สวัสดีครับ ขอบคุณที่ติดตามกันครับ เรื่องนี้จะอัพถี่หน่อยนึง พยายามจะให้จบในฤดูร้อนนี้ครับ
รีบแวะมาส่งตอนที่ 3 แล้ว เดี๋ยวก็ลืมชื่อตัวละครกันเสียก่อน 5555
ใครจะคู่ใครอ่านตอนนี้แล้วจะเริ่มชัดแล้วครับ จากนี้ง่ายแล้ว (มั้ง)
ขู่นิดนึงนะครับ เป็นตอนที่ยาวมากกกกกก อาจต้องใช้เวลา + สมาธิในการอ่านนิดนึงครับ
ตอนที่ ๓
บ้านของชาฮิดอยู่ย่านลิตเติลอินเดีย ชุมชนเล็ก ๆ ในพาหุรัดอันเป็นเขตที่อยู่อาศัยของชาวอินเดียละแวกหนึ่งในกรุงเทพ ปีนี้เด็กชายมีอายุ 12 ปีแล้ว โตพอที่จะทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ แบ่งเบาภาระของพ่อและแม่ ซึ่งโดยมากก็คืองานช่วยดูแลมีรา น้องสาวที่อ่อนกว่า 3 ปี แม้ว่าจะมีเชื้อชาติอินเดีย แต่ชาฮิดก็ถือกำเนิดที่กรุงเทพ มีหัวใจเป็นไทยไม่ต่างกับเด็กไทยทั่วไป เด็กชายตัวน้อยเรียนโรงเรียนไทย เขียน พูด และอ่านเป็นภาษาไทยแบบเด็กวัยเดียวกันคนอื่น ๆ จะแตกต่างก็เพียงเวลาอยู่ที่บ้าน อมริตาผู้เป็นแม่จะพูดกับเขาและมีราเป็นภาษาอินเดียบ้างด้วยเห็นว่าเมื่อเติบใหญ่ทักษะทางภาษาเหล่านี้อาจจะมีประโยชน์กับลูกทั้งสอง ซึ่งชาฮิดก็ใช้เพื่อทักทายสั้น ๆ กับผู้ใหญ่ในละแวกบ้านเท่านั้น ในการดำรงชีวิตทั่วไปซึ่งส่วนมากก็อยู่ในโรงเรียน เด็กหนุ่มพูดคุยด้วยภาษาไทยทั้งสิ้น
เดือนเมษายนเป็นเดือนที่ร้อนจัด ซึ่งนั่นเป็นข้อเสียเพียงอย่างเดียวที่เด็กชายชาฮิดคิดออก ที่เหลือล้วนเป็นข้อดีทั้งนั้น หนุ่มน้อยรักเดือนแห่งความร้อนเพราะนอกจากโรงเรียนจะปิดเทอมแล้ว เขาและมีราจะได้เล่นน้ำสนุกในช่วงสงกรานต์ ชาฮิดจึงตั้งตารอช่วงเวลานี้ของทุกปีเพราะแม่จะพาเขาและน้องไปที่ทำงานด้วย และที่ทำงานของแม่ก็มีแต่อาหารอร่อยทั้งนั้น
“เอาไปส่งให้โต๊ะสิบสองทีลูก ระวังอย่าให้หกนะ” อมริตากำชับ ชาฮิดพยักหน้ารับ สองมือน้อย ๆ ยกขึ้นประคองจานซาโมซาไปส่งให้ลูกค้า โดยที่ผู้เป็นแม่จะคอยมองบริกรตัวน้อยอยู่ห่าง ๆ จากหน้าครัว
อมริตาทำงานเป็นผู้ช่วยกุ๊กอยู่ร้านอาหารเล็ก ๆ ในย่านสีลม สามีเสียชีวิตตั้งแต่มีราอายุเพียงสองขวบ อมริตาจะพาชาฮิดและมีรามาช่วยงานจุกจิกที่ร้านในช่วงปิดเทอม สอนให้รู้จักทำงาน ใช้ชีวิตอย่างมีระเบียบวินัยแต่เยาว์ ดีกว่าจะปล่อยให้ลูกทั้งสองอยู่บ้านเฉย ๆ เพียงลำพัง
“พี่สั่งอาหารใช่ไหมครับ” เด็กชายตัวเปี๊ยกส่งเสียงถาม
