เขยช่างไฟสะใภ้ช่างยนต์
{02}
“พี่โซ่คร้าบ…รอจุกด้วย” เด็กชายหัวเกรียนวัยแปดขวบตะโกนเรียกโซ่จากทางด้านหลัง ซึ่งโซ่ที่สวมหัวฟังอัดเพลงใส่หูเป็นที่เรียบร้อยแล้วย่อมไม่ได้ยินเสียงของจุกอย่างแน่นอน
จึ๊ก! / ผัวะ!
“โอ้ยพี่โซ่! ต่อยจุกทำไมอ้า…” เด็กชายจับมุมปากร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด เมื่อถูกโซ่ศอกกลับใส่ หลังจากที่ลืมตัวเผลอไปจับไหล่โซ่จากทางด้านหลัง ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ควรทำ เพราะโซ่เป็นคนบ้าจี้ที่สัมผัสไวเป็นพิเศษ หากใครลองได้จับเจ้าตัวจากทางด้านหลังแบบไม่รู้ตัว รับรองได้เลยว่าต้องมีการเจ็บตัว ไม่มากก็น้อย ดั่งเช่นที่จุกโดนนี่แหละ ซึ่งอาการบ้าจี้อย่างรุนแรงของโซ่นี้คนรอบข้างและเพื่อนสนิทต่างก็รู้ดี และพยายามที่จะไม่ลืมตัว ไปทักทายหรือโดนตัวของโซ่ในยามที่เจ้าตัวกำลังปล่อยความรู้สึกให้จมดิ่งกำเสียงเพลงอย่างแน่นอน เพราะไม่อยากจะเสี่ยงกับมือและเท้าจากหลานชายเพียงคนเดียวของเจ้าของค่ายมวยที่เป็นอดีตแชมป์โลกมวยไทยเมื่อสามสิบปีที่แล้วหรอก
“แล้วใครใช้ให้เอ็งมาเงียบๆอย่างนี้ล่ะไอ้จุก” โซ่ว่า
“ไม่ได้มาเงียบๆสักหน่อย จุกนะตะโกนเรียกอย่างดังเลย แต่พี่โซ่อ่ะไม่ได้ยินเอง” จุกเถียงอย่างไม่ยอมแพ้
“เออๆ ว่าแต่เรียกพี่ทำไม”
“วันนี้จุกตื่นไม่ทันพวกพี่ไผ่ เลยจะขอวิ่งไปกับพี่ด้วย”
“แล้วจะมามัวคุยอยู่ทำไม…ไปดิ!” ว่าแล้วโซ่ก็วิ่งนำไปตามทางที่วิ่งเป็นประจำคนเดียว โดยที่ไม่ได้สนใจจุกที่วิ่งตามหลังมาสักเท่าไหร่ เพราะปกติแล้วเขาจะวิ่งคนเดียว ส่วนจุกจะไปรวมกลุ่มกับพวกเด็กฝึกและนักมวยคนอื่นๆที่อยู่ในค่าย
กิจวัตรในแต่ละวันของโซ่นั้นไม่มีอะไรมาก ออกจะน่าเบื่อเสียด้วยซ้ำ เพราะตื่นเช้ามาเขาก็แค่ล้างหน้าแปรงฟันแล้วก็ออกมาวิ่งออกกำลังกาย เสร็จแล้วก็ไปอาบน้ำกินข้าวไปวิทยาลัย หลังเลิกเรียน ถ้าไม่ไปนั่งรอทรงยศต่อยตีกับชาวบ้าน ก็ไปกวาดลานธรรม ถูโบสถ์ แล้วก็สวดมนต์ทำวัดเย็นกับบุญล้อมที่วัด แต่ถ้าไม่ได้ไปไหนเลยก็แค่กลับมานอนที่บ้านเป็นอันหมดวัน ต่างจากเพื่อนรุ่นเดียวกันคนอื่นที่หลังเลิกเรียน ถ้าไม่ไปกินข้าวดูหนังร้องคาราโอเกะที่ห้างก็จะพากันไปขี่รถเหล่หญิงตาสวนสาธารณะไม่ก็ตามแลนด์มาร์คจุดสำคัญของจังหวัดแทน
