"ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3  (อ่าน 27391 ครั้ง)

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
สนุกมาก

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 17
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
จบแล้วทุกอย่าง ไม่ว่าจะพยายามหรือไม่ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร สุดท้ายก็เหมือนเดิม คนอย่างเรายังจะหวังอะไรได้มากกว่านี้อีก
Like – Comment – Share

         ถึงแม้งานใหญ่ของเลมอนเซคิวริตี้จะจบลงไปแล้ว แต่บรรยากาศในออฟฟิศก็ยังไม่ดีขึ้น มีแต่จะยิ่งแย่ลงทุกวัน ข้าวโอ๊ตกับออกัสก็กลายเป็นอีกคู่หนึ่งที่มองหน้ากันไม่ติดไปแล้ว ในห้องครัวเวลาเช้าหรือตอนพักกลางวันจึงมักจะมีแต่ความเงียบ
ญาดามองหน้าเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องทั้งสองคนสลับกันไปมาด้วยความหนักใจ ตั้งแต่วันนั้นข้าวโอ๊ตกับออกัสก็ไม่ได้พูดคุยกันเหมือนเดิมอีก คงมีแต่เรื่องงานเท่านั้นที่ทำให้ทั้งสองคนยังพอพูดจากันได้อยู่บ้าง ความขัดแย้งของทั้งสองคนไม่พ้นสายตาของนัตโตะและพัดชา ทั้งสองคนพยายามถามถึงสาเหตุ แต่ไม่มีใครยอมเปิดปากเล่า นัตโตะไม่ละความพยายาม เขายอมไม่รับประทานอาหารในห้องอาหารกับฝรั่งอย่างเคย แล้วมายืนรับประทานในครัวกับคนอื่น ๆ เพื่อคอยเงี่ยหูฟังว่าจะมีใครสักคนหลุดพูดอะไรออกมาไหม แต่ก็ยังไม่ได้ความอะไรคืบหน้าอยู่ดี ชายหนุ่มไม่ยอมแพ้ วันนี้เขาก็ยังเข้ามารับประทานอาหารในครัวเหมือนเดิม
          ระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารกลางวันกันอยู่ พัดชาก็ทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดใจด้วยการถามถึงมิคกี้ที่ลาหยุดหนึ่งวัน
          “คุณมิคกี้ไม่อยู่สักคนนี่ออฟฟิศเงียบนะคะ ปกติแกเป็นคนพูดเก่ง แล้วนี่แกลาไปไหนคะเนี่ย”
          “พักร้อนค่ะ เห็นว่าจะไปเที่ยวทะเล” ญาดาตอบ
          “คุณทีโมนก็จะไปเที่ยวเหมือนกันค่ะ เมื่อเช้าพี่เห็นแกลากกระเป๋าเข้ามาก็เลยไปถาม แกว่าจะไปเกาะอะไรสักอย่างพี่ฟังไม่ออก ลางานครึ่งวันบ่าย” พัดชาเล่า