พงษ์พิพัฒน์ส่งยิ้มให้เจ้าของดวงตากลมใสด้วยรอยยิ้มไร้ที่ติ ก่อนจะหันมาสนใจซาโมซาแกะตรงหน้า อันที่จริงก็คือตรีจงใจเพิกเฉยต่อชายหนุ่มร่วมโต๊ะอีกคนที่นั่งหน้าหงิกเป็นมะเหงก แค่มาช้าหนึ่งชั่วโมงก็ใช่ว่าจะใหญ่โตอะไรนักหนา วงการบันเทิงมันก็ต้องยืดหยุ่นกันบ้าง
หลังจากพบว่าหน้าตาอาหารเป็นที่ถูกใจไม่น้อย พิธีกรรูปหล่อก็หันมากล่าวขอบคุณบริกรตัวเล็กที่ยังคงยืนค้างอยู่กับที่อีกครั้ง ชาฮิดรับคำขอบคุณพร้อมซ่อนถาดไว้ด้านหลัง ดวงตาคู่นั้นเบิกโตกว่ายามปกติ
“พี่เป็นดาราหรือเปล่าครับ”
ฟังแล้วพงษ์พิพัฒน์ก็อมยิ้ม “ไม่ใช่หรอกครับ พี่ชื่อตรี...ตรี พงษ์พิพัฒน์ครับ พี่เป็นนักข่าว”
“หล่ออย่างกับดาราเลย ไม่สิ หล่อกว่าอีก” ชาฮิดชมจากใจจริง ก่อนที่จะถลากลับไปพร้อมใบหน้าดีใจเป็นนักหนา เด็กน้อยอวดมีราที่ยืนอยู่กับแม่ที่ด้านในของร้าน คุยโตว่าได้เสิร์ฟอาหารให้กับนักข่าวชื่อดัง
“เด็กหนอเด็ก” คนรูปหล่อหันมาส่ายหัวแล้วหยิบส้อมขึ้นจิ้มอาหารใส่ปาก
พงษ์พิพัฒน์ชอบให้คนจดจำเขาในเรื่องความสามารถว่าเป็นนักวิเคราะห์ข่าวที่เฉียบคม หาตัวจับได้ยาก ส่วนเรื่องหน้าตา ชายหนุ่มรู้อยู่แล้วว่าตนเองอยู่ในระดับไหน หากเทียบกับรถก็เป็นรถยุโรปเปิดประทุนสุดหรู ไม่ใช่รถญี่ปุ่นดาษดื่นที่ขับทั่วไปเต็มท้องถนน
“คุณพัดทานอาหารก่อนสิครับ รสชาติดีนะ” เขาพูด
“ผมเรียบร้อยแล้ว เชิญคุณเถอะ” คนคิ้วยุ่งตอบ “และผมชื่อนัท ไม่ใช่พัด”
ก็ไม่เห็นว่าจะต่างกันตรงไหน พงษ์พิพัฒน์เหยียดรอยยิ้ม จะพัด นัท บอล เอ็ม หรืออะไรก็ช่าง พะยี่ห้อว่าเป็นชื่อโหล จะเรียกอะไรก็ไม่เห็นจะต่าง แม้จะค่อนในใจจนไม่มีชิ้นดี ทว่าใบหน้ากลับวาดยิ้มสวย “ครับ คุณนัท”
ดาน่านัดให้เขามาพบกับดนัย...ลูกค้ารายใหญ่ที่ซื้อโฆษณาของรายการเช้านี้ที่ประเทศไทยซึ่งชายหนุ่มเป็นพิธีกรอยู่ ซึ่งถ้าเธอและคุณจ๊อด...โปรดิวเซอร์ของรายการไม่ลงทุนกราบกรานชนิดเอาเป็นเอาตายขนาดนั้น ตรีคงไม่เอาเวลาทำเฟซโยคะของทุกวันมานั่งทานอาหารอยู่ตรงนี้แน่นอน
“ระหว่างที่คุณทานอยู่ ผมขอพูดเรื่องงานไปคร่าว ๆ เลยแล้วกัน”
มารยาททราม
ตรีตวัดตาขึ้นมอง ไม่รู้หรือไรว่าคนทานข้าวแปลว่าต้องการเวลาส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับงาน หน้าตาก็ไม่ใช่ขี้เหร่ แต่ทำไมไม่รู้จักมารยาทสังคมแบบนี้ นั่นคือความคิดเพียงเสี้ยววินาทีของชายหนุ่ม ที่คนทั่วไปสังเกตเห็นจึงเป็นเพียงภาพของดวงตามีเสน่ห์ชวนฝันที่ช้อนขึ้นมองเพียงเสี้ยววินาที แล้วเพียงหลุบลงเหมือนเป็นเพียงกิริยาอาการทั่วไป
