คือมึง...กูไม่กล้าแอดไปหาว่ะ เขิน >/////<
kaminsay-hi ในทวิตเตอร์ฝากติด #น้องกายหลงฝน ด้วยนะคะ โชคครั้งที่ • 2.2 •••• 100% •••
“เอาละนักศึกษาทุกคน คราวที่แล้วที่ผมให้แบ่งกลุ่มแล้วเลือกอาจารย์ที่ปรึกษาประจำกลุ่ม ทุกกลุ่มได้อาจารย์กันหมดแล้วนะ จากนี้ก็ให้แต่ละกลุ่มแยกย้ายเข้าไปคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาตามห้องที่นัดกันได้เลยนะ ส่วนกลุ่มของผมก็อยู่ห้องนี้แหละ” อาจารย์ธีร์พูดหลังจากที่การแลคเชอร์จบลง
วันนี้เรามีเรียนวิชาหลักของคณะครับ วิชาที่มีโปรเจคใหญ่นั่นแหละ
หลังจากที่อาจารย์ธีร์พูดจบเพื่อนๆ ในชั้นปีก็ทยอยกันออกจากห้องสโลบนี้ไป เหลือเพียงพวกผมแล้วก็เพื่อนอีกห้าคน เพราะพวกเราทั้งหมดอยู่กลุ่มอาจารย์ที่ปรึกษาอาจารย์ธีร์นี่แหละ
พวกผมห้าคนแล้วก็เพื่อนอีกห้าคนสนิทกันนะครับ เวลาจับกลุ่มใหญ่ที่ไรก็รวมตัวกันแบบนี้ตลอด แต่เหมือนเราแบ่งเป็นสองกลุ่มย่อยอีกทีครับ เวลาไปไหนมาไหนผมก็จะไปกับพวกไอ้ไม้ ไอ้แม็ค ไอ้เป้แล้วก็ไอ้เกลียว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สนิทกับอีกห้าคนนั้นนะ พวกเราสนิทกันครับ กินเหล้าไหนก็เฮกันไปหมด
“อย่างนั้น… พวกสุรเดชมาคุยก่อนแล้วกัน พวกคามินรอไปก่อนนะ” อาจารย์ธีร์เรียก
ผมกับเพื่อนพยักหน้ารับแล้วนั่งเล่นนอนเล่นอยู่ที่โต๊ะแลคเชอร์ครับ คือเอาจริงเก้าอี้อย่างกับโรงหนังอะครับ โต๊ะก็พับเก็บไปไว้ข้างๆ ได้ พอเก็บโต๊ะไปแล้วนี่นอนกันสบายเลย
“ไอ้กายตกลงมึงแอดเพื่อนพี่เรนไปยังวะ” ไอ้เป้หันมาถามผม
“ระดับกาย คามิน ไม่มีพลาดครับ แล้วพี่เรนก็รับกูเป็นเพื่อนแล้วด้วยโว๊ย” ผมหันไปยักคิ้วให้
“กูแอดไปหาบ้างดีกว่า” ไอ้เกลียวพูด ผมที่นอนอยู่นี้เด้งหัวขึ้นทันทีอะครับ
“เออๆ กูด้วยดีกว่า” ไอ้ไม้พูดอย่างเห็นด้วย
“กูแอดไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” คราวนี้ไอ้แม็ค
ทีนี้ละครับจากแค่หัวกระดกผมนี่กระดกทั้งตัว “ห้ามแอดโว๊ย! กูหวงของกู ห้ามพวกมึงแอดเลย”
“อ้าว มาห้ามพวกกูได้ไง กูก็อยากมีเฟสของว่าที่เพื่อนสะใภ้นะมึง” ไอ้เป้พูด
เพื่อนสะใภ้เหรอ… พูดจาดีนี่หว่า…
“อะๆ กูเห็นแก่ที่พวกมึงเป็นเพื่อนซี้กู กูยอมให้พวกมึงแอดเฟสพี่เรน(ว่าที่)สุดที่รักกูก็ได้”
พอผมพูดแบบนั้นพวกแม่งก็หันมารุมผมทันทีอะ อะไรวะก็แค่พูดความจริงเอง
“นี่ๆ เงียบๆ กันหน่อย” อาจารย์ธีร์หันมาดุพวกผม ให้พวกผมต้องร้องขอโทษอย่างพร้อมเพรียงกันแล้วหันมาส่งสายตาคาดโทษกันแทน
ผมเลิกสนใจพวกมันแล้วนอนส่องเฟสพี่เรนต่อ โอ๊ะ!! มีรูปพี่เรนด้วย แต่พี่เขาไม่ได้อัพเองหรอกครับ เพื่อนเขาแท็กมา พี่เรนโคตรน่ารักอะครับ