“แฮ่กๆ จุกกลับก่อนนะพี่โซ่ จุกวิ่งต่อไม่ไหวแล้ว” จุกวิ่งแซงขึ้นมาบอกโซ่ทางด้านหน้า เพราะไม่อยากเจ็บตัวเพราะสะกิดเรียกจากทางด้านหลังอีก ปกติแล้วถ้ามาวิ่งกับนักมวยหรือเด็กฝึกด้วยกันในค่ายก็จะไปอีกทาง ซึ่งนั่นจุกก็ว่าไกลแล้วนะ แต่พอมาวิ่งกับพี่โซ่ จุกแทบจะคลานกลับบ้านเลย ทั้งที่มาไกลมากแล้ว แต่พี่โซ่กลับไม่มีท่าทีเหนื่อยหอบเหมือนอย่างจุกเลย อีกทั้งยังไม่มีท่าว่าจะหยุดวิ่งหรือย้อนกลับบ้านเลยสักนิด…จุกยอมแพ้
“อ่ะฝากแวะซื้อน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ที่หน้าปากซอยเข้าไปให้พ่อแม่พี่ด้วย เงินที่เหลือเอ็งอยากกินอะไรก็ซื้อไปเลย” โซ่ยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้จุกไป ก่อนที่จะเริ่มออกวิ่งต่ออีกครั้ง เมื่อจุกหันหลังวิ่งย้อนกลับไปทางเดิม
“เมื่อกี้เจ้ายศมันมาบอกให้เราไปโรงเรียนเองอีกสักสองสามวันนะโซ่ พ่อแม่มันยังกลับมาไม่ได้มันเลยต้องอยู่ดูเจ้าหยกต่อ” ยายของโซ่ร้องบอกกับโซ่ที่เพิ่งกลับเข้าบ้านมา หลังจากที่เจ้าตัวออกไปวิ่งตั้งแต่ตีห้าครึ่ง จนตอนนี้จะเจ็ดโมงอยู่แล้ว
“ครับ” พยักหน้ารับรู้แล้วก็ผลุบหายขึ้นห้องไป
“ให้เจ้าไผ่ไปส่งไหมล่ะโซ่ แม่จะได้ให้พี่เขารอ” ยายของโซ่ตะโกนถามตรงหัวบันได
“เดี๋ยวผมหารถไปเอง” โซ่ตะโกนกลับมา
“แล้วมันจะไปยังไงของมัน” ยายขอโซ่บ่นพึมพำอยู่ที่เดิม เพราะจังหวัดของเขาไม่มีรถวิ่งรอบเมืองเหมือนอย่างในกุรงเทพหรือตามเมืองใหญ่อื่นๆที่หารถรับจ้างได้ง่ายๆ ถ้าไม่ใช่สถานีรถไฟ ขนส่งรถยนต์ หรือสถานที่ราชการสำคัญต่างๆ
“ปล่อยมันไปเถอะ ลองได้พูดแบบนั้น เดี๋ยวมันก็หาทางไปเองจนได้แหละน่า” คุณตาที่เพิ่งเดินออกมาจากครัวพูดบอก เพราะไม่อยากจะให้ภรรยาเอาความห่วงใยของตัวเองเข้าไปก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของหลานนัก
“คุณก็เป็นเสียอย่างนี้! ไม่เคยเป็นห่วงลูกมันเลย” คุณยายว่าเสียงเขียว ก่อนที่จะสะบัดหน้าเดินหนีเข้าครัวไป
