ตอนที่ 2 : ความลำบากของเบิ้ม
“เบิ้ม...นั่นเบิ้มใช่มั้ย!”
เพราะเป็นการลาออกกะทันหัน เพื่อนร่วมแผนกบางคนเลยยังไม่รู้ว่าเบิ้มเปลี่ยนตำแหน่งแล้ว
หลังไปส่งไอ้เด็กเวรเบิ้มก็เป็นอิสระ ความจริงเขาควรจะประกบติดคมสัน เสริมสร้างความสัมพันธ์ให้ยิ่งแนบแน่นคุ้นเคย แต่ยังมีเวลาอีกมาก และเบิ้มเองก็กลัวว่าเพื่อนจะตกใจ เลยขอตัวกับคมสันชั่วครู่เพื่อแวะมาที่แผนกสตั้นท์แมน บอกกล่าวกันสักนิดว่ามีแฟนแล้ว เอ๊ย! หมายถึง...มีงานใหม่แล้ว
คมสันพยักหน้าอย่างเข้าใจ ไม่วายส่งของอย่างหนึ่งให้
นั่นคือเกลือแร่
แม้จะคบกัน แต่การกระทำยังสม่ำเสมอชวนให้อุ่นวาบไปทั้งใจ เบิ้มดื่มเกลือแร่แล้วอดคิดไม่ได้ว่ารสชาติช่างหวานล้ำกว่าปกติ ก่อนจะเดินหน้าบานไปหาเพื่อนสนิทที่ต้องขยี้ตาแล้วขยี้ตาอีกกับการปรากฏตัวที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้า
“ชุดสูทอะไรวะเนี่ย แล้วใส่แว่นดำอีก เดินอยู่ในบริษัทจะใส่แว่นดำทำเพื่อ? ทำอย่างกับคนตาบอด หรือว่างานสตั้นท์วันนี้จะเป็นยอดฝีมือตาบอดวะ”
“แต่หัวหน้าบอกว่าเบิ้มลาออกแล้วนี่หว่า”
“จดหมายลาออกเพิ่งถึงโต๊ะหัวหน้าเมื่อเช้า ยังไม่ทันเซ็นเลย”
เบิ้มกระแอมไอเรียกความสนใจจากกลุ่มเพื่อนที่เริ่มจะคุยกันเองแต่ไม่ยักจะปลาบปลื้มชื่นชมกับชุดใหม่มาดใหม่กันบ้างเลย เพราะเมื่อวานเซ็นสัญญากับคมสันหลังส่งลูกชายเจ้านายเข้านอน จดหมายลาออกที่คุณผู้ช่วยเลขารับปากว่าจะจัดการให้เลยเพิ่งส่งตรงถึงหัวหน้าแผนกตอนเช้าตรู่ ป่านนี้คงงงเป็นไก่ตาแตก
“มาพอดีเลยเบิ้ม หัวหน้ากำลังจะโทรเรียกพอดี” เพื่อนอีกคนหนึ่งตบบ่าเบาๆ อย่างให้กำลังใจ “ถ้ามีปัญหาอะไรก็ปรึกษาพวกเราได้นะเว้ย อย่าเดินทางผิด เข้ากับพวกเงินกู้นอกระบบ...”
ไอ้เบิ้มกลุ้มใจเหลือเกิน เพื่อนคนหนึ่งก็หาว่าเหมือนคนตาบอด อีกคนก็บอกว่าเหมือนพวกทวงหนี้นอกระบบ
“อย่าคิดมาก อย่าฟุ้งซ่าน” เบิ้มเลยได้แต่ตบไหล่เพื่อนกลับแปะๆ และอีกหลายแปะกับกลุ่มคนที่เริ่มมุงอย่างสงสัยกับการเปลี่ยนแปลงกะทันหันครั้งนี้ “ฉันได้งานใหม่เป็นบอดี้การ์ดน่ะ”
พูดจบเบิ้มจับชุดสูทด้วยมาดเคร่งขรึม ตั้งใจอวดว่าชุดนี้ราคาแพงขนาดไหน เข็มกลัดที่ติดตรงเนกไทก็สวยหรูดูดี เรียกเสียงร้องว้าวจากคนรอบข้างจนยิ่งฮึกเหิม
คมสันเป็นคนสวมให้เลยนะเนี่ย ดูสิทุกคน จงมองมาทางนี้!เมื่อได้การตอบรับที่พอใจ เบิ้มก็ตีหน้าเข้มเดินเข้าไปหาหัวหน้าที่กำลังกุมขมับอยู่พอดี
“ชุดเข้ากับนายนะ” หัวหน้ายิ้มแห้งให้ ท่าทางแปลกๆ ชอบกล “ฉันได้จดหมายลาออกแล้ว มีระบุด้วยว่ามาจากท่านประธานโดยตรงที่ต้องการโยกย้ายคนไปประกบผู้ช่วยเลขา ฉะนั้นคิวงานที่ตกลงกันไว้ถือเป็นโมฆะทั้งหมด นายไม่ต้องกังวลเรื่องสัญญาจ้างที่ค้างไว้ ฉันจะหาคนมาแทนที่เอง”
“ขอบคุณครับ”
“ยังไงก็...” หัวหน้าเกาแก้มอย่างเก้อกระดาก “เอ่อ...เอาเป็นว่ายินดีด้วยแล้วกัน สมหวังสักทีนะ สามเดือนมานี้ทุกคนก็ลุ้นกันแทบแย่ว่าสุดท้ายจะลงเอยยังไง มาลงเอยแบบนี้ก็ถือว่าแฮปปี้เอนดิ้ง ลูกน้องคนเก่งได้คนรักแถมเจริญก้าวหน้าดี คนเป็นหัวหน้าก็ต้องแสดงความยินดีด้วย!”