“ไจแอนท์โคลาของเราเป็นน้องใหม่ ภาพลักษณ์ของสินค้าเราคือความสด แตกต่าง ไม่เหมือนใคร ผมอยากคุยกับคุณเพื่อที่เราจะได้มองภาพทุกอย่างตรงกัน ไจแอนท์โคลาต้องการอะไรที่สร้างสรรค์มากกว่าเอากระป๋องน้ำอัดลมธรรมดาไปวางเฉย ๆ อยู่บนโต๊ะแล้วพูดขอบคุณ สิ่งที่เรามองหาคือความพิเศษ คุณพอจะเข้าใจนะครับ”
เข้าใจสิ เข้าใจเป็นอย่างดีเลย
พงษ์พิพัฒน์พยักหน้าเห็นด้วย แตกต่าง ไม่เหมือนคนอื่น เป็นความคิดที่ฟังดูเข้าท่า แต่ไหนแต่ไรมาเขาเองก็ชอบอะไรที่ไม่ธรรมดาเหมือนกัน และถ้าจะพูดกันตามความจริง พิธีกรหนุ่มหล่อก็คิดว่าเขาเหมาะกับนิยามคำว่า “พิเศษ” กว่าใคร
“ติดคริสตัล” ตรีเสนอ
“อะไรนะ ?”
“ติดคริสตัลที่กระป๋องน้ำอัดลม” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบพลางส่งซาโมซาเข้าปากอีกชิ้น จำใจผิดธรรมเนียมปกติที่ไม่ทานหนักหลังสามทุ่มด้วยรสชาติของเนื้อแกะตรงหน้าอร่อยกว่าที่คิดไปไกล “ผมแนะนำให้ใช้ของสวารอฟสกี้เท่านั้น คัดเฉพาะเกรดดีที่สุด อิมพอร์ตจากออสเตรียแล้วหาแฟชั่นดีไซเนอร์เจ๋ง ๆ สักคนจัดการ”
“ดีไซเนอร์ ? คุณจะเอามาทำอะไร ?”
“ออกแบบไงครับ เลือกเฉพาะระดับชั้นนำเท่านั้น พวกมือสมัครเล่นหรือพวกรุ่นใหม่ผมว่าธรรมดาไป ซึ่งก็แน่นอนว่าระดับอินเตอร์ย่อมดูน่าสนใจกว่าระดับโลคัล เลือกสักคนจากในนั้น เดี๋ยวนี้ดีไซเนอร์ไทยที่ดังไกลระดับสากลมีอยู่ไม่น้อยเลยนะ”
ดนัยนั่งเงียบเชียบโดยไม่พูดอะไร จะมีก็แค่สายตาดุเดือดเหมือนโกรธเคืองใครสักคนมาจากไหน
ดนัยถอนลมหายใจหนัก ก่อนจะพูดออกมาในที่สุด “ผมขอตัวสักครู่”
พงษ์พิพัฒน์เห็นเขาคว้ามือถือแล้วก้าวขาฉับ ๆ ออกไปยืนอยู่หน้าร้าน สักพักก็ทำท่าตะคอกใส่ใครสักคนผ่านทางโทรศัพท์ ชายหนุ่มส่ายหัวระอาแล้วจิ้มเนื้อแกะทานต่อ อดที่จะเซ็งขึ้นมานิด ๆ ไม่ได้
ตรีคิดถึงลอนดอน เมษายนคือซัมเมอร์ของที่นั่น เป็นฤดูที่ฝนตกน้อยที่สุดของปี และมีอากาศที่กำลังน่ารักนัก ช่วงฤดูร้อนเขามักจะนั่งรถไฟยูโรสตาร์ข้ามฝั่งไปปารีส เดินเล่นดูร้านรวงต่าง ๆ ข้างทางแล้วนั่งจิบกาแฟที่นั่นสองสามชั่วโมงก่อนจะกลับมาทานมื้อค่ำที่ลอนดอน เมษายนเคยเป็นเดือนที่เขารักที่สุด
แล้วดูนี่สิ ดูกรุงเทพ !