          “จะไปเกาะก็เลยใส่เสื้อฮาวายลายต้นมะพร้าว มีใครไปบอกมันรึยังว่าลายแบบนี้มันเชยบรม ไม่มีใครเขาใส่กันแล้ว” ญาดาทำท่าขนลุก รับไม่ได้กับรสนิยมของคนที่กำลังพูดถึง เมื่อเช้าหล่อนแทบตาค้างเมื่อเห็นทีโมนเปิดประตูออฟฟิศมาพร้อมกับแฟชั่นที่หล่อนไม่คิดว่าคนหนุ่ม ๆ ในศตวรรษนี้จะยังใส่กันอยู่อีก เจ้าเด็กนั่นใส่เสื้อฮาวายสีชมพูสดลายต้นมะพร้าวสีน้ำตาลและสีขาว ใส่เนกไทสีขาวแต่มีลายดอกชบาสีแดงดอกใหญ่อยู่ตรงปลาย กะว่าถอดเนกไทก็ไปเที่ยวต่อได้เลย แต่โดยรวมแล้วมันดูอิหลักอิเหลื่อพิกล หากเจ้าตัวก็มั่นใจในรสนิยมของตัวเองมาก ไม่สนใจสายตาของใครทั้งสิ้น
          “ผมก็จะไปเที่ยวทะเลเหมือนกันครับ แฟนชวนไปเที่ยว ไปกับครอบครัวของเขาด้วยครับ แม่เขาจองวิลล่าแบบมีพูลส่วนตัวให้เราเลยนะครับ ผมนี่ตื่นเต้นจัง” นัตโตะพูดขึ้นบ้าง หัวข้อสนทนาตอนนี้คือการไปเที่ยว เขาก็ต้องแสดงออกไม่ให้น้อยหน้าใครเช่นกัน
         ข้าวโอ๊ตต้องทนฟังการโอ้อวดในเรื่องต่าง ๆ ของนัตโตะมาหลายวันจนรู้สึกว่าประสาทอันตึงเครียดของตัวเองใกล้ขาดผึงเข้าทุกที ชายหนุ่มจึงอดปากไม่อยู่ ดักคอเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องอย่างรู้ทันว่า
         “ไปเที่ยวกับแฟน ทีโมนน่ะเหรอ แต่เขาไม่เห็นพูดเลยนี่ว่าครอบครัวของเขามาเยี่ยม นายมโนเอาเองรึเปล่า”
         “พี่โอ๊ต ใครบอกว่าทีโมนเป็นแฟนผมกัน ผมบอกหลายครั้งแล้วว่าไม่ใช่” นัตโตะหน้าคว่ำ
         “งั้นเหรอ ถ้างั้นใครเป็นแฟนนายกันล่ะ ชื่ออะไร เห็นเรียกแต่แฟนผม ๆ ฟังนายเล่าแล้ว เขาคงเป็นคนที่วิเศษมากเลยนะ นายจะไม่แนะนำให้พวกเรารู้จักหน่อยเลยเหรอ”
         นัตโตะอึกอัก ก่อนจะหาเรื่องดำน้ำขายผ้าเอาหน้ารอดไปว่า
         “แฟนผมเขาขี้อาย ไม่ชอบรู้จักคนเยอะ ๆ แต่ผมจะบอกเขาก็แล้วกันว่าพี่ ๆ ที่ทำงานอยากรู้จัก”
         “อยากรู้จักชาตินี้นะ ไม่ใช่ชาติหน้า รีบไปหาคนมาเป็นแฟน เอ๊ย ไปบอกแฟนเลย นี่รอรู้จักจนตัวสั่นไปหมดแล้ว”
         ออกัสช่วยตีลูกมาอีกแรง แถมกระทบตรงจุดเป๊ะ นัตโตะโกรธจัดเหมือนงูที่ถูกตีที่ขนดหาง ดวงตาวาว อาฆาตออกมาว่า
         “ในเมื่อผมตั้งใจจะผูกมิตรด้วยแล้ว แต่พวกพี่ไม่สนใจ แถมยังจับผิดกีดกันผมไปเสียทุกอย่าง ผมจะไม่ทนอีกต่อไป แล้วเกิดอะไรขึ้น อย่าหาว่าผมร้ายก็แล้วกัน”
         พูดจบ ชายหนุ่มก็ทิ้งช้อนส้อมโครมลงบนจานอาหารที่กินค้างอยู่ สะบัดหน้าเดินกระแทกเท้าออกไปจากห้องครัว
         ข้าวโอ๊ตกับออกัสที่จับมือกันต่อตีศัตรูร่วมมองหน้ากันแวบหนึ่ง แล้วต่างคนก็ต่างเมิน หันหลังกินข้าวในจานของตัวเองต่อ พัดชากะพริบตาปริบ ๆ ไม่รู้จะพูดอย่างไรถูกในสถานการณ์แบบนี้ ญาดาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความกลัดกลุ้ม นึกสงสัยว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะจบลงที่ตรงไหน