แล้วเบิ้มก็เข้าใจกับท่าทางแปลกๆ นั้น...เพราะจดหมายระบุว่าเบิ้มถูกโยกไปประกบผู้ช่วยเลขาท่านประธาน...เหล่าคนในแผนกที่รู้เรื่องการจีบผ่านเกลือแร่ถึงขั้นท้าพนันกันเลยประติดประต่อการลาออกกะทันหันนี้ไปทางผลประโยชน์ส่วนตัว
ซึ่ง
...คุณเข้าใจถูกแล้วครับหัวหน้าเห็นเบิ้มยืนนิ่งอย่างไม่สะทกสะท้าน หัวหน้าที่ค่อนข้างกระอักกระอ่วนกับลูกน้องฝีมือดีที่ดันติดผู้ชายจนขอลาออกก็ปั้นหน้าไปไม่เป็น โบกมือไล่เบิ้มแบบจะไปไหนก็ไป จนแทบจะเปิดเพลงไปเถิดทั้งคู่ ไปสู่ประตูสวรรค์~
อันที่จริงเบิ้มก็รู้สึกผิด เพราะหัวหน้าสนับสนุนและผลักดันเขามากทีเดียว แต่ไม่ทันไรก็ลาออกซะงั้นด้วยสาเหตุชวนตะลึงอย่างโดนผู้ชายตกไปแบบมึนๆ แถมผู้ชายคนนั้นยังมีอำนาจ เป็นผู้ช่วยเลขาคนสนิท เพียงพริบตาก็ได้ลายเซ็นอนุมัติจากท่านประธานโดยตรง
เอาจริงๆ นะ...เบิ้มยังงงตัวเองเลยว่ามาถึงจุดนี้ได้ยังไง
แต่พอนึกภาพว่าจะได้กินข้าวกับคมสันทุกมื้อ ได้ขับรถโดยมีอีกฝ่ายนั่งข้างๆ ได้เฝ้ามองดวงตาแสนสวยนั้นยามช่วยแต่งตัว อยู่ห้องข้างกัน คนที่กำลังหลงละเมอในรักที่เพิ่งสมหวังเป็นครั้งแรกก็เดินตัวลอยออกจากแผนกท่ามกลางสายตางุนงงของอดีตเพื่อนร่วมงาน
แน่นอนว่าทุกภาพฝันนั้นไอ้เด็กเวรเป็นเพียงภาพโมเสกที่ถูกเซนเซอร์ไว้ มีอยู่แต่เหมือนไม่มี
อย่า อย่าคิดว่าเบิ้มหัวอ่อน! ทุกการกระทำของคมสันมีพิรุธ วางแผนอย่างดี ใช่ว่าจะมองไม่ออก แต่คนรักกันชอบกัน จะอยากได้มาครอบครองโดยไม่สนวิธีการก็นับเป็นเรื่องที่พอรับได้ โดยเฉพาะเมื่อใจเราตรงกัน...อะแฮ่ม! อย่าทำหน้าเหม็นเบื่อใส่เบิ้มเลย ตลอดยี่สิบสองปีมานี้เขาไม่เคยมีคนรัก ไม่เคยถูกสารภาพรัก ประสบการณ์โดนจีบหรือก็ไม่มี พอมาเจอคมสันที่ทุ่มเททำถึงขนาดนี้เลยอดใจอ่อนไม่ได้
เบิ้มไม่ได้ต่อต้านรักร่วมเพศ หรือถ้าให้สารภาพตามตรง...คือมีคนมาจีบก็บุญหัวแล้ว! จะเกี่ยงทำไมเรื่องหญิงชาย ยิ่งคมสันคุณสมบัติดีเลิศทุกด้าน หน้าตาก็ดี การเรียนก็ดี การงานก็ดี แล้วจะหวังสูงอะไรอีก แค่นี้ก็เกินคาดมากแล้ว! บางคนทำบุญสิบชาติยังไม่ได้ดีเท่านี้เลย!
เล่าถึงตรงนี้ หลายคนก็คงพอเข้าใจกันแล้วว่าเบิ้มอ่อนประสบการณ์เรื่องรักมากแค่ไหน
พอมีทั้งทีแถมได้พรีเมียมเกรดเอ เลยเคลิบเคลิ้มหนัก อาการเข้าขั้นน่าเป็นห่วง แม้จะชอบงานสตั้นท์ แต่ก็ทำมาหลายปี แต่คนรักที่หลงผิดตามจีบด้วยเกลือแร่อาจจะมีแค่ครั้งเดียวในชีวิต ไม่รีบคว้าไว้มีหวังเสียใจจนตาย!
แถมคนรักคนนั้นยังแสนดี เสนองานที่ดีกว่าให้ด้วยเงินที่มากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
แล้วจะไม่หลงได้ยังไงเบิ้มขอถาม!
อย่า อย่าเพิ่งตอบ อย่าเพิ่งดับฝันหวาน แรกคบกัน ทุกสิ่งทุกอย่างช่างแสนดีและสวยงาม แม้จะตงิดๆ กับการกระทำของคมสันบ้าง แต่เบิ้มยังพอรับได้ ทุกอย่างเพิ่งเริ่มต้น ต้องค่อยๆ เรียนรู้และปรับตัว ฉะนั้นใครจะพูดยังไง...เบิ้มก็ไม่ฟังหรอก!
