่ทอมได้ไหม เพราะการที่พ่อกับแม่ต้องแยกทางกันด้วยเรื่องระยะทางมันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาและพี่ทอมจะต้องจบความสัมพันธ์ลงแบบเดียวกันกับพ่อกับแม่ซะหน่อยการที่จะมาเหมารวมว่าความรักมันต้องจบลงด้วยการผิดหวังตลอดไปมันก็ไม่น่าจะใช่หรือเปล่า และถึงแม้เขาจะเพิ่งผิดหวังกับเพื่อนสนิทที่มหาวิทยาลัยมา แต่ครั้งนี้มันก็ดูท่าจะไปได้ดีไม่มีอุปสรรคอะไรให้ต้องกังวลนี่นา ก็ต้องลองดูกันต่อไปละนะว่าปลายทางครั้งนี้มันจะสิ้นสุดแบบไหนกัน
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนพิเศษ ✈ Up ใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 31-08-2020 23:44:39
 :pig4: :pig4: :pig4:

"ปม" ของแบมบู  ช่างหนักหนาสาหัสยิ่งนัก
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนพิเศษ ✈ Up ใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 04-10-2020 13:37:26
 :call: :call: :call:


หายเงียบไร้ข่าวคราวไปหนึ่งเดือน
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนพิเศษ ✈ Up ใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 06-10-2020 13:19:36
ตายแล้วๆ
ช่วงนี้ธันทำโปรเจ็คจบอยู่นะครับเดี๋ยวว่างจะรีบเอามางงเลยขอโทษจริงๆนะครับ :mew6:
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง ตอนพิเศษ ✈ Up ใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-10-2020 14:06:07
รับทราบ
หัวข้อ: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง EP20 Prom day✈ ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 26-01-2022 20:56:50
“เรากลับมาถึงบ้านได้ยังไงกันนะ” ความคิดในหัวผุดขึ้นทันทีหลังร่างบางมองขึ้นไปบนเพดานสีขาวขุ่นอันคุ้นตา และหยากไย่จากน้องแมงมุมที่พันกันอย่างยุ่งเหยิงตรงพัดลมเพดานบนหัว
คนตัวเล็กเอามือก่ายหน้าผากพยายามคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน แต่ถึงจะพยายามคิดทบทวนจนหัวสมองแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยง ภาพสุดท้ายในหัวก่อนที่จะตัดไปก็คือเขาและเพื่อนอีกสองสามคนที่พยายามแบกคนอ้วนอย่างทุลักทุเลขึ้นไปบนรถ Uber หลังจากยัดคนอ้วนไปที่เบาะหลังและเอาตัวเองแทรกเข้าไปนั่งข้างๆ ได้ สติเขาก็หลุดลอยออกไปยังนอกหน้าต่างรถเต่า Volkswagen สีขาวที่ตัดกันดีกับค่ำคืนที่ฟ้าไร้ดาวในย่าน Fortitude valley
ผ้าปูที่นอนสีขาวที่ถูกดึงไว้จนเรียบตึง เริ่มขึ้นรอยย่นไปเกือบจะทั่วทั้งผืนผ้า อันเนื่องมาจากแขนขาที่วาดไปวาดมา อีกทั้งคนที่นอนบนเตียงก็ยังขยับตัวดิ้นไปมาไม่ยอมหยุด แต่ถึงผ้าจะถูกขมวดเป็นปมหนักยับย่นมากเพียงใด ก็คงยังดูเรียบกว่าคิ้วของคนตัวเล็กที่ตอนนี้ขมวดเป็นปมยุ่งเหยิงจนแทบจะเป็นชิ้นเดียวกันอยู่แล้ว
กลิ่นหอมจากชั้นล่างค่อยๆ ลอยขึ้นมาตามขั้นบันไดเหล็กสนิมเขรอะทีละขั้น จนสุดท้ายกลิ่นหอมตลบอบอวลจากขนมแพนเค้กและกลิ่นนมจากเนยสีทองแสนชุ่มฉ่ำที่ได้ตอนนี้ได้รับไออุ่นจากตัวแพนเค้กก็ได้เปิดแง้มประตูเข้ามาทักทาย คนผิวแทนที่ยังนอนอ้อยอิ่งอยู่บนเตียงแม้จะรู้อยู่ว่าวันนี้เขาต้องไปเรียนแต่ด้วยหัวอันหนักอึ้งจากฤทธิ์แอลกอฮอล์และความสับสนอลหม่านจากเรื่องที่ยังคิดไม่ตก มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาตัดสินใจ โดดเรียนในคาบเรียนเช้าชั่วโมงแรก ถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่ามันจะมีผลกับคะแนนเข้าห้องของเขาก็ตาม
“สงสัยเด็กอ้วนจะทำแพนเค้กกินแหะ เช้านี้ รีบล้างหน้าแปรงพันลงไปแย่งกินดีกว่าเดี๋ยวจะหมดซะก่อน” คิดได้ดังนั้นเขาจึงโยนเจ้าก้อนความคิดที่ยังสับสน วุ่นวาย ไว้ที่ข้างเตียงก่อนจะรวบรวมแรงทั้งหมดที่เหลือกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าห้องน้ำไป โดยหมายใจว่าจะรีบอาบน้ำให้ไวที่สุด ก่อนที่ข้าวเช้าของเขาจะเหลือแค่เศษแพนเค้กและน้ำไซรัปเมเปิ้ลที่เหลือทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าตามง่ามช้อนส้อม
