ตอนพิเศษ : ถ้าเรายังคิดถึงกัน
แสงสุดท้ายเปลี่ยนท้องฟ้าให้กลายเป็นสีม่วงแต้มด้วยริ้วสีส้ม สวยงามเสียจนหลายคนอดไม่ได้ที่จะหยิบกล้องโทรศัพท์มือถือหรือกล้องดิจิทัลขึ้นมาบันทึกภาพเก็บไว้ ไม่เว้นแม้แต่ชายหนุ่มที่เพิ่งก้าวลงจากรถสองแถว เขายืนรอกระทั่งคนที่มาด้วยกันจ่ายเงินค่ารถเรียบร้อย จึงพากันเดินข้ามไปอีกฟากถนน หยิบกล้อง DSLR ตัวใหญ่ในกระเป๋าขึ้นมาเก็บภาพแนวกำแพงอิฐที่ยังคงตั้งตระหง่านอ้าแขนต้อนรับผู้มาเยือน และเมื่อดวงอาทิตย์เคลื่อนลับขอบฟ้า ความมืดก็โรยตัวปกคลุมไปทั่วบริเวณ ไฟสีเหลืองนวลถูกเปิดขึ้นเพื่อให้แสงสว่างและคงความสง่างามของกำแพงเวียงเอาไว้
สองคนเดินผ่านช่องประตูขนาดใหญ่ รอจังหวะรถว่างจึงเดินปะปนไปกับผู้คนข้ามฝั่งมุ่งหน้าสู่ถนนที่ขนาบข้างด้วยร้านรวงต่าง ๆ ทั้งสินค้าพื้นเมืองที่บอกเล่าถึงศิลปวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมายาวนาน และสิ้นค้าที่ผ่านกระบวนการคิดประดิดประดอยซึ่งชี้ให้เห็นว่าคนเชียงใหม่มีความรักในศิลปะและเปิดใจยอมรับความเป็นสมัยใหม่ ไม่ว่าเวลาจะล่วงเลยไปนานเพียงใด เชียงใหม่ก็ยังคงเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีมนต์เสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนมิได้ขาดสาย
“ผมถือให้” ตฤณกรกล่าวพลางรั้งกระเป๋ากล้องจากบ่าของอีกฝ่ายมาสะพายไว้เสียเอง
“คนเยอะจัง” อาทิตย์ทัศน์เปรยขึ้นขณะที่ตายังไม่ละจากช่องมองภาพ ไม่นานเสียงชัตเตอร์ก็ดังรัวแข่งกับเสียงประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงจากกองอำนวยการ
“ก็นี่ถนนคนเดินนะคุณ ไม่ใช่ในใจผม”
“ในใจคุณแล้วทำไม” ลดกล้องลงมุ่นคิ้วมองคนพูดด้วยความสงสัย
“ในใจผมก็มีคุณอยู่คนเดียวไง”
“เสี่ยวฆ่าไม่ตายจริง ๆ” อาทิตย์ทัศน์โคลงศีรษะหน่าย ๆ ก่อนจะเดินหนี ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเปิดหาข้อความพร้อมกับกวาดตามองหาบางสิ่งบางอย่าง
“หาอะไรน่ะคุณ”
“ขวัญฝากซื้อของน่ะ ตั้งแต่เดินเข้ามาผมยังไม่เห็นเลยว่าจะมีร้านไหนขาย”
“อะไรเหรอ”
“กำไลเงินน่ะ เห็นว่าจะให้ป้าดาเป็นของขวัญ”
“อืม...ถ้าร้านขายเครื่องเงินละก็ต้องไปที่ถนนวัวลาย แต่ก็ไม่แน่วันนี้เขาอาจจะมีมาตั้งร้านที่นี่ก็ได้ ผมจำได้ว่ามีอยู่ร้านหนึ่ง เราเดินไปข้างหน้าอีกหน่อยนะเผื่อจะเจอ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะอยู่แถวนี้แหละ” ว่าแล้วตฤณกรก็เดินนำพร้อมกับชะเง้อคอมองหาร้านที่ว่าไปด้วย กระทั่งมาถึงทางแยกชายหนุ่มจึงหันไปรั้งข้อมือคนเดินตาม