อยากจะตะโกนด้วยซ้ำว่ามีแฟนแล้วโว้ย!!
รู้ว่าข้างหน้าเป็นกับดักแต่ก็ยังกระโจนลงไป บางทีอาจจะเป็นสภาวะหน้ามืดตามัว เบิ้มสะบัดศีรษะ เรียกสติตัวเองให้เชื่อมั่นกับการตัดสินใจครั้งนี้ ยังไงซะก็ถอยกลับไม่ได้แล้ว มีแต่ต้องลุยให้ถึงที่สุดเท่านั้นละนะเบิ้มเอ๋ย!
เกลี้ยกล่อมตัวเองเสร็จเบิ้มก็ขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนสุดซึ่งเป็นห้องของท่านประธาน ชั้นนี้มีโต๊ะรับแขกและโต๊ะทำงานของบรรดาเลขาไล่เรียงตามลำดับ แต่โต๊ะของคมสันกลับว่างเปล่า เบิ้มเลยเดินไปถามกับเลขาอาวุโสอันเป็นหญิงสูงวัยมาดดีท่านหนึ่งซึ่งดูจะไม่ตกใจกับชายแปลกหน้าสวมชุดสูทและแว่นดำเลยสักนิด
“มาหาคมสันใช่มั้ย ถูกท่านประธานเรียกไปตำหนิอยู่น่ะ”
ภายใต้ภายหน้านิ่งเรียบไร้ความรู้สึกอันเป็นคุณสมบัติของบอดี้การ์ด(ที่คิดเอาเอง) ในใจเบิ้มวิตกมากว่าหรือความรักของเราจะถูกกีดกัน ไม่สิ ท่านประธานเป็นคนเซ็นอนุมัติการลาออก แล้วจะเรียกคมสันมาตำหนิทำไม
เบิ้มตัดสินใจขออนุญาตเข้าพบประธาน แน่นอนว่าเลขาอาวุโสพยายามทัดท้าน แต่เมื่อเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำท่าคล้ายจะเอื้อมไปหยิบอะไรบางอย่างที่ข้างเอว เลขาสูงวัยก็หยิบเอกสารขึ้นมาอ่าน ทำทีเหมือนยุ่งมากจนหัวฟู สบโอกาสให้เบิ้มเดินไปเปิดประตูอย่างง่ายดาย
“ฉันบอกให้จ้างบอดี้การ์ดตั้งแต่เมื่อไหร่!”
และเจอแจ๊กพ็อตเข้าจังๆ
เดี๋ยวนะ ถ้าท่านประธานไม่รู้เรื่องงั้นลายเซ็นบนจดหมายมาจากไหน!?
“แล้วค่าจ้างนี่มันอะไร สูงเกินราคาบอดี้การ์ดปกติรึเปล่า ยังไม่นับที่กิจภัทรไม่จำเป็นต้องมีบอดี้การ์ดคอยคุมด้วย ตอนเช้าเธอก็ไปส่ง ขากลับเธอก็ไปรับ ที่โรงเรียนมีคนช่วยดูแล จับตาดูตลอดแบบนี้จะเอาบอดี้การ์ดมาทำไม เธอก็รู้ว่ากิจภัทรนิสัยยังไง ช่วงนี้กำลังอยากรู้อยากลอง เกิดไปฟิตกล้ามเลียนแบบ ยิงปืนซี้ซั้วจะยิ่งแย่!”
คมสันก้มหน้าก้มตาไม่หือไม่อือ ถูกท่านประธานบริษัทหรือพ่อบังเกิดเกล้าของเด็กเวร...เวรกรรมหรือจะสู้บุญที่ทำมา ถึงได้มีวาสนาเกิดบนกองเงินกองทองชี้หน้าด่าอย่างไม่พอใจ
“บ้านของฉันไม่ใช่ที่พักของคนอย่าง...อย่าง...อย่างนี้!”
เหมือนตอนแรกจะนึกไม่ออกว่าเรียกยังไงดี พอเบิ้มเดินเข้ามา เลยเป็นเป้าให้ท่านประธานชี้
คมสันหันมองทันที แปลกใจนิดหน่อยที่เห็นเบิ้ม แต่ดูจากสีหน้า ไม่ยักจะสีเผือดตกอกตกใจกับการโดนตำหนิครั้งนี้เท่าไร ด้วยความที่เริ่มจะรู้แกว พอเห็นอีกฝ่ายดันแว่นหนึ่งครั้งเบิ้มจึงมั่นใจว่าจะรับมือได้ ถือโอกาสแนะนำตัวแก่คนจ่ายเงินที่ไม่รู้เรื่องสัญญาจ้างขอแต่งงานซะเลย
“สวัสดีครับ ผมชื่อเบิ้ม”
เบิ้มยกมือไหว้อย่างรู้มารยาท แม้ตัวโตแต่ก้มสี่สิบห้าองศา ให้รู้ว่าอ่อนน้อมถ่อมตนขนาดไหนแม้หน้าจะติดเถื่อนไปหน่อยก็ตาม ความประทับใจแรกนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เบิ้มต้องให้คนจ่ายเงินเชื่อถือในฝีมือ ว่าจ่ายแล้วคุ้มค่า โดยไม่ให้ความสัมพันธ์ลับๆ ระหว่างเราเปิดเผย เพราะคงจะเป็นที่ชังน้ำหน้า แล้วโดนหาว่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานอย่างที่หัวหน้าแผนกของเบิ้มคิด
“ผมเป็นบอดี้การ์ดให้ลูกชายของคุณครับ และเป็น...”