ในขณะที่ ธัน เดินลงบันไดมาพร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กบนหัว ก็ต้องรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่บริเวณชั้นล่างไม่มีแม้แต่เงาของแบมบู จะมีก็แต่เพียงจานสีขาวที่มีกองแพนเค้กตั้งใหญ่ ซึ่งด้านบนถูกตกแต่งด้วย เนยชิ้นใหญ่ ฉ่ำวาว บวกด้วยน้ำสีเหลืองก่ำดั่งทองจากน้ำหวานของเมเปิ้ลที่ถูกบีบวนเทท่วมทั่วตัวแพนเค้ก จนแทบจะเลยล้นออกมานอกจานอยู่รอมร่อ นี่ยังไม่นับ ผลไม้ตระกูลเบอรี่ต่างๆที่ถูกสอดแทรกด้วยความประณีตชั้นต่อชั้น จนคนตัวเล็กเผลอเลียมุมป่ากไม่ต่างอะไรกับเด็กอ้วนที่เดินผ่านร้านลูกชิ้นทอดหน้าโรงเรียนเลย
แต่ก่อนที่จะได้ลงมือกิน ตาเจ้ากรรมก็ได้เหลือบไปสะดุดเห็นโน้ต Post-it สีส้มที่วางอยู่ติดๆกับจาน หลังจากพยามยามแกะลายมือภาษาไทยไก่เขี่ยอยู่นานสองนานก็พอจะสรุปได้ว่า
“ทำแพนเค้กทิ้งไว้ให้นะครับ แล้วก็เอาเสื้อผ้าที่คิดเอาเองว่าน่าจะเหมาะกับงานเลี้ยงคืนนี้ทิ้งไว้ตรงโซฟานะครับ ถ้าเกิดใส่มาผมจะดีใจมากเลย แล้วเจอกันนะครับ ”
พออ่านจบคนผิวแทนก็ได้แต่ขมวดคิ้ว เพราะนอกจากจะต้องแกะลายมืออยู่นานสองนานแล้วรูปประโยคที่ใช้ก็ห่างไกลกับที่สิ่งที่แบมบูน่าจะเขียนอยู่มากโข
“ใครวะ” คนตัวเล็กขมวดคิ้วเรียวเข้าด้วยกันอักครั้งเป็นรอบที่สองของวันแต่ครั้งนี้นั้นหนักจนถึงขั้นเห็นร่องระหว่างคิ้วอย่างชัดเจน
ดั่งวันที่มักจะเริ่มต้นด้วยเช้าอันสดใสและจบลงด้วยพายุฝนฟ้าคะนอง วันอันยุ่งยากและแสนทรมาน ก็มักจะเริ่มต้นด้วยขึ้นด้วย เช้าอันแสนธรรมดาที่มีกลิ่นหอมของไซรัป น้ำผึ้งบนภูเขาแพนเค้กกองโต และกลิ่นเสื้อใหม่ที่ถูกพับอย่างดีอยู่ในถุง
หลังจากรีบจัดการมื้อเช้าอย่างเร่งรีบ คนตัวเล็กก็รีบยัดหนังสือลงไปในเป้ พร้อมกับกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปใส่รองเท้า Converse สีขาวคู่โปรดก่อนจะหยิบกุญแจห้องที่แขวนอยู่ตรงมุมซ้ายข้างประตูและรีบเดินลงบันไดเพื่อมุ่งตรงไปยังโรงเรียน
การเดินอย่างเร่งรีบไม่ใช่สิ่งที่น่าทำเท่าไหร่นักในชั่วโมงอันเร่งด่วน เพราะนอกจากที่คุณจะไปไม่ถึงจุดหมายอย่างรวดเร็วขึ้นแล้วนั้น คุณยังเสี่ยงที่จะไปชนกับผู้คนที่เดินอยู่ตรงหน้าของคุณอีกด้วย และแน่ละเช้าวันแรกของการทำงานผู้คนส่วนใหญ่ก็มักจะถือถ้วยกาแฟอยู่ในมือ ดังนั้นถ้าคุณเผลอไปชนเข้า นอกจากที่คุณอาจจะมีรอยด่างสีน้ำตาลติดเสื้อผ้าไปทั้งวันแล้ว คุณยังอาจจะต้องเสียเงินค่ากาแฟที่คุณไม่ได้กินมันอีกด้วย
“Oh sorry!!!” คนผิวแทนอุทานอย่างตกใจหลังจากเดินชนคนข้างหน้าที่หยุดเดินอย่างกะทันหัน แต่ความโชคดียังเป็นของธันอยู่บ้างที่มันเป็นช่วงเวลาอันเร่งรีบเกินกว่าที่คนโดนชนจะมีเวลาหันมาต่อว่าเขาและด้วยความที่ขนาดของคนชนและคนโดนชนต่างกันเกินไป ดังนั้นแทนที่คนโดนชนจะเซกลับเป็นคนชนซะเองที่กระเด็นจนแทบจะหงายหลัง และการเซเพียงเล็กน้อยของคนตัวเล็กก็ทำให้เขาต้องเสียเวลาอีกเป็นนาทีเพราะก้าวข้ามสี่แยกไม่ทันสัญญาณไฟแดง
“อ้าว มีร้านกาแฟมาเปิดใหม่ตรงนี้ด้วยเหรอเนี่ย ไม่ยักรู้เลยแหะ” คนผิวแทนพูดขึ้นในใจเพราะสายตาดันเหลือบไปเห็น ร้านกาแฟสีเขียวมินต์ ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหัวมุมถนน แต่ร้านกาแฟเปิดใหม่มันก็คงไม่สามารถดึงดูดความสนใจของคนๆ หนึ่งถึงขนาดที่จะลืมข้ามถนนไปได้ หากไม่บังเอิญว่าคนข้างในร้านกาแฟดันเป็นคนที่เรารู้จัก และอีกคนก็ดันเป็นคนที่เรามีความรู้สึกอะไรบางอย่างด้วย
ภาพที่เห็นตรงหน้าคือภาพของสาวสวยสะดุดตาคนหนึ่งที่กำลังยืนพูดคุย หยอกล้อและหัวเราะกับชายหนุ่มที่มีขนาดความสูงๆกว่าเธออยู่มากอย่างเห็นได้ชัด ผมหยักศกสีน้ำตาลอัลมอลด์ที่เมื่อโดนแสงแดดจับต้องแล้วสีละม้ายคล้ายกับสีของกาแฟลาเต้ยามเช้า
ทว่ารสชาติของกาแฟลาเต้ มันยังมีความหวานละมุนของนม แต่กลับกัน รสสัมผัสที่เขาได้รับตรงหน้ามันขมขื่นเจ็บปวดจนเขาแทบจะหยุดหายใจ และถึงแม้จะเห็นเพียงข้างหลังแต่ด้วยลักษณะอันคุ้นเคย รูปร่าง สีผม และความสูงโปร่งโดดเด่นที่ผิดมนุษย์มนา ทุกสิ่งทุกอย่างจึงดูชัดเจนและถูกต้องทั้งหมด เว้นเสียแต่ว่าตำแหน่งที่พี่ซีอิ๊วยืน มันควรจะเป็นเขาคนนี้ไม่ใช่เหรอ? และรอยยิ้มของสาวหมวยที่ยิ้มจนเห็นฟันสวยเรียงกันเกือบครบทุกซี่ มันก็สมควรที่จะเป็นรอยยิ้มมุมปากอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาไม่ใช่หรือไง? แล้วที่ผ่านมาละสิ่งที่เขาได้รับจากคนตาฟ้ามาตลอดมันคืออะไรกัน?