นี่มันเมืองหลวงหรือใจกลางเตาไมโครเวฟกันแน่ แค่ร้อนตรีก็อารมณ์เสียมากแล้ว แต่นี่เขาต้องมานั่งปั้นหน้ายิ้มให้กับลูกค้าขี้โมโหที่ไม่มีทั้งมารยาทและความเป็นมืออาชีพอีกคำรบ ชายหนุ่มถอนหายใจเหนื่อยหน่าย หน้าร้อนปีนี้คงเป็นช่วงเวลาแห่งความทุกข์ทนเสียแน่
พ้นประตูร้านออกมาได้ ดนัยก็กดโทรศัพท์หาดาน่าด้วยความเดือดดาล ความร้อนพุ่งฉิวแข่งกับอุณหภูมิของกรุงเทพในเดือนเมษายน โมโหพิธีกรมาดคุณชายนี่ก็เรื่องหนึ่ง โมโหสิ่งที่ครีเอทีฟสาวพูดกับเขาก็อีกเรื่อง
“อธิบายผมมาที ตอนนี้ผมมีนัดกับพิธีกรคนเดียวกับที่คุณพูดถึงเมื่อตอนเที่ยงใช่ไหม”
“อุ๊ย...คุณนัท ใช่แน่นอนที่สุดค่า น้องตรีของแท้”
“แน่นะ ?”
“แน่สิคะ มีอะไรหรือเปล่าคะ” หญิงสาวกรอกเสียงกลับมาทางโทรศัพท์
ดนัยตอบกลับทันควัน “ถ้าใช่คนที่คุณบอกว่าน่ารัก ทำงานง่ายคนนั้นนั่นแล้วก็...ผมมีแน่นอน”
“ทำไมหรือคะ เอ๊ะ...หรือยังไปไม่ถึง ?”
“ถึงน่ะถึงแล้ว”
“หรือโต๊ะที่จองไว้มีปัญหาคะ อาหารไม่ถูกปากหรือเปล่า ?”
“คุณดาน่า...มันไม่ใช่เรื่องพวกนั้น”
“แล้วอะไรหรือคะ ?”
ดนัยกลั้นลมหายใจ พยายามจะไม่หัวเสียมากกว่าเดิม
“ว้าย ! หรือน้องตรีหน้าตาไม่น่ารักคะคุณนัท”
คนกำลังฉุนถึงกับชะงัก พูดต่อไม่ถูก แม้จะไม่ชอบท่าทางการพูดจาโอ้อวดตลอดเวลาแบบนั้น กระทั่งความคิดที่ดูไม่ต่างกับคนไม่มีหัวสมองนั่นก็ไม่เข้าท่าสักนิด แต่สิ่งหนึ่งที่ดนัยไม่อาจแย้งคำพูดของครีเอทีฟสาวโอ้อวดไว้ได้เลยก็คือ...ตรี พงษ์พิพัฒน์มีใบหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มน่ารักและรอยยิ้มที่ชวนมองสมราคาคุยไม่ขาดไม่เกิน
ร่างสูงสูดลมหายใจ ฮึดสู้อีกครั้ง “ทำงานง่ายประสาอะไรของคุณ นี่มันห่างไกลไปจากสิ่งที่คุณพูดมากนะ”
“คือแบบนี้ค่ะ” หล่อนพยายามแจกแจง เสียงสลดลงจนสัมผัสได้ “คุณนัทคะ ดาน่าหมายถึงน้องตรีแกทำงานง่ายจริง ๆ นะคะ คือเอาง่ายกับตัวเองเข้าว่า แกไม่ชอบความลำบากน่ะค่ะ แต่ถึงวิธีทำงานจะยาก ในด้านผลลัพธ์ออกมาดีทุกครั้งนะคะ เนียนกริบไม่มีใครรู้หรอกค่ะ ดาน่ายืนยัน”