          “คุณโอ๊ต”
          คาร์ลตัดสินใจเรียกเมื่อเห็นข้าวโอ๊ตเดินออกมาจากห้องครัว สวนกับเขาที่เดินออกมาจากห้องรับประทานอาหารเร็วกว่าปกติ เด็กหนุ่มอยากจะพูดกับข้าวโอ๊ตมาหลายวันแล้ว หลังจากสังเกตว่าชายหนุ่มกลับมาเคร่งเครียดอีก และครั้งนี้ดูจะหนักกว่าเดิมเพราะชายหนุ่มแทบไม่ยิ้มอีกแล้ว
          “เย็นนี้ไปกินข้าวกันนะครับ ผมอยากคุยกับคุณ” เด็กหนุ่มกระซิบ
          “เอาสิ เจอกันที่ร้านเดิมก็ได้ หกโมงครึ่ง” ข้าวโอ๊ตกระซิบตอบ แล้วเดินกลับเข้าห้องทำงานของตัวเองไปโดยที่ยังไม่มีรอยยิ้มแม้แต่นิดเดียว
          คาร์ลมองตามไปด้วยความสงสัยและเป็นห่วง
          เด็กหนุ่มถามเขาถึงเรื่องนี้เมื่อนั่งอยู่ด้วยกันที่ร้านอาหาร เป็นร้านอาหารไทยอยู่ในซอยใกล้กับอพาร์ตเม้นท์ที่บริษัทเช่าให้คาร์ลอยู่ เด็กหนุ่มชอบร้านนี้ เมื่อเขาแนะนำข้าวโอ๊ต ฝ่ายหลังก็พลอยชอบไปด้วยเพราะอาหารอร่อย ราคาไม่แพง แถมอยู่ใกล้ร้านกาแฟร้านโปรดที่นั่งนาน ๆ ได้ซึ่งเป็นร้านที่ทั้งสองคนชอบมานั่งทำงานแปลด้วยกัน
          “มีเรื่องอะไรกันรึเปล่าครับ ช่วงนี้ผมสังเกตว่าคนในออฟฟิศแทบไม่คุยกันเลย คุณเคยเดินออกมาคุยกับคุณกัสบ่อย ๆ แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้ทำแล้ว โกรธกันเหรอครับ”
          “เถียงกันนิดหน่อย” ข้าวโอ๊ตยอมรับ เอาช้อนเขี่ย ๆ อาหารในจาน แต่ไม่ได้ตักเข้าปากเลยแม้แต่คำเดียว
          “พวกคุณเป็นเพื่อนสนิทกัน ไม่น่าจะโกรธกันอย่างนี้เลยนะครับ เรื่องมันร้ายแรงขนาดที่ไม่มองหน้ากันเลยเชียวเหรอ”
          “ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก” ข้าวโอ๊ตวางช้อนกับส้อมลง ไม่มีความรู้สึกอยากอาหารเลย
          “เพียงแต่มันเป็นเรื่องของความรู้สึกน่ะ ถ้าคุณเคยเสียความรู้สึกกับใครสักคน คุณจะเข้าใจว่ามันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ยาก ผมเสียความรู้สึกกับออกัส มันก็แค่นี้แหละ”
          “ผมเข้าใจนะ ผมก็เคยเสียความรู้สึกกับใครบางคนเหมือนกัน” เด็กหนุ่มยอมรับ ดวงตาของเขาขุ่นมัวขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นเศร้า แต่ข้าวโอ๊ตไม่ทันได้สังเกตเพราะมัวแต่จมอยู่กับความรู้สึกของตัวเอง
