ตอนที่ 21 : ครอบครัวของเบิ้ม
เบิ้มเห็นตำรวจแล้ว
เขาเพิ่งลงจากเฮลิคอปเตอร์เมื่อสามสิบนาทีก่อน แม้จะอยากมาให้เร็วที่สุด แต่บนภูเขาไม่มีที่จอดเฮลิคอปเตอร์ เบิ้มเลยต้องโชว์ฝีมือเดอะฟาสขับรถซิ่งมาที่จุดหมาย ก่อนจะทิ้งรถไว้กลางทางแล้วเดินเข้าป่า ด้วยการเคลื่อนไหวดังเดอะแฟลช ไม่นานก็ทันพวกตำรวจที่จับกลุ่มลงพื้นที่ตามหากันเกือบร้อยชีวิต
เด็กชายกิจภัทรคงไม่รู้ว่ากำลังดังใหญ่แล้ว ลูกชายเจ้าของบริษัทเอ็มเอชเอ็น เอนเตอร์เทนเมนต์ถูกจับระหว่างไปเข้าค่ายทำกิจกรรมช่วยเหลือสังคม เป็นประเด็นข่าวร้อนๆ ที่เรียกให้คนทั้งประเทศเอาใจช่วยด้วยคิดว่าเด็กชายช่างแสนดี มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อต่อเพื่อนมนุษย์ เด็กที่บุญรักษาอย่างนี้ไม่ควรต้องเผชิญกับคนร้ายเลย ประธานกับคุณหญิงเองหลังทราบเรื่องก็รีบเดินทางมาให้ไวที่สุด โชคดีที่รายหลังตั้งใจจะกลับมาเยี่ยมลูกชายพอดี ลงเครื่องจากอเมริกาก็เดินทางมาที่สมุทรปราการต่อได้เลย
เสียงคุยของพวกตำรวจที่กำลังกระจายกำลังตามหาทำให้เบิ้มเลือกเดินเลี่ยงไปอีกทาง ทั้งที่จะเข้าไปขอความร่วมมือก็ได้ แต่เขาเชื่อฟังคมสัน อีกอย่างตำรวจในพื้นที่ไม่ค่อยเจอเหตุการณ์คนร้ายจับตัวประกันนั้นไม่รู้จะรับมือได้ดีแค่ไหน หากยกขโยงไปเยอะๆ แล้วคนร้ายคลั่งจนเผลอฆ่าเด็กจะทำยังไง เบิ้มไม่กล้าเสี่ยง
ก็เพิ่งจะคลั่งฆ่าเพื่อนไปนี่นะ...คนที่ฉุกใจเรื่องนี้คนแรกคือคมสัน ทันทีที่รู้ว่าคุณหนูโดนจับเป็นตัวประกัน คมสันก็สอบถามตำรวจในพื้นที่ทันทีว่ามีคดีเกิดขึ้นเมื่อเร็ววันนี้หรือไม่ พอรู้ว่ามีการฆ่าคนตายคนร้ายหลบหนีโดยไม่รู้ว่าเป็นใคร คมสันก็แทบจะฟันธงแล้วว่าเป็นคนเดียวกัน พอเอารูปพรรณสันฐานไปถามคุณครูก็ได้คำตอบว่าใช่ ทำให้สองคดีเชื่อมโยงกันอย่างรวดเร็ว เพราะตอนแรกนักข่าวพยายามเล่นประเด็นคนร้ายจงใจขึ้นรถโรงเรียนนานาชาติชื่อดังเพื่อจับเด็กเวรเป็นตัวประกันหวังเรียกค่าไถ่โดยเฉพาะ
