ลายที่ 21
Beach
(หาดสวรรค์)
แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดลอดผ้าม่านกระทบเปลือกตาที่ค่อยๆ ขยับเปิดอย่างเชื่องช้า แดดอุ่นยามเช้าอาบไล้ใบหน้าคมที่ยู่ย่นด้วยความรำคาญ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นประหลาดใจเมื่อพบว่าข้างกายไร้ร่างนุ่มนิ่มที่กกกอดไว้ทั้งคืน
เตียงยังอุ่น แสดงว่าน้องคงลุกไปได้ไม่นาน
ไม่มีประโยชน์จะลีลาอยู่บนเตียงอีกต่อไป ร่างสูงลุกขึ้นบิดขี้เกียจหยิบกางเกงวอร์มที่ตกอยู่ขึ้นมาสวมปกปิดร่างกาย ก่อนจะเดินสะโหลสะเหลออกจากห้อง
โฮ่ง!
สิ่งแรกที่เขาคิดคือป่านคงออกไปดูวิวข้างนอก ทว่าพอลากเท้าเดินลงบันไดลงไปยังชั้นล่าง ก็ได้ยินเสียงเห่าเรียกจากลูกชาย โมโจวิ่งมาคลอเคลียรอบเท้าเขาก่อนจะวิ่งนำผ่านบาร์เล็กๆ เข้าไปยังห้องครัว
“แป๊บนึงนะครับโมโจ”
ป่านอยู่ตรงนั้น ร่างสมส่วนหันหลังให้เขา กำลังง่วนอยู่กับอะไรสักอย่างบนเตาไม่ละความสนใจแม้จะโดนเจ้าตัวโตพันแข้งพันขาจนโมโจยอมแพ้ วิ่งกลับไปหมอบรอหน้าถ้วยอาหาร
กลิ่นคุ้นจมูกทำพี่วาหลุดยิ้ม ดึงยางรัดผมบนข้อมือมารวบผมไว้ครึ่งหัวลวกๆ ปัดรำคาญ แล้วยืนกอดอกมองคนน่ารักยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าเตา
เด็กน้อยอยู่ในเสื้อยืดของเขามันจึงหลวมโพรกจนคอเสื้อหย่อนเกือบตกจากไหล่ โชว์ผิวลำคอที่เต็มไปด้วยร่องรอยจากกิจกาม ชายเสื้อคลุมถึงครึ่งขาอ่อนเปิดรอยสักวับแวมขณะร่างเล็กเขย่งหยิบจานจากเคาน์เตอร์เหนือศีรษะ
มองจนอิ่มตาจึงเดินเข้าไปซ้อนหลังหยิบให้ ถือโอกาสจูบกระหม่อมสูดกลิ่นเส้นผมหอม จูบลามถึงหัวไหล่ แกล้งกัดซ้ำรอยจูบเบาๆ ก่อนถาม
“ทำอะไร” รู้อยู่แล้วจากกลิ่นแต่ยังอยากถามย้ำ สองแขนเท้าเคาน์เตอร์กักขังไม่ให้เด็กดื้อหนีไปไหนอีก
ป่านกัดริมฝีปากอารามตกใจที่พี่วาโผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียงกับการกระทำชวนเขินหายทำน้องอึกอักชั่วครู่กว่าจะเอ่ยตอบ “ต้มมาม่าครับ พี่หิวหรือยัง”
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไม่ควรเป็นมื้อแรกของวัน แต่ป่านจนปัญญา ในตู้เย็นมีของสดของทะเลที่แม่บ้านเตรียมไว้ให้แต่ป่านไม่รู้จริงๆ ว่าจะจัดการมันยังไง รู้เพียงอยากทำมื้อเช้าให้พี่วาด้วยตัวเองบ้าง
“หิว” มุมปากยกยิ้มร้ายกาจซ่อนความหมาย ทว่าเด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวหันกลับไปยังหม้อมาม่าที่สุกได้ที่ พยายามอธิบาย
“มาม่ามันไม่ดีต่อสุขภาพ แต่ผมทำอย่างอื่นไม่เป็น เลยใส่หมูกับผักให้จะได้มีสารอาหาร... อ๊ะ! อย่าเพิ่งกอดสิครับ” ไม่ทันพูดจบกลับถูกรวบกอด จูบฟัดไปทั่วอย่างไม่ให้ตั้งตัว