 “Please pay attention to me Mr.Thun” (ช่วยสนใจกันหน่อยนะ คุณธัน) เสียงหนังสือแบบฝึกหัดกระทบเข้ากับโต๊ะพลาสติกดังก้องทั่วห้องเพื่อเรียกความสนใจจากเจ้าของที่นั่ง ซึ่งมันก็ได้ผลค่อนข้างที่จะดีทีเดียวเพราะคนตัวเล็กถึงกับสะดุ้งเฮือก และเผลอปล่อยปากการ่วงลงจากมือ กระเด็นกระดอนไปด้านหลังเก้าอี้ที่เขานั่ง
“I know you think about your costume for tonight but please study first. Ok next paragraph show us about… ” (ผมรู้นะว่าคุณกำลังคิดถึงชุดที่จะใส่ไปคืนนี้อยู่แต่ยังไงก็เหอะ ช่วยเรียนก่อนนะ ย่อหน้าถัดไปพูดถึงเรื่อง...) อาจารย์ขนดกพูดจบแล้วก็เดินไปข้างหน้าห้องโดยที่ไม่แม้แต่จะก้มลงเก็บปากกาที่ตกให้เขาด้วยซ้ำ และอันที่จริงคนผิวแทนก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องชุดที่จะใส่ไปงานในคืนนี้เลยด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่มันวนเวียนซ้ำๆอยู่ในหัวของเขาก็คือภาพของ ชายหญิงที่ดูเหมาะสมกันเหลือเกิน แต่ก็นั้นแหละมันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้เพราะทั้งสองคนก็เป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกันจะไปหากาแฟกินกันมันก็คงไม่แปลกอะไร แต่สิ่งสำคัญที่รบกวนจิตใจคนตัวเล็กอย่างมหาศาลคือเรื่องของคนตัวสูงที่เขาจับสังเกต ด้วยตัวเองมาสักพักหนึ่งแล้วว่ามีท่าทีพิเศษบางอย่างกับเขาแต่บางทีเขาอาจจะมองอะไรพลาดไป หรือบางทีสิ่งที่เขารู้สึกมาตลอดมันอาจจะเป็นความรู้สึกจากเขาฝั่งเดียวก็ได้
“แป๊ก แป๊ก” เสียงโลหะบางอย่างกระทบกับเก้าอี้ไม้ตัวที่ธันนั่งอยู่ และถึงแม้เสียงจะไม่ได้ดังมากนักแต่แรงสั่นสะเทือนเล็กๆ ก็ทำให้คนตัวเล็กสามารถว่ายขึ้นมาพ้นจากภวังค์ที่ตัวเขาเป็นคนสร้างขึ้นมาได้
“Your pen” (ปากกานาย) หนุ่มผมสีอัลมอนล์ พูดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนพร้อมกับ คลี่ยิ้มบางๆ และยื่นปากกาที่เขาเก็บขึ้นมาจากบนพื้นส่งคืนให้กับคนตัวเล็ก   
“Um… Thank you” (อืม... ขอบใจนะ) หนุ่มผิวแทนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้แสดงอาการยินดีสักเท่าไหร่นัก พร้อมกับรีบรับปากกา และหันตัวกลับไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
“Are you…” (นายเป็น...) เสียงเบาๆ ลอยเข้ามาในหูของธันจากตำแหน่งด้านหลังที่คนคิ้วเข้มนั่งอยู่ ก็แน่ละท่าทีเขาดูลุกลี้ลุกลนจนถึงแม้ไม่สังเกตก็สามารถมองออกได้ไม่ยาก แต่ก่อนที่บทสนทนาอันน่าลำบากใจสำหรับคนตัวเล็กจะเริ่มขึ้น เสียงกระแอมไอของอาจารย์ขนดกก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะคนบางคน และ ช่วยชีวิตคนบางคนเอาไว้ ซึ่งเสียงต่อมาที่คนผิวแทนได้ยินก็คงหนีไม่พ้นเสียงพลิกหน้ากระดาษไปมาและเสียงถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นเจ้าของเสียงเหล่านั้น
“Ok , Shall we meet each other again at ballroom in 3 hours?” (‘งั้นเดี๋ยวเรามาเจอกันอีกทีที่ห้องบอลรูม หลังจากนี้สักสามชั่วโมงนะ) คนตัวกลมพูดก่อนที่จะเก็บกระเป๋าและเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
คนตัวเล็กได้แต่ถอนหายใจและพยายามเดินตามไปติดๆ แต่ก็ช้าไปเพียงหนึ่งก้าวเพราะประตูลิฟท์ตรงกลางระหว่างโถงทางเดินก็ปิดฉับเข้าต่อหน้าเขาเพียงเสี้ยววินาที จนเขาต้องสบถเบาๆ อย่างอารมณ์เสีย
“วันนี้มันวันอะไรกันวะ เนี่ย” คนผิวแทนพูดไปก็เอามือยีหัวตัวเองอย่างหงุดหงิดและหัวเสียแต่ก็ทำได้เพียงแค่แปปเดียว เพราะว่านักเรียนในคลาสเริ่มทยอยกันออกมาจากห้องแล้ว และ ณ ขณะนี้คนตัวเล็กก็ยังไม่พร้อมที่จะเจอโจทก์ตาฟ้า ดังนั้นตัวเขาเลยต้องรีบกดลิฟต์ถี่ๆ เพื่อที่จะได้หลบออกไปจากสถานการณ์อันน่าอึดอัดที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ แต่ยิ่งรีบก็เหมือนยิ่งช้า และจังหวะที่คนตัวสูงเดินพ้นออกมาจากห้องก็เป็นจังหวะที่ลิฟต์เจ้ากรรมไปค้างอยู่ที่ชั้นห้าซึ่งยังห่างจากชั้นที่เขากดลิฟต์อยู่อีกประมาณสามชั้น ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจชิ่งหนีวิ่งลงบันไดหนีไฟไปก่อนที่คนผมสีอัลมอนล์จะเดินเข้ามาถึงตัวเขา และ ณ ตอนนี้คนที่ต้องมายืนยีหัวตัวเองก็สลับกลับมาเป็นรูเบนแทน
ห้องนอนสี่เหลี่ยมผืนผ้าห้องเล็กๆ ดูกว้างไปถนัดตาเมื่อเหลือเพียงคนตัวเล็กยืนหันซ้ายหันขวาอยู่หน้ากระจกในห้องเพียงคนเดียว หลังจากกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงบันไดหนีไฟตามคนตัวกลมลงมาถึงชั้นล่างจนหอบแฮ่ก แต่คนหน้าสวยก็ต้องแสดงสีหน้าผิดหวังออกมาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อได้พบว่าลิฟต์ตัวที่แบมบูโดยสารลงมานั้นเปิดออกนานจนกลับขึ้นไปรับผู้โดยสารคนอื่นอีกรอบแล้ว แต่คนผิวแทนก็ต้องข่มความรู้สึกนั้นไว้ในใจก่อนที่จะจะต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากตัวตึกทั้งๆ ที่ยังไม่หายเหนื่อยดีเพราะลิฟต์ตัวที่มาจากชั้นที่เขาเรียนกำลังจะลงมาถึงชั้นที่เขายืนอยู่รอมร่อแล้ว