คนที่แท็กพี่เขามาดูเหมือนจะเป็นเพื่อนผู้หญิงที่ชื่อตินา… แล้วนั่นอะไรๆ อะไรครับ ทำไมต้องกอดคอพี่เรนด้วย แล้วกอดคออย่างเดียวไม่พอดึงแก้มพี่เรนด้วยอะ โอ๊ยยย ผมอิจฉาอะครับ
แก้มพี่เรนอย่างขาวแล้วมันต้องนิ่มมากแน่ๆ ผมอยากจะงับแก้มนั้นชะมัดเลย
Tina Yaoi : หนุ่มน้อย~ สมบัติอันดีงามของกลุ่มอิเจ๊พี่เรนนี่เป็นหนุ่มน้อยอย่างที่พี่ตินาพิมพ์จริงๆ นั่นแหละ ว่าแต่ชื่อเฟสพี่ตินาคืออะไร… ยา… ยาโอไอ ยาโออิ อะไรวะอ่านไม่ออก หรือพี่แกจะเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น นามสกุลญี่ปุ่นมากอะครับ
ระหว่างที่รอเวลาผมก็ส่องเฟสพี่เรนไปพี่ตินาไป หลังๆ ส่องแต่เฟสพี่ตินาครับเพราะรูปพี่เรนเยอะ เซฟมาได้หลายสิบรูปเลยครับระหว่างรอ เพราะพวกกลุ่มนั้นใช้เวลาคุยกับอาจารย์ไปเกือบสองชั่วโมง ก็แบบนี้ละครับคุยกันนาน ไม่ได้คุยเรื่องงานนะ คุยเรื่องเที่ยวกันอะครับ ฮ่าๆๆๆ
หลังจากที่พวกนั้นคุยกับอาจารย์เสร็จแล้วแทนที่พวกผมจะได้เข้าไปคุยต่อเลย ไม่ครับ! อาจารย์ธีร์บอกพักแปบ หิวน้ำแล้วมีการสั่งให้พวกผมไปซื้อกาแฟเย็นมาให้อีกด้วย ซึ่งกว่าพวกผมจะได้คุยก็ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง
“เอาใครก่อนดี”
“อ๊ายอาจารย์! พูดไรแบบนั้นเคอะ พวกเราเขินหมด”
พออาจารย์ธีร์พูดไอ้เป้ก็จัดเลยครับ ทั้งเสียงทั้งท่าทางกระแดะยิ่งกว่ากะเทยอีก คือพวกผมสนิทกับอาจารย์ธีร์ครับ ตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว อาจารย์เลยค่อนข้างเป็นกันเองกับพวกผม แต่เกรดนี่ไม่เป็นกันเองเลยอะครับ
“นายเป้ ศรัณย์ ดรอป…”
“โหยอาจารย์ ล้อเล่นครับ ล้อเล่น ไม่เอาไม่ทำหน้าแบบนั้นสิ”
แล้วหลังจากนั้นพวกผมก็เริ่มคุยงานกันครับ เริ่มที่ไอ้เป้นั่นแหละคนแรก ถัดมาก็เป็นไอ้แม็ค ไอ้เกลียวครับ
“คอนเซ็ปผมคือ...ความอยู่รอดครับอาจารย์” ไอ้ไม้พูด พวกผมนี้ตาโตด้วยความสนใจ อาจารย์ธีร์เองก็สนใจไม่น้อยครับ
“ไหน ลองอธิบายมาสิ” อาจารย์ธีร์พูด
แล้วไอ้ไม้ก็เริ่มเปิดกระเป๋าสะพายครับ ก่อนที่พวกผมทุกคนรวมไปถึงอาจารย์ธีร์จะช็อคตาตั้งเมื่อไอ้ไม้หยิบของในกระเป๋าออกมา
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปครับ! ทั้งยี่ห้อมาม่า ไวไว ควิก มีหมดทั้งรสหมูสับ ต้มยำกุ้ง ต้มโค้ง แกงเขียวหวาน
แม่งขนมาหมดครับ ไอ้เชี่ย!!! นึกว่าจะมีสาระ ผมก็งงตั้งแต่เช้าแล้วว่าไอ้ไม้มันสะพายกระเป๋ามา ปกติมันมาแต่ตัวครับ สมุดมันใช้สมุดอ่อนๆ เรียนเสร็จม้วนใส่กระเป๋ากางเกงได้ ส่วนปากกามันพกแท่งเดียวเหน็บไว้กับกระเป๋าเสื้อ
“นี่ครับความอยู่รอด วันไหนไม่มีเงินกินข้าวจานละสามสิบสี่สิบบาทก็ยังมีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซองละสิบบาทให้ประทังชีวิตครับ!”