ถ้าเลือกได้ ทั้งเบิ้มกับคมสันอยากให้เป็นการเรียกค่าไถ่ยังดีกว่าให้เด็กเวรต้องอยู่ในเงื้อมมือของฆาตกรที่ไม่รู้จะสติแตกเมื่อไหร่
‘เบิ้ม ได้ยินมั้ย’“ได้ยิน” เบิ้มจับหูฟังไร้สายพลางขมวดคิ้ว ในป่าไม่ค่อยมีสัญญาณ เสียงเลยขาดๆ หายๆ
‘เจอคุณหนูรึยัง’“ยัง สงสัยเห็นแสงไฟฉายตำรวจเลยวิ่งหนี ตอนนี้ห่างไปไกลกว่าเดิมมาก”
คมสันสบถ หายากสุดๆ สำหรับคนเนี้ยบเป๊ะอย่างคมสันที่จะเผลอหลุดหยาบ
‘ฉันถึงไม่อยากแจ้งตำรวจ ทำไก่ตื่นหมดแล้ว’เบิ้มเลือกที่จะเงียบเพราะมีจุดยืนเป็นกลางอีกครั้ง แม้การเอาไฟฉายส่องหาจะโจ่งแจ้งเหมือนประกาศให้คนร้ายไหวตัวว่ากำลังจะมาจับแล้วนะเว้ย แต่จะหักใจให้ตำรวจเดินดุ่มๆ เข้าป่าโดยไม่มีแสงนำทางก็อันตรายเกินไป
ใครเลยจะเหมือนเบิ้ม แม้ฟ้าเริ่มมืดก็ไม่หวั่น มองเห็นชัดเจนและเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว ขนาดเดินผ่านหลังตำรวจนายหนึ่งไปในระยะประชิด คนนั้นยังไม่รู้ตัวเลย
“ไม่ต้องห่วง คนร้ายวิ่งไปคนละทางกับแสงไฟ ฉันจะพยายามวิ่งไปดัก”
‘จำไว้นะเบิ้ม ความปลอดภัยของคุณหนูมาก่อน’“ครับ”
เบิ้มวิ่งพลางคิดกังวลไม่หยุดว่าเด็กเวรจะเป็นยังไงบ้าง เจ้าเด็กคนนั้นจะทนลำบากได้มั้ยเนี่ย ปกติต้องนอนบนเตียงปูฟูกนุ่มอย่างดี ขึ้นเครื่องบินก็ต้องเป็นเฟิร์สคลาส อาหารไม่อร่อยก็ไม่ยอมกิน เอาแต่ใจขนาดนั้นโดนลากเข้าป่าไม่รู้จะเป็นลมหรือยัง
ต่อให้คมสันไม่บอก เบิ้มก็ห่วงเด็กเวรแทบบ้าเหมือนกัน!
ด้วยฝีเท้าของเบิ้ม ไม่นานก็ตามสัญญาณสีแดงบนหน้าจอทัน ทั้งนี้ต้องยกความดีความชอบให้ความอ่อนแอของเด็กเวร เพราะเริ่มประท้วงคนร้ายจนโดนทิ้งแหมะให้นั่งพิงต้นไม้อยู่คนเดียว
“เจอคุณหนูแล้ว” เบิ้มรีบรายงานทันที
‘เขาเป็นยังไงบ้าง’“อืม...ไม่ค่อยดี” เบิ้มตอบตามจริงขณะรีบวิ่งหาเด็กเวรที่นั่งคอพับกับต้นไม้ ไม่รู้ว่าสลบหรือเหนื่อยกันแน่ สภาพสะบักสะบอมชนิดเขาเห็นยังปวดใจ ดูเหมือนที่คนร้ายเลือกทิ้งเด็กเวรไว้เพราะระหว่างวิ่งหนีตำรวจเด็กชายทำรองเท้าหลุด ฝ่าเท้าเลยโดนกิ่งไม้ตำจนทิ้งรอยเลือดเป็นทางยาว จากตัวประกันกลายเป็นตัวถ่วง
“เบิ้ม!”