“ไปไหนของเขานะ ทำไมต้องหลบหน้ากันด้วย” ธันพูดพร้อมกับกลัดกระดุมเสื้อเม็ดสุดท้ายก่อนจะหมุนดูความเรียบร้อยของตัวเองอีกหนึ่งรอบ
เสื้อเชิ๊ตสีขาวคอจีนอันมีกระดุมระหว่างสาปเสื้อเป็นรูปมุดสีครีม เข้ากันได้ดีกับกางเกง สแลค ขาเต่อ สีฟ้าพาสเทลเนื้อผ้าวูล ยิ่งได้สวมทับเข้าไปบนคนตัวเล็กแล้วนั้นหากไม่บอก ใครๆต่างก็ต้องพากันนึกว่าทั้งเสื้อและกางเกงต้องถูกสั่งตัดมาเฉพาะให้กับผู้ที่สวมใส่อยู่ตอนนี้เป็นแน่ เพราะทั้งขนาดและความกว้างความยาวมันช่างพอเหมาะพอเจาะ เกินกว่าที่จะเป็นเสื้อโหลตามห้องเสื้อทั่วไปเป็นแน่ ไหนจะสร้อยคอสีโรสโกลด์ที่มีจี้เป็นรูปห่วงโดยด้านในห่วงถูกลงยาไว้เป็นสีขาว ส่วนด้านนอกมีตัวอักษรสลักไว้เป็นคำว่า “Bvlgari.Bvlgari” ล้อมรอบติดกัน ซึ่งประเมินด้วยสายตาแล้วน่าจะแพงระยับแน่นอน
มาถึงตรงนี้สมองของคนผิวแทนก็ตระหนักได้แล้วว่าต่อให้เขาและแบมบูจะสนิทกันมากเพียงใดแต่ก็ไม่น่าจะรักกันถึงขนาดจะซื้อของพวกนี้เตรียมไว้ให้เขาหรอก ไม่มีทางเลย
พอคิดถึงคนตัวกลม ธันก็จำต้องถอนหายใจขึ้นมาอีกรอบด้วยความหนักใจ อันที่จริงคนผิวแทนก็รู้สึกได้อยู่ลึกๆว่าที่คนตัวกลมหลบหน้าเขาตลอดทั้งวันสาเหตุมันก็คงหนีไม่พ้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นแน่ เพราะถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับเขาบ้าง เขาเองก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าจะรับมันไหว แต่จะให้เขาจัดการเรื่องนี้อย่างไรกันล่ะ เพราะถ้ามองกันตามความจริงแบบไม่ได้เข้าข้างตัวเองเลยแม้แต่นิด เขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยไม่ใช่เหรอ เขาพยายามที่จะไม่ยุ่งและแอบเชียร์ แบมบูให้พี่อ้นทุกครั้งที่เขามีโอกาส
แต่ก็นั่นแหละในเมื่อหัวใจเขาไม่สามารถชอบพี่อ้นได้ฉันใด หัวใจพี่อ้นก็ไม่สามารถถูกชักจูงด้วยคำพูดหว่านล้อมของเขาได้ฉันนั้น และตั้งแต่เมื่อวานเขาก็ไม่มีเวลาได้ปรับความเข้าใจกับคนตัวกลมเลยแม้แต่คำพูดเดียว เช่นเดียวกับที่ไม่มีคำพูดใดออกจากปากของเขาไปหาคนตัวสูงเลยตั้งแต่เขาได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าที่ร้านกาแฟสีมินท์
“แอดดดดด“เสียงเนื้อไม้เบียดเสียดกัน อันเป็นเสียงประจำที่มักจะเกิดขึ้นเมื่อเปิดประตูห้องที่เนื้อไม้อับชื้นและค่อนข้างบวม ตอนแรกที่ย้ายเข้ามามันก็เป็นเสียงที่ชวนหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยเนื่องจากเสียงนี้ไม่ได้ดังขึ้นมาแค่ประตูทางเข้าห้อง แต่เสียงนี้มันดังขึ้นทุกห้อง จะต่างกันที่ความหนักเบาเพียงแค่นั้น ช่วงกลางวันเสียงนี้มันก็ไม่ได้กระทบอะไรกับการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยสักเท่าไหร่หรอก แต่พอตกกลางคืนเท่านั้นแหละความหายนะก็มาเยือนคนตัวเล็กทันที เนื่องจากธรรมดาคนผิวแทนก็เป็นคนตื่นง่ายอยู่แล้ว แค่เสียงแบมบูขึ้นลงเตียงหรือเสียงหยิบจับอะไรก็อกแก็กกลางดึกของพี่อ้น ก็ทำให้เขาผวาตื่นได้ไม่ยาก ยิ่งเสียงเปิดปิดประตูดังแบบนี้ไม่ต้องพูดถึง แต่ก็นั่นแหละ อยู่ไปนานๆเข้ามันก็ชิน ก็คงคล้ายกับความรู้สึกกับคนตัวสูงนี่แหละมั้ง ที่พอนึกย้อนๆดูแล้ว มันก็เหมือนจะเป็นเขาฝ่ายเดียวหรือเปล่าที่รู้สึกชินกับการที่มีเขาอยู่ข้างๆ จะเป็นเขาฝ่ายเดียวหรือเปล่าที่รู้สึกดีกับการได้เฝ้าดู เฝ้ามองดูดวงตาอันแสนอบอุ่นคู่นั้น และจะเป็นเขาฝ่ายเดียวไหมนะที่คิดเกินเลยไปไกลกว่าคำว่าเพื่อน
เมฆหมอกแห่งความฟุ้งซ่านของธันได้อันตรธานหายไปพร้อมกับร่างอันคุ้นตาได้เดินก้าวเข้ามาในห้อง แบมบู สบตากันคนตัวเล็กอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะเป็นคนตัวกลมที่ต้องยอมละสายตาหันหนีไปทางประตูตู้เสื้อผ้าก่อนที่จะเอือมมือไปคว้าเอาราวจับประตูให้เปิดออกและลงมือค้นหาอะไรสักอย่าง อย่างรีบร้อน
“มึงคือเรื่อง พี่อ้..” คนตัวเล็กพยายามประคองสติให้ได้มากที่สุดในขณะที่พูด เพราะเสียงของเขาที่เปล่งออกมามันช่าง สับสนและสั่นเครืออยู่ในทีเดียวกัน ไม่ใช่เฉพาะเรื่องเมื่อคืนหรอกที่ทำให้เขาปวดไปทั้งหัวตอนนี้แต่ไหนจะเป็นเรื่องตอนเช้าที่ สายตามันดันไปเห็นภาพอะไรต่อมิอะไรที่ไม่ควรเห็น ไหนจะตลอดทั้งคาบที่คนตัวกลมทำทีหมางเมินไม่สนใจเขาอีก แต่คำพูดสุดท้ายก็ต้องกลืนเข้าไปในลำคอเมื่อคนตัวกลมพูดโต้ตอบกลับมาด้วยเสียงอันราบเรียบจนอ่านไม่ออกว่าเขารู้สึกอะไรอยู่กันแน่
“เรื่องนั้นเราค่อยว่ากันหลังงานเลี้ยงดีไหม ตอนนี้ฉันรีบต้องไปช่วยเพื่อนคนอื่นแต่งตัวอีก” พูดจบแบมบูก็ปิดตู้เสื้อผ้าเสียงดังโครม!!! ก่อนที่จะกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงบันไดไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองหน้าของคนผิวแทนเลยด้วยซ้ำ
ธันนิ่งลงไปชั่วขณะเหมือนคนเอาค้อนปอนด์ใหญ่ๆ มาฟาดลงที่หัวเขาซ้ำไป ซ้ำมา มันมึน มันอึ้ง และมันก็รู้สึกหน่วงๆอยู่ข้างใน
“ต้องรีบไปช่วยคนอื่นแต่งตัว... อย่างนั้นเหรอ แล้วกับฉันนี่แกไม่สังเกตเห็นเลยเหรอว่าฉันพับแขนเสื้อสั้นข้างยาวข้างเนี่ย”คนตัวเล็กได้แต่ถอนหายใจและยิ้มให้ตัวเองในกระจกอย่างแห้งๆ ก่อนที่จะปลดแขนเสื้อข้างที่สั้นกว่าอีกฝั่งลงและเริ่มพับขึ้นไปใหม่อีกที