“อย่าไปใส่ใจเลย แม่เขาแค่เป็นห่วง” เขาหันไปบอกกับหลานชายที่กำลังเดินลงบันไดบ้านมาด้วยกางเกงยีนส์ทรงกระบอกพับขาสีดำเสื้อคอกลมแขนสั้นสีขาว กระเป๋าสะพายพาดขวางอยู่กางหลัง หูฟังสีน้ำเงินอันโปรดเตรียมพร้อมคล้องไว้ที่คอ มือขวาถือเสื้อช็อปสีน้ำกรมท่าแปะแถบสีฟ้าสดใสตามชื่อแผนกช่างไฟของเจ้าตัว และแน่นอนว่ามือซ้ายที่ว่างอยู่นั้นจะต้องมีไอพอดนาโนสีฟ้าเพื่อนเก่ารอให้เจ้าตัวเปิดอยู่
“ผมไปนะ” สวัสดีบอกลาเสร็จก็รีบชิ่งออกจากบ้านทันที เพราะขืนอยู่ต่อแม่หรือแท้ที่จริงแล้วคือยายของเขานั้นจะต้องให้คนในค่ายไปส่งเขาที่วิทยาลัยอย่างแน่นอน ซึ่งเขาไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่ที่จะต้องไปกับคนที่ไม่สนิทแบบนั้น ถึงแม้ว่าคนพวกนั้นจะเป็นลูกศิษย์ในค่ายที่เห็นหน้าคาดตากันอยู่ทุกวันก็ตาม
โซ่เดินไต่ไปตามกำแพงข้างบ้าน เพื่อที่ไปขึ้นรถรับจ้างที่ประจำอยู่ด้านหน้าอำเภอที่อยู่ติดกับหลังบ้านของตนเอง ซึ่งถ้าไม่ทำแบบนี้ก็ต้องเดินย้อนตามถนนที่อยู่ทางฝั่งซ้ายของบ้านขึ้นไปอีกหลายร้อยเมตร…โคตรเสียเวลา
“หืม…ไอ้นิ่ง? มันคิดบ้าอะไรอยู่ว่ะน่ะถึงได้เดินเล่นบนกำแพงอำเภออย่างน้ำ” พอร์ชที่กำลังจะขี่รถไปวิทยาลัยบ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ เมื่อเห็นว่าคนที่ตนเล็งอยู่นั้นกำลังเดินไต่อยู่บนกำแพงที่ว่าการอำเภอด้วยท่าทางสุนทรีมีหูฟังคลอบหูเหมือนอย่างทุกครั้งที่ได้เห็น ซึ่งถ้าจะให้เขาเดา เจ้าตัวคงจะเสพติดการฟังเพลงน่าดู เพราะลองได้เจอเจ้าตัวที่ไหน ก็ต้องเห็นหูฟังทุกทีถ้าไม่คลอบหูไว้ก็ต้องคล้องอยู่ที่คอ เหมือนกับเป็นอวัยวะชิ้นที่สามสิบสามของเจ้าตัวไปเสียแล้ว
พอร์ชชะลอรถจอดอยู่ริมฟุตบาทตรงตำแหน่งที่คิดว่าโซ่จะลงจากกำแพง เพราะตรงบริเวณอื่นมันเต็มไปด้วยไม้ประดอกไม้ประดับหมดแล้ว ก็หวังว่าโซ่จะไม่ใจกล้าบ้าบิ่นเดินต่อไปตรงส่วนที่เป็นเหล็กแหลม หรือกระโดดลงตรงน้ำตกจำลองที่ประดับเต็มไปด้วยพุ่มดอกเข็มที่ขึ้นหนาแน่นจนไร้ช่องว่างหรอกนะ
พรึบ! ตุบ!
เป็นไปตามที่พอร์ชคาดการณ์ไว้ เพราะโซ่กระโดดลงบนพื้นฟุตบาทตรงที่เจ้าตัวคิดไว้ตั้งแต่แรก ก่อนที่จะก้าวเดินต่อไป เพราะจุดจอดรถรับจ้างอยู่ห่างออกไปอีกประมาณร้อยเมตร และด้วยพอร์ชสวมหมวกกันน็อคแบบเต็มใบอยู่ โซ่จึงไม่รู้ตัวว่าความวุ่นวายที่เขาสุดแสนจะเกลียดชังนั้นกำลังจะคืบคลานเข้ามา
จึกๆ /ผัวะ!