อาจารย์ธีร์ถึงกับโยนปากกาลงโต๊ะแล้วยกมือขึ้นกุมขมับตัวเอง ส่วนพวกผมนี่พอตั้งสติได้ก็ถึงกับหัวเราะลั่นด้วยความขบขัน ไอ้ห่าไม้ก็คิดได้นะ
“มันเรื่องจริงนะครับอาจารย์ธีร์” ไอ้ไม้พูดหน้าตาซื่อ
“โอเคๆ มันก็เป็นเรื่องจริงอย่างที่คุณพูด ถ้าคุณจะใช้คอนเซ็ปนี้จริงๆ ผมก็ไม่ว่าหรอกนะ แต่คำว่าความอยู่รอดมันไม่ได้หมายถึงแค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนะ ผมรู้ว่าชีวิตคุณอยู่รอดมาได้เพราะเจ้านี่…”
พอได้ยินอาจารย์ธีร์พูดแบบนั้นพวกผมก็หัวเราะทันทีเลยครับ แม้แต่ไอ้ไม้เองก็ยังหัวเราะเลย คือมันเรื่องจริงมาก
“ยังไงลองเอากลับไปคิดแล้วตีความเพิ่มดูนะ”
เอาจริงๆ งานนี้คอนเซ็ปที่มาคุยกับอาจารย์มันไม่ตายตัวหรอกครับ พวกผมสามารถเปลี่ยนคอนเซ็ปไปได้เรื่อยๆ แม้กระทั่งวันสุดท้ายก่อนส่ง ขอแค่มีงานส่งพอครับ เพราะบางครั้งความคิดแรงบันดาลใจมันก็มาแบบไม่ทันตั้งตัว
“เอาละคนสุดท้ายคอนเซ็นของคุณคืออะไร”
“비 (บิ) ครับอาจารย์” ผมตอบ
“บิ” อาจารย์ธีร์ทำหน้างงอย่างไม่แน่ใจว่าฟังถูกหรือเปล่า “มันคืออะไร”
“บิ เป็นภาษาเกาหลีครับแปลว่าฝน”
“คอนเซ็ปฝน แล้วทำไมถึงใช้เป็นภาษาเกาหลีทำไมไม่ใช่ภาษาอังกฤษว่า rain”
“ฝน เป็นคำง่ายๆ ที่ใครหลายคนตีความหมายไปถึงความเศร้า ความเหงาโดยไม่รู้ตัวครับอาจารย์ ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงชอบบอกว่าฝนตกแล้วเศร้า ฝนตกแล้วเหงา” ผมพูดออกไป ซึ่งอาจารย์ธีร์ก็พยักหน้ารับ ผมจึงพูดต่อ
“ผมต้องการจะสื่อว่า
‘ฝน’ ไม่ได้มีเพียงแค่ความเศร้า แต่มันมีอะไรที่มากกว่านั้นไม่ว่าจะเป็นความสุข ความสนุกสนาน ความอบอุ่น ความอ่อนโยน หรือว่าความเซ็กซี่ ผมจะใช้คนคนหนึ่งในการสื่อความหมายท่ามกลางสายฝนในแต่ละอารมณ์ครับ”
“ส่วนที่ว่าทำไมถึงไม่ใช่เรนที่แปลว่าฝน เพราะคำๆ นี้เป็นคำที่ทุกคนเข้าใจความหมายกันอยู่แล้วว่าหมายถึงฝน คนก็จะตีความหมายไปก่อนได้เห็นภาพ แต่ถ้าหากเป็นภาษาอื่นคนก็จะสนใจว่ามันแปลว่าอะไร มีความหมายยังไงครับ”
อาจารย์ธีร์ยกมือลูบคางอย่างที่ชอบทำเวลาที่กำลังคิดอะไรอยู่ “คุณบอกว่าจะใช้คนในการสื่อความหมายสินะ คุณมีแบบในใจหรือยังว่าเขาคือใคร”
ผมยิ้มทันทีกับคำถามนั้นของอาจารย์แบบที่เพื่อนๆ ผมก็ร้องแซว