คำตอบที่ได้ยินทำให้อุณหภูมิรอบตัวชายหนุ่มร้อนขึ้นอีกสิบองศา เห็นได้ชัดว่าแม่สาวผมฟูคนนั้นจงใจทำให้เขาคิดไปอีกอย่างเพื่อปิดงานในส่วนของตนเองให้ได้ และแม้ว่าดนัยนึกคร้ามอยากจะถอยเพียงไหน แต่สัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษรไปแล้วมัดเขาจนดิ้นไม่หลุด เอาเถอะ เขาจะจัดการกับแม่ครีเอทีฟจอมแสบนี่ทีหลัง ตอนนี้ขอจัดการกับปัญหาชิ้นหลักก่อน ดนัยกดวางสายในนาทีต่อมา ก่อนจะผลักประตูกลับเข้าไปในร้านแล้วก้าวขายาว ๆ ไปนั่งที่โต๊ะ
ชายหนุ่มหยิบเมนูอาหารขึ้นมาเปิด กวาดตาสำรวจไปยังรายการต่าง ๆ
“อ้าว เปลี่ยนใจแล้วหรือคุณ”
“คุณทานน่าอร่อย ผมอยากลองมั่ง”
“พอเข้าใจครับ” ตรียิ้มกว้าง อารมณ์ดีขึ้นอีกนิด
เกิดเป็นคนหน้าตาดีก็แบบนี้ ใส่เสื้อผ้าอะไรก็ดูแพง หยิบจับทานอาหารก็ดูอร่อย ทำอะไรก็ดูดีไปหมด นี่เป็นหนึ่งในพรจากสรวงสวรรค์ที่บางทีเขาก็เหนื่อยหน่ายเหลือเกิน หน้าตาดีก็แย่แล้ว นี่เทวดาท่านยังบันดาลให้เกิดมารวยอีกต่างหาก “เอาสิคุณ เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง”
“แหม...ดีจัง” ดนัยส่งยิ้ม เลือกสั่งเอารายการที่แพงที่สุดห้ารายการ ก่อนจะปิดท้ายด้วยเปิดไวน์ราคาแพงระยับ “แบบนี้ต้องฉลองเสียหน่อย”
“เป็นความคิดที่ดี” ตรีส่งยิ้มเจ้าเสน่ห์แล้วกวักมือเรียกพนักงาน
สั่งรายการอาหารเสร็จ ดนัยก็เอนหลังพิงพนักแล้วส่งยิ้ม ถ้าคิดว่าแค่นี้เขาจะถอยง่าย ๆ ตามใจทีมงานแล้วก็...ขอให้คิดเสียใหม่ บทจอมเฮี้ยบถึงแม้จะเหมาะกับเขาแค่ไหน แต่บทของปีศาจกลับเป็นบทบาทที่ดนัยถนัดถนี่เสียยิ่งกว่า
ลองดูกันเสียตั้งจะเป็นอะไรไป คอยดูก็แล้วกันว่าใครจะร้ายกว่าใคร
ปรมะไปถึงที่นัดหมายในเวลาสามทุ่มเศษ ช้ากว่าเวลานัดไปสิบนาที ปรายฟ้านั่งอยู่ในร้านพร้อมกับน้องธีมแล้ว เขาก้าวเข้าไปที่โต๊ะอาหาร มองไปที่เจ้าตัวเปี๊ยกซึ่งไม่ได้เจอร่วมปี ธีมสูงกว่าหน้าร้อนปีที่แล้วมาก แต่ที่ไม่เปลี่ยนเลยก็คือท่าทางหัวแข็งซึ่งถอดมาจากเขาไม่ผิดเพี้ยน เด็กชายตัวน้อยดูจะเอร็ดอร่อยกับไก่ทอดตรงหน้า ขณะที่คนเป็นแม่นั่งเอาหลอดเขี่ยก้อนน้ำแข็งในแก้วกาแฟเย็นเล่นเหมือนไม่มีอะไรทำ
“รอนานไหม” ปรมะเอ่ยทักเธอแล้วหันมาทางเด็กตัวเล็กที่เคี้ยวตุ้ยอยู่ “เป็นไงบ้างเจ้าเปี๊ยก”
ธีมเงยหน้าขึ้นมาจ้องตาขวางแล้วมุ่ยหน้าลงจัดการชิ้นไก่ทอดตรงหน้าต่อ “ไม่ได้เปี๊ยก! จะมาทำไมเนี่ย”
“เงียบไปเลยไอ้อวดดี จะมาหรือจะไม่มามันก็เรื่องของฉัน” ปรมะตอบกลับหน้าตาเฉย ฟังดูอาจจะแปลกแต่นี่คือเรื่องปกติระหว่างเขากับธีมจนทุกคนรู้สึกว่าความแปลกคือเรื่องปกติไปเสียแล้ว