เหมือนกับเปิดเทปวนซ้ำเหตุการณ์เมื่อเช้าที่จุกสะกิดโซ่จากทางด้านหลังแล้วก็โดนโซ่ศอกกลับเข้าที่ขมับ แต่คราวนี้เปลี่ยนเป็นกำปั้นไม่มีรูที่เสยเข้าปลายคางของพอร์ชไปเต็มๆ เพราะส่วนสูงที่ต่างกันพอสมควร
“โอ้ย…มึงต่อยกูทำไมเนี่ย ซี้ด…ชอบความรุนแรงรึไง เจอกันทีไรกูเจ็บตัวทุกที!” พอร์ชถ่มน้ำลายเปื้อนเลือดลงบนพื้นด้วยความเจ็บแสบเพราะปากแตก ด้วยกำปั้นไม่เต็มแรงของโซ่ แต่ก็อย่าลืมนะว่าโซ่นั้นเป็นหลานเจ้าของค่ายมวย ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้เป็นนักมวยมืออาชีพ แต่ก็ฝึกฝนวิชามวยไทยมาตั้งแต่จำความได้ มีหรือที่หมัดจะเบาเหมือนคนทั่วไป
“มึง!” ขมวดคิ้วขุ่นอย่างไม่ชอบใจ ที่ได้เห็นหน้าของชมพูโรคจิตแต่เช้า
“เออกูเอง ก็พอรู้อยู่นะว่าเป็นพวกติสแตก แต่มึงจะอินดี้เกินไปไหมถึงได้มาปีนกำแพงที่ว่าการอำเภอเล่นแต่เช้าอย่างนี้ เดี๋ยวพ่อมึงที่อยู่ขวามือโน่นก็จับส่งไปให้อยู่กับแม่มึงที่ซ้ายมือนี่หรอก” พอร์ชว่าพลางพยักเพยิดหน้าไปทางขวามือที่เป็นสถานีตำรวจ ส่วนซ้ายมือที่ว่าก็คือเรือนจำประจำจังหวัด โดยมีที่ว่าการอำเภออยู่คั่นกลาง และตรงข้ามกับที่ว่าการอำเภอก็เป็นวัดหลวงประจำจังหวัด เรียกได้ว่าบริเวณที่พวกเขายืนคุย(?)กันอยู่นี้ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่ราชการสำคัญๆทั้งนั้น
“เสือก” ว่าเสร็จก็หันหลังหนี เตรียมที่จะชิ่งไปขึ้นรถรับจ้างที่อยู่ไม่ไกล แต่ก็ถูกพอร์ชรั้งด้วยการดึงสายกระเป๋าสะพายไว้เสียก่อน
“มึงจะไปวิลัยรึยัง?” พอร์ชถาม เมื่อโซ่หันมาตีหน้ายักษ์ใส่ เพราะเจ้าตัวเริ่มที่จะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว
“เสือก” โซ่ยังคงใช้คำด่าเดิมเป็นคำตอบ
“แล้วจะไปยังไง?” พอร์ชถามต่อแบบไม่สนใจสีหน้าและท่าทางของโซ่แม้แต่น้อย
“เสือก” แล้วก็เป็นอีกครั้งที่โซ่พูดคำนี้ออกมา
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกับกู” ไม่ว่าเปล่า ทันทีที่พูดจบพอร์ชก็ดึง(สายกระเป๋าสะพายของ)โซ่ไปทางที่รถของตนจอดอยู่ทันที ส่วนคนหวงของอย่างโซ่เองจะขืนตัวมากก็ไม่ได้ เพราะกลัวว่ากระเป๋าจะขาด
“ปล่อย! จะไปตายที่ไหนก็เรื่องของมึง แต่อย่ามาเสือกกับชีวิตกู!” โซ่พยายามที่จะสะบัดตัวออกจากการจับกุมของพอร์ช ทั้งยังลืมตัวตะโกนเสียงดังจนกลายเป็นจุดสนใจของคนที่ผ่านไปผ่านมาแถวนั้น
“กูอยากเสือก!” สามคำสั้นๆที่พอร์ชพูดออกมาทำเอาโซ่ชะงักนิ่ง จังหวะนั้นเองพอร์ชที่หูตาไวก็อาศัยความเร็วไปกระชากเอาไอพอดในมือของโซ่จนเครื่องหลุดออกจากหูฟัง