โชคดีที่เด็กเวรไม่ได้สลบ แค่หลับตาพักเหนื่อยเท่านั้น พอเห็นร่างสูงใหญ่ของเบิ้มปรากฏกายก็ไม่ถามสักคำว่ามายังไง แต่ชี้นิ้วไปที่แผลบนเท้า ทำหน้าปวดแสบปวดร้อนทั้งที่โดนตำแค่รูเดียว
แต่ก็เป็นรูเดียวแสนสาหัสสำหรับเด็กชายกิจภัทรที่โดนเลี้ยงอย่างถนอมชนิดยุงจ้องจะกัดยังทำไม่ได้ เบิ้มยกเท้าเด็กชายขึ้นดูขณะเขี่ยเศษกิ่งไม้ที่ยังคาในแผลออก ก่อนจะฉีกเสื้อตัวเองเพื่อพันห้ามเลือด
“ลุกไหวมั้ยครับ”
“ไม่ไหว ไม่อยากเดินแล้ว” เด็กชายบ่นกระปอดกระแปด เบิ้มเลยหันหลังพลางย่อตัวเพื่อให้อีกฝ่ายปีนขึ้นหลัง อืม...สุขภาพจิตยังดีเยี่ยมนะเนี่ย โดนจับเป็นตัวประกันแต่ไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าควรจะขอบคุณที่คมสันเลี้ยงแบบหลุดโลกดี หรือขอบคุณที่สมองเด็กเวรมีปัญหาดี
‘รีบพาเขากลับมา ฉันรออยู่ที่รถตำรวจกับหน่วยพยาบาล’“ได้” เบิ้มตอบคมสันขณะเด็กเวรปีนขึ้นหลังสำเร็จ แต่ไม่ทันจะลุกขึ้น เสียงยิงปืนก็กระทบโสตประสาทของเบิ้ม เป้าหมายของลูกกระสุนนั้นคือเด็กที่อยู่ข้างหลัง ไอ้เบิ้มรีบพลิกตัวทันที ไม่ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ให้เด็กชายกิจภัทรเจ็บตัวมากไปกว่าโดนกิ่งไม้ตำไม่ได้!
ลูกกระสุนเฉือนหางคิ้วไอ้เบิ้มพอดิบพอดีระหว่างเบี่ยงตัวหลบ เรียกเลือดเป็นทางยาวจนไหลอาบหน้าซีกขวา นับเป็นการเคลื่อนไหวเหนือมนุษย์ที่ทำให้คนร้ายถึงกับชะงัก เปิดโอกาสให้เบิ้มเตะเท้าปัดปืนในมือคนร้ายให้กระเด็นไกล
ก่อนไอ้เบิ้มจะเคลื่อนไหวดังเดอะแฟลช คว้าปืนนั้นมาจ่อคนร้ายแทน
“ยะ...อย่ายิงนะ!” คนร้ายแทบจะลงไปทรุดกับพื้นด้วยความหวาดกลัว เบิ้มคิดว่าที่คนร้ายย้อนกลับมา น่าจะเพราะรู้ตัวว่าหนีไม่พ้น ในเมื่อตอนนี้ตำรวจเริ่มบีบวงแคบ ในเมื่อหนีด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ เลยกะจะเอาเด็กเวรเป็นตัวประกันอีกครั้ง พอเห็นเงาดำๆ ของเบิ้มก็ตกใจจัด เผลอลั่นไกยิงเปรี้ยงเข้าให้
แต่ภาพต่อจากนั้นดันพิสดารล้ำโลกเกินไป ไอ้เบิ้มพลิกตัวหลบระหว่างกำลังอยู่ในท่าคุกเข่าให้เด็กเวรปีนขึ้นหลัง เตะเท้าแม่นยำทั้งที่หน้าซีกขวาอาบเลือด แล้วยังใช้อีกมือเอื้อมคว้าปืนมายกจ่ออีกต่างหาก ความพลิกผันที่เกิดขึ้นทำเอาคนร้ายอ้าปากค้าง คิดว่าหลงเข้ามาในหนังบู๊สักเรื่อง
หารู้ไม่ว่าไอ้เบิ้มก็ใจหายใจคว่ำน่าดู
“เบิ้ม!”