มีโอกาสได้พบกันทั้งหมดก็เพียงช่วงฤดูร้อนของทุกปี เพราะเหตุนี้กระมังเขาจึงค่อนข้างเหินห่างกับลูกแบบนั้น ธีมเป็นเด็กหัวแข็ง ซ้ำยังถูกเลี้ยงด้วยคนนิสัยประหลาดแบบลูกน้ำ ก็ไม่แปลกเลยที่เวลาเจอกันทีไรต้องมีสู้รบกันได้ตลอด ปืนกดสายตามองเด็กหน้าหงิก โตขึ้นไม่เท่าไร แต่ความเอาแต่ใจพัฒนาไปไกลกว่าส่วนสูงนัก ฝ่ามือกว้างกดหัวของเด็กตัวน้อยคะมำลงด้วยความรักและเอ็นดู ยิ่งเห็นยิ่งมันเขี้ยว
“อย่ามาจับหัวนะ ผมเสียทรงหมด ก็บอกว่าอย่ามาจับไงเล่า !” มือเล็ก ๆ ของธีมปัดป่ายไม่เลิก ซึ่งทั้งปรมะและปรายฟ้าเองก็ดูจะชินแล้วกับเสียงแข็ง ๆ แบบนั้น
นับตั้งแต่คลอดธีม เขาและปรายฟ้าก็แยกกันอยู่ตัวใครตัวมัน โดยเธอและคุณแม่ดุจเดือนเป็นคนดูแลเจ้าตัวเล็ก ฟังดูเหมือนเขาเป็นพ่อที่ใช้ไม่ได้ คนเห็นแก่ตัว ซึ่งบางทีปรมะก็คิดเช่นนั้น เขาเคยพยายามย้ายไปทำงานที่เชียงใหม่แล้วแต่เธอกลับเป็นฝ่ายรำคาญที่แบ่งห้องกับใคร ลูกน้ำเลยเผ่นหนีย้ายไปอยู่ข้างนอกคนเดียว สุดท้ายครอบครัวก็ไม่เป็นครอบครัวอย่างที่ผู้ใหญ่นึกไว้ ด้วยปรายฟ้าเป็นผู้หญิงที่มีความคิดแปลกประหลาด รักอิสระ แล้วก็ดูเหมือนจะไม่คิดจะฟังคำพูดของใคร เงินสักบาทก็ไม่ยอมรับ เขาเองที่เทียวไปเทียวมาเป็นเวลาปีเศษ กระทั่งที่สุดก็ยอมถอดใจย้ายกลับมาทำงานที่กรุงเทพอย่างที่เห็น
“ปล่อยซะทีเถอะ ยืนเก็กอยู่ได้ ผมอายเขานะ” ธีมยังไม่เลิกโวยวาย
แกล้งจนพอใจ ปืนก็ชักมือกลับแล้วยิ้มขำ ชายหนุ่มไล่สายตาไปบนหน้า เห็นรอยฟกช้ำเป็นจ้ำเขียวอยู่ที่แก้มซ้ายขวาก็อดถามไม่ได้ “แล้วนั่นแผลอะไรทั้งหน้า ตกต้นไม้หรือไปฟัดกับหมาที่ไหนมา ถ้าให้เดาคงไม่พ้นไปหาเรื่องกับใครมาอีกใช่ไหม”
“อะไรก็ช่าง เป็นพ่อภาษาอะไรแทนที่จะปลอบ เข้าข้างลูกตัวเอง เลี้ยงก็ไม่เลี้ยงยังจะไปเข้าข้างคนอื่น ไม่ต้องมาเต๊ะจุ๊ยเลย ดูสารรูปสิหัวก็ไม่เป็นทรง แต่งตัวก็โหลยโท่ย หนวดเคราก็เฟิ้มน่าเกลียด”
“ไม่ตอบดี ๆ ก็นั่งเงียบไปเลย” ชายหนุ่มออกอาการหงุดหงิดกับลูกชายจอมดื้อ ผิดกับปรายฟ้าที่หัวเราะถูกใจนักหนา มือเล็ก ๆ ของเธอขยี้ไปบนหัวของลูกชายตัวน้อยแล้วหันมาตอบคำถามแทน
“เด็กผู้ชายก็แบบนี้แหละ มีเรื่องชกต่อยบ้างตามประสา ทำอย่างกับตัวเองไม่เคยเป็น”