“อย่ายุ่งกับของกู!” โซ่คำรามลั่นเมื่ออีกคนกระชากของรักของหวงของตนออกไปสุดแรง ทั้งที่ตัวเขาเองถนอมมันแทบตาย
“อะไรวะเนี่ย? เพลงจันทร์เจ้า เพลงช้าง นกกาเหว่า นกขมิ้น เป็ดอาบน้ำ! นี่มึงอยู่อนุบาลไหนครับไอ้นิ่ง? ถึงได้ยังฟังเพลงแบบนี้อยู่อีก” นอกจากจะไม่ฟังเสียงร้องห้ามของโซ่แล้ว พอร์ชยังเสียวิสาสะค้นดูลิสต์เพลงในไอพอดของโซ่อย่างไร้มารยาทอีกด้วย
“เอาของกูคืนมา!” โซ่ไม่เก็บเอาท่าทางล้อเลียนของพอร์ชมาใส่ใจ เขาเพียงแค่อยากได้ของเขาคืนเท่านั้น
“ไม่! จนกว่ามึงจำทำตามที่กูบอก” พอร์ชบอกอย่างเป็นต่อ
“มึงต้องการอะไร” โซ่ถาม
“ถึงวิลัยเมื่อไหร่กูจะบอก” พอร์ชเดินไปขึ้นค่อมรออยู่เบาะบนรถของตน พลางส่งสายตาเป็นเชิงบอกให้โซ่เดินตามมานั่งซ้อนท้ายอีกที
“กูไม่ไปกับมึงแน่” โซ่ตอบปฏิเสธในทันที
“ถ้างั้นกูยึด” ยกไอพอดของโซ่แกว่งไปมากลางอากาศของสองสามที ก่อนที่จะริบเก็บเข้ากระเป๋ากางเกงตัวเองไป
“ถ้าของกูพัง…มึงเจ็บตัวแน่” ทิ้งตัวกระแทกนั่งบนเบาะหลังอย่างแรงจนรถกระเทือน
“คร้าบๆ เดี๋ยวพี่พอร์ชจะดูแลรักษาอย่างดีเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นไอพอดหรือเจ้าของมัน” เอี้ยวตัวเอาหมวกกันน็อคของตัวเองมาสวมให้กับโซ่ ซึ่งตอนแรกโซ่ก็ขืนตัวอยู่หรอกเพราะไม่ชอบให้ใครมาถูกเนื้อต้องตัวนัก แต่พอเจอสายตาจริงจังของพอร์ชเข้าไปเจ้าตัวก็เลยยอมอยู่เฉย เพราะไม่อยากจะฟังเสียงกวนประสาทจากปากหมาๆของพอร์ชอีก
“เอาของกูคืนมา” พอลงรถได้ โซ่ก็ถอดหมวกกันน็อคโยนใส่พอร์ช พร้อมกับเอ่ยทวงไอพอดของตัวเองจากพอร์ชในทันที
“มาเจอกูที่โรงอาหารตอนเที่ยงก็แล้วกัน” พอร์ชบอก
“มันเป็นของกู และกูจะเอาตอนนี้…เดี๋ยวนี้” โซ่กดเสียงต่ำแบบสั่นๆ เพราะเริ่มที่จะควบคุมอารมณ์โมโหของตัวเองไม่ได้ มันเป็นใคร? ทำไมเขาต้องทำตามที่มันสั่งด้วย!
“แต่ตอนนี้มันอยู่ที่กู และกูก็บอกแล้วว่าให้มาเจอกันที่โรงอาหารตอนเที่ยง…เข้าใจนะ” ล็อครถเสร็จพอร์ชก็หิ้วหมวกกันน็อคเดินหนีไปทันที ไม่รอฟังคำทักท้วงจากเจ้าของไอพอดอย่างโซ่อีกต่อไป
“แม่งเอ้ย!” สบถออกมาเสียงดังลั่นอย่างไม่เกรงใจใคร เมื่อได้ยินเสียงเพลงมาร์ชประจำวิทยาลัยที่เป็นสัญลักษณ์เรียกเข้าแถวดังขึ้นมาเสียก่อนที่จะได้ตามพอร์ชไป ความจริงจะไม่เข้าแถวก็ได้ ไม่มีใครบังคับ เพียงแต่ พอสิ้นเดือนถ้าหากว่าคำนวนค่าเฉลี่ยแล้วจำนวนเวลาเข้าแถวของใครไม่ถึงแปดสิบเปอร์เซ็นคนนั้นก็ต้องลงทำเบียนแก้ด้วยการบำเพ็ญประโยชน์จำนวนวันที่ขาดไป ซึ่งแน่นอนว่าการบำเพ็ญประโยชน์ที่ว่านั้นมันไม่ใช่แค่การเก็บขยะธรรมดา แต่หากรวมไปถึงการถางหญ้า ขัดห้องน้ำ ขนโต๊ะเก้าอี้ และลอกคลองน้ำสที่อยู่ทางด้านหลังโรงยิมอีกด้วย