“ผมไม่เป็นไรครับ” เบิ้มเอ่ยปลอบเด็กเวรที่โอบแขนรอบคอไอ้เบิ้มอย่างเป็นห่วง แถมยังเอาเศษผ้ามากดหัวคิ้วห้ามเลือดให้ ความห่วงใยนี้ทำเขาซาบซึ้งถึงก้นลึกของหัวใจ ถ้าไม่ติดว่าเด็กเวรเอาผ้าที่เขาเพิ่งพันฝ่าเท้าอีกฝ่ายมาใช้น่ะนะ...
การอุ้มเด็กชายใช้มือเดียวก็เพียงพอสำหรับไอ้เบิ้ม แต่จะให้ใช้อีกมือยิงปืนใส่คนร้ายก็เกรงจะเป็นภาพจำที่ไม่ดีของเด็กเวร เบิ้มเลยตัดสินใจ
เขวี้ยง!
แรงขว้างไม่ธรรมดาจากเบิ้มเดอะฮัคสร้างเสียงของแข็งกระแทกกะโหลกดังสนั่นหวั่นไหว คนร้ายล้มโครมทันที พอดีกับแสงไฟฉายเริ่มสาดส่อง
“ทุกคนยกมือขึ้น นี่ตำรวจ!”
สมเป็นนิยายไทย ของแท้ ตำรวจต้องมาช้า
“ตามมาถูกได้ยังไงเหรอครับ” เบิ้มถามขณะใช้สองมือโอบเด็กเวรที่ซุกหน้ากับหลังนิ่งงันผิดวิสัย ทั้งที่ชอบเป็นจุดเด่นจุดสนใจ แต่ถ้าถูกตำรวจหลายสิบคนรุมมองคงไม่นับสินะ
“ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีน่ะ”
เบิ้มเพิ่งรู้ตัวตอนนี้เองว่าตอนพลิกตัวหลบกระสุน เขาเผลอทำหูฟังตก พอคมสันติดต่อไม่ได้เลยแจ้งตำรวจให้ตามสมทบ
กองหนุนที่มาจากคนรักทำให้เบิ้มวางใจ ปล่อยคนร้ายเป็นหน้าที่ของตำรวจ ก่อนจะแบกเด็กเวรเดินออกจากป่า ภาพที่ปรากฏทำเอาแทบจะอ้าปากค้าง เพราะทั้งสำนักข่าว ทั้งรถตำรวจ รถพยาบาล จอดเต็มไปหมด แต่ภาพที่ทำให้เด็กเวรซึ่งนอนซบนิ่งบนหลังเขาขยับตัว ก็คือผู้ใหญ่สามคนยืนรออยู่หลังเส้นกั้นของตำรวจ
คนแรกคือประธาน คนสองคือคุณหญิง คนสามคือคมสัน
เด็กเวรดิ้นขลุกขลักจนเบิ้มต้องรีบย่อตัวเพื่อปล่อยให้เดินเอง วินาทีนั้น คนที่ไม่กลัวอะไร ปากดีเก่งกล้าแถมยังเจ็บเท้าจนเดินกะเผลกก็วิ่งโร่เข้าหา...
“สัน ฮือ คมสันนน”
...คมสัน
เด็กเวรร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกลั้นมานาน เบิ้มสงสัยอยู่แล้วเชียวว่ามีหรือจะไม่กลัวเลยถ้าต้องโดนฉุดกระชากลากเข้าป่า ผลคือกลัว กลัวมาก แต่ก็พยายามเชิดหน้าสู้เข้าไว้ นี่คงเป็นความเข้มแข็งพ่วงทิฐิแบบแปลกๆ ของเด็กชายกิจภัทร และคนที่จะยอมเผยความอ่อนแอออกมานั้น...