“มันเขี้ยวว่ะ” ยิ่งเดียงสายิ่งน่ารัก
ใครเขาหิวมาม่ากัน พี่วาหิวอย่างอื่นต่างหาก
“อื้อ! พี่ครับ อย่ากัดหู” กว่าจะรู้ตัวว่ากำลังจะถูกกินก็สายไปแล้ว ลูกกระต่ายจมอยู่ในอ้อมกอดสรพิษ ถูกรัดสูดกลิ่นกายหอมอย่างเอาแต่ใจ
“ไม่ไหวๆ เมียพี่น่ารัก”
ป่านหลุดหัวเราะ เอี้ยวคอกลับไปหา พยายามปั้นหน้าดุปรามทว่ากลับยิ่งถูกรุกไล่ ริมฝีปากซุกซนพรมจูบไปทั่วอย่างออดอ้อน ก่อนหยุดที่ริมฝีปาก
สองร่างอาบแสงละมุนจากหน้าต่าง จุมพิตยามเช้าแผ่วเบา ดูดดื่ม ผลัดดูดดึงริมฝีปากกันและกัน เรียวลิ้นตวัดตักตวงโหยหา ก่อนแดดอ่อนค่อยเร่งร้อน เร่งความต้องการเตลิดเกินควบคุม
ริมฝีปากดื้อรั้นตักตวงจนพอให้จึงผละสู่ซอกคอ หัวไหล่ กลิ่นหอมจากผิวกายอุ่นดึงดูดให้ยิ่งอยากจูบ เนื้อหวานชวนให้อยากกลืนกินทั้งร่าง ฝ่ามือซุกซนถลกชายเสื้อเปิดเรือนร่างพลิกร่างบอบบางดันหลังติดโต๊ะกลางครัวพลางลากริมฝีปากลงต่ำ จูบหน้าท้องขาวที่หดเกร็ง หยอกเย้าปลายลิ้นเล่นขณะรั้งชั้นในเปลือยตัวตนหมดจดที่ถูกกระตุ้นด้วยจูบจนขยาย
“พี่ครับ...มะ... มาม่าจะอืด...” อึกอักปรามการกระทำอุกอาจ ทว่ารู้ดีว่าเตลิดเกินหยุดยั้ง ยิ่งเกร็งสะท้ายเมื่อปลายลิ้นร้อนแตะลงส่วนปลาย แกล้งไล้วนแผ่วเบา
เด็กน้อยลมหายใจกระตุก สองมือทำได้เพียงคว้าขยำเส้นผมขณะที่ใบหน้าฝังลงกลางร่าง แนบชิดตามความลึกของโพรงปากที่ครอบครองแก่นกาย
“พี่... บอกว่าหิว...” เสียงสั่นพร่าปะปนเสียงครางอย่างน่าอายจนต้องกัดริมฝีปากห้ามเสียง ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอพึงพอใจ
“กำลังกินนี่ไง” คนตะกละกอบโกย รูดรั้งด้วยริมฝีปากปรนเปรอด้วยจังหวะที่ป่านชอบจนน้องหลุดร้องอีกหลายครั้ง ส่วนร้อนจัดสั่นระริก ร่างกายร้อนเร่าด้วยความกระสัน
“วา...”
“หืม?” ทั้งที่ง่วนอยู่กับร่างกายแสนน่ารักยังไม่วายยียวนส่งเสียงตอบรับ
แต่คนเรียกตัวแดงแจ๋ได้แต่หอบหายใจ ร่างกายปวกเปียกจนแทบยืนไม่ไหว ครั้งแรกที่พี่วาใช้ปากให้ ทั้งอยากทั้งอาย ความต้องการ ต่อต้าน ตีรวนจนไม่อาจเอ่ยเป็นคำ
“ฮื่ออ... ไม่เอา” หลุดร้องเสียงหลงเมื่อปลายนิ้วลอบสอดสู่ช่องทางที่ยังอ่อนนุ่มจากเมื่อคืนอย่างไม่ทันตั้งตัว
ทว่าพี่วาไม่สนใจจับขาเรียวพาดไหล่ ปรนเปรอส่วนหน้าพลางกระตุ้นส่วนหลังไปพร้อมกัน
“ตรงนี้ใช่ไหม” ไม่เหลือแรงตอบมีเพียงความขาวโพลน คลุ้มคลั่ง ไม่อาจห้ามเสียงครางอีกต่อไปเมื่อถูกรุกเร้าทั้งสองทาง ไม่อาจห้ามแม้แต่ร่างกายที่ขยับร่อนตามจังหวะ
เสียงเฉอะแฉะสลับดูดดึงหยาบโลนกลบทุกสติสัมปชัญญะ กระทั่งถึงจุดสูงสุด เสียงครางหวีดหวาน สั่นสะท้านไปทั้งร่าง
“...!!”