“ไอ้หมอนี่มันมี ‘ฝน’ อยู่ในใจแล้วครับอาจารย์” ไอ้แม็คครับ ไอ้แม็ค
“อย่างนั้นเหรอ”
“ครับ ผมมี ‘ฝน’ อยู่ในใจแล้ว”“แล้วคิดว่า ‘ฝนของคุณ’ จะยอมมาถ่ายโปรเจคนี้เหรอ แลดูคุณตั้งใจกับคอนเซ็ปนี้มากคิดไปถึงว่าจะสื่ออารมณ์อะไรออกมาบ้างแล้วขนาดนี้คงอยากจะทำมาก” อาจารย์ธีร์พูด
“ผมกำลังจะเริ่ม
‘จีบ’ ครับ ไม่ว่ายังไงผมจะเอา
‘ฝน’ มาถ่ายให้ได้ครับ เพราะคนนี้แหละที่ทำให้ผมคิดโปรเจคนี้ขึ้นมาได้”
“ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอให้คุณโชคดี
‘จีบฝนของคุณ’ ติดแล้วกันนะ ผมจะรอดูผลงานของคุณ เอาละวันนี้พอแค่นี้แหละ เจอกันอาทิตย์หน้า แต่ละคนก็ไปคิดอะไรมาเพิ่มเติมแล้วกันนะ”
“ขอบคุณคร้าบบบบ” พวกเราทุกคนยกมือไหว้ขอบคุณอาจารย์ธีร์ ก่อนที่พวกเรารวมไปถึงอาจารย์จะเดินออกจากห้องเรียนไป
วันนี้ไม่มีเรียนแล้วครับ บ่ายนี้ว่างซึ่งเป็นอะไรที่โคตรดี แต่ตอนนี้คงต้องไปหาอะไรลงท้องก่อน
“ไปกินข้าวที่ไหนดีวะ” ไอ้เป้ถามหลังจากที่พวกเราเดินออกมาจากตึกแล้ว
“ไปกินข้าวที่คณะศิลปกรรมศาสตร์กันไหม” ผมหันไปชวนพวกนั้นก่อนจะยิ้มกว้าง
“ทำไมจะเริ่มจีบฝนของมึงแล้วเหรอ” ไอ้เกลียวหันมาถาม
“ไปดูลาดเลาก่อนมึง ค่อยตัดสินใจว่าจะเริ่มจีบเลยดีไหม แต่ไม่ว่ายังไงกูก็ต้องจีบให้ติดแหละวะ เพราะทั้งงานทั้งชีวิตรักกูขึ้นอยู่กับเขาคนเดียวเลยนะโว้ย” ผมหันไปยักคิ้วให้แบบที่ไอ้พวกนั้นก็ทำท่าโก่งคอจะอาเจียนกับคำพูดของอะไร
อะไรวะ ก็คนเขาพูดความจริง
ผมได้แต่ส่งเสียงจิจ๊ะในลำคออย่างนึกหมั่นไส้ไอ้พวกเพื่อนตัวดีก่อนจะเดินนำไปรอรถบริการของมหา’ลัยเพื่อขึ้นไปลงที่ตึกคณะศิลปกรรมศาสตร์ เอาจริงๆ พวกผมก็ไม่ค่อยได้มาเท่าไหร่หรอกครับเพราะมันห่างจากตึกคณะของผมพอสมควร ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ ก็ไม่ค่อยได้มา ส่วนมากจะวนเวียนอยู่แต่ที่คณะของตัวเองเพราะคนที่คณะผมค่อนข้างเยอะแล้วก็มีหลายสาขาอาณาบริเวณคณะนิเทศศาสตร์จึงเพียบพร้อมไปด้วยของบริโภคอยู่แล้ว
แต่หลังจากนี้คงได้มาบ่อยๆ แล้วนะสถาปัตยกรรมศาสตร์
ดูเหมือนว่าโรงอาหารนี้เป็นโรงอาหารของคณะสินกำกับคณะสถาปัตย์ใช้ด้วยกัน คนในโรงอาหารจึงค่อนข้างเยอะ เสียงดังโหวกเหวกพอๆ กับที่โรงอาหารของคณะผมเลย พวกผมทั้งห้าคนเดินปะปนไปกับเด็กคณะนี้ไปอย่างเนียนๆ พร้อมกับมองหาที่นั่งว่างด้วยก่อนที่ไอ้เป้จะอาสาไปนั่งเฝ้าโต๊ะให้เมื่อเจอโต๊ะว่างพวกผมเลยเดินไปซื้อข้าวกัน ซื้อให้ไอ้เป้ด้วย