เบิ้มตั้งใจจะพูดว่าเป็นคนขับรถ แต่คมสันกลับโพล่งขึ้นมา
“และเป็นคนรักของผมเองครับท่าน”
น้ำเสียงที่แสนจะราบเรียบ กับสีหน้าที่แสนจะเรียบราบ
ทำเอาทั้งเบิ้มและท่านประธานอุทานพร้อมกันว่า “เฮ้ยยย!”
ทันใดนั้น ทุกอย่างตกในความเงียบ
กับอาการที่แสดงออกมาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เริ่มจากเบิ้มก่อน เบิ้มค่อนข้างช็อก เลยอยู่ในท่าหันมองคมสันอ้าปากค้าง ส่วนคนที่เพิ่งพูดประโยคสุดตะลึง กลับนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว ไม่สะทกสะท้านสักนิดเดียว และท่านประธาน...
ท่านประธานเขม็งมองเบิ้มอย่างไม่อยากเชื่อ ก่อนจะจ้องตาคมสัน คล้ายไม่อยากเชื่อยิ่งกว่า
ทุกคนต้องใช้ความเงียบในการตั้งสติ และเบิ้มก็เริ่มตระหนักได้ถึงความรักลึกซึ้งแสนจริงใจของคมสัน ก่อนจะด่าตัวเองในอีกวินาทีต่อมาว่าเบิ้ม! นายกำลังจะซวยแล้ว ต้องโดนไล่ออกแน่ๆ แม้หัวหน้าแผนกจะยอมรับเรื่องนี้ได้ แต่ส่วนหนึ่งเพราะพอจะรู้เรื่องเขากับคมสันจีบกันมาร่วมสามเดือน อีกส่วนคือไม่มีอำนาจคัดค้าน แต่ท่านประธานตรงหน้านั้นไม่รู้เรื่องของเราสอง และยังมีอำนาจสั่งการด้วย!
ถ้าเบิ้มโดนเด้งคนเดียวก็ไม่เท่าไร แต่คมสัน...คมสันนั้น...
ผู้ช่วยเลขากระทำการโดยมิชอบ ใช้เหตุผลส่วนตัวปนกับงาน แค่ข้อหานี้ก็ทำให้คมสันโดนไล่ออกด้วยแล้ว!
เบิ้มทำอะไรไม่ถูก เห็นท่านประธานอ้าปากแบบภาพช้า ค่อยๆ พูดพ่นออกมาทีละคำด้วยประโยคสุดสะพรึง
“ถ้างั้นก็แล้วไปเถอะ”
...สะพรึงเกินไปแล้ว!
“ขอบคุณครับ”
และสะพรึงยิ่งกว่าเมื่อคมสันพยักหน้าอย่างรู้อยู่แล้วว่าต้องลงเอยแบบนี้ เบิ้มมองท่านประธาน เห็นว่าท่านกำลังทำหน้ากระอักกระอ่วนไปไม่เป็นเหมือนอดีตหัวหน้าแผนกของเบิ้มไม่มีผิด นี่คือสีหน้าของคนที่จำยอม ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยไป
...เท่ากับว่าคมสันมีอำนาจในการต่อรองสูงกว่าประธานบริษัทอีกงั้นเหรอ!?
เบิ้มทั้งมึนทั้งอึน โดนคมสันใช้สายตากดดันให้เดินตามออกมาด้วยความสับสนและไม่เข้าใจ คุณผู้ช่วยเลขานั้นเดินเลยโต๊ะทำงานไปยังห้องประชุมเล็ก เมื่อเห็นเบิ้มนั่งประจำที่พร้อมถอดแว่นกันแดดออกแล้วก็กดล็อกประตู
แกร็กเสียงล็อกนั้นน่ากลัวแปลกๆ คล้ายหนังสยองขวัญฆาตกรรม
แต่สำหรับเบิ้มนั้นคล้ายเสียงสวรรค์ เพราะเป็นช่วงเวลาสองต่อสองแสนหวานชื่น
“ลองเดาดูมั้ย” คมสันเปิดหัวข้อด้วยคำถามทันที สีหน้าไร้ความกังวลใจ ออกจะสนุกด้วยซ้ำที่เห็นเบิ้มงง
“เดา? เดาอะไรล่ะ หรือว่านายเป็นลูกติดของท่านประธาน...”
คมสันหลุดขำ ไม่ได้หัวเราะปากกว้างน้ำลายกระเซ็น แต่หัวเราะและขยับยิ้มได้น่ามองอย่างมาก
แหม ไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองเลย แต่เวลาคมสันอยู่กับเบิ้มท่าทางจะผ่อนคลาย สบายใจ เป็นตัวของตัวเองได้เป็นธรรมชาติกว่าตอนอยู่กับคนอื่นๆ เพราะตอนทำงานในบริษัท คมสันค่อนข้างจริงจัง จนบางทีถูกมองว่าเย็นชาซะด้วยซ้ำ ต่อหน้าท่านประธานก็สุภาพไม่ค่อยมีปากเสียง กับไอ้เด็กเวรยิ่งแล้วใหญ่ กลายเป็นพี่เลี้ยงแสนดีดูสุภาพอ่อนน้อมซะอย่างนั้น
“นายเห็นเลขาหน้าห้องมั้ย”
“เห็นสิ” เบิ้มตอบ จะลืมได้ยังไงล่ะเอ้อในเมื่อเพิ่งจะทำท่าขู่ไปเอง
“นั่นแม่ฉัน”
พรืด!