“โอ๋ๆ กระตุกใหญ่เลย” มุมปากยกยิ้มพึงพอใจ ก่อนรูดรีดขุ่นขาวด้วยฝ่ามือให้ฉ่ำเยิ้มก่อนค่อยๆ ไล้เลีย
“อึก...! ไม่ๆ วา... วา... อย่ากลืนนะ!” กว่าจะได้สติกว่าจะส่งเสียงร้องห้าม ราคะกามก็ถูกกลืนหมดจด ไร้ขุ่นข้น
“ไม่ทันแล้วครับ”
“...”
“หวาน
” เด็กน้อยเบ้ปาก มองคนขี้แกล้ง ก่อนเอื้อมมือประคองใบหน้าคมบดจูบทำโทษริมฝีปากซุกซนก่อนพลิกตัวดันร่างสูงจนมุมบ้าง
ฝ่ามือลูบไล้ผ่านลอนกล้ามลงต่ำ รั้งขอบกางเกงกอบกุมกลางร่างเล่นล้อกับส่วนขยาย
พรมจูบลำคอ หัวไหล่ ลากตามรอยสักบนแผ่นอกแกล้งสะกิดบาร์เบลสีเงินเล่นก่อนจะลูบผ่านหน้าท้องแกร่ง ทรุดตัวลงคุกเข่าลงหน้าแก่นกาย
“หึ” ดวงตาอสรพิษวาววับ นึกเอ็นดูการเอาคืนที่เขาเป็นฝ่ายได้กำไร “หนูก็หิวเหมือนกันเหรอคะ”
ลูกกระต่ายสบตาแป๋ว แนบใบหน้าคลอเคลียคล้ายจะทำความคุ้นเคยกับท่อนเนื้อที่กำลังเรียกร้องให้กลืนกินให้อิ่มหนำ
ก่อนแววตาแปรเปลี่ยนเป็นร้ายรั้น มือเล็กกอบกุม จับมั่น
“กินล่ะนะครับ”
ก่อนค่อยๆ ครอบริมฝีปาก เลียนแบบการกระทำ
แดดบ่ายไม่เหมาะกับการวิ่งเล่นเลยสักนิดแต่จะทำยังไงได้ กว่าจะกินจนอิ่ม กว่าจะฟื้นเรี่ยวแรงลุกขึ้นมาจากโซฟาที่ใช้กกกอดต่างเตียงก็เลยเที่ยงเข้าไปแล้ว
พี่วาทำข้าวผัดให้ป่านกิน ขณะที่ตัวเองกินมาม่าของป่านจนหมดเกลี้ยงทั้งที่เส้นอืดน้ำหมดรสชาติ แถมยังยอฝีมือการทำอาหารของน้องเกินเรื่องทั้งที่ไม่จำเป็นต้องใช้ฝีมือเลยสักนิด
สองคนจูงโมโจออกมาเดินเล่นริมหาดก่อนป่านจะยอมแพ้ต่อความร้อนขอไปนั่งพักข้างซอกหินที่พอจะมีหินก้อนโตให้ร่มเงาบ้าง มองพี่วาเล่นจานล่อนอยู่กับเจ้าลูกชายโดยไม่สนใจแดดเลยสักนิด ร่างกายท่อนบนที่ยังคงเปลือยเปล่าถูกแสงอาทิตย์เผาจนขึ้นสี ผิวที่เปลี่ยนเป็นสีแทนเคลือบน้ำทะเลอาบเม็ดทรายระยิบระยับโดยเฉพาะเครื่องประดับสีเงินบนยอดอกยิ่งสะท้อนแสงเด่นชัด
โชคดีที่เป็นหาดส่วนตัว ไม่อย่างนั้นป่านคงรู้สึกหวงเรือนร่างน่ามองนี้ที่คงกลายเป็นเป้าสายตาใครต่อใคร
ถูกมองจนรู้ตัวพี่วาจึงหันกลับมายิ้มให้ เหวี่ยงจานร่อนสีสดออกไปให้โมโจวิ่งตามอีกรอบก่อนจะเดินกลับมาหาป่าน ร่างสูงโน้มตัวลงประทับริมฝีปาก คล้ายถูกแรงดึงดูดเกินห้าม แขนแกร่งเพียงข้างเดียวเกี่ยวเอวบางรวบเข้าหาพลางทิ้งตัวนอนหงายบนพื้นทราย พลิกกายน้องขึ้นมานั่งทับ จุมพิตดูดดื่มท้าเสียงคลื่นและดวงอาทิตย์จ้าจัด
โฮ่ง!