“มึงคิดว่ามึงจะเจอเหรอวะ ตอนกลางวันแบบนี้คนก็ไม่ใช่น้อยๆ เลยนะ” ไอ้แม็คถามในระหว่างที่ผมกำลังสอดส่ายสายตาไปมารอบๆ เพื่อมองหาสุดที่รัก
“ถ้าเป็นเนื้อคู่กันก็ต้องเจอดิวะ” ผมบอกตักข้าวเข้าปากแต่สายตาก็ยังเหลือบซ้ายแลขวาไปด้วย
แต่จนกระทั่งพวกผมกินข้าวกันเกือบจะเสร็จก็ยังไม่เห็นเขาเลยสักนิด ถ้าหากกินข้าวเสร็จแล้วจะนั่งแช่ต่อมันก็ดูไม่ดีใช่ไหมละครับ เพราะอย่างนั้นผมเลยไล่ให้ไอ้เกลียวไปซื้อของกินเล่นมาเพิ่มรวมไปถึงขนมหวานด้วยเพื่อที่จะได้ซื้อเวลาต่อ กลุ่มนักศึกษาที่นั่งอยู่ข้างๆ พวกผมก็ลุกกันไปแล้ว แต่พวกผมยังไม่ลุกครับ ต้องรอเจอพี่เรนก่อนให้ได้
“ไปนั่งโต๊ะนั้นกัน ว่างพอดี” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นก่อนที่ผมจะได้เห็นจากหางตาว่ามีกลุ่มใหม่มานั่งลงที่โต๊ะติดกับโต๊ะของผม แต่มันจะไม่อะไรเลยถ้าคนที่นั่งลองข้างผมคือ
“ฝน!!!”
คือพวกผมทุกคนหลุดออกมาหมดจนโต๊ะข้างๆ หันมามองอย่างงงๆ แม้แต่พี่เรนก็ยังหันมามอง ยังดีที่ทุกคนหลุดคำว่า ฝน ไม่ใช่ เรน คือพวกผมเรียกพี่เขาว่าฝนกันมาตลอดเพราะตอนแรกไม่รู้ชื่อจนกลายเป็นเรียกติดปากด้วยคำนี้
“ขอโทษทีครับ” ผมหันไปก้มหัวขอโทษพวกเขา
พวกพี่ๆ เขายิ้มตอบกลับมาอย่างไม่ถือสาอะไร ก่อนที่ผู้หญิงที่ชื่อตินา ผมจำได้... จะพาเพื่อนๆ ลุกขึ้นแต่พอพี่เรนจะลุกด้วยพี่ตินาเขาก็หันมากดไหล่พี่เรนนั่งลงตามเดิม
“นั่งอยู่นี่เลยจ๊ะ ไม่ต้องลุกเลย”
“ก็เราจะไปซื้อข้าว” พี่เรนทำปากยื่นใส่พี่ตินา
“เดี๋ยวพวกฉันซื้อมาให้ แกนั่งรออยู่ที่โต๊ะเข้าใจไหม พวกฉันหิวมาก อยากกินข้าวมากกว่าเดินตามหาเด็กหลงทางอย่างแก เข้าใจนะ นั่งนิ่งๆ อยู่เฉยๆ เป็นเด็กดีไม่ต้องลุกไปไหนแม้แต่ซื้อน้ำก็ด้วย”
พอพี่ตินาพูดแบบนั้นพี่เรนก็ทำแก้มป่องยกมือขึ้นดันแว่นกลมๆ ของตัวเองแต่ก็ยอมนั่งอยู่กับโต๊ะ คือผมไม่รู้ว่าพี่เขาเซ่อ เออ... หมายถึงซื่อ หรือประชดพี่ตินากันแน่ เพราะพอพวกพี่ๆ ที่โต๊ะลุกออกไปพี่เรนก็นั่งนิ่งเลยครับ คือนิ่งจริงๆ อะ
ผมได้แต่ยิ้มขำกับท่าทางนั้น พวกเพื่อนๆ ผมเองก็ขำแต่เราก็พยายามทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแล้วก้มลงจัดการกับของกินเล่นที่ไปซื้อมาเพิ่ม