เบิ้มแทบเซตกเก้าอี้เมื่อได้ยินความจริงอันแสนโหดร้าย เขา...ขู่แม่ภรรยางั้นเหรอ!!
“ไม่งั้นจะปล่อยนายเข้ามาในห้องประธานได้ยังไง แต่งตัวมีพิรุธอย่างนี้ควรเรียกรปภ.ถึงจะถูก”
คมสันอธิบาย ซึ่งเข้าเค้าและตอบทุกสงสัยพอดิบพอดี
“งั้นแสดงว่า
...คุณแม่รู้เรื่องของ...เรา?”
จากเลขาอาวุโสกลายเป็นคุณแม่ในพริบตา เบิ้มก็ปรับตัวเก่งเหมือนกันนะนี่
ดวงตาใต้กรอบแว่นประกายวับวาวมากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดติดตลกที่ค่อนไปทางจริงจังมากกว่าขำขัน เห็นแล้วเบิ้มก็อยากจะถอดแว่นอีกฝ่ายเหลือเกิน เจ้าอุปกรณ์ชิ้นนี้มันเครื่องมือทำลายความงามชัดๆ!
“ใช่” คมสันตอบ “แม่ฉันเป็นทั้งพี่เลี้ยงและเลขาคนสนิทของท่านประธาน ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน เป็นทั้งเพื่อนและครอบครัว แม่ฉันแต่งงานกับคนขับรถของท่าน ซึ่งท่านประธานก็เป็นคนช่วยให้ทั้งคู่สมหวัง ทั้งพ่อและแม่ฉันจึงสนิทกับท่านมาก ตอนฉันเกิด ท่านประธานก็เป็นคนที่เข้ามาอุ้มฉันต่อจากพ่อและแม่”
ความสนิทสนมนั้นตอบโจทย์ของการเป็นเด็กเส้นที่คว้าตำแหน่งผู้ช่วยเลขาในวัยยี่สิบทันที
“กลับกัน...ฉันก็เป็นคนอุ้มคุณหนู ต่อจากพ่อและแม่ของเขาเหมือนกัน”
“คุณ...หนู?”
ถ้าไม่เกรงว่าจะเสียมารยาท เบิ้มล่ะอยากจะตบบ้องหูซะเดี๋ยวนั้นเลย
“ใช่” คมสันเผยยิ้มเจิดจ้า เล่นเอาตาพร่าไปกับความรักที่มีอย่างท่วมท้นขณะเอ่ยถึงคนผู้หนึ่ง “คุณหนู...หรือเด็กชายกิจภัทร ตอนฉันหกขวบเขาก็เกิด ร้องไห้เสียงดังเลยล่ะ ตัวก็เล็กนิดเดียว เพราะในบ้านไม่มีเด็กวัยไล่เลี่ยกัน และท่านประธานกับคุณหญิงมักออกไปทำงาน รวมถึงพ่อและแม่ของฉันด้วย ท่านเลยขอให้ฉันพักอาศัยในคฤหาสน์ ช่วยดูแลคุณหนูกับพี่เลี้ยงอีกคนหนึ่ง”
ฟังแล้วก็ชักเข้าใจว่าทำไมคมสันถึงรักและถนอมไอ้เด็กนั่นขนาดนี้
“ตอนคุณหนูอายุสี่ขวบ ฉันจับได้ว่าพี่เลี้ยงแอบขโมยของในบ้าน จึงโดนท่านประธานไล่ออก ตอนแรกจะหาพี่เลี้ยงคนใหม่ แต่ฉันบอกว่าไม่จำเป็น ฉันจะเลี้ยงคุณหนูเอง”
...แต่ตอนนั้นนายเพิ่งสิบขวบเองนะคมสันเบิ้มได้แต่เอ่ยความในใจกับตัวเองด้วยสายตาว่างเปล่า
“นายคงสังเกตว่าคุณหญิงไม่เคยปรากฏตัวที่บริษัทเลย และไม่อยู่ที่คฤหาสน์ด้วย”
ก่อนจะถูกสวนด้วยคำถามที่ไม่ทันตั้งตัว
จะว่าไป...ก็ไม่เคยเห็นคุณหญิงของตระกูลชาติบดินทร์จริงๆ นั่นแหละ เบิ้มทำงานกับที่นี่มาปีครึ่ง ติดตามข่าวสารของทางบริษัทอยู่บ้าง เวลาท่านประธานออกงานก็มักเดินคนเดียว ไม่เคยควงภรรยาเลยทั้งที่เธอเป็นถึงอดีตดาราสาวแสนสวย
ใช่ อ่านไม่ผิดหรอก ประธานบริษัทเอ็มเอชเอ็น เอนเตอร์เทนเมนต์แต่งงานกับดาราในสังกัดตัวเอง!