ไม่ทันไรถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเห่าเจ้าลูกชาย ป่านหลุดขำ ผละริมฝีปากออกแต่ยังนั่งคร่อมร่างอยู่อย่างนั้น
“อย่าขัดจังหวะดิโมโจ” เสียงทุ้มปรามไม่จริงจัง ก่อนจะหยิบจานร่อนที่โมโจคาบมาวางไว้ให้ออกไปให้ไกลกว่าเดิม
พอลูกชายพ้นสายตา สองร่างก็ดึงดูเข้าหากันอย่างเชื่องช้า ทว่าริมฝีปากเพียงแตะแผ่วเบาก่อนน้องจะผละออกมา
“ทำไมพี่ชอบผมเหรอครับ” คล้ายกำลังเล่นเกมถามตอบ หนึ่งคำถามแลกหนึ่งจูบ เล่นล้อกับความโหยหาของคนพี่ที่พยายามดื้อดึง แต่เพียงถูกสองมือประคองใบหน้าปรามก็ยอมละสายตาจากริมฝีปากฉ่ำ คิดคำตอบ
“บอกแล้วเหรอว่าชอบ” ไม่วายยียวน
“...”
“โอ๋ๆ พี่ล้อเล่นๆ ไม่เบะสิ” ปลอบกลั้วขำก่อนจะขยับลุกพิงโขดหินให้น้องคร่อมตักเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง “ไม่รู้ดิ รักแรกพบมั้ง”
สืบสาวไม่ได้ความ ไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองตกหลุมรักเด็กน้อยตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีก็ถอนตัวไม่ขึ้น หลงจนโงหัวไม่ไหว
“โกหก ตอนเจอกันครั้งแรกพี่เอาแต่ดุ”
“ดุตอนไหน”
“พี่ไล่ผมกลับ” ป่านเบ้หน้า นึกถึงตอนแรกที่เจอกันพี่วาไม่มีท่าทีของคนตกหลุมรักสักนิด มีแต่ความรำคาญ
คิดแล้วก็ยิ่งน่าประหลาดใจที่ความสัมพันธ์มาไกลถึงขั้นนี้
“ก็เรา...” ผู้ใหญ่ดื้อชะงักไปสักพัก คิดหาคำแก้ตัวแต่สุดท้ายก็ได้แต่ยกธงขาว ยอมรับ “โอเค ยอมแพ้ ดุว่ะ ทำไมตอนนั้นดุน้องวะ แม่ง ปากหมา”
ดุด่าตัวเองจนป่านหลุดหัวเราะ น่ารักจนอดไม่ได้ที่จะแหกกติกากดจูบหนักๆ ลงไปอีกครั้ง
“สงสัยพี่แพ้ความขาว” ยังไม่หยุดแกล้งให้น้องหมั่นไส้ในคำตอบ จนถูกงับริมฝีปากเบาๆ พี่วาหัวเราะ รวบร่างเล็กไว้ในอ้อมกอด จูบฟัดจนพอใจก่อนจะเอ่ยกระซิบข้างหูแผ่วเบา
“หึ ล้อเล่น พี่ก็ชอบทุกอย่างที่เราเป็นนั่นแหละ”
“ยังไงครับ” น้องเงยหน้าถาม