Uber car ได้จอดเทียบตรงหน้าโรงเรียนของคนตัวเล็กพอดิบพอดี ก่อนที่ร่างของธันจะค่อยๆก้าวลงมาอย่างระมัดระวัง เนื่องด้วยว่าฝนห่าใหญ่ได้ตกลงต่อหน้าต่อตาก่อนที่จะก้าวพ้นธรณีประตูของอพาท์เม้นท์ ดังนั้นแทนที่จะได้ประหยัดเงินด้วยการเดินจากบ้านไปที่งานเลี้ยงก็จำต้องเรียก Uber ให้มารับจากหน้าบ้านไปยังสถานที่จัดงานแทน ทั้งที่ความจริงแล้วหากเดินก็ใช้เวลาเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น
หัวข้อ: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง EP20 Prom day✈ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: DaydreamIsland ที่ 26-01-2022 21:00:10

“ตึ้ง ตึ่ง” เสียงประตูลิฟท์เปิดออกในชั้นและบรรยากาศที่ไม่คุ้นตา แม้ตึกจะเป็นตึกเดียวกันแต่การจัดผังชั้นและทุกอย่างกลับดูแตกต่างราวกับคนละตึก ห้อง Ball room อยู่บนชั้นสูงสุดของตึกเรียนและ ถึงแม้ว่าห้องนี้จะไม่ค่อยได้ถูกใช้งานบ่อยนักแต่ก็ต้องยอมรับว่าคนที่ดูแลรักษาห้องนี้นั้น ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมเพราะตั้งแต่เปิดประตูลิฟท์ออกมา คนตัวเล็กก็ไม่ได้สัมผัสถึงกลิ่นอับเลยแม้แต่น้อย
ห้องโถงใหญ่สีขาวสไตล์กรีก โรมัน อันถูกรายล้อมไปด้วยเสาสีขาวมุกที่ถูกแกะสลักเป็นรูปเกลียวคลื่นเข้ากันได้ดีกับตัวและหัวเสาที่ถูกแกะสลักเป็นรูปละม้ายคล้ายกับทานตะวันที่กำลังเบ่งบานชูช่อ อีกทั้งคนจัดงานยังได้แอบเอาหลอดไฟหลอดเล็กๆ มาพันรอบเสาแต่ละต้นเมื่อมองดูผ่านๆ ราวกับคนตัวเล็กกำลังอยู่ในป่าสน ซึ่งมีเหล่าหิ่งห้อยตัวน้อยนับพันออกมาเที่ยวหาคู่ในคืนเดือนหนาว
 ตัวพื้นแม้จะดูด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าผ่านการใช้งานมานานหลายทศวรรษ แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังแวววาวและเงามันหยอกล้อสะท้อนแสงไฟนับพันที่ถูกประดับประดาในคืนนี้ได้เป็นอย่างดี และถึงแม้ตอนนี้ผิวหน้าของมันจะถูกบดบังด้วยเศษซากของกระดาษ Paper shoot หลากสีแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความมันวาวของมันลดน้อยถอยลงไปเลย
ธงสีรุ้งที่มักจะถูกใช้ตามงานเทศกาลรื่นเริง ถูกพันเชื่อมโยงระหว่างหัวเสาหนึ่งไปสู่หัวเสาหนึ่ง และถึงแม้ว่าบรรยากาศโดยรอบในขณะนี้จะดูมากด้วยสีสันอยู่สักหน่อย แต่ด้วยความที่สถานที่มันดูงดงามมากราวกับเดินอยู่ในสรวงสวรรค์ ดังนั้นต่อให้จะเอาถุงขยะมาวางซ้อนกันเป็นภูเขามันก็ไม่สามารถที่จะลดทอนความงามของสถานที่นี้ได้เลย มันงดงามมาก มากเสียจนหากผู้ร่วมงามคนใดคนหนึ่งจะร้องไห้ด้วยความปิติ ที่ได้มาเยือนสถานที่แห่งนี้ก็คงไม่แปลก ยิ่งคนตัวเล็กเดินเขยิบเข้าไปในตัวตึกก็ยิ่งต้องเบิกตากว้างขึ้นไปกว่าเดิมอีกเท่าตัว เพราะแม้ว่าลานตรงกลางจะขวักไขว้ไปด้วยผู้คนที่เบียดเสียดกันจนแทบจะสิงเข้าไปเป็นคนๆเดียวกันอยู่แล้ว แต่หากเรามองขึ้นไปด้านบนของห้องจะพบกับดวงดาวรายล้อมมากมาย เนื่องจากด้านบนของห้องเป็นกระจกใสที่สามารถมองออกไปด้านนอกได้อย่างชัดเจน และด้วยความที่ก่อนหน้านี้มีฝนตกลงมาอย่างหนัก เมื่อฝนหยุดลง ก้อนเมฆใหญ่ที่เคยรายล้อมเมืองก็ได้มลายหายไปพร้อมกับหยาดสายฝน ท้องฟ้าจึงเปิดให้คนข้างล่างได้เห็นความงดงามของธรรมชาติด้วยดาวสีทองนับร้อยพันที่กำลังค่อยๆเคลื่อนตัวเข้ามาโอบกอดราตรีนี้อย่างช้าๆ
“Oh see, who this handsome boy is” (โอโห ไอ้หล่อนี่มันเป็นใครกันเนี่ย) เดวิดยิ้มจนตาหยีก่อนที่จะเดินเข้ามาทักทายคนตัวเล็กพร้อมกับกอดคอ อย่างที่เพื่อนสนิททักกัน
“Ha ha ha, thank you David. How long have you been here?” (ฮ่า ฮ่า ฮ่า , ขอบใจเดวิด นายมาถึงนานหรือยัง?) คนตัวเล็กเอ่ยถามก่อนจะพยายามดันตัวออกมาจากออมกอดของเพื่อนตาขีดที่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะรัดเขาแน่นจนเกินไปเสียแล้ว
“Just a minute, have you eaten something yet?” (สักพักอะ นายกินอะไรมาหรือยัง?) เดวิดถามขึ้นก่อนที่คนธันจะส่ายหัวน้อยๆ แทนคำตอบ แต่ใช่ว่าเพื่อนตาขีดจะไปหาอะไรให้เขากินหรอกนะ เพราะพอถามจบประตูลิฟท์ก็ค่อยๆ เปิดออกและผู้มาใหม่ก็ค่อยๆ ทยอยเดินกันออกมา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีพี่ซีอิ๊วและรูเบนกำลังเยื้องย่างออกมาพร้อมๆกัน โดยต้องยอมรับว่าสองคนนี้หากเป็นคู่กันจริงๆ ก็ดูเหมาะสมกันราวกับต้นสนคริสมาสต์และดาวสีทองที่ถูกประดับตรงยอดเสา สาวหมวยวันนี้มาในชุดเดรสสีทองแดงปาดไหล่ตรงช่วงเอวมีริบบิ้นสีเดียวกับตัวเดรสผูกเป็นโบว์อยู่ด้านหลัง ใบหน้าถูกบรรจงแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอย่างประณีต และถึงแม้ว่าผิวของเธอจะเป็นผิวสีแทนแต่ก็อดที่จะยอมรับไม่ได้ว่าลิปสติกสีแดงที่เธอได้ทามามันก็ช่างเข้ากับชุด รูปหน้า และดวงตาของเธอจนอดคิดไม่ได้ว่าหากในงานมีประกวด Prom Queen แล้วละก็ตำแหน่งคงไม่พ้นพี่ซีอิ๊วเป็นแน่ ส่วนคนข้างเธอก็คงจะไม่พ้นได้ตำแหน่ง Prom King แต่ไม่ใช่เพราะเขาได้ควงสาวที่สวยที่สุดในงานมาหรอกนะ แต่เป็นเพราะเขาเองก็หล่อจนรูปปั้นเดวิดที่ยืนขนาบข้างอยู่ตรงลิฟท์ยังหมอง เสื้อเชิ๊ตสีขาวคอปกที่ดูเหมือนจะเล็กไปสักหน่อยสำหรับรูเบนเพราะช่วงหน้าอกนั้นท่าทางกระดุมท่าจะหลุดหายไปเพราะตาคนผมสีอัลมอลด์เลือกที่จะปลดอวดเนื้อเนินอกที่เป็นมัดกล้ามขาวอย่างชัดเจน ส่วนตัวกางเกงก็ดูคล้ายของคนตัวเล็กทั้งสีและทรงจะต่างกันอยู่หน่อยก็ตรงที่ช่วงขาของคนตัวสูงนั้นยาวกว่าคนตัวเล็กอยู่มากจนหากมายืนข้างๆกัน ที่ควรจะเป็นเหมือนกางเกงแฝดก็คงจะดูเหมือนกางเกงพ่อกับกางเกงลูกมากกว่า ทรงผมที่ปกติถูกปล่อยละหน้าละตาตอนนี้ถูกเซ็ตให้กลายเป็นทรงผมคอมม่าเหมือนกับไอดอลเกาหลี และถึงแม้หน้าตาของเขาจะไม่มีเอเชียผสมปนอยู่แม้แต่นิดเดียวแต่ทรงผมจากแดนกิมจินี้ก็เข้ากันได้ดีกับรูปหน้าของเขาจนออร่าที่มีอยู่มากอยู่แล้วกลับมากขึ้นไปอีกจนแทบจะกลบรัศมีของทุกคนในงานไปเลย
และถึงแม้คนตัวเล็กจะเจ็บอยู่ในใจ แต่เขาเองก็เป็นผู้ใหญ่แล้วซึ่งเขาก็ต้องยอมรับความจริงให้ได้ว่าตัวเขาที่เป็นแค่ลูกบอลประดับจะไปเทียบกับพี่ซีอิ๊วที่เป็นดาวบนยอดเสาได้อย่างไร ต้นคริสมาสต์ไม่มีลูกบอลประดับก็ยังเป็นต้นคริสมาสต์ได้อยู่ แต่ต้นคริสต์มาสหากไร้ซึ่งดาวบนยอดแล้วมันก็เป็นได้เพียงแค่ต้นสนไม่ใช่หรือ คนเรามันก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีและคู่ควรที่สุดให้ตัวเองสิ แต่ก่อนหน้าที่จะคิดไปมากกว่านั้นเดวิดที่ยืนข้างเขาเมื่อครู่ ก็กุลีกุจอเข้าไปกล่าวทักทายบุคคลที่มาใหม่ปล่อยให้คนตัวเล็กยืนเคว้งคว้างอยู่คนเดียว
คนผิวแทนได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจเบาๆ อย่างเอือมๆ ก่อนที่จะเดินไปยังซุ้มอาหารที่อยู่ไม่ไกลนักจาก ลานเต้นรำ แต่คนตัวเล็กก็ต้องทำหน้าเบ้ขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเขาค้นพบว่าอาหารที่อยู่ในงานไม่ใช่อาหารที่หรูหราหรืออาหารที่จะทำให้เขาผ่านค่ำคืนอันหิวโหยไปได้โดยง่าย อาหารที่อยู่ตรงหน้าออกจะเป็นอาหารตามงานปาร์ตี้ง่ายๆ เช่นพวกขนมแผ่นขนมกรุบกรอบ ของทอด แล้วก็อ่างน้ำพันซ์ และ น้ำอัดลมต่างๆ ที่ดูเหมือนว่าคนจัดงานจะเอาเวลาไปทุ่มเทกับสถานที่มากกว่าจะเตรียมการเรื่องอาหาร เพราะผู้คนนับร้อยที่อยู่ในงานตอนนี้ไม่มีทางเลยที่จะกินอาหารตรงหน้ากันได้อย่างพอเพียงและทั่วถึง
“I like your shirt” (เสื้อสวยดีนะ)
เสียงทุ้มๆอันคุ้นเคยดังขึ้นข้างหลังคนตัวเล็ก หากไม่มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า คนผิวแทนก็คงแทบจะวางอาหารและรีบกลับหลังหันไปคุยด้วยความรวดเร็วแล้ว แต่พอตอนนี้ ณ ขณะนี้ หัวใจมันช่างสับสนเหลือเกิน การเลือกที่จะหลบหน้ามันอาจจะดีกว่าการเผชิญหน้ากันตรงๆ
“Are you ok? Did I make something bad to you?” (นายเป็นอะไรไหม ฉันได้ทำอะไรไม่ดีกับนายหรือเปล่า) แต่ทว่าความเงียบก็คงไม่ใช่คำตอบที่ดีนัก เพราะว่ายิ่งคนตัวเล็กทำทีท่าไม่สนใจและเฉไฉด้วยการมองไปที่อาหารที ขนมที รูเบนก็ยิ่งเดินเข้ามาประชิดตัวธันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก่อนที่แขนยาวเรียวจะได้สัมผัสไปที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของคนผิวแทน เสียงจากบนเวทีก็ดังขึ้นมาเรียกความสนใจของคนในงานซะก่อนรวมถึง คนผิวขาวและผิวแทนด้วย
“Ok guys, before we going to have a mini concert from our school band I need some volunteer to sing a song for open this party night.” (เอาละครับก่อนที่เราจะไปรับชมมินิคอนเสิท จากวงโรงเรียนของเรา ผมอยากได้อาสาสมัครมาร้องเพลงเพื่อเป็นการเปิดงานในค่ำคืนนี้ของเราครับ) เสียงโห่ร้อง ผิวปาก ดังขึ้นทั่วงาน พร้อมกับดันเพื่อนตัวเองออกไปข้างหน้าเพื่อขึ้นไปร้องเพลงเกิดขึ้นทั่วทุกที่ในงาน แต่ก่อนที่จะเกิดความโกลาหนไปมากกว่านี้ ผู้คนตรงกลางลานก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกทีละนิดเพื่อให้ใครคนหนึ่งเดินไปหน้าเวทีได้อย่างสะดวก และเมื่อคนๆนั้นหลุดออกมาจากฝูงชนแสงไฟและแสงดาวก็เผยให้เห็นใบหน้านวลอย่างชัดเจน
“Oh Thank you, Thun let jump on here” (ขอบคุณมากธัน ขึ้นมาเลย) พิธีกรในงานพูดด้วยเสียงตื่นเต้น เพราะเขาไม่คิดว่าจะมีใครกล้าเสนอตัวขึ้นมาร้องเพลงในงานที่มีสายตาเป็นร้อยจับจ้องแบบนี้ แต่งานของเขากลับง่ายกว่าที่คิด เพราะพอเขาพูดยังไม่ทันจะจบดีกลับพบว่ามีอาสาสมัครเดินขึ้นมาข้างหน้าเวทีเพื่อให้เขาเรียกขึ้นมาแล้ว
คนตัวเล็กเพิ่งจะได้สติหลังจากโดนเรียกชื่อ ผ่านลำโพงเสียงดังไปทั่วงาน ถึงมือจะชา ขาสั่นก้าวไม่ค่อยจะออก เพราะด้วยความที่เขาร้องเพลงเพี้ยนเป็นทุนเดิมบวกกับอาการที่ไม่ค่อยจะชินกับการพูดหรือทำอะไรต่อหน้าที่สาธารณะยิ่งทำให้อาการสั่นโหมนั้นเป็นหนักจนแทบจะหายใจไม่ออกแล้วในตอนนี้ แต่ถึงแบบนั้น “The show ก็ต้อง must go on “ กันแล้วละ จะมาโบกไม้โบกมือว่าพูดเล่นหรืออะไรทำนองนั้นก็คงไม่ทันแล้ว จากการที่จะหาทางรอดจากหนุ่มตาฟ้า กลับกลายเป็นว่าเขาต้องกลับมาตกที่นั่งลำบากยิ่งกว่าเดิมซะอีก และถึงแม้ในหัวจะมีแต่คำว่า “ซวยแล้วอยู่เต็มไปหมด” แต่เสียงกลองที่เริ่มเคาะขึ้นจังหวะ เสียงกีตาร์ที่เริ่มขึ้น อินโท เพลง เขาเองจึงจำเป็นจะต้องจ่อไมค์ไว้ที่ปากแล้วเริ่มร้องเพลงที่เขารีเควสไปตอนไหนกับใครเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ เขาต้องรีบร้องมันออกมาให้ได้ก่อนที่จังหวะจะแซงหน้าเสียงร้องของเขาไป