ตอนนั้นเป็นข่าวดังทีเดียว เบิ้มเองที่ไม่ค่อยสนใจข่าวบันเทิงก็เห็นผ่านหูผ่านตาบ้างเหมือนกัน
“ตอนนี้คุณหญิงอยู่ต่างประเทศ ไม่กลับมาเจ็ดปีเต็มแล้ว” คมสันยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่ยักชวนเคลิ้มอย่างเคย ออกจะไปทางไม่พอใจมากกว่า “ความจริงมีรายละเอียดหลายอย่างมากกว่านั้น แต่เอาเป็นว่า...ฉันอาสาจะดูแลคุณหนู และจะดูแลตลอดไปเพราะถ้าไม่ทำก็คงมีคุณหนูแค่คนเดียวอยู่ในคฤหาสน์หลังนั้น ตอนแรกท่านประธานไม่มั่นใจ จะว่าจ้างพี่เลี้ยงคนอื่น ตอนฉันอายุสิบขวบก็เลยสารภาพความจริงบางอย่าง”
เบิ้มเชื่อว่าความจริงนี้ต้องเป็นประโยคเปลี่ยนชีวิตและสำคัญมาก
“ฉันบอกว่าฉันเป็นเกย์ ชาตินี้คงไม่ได้แต่งงานมีลูกเหมือนครอบครัวอื่น ฉะนั้นเหมาะที่จะดูแลคุณหนูที่สุด”เบิ้มถึงกับสำลักน้ำลายตัวเอง ไม่รู้ทำไมถึงนึกภาพคมสันในวัยสิบขวบประกาศกร้าวต่อหน้าท่านประธานอย่างฉะฉานได้ชัดเจน...ตอนนั้นคนตรงหน้าเขาก็คงใช้สายตาคมกริบนี้จับจ้อง แสดงความมุ่งมั่นไม่อาจละสายตา
“ท่านประธานซึ้งใจกับการเสียสละและการเปิดตัวของฉันมาก เลยให้สัญญาว่าถ้าฉันมีคนรัก จะอนุญาตให้พักด้วยกันในคฤหาสน์ ขอเพียงแค่ฉันพอใจ จะให้คนนั้นมารับตำแหน่งหน้าที่อะไรก็ไม่เกี่ยงเป็นการตอบแทน”
เบิ้ม...อ่า...เบิ้มคิดอะไรไม่ออก
ไม่รู้จะตอบโต้คมสันยังไง แต่ที่รู้ดีแก่ใจอย่างหนึ่ง คือ...เบิ้มเข้าใจท่าทางสุดจำยอมของท่านประธานในวันนี้แล้ว!
เขาว่าตอนนั้นท่านอาจจะไม่ได้คิดจริงจังมากกับเด็กอายุสิบขวบ แต่ช่างบังเอิญเหลือเกิน เพราะเด็กคนนั้นดันทำได้จริงตามคำพูด ดูแลลูกชายให้อย่างดีไม่ขาดตกบกพร่อง ดูแลได้ดีกว่าพ่อแม่แท้ๆ เมื่อมาทวงคำสัญญา จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
“ถ้าเกิด...ประธานไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน แล้วลายเซ็นบนใบลาออกมาจากไหนกันล่ะ”
“ฉันก็แค่ไหว้วานให้แม่ช่วยแทรกใบนี้ปนไปกับเอกสารอื่นๆ ที่ท่านต้องเซ็นเท่านั้นเอง ไม่ต้องห่วง ถ้าเป็นผลเสียกับท่านประธาน แม่ฉันไม่ยอมทำให้หรอก แต่เพราะเห็นดีเห็นงาม ทุกอย่างเลยราบรื่น”
“ทำไม...ต้องทำให้มันซับซ้อนขนาดนั้นด้วย”
“นายไม่คิดว่าสัญญาที่ให้ไว้กับเด็กสิบขวบจะน่าเชื่อถือหรอกนะ” คมสันเลิกคิ้ว ประสานมือบนตักขณะนั่งไขว้ห่างด้วยท่าทางแสนสบายคล้ายไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย “ถ้ารู้ก่อน ท่านประธานต้องหาทางแทรกแซงแน่นอน ฉันเลยจัดการทุกอย่างให้เสร็จทั้งหมด แล้วค่อยบอก เพียงเท่านี้ท่านก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจำยอม”
เบิ้มถึงกับเผลอยกมือสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้ทั้งที่ตัวเองไม่ใช่ท่านประธาน
มันเป็นไปตามสัญชาตญาณน่ะ พอได้ยินคมสันอธิบายราวกับว่าทุกอย่างช่างง่ายดายยิ่งกว่าปอกกล้วยแล้วอดจะยกมือยอมแพ้ไม่ได้จริงๆ
เวรละ นี่มันอนาคตของคนกลัวเมีย!“ฉันอยากให้นายรับปากอย่างหนึ่ง”
เบิ้มถึงกับสะดุ้ง เพราะมีบทเรียนจากท่านประธาน เลยรู้สึกว่าการรับปากอะไรกับคมสันนั้นจะต้องไตร่ตรองให้ดี
“อะไรหรือ”