ครุ่นคิดสักพักพี่วาก็ก้มลงจรดหน้าผากแตะกัน สบตา เอ่ยจริงจัง “ก็ยังงี้ เป็นเด็กดี ฉลาด น่ารัก น่ารังแก”
“มิน่า ถึงชอบแกล้งผม”
“ล้อเล่นหรอก ใครจะรังแกลง ตอนพี่สักให้แล้วเราน้ำตาคลอ เหมือนใจพี่จะสลายเลยรู้ป่ะ”
“เวอร์แล้ว”
“จริง ไม่รู้เหรอว่าตัวเองน่ารัก น่าทะนุถนอม” ย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจนคนคาดคั้นถึงกับอึกอัก
“ค... ใครจะไปรู้เล่า”
“เออ งั้นก็รู้ไว้ซะ น้องโคตรน่ารักเลยครับ” พอถึงตรงนี้ก็เสียอาการทั้งคนตอบคนถาม พี่วาหูแดง ส่วนป่านก็ขึ้นสีจัดไปทั้งแก้ม ก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน ริมฝีปากทาบริมฝีปากมอบจูบหวานเมื่อได้คำตอบที่พอใจ
“ช่างสักมีตั้งเยอะแยะ ทำไมถึงเป็นพี่” ตักตวงจนชุ่มฉ่ำจึงผละริมฝีปาก พี่วาเป็นฝ่ายถามกลับบ้าง
“ข้อนี้ผมเคยบอกไปแล้วนะครับ”
“หา? ตอนไหน”
“โธ่ ไหนบอกเป็นรักแรกพบไงครับ”
“ตอนไหนอ่ะ ตอนไหนๆ”
“ไม่บอกแล้วครับ”
“...”
“วาอ่ะ ไม่ใส่ใจ” คนขี้ลืมได้แต่หัวเราะ แกล้งงับปลายจมูกย่นด้วยความมันเขี้ยว
“แล้วทำไมชอบพี่” ก่อนจะเปลี่ยนคำถาม นิ้วมือเกลี่ยเส้นผมออกจากใบหน้า พรมจูบแก้ม ระถึงหน้าผากแผ่วเบา
“บอกตอนไหนครับว่าชอบ?” ได้ทีจึงยอกย้อนยียวนกลับ
“แน่ะ มุกซ้ำ”
เล่นตัวไม่เท่าไหร่ เห็นสีหน้าออดอ้อนของพี่วาก็ยอมเฉลยออกมาจนได้ “หึ เพราะโมโจครับ”
“ฮะ?”
“ตอนโมโจป่วยพี่เหมือนจะร้องไห้ ผมเลยคิดว่าจริงๆ แล้วพี่อ่อนโยนจัง”
“เอ้อ... ไม่รู้เหรอพี่ทำบังหน้าไปงั้น” คนขี้อายยังทำกลบเกลื่อนเฉไฉ
“เวลาพี่เขินแล้วเฉไฉแบบนี้ก็น่ารัก”
“หึ เวลาเขินแล้วทำอย่างอื่นพี่ก็น่ารักนะ อยากเห็นไหม” ถูกต้อนจนทำหน้าไม่ถูก คนพี่จึงทำเป็นต้อนกลับ คิดไม่ถึงว่าจะถูกน้องร้องห้ามด้วยถ้อยคำที่ทำเอาผงะ
“หยุดเลยตาเฒ่าหื่นกาม!”
“ฮะ...เฮ้ย! ไปเอาคำนี้มาจากไหน”
“คุณหนูครับ” คำตอบไม่ยากเกินคาดเดา คำพูดประหลาดๆ แบบนี้จะมีใครสอนได้อีก
“ต่อไปนี้ห้ามไปเล่นกับคุณหนูอีกเลยนะ!”
ป่านหัวเราะชอบใจ ไม่รับปาก เพียงโน้มใบหน้าพี่วาลงมารับจุมพิตอีกครั้ง จูบหวานไม่รู้อิ่ม มีแต่อยากจูบซ้ำๆ
ในความคิดหวนกลับถึงความประทับใจแรกที่เจอกัน ความเกรี้ยวกราดที่ใช้กลบเกลื่อนความอ่อนโยน มุมอบอุ่นที่ซ่อนไว้เปิดเผย แปรเปลี่ยนให้ความน่ากลัวกลายเป็นความน่ารัก
‘โมโจ ไม่งอแงดิ’
‘...’ ตอนนั้นป่านมาร้านสักเพื่อรอแม่มารับ นึกแล้วก็แปลก ทั้งที่มีสถานที่อื่นให้เลือกมากมายแต่น้องกลับเลือกไปที่ร้านสัก ทั้งที่โดนไล่โดนดุสารพัด
แต่กลับ... อยากเจอหน้าทุกวัน
‘โธ่ โมโจครับ’ พี่วาดูเป็นห่วงลูกชายจนน่าสงสาร ได้แต่งอแงกับเจ้าตัวโตที่นอนหงอยหงอไม่รู้เรื่องรู้ราว
‘พี่เป็นอะไรครับ นั่งหงอยเชียว’ ป่านอดถามไม่ได้ มองหนึ่งคนหนึ่งหมาที่อยู่ในอาการเดียวกัน
พี่วาถอนใจ หดหู่หมดมาด
‘โมโจดิ โมโจป่วย ไม่ยอมกินข้าว’
‘ไปหาหมอหรือยังครับ’
‘ไปไม่ได้ นัดลูกค้าไว้ ไอ้เฮียก็อยู่กับคุณหนู ไอ้เฮียนะไอ้เฮียเห็นเมียดีกว่าลูกได้ไง คอยดูนะกลับมาจะฟ้องหย่าเอาค่าเลี้ยงดู
@$%$^* ((_...’
‘พี่ครับ ใจเย็น’ พอได้ยินเสียงปลอบประโลมของน้อง พี่หยุดบ่น ถอนใจ หันกลับมาทำเสียงอ่อนใส่โมโจอีกครั้ง
‘โมโจคร้าบ โมโจ กินข้าวหน่อยลูก พ่อเป็นห่วงจะแย่แล้ว’
ป่านไม่เคยเห็นเขาในมุมนี้ มุมซึมเซาน้ำเสียงอ่อนใจ รู้ดีว่าเสียอาการเพราะโมโจสำคัญกับพี่วามาก เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่เขาอ่อนโยนอ่อนหวานด้วย รักเหมือนสายเลือดแท้ๆ
สุดท้ายจึงอาสา
‘ผมพาไปโรงบาลให้ไหมครับ’ ยังไงเสียวันนั้นป่านก็ต้องรอแม่มารับอยู่แล้ว แถมไม่มีคิวสัก แทนที่จะอยู่ว่างๆ น้องอยากทำประโยชน์ตอบแทนพี่วาบ้าง
‘ได้เหรอ’ คนพี่ตาวาว สีหน้ามีความหวัง
‘ครับ’ ตอนนั้นพี่วาคงไม่ทันรู้ตัวว่าตัวเองไว้ใจน้องแค่ไหน ทั้งที่เพิ่งเจอกันไม่นาน แถมยังตีหน้ามึนไล่น้องทุกครั้งที่เจอหน้า
‘เออพี่ก็ว่าได้ ลูกพี่ก็เหมือนลูกเรา’
แต่บอกตามตรง ถ้าจะมีใครสักคนบนโลกที่เขาจะยอมให้ดูแลโมโจแทน ใครคนนั้นคือน้องป่าน
คำพูดที่ดูไม่คิดอะไรของพี่วาทำให้ป่านคิดมากกว่าที่คิด ยิ่งถูกตอกย้ำจากสัตวแพทย์ที่เป็นคนรู้จักพี่วาก็ยิ่งทำน้องฟุ้งซ่าน
‘แปลกนะครับปกติวาไม่ให้ใครพาโมโจมาหาหมอแทนเลย แค่จะเล่นด้วยยังโดนขู่แง่งๆ ดุกว่าหมาก็เจ้าของนี่แหละ’
ทั้งที่ดูเหมือนจะไม่มีประเด็นอะไรให้ขบคิด ทว่าป่านไม่อาจหยุดคิดมาก ได้แต่พยายามสลัดความคิดเตลิดไกล จดจ่อเพียงหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย กลับไปถึงร้านสักพักเห็นพี่วายังไม่เสร็จธุระป่านจึงถือวิสาสะจัดการเรื่องอาหารให้เจ้าตัวโตที่คงกำลังหิวได้ที่
โมโจยอมกินอาหารที่ป่านผสมให้ในจังหวะเดียวกับที่พี่วาสักเสร็จแล้วเดินเข้ามาเห็นพอดี
‘เก่งมากเลยครับ กินเยอะๆ คุณพ่อจะได้ดีใจนะ’ เห็นจังหวะที่น้องชื่นชมปรบมือให้เจ้าลูกชายที่หันมามองเขาพลางส่งเสียงเห่าให้เด็กน้อยรู้ตัว