“Rose girls in glass vases
Perfect bodies, perfect faces
They all belong in magazines
Those girls the boys are chasing
Winning all the games they're playing
They're always in a different league
Stretching toward the sky like I don't care
Wishing you could see me standing there
But I'm a sunflower, a little funny
If I was a rose, maybe you'd want me
If I could, I'd change overnight
And turn into something you'd like
But I'm a sunflower, a little funny
If I was a rose, maybe you'd pick me
But I know you don't have a clue
This sunflower's waiting for you
Waiting for you”
จบเพลงกันไปอย่างสะบักสะบ่อมทั้งคนร้องและคนเล่นดนตรี และถึงแม้เสียงเขาจะผิดคีย์เกือบทั้งหมด ส่วนวงดนตรีด้านหลังที่จะต้องทำงานหนักกว่าเดิมเป็นสองเท่าเดิมเพื่อทำให้เพลงมันรอดไปให้ได้ แต่เมื่อเสียงสุดท้ายถูกส่งผ่านออกมาจากคนผิวแทน เสียงตบมือก็ดังสนั่นไปทั่วทั้งห้อง แม้จะไม่รู้ว่าเสียงนี้เกิดขึ้นเพราะชอบเพลงหรือว่าเกิดขึ้นเพราะดีใจที่เพลงนี้จบลงได้สักทีก็เถอะนะ
“Thank you Thun that was amazing, Ok next I want to invite Ruben who is the most handsome and the best singer in Brisbane, Woohoo” (ขอบใจมากๆเลย ธัน เมื่อกี้มันช่างงดงามมากๆเลยนะ เอาละเพื่อเป็นการไม่ให้เสียเวลาผมอยากจะขอเชิญรูเบนไอ้หนุ่มที่หล่อที่สุดในงานและยังเป็นนักร้องที่ดีที่สุดในเมืองเราอีกต่างหาก ขึ้นมาเลยเพื่อนอยาก วู้!!!) คนตัวเล็กวางไมค์คืนบนขาตั้งก่อนที่จะรีบเดินลงจากเวทีอย่างรวดเร็ว ประการแรกที่คนตัวเล็กต้องรีบร้อนจนแทบจะกระโดดลงจากเวทีก็คือประโยคที่พิธีกรพูดแม้จะไม่ได้ดูมีจุดไหนที่เป็นการเยาะเย้ยหรือถากถางเขาเรื่องเสียงเลยแม้แต่น้อย
แต่ด้วยน้ำเสียงช่วงต้นที่เปล่งออกมานั้นมันช่างดูราบเรียบไร้ความรู้สึกราวกับกระดาษขาวที่ไม่มีการแต่งแต้มอะไรเลยกลับกันกับประโยคช่วงหลังที่ดูตื่นเต้นเร่งเร้าจนคนผิวแทนรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าฉาดใหญ่อยู่ยังไงก็ไม่รู้
ส่วนประการที่สองก็ไอ้คนที่กำลังจะขึ้นมาเนี่ยก็เป็นคนที่เขาหลบหน้ามาตลอดทั้งวันเลยไม่ใช่หรือไง แต่คนตัวเล็กก็ต้องหยุดชะงักเมื่อตอนจังหวะที่จะเดินสวนกับคนตัวสูงตรงบันไดเวที รูเบนก็ได้จับข้อมือเขาไว้แน่นจนจำเป็นต้องเดินตามคนผมสีอัลมอนด์กลับขึ้นมาบนเวทีอีกรอบแม้จะไม่ได้มาเพราะความเต็มใจนัก
เมื่อเดินมาถึงตรงกลางเวทีที่พิธีกรยืนอยู่ คนตัวสูงก็ไม่รีรอที่จะยื่นมือไปขอไมค์จากพิธีกรและดูเหมือนว่าพิธีกรจะรู้คิวมาก่อนล่วงหน้าแล้วดังนั้นเมื่อรูเบนมาถึงเขาจึงรีบยื่นไมค์ใส่มือให้คนตาฟ้าโดยทันที โดยไม่นึกจะเอ่ยถามถึงสาเหตุในการฉุดกระชากลากถูคนตัวเล็กขึ้นมาบนเวทีแม้แต่น้อย

“Thank you Mike, Ok guy I want to start our night with something different some guys might know my first song and some don’t but I believe not everyone will be understand because it isn’t English song” (ขอบใจมากไมค์ เอาละครับทุกคน คืนนี้ผมก็จะมาทำอะไรให้มันแตกต่างจากปกติอยู่สักหน่อยแล้วกันนะครับเพลงแรกของคืนนี้บางคนอาจจะรู้จักแต่บางคนอาจจะไม่ แต่ผมเชื่อเหลือเกินว่าหลายคนในที่นี้อาจจะฟังไม่ออกเพราะมันจะไม่ใช่เพลงภาษาอังกฤษนะครับ) พูดจบเขาก็ขยิบตาใส่คนข้างล่างเวทีและก็พยักหน้าให้สัญญาณวงดนตรีด้านหลัง ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นพี่เบส กับ พี่ดัมป์ที่ยืนรอจังหวะอยู่แล้ว ส่วนคนผิวแทนข้างๆก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ายืนก้มหน้าด้วยความตื่นตระหนกและเขิลอายเพราะไม่รู้เลยว่างานเลี้ยงต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“อยากขยับเข้าไปใกล้เธอ
อยากรู้จักตั้งแต่ได้เจอ
ใจฉันสั่นเมื่อได้ยินเสียงเธอ
ตั้งแต่วันแรกเจอ
ก็เผลอเอาไปคิดละเมอ
พอรู้จักก็อยากจะทักทาย
แต่พอไม่เจอแล้วใจก็วุ่นวาย
เธอหายไปก็ห่วงเธอแทบตาย
จะเป็นเช่นไร
ตรงนั้นมีใครดูแลอยู่หรือไม่ก็ไม่รู้
เกือบลืมหายใจเมื่อเธอเข้ามาใกล้ใกล้
แค่เธอยิ้มมา ก็สั่นไปทั้งหัวใจ
อยากจะบอกเธอให้ได้รับรู้ความในใจ
แต่บอกตอนนี้ไม่รู้จะเร็วไปหรือไม่
ก็ยังไม่รู้ว่าเธอคิดเช่นไร
ถ้าบอกคำนั้นแล้วเธอตอบมาว่าไม่ใช่
ถ้าเป็นแบบนี้เธอคงจะเดินหนีไป
ดีพอแล้วที่ได้มีเธออยู่ใกล้ใกล้
ได้ยินเสียงได้คอยดูแลอยู่ไม่ไกล
จะซ่อนความลับเอาไว้ในหัวใจ
มากเพียงไหนฉันจะไม่ยอมพูดไป
อยากจะบอกให้เธอได้รู้ใจ
ที่จริงก็อยากจะบอกคำนั้นไป
แต่กลัวเหลือเกินว่าจะต้องเสียใจ
หากเธอรับไม่ได้
เธอคงไม่ยอมให้อภัยกับคำนั้น
อึดอัดเหลือเกิน ต้องเก็บเอาไว้ข้างใน