          “แล้วก็ยังมีเรื่องทุนไปอบรมที่มิวนิกด้วย ผมไม่ได้เป็นแม้แต่แคนดิเดต มีผมคนเดียวเท่านั้นที่ถูกตัดออก ผมพยายามพูดกับพี่หญ้า แต่ไม่มีใครคิดจะช่วยผมเลยสักคน มันรู้สึกแย่นะเวลาที่ถูกมองข้ามอย่างสิ้นเชิงแบบนี้ นี่ผมยังทำงานอยู่ในออฟฟิศนี้อยู่รึเปล่า ผมชักไม่แน่ใจแล้ว”
          “อย่าพูดแบบนั้นสิครับ การที่เขาไม่พิจารณาคุณก็ย่อมมีเหตุผล พวกเขาบอกรึเปล่าว่าเพราะอะไร”
          “หัวข้อสัมมนาเกี่ยวข้องกับธุรกิจ เขาอยากให้ฝ่ายการตลาดไป มิคกี้หรือไม่ก็นัตโตะ แต่เขาก็พิจารณาออกัสด้วยเพราะอายุงานที่นานกว่าทุกคน ยังไม่รู้ว่าใครจะได้รับเลือก”
          “เท่าที่ผมได้ยินคาริน่าคุยกับด็อกเตอร์แฮร์มันน์ น่าจะเน้นไปที่ฝ่ายการตลาดมากกว่า ผมว่าคุณกัสเขาน่าจะเสียใจยิ่งกว่าคุณอีกนะ ให้เขาเป็นแคนดิเดตเพราะเห็นใจว่าทำงานมานาน เหมือนแค่ให้ความหวัง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไป ส่วนคุณ รู้ชัดเจนตั้งแต่แรก ไม่ต้องมีความหวังอะไรให้เจ็บปวด มันไม่ดีเหรอครับ”
          ข้าวโอ๊ตนิ่งคิดตามคำพูดของเด็กหนุ่ม
          “คุณเอาแต่โฟกัสเรื่องที่จะทำให้ตัวเองเจ็บ แต่ถ้าคุณลองถอยออกมา เปลี่ยนมุมมองอีกสักนิด คุณอาจจะไม่รู้สึกอย่างนี้ก็ได้นะครับ”
          “คุณนี่ ปลอบใจคนเก่งเหมือนกันนะ” ข้าวโอ๊ตค่อยเริ่มยิ้มออก “ผมสิแย่ แก่เสียเปล่า กลับคิดอะไรไม่ค่อยได้ ชอบมองอะไรในแง่ติดลบไว้ก่อน”
          “ปัญหาของเราเรามักจะมองไม่ออกหรอกครับ ต้องให้คนอื่นช่วยมองให้ ถึงจะมองได้รอบด้าน หาทางแก้ได้ ทีนี้ คุณก็ไม่ต้องคิดมากแล้วนะครับ ครั้งนี้ไม่ได้ เอาไว้ครั้งหน้าก็ได้ มันต้องมีสักครั้งสิครับที่เป็นของเรา”
          “ผมจะพยายามไม่หวังมากก็แล้วกัน จะได้ไม่ต้องผิดหวัง”
          “ดีมากครับ มันต้องแบบนี้” คาร์ลยิ้มกว้าง ยื่นมือข้างหนึ่งเข้าไปหา ข้าวโอ๊ตก็ส่งมือตัวเองไปจับมือเชคแฮนด์ด้วย บนใบหน้าของเขายังมีรอยยิ้มน้อย ๆ ติดอยู่ แสดงว่าอารมณ์ดีขึ้นแล้ว และเมื่ออารมณ์ดี ความอยากอาหารก็เริ่มมา ชายหนุ่มดึงมือออกจากมือของคาร์ล แล้วเริ่มต้นรับประทานอาหารอีกครั้ง
          “ยังงี้คุณก็น่าจะไปคืนดีกับคุณกัสด้วยนะครับ เพื่อนกัน โกรธกันนาน ๆ ไม่ดีหรอก”
          “เพื่อนร่วมงาน” ข้าวโอ๊ตแก้คำให้ถูก แต่คาร์ลไม่สนใจ
          “ยังไงก็เพื่อนครับ ดีกันไว้ดีกว่า”