ป่านหันกลับมาสบตาเขา ยิ้มกว้างรีบรายงานอาการให้คลายเป็นห่วง
‘หมอบอกว่าน้องเบื่ออาหารน่ะครับ ไม่ได้เป็นอะไรมาก’
‘ทำไมเดี๋ยวนี้ดื้อวะโมโจ’ ถึงปากจะบ่นแต่คนพี่ลงมานั่งคุกเข่าข้างกัน ฝ่ามือใหญ่ลูบหัวลูบหลังโมโจที่กำลังกินอาหารเอร็ดอร่อยอย่างเอ็นดู
‘ก็พี่ให้กินตามใจ’ คนเด็กกว่าบ่นบ้าง ลืมตัวว่าอีกฝ่ายอาจไม่พอใจ
แต่พี่วาหันมาทำตาโตใส่ ‘ไม่ตามใจได้ไง นี่ลูกนะ’
‘ครับ รู้แล้วว่าลูกรัก’ สีหน้าตื่นตูมทำป่านหลุดขำ
‘เนี่ยเลี้ยงมาแต่เด็ก เดี๋ยวให้ดูรูปตอนเล็กๆ พี่ถ่ายไว้หมดเลย’ คนพี่ยังไม่วายดึงดันอวดอ้างเหตุผลที่อดตามใจไม่ได้
‘นี่ตอนรับมาเลี้ยงใหม่ๆ ตอนไปเดินเล่นกัน นี่ตอนหัดขอมือครั้งแรก โมโจโตไวมากเผลอแป๊บเดียวก็อุ้มไม่ไหว’ ที่ประคบประหงมก็เพราะรักมากหรอก ออเซาะหน่อยก็ใจเหลวไปหมด ให้ใจแข็งยังไงไหว
‘ฮะๆ’ ป่านไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกในตอนนั้นได้ยังไง รู้เพียงว่าตัวเองยิ้มกว้างกว่าครั้งไหนๆ
‘น่ารักไหม น่ารักเนอะ’ นั่นสิ ใครจะใจแข็งได้
‘ครับ น่ารักมาก’
‘เนอะๆ โมโจของพ่อน่ารักที่สุด’ ถึงยิ้มยาก ถึงเกรี้ยวกราด แถมชอบทำหน้ามึนตีซึนทำดุเขา
‘ครับ คุณพ่อโมโจก็น่ารัก’
แต่กลับมีมุมอ่อน มุมอ้อนให้ใจเหลวเสียขนาดนี้
จะไม่ให้หลงกลหลงชอบได้ยังไง
แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดลอดโขดหินกระทบสองร่างเปลือยเปล่าที่ค่อยๆ ขยับเชื่องช้า
“วา...หลัง... หินบาดหมดแล้ว” เสียงคลื่นลมไม่อาจกลบเสียงเนื้อสะโพกที่กระทบกับหน้าขาเป็นจังหวะ เสียงเฉอะแฉะยามช่องทางอุ่นกลืนกินความแข็งขึงร้อนจัด
“อือ ไม่เป็นไร” ฉากหลังคือดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าสะท้อนผิวน้ำทะเลระยิบระยับงดงามจับใจ
“เป็น...วาเจ็บ”
“ไม่อยากให้เจ็บก็อย่าขย่มแรงสิครับ”
เสพสมไม่อายฟ้า ร่างขย่มโยกไม่กลัวว่าแผ่นหลังเปลือยเปล่าจะขูดครูดกับหินคมจนได้แผล
“ผม... ทำไม่ได้”
จะกลัวอะไรในเมื่อยามปกติดรสเซ็กซ์ดิบดุเจ็บน้อยกว่านี้เสียที่ไหน ทั้งกรงเล็บทั้งคมเขี้ยวฝังลึกฝากรอยรักไว้เต็มแผ่นหลัง
“หึ ได้ทำพี่เจ็บบ้างชอบไหม?” ราวบทบาทย้อนสลับ ตั้งแต่เช้าได้รับการปรนเปรอจนอิ่มหนำ
ทาสเป็นฝ่ายขย่มกดข่มเจ้านายยามร่วมรัก เป็นฝ่ายควบคุมร่างกำยำไว้ใต้ร่าง
“ชอบล่ะสิ รัดพี่แน่นเชียว”
“อึก...” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยกสะโพกสูงก่อนกลืนกินจนสุดทาง ท่าทางเงอะงะแปรเปลี่ยนเป็นช่ำชองเริงรัก
สองขาชันเข่าอ้ากว้าง ท่วงท่าน่าอายทว่าความปรารถนาถลำลึกจนไม่อาจควบคุมได้ เพียงขยับโยกตามความต้องการ ให้ความแข็งขึงแทรกลึกกระทบจุดกระสัน
“อย่ากัดปากสิ เลือดออกแล้ว” คนพี่ร้องปราม มองใบหน้าคนรักบิดเบี้ยวด้วยความซ่านเสียวอย่างน่ารัก
“ฮื่อ... ไม่เอา...เสียง...”