“จ้า ร้านนี้ไง” เจ้าของร่างสูงกล่าวเมื่อพากันมาหยุดยังแผงขายเครื่องเงินซึ่งเจ้าของร้านเป็นคุณยายผมสีดอกเลาเกล้ามวยต่ำ สวมชุดเสื้อผ้าฝ้ายพื้นเมืองกับผ้าฝ้ายกับซิ่นทอมือดูเข้ากัน
อาทิตย์ทัศน์มองในตู้กระจกพลางลากสายตาไปบนผืนกำมะหยี่สีแดงที่มีเครื่องประดับที่ทำจากโลหะสีเงินเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ในที่สุดก็สะดุดเข้ากับกำไลวงหนึ่ง ปลายนิ้วแตะลงที่ระนาบใสตรงตำแหน่งเดียวกับที่ตามองแล้วเอ่ยขึ้น
“วงนี้สวยไหม”
“อื้อ เรียบ ๆ เหมาะกับป้าดาดีนะ แต่ผมว่าวงมันใหญ่ไปหน่อย ป้าดาสวมแล้วต้องดูเทอะทะแน่ ๆ” ว่าแล้วก็ลากปลายนิ้วชี้ที่อีกวงหนึ่ง “วงนี้ลายเดียวกันแต่เล็กกว่า”
“ผมขอดูวงนี้ครับคุณยาย” อาทิตย์ทัศน์รอครู่หนึ่งจึงรับกำไลจากมือเหี่ยวย่น มองอย่างพิจารณา กำลังจะถามราคาก็ต้องหยุดเมื่อเสียงของใครคนหนึ่งที่ดังขึ้นจากด้านหลัง
“ตัง! ตังใช่ไหม”
เจ้าของชื่อเหลียวกลับไปตามเสียงแล้วพบว่าคนเรียกนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน เธอคือเพื่อนสมัยเรียนมัธยมที่ไม่ได้พบกันนานนั่นเอง
“ปิ่น”
“ตังจริง ๆ ด้วย ไม่ได้เจอกันนานเลย”
อาทิตย์ทัศน์เหลียวกลับไปมองหญิงสาวร่างเล็กซึ่งเดินรี่เข้ามาจับไม้จับมือของคนตัวสูงที่ยืนข้าง ๆ นิดหนึ่งก่อนจะหันไปสนใจเครื่องประดับเงินตรงหน้าเหมือนเดิม
“ปิ่นสบายดีเหรอ”
“สบายดีจ้ะ”
“แล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่”
“พอเรียนจบปิ่นก็ทำงานโรงแรมที่เชียงรายอยู่ 3-4 ปีน่ะ เบื่อ ๆ ก็เลยลาออกมาช่วยแม่ทำร้านขนมอยู่บ้านเราดีกว่า วันอาทิตย์ก็เอามาขายที่ถนนคนเดินนี่แหละ แล้วตังล่ะเป็นยังไงบ้าง ตั้งแต่จบม.หกก็ได้เจอกันเลย”
“เราไม่ค่อยได้กลับบ้านน่ะ ตอนนี้ก็ทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ”
“ถึงว่าปิ่นกลับมาอยู่เชียงใหม่ตั้งหลายปีไม่เคยเจอตังเลย”
ตฤณกรได้แต่ยิ้ม ยกมือขึ้นกระชับสายกระเป๋ากล้องบนบ่า
“นี่มาซื้อของฝากเหรอ”
“ใช่ ว่าจะดูกำไลสักวงน่ะ”
“ดูให้เจ้าของแหวนที่นิ้วนางนั่นหรือเปล่า”
“ม...ไม่ใช่ มีคนเขาฝากซื้อน่ะ” ตฤณกรรีบปฏิเสธ แต่ดูเหมือนว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่อีกฝ่ายอยากรู้
“อยากรู้จังว่าใครกันนะเป็นคนที่โชคดีคนนั้น” หญิงสาวเลิกคิ้วพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ สายตาบ่งบอกว่าจะเอาคำตอบให้ได้
“เราต่างหากโชคดีที่ได้เขามาอยู่ข้าง ๆ” พูดแล้วกับเหลือบมองอีกคนที่กำลังหันหลังให้ ไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินหรือไม่ แต่ที่เห็นก็คืออาทิตย์ทัศน์กำลังยกมือข้างที่สวมแหวนแบบเดียวกันขึ้นเกาแก้มที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อในขณะที่มืออีกข้างยังคงถือโทรศัพท์แนบหูก่อน
“พูดแบบนี้ปิ่นชักอยากรู้จักแล้วสิ”
“เอาไว้คราวหน้าจะพามาแนะนำนะ”
“ได้จ้ะ คราวหน้าแวะไปกินขนมร้านปิ่นนะ”
ตฤณกรพยักหน้ายิ้ม ๆ
“ถ้าอย่างนั้นปิ่นไปก่อนนะตัง ปล่อยให้แม่ขายของคนเดียวนานแล้ว ดีใจที่ได้เจอนะ”
“อื้อ เราก็ดีใจ”
นัยน์ตาสีเข้มทอดตามองหญิงสาวที่เดินหายเข้าไปในฝูงชนจำนวนมาก ชายหนุ่มกดยิ้มที่มุมปากจากนั้นก็หมุนตัวกลับพร้อมกับยกแขนขึ้นโอบไหล่เจ้าของกลิ่นหอมอ่อน ๆ เอาไว้
“ตัดสินใจได้หรือยังว่าเอาวงไหน”
“เอาอันนี้แหละ ผมคุยกับขวัญแล้ว ขวัญชอบวงนี้เหมือนกัน” อาทิตย์ทัศน์กล่าวพร้อมกับส่งกำไลเงินให้คุณยายเจ้าของร้านพร้อมกับธนบัตรใบหนึ่ง “เมื่อกี้ใครเหรอ”
“ปิ่น เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียนมัธยมน่ะ”
เจ้าของคำถามรับเงินทอนกับถุงกระดาษประทับตราชื่อร้านจากนั้นจึงพากันเดินออกมา
“นึกว่าแฟนเก่าเสียอีก”
ตฤณกรฟังแล้วหัวเราะพรืด “อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้น”
“ใช่หรือเปล่าล่ะ”
“ไม่ใช่สักหน่อย” คนตัวสูงกล่าวอย่างไม่ลังเล ดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ก่อนจะกระซิบ “อย่าบอกนะว่าคุณหึงผม”
“สำคัญขนาดนั้น”
ได้ฟังประโยคแห้งห้วนไม่มีเยื่อใยนั้นแล้ว ตฤณกรก็ได้แต่ทำหน้ามุ่ย กระนั้นจนแขนก็ยังคงโอบไหล่คนพูดไม่ยอมปล่อย
อาทิตย์ทัศน์ยิ้มน้อย ๆ ในขณะที่ดวงตายังคงมองไปข้างหน้า “ผมจะหึงทำไมกัน เมื่อคุณยังบอกอยู่หยก ๆ”
“บอก? ผมบอกว่าอะไร”
“ก็บอกว่าข้างในใจของคุณมีผมอยู่แค่คนเดียว หรือไม่จริง”
“จริงที่สุด” ร่างสูงกระชับแขนแกร่งรั้งคนพูดเข้ามาชิดจนแทบไม่มีระยะห่างระหว่างกัน เห็นรอยบุ๋มที่แก้มเนียนแล้วอยากจะฝังจมูกลงไปให้เต็มรัก...
เมื่อเดินมาได้เกือบครึ่งทาง ต่างคนก็ต่างพร้อมใจกันชะลอฝีเท้า เมื่อมองไปยังฝั่งหนึ่งตฤณกรก็พบว่าบริเวณที่เคยเป็นร้านขายโปสการ์ดและรับวาดภาพเหมือนของคุณลุงที่เคยฝากตัวเป็นศิษย์ ร่ำเรียนวิชาจนสามารถสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ได้ ขณะนี้ได้กลายเป็นที่ตั้งของร้านขายผ้าพื้นเมืองไปเสียแล้ว
“เฮีย! น้ำแข็งหมด ไปซื้อน้ำแข็งให้หน่อย”
เสียงแหลมเล็กที่ดังขึ้นจากริมบาทวิถีฟากตรงข้ามเรียกสายตาสองคู่ที่กำลังมองไปยังจุดเดียวกันให้ย้ายไปยังสาวน้อยเอวบางหน้าตาจิ้มลิ้มในชุดนักศึกษาที่กำลังช่วยแม่ทอนเงินให้ลูกค้าร้านน้ำปั่นที่อยู่ถัดขึ้นไปในฝั่งตรงข้าม หลังจากร้องบอกพี่ชายแล้วเธอก็สารวนหยิบนู่นนิดนี่หน่อยใส่ในถ้วยตวงก่อนจะเทส่วนผสมต่าง ๆ ลงโถพลาสติกติดใบมีดสำหรับปั่นอาหาร กดปุ่มให้เครื่องทำงานแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองหนุ่มผมยาวที่ยังคงนั่งนิ่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ที่นั่งวาดรูปอยู่กลางถนน พลันหัวคิ้วก็เคลื่อนเข้าหากันทันทีในขณะที่ปากก็ตะโกนเสียงดังฟังชัด
“เฮีย! ได้ยินที่หมวยพูดไหมเนี่ย”
เสียงนั้นไม่อาจทำลายสมาธิของคนที่กำลังจดจ่ออยู่กับภาพเขียนตรงหน้าได้ ชายหนุ่มวางดินสอดำหัวทู่ลงในกล่องเครื่องเขียน เปลี่ยนหยิบด้ามที่แหลมกว่า เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าจากนั้นจึงจรดปลายกราไฟต์ลงบนกระดาษ บรรจงสานเป็นเส้นขัดกันไปมาลงน้ำหนักจนเกิดเป็นแสงและเงา
“เฮีย! เดี๋ยวจะบอกให้แม่หักค่าขนม!” น้องสาวใช้ความพยายามเป็นครั้งที่สามและเกือบจะสี่หากพี่ชายของเธอไม่ขัดขึ้นเสียก่อน
“โอ๊ย! ได้ยินแล้วๆๆ แต่วาดรูปให้ลูกค้ายังไม่เสร็จเห็นบ้างไหมเนี่ย”
คนฟังทำหน้ามุ่ย “ก็น้ำแข็งมันใกล้จะหมดแล้วนี่นา”
“อีกห้านาที เดี๋ยวไปซื้อให้”
อาทิตย์ทัศน์มองสองพี่น้องที่โก่งคอเถียงกันผ่านช่องมองภาพของกล้องในมือ พลันรอยบุ๋มที่ข้างแก้มก็ปรากฏขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ผุดพรายขึ้นบนใบหน้า ปลายนิ้วกดชัตเตอร์เก็บภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไว้ก่อนจะลดกล้องลงแล้วตรวจดูภาพจากจอ LCD แม้จะทุกสิ่งในจะหยุดนิ่งหากแต่ภาพที่ได้กลับดูมีชีวิตชีวาตามที่ตาเห็น อีกสักสิบปีหรือยี่สิบปีก็คงเป็นภาพถนนคนเดินท่าแพในความทรงจำที่หยิบขึ้นมาดูครั้งใดก็ให้ความรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับมา ณ วันที่ภาพถูกบันทึกไว้
“ตี๋น้อยของคุณทำได้แล้วนะ”
คนฟังพยักหน้ายิ้มจาง ๆ พลางยกกล้องขึ้นเล็งไปยังหนุ่มผมยาวที่กำลังจับดินสอลากไปมาบนกระดาษ “โตเป็นหนุ่มแล้วเนอะ” พูดพร้อมกับหมุนเลนส์ซูมภาพแล้วกดชัตเตอร์
“สิบกว่าปีแล้วนี่นา” เจ้าของร่างสูงที่ยืนสะพายกระเป๋ากล้องอยู่ข้างกันเอ่ยขึ้นขณะยื่นหน้าเข้ามาดูผลงาน
“จริงด้วย ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว” อาทิตย์ทัศน์กล่าว ในใจนึกย้อนไปเมื่อตอนที่มาเชียงใหม่เป็นครั้งแรกกับเพื่อน ๆ พี่ ๆ ร่วมสาขาวิชา เป็นครั้งที่รวมกิจกรรมรับน้องและการถ่ายภาพภาคสนามเอาไว้ในคราวเดียวกัน และยังเป็นครั้งแรกที่ได้พบกับ...
“ดื่มอะไรหน่อยไหม เดี๋ยวผมไปซื้อให้”
เสียงที่ดังขึ้นใกล้หูดึงความคิดที่กำลังจมดิ่งลงในห้วงอดีตให้หวนกลับคืนสู่ปัจจุบันอีกครั้ง ยังไม่ทันได้ตอบก็พบว่าคนพูดเดินดิ่งไปยังร้านน้ำปั่นเสียแล้ว เมื่อเห็นดังนั้นอาทิตย์ทัศน์จึงรีบสาวเท้าก้าวตามไปยืนข้างกัน
“รับอะไรดีคะ”
สองคนสบตาก่อนจะพร้อมใจตอบ “เอานมวานิลลาครับ”/ “เอาน้ำแดงโซดาครับ” แต่แทนที่ต่างฝ่ายจะสั่งน้ำตามที่ตนเองชอบ กลับแย่งกันสั่งแบบที่อีกฝ่ายชอบจนเจ้าของร้านทำหน้างง
สาวน้อยที่กำลังยืนอ้าปากหวอทำให้อาทิตย์ทัศน์ต้องเป็นคนสรุป “ถ้าอย่างนั้นเอาอย่างละแก้วครับ”
“ไม่ชอบนมวานิลลาแล้วเหรอ” ตฤณกรกระซิบถาม
“ไม่ได้สั่งกินเองนี่”
“แล้วสั่งให้ใคร ให้ผมเหรอ”
“ถามมากจริง”
“ก็อยากรู้ ตอบให้ชื่นใจหน่อยไม่ได้หรือไง”
อาทิตย์ทัศน์เบือนหน้าหนี ไม่ใช่แค่สายตาที่เอาแต่จ้องจะหาความจริงเท่านั้น ยังรวมถึงรอยยิ้มของคนพูดอีกด้วย กระนั้นปากบางก็ยังไม่วายบ่นขมุบขมิบ “รู้แล้วยังจะแกล้งถาม”
“มาแล้ว ๆ” เสียงห้าวดังขึ้นขัดจังหวะพร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่เดินแหวกผู้คนเข้ามาพร้อมกับถุงใส่น้ำแข็งใบโต
“ใส่ไว้ในลังเลยเฮีย หมดพอดี โชคดีนะที่ยังพอให้พี่สองคนนี้” พูดจบสาวน้อยก็เทน้ำแดงกับโซดาที่ผสมกันแล้วลงในแก้วที่มีน้ำแข็งอยู่เต็ม จัดการปิดฝาแล้วส่งให้ “ได้แล้วค่ะ น้ำแดงโซดา”
อาทิตย์ทัศน์รับมาก่อนจะเสียบหลอดแล้วส่งให้อีกคน “นี่ของคุณ”
“ขอบคุณครับ” ตฤณกรยิ้มหวานรับแก้วนั้นมาถือเอาไว้ ในที่สุดก็ได้รู้คำตอบแม้คนปากแข็งจะไม่ได้พูดมันออกมาก็ตาม จากนั้นร่างสูงหันไปรับนมวานิลลาที่เจ้าของร้านเพิ่งทำเสร็จแล้วส่งให้แลกกัน
“อันนี้ของคุณ”
คนตัวเล็กกว่าส่ายหัวน้อย ๆ เสียบหลอดลงในแก้วก่อนจะรับมาดูดแก้เขิน ไม่รู้ว่ารสของนมวานิลลาแก้วนี้กับสายตาที่มองมาอะไรจะหวานกว่ากัน
“ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกหน่อยดีกว่า” ตฤณกรกล่าวพร้อมกับล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมา ท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ทำให้คนที่กำลังจะเดินผ่านไปอดช่วยไม่ได้
“ผมถ่ายให้ไหมพี่”
“ดีเลย ถ้าอย่างนั้นรบกวนหน่อยนะครับ” ส่งโทรศัพท์ให้หนุ่มหน้าตี๋ก่อนจะหันไปกล่าวกับคนรัก “ต้องสวมหมวกด้วย” ว่าแล้วก็ก้มลงหยิบหมวกแก็ปในกระเป๋ากล้องสวมให้
“พร้อมนะพี่”
ก่อนที่คนถ่ายจะนับ หนึ่ง สอง สาม ตฤณกรก็ยกแขนขึ้นโอบไหล่ของคนข้าง ๆ เอาไว้ ทั้งสถานที่ ทั้งผู้คน ทุกอย่างมันเหมือนกับวันนั้นไม่มีผิด ยกเว้นก็แต่...ความรู้สึกของคนสองคน...
ส่งท้าย...ม่านบางพลิ้วไหวไปตามสายลมเย็นที่พัดผ่านช่องประตูที่ถูกเปิดแง้มเอาไว้ หลังม่านสีขาวปรากฏเงาของใครคนหนึ่งกำลังยืนปล่อยอารมณ์เงยหน้าขึ้นมองท้างฟ้าที่ประดับประดาด้วยดวงดาว อาทิตย์ทัศน์ดึงสายตากลับมามองที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือในมือก่อนจะใช้ปลายนิ้วเขี่ยเลื่อนภาพ เป็นภาพที่ถูกถ่ายไว้เมื่อตอนที่ไปเชียงใหม่คราวก่อน เป็นภาพของตัวเขากับตฤณกรซึ่งกำลังยืนอยู่หน้าร้านขายน้ำ พยายามย้อนนึกถึงความรู้สึกนึกคิด ณ เวลานั้น แต่มันก็เลือนรางเต็มที
เสียงปิดประตูดังขึ้นก่อนที่ร่างสูงจะเดินมาที่เตียงแล้วล้มตัวลงนอนหนุนตัก อาทิตย์ทัศน์ส่ายหน้าน้อย ๆ ทอดตามองคนที่รั้งทั้งมือของเขาและโทรศัพท์ไปเป็นของตัวเอง
“เหมือนวันนั้นเลยเนอะ” ตฤณกรกล่าวพร้อมกับลากปลายนิ้วบนหน้าจอสัมผัสกระทั่งมาหยุดที่ภาพสุดท้าย ภาพที่เห็นแต่เพียงด้านหลังของชายหนุ่มสองคน หนึ่งในนั้นกำลังเหลียวมองอีกคนที่สวมหมวกแก็ปซึ่งยื่นห่างออกไป
“วันนั้นคุณคิดอะไร” อาทิตย์ทัศน์ถามพลางเลื่อนมือข้างที่เหลือขึ้นวางบนศีรษะ แทรกเรียวนิ้วลงกับเส้นผมหนานุ่มมือ
“อืม...หลายอย่างเลยละ คิดว่า...คุณเป็นใครกันนะ หลังจากนั้นก็คิดว่าจะได้เจอกันอีกไหม สุดท้ายก็...คิดถึงคุณอยู่ข้างเดียว”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ”
“หลังจากนั้น...ที่เราได้พบกัน ผมคิดว่าจะเป็นไปได้ไหมถ้าผมจะทำให้คุณกับผม ไม่เดินจากกันไปไหนอีก แล้วในที่สุดผมก็รู้ว่าไม่ได้มีแค่ผมที่คิดถึงคุณ เพราะคุณเองก็จะคิดถึงผมเหมือนกัน”
“รู้ได้ยังไง” ถามพร้อมกับบีบจมูกคนพูดเบา ๆ
“รู้สิ คุณต้องคิดถึงผมแน่ ๆ เวลาที่มองรูปที่ผมวาดหรืออ่านโปสการ์ดที่ผมเขียน เพราะผมเองก็เป็นแบบนั้น ผมคิดถึงคุณทุกครั้งเวลาที่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า”
“ตอนนี้ล่ะ คุณคิดอะไร”
เมื่อได้ฟัง ตฤณกรก็ดึงโทรศัพท์มือถือออกจากมือคนถามวางไว้ที่ข้างตัว แล้วรั้งสองมือขาวมาวางแนบอก “คิดว่าโชคดีจังที่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ อีกหน่อยถ้าเราแก่ตัว หลง ๆ ลืม ๆ เราก็หยิบภาพที่เคยถ่ายด้วยกันขึ้นมาดู ดึงเอาโปสการ์ดจากลิ้นชักออกมาอ่าน คุณอยากไปที่ไหนผมจะพาไป เราจะผลัดกันเล่าเรื่องเก่า ๆ ให้กันฟัง นอนบนหญ้านุ่ม ๆ แล้วมองไปบนท้องฟ้าด้วยกัน” พูดจบก็ยันกายลุกขึ้นนั่ง
“หรือถ้าหากคุณลืมจูบแรกของเรา ผมก็จะจูบคุณ เผื่อว่าคุณจะจำได้”
คนฟังนั่งนิ่งแต่หัวใจกลับเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อหน้าคมโน้มเข้ามาใกล้ก่อนจะมอบจูบแสนหวาน ชั่วอึดใจตฤณกรก็ถอนริมฝีปากออกแล้วกระซิบ
“หรือถ้าคุณจำไม่ได้ ผมก็จะบอกคุณว่านี่คือจูบแรกของเรา”
อาทิตย์ทัศน์ยิ้มบางพลางยกมือขึ้นประคองสองแก้มสาก “ถ้าวันทั้งวันคุณมัวแต่ทำอะไรเยอะแยะจนลืมบอกรักผม ผมก็จะเป็นคนบอกรักคุณก่อนดีไหม”
...ไม่มีถ้อยคำตอบรับหรือปฏิเสธ หากแต่คำตอบนั้นปรากฏอยู่ในดวงตาสองคู่ที่ยังคงสบกันหวานซึ้ง...
...จบ...
สวัสดีค่ะ สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายของปีแล้ว ปีที่ผ่านมา ในเพจมีหลายคนถามหาเรื่องนี้
อ่านหน้ากากดอกไม้ขอตอนพิเศษ ถธปธฟ. อ่านเรื่องสั้น ขอ nc ถธปทฟ. โพสต์เฉย ๆ ขอตอนต่อไป ฯลฯ 555
เราก็เลยรื้อไฟล์เก่า ๆ ที่เขียนค้างไว้ตั้งแต่ตอนทำหนังสือแล้วก็เลิกไปมาต่อให้จบ ได้เป็นตอนสั้น ๆ มาฝากกันค่ะ
คล้าย ๆ เป็นการมาอัพเดตชีวิตญาติผู้ใหญ่ เรื่องราวยังคงต่อเนื่องกับที่เขียนเพิ่มเติมในหนังสือ
ตั้งใจจะเขียนเป็นตอนสุดท้ายสำหรับนิยายเรื่องถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(เพราะเรื่องนี้ก็จบแบบสมบูรณ์ไปแล้วเนอะ)
ให้ทุกคนที่ติดตามได้เก็บเอาไว้เป็นความทรงจำดี ๆ ถ้าหากคิดถึงกันเมื่อไรก็หยิบขึ้นมาเปิดอ่านนะคะ
ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ที่ทุกคนยังถามถึง ยังคิดถึง และชอบนิยายเรื่องนี้ค่ะ