ก็มีแค่คมสัน
หากคมสันไม่ยอมแสดงความอ่อนแอให้เด็กเวรเห็นเพื่อหวังเป็นหลักยึดที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว เด็กเวรก็ไม่ยอมให้ใครเห็นความอ่อนแอนี้นอกจากคมสันเท่านั้นเพื่อเกาะเกี่ยวหลักยึดนั้นเบิ้มเดินเข้ามาใกล้ภาพความประทับใจพลางใช้รูปร่างสูงใหญ่ของตัวเองบังนักข่าว เพราะนี่เป็นช่วงเวลาแสนซาบซึ้งของพี่เลี้ยงและคุณหนูสุดที่รัก เห็นแล้วก็อดเกาแก้มแก้เก้อไม่ได้ นึกว่าเด็กเวรเปิดใจแล้วเชียว แต่ก็ยังเทียบแม้แต่ครึ่งหนึ่งของพี่เลี้ยงไม่ได้อยู่ดีสินะ
แต่เอาเถอะ เขาก็ไม่คิดจะสู้กับคมสันอยู่แล้ว
เทียบกันแล้ว ประธานกับคุณหญิงที่อ้าแขนรอเก้อยังน่าเห็นใจกว่าอีก
เพราะไม่อยากเป็นเป้าสายตาไปมากกว่านี้ คมสันที่โดนเด็กเกาะเป็นลูกลิงเลยจำต้องอุ้มเด็กอายุสิบสี่ขึ้นมา ทุลักทุเลน่าดูจนเบิ้มต้องเข้าไปช่วยประคอง ซ้อนมือรองรับน้ำหนักบางส่วนให้
คมสันพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงขอบคุณ ยามก้มหน้าทอดมองเด็กเวรที่ยังร้องไห้ไม่หยุดสองมือเกาะไม่ปล่อย
สายตานั้นแฝงความอ่อนโยนรักใคร่ยิ่งกว่ายอดดวงใจ
สื่อความหมายว่าไม่มีวันทิ้งเด็กคนนี้เด็ดขาด
“ตอนเด็กๆ ฉันแค่อยากได้รับคำชมเท่านั้น”
กลับมาถึงคฤหาสน์ชาติบดินทร์ คมสันก็พาคุณหนูที่ยังเกาะหนึบไม่ห่างไปอาบน้ำทำแผล ก่อนจะมาปูฟูกนอนอยู่ข้างๆ เพราะไม่ว่ายังไงเด็กชายกิจภัทรที่ตอนนี้หลับไปด้วยความอ่อนเพลียก็ไม่ยอมนอนคนเดียวเด็ดขาด
ไอ้เบิ้มเลยต้องมาฟูกข้างๆ คมสันอีกที ให้นอนเหงาคนเดียวเขาก็ไม่เอาเหมือนกัน
“เพราะประธานกับคุณหญิงเลี้ยงเด็กไม่เป็น ฉันเลยลองอาสาโดยศึกษาจากพี่เลี้ยง ก็แค่อยากได้รับคำชมจากผู้ใหญ่ที่เป็นเจ้านายของแม่และพ่อน่ะ” คมสันเอ่ยขณะตะแคงข้างเพื่อกระซิบคุยเสียงเบากับเบิ้ม มือเรียวสวยลูบรอยแผลตรงหางคิ้วอย่างอ่อนโยนแกมห่วงใย ทั้งที่โดนลูกกระสุนเฉือน แต่กลับเป็นแค่รอยบาก เย็บไม่กี่เข็มก็หาย แถมไม่มีไข้ ร่างกายแข็งแรงถึกทนสุดขีด “ตอนทั้งคู่เริ่มหมดใจ แอบคบชู้ควงสนุกๆ อยู่ข้างนอกแบบไม่จริงจัง ฉันก็อยากจะถอนตัวอยู่หรอก ใครจะอยากแทรกกลางระหว่างครอบครัวคนอื่นกันล่ะ จริงมั้ย”
เบิ้มพยักหน้า
“ตอนนั้นฉันไม่ได้คิดอะไรเลย แค่อยากรู้ว่าหากวันใดวันหนึ่งประธานกับคุณหญิงหย่าขึ้นมาจริงๆ คุณหนูจะเลือกอยู่กับใคร ก็เลยตะล่อมถามดูจะได้วางตัวหลังจากนั้นถูก”
พลันคมสันเงียบไปอึดใจหนึ่ง
“คุณหนูตอบว่า...”