“ไงมึง…ได้ข่าวว่าวันนี้มีเด็กซ้อนท้ายมาด้วย…ใครวะ?” เป้กระซิบถามพอร์ชในขณะที่รอปล่อยแถว หลังจากเคารพธงชาติและสวดมนต์เรียบร้อยแล้ว
“ไอ้นิ่ง” ยักคิ้วบอกด้วยท่าทางภาคภูมิใจเป็นถึงที่สุด
“คนที่ทำมึงน็อควันนั้นอะนะ?” เป้ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น เพราะติดธุระเลยมาสาย แต่เพื่อนร่วมชั้นเรียนที่อยู่กับพอร์ชในวันนั้นก็มาเล่าให้เขาฟังอย่างออกรสออกชาติประหนึ่งย้อนภาพให้ดู
“ก็เพราะมันเห็นออร่าความหล่อของกูตอนนั้นนั่นแหละ วันนี้มันถึงได้ยอมนั่งซ้อนรถมาวิลัยพร้อมกับกูอย่างนี้” เสยผมพูดโม้ออกมาอย่างหน้าไม่อาย
“แต่กูว่าเพราะด้วยรักของมึงและส้นตีนของมันที่ประทับเป็นรอยแตกอยู่ตรงมุมปากของมึงนี่มากกว่ามั้ง” เป้พูดขัดอย่างรู้ทัน อีกทั้งยังกดซ้ำไปบนรอยแผลที่โซ่ฝากไว้เมื่อก่อนหน้านี้
“เออจะอะไรก็แล้วแต่ เอาเป็นว่าเพราะกูหล่อมากมันเลยยอมมากับกู…จบนะ!” สะบัดเสียงใส่เพื่อนอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อถูกทำลายความฝันเฟื่องในภวังค์ด้วยความเป็นจริง
ตุบ!
“มาหล่อกับส้นตีนกูนี่!” โซ่ที่นั่งฟังอยู่ในแถวถัดไปตั้งแต่แรกเริ่ม ถีบเข้าเต็มๆที่กลางหลังของพอร์ชอย่างแรงเมื่อแถวของเขาถูกปล่อยก่อนแถวของพอร์ช
มันก็จริงอยู่ที่แผนกพวกเขาไม่ถูกกัน แต่เวลาเข้าแถวทีไรช่างยนต์กับช่างไฟจะถูกจับคู่กันทุกที แล้วก็เรียงตามลำดับห้อง ตามเลขประจำตัวเป็นแถวตอนลึกลงไปตั้งแต่ ปวช.1 จนสิ้นสุดที่ปวส.2 ห้องสุดท้าย แล้วก็บังเอิ๊ญบังเอิญที่เขานั้นอยู่ห้องสองเหมือนกับไอ้หน้ามึนอีกทั้งเลขของเขายังอยู่ถัดจากมันมาแค่ลำดับเดียว จึงได้ยินทุกสิ่งอย่างที่เจ้าตัวพูดโม้ไว้ตั้งแต่เริ่มต้น ก็เลยอดรนทนไม่ได้ที่จะประทับฝากรอยรองเท้าเบอร์สี่สิบสองคู่เก่งของตัวเองไว้บนหลังเสื้อช็อปของมัน ข้อหากวนตีน เพราะตอนปล่อยแถวนั้นช่างไฟจะถูกปล่อยก่อนช่างยนต์ที่อยู่แถวริมสุด ซึ่งแน่นอนว่าเหตุการณ์นั่นย่อมประจักษ์แก่สายตาของนักศึกษาและคณะครูอาจารย์ทุกท่าน เพียงแต่พอเจ้าตัวเห็นว่าเป็นเขาที่ถีบมัน มันเลยไม่โวยวาย เขาก็เลยรอดตัวไป
TBC.
คนอ่านเข้าใจคำว่า 'เขยช่างไฟสะใภ้ช่างยนต์' ของคนเขียนมากน้อยแค่ไหนคะ?