          ข้าวโอ๊ตยักไหล่ ทำท่าเหมือนไม่สนใจ ทั้งที่ใจจริงเริ่มคล้อยตามคำพูดของคาร์ล จะว่าไปเขาเองก็มีส่วนผิดที่ไปอารมณ์เสียใส่ออกัสก่อน แต่ชายหนุ่มก็ยังปากแข็ง
          “ผมจะพยายามดูสักครั้งก็แล้วกัน แต่คิดว่าไม่สำเร็จหรอก ช่วงนี้หมอนั่นอารมณ์เสียจะตาย ใครจะอยากเข้าใกล้ นิดหน่อยก็ปึงปังแล้ว ไม่รู้มีเรื่องอะไร”

          ในเวลาเดียวกันนั้น คนที่กำลังตกเป็นหัวข้อสนทนาของข้าวโอ๊ตกับคาร์ลกำลังเครียดอย่างหนัก
          ออกัสได้รับข้อความจากทีโมนหลังจากที่เขาออกจากออฟฟิศแล้วและกำลังเดินทางกลับบ้าน ดูเหมือนว่าทีโมนไม่อยากจะรอคำตอบจากเขาอีกต่อไปแล้ว
          ‘เลิกบ่ายเบี่ยงถ่วงเวลาได้แล้วคุณกัส ผมเบื่อจะรอแล้ว อาทิตย์หน้าผมต้องได้คำตอบที่น่าพอใจจากคุณ’
          ชายหนุ่มนึกภาพสีหน้าอวดโอ่ลำพองแบบคนถือไพ่เหนือกว่าของคนส่งข้อความออกเลย พูดแล้วก็แค้นใจ ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันหลอกล่อเขา วันดีคืนดีก็ส่งภาพเข้ามาที่อีเมลหรือไม่ก็โทรศัพท์ของเขา ให้เขาหวาดผวาเล่น แล้วมันก็หัวเราะชอบอกชอบใจ
          ไอ้โรคจิต!
          ‘อ้อ ผมบอกเอาไว้ก่อนนะว่าอย่าคิดจะปฏิเสธผมเลย รูปก่อนนี้อาจจะแค่เด็ก ๆ คุณอาจจะหาข้อแก้ตัวได้ แต่รูปชุดใหม่ที่ผมเพิ่งได้มานี่ เด็ดกว่านั้นเยอะ มีวีดิโอด้วยนะ ผมเพิ่งรู้ว่าคุณนี่ร้อนแรงเป็นบ้า กับผมน่ะ เอาแบบนี้เลยนะ ผมชอบ’
ข้อความจากทีโมนส่งเข้ามาอีก หน้าของออกัสเปลี่ยนสีเมื่ออ่านจบ แล้วเมื่อกดเปิดดูรูปที่ถูกส่งมาในไฟล์แนบ ตัวของเขาก็สั่นเทิ้มด้วยความตกใจและความหวาดหวั่น
          ทีโมนมันเอารูปพวกนี้มาจากไหน แต่ที่ยิ่งกว่านั้นรูปพวกนี้ถูกถ่ายได้อย่างไร ก็ไหนตกลงกันก่อนรับงานแล้วว่าต้องไม่มีการบันทึกภาพหรือวีดิโอเด็ดขาด ลูกค้าก็รับทราบข้อตกลงพวกนี้ดี เขาถึงยอมให้ทำได้ถึงขนาดนั้น
          ออกัสรีบร้อนออกจากรถไฟฟ้าทั้งที่ยังไม่ถึงสถานีที่ต้องการ แตะบัตรออกนอกสถานี เมื่อหามุมที่ปลอดคนได้ ชายหนุ่มก็กดโทรศัพท์หาคนที่รับงานให้เขาทันที
          “ลูกค้าถ่ายรูปกับถ่ายวีดิโอเก็บไว้ ทำไมมันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้พี่ ก็ไหนพี่สัญญาว่ามันจะไม่เกิดเรื่องอะไรแบบนี้”
          “เดี๋ยวก่อน กัส ใจเย็น ๆ เกิดอะไรขึ้น เล่ามาก่อน มาถึงก็ปรี๊ดเลยนะ พี่จะรู้เรื่องไหมล่ะ แล้วลูกค้าอะไร คนไหน”
          เสียงวี้ดว้ายