บทที่ 24
“เจ้าขา!!!”
เฮือก!!
จันทร์เจ้าสะดุ้งเฮือกตกใจ หันไปมองตามเจ้าของเสียง ร่างสมส่วนของหนุ่มวัยกลางคนยืนอยู่หน้าบ้าน ใบหน้าของคุณนทีไม่แสดงสีหน้าใดๆแต่สายตาทำให้ร่างเล็กสั่นเบาๆ
นาฏยเปิดประตูลงมายืนข้างๆกระต่ายตัวเล็ก ร่างสูงใหญ่ไม่มีท่าทีเกรงกลัวแต่กลับให้ความเคารพผู้อาวุโสกว่า
“สวัสดีครับ” เขายกมือไหว้คนสูงวัยกว่า นาฏยไม่มีความกลังหรือตื่นเต้นใดๆ เขามั่นคงและจริงจัง คิดไว้อยู่แล้วยังไงเขาก็ต้องบอกให้บ้านของจันทร์เจ้าทราบเรื่องอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นโดนมาเห็นเสียก่อนเท่านั้น
ผิดที่เขาเองที่รุ่มร่ามข้างนอก แต่ก็ดีเหมือนกัน เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าจะหาเวลาเข้ามาสวัสดีครอบครัวอีกฝ่ายอยู่แล้ว และก็คิดจะขออนุญาติพาน้องลงใต้ไปหาครอบครัวเขาเหมือนกัน
“สวัสดีครับ” นาฏยเห็นกระต่ายตัวสั่นเล็กน้อย นัยน์ตากลมโตฉายแววตระหนกเหมือนทำอะไรไม่ถูก
คุณนทีไม่ได้ยิ้มแต่ก็ยังรับไหว้ผู้น้อย ชายหนุ่มร่างสันทัดมองลูกชายตัวเองที่กำลังยืนก้มหน้าเหมือนเด็กทำความผิด เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เจ้าขา...” เจ้าของชื่อสะดุ้ง เงยหน้ามองบิดาอย่างผวา
จันทร์เจ้าเสียใจที่ตัวเองไม่เหมือนผู้ชายปกติอีกแล้ว เขาชอบผู้ชายและเขาก็ไม่คิดว่าป๊าจะยอมรับมันได้ด้วยซ้ำ
“เข้าบ้านแล้วขึ้นไปอยู่บนห้อง ป๊าขอคุยกับพี่เขาหน่อย” คุณนทีพูดขรึมทั้งที่ทุกทีใจดีเป็นนิจ
ปากเล็กๆอยากจะค้านแต่พูดไม่ออก นาฏยส่งสายให้น้องเป็นเชิงว่าไม่ต้องเป็นห่วง โดนป่าป๊ากดดันทางสายตาเลยต้องยอมเดินเข้าไปบ้านตามที่บิดาสั่ง แม้ว่าจะไม่อยากไปเลยก็ตาม เขาอยากรู้ว่าป่าป๊าจะว่าอะไรพี่นาฏยหรือเปล่า
ขาเล็กๆเดินเป็นหนูติดจั่นภายในห้องนอนของตัวเอง ทั้งเปิดประตูออกไปฟังแต่ดันไม่ได้ยินอะไรเลย ไม่ใช่ว่าป่าป๊าไล่พี่นาฏยกลับบ้านไปแล้วนะ
จันทร์เจ้ากัดปากตัวเอง มือชื้นเหงื่อเพราะความร้อนลน
...ก๊อกๆ…
ร่างเล็กรีบลุกพรึบวิ่งไปที่ประตู
“ป่าป๊า...” คุณนทีเดินเข้ามาในห้องลูกชายคนเล็ก เจ้าของห้องชะเง้อชะแง้ออกไปนอกห้องเลยโดยพ่อครัวใหญ่แห่งร้านขอข้าวขอแกงจ้องเขม็งจนหงอไป
“มานั่งนี่สิ” คุณนทีตบเตียงปุๆ ร่างเล็กเดินไปนั่งบนเตียงฝั่งที่ยังว่าง
“ป่าป๊า เจ้าขา...” จันทร์เจ้ากลั้นใจเปิดกระเด็นก่อน “เจ้าขาขอโทษครับ”
คำขอโทษคำนี้มันหมายถึงขอโทษในทุกสิ่งทุกอย่าง เขาไม่สามารถทำหน้าที่ลูกชายที่ดี
ป่าป๊าไม่ได้พูดอะไรแต่มืออุ่นๆที่คุ้นเคยมาตั้งแต่เกิดลูบหัวเขาอย่งาแผ่วเบา ความอ่อนโยนทำเอาเขาน้ำตาคลอ ไม่มีคำพูดปลอบโยนแต่มันทำให้เารู้สึกสงบลงได้
“ป๊าขอถามคำถามเดียว”
จันทร์เจ้าสบตาบิดา ดวงตาคล้ายกับเขาฉายแววอ่อนโยน ไม่เหมือนคนกำลังโกรธหรืออะไรทั้งสิ้น
“เจ้าขามั่นใจแล้วใช่ไหม?”
มั่นใจ?
ความหมายของป่าป๊าคือ เขามั่นใจในทางเลือกของตัวเองหรือเปล่า
“มันอาจจะลำบาก มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่คิดไว้นะ” มันก็ไม่ใช่ว่าจะยอมรับได้ทีเดียวแต่ก็คุณนทีรู้ดีว่าลูกก็เลี้ยงเขาได้แต่ตัว ขอแค่เป็นคนดีของสังคม ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แค่นั้นเขาก็พอใจแล้ว
เขาแค่อยากมั่นใจว่าลูกชายเขาแข็งแกร่งพอสำหรับเรื่องต่างๆหากจะต้องเจอในอนาคตข้างหน้า เขาอยากจะมั่นใจว่าลูกชายเขาก้าวขาได้อย่างมั่นคงในเส้นทางที่เจ้าตัวเลือก แม้บางครั้งอาจจะมีสะดุดแต่เขาก็หวังว่าคนร่วมทางอีกคนจะประคับประคองให้ทั้งคู่ก้าวผ่านไปพร้อมกัน
และเขาก็คิดว่าใครอีกก็แข็งแกร่งและมั่นคงพอที่จะเดินไปด้วยกัน เขารู้จักอีกฝ่ายไม่นานแต่คิดว่าเขาดูคนไม่ผิด นัยน์ตาคมดุแฝงแววจริงจังมุ่งมั่นทำให้เขาเชื่อใจ
“เจ้าขามั่นใจครับ” เสียงหนักแน่นทำให้คุณนทีรู้แล้วว่าลูกชายเขาตัดสินใจแล้ว
ลูกชายโตเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เด็กชายจันทร์เจ้าเดินตามเขาต้อยๆอีกแล้ว
ฝ่ามือชายวัยกลางคน มีริ้วรอยเหี่ยวย่นเล็กตามกาลเวลาลูบผมนุ่มๆอีกครั้ง รอยยิ้มของบุพการีทำให้จันทร์เจ้าน้ำตาคลอแต่ริมฝีปากกลับแย้มยิ้ม
ร่างเล็กนกมือขึ้นกราบลงบนตักของป่าป๊าแล้วสวมกอดเอวของอีกฝ่ายทำเหมือนเขายังเป็นเด็กตัวน้อย
“ขอบคุณครับป๊า”
คำขอบคุณอาจจะยังไม่เพียงพอกับความใจกว้างและการยอมรับจากบิดาแต่คงมีแค่คำๆนี้ที่จะสื่อความรู้สึกทั้งหมดที่เขามีออกมาได้สมบูรณ์ที่สุด
...ขอบคุณจริงๆครับ…
จันทร์เจ้ากำลังคิดว่าตัวเองมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออะไรตรงนี้กันแน่นะ นั่งแหมะอยู่บนเก้าอี้โซฟาเดี่ยว
ตากลมโตมองไปทางซ้ายเจอป่าป๊านั่งคุยออกรส หันไปมองคู่สนทนาทางขวา คนตัวโตใหญ่เหมือนชาวยุโรปนั่งหัวเราะเบาเป็นลูกคู่
พี่นาฏยครับ...บอกเจ้าขาหน่อยว่ามาได้ยังไงอีกแล้ว
หลังจากเมื่อวานที่คุยและทำความเข้าใจกับป่าป๊าแล้ว มันก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก มันโล่งใจสบายใจ ช่วงสายๆกำลังกลิ้งเกลือกไปมา ว่าจะไลน์ไปหาพี่นาฏยแต่ก็ได้ยินเสียงหม่าม้าเรียกลงไปข้างล่าง
ลงมาก็เห็นคนตัวสูงในชุดลำลองถือถุงกระดาษพิมพ์ลายสวยจากร้านขนมเค้กชื่อดังอยู่ข้างล่าง เขาถึงกับทำหน้าไม่ถูก ไม่คิดว่าพี่นาฏยจะกล้ามาที่บ้านหลังจากที่เมื่อวานคุยป่าป๊าแล้วกลับไปก่อน มีเพียงไลน์มาบอกว่ากลับแล้วนะ เขาส่งกลับไปถามว่าคุยอะไรกับป่าป๊าก็ไม่บอก เงียบหายไปเฉยๆ พี่นาฏยไม่มช่คนติดโซเชียลเขารู้ แต่เรื่องสำคัญขยาดนี้ก็บอกกันบ้างสิๆ ปล่อยให้คนกระวนกระวายไปได้
เจ้าขาโกรธแล้วนะ!
“ฮ่าๆ ป๊าว่าฟาร์มเลี้ยงกุ้งดูจะรายได้ดีนะ”
นาฏยยิ้มนิดๆ “ครับ ก็ไปได้สวยทีเดียว”
เหมือนว่ากำลังคุยกันถึงกิจการหลักของครอบครัวนาฏยกันอยู่ หม่าม้าถือจานใส่เค้กที่ร่างสูงซื้อเข้ามา มาวางบนโต๊ะพร้อมน้ำส้มสดเย็นชื่นใจ
“หม่าม้า พี่นาฏยมาได้ไงอะ” เข้าจับชายเสื้อมารดาเอาไว้
“เอ้า พี่เขาก็ขับรถมาสิ” จันทร์เจ้าเบ้หน้า โดนหม่าม้ากวนอะ
“พี่นาฏยเอากาแฟไหม?” หม่าม้าถามหลังจากป่าป๊าขอกาแฟร้อน
“ครับ รบกวนด้วยครับ”
จันทร์เจ้าเข้าไปในครัวกับหม่าม้าเพื่อช่วยชงกาแฟ ไม่นานกาแฟร้อนสองถ้วยก็เสร็จ
“เจ้าขาไปนั่งข้างพี่เขาไป” อยู่ๆป๊าก็พูดหลังจากที่เขาวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะ ร่างเล็กชะงักเล็กน้อย มองหน้าป่าป๊าหม่าม้าที่ลงมานั่งข้างๆ
บรรยากาศดูตึงขึ้นมาเล็กน้อยจนรู้สึกเกร็ง เขาค่อยๆหย่อนตัวนั่งลงข้างๆร่างสูงใหญ่ตามที่ป่าป๊าบอก
“ป๊าม้ารับรู้เรื่องของเราสองคนแล้ว” จันทร์เจ้าตัวแข็ง
คุณนทีพูดคุยกับคุณนัยนาเมื่อคืน เขาปรึกษากันเรื่องนี้ ตอนที่คุณนัยนาฟังจบก็ตกใจเหมือนกันแต่ก็พอจะจับอะไรได้อยู่แล้ว ความเป็นแม่ถ้าลูกเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้างเธอก็รับรู้ได้ ลูกชายเล็กที่ช่วงหลังๆทำข้าวกล่องไปมหาลัยบ่อยๆ ตอนแรกนึกว่าทำไปกินเองแต่เหมือนจะไม่ใช่เพราะบางอย่างเป็นอาหารรสเผ็ดที่เจ้าตัวไม่กิน เลยคิดว่าอาจจะทำไปให้ใคร หลังจากนั้นอยู่ๆก็มีรุ่นพี่ร่างสูงใหญ่มาที่บ้านเป็นครั้งคราว แต่เธอรู้สึกได้ว่าสายตาของอีกฝ่ายดูจริงจังประหลาด บางครั้งดูดุแต่บางครั้งเธอเห็นความเอ็นดูแฝงอยู่บนนัยน์ตาคมคู่นั้นยามจ้องมองลูกชายคนเล็ก
“หม่าม้า…” จันทร์เจ้าครางเสียงอ่อน เขาเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาอีก
คุณนัยนายิ้มอ่อนโยน “หม่าม้าไม่ว่าอะไรหรอกนะ” หันไปหานาฏย “หม่าม้าฝากน้องด้วยนะพี่นาฏย”
“ป๊าก็เหมือนกัน ฝากดูแลน้องด้วยนะนาฏย เจ้าขาก็อย่าดื้อกับพี่เขานะ ถ้าดื้อมากๆป๊าให้พี่เขาตีได้เลย”
คุณนทีเอื้อมไปจับไหล่หนาไว้ก่อนจะลูบหัวลูบแก้มป่องของลูกชายที่กำลังน้ำตาคลอ ร่างเล็กสะอื้นเบาๆ พี่นาฏยลูบไหล่เล็กเบาเป็นเชิงปลอบก่อนจะทรุดลงจากเก้าอี้คุกเข่า
“ผมสัญญาจะดูแลน้องอย่างดีที่สุดครับ ขอบคุณที่ไว้ใจผม” เขาพนมมือไหว้บุพการีของร่างเล็กอย่างนอบน้อม จันทร์เจ้าลงมาคุกเข่าข้างๆกันก้มกราบที่ตักขอบท่านทั้งสองอย่างซาบซึ้ง
“ขอบคุณครับป่าป๊าหม่าม้า”
แค่ครอบครัวเข้าใจกันและกัน ชีวิตของคนเราก็ดำเนินไปด้วยความสุขและราบรื่น
ขอบคุณน้ำใจของบิดามารดาที่ยิ่งใหญ่กว่ามหาสมุทร
ไม่ว่าลูกจะเป็นอะไรก็ตาม แค่เป็นคนดี พ่อแม่ก็สุขใจ
“พี่นาฏยยยยย” กระต่ายแก้มป่องแต่ตาตุ่ยๆเพราะร้องไห้มาเยอะเรียกเสียงยานคาง เหมือนจะอ้อนนะ
นัยน์ตาคมมองคนเรียก ร่างเล็กนั่งฮัมเพลงหงุงหงิงตามวิทยุในรถยนต์
หลังจากคุยกันเรียบร้อย นาฏยขออนุญาติพาน้องไปเที่ยวตลาดน้ำตามที่เคยชวนไว้ รถยนต์คันสวยกำลังเคลื่อนตัวผ่านเข้ามหาชัยมาได้สักพัก
“พี่นาฏยยยยย…” เรียกซ้ำเพราะไม่มีเสียงตอบ
“ว่าไงล่ะ พูดสิ”
“เมื่อวานพี่นาฏยคุยอะไรกับป่าป๊าหรอครับ?” จันทร์เจ้าสงสัย เขาอยากรู้จริงๆว่าเมื่อวานป่าป๊าเรียกพี่นาฏยไปคุยอะไรกันแน่
“อืม…” นาฏยทำท่าคิด คนตัวเล็กยิ่งตื่นเต้น ตากลมๆจ้องมองพี่ไม่กระพริบ ยืดตัวไปทางคนขับมากขึ้น นาฏยมองกระต่ายยืดคอยาวเข้ามาใกล้ เห็นแล้วอยากจะฟัดให้จมเขี้ยว พอติดไฟแดงเลยเอาหน้าเข้าไปใกล้ๆ
จันทร์เจ้าผงะเล็กน้อย ใบหน้าขาวขึ้นสี พี่นาฏยเอาหน้ามาทำไมมมม?!
ริมฝีปากได้รูปยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์จนโดนกระต่ายค้อนตาคว่ำ
“งื้อออออ” จะบอกไม่บอกอะ เจ้าขาลุ้นนะ
“หึ...ไม่ใช่เรื่องของเด็กน้อย” โดนดีดเหม่งอีกด้วยแนะ “นั่งดีๆไฟเขียวแล้ว”
ร่างเล็กพ่นลมหายใจเฮือกเหมือนโดนขัดใจ บ่นงุ้งงิ้งใส่พี่อีกหลายกระบุง
ออกจากกรุงเทพมาไม่นานก็มาถึงตลาดน้ำอัมพวา วันเสาร์คนเยอะเป็นปกติ จนหาที่จอดได้ก็เสียเวลาไปเกือบยี่สิบนาที กระต่ายแก้มป่องแทบถลาออกจากรถไปแต่โดนพี่นาฏยดึงไว้ก่อน
“หมวก…” หมวกสานใบย่อมถูกแปะลงบนกลุ่มผมนุ่ม
“แหะๆ เจ้าขาลืม ขอบคุณครับ” ยิ้มแผล่ใส่ ร่างสูงส่ายหน้า
มือใหญ่จับข้อมือเล็กไว้แน่น จันทร์เจ้ามองคนจับแล้วมองที่มือ “เดี๋ยวหลง”
ไม่รู้ทำไมแค่ประโยคสั้นๆกับการกระทำน่ารักๆของพี่นาฏยทำให้เขาเดินอมยิ้มตลอดทาง
“พี่นาฏยๆ เจ้าขาอยากกินไอติมกะทิ” ข้อมือใหญ่ถูกเขย่ารัวๆ ร่างเล็กกว่าดึงคนตัวโตเดินเข้าไปที่ร้านแผงลอยริมคลอง มีคิวก่อนหน้าสองสามคิว
“คนเยอะจัง” จันทร์เจ้าหยีตามองไปรอบๆ คนเดินสวนไปสวนมาจนตาลาย อากาศที่พุ่งสูงขึ้นเพราะเป็นตอนกลางวันทำให้เหงื่อซึม
“ร้อนหรือเปล่า?” คนตัวเล็กเงยหน้ามองคนถาม แล้วยิ้มแผล่
“นิดหน่อยครับ แต่สนุกดี”
วันนี้เป็นวันดีสำหรับจันทร์เจ้ามากที่สุด ป่าป๊าหม่าม้าเข้าใจเรื่องที่เขาคบกับพี่นาฏย แถมพี่นาฏยยังพามาเที่ยวด้วย
ชีวิตคนเรามันก็ดำเนินไปตามปกตินะ ตื่นนอนตอนเช้า ไปเรียนไปทำงาน กลับบ้านตอนเย็น เข้านอน แล้ววันใหม่ก็ผลัดเปลี่ยนเวียนวนไปเรื่อยๆ
ถ้าเปรียบชีวิตคนเรานะ จันทร์เจ้ารู้สึกว่ามันก็คล้ายๆกับการเขียนโปรแกรมอย่างหนึ่งที่ถูกเขียนมาให้วนลูปต่อไปเรื่อยๆ แต่ถ้าถามแล้วก็เป็นอะไรที่สนุกดีเหมือนกัน
แต่บางทีบางครั้งโปรแกรมมันก็เหมือนติดบัคนะ มันต้องรันโปรแกรมไม่ผ่านบ้างล่ะ เหมือนเขาในตอนนี้
“เฮ้อ…”
“อะไรหนักหนาวะ”
จันทร์เจ้าถอนหายใจเฮือก เท้าคางอย่างไม่สบอารมณ์
“ใจเย็นนะมึง” อชิระตบบ่าเพื่อนเบาๆ
เรื่องมันมีอยู่ว่า ตอนกลางวันวันจันทร์ของอาทิตย์ใหม่ ณ โรงอาหารกลางของมหาลัย
พอจันทร์เจ้าและอชิระเฉียดเข้ามาถึงทางเข้าเสียงเซ็งแซ่ก็เริ่มเบาลง สายตาหลายคู่ด้อมๆมองๆเขาเหมือนตัวประหลาดจนน่าหงุดหงิด
เดินเฉียดไปอีกนิดก็ได้ยินว่า
“นี่หรือเปล่าคนนี้”
“น่าจะใช่ เห็นว่ามีรูปด้วย”
“สรุปว่าเขาไม่ได้คบกับพี่นาฏยหรอกหรอ เห็นเคยได้ยินว่างั้น”
พอจันทร์เจ้าตสัดสายตาไปมองก็หุบปากฉับ คิ้วเล็กขมวดมุ่น นี่เหมือนเขากำลังโดนนินทาอะไรอยู่หรือเปล่านะเนี่ย เหมือนจะไม่ได้ไปเองคนเดียวเพราะว่าอชิระยังต้องเอ่ยปากถามเพื่อนว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า
คนตัวเล็กส่ายหน้า เขาคิดว่าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ก็ใช้ชีวิตตามปกตินะ
เดินไปทางไหนก็มีคนมองตามจนต้องเดินไปกระแทกตัวนั่งหลบมุมหลังเสาไกลผู้คนหน่อยไม่งั้นโดนจ้องจนพรุนแน่
“เจ้า!” จันทร์เจ้าเห็นเปเปวิ่งเข้ามาหาที่โต๊ะก่อนจะยกโทรศัพท์ให้ดู “เจ้าเห็นโพสนี้ยัง?”
โพส? โพสอะไร?
‘สรุปคบซ้อน????’
679 Likes 45 Comments‘เฮ้ยยย ทำไมน้องทำแบบนี้ล่ะ ไม่ใช่ว่าคบกับพี่นาฏยหรอ???’
‘เป็นไงล่ะ แฟนคลับก็อวยกันเข้าไป หึ #คนดีๆเขาไม่ทำกันแบบนี้นะ’
‘ยี้ เลวมาก เอาพี่นาฏยคืนมานะ’
‘ทำแบบนี้ได้ยังงงไงงงง’
[/i]
รูปที่เห็นคือภาพเขากำลังเดินหัวเราะกับผู้หญิงคนหนึ่ง ภาพไม่ค่อยชัดมาก แต่ก็ดูออกว่าเป็นจันทร์เจ้าอยู่ดี ภาพถูกโพสลงกรุ๊ปข่าวต่างๆของมหาลัยเขา แต่เอาจริงนะ จันทร์เจ้าไม่ได้ตามเพจนี้เท่าไรเพราะว่ามันเป็นเหมือนเพจเม้าซุบซิบเรื่องของคนในมหาลัย ดูไร้สาระที่สุด คนเลิกกันก็เอามาลง คนคบกันก็ป่าวประกาศ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยล่ะ ว่ามนุษย์ชอบเรื่องของคนอื่นมากที่สุด เรื่องตัวเองเก็บเอาไว้ แต่ถาเป็นเรื่องชาวบ้านแล้วล่ะก็สนุกปากเลย
มีทั้งคอมเม้นด่าเขารวมไปถึงให้กำลังใจพี่นาฏยว่าโดนเขาสวมเขาและอีกสารพัด บางคอมเม้นนี่แรงมากจนเขาหงุดหงิด
บางคนไม่รู้จักกันยังด่ากันได้ขนาดนี้ มนุษย์บางทีก็น่ากลัวเหมือนกัน
“นี่ใช่แกหรอวะ” อชิระดึงไปดูบ้าง มองมุมไหนก็เหมือนเพื่อนเขา แต่ถ้ารูปนี้ไม่ใช่จันทร์เจ้าล่ะก็… “ไอ้เอยใช่ไหมเนี่ย?”
จันทร์เจ้าพยักหน้า ผู้หญิงในรูปนั่นก็คือวาวเพื่อนที่คณะของเจ้าเอยที่เขาก็เคยเจออยู่เหมือนกัน แต่มันก็ตลกนะที่คนเอาไปคิดไปพูดกันเป็นตุเป็นตะ
“เจ้าขา!!” เสียงทุ้มเข้มดุดันจนเขาสะดุ้ง
ร่างสุงใหญ่ยืนค้ำหัวโต๊ะที่เขานั่งอยู่
“พี่นาฏย...” เข้ารู้สึกว่าตัวเองหนาวสะท้านขึ้นมา
ใบหน้าคมดุที่ดูถมึงทึงข้าไปอีก คงไม่ใช่ว่าพี่นาฏยเห็นโพสนี้แล้วหรอกใช่ไหม?
++++++++++++++++++100%++++++++++++++++++
สวัสดีค่าาาาา ก่อนอื่นเลยต้องขอโทษที่หายไปนานเกือบเดือนเลยนะค่า
วันนี้กลับมาพร้อมกับตอนใหม่เลยยยยย ป่าป๊าหม่าม้ารู้เรื่องพี่นาฏยแล้วเนอะ แต่ดราม่าไม่แรงเพราะว่าเราไม่ใช่สายนั้น ฮ่าๆ
สำหรับเรื่องรักตามสั่งก็ดำเนินมาจนใกล้จุดหมายแล้ว ตามพลอตที่เราวางไว้อีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้วเพราะฉะนั้นอยากให้อยู่เป็นกำลังใจกันจนกว่าจะถึงตอนนั้นด้วยกัน
หลังจากเนื้อเรื่องหลักจบ คิดว่าจะมีตอนพิเศษอีกหลายตอนอยู่เหมือนกันเพราะงั้นอยู่กันไปนานนะค่าาาาา อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนนน
ส่วนเรื่องการตีพิมพ์เรื่องรักตามสั่งมีแน่นอนค่า (แอบอยากรู้ว่าจะมีคนซื้อบ้างไหมเนี่ย ฮ่าๆ) บอกเค้าหน่อยน้าาาว่าใครอยากซื้อบ้าง (แอบบอกว่ามีการคุยกับ สนพ ไว้แล้ว แต่รายละเอียดว่าพิมพ์กับ สนพ อะไรนั้นขอคุยกับทาง สนพ ให้เรียบร้อยก่อนแล้วจะเอามาบอกค่า)
เป็นกำลังใจพี่นาฏยน้องเจ้าขาด้วยนะค่า คอมเม้นโลดดดดดดดด คนเขียนชอบอ่านคอมเม้นนนน
ปล. ตามไปกดไลค์เพจเฟสบุ้คกันได้นะค่า เราจะแจ้งข่าวในเฟสบุ้คซะส่วนใหญ่ เพราะงั้นเราไม่ได้หายไปไหนน้า ไปตามหาเราได้ในเฟสสสสสสสสส
เยิฟฟฟฟฟ
ขอบคุณมากค่า
ปล. อีกหนึ่งเรื่องของคนเขียน วณิพกพเนจร ไปตามได้
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55317.0
ปล.สอง. แวะเวียนไปคุยกันได้นะค่า
ขอฝากไปกดไลค์เพจเฟสบุ้คกันได้นะครับบบบ เพราะว่าส่วนใหญ่เราจะอัพเดทเวลาที่เรา
หายไปนานๆ หรือว่าติดธุระอะไร เราจะไปอัพเดทไว้ในเฟส หรือว่าบางครั้งจะมีเขียนโมเม้นน่ารักของอีพี่กะน้องเอาไว้เล่นๆที่ไม่
ได้เอามาลงหน้านิยายนะครับ เลยอยากให้ไปพูดคุยในเฟสกันเลยยยย ถ้าคนเขียนหายไปตามจิกในเฟสจะเจอเราเร็วมากเพราะ
เราเล่นประจำ
https://www.facebook.com/airin.arpo/?fref=ts
ปล.สาม. เรื่องรักตามสั่งเป็นเรื่องสบายๆคลายเครียด ฟีลกู๊ด น่ารักๆ การดำเนินเรื่องอาจจะเรื่อยๆเอื่อยๆไปบ้าง ขอต้องขออภัย
คนอ่านที่ชอบความตื่นเต้นหรือเรื่องที่ซับซ้อนนะค่า เรื่องนี้เราตั้งพลอตไว้แบบเป็น สไลด์ออฟไลฟ์ อยากให้ทุกคนได้สัมผัสถึง
ชีวิตตัวละครจริงๆ เวลาเขียนเราค่อนข้างใส่ความรู้สึกของมนุษย์จริงๆเข้าไป
คืออยากให้ลองนึกว่าพี่นาฏย น้องเจ้าและตัวละครทุกตัวเป็นคนจริงๆ ใช้ชีวิตอยู่เหมือนพวกเรานี่ละค่ะ เวลาเราเขียนเรานึกถึงว่าถ้าพี่นาฏยเป็นเพื่อนเรา น้องเจ้าเป็นน้องชายเรา เขาจะรู้สึกแบบไหนกันนะตอนนี้ เราเขียนให้ตัวละครเราค่อนข้างเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นครอบครัวที่ใช้ชีวิตอยู่กับเรา เพราะฉะนั้นเนื้อเรื่องเลยจะเป็นการดำรงชีวิตของคนคนหนึ่งนะค่า
ปล.สี่. อยากจะให้ทุกท่านติดตามชีวิตของพี่นาฏยกับน้องเจ้าไปด้วยกันกับเรานะค่า
แก้ไขข้อความ