อึดอัดหัวใจ แต่ก็กลัวว่าถ้าพูดไป
กลัวว่าจะต้องเสียใจ
แต่บอกตอนนี้ไม่รู้จะเร็วไปหรือไม่
ก็ยังไม่รู้ว่าเธอคิดเช่นไร
ถ้าบอกคำนั้นแล้วเธอตอบมาว่าไม่ใช่
ถ้าเป็นแบบนี้เธอคงจะเดินหนีไป
ดีพอแล้วที่ได้มีเธออยู่ใกล้ใกล้
ได้ยินเสียงได้คอยดูแลอยู่ไม่ไกล
จะซ่อนความลับเอาไว้ในหัวใจ
มากเพียงไหนฉันจะไม่ยอมพูดไป
มองกันให้ดีเธอก็คงรู้
ในความห่วงใยฉันมีอะไรซ่อนอยู่
ที่ยังไม่รู้คือเธอนั้นคิดอย่างไร
มองกันให้ดีเธอก็คงจะเห็น
ความจริงที่เป็นว่าฉันคิดอะไร
หนึ่งคำนั้นที่ยังไม่ได้พูดไป
จะเก็บเอาไว้ในวันที่จะเผยใจ
รอวันนั้น วันที่ฉันแน่ใจ
ว่าวันนี้เธอคิดว่าฉันนั่นใช่
และเธอพร้อมจะฟังความข้างใน
จะบอกว่ารักให้เธอได้ยินใกล้ใกล้
บอกว่ารักเธอได้ยินหรือไม่
ถ้ายังไม่ชัดฟังอีกครั้งก็ได้
ได้ยินไหมว่ารักเธอทั้งหัวใจ”
เสียงเฮจากข้างล่างดังสนั่นเมื่อเสียงนักร้องจบลง บางคนเฮเพราะเข้าใจว่ารูเบนร้องอะไรแต่บางคนก็แค่เฮเพราะเสียงและเสน่ห์ของคนตัวสูงที่มีออร่ามากขึ้นไปอีกเมื่อยามอยู่บนเวที ทั้งๆที่คนเหล่านั้นจะไม่เข้าใจว่าคนตาฟ้าร้องอะไรสักประโยคก็ตาม ส่วนคนผิวแทนตอนนี้
เหวอรับประทานไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องด้วยภาษาที่คนตัวสูงร้องมันเป็นภาษาไทย ร้อยเปอร์เซนต์ ซึ่งตอนแรกที่คนตัวสูงพูดก่อนร้องเขาก็เข้าใจว่ารูเบนจะร้องเพลงภาษาฝรั่งเศส ซึ่งประโยคแรกที่เขาร้องเขาก็ยังไม่เอะใจอะไร แต่พอเข้าท่อนที่สองที่สามหน้าของคนตัวเล็กก็เปลี่ยนสีชัดขึ้นเรื่อยๆ เพราะพอฟังดูดีๆ มันเป็นเพลงไทยนี่หว่า แล้วสำเนียงที่เขาร้องเนี่ยก็ไม่มีทางเลยที่จะฝึกกันได้ภายในเวลาวันสองวัน เพราะมันชัดมาก ส่วนมือที่คนตัวสูงบีบมาที่มือเขาเนี่ยมันก็ทำให้เขาเหงื่อแตกและสับสนว่าเขากำลังจะทำหรือจะกำลังจะเล่นอะไรอยู่กันแน่
แต่ทุกครั้งที่คนตัวเล็กเผลอเงยหน้าขึ้นไปสบตาคนตาฟ้า มันก็มีความรู้สึกประหลาดผุดขึ้นมาทุกครั้งมันเป็นความรู้สึกเหมือนว่าเวลาเราชอบใครและเขาคนนั้นก็ชอบเราเช่นกัน มันถูกส่งผ่านมาทั้งหมดจากสายตาและรอยยิ้ม แต่เขาจะมั่นใจได้ยังไงว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง ฉับพลันเหมือนความคิดของเขานั้นเขามีเสียงดังออกมาเพราะ รูเบนเหมือนจะสัมผัสอะไรได้บางอย่างจากแววตาของคนตัวเล็ก เขาก็เลยทำในสิ่งที่ธันไม่คาดฝันว่าจะได้และคนในห้องก็คาดฝันว่าจะเห็นเช่นกัน เพราะจังหวะที่ทุกคนกำลัง งง ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปเพราะหลังจากจบเพลงแรกก็เกิดความเงียบงันขึ้นทั่วห้องเป็นเวลาเกินกว่า 10 วินาทีแล้ว แต่เมื่อวินาทีที่ 11 ได้เริ่มต้นขึ้น เสียงกรี๊ดและเสียงเฮก็ดังขึ้นไปทั่วห้อง เนื่องด้วยว่ารูเบนได้ก้มลงจูบคนตัวเล็กต่อหน้าพยานนับร้อยคนในห้อง
ปากสวยได้รูปของคนตัวสูงเข้าประชิดเข้าไปเบียดชิดเข้ากับปากเล็กนุ่มนิ่มของคนผิวแทนแต่มันไม่ได้จบกันแค่ริมฝีปากชนกันแต่มันเริ่มที่จะแนบแน่นยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อลิ้นของคนตาฟ้าเริ่มที่จะซุกซนลามเลียไปทั่วขอบปากล่างของคนผิวแทนจนทำให้ธันจำยอมต้องอ้าปากออกเล็กน้อยเพราะทนต่อการเรียกร้องของอีกฝ่ายไม่ไหว ลิ้นร้อนค่อยๆสำรวจโพรงปากของคนตัวเล็กอย่างอ้อยอิ่งจากข้างหนึ่งสู่อีกข้างหนึ่งและจบลงด้วยการเกี้ยวกวัดลิ้นของคนตัวเล็กให้ออกมาจากจุดที่มันอยู่ ซึ่งคนผิวแทนก็ให้ความร่วมมือในการประสานจูบครั้งนี้เป็นอย่างดีจนน่าจะเผลอลืมไปว่าเขาไม่ได้อยู่กันแค่สองต่อสองในห้อง
รสจูบยุติลงด้วยแรงตีเล็กน้อยจากมือของคนตัวเล็กที่สัมผัสไปที่อกของคนตัวสูงเนื่องจากว่าเขาเริ่มจะขาดอาการหายใจแล้ว และถึงแม้รูเบนจะไม่อยากถอนปากออกจากอีกฝ่ายเพราะรสหวานที่เขาเพิ่งจะได้สำรวจนั้นมันช่างซาบซ่าและยั่วยวนจนเขายังอยากจะดูดกลืนต่ออีกสักหน่อย
แต่เขาก็ไม่อยากจะถูกคนตัวเล็กเมินเฉยหรือโกรธเขาเหมือนเมื่อเช้าอีก ดังนั้นเขาจึงต้องจำยอมถอนปากออกไปแต่ก็มิวายที่จะขบกัดริมฝีปากเล็กๆอย่างหมั่นเขี้ยวและพาทั้งตัวเขาและคนผิวแทนกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงตรงหน้าเสียที
เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีระลอกแรกเพิ่งจะหยุดไป แต่เสียงโห่ร้องจากผู้ชายและเสียงกรี๊ดร้องจากผู้หญิงก็ดังสนั่นขึ้นอีกครั้งด้วยความดังมากกว่าเดิม เพราะคนตาฟ้าตัดสินใจพูดผ่านไมค์ด้วยประโยคที่แสนเรียบง่ายและธรรมดาแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย คำๆนั้นที่เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันแน่วแน่แต่ก็แฝงไปด้วยความอ่อนโยนที่ส่งผ่านมาจากตาสีฟ้าก็คือคำว่า
“Will you be my boyfriend, Thun ?”
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง EP20 Prom day ✈
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 27-01-2022 12:52:48
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง EP20 Prom day ✈
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 21-02-2022 23:20:54
 :o8: :o8: :-[ :-[