“ฉันอยากให้นายปิดบังความสัมพันธ์ของเรากับคุณหนู”
คำว่า ‘เรา’ ฟังรื่นหูดีจริงๆ แม้จะค่อนข้างขัดใจกับไอ้คำว่าคุณหนูก็เถอะ
“ทำไมล่ะ” เบิ้มขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจในการกระทำนี้ คมสันกล้าประกาศตัวต่อหน้าประธานตั้งแต่สิบขวบ แล้วมากลัวอะไรกับเด็กอายุสิบสี่ที่ดูจะไม่ค่อยมีสมองเท่าไหร่
“นายก็คงได้ยินท่านประธานพูด...ตอนนี้คุณหนูอยู่ในวัยอยากรู้อยากลอง แม้ฉันจะไม่คิดแต่งงานมีครอบครัว แต่ฉันไม่อยากให้คุณหนูเลียนแบบเราแล้วลองคบเพศเดียวกัน ถ้าจะรักชอบฉันไม่ว่า แต่ต้องไม่ใช่การทำตามใคร”
คำว่า ‘เรา’ ยังทำให้เบิ้มชื่นใจเช่นเดิม จึงยิ้มตอบคมสันอย่างว่าง่าย
“ได้สิ ได้ตามที่นายต้องการ”
เพราะเบิ้มเชื่อว่าคุณหนูสุดที่รักของอีกฝ่ายมีสิทธิ์ทำตามสูง...ดูจากการแยกแยะถูกผิดไม่ค่อยเป็นแล้วน่ะนะ
“แต่ขอถามอย่างได้มั้ย” เบิ้มทนไม่ไหวแล้ว ถ้าไม่พูดวันนี้คงอกแตกตายแน่ๆ
“อะไรล่ะ” คมสันเลิกคิ้ว ขยับตัวเข้าใกล้ เอ่อ...แค่จะถามคำถาม ไม่ต้องเอียงหูรอฟังในระยะประชิดขนาดนี้ก็ได้ ทำเอาเบิ้มถึงกับสมองโล่งแทบลืมไปเลยว่าแค้นเคืองเรื่องอะไรอยู่
อ้อ...เรื่องคุณหนูเวร!“นายคงไม่ได้ชอบคุณหนูในแง่นั้นใช่มั้ย” เบิ้มรู้ว่าเป็นคำถามที่งี่เง่ามาก แต่ทุกครั้งที่คมสันเล่าเรื่องในอดีตแล้วเอ่ยถึงเด็กเวรทีไร เป็นต้องทำหน้ารักลึกซึ้งจนชวนสงสัยทุกที
แล้วไอ้คำสัญญาว่าจะดูแลตลอดไปนั่นอีก
ไม่ว่าจะฟังหูซ้ายหรือหูขวาก็ชวนคิดลึก!
พลันคมสันหัวเราะอีกครั้ง เสียงหัวเราะครั้งนี้ดังกว่าเดิม ชวนให้ใจเบิ้มเต้นรัวเพราะหน้าของเราใกล้กันมากจนเห็นริมฝีปากที่ขยับอย่างยั่วยวนใจในองศาชวนเคลิ้ม
“คุณหนูเป็นเด็กดี แต่ไม่ใช่คนรักที่ดี” คมสันตอบชัดถ้อยชัดคำ “ฉันไม่คิดจะคบกับคนที่ติดพี่เลี้ยงและเอาแต่ใจสุดโต่งแบบนี้หรอก”
...ที่แท้ก็รู้ตัวด้วยเหรอว่าเลี้ยงเด็กแบบผิดๆ น่ะ!แน่นอนว่าเบิ้มได้แต่คิด จะด่าใครก็ด่าได้ แต่ด่าคุณแฟนที่เคารพไม่ได้
“หมดคำถามแล้วใช่มั้ย”
“เอ่อ มีอีกคำถาม” เบิ้มยกมือเป็นเชิงขอแทรกเพราะคมสันเริ่มเอนหลังพิงพนักในท่าไขว้ห่างแสนสบายอีกครั้ง “ทำไมนายถึงเรียกคุณหนูลับหลังเด็กล่ะ ต่อหน้าไม่เห็นเรียกแบบนี้เลย”
“เพราะคุณหนูไม่ยอมให้ฉันเรียก บอกว่าฟังไม่เท่น่ะ” คมสันเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ สื่อว่าแม้จะโดนห้าม แต่ลับหลังก็ยังจะเรียกเป็นร้อยครั้งพันครั้งด้วยความเอ็นดูอยู่ดี คุณหนูน่ะอยู่ที่ใจ ไม่ใช่ที่คำพูด
...คนคนนี้เกินเยียวยาแล้วแต่เขาว่ากันว่า Love Me Love My Dog ในเมื่อเบิ้มรักคมสัน เบิ้มก็ต้องรักหมา...แคก! หมายถึงคุณหนูของเขาด้วย
“ถ้าหมดคำถามแล้ว ฉันจะมอบหมายงานให้ทำ”
เบิ้มตื่นตัวทันที นั่งหลังเหยียดตรง แบบที่มักทำเป็นประจำเวลาประชุมงานกับหัวหน้า
“จำหน้าเด็กคนนี้ซะ” คำพูดเชิงสั่ง ทำให้เบิ้มก้มมองรูปถ่ายที่คมสันวางบนโต๊ะอย่างตั้งใจ รูป...ของเด็กผู้ชายวัยไล่เลี่ยกับคุณหนูสุดที่รักของอีกฝ่าย ท่าทางเย่อหยิ่งพอกัน วัดจากใบหน้าที่เชิดขึ้นและรอยยิ้มถือดีแบบ ‘ทุกอย่างที่ข้าต้องการล้วนมีคนประเคนมาให้’ แล้ว...