‘ก็อยู่กับพี่สันไงครับ’เพราะตอนนั้นคมสันไม่ถึงกับวางตัวเป็นพี่เลี้ยงเต็มตัว พวกผู้ใหญ่เลยให้เด็กชายกิจภัทรเรียกคมสันว่าพี่ พอนึกดูแล้ว...ก็คิดถึงเหมือนกันนะ
“คุณหนูเลือกอยู่กับฉัน แบบไม่ลังเล ตอนนั้นเขาเพิ่งสามขวบ เดินมาพูดกับฉันเสียงดังฉะฉาน...”
คมสันเงียบลงไปอีกครั้ง นึกถึงภาพของเด็กชายกิจภัทรที่มองมาตาใสแป๋วอย่างไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวเลยว่าครอบครัวกำลังระหองระแหง และคมสันก็กำลังคิดจะเลือกฝ่าย
ใครเลยจะรู้ว่าการกระทำที่ไม่เห็นว่าสำคัญสำหรับคมสันจะมีค่ามีความหมายกับเด็กคนหนึ่งมากมายแค่ไหน
“ตั้งแต่นั้น ฉันก็เลยอยู่ข้างคุณหนู” คมสันเอ่ยเสียงเรียบ “พยายามประคับประคองครอบครัวของเขาสุดความสามารถ จนประวิงเวลาออกไปได้อีกสักพัก แต่สุดท้ายประธานกับคุณหญิงก็ทนอยู่ด้วยกันไม่ได้อยู่ดี...”
“นายทำดีที่สุดแล้วสัน” เบิ้มกุมมือคนรักอย่างให้กำลังใจ
“คุณหนูเป็นคนเข้มแข็งมาก” คมสันเล่าต่อ “ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้ฉันจะให้เขาค่อยๆ ปรับตัว แต่ใช่ว่าจะไม่รู้สึก ตอนที่ประธานคุณหญิงเริ่มเก็บของออกจากบ้าน คุณหนูไม่ร้องไห้โวยวายเลย เขาทำเพียงจับมือฉัน แล้วถามว่าจะไม่ไปไหนใช่มั้ย”
คมสันกัดปากเล็กน้อย
“คุณหนูไม่เคยร้องไห้ ทั้งชีวิต ฉันเห็นเขาร้องไห้แค่สองครั้งเท่านั้น”
เบิ้มไม่ตอบอะไร เพราะรู้ว่าคมสันกำลังจมในความทรงจำที่ตราตรึงในใจ
“ครั้งแรก ตอนฉันโดนรถชน นอนห้องไอซียูสองคืน ลืมตามาอีกทีก็เห็นคุณหนูเกาะข้างเตียงไม่ปล่อย ร้องไห้สะอึกสะอื้น”
‘สันอย่าตายนะ ฮืออออ’คมสันจำแม่น ตอนนั้นทั้งที่หมอบอกว่าเขาพ้นขีดอันตรายแล้ว ประธานกับคุณหญิงพยายามกล่อมให้คุณหนูกลับบ้าน แต่เด็กชายกิจภัทรไม่ยอมกลับ มองพ่อแม่เหมือนคนแปลกหน้า แล้วนั่งเฝ้าคมสันทุกวันชนิดโรงเรียนก็ไม่ยอมไป ไม่ยิ้มไม่หัวเราะ นั่งอยู่อย่างนั้นจนคมสันออกจากโรงพยาบาลถึงค่อยกลับมาเป็นเด็กมั่นหน้าเชิดคางกอดอกอีกครั้ง
“ครั้งที่สองก็คือวันนี้...”