ผมเหลือบมองพี่เรนบ่อยๆ แต่ดูเหมือนพี่เขาจะไม่รู้ตัวเพราะเอาแต่นั่งนิ่งๆ ไม่ยอมขยับ ตั้งใจว่าจะลองหันไปทักแล้วชวนคุยชวนมาเป็นแบบให้ผม แต่ในจังหวะที่กำลังทำใจกล้าหน้าด้านหันไปได้ก็มีคนมาขัดเสียก่อน
“ไงเรน ทำไมนั่งนิ่งแบบนี้ละ” ใครไม่รู้ รู้แต่เป็นผู้ชายและบังอาจมากที่ยกมือมากดหัวพี่เรนของผมแบบนั้น
“ตินาบอกให้เรานั่งนิ่งๆ ห้ามขยับ ห้ามไปไหน” เจ้าตัวเขาพูดแบบนั้น
“ฮ่าๆๆ ไอ้มึนเอ๊ย ตอนบ่ายอย่าลืมที่นัดนะ”
นัด? นัดอะไรวะ พี่เรนมีนัดกับไอ้หล่อน้อยกว่าผมนี่ได้ยังไง เฮ้ย ผมไม่ยอมนะโว้ย“รู้แล้ว ที่ห้องใช่ไหมเดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วจะตามไป” พี่เรนหันไปตอบมัน
ไม่ได้นะพี่เรน พี่จะไปเข้าห้องผู้ชายคนอื่นได้ยังไง ผมไม่ยอมนะโว้ยยยยยยย“อื้อ เจอกันที่สตูฯ”
อ้าว... สรุปห้องที่ว่าคือห้องสตูฯ เหรอ ไอ้ผมก็นึกว่าห้องนอน หน้าแตกเลยกู....“ไอ้กาย เหยื่อมึงนั่งอยู่ข้างๆ แบบนี้แล้วนะ มึงจะปล่อยไปง่ายๆ เหรอวะ” ไอ้แม็คที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมขยับมากระซิบ
“เอ่อๆ รู้แล้วน่า” ผมหันไปตอบมันก่อนจะหันกลับไปมองพี่เรนอีกรอบ
“เอ่อ... ขอโทษนะครับพี่”
.
.
“มีไรน้อง จะจีบเพื่อนพี่เหรอ”************************************************
แฮ่! ขอโทษค่าที่หายไปนาน (นั่งคุกเข่าสำนึกผิด) ฟางเกเรไปหน่อยค่ะช่วงนี้เลยไม่ได้จับคอม ไม่สิ จับคอมแต่ไม่ได้เปิดนิยายขึ้นมาแต่งมาอัพเลย ขอโทษด้วยนะคะ แหะๆ มันเป็นช่วงอาการเกเรอะค่ะอยากจะทำอย่างอื่น อันนี้ยอมรับผิดค่ะ ยังไงจะพยายามลดอาการเกเรของตัวเองลงแล้วมาอัพให้บ่อยๆ นะคะ ขอโทษค่ะ
ฮาบรรดาเพื่อนๆ ของน้องกายแต่ละคน... เพลียจิตจริงๆ 5555555555 น้องกายก็น่ารักเนอะ พี่เรนก็น่ารัก น่ารักพอกันทั้งคู่เลยยยย ยังไงก็ฝากติดตามพี่น้อง(?)คู่นี้ด้วยนะคะ ^^
อย่าลืมคอมเมนต์ให้ฟางด้วยนะ แต่งมาให้อ่านแล้วก็อยากอ่านคอมเมนต์บ้าง คอมเมนต์กันด้วยน๊า พลีสสสสสสสสสส
สำหรับเฟสบุ๊คค่ะ https://www.facebook.com/fgc32yaoi
สำหรับทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/Fangiily_GC
เข้าไปพูดคุย สอบถาม ทวงหานิยายกันได้เลยนะคะ ยินดีตอบทุกคน ทุกข้อสงสัย(ที่ตอบได้จ้า)