“จะให้คุ้มครองเด็กคนนี้ด้วยหรือ” เบิ้มถาม เพราะหน้าที่ที่ได้รับคือบอดี้การ์ด ถ้าไม่ให้ปกป้องคุ้มครอง แล้วให้ไปทำอะไรได้อีก
“ไม่ใช่” คมสันเอ่ย ก่อนจะถอนหายใจเฮือก ราวกับว่าเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้นั้นหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าตอนเล่าเรื่องในอดีตซะอีก “เมื่อวันก่อน...คุณหนูเผลอไปเหยียบเท้าเด็กคนนี้แล้วไม่ขอโทษ”
“ฮะ!?” เบิ้มอุทานเสียงดัง แต่คมสันไม่สนใจ เล่าต่อคล้ายไม่เห็นตาที่เกือบถลนของเบิ้ม
“ทั้งคู่ทะเลาะกัน สุดท้ายจบที่ท้าต่อยหลังเลิกเรียน”
“...”
ไอ้เบิ้มโนคอมเม้นต์แล้ว
“ฉันพยายามให้คุณหนูเบี้ยวนัด แต่เขาไม่ยอม บอกว่าเดิมพันด้วยศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย”
“...”
ไอ้เบิ้มเอาขามาก่ายหน้าผากจะทันมั้ย
“กำหนดการคือเย็นนี้ตอนห้าโมง คุณหนูให้ฉันสัญญาว่าห้ามแอบตามไปเด็ดขาด จึงต้องส่งนายไปแทน”
“แค่จับตาดูเฉยๆ?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่” คมสันเอ่ยน้ำเสียงจริงจังมาก ประหนึ่งเป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่ห้ามพลาดพลั้งเป็นอันขาด “จะทำยังไงก็ได้ แต่ห้ามให้คุณหนูบาดเจ็บ!”
“เอ่อ...สองคนนี้ท้าต่อยกัน จะไม่ให้เจ็บเลยได้ยังไง”
เบิ้มไม่เข้าใจ คมสันคิดว่าสองคนนี้นัดกันไปเล่นพ่อแม่ลูกเหรอ
“นั่นเป็นปัญหาของนาย และเป็นหน้าที่ของนายที่ต้องทำให้ได้”
คุณภรรยาที่เคารพรักครับ ภารกิจนี้เกรงจะเกินความสามารถของไอ้เบิ้มแล้ว...เอ่อ ถ้าในโลกความจริงกล้าพูดได้อย่างที่คิดก็คงดี
“ห้ามให้คุณหนูโดนต่อยเด็ดขาด แต่ก็ห้ามให้คุณหนูรู้สึกเสียศักดิ์ศรี ต้องให้เขาพอใจด้วย”
ข้อแม้เยอะขนาดนี้ให้เบิ้มลักพาตัวคุณหนูไปขังยังง่ายกว่า! ไม่ต้องเจ็บตัว ไม่โดนต่อยด้วยเอ้า!
“ฉันคาดหวังกันนายนะ”
พลันเบิ้มสะดุ้งเหมือนมีไฟฟ้าสถิต ซึ่งต้นตอของสัมผัสชวนซาบซ่านนั้นก็มาจากนิ้วเรียวที่สะกิดเบาๆ บนมือของเบิ้มที่กำรูปถ่ายเด็กน่าสงสารจนยับย่นด้วยแรงอารมณ์โดยไม่รู้ตัว
เบิ้มพยายามกลั้นใจ ยังไงก็ต้องบอกปัดคมสันให้ได้ว่านี่เป็นภารกิจที่ไม่มีวันทำสำเร็จ
แต่ปลายนิ้วชี้นั้นช่างซุกซนเหลือเกิน จงใจลากยาวบนหลังฝ่ามือเบิ้ม ก่อนจะผลุบหายไปในแขนเสื้อพลางสะกิดตรงข้อมือเบาๆ พร้อมสายตาที่จ้องสะกดคล้ายส่งสัญญาณบางอย่าง
สัญญาณที่แปลความหมายว่าถ้าทำสำเร็จ รางวัลที่ได้รับนั้นจะ...จะ...
เบิ้มกลืนน้ำลาย ไม่เข้าใจว่าทำไมเวลาอยู่กับคมสันที่ใครหลายคนคิดว่าช่างเย็นชา ถึงได้ร้อนรุ่มซะทุกที
“ได้สิ” รู้ตัวอีกทีก็เผลอตอบรับไปซะแล้ว เบิ้มพลิกมือกอบกุมนิ้วแสนซุกซนของคมสัน ยั้งไม่ให้ทำอะไรชวนใจจะวายไปมากกว่านี้ “ฉันจะไม่ทำให้นายผิดหวังแน่นอน!”
----------------
เกิดเป็นเบิ้มก็น่าเศร้าแบบนี้ ต้องไปดูแลเด็กโข่งของจอมมาร ชีวิตไม่ง่ายเลยจริงๆ ค่ะ
ตอนนี้เริ่มเปิดเผยว่าทำไมคมสันถึงติดเด็กเวรหรือคุณหนูมาก แต่คนที่เคยอ่านตอนพิเศษในเล่มเสี่ยมาก่อน น่าจะพอเดาออกว่าครอบครัวเสี่ยนั้นมีปัญหากันยังไง แต่ในเรื่องนี้จะยังอุบไว้ก่อน ไว้รู้พร้อมพี่เบิ้มนะคะ
อย่าเพิ่งวางใจ คมสันยังมีหลายอย่างที่ซ่อนไว้อีกเยอะ !!
#จอมมารคมสัน
เพจนักเขียนที่อยากชวนพี่เบิ้มไปทำบุญTwitter