“ไม่มีใครได้ยินหรอก” มุมปากยกยิ้มเอ็นดู ก่อนจะจับเปลี่ยนท่า จับร่างบอบบางอุ้มกระเตงทั้งที่สองร่างยังเชื่อมกัน ร่างเปลือยเปล่าออกจากร่มเงา ถูกอาบด้วยแสงอาทิตย์สีส้มจัดสะท้อนเหงื่อยิ่งดูงดงาม
“ไม่...อ๊ะ วา!”
ถึงถูกร้องห้ามมองซ้ายขวาอย่างระแวงว่าจะมีคนมาเห็นเขา กระนั้นพี่วาก็ยังเลือกก้อนหินที่เรียบที่สุดในมุมที่มองอาทิตย์ลับขอบฟ้าได้ชัด สองมือรองแผ่นหลังบางไม่ให้บาดเจ็บขณะกระแทกกระทั้น “นะครับ ขอพี่ฟังเสียงหน่อย”
“อือ...”
“เรียกชื่อพี่สิ” ออดอ้อนผิดกับตัวตนแข็งขืนที่สอดกระทบรุนแรงตามแรงราคะที่โหมกระพือร้อนเร่า
“วา...พี่วา”
“อืม... เสียงเราเพราะกว่าเสียงคลื่นอีกนะ รู้ตัวหรือเปล่า” ยิ้มพอใจ ฟังเสียงกระเส่าเจือเสียงคลื่น เสียงหอบเคล้าเสียงครางหวาน
ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงครางหวีดเมื่อถึงฝั่งฝัน หยาดขาวข้นกระเซ็นสาดเปรอะรอยสักบนร่างกำยำ ภายในบีบรัดถี่จนเสร็จสมตามกัน ปลดปล่อยในช่องทางจนล้นทะลัก
พี่วาทิ้งตัวกอดซบปลอบประโลมร่างบางที่ทั้งหอบสั่นทั้งกระตุกรุนแรงด้วยอารมณ์เสร็จสมสูงสุด ถูกเติมเต็มเกินความปรารถนาจนสติเตลิดขาวโพลน คล้ายจะคลุ้มคลั่ง
ก่อนจะสงบ สองมือยกปะป่ายลูบไล้ไปตามรอยสักที่เปรอะเปื้อนด้วยขุ่นขาว ยกโอบรอบคอเรียกร้องให้จุมพิตลงมาอีกครั้ง ต่างคลี่ยิ้ม เสียงทุ้มกระซิบชิดริมฝีปาก คลอเคลียปลายจมูก ลมหายใจอุ่นเป่ารดใบหน้ากันและกัน
...เนิ่นนานราวนิรันดร์
“ทิวากรหมายถึงพระอาทิตย์รู้ไหม”
“อือ...”
“แล้วรู้หรือเปล่าว่าแสงอาทิตย์มันอันตราย”
“รู้...”
“งั้นก็ควรรู้ไว้ ว่าจนกว่าจะแหลกสลายอยู่ใต้ร่าง... พี่จะไม่ปล่อยเราไป”
ต่อให้คลื่นสงบ ลมหาย กลางวันเคลื่อนคล้อยลงต่ำ สองร่างยังคงกอดก่าย ร่วมรัก สุขสม เสพสุขซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ท่ามกลางอาทิตย์ตกเป็นพยาน
#มอปลายลายสัก #สักวาป่านหวาน #วาป่าน
ตอนหน้าบทส่งท้ายแล้ววววว
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ
- Martian -