มันจะไม่ตามประสานี่สิ ปรมะมีคำพูดติดอยู่ที่ปากมากมายอยากจะแย้ง แต่เมื่อคิดดูแล้ว นิสัยทำอะไรตามใจตัวเองเป็นหลักติดมาตั้งแต่สมัยเรียน จนถึงบัดนี้ก็ยังแก้ไม่หาย (แถมยังถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาสู่ชวิศอีก) เรียกว่าต่อให้พล่ามอะไรไปใช่ว่าหล่อนจะสนใจตอบ
“แล้วคราวนี้จะให้ธีมเรียนอะไร”
ปรายฟ้ายกหัวไหล่ “ยังไม่รู้เลย แต่ธีมอยากเรียนชกมวย” พูดจบ เด็กชายตัวน้อยก็พยักหน้าหงึก ๆ ดวงตาใสเป็นประกาย
“เรียนภาษาจะไม่ดีกว่าเหรอ”
ปรมะส่ายหน้าไม่เห็นด้วย ปีที่แล้วก็เรียนยูโด ปีก่อนหน้าก็เทควันโด ผลก็ออกมาอย่างที่เห็น แผลถลอกเปิดไปทั้งตัว ศิลปะ ดนตรีก็ไม่สน
“น้ำไม่อยากให้ลูกเครียด เรียนปกติก็หนักสำหรับแล้ว”
ปืนครุ่นคิดอยู่สักพัก ถ้าเลือกได้เขาอยากฝึกให้ธีมเป็นผู้ใหญ่ รู้จักความรับผิดชอบมากขึ้น “ลองให้ฝึกงานที่ร้านรุ่นพี่ไหม เป็นร้านอาหาร มีขนมให้กินเล่นได้ทั้งวัน เด็กน่าจะชอบ”
เด็กที่ว่ารีบหันหน้าไปทางแม่แล้วตั้งท่าปฏิเสธ แต่ลูกน้ำกลับดูถูกอกถูกใจ “น่าสนใจนะ ถ้าพรุ่งนี้สะดวก ไม่ติดอะไรก็ลองพาเจ้าตัวแสบนี่ไปดูกัน”
“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง” ธีมหันมาแยกเขี้ยวทำหน้ายักษ์ใส่ชายหนุ่มร่างโย่ง
ปรมะมองกลับอย่างไม่สนใจ เปลี่ยนเรื่องคุยเอาดื้อ ๆ “ที่เชียงใหม่ไม่มีเคเอฟซีหรือไง ต้องมาถึงนี่”
“มีแต่ไม่อยากกิน ถ้าไม่พอใจนายก็กลับบ้านไปสิ” ธีมโวยวายกลับทันควัน ส่วนลูกน้ำยังยิ้มเรื่อย ๆ คล้ายกับทุกย่างเป็นเรื่องปกติ “แล้วไม่ไปทำงานร้านอะไรนั่นด้วย ไม่ต้องมาจุ้นเลย”
ปรมะถอนใจ (ครั้งที่เท่าไรไปแล้วก็จำไม่ได้) แล้วนั่งลงฝั่งตรงข้าม พอจนปัญญาจะหาความ ชายหนุ่มก็เลือกที่จะไม่สนใจต่อล้อต่อเถียงต่อ เขาแค่ทำหน้าที่พ่อ (ในแบบที่ปรายฟ้าต้องการ) ก็พอ พอนั่งลงแล้วปรมะก็ยื่นซองกระดาษสีขาวให้หญิงสาว แต่หล่อนดันมันกลับ ไม่คิดจะสนใจแม้จะเปิดออกดูด้วยซ้ำ
“ถ้าอยากจะให้ก็ขอเป็นเวลาดีกว่า เราตกลงกันแล้วนี่ ในเมื่อน้ำตัดสินใจเก็บน้องธีมไว้ในวันนั้นเอง น้ำก็จะรับผิดชอบทุกอย่าง” เธอพูด “น้ำกับปืนแยกกันอยู่ ปีหนึ่งจะได้เจอกันแค่ช่วงปิดเทอมใหญ่เท่านั้น ถ้าอยากจะช่วยก็ขอแค่โผล่หน้ามาเจอะเจอกันบ้างก็พอ”
“น้ำ” ปรมะเอ่ยเสียงอ่อนใจ เขาอยากจะนึกตำหนิปรายฟ้าหลายเรื่อง ส่วนหนึ่งก็คือการพูดเรื่องของผู้ใหญ่แบบนี้ต่อหน้าธีม เด็กเป็นวัยที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา และนั่นก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรต้องมารับรู้ความสกปรกของผู้ใหญ่เลย
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น น้ำไม่ได้เลี้ยงลูกให้โตขึ้นมาเป็นคนอ่อนแอ ธีมโตแล้ว มีสิทธิ์ที่จะได้รับรู้ความจริง ไม่ใช่อยู่กับคำโกหกเพราะ ๆ ที่ผู้ใหญ่สร้างให้ น้ำพูดกับธีมตรง ๆ ทุกเรื่อง เราเป็นแม่ลูก เป็นพี่น้อง และเป็นเพื่อนกัน” เธอส่งยิ้มให้เด็กน้อยที่นั่งข้าง ๆ แน่นอนว่าเจ้าตัวเปี๊ยกก็ยืดอกรับเต็มที่
“เถียงไม่เคยชนะเสียที” ปรมะพึมพำกับตัวเอง
ก็จริงอย่างที่ลูกน้ำพูด พอโตขึ้น นิยายความรักมันไม่ได้หวานแหววแบบความเข้าใจในวัยเด็ก ในความรักมีความเจ็บปวด ความกังวล ความทุกข์ใจปะปนเสมอ พอต้องเจอกับด้านที่ไม่มีใครพูดถึง คนที่ประมาทกับความรักมันจะเสียสูญ ไปต่อไม่ถูก ผู้หญิงคนนี้เป็นคนสอนบทเรียนนี้แก่เขา อาจจะเรียกก็ได้ว่าปรายฟ้าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ปรมะดูจะเฉยชากับความรู้สึกรัก ๆ ใคร่ ๆ ไปเสียแล้วก็ว่าได้
“อย่าบอกใครว่าเป็นพ่อฉันนะ ฉันอายเขา” ธีมโวยไม่เลิก เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับลูกน้ำ ด่าเขาเสร็จก็พากันหัวเราะชอบใจจนปืนเหมือนกับชายหนุ่มเป็นเนื้องอกส่วนเกิน
“โอเค...ยอม” ร่างสูงยกสองมือขึ้นเหนือหัวอย่างผู้พ่ายแพ้ เห็นได้ชัดว่าลูกชายตัวแสบเลือกที่จะเข้าข้างใคร
น้ำในแก้วของธีมพร่องจนเกือบหมด ปรมะจึงหยิบธนบัตรส่งให้เจ้าตัวจ้อย วานให้ช่วยซื้ออาหารนิดหน่อยมาเผื่อเขาด้วย ธีมแสดงท่าทางฉุนเฉียวเล็กน้อย แต่ก็ยอมลุกออกไปซื้อให้ด้วยดี
ปรมะมองตามเด็กตัวน้อยแผลงฤทธิ์ขณะต่อแถวรอซื้ออาหารอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ รอยยิ้มเล็ก ๆ แย้มขึ้นบนริมฝีปากของชายหนุ่มโดยที่เจ้าตัวอาจไม่เคยรู้ ดวงตาสีเข้มเบือนออกไปทางบานกระจก ปรมะแหงนหน้าขึ้นมองเหม่อไปยังดาวดวงน้อย ๆ ซึ่งกระจายอยู่ทั่วท้องฟ้าที่ค่อย ๆ กลายเป็นสีดำ
“ธีมเหมือนกับเธอเมื่อก่อนเลยนะ” เสียงทุ้มนั้นอ่อนลงราวกับคนละคน
“ไม่หรอก” คนที่ชื่อแปลว่าท้องฟ้าอมยิ้มแล้วยกแก้วกาแฟเย็นขึ้นดื่ม “ต่างกันเยอะเลย”
(ยังมีต่อนะครับ)