“คุณหนูเข็มแข็งมากจริงๆ เขาไม่กลัวคนร้ายเลย” เบิ้มยืนยัน
“เพราะเขากลัวจะไม่ได้เจอฉันอีก” คมสันเอ่ยต่อ เข้าใจความรู้สึกคุณหนูสุดที่รักไม่ยากนัก “เขา...เห็นฉันเป็นคนสำคัญมาก”
แววตาของจอมมารแฝงน้ำใสคลอหน่วย
“บอกมาสิเบิ้ม ฉันจะทิ้งเด็กคนนี้ลงได้ยังไง”
เบิ้มไม่มีคำตอบ เพราะไม่เคยนึกอยากให้คมสันทิ้งเด็กเวร
...ที่อาจจะไม่ได้เวรมากมายอย่างที่เคยคิด
ตอนนี้เขาเข้าใจมากขึ้นแล้วว่าทำไมคมสันถึงพูดคำว่ารักออกมาไม่ได้
เพราะคำนั้นสำคัญกับใครอีกคนหนึ่งมากกว่า หากคุณหนูคือโลกทั้งใบของคมสัน คมสันก็คงเป็นหลักยึดเพียงหนึ่งเดียวแสนสำคัญที่ทำให้เชิดหน้ามั่นใจได้ขนาดนี้
ขอแค่มีคมสันอยู่เคียงข้าง ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร เพราะจะมีคนให้ท้าย ปกป้องคุ้มครอง มอบความรักให้เป็นอันดับหนึ่งโดยไม่ต้องหวั่นกลัว
“นายเลยต้องหาคนรักที่ยอมแต่งเข้ามาสินะ”
ไม่เพียงยอมแต่งเข้า ใช้ชีวิตด้วยกันกับเด็กเวร ยังต้องยอมรับถึงการเป็นอันดับสองในใจคมสันด้วยอีกกระทง
“ใช่”
เบิ้มเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะพูดคำที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนออกมา
“งั้นมาจัดพิธีกันเถอะ”
คิดจะเป็นพ่อบ้านใจกล้า ขนาดคำว่ารักยังอดได้ยิน งั้นก็ต้องหาหลักฐานยืนยันความสัมพันธ์ สร้างความเชื่อมั่นให้คมสันว่านอกจากอีกฝ่ายจะเกาะติดกับเด็กเวรตลอดไปแล้ว เขาเองไม่มีวันทอดทิ้งทั้งคู่เหมือนกัน!
-----------
ตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายของจอมมารแล้วนะคะ ก่อนอื่นต้องขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาถึงจุดนี้ เพราะคมสัน เป็นตัวละครที่ตอนแรกเราไม่ได้คิดจะเขียนแยกเรื่องออกมา ด้วยความลึกลับของจอมมาร ที่แก้ปัญหาให้พี่เบิ้มมานำแทน และด้วยต้องย้อนอดีตมาเป็นสมัยเพิ่งเจอกัน แต่พอได้ลองเขียนแล้ว เราไม่เสียใจเลยค่ะ แถมสนุกมากๆ ด้วย
แล้วมาดูฉากสัญญาใจน่ารักๆ ของคู่นี้กันนะคะ แม้จะปิดเป็นความลับ แต่ความรักมีหลักฐานสัญญาเป็นประกัน <3
#จอมมารคมสัน
เพจนักเขียนที่ลุ้นระทึกจนหยดสุดท้าย
Twitter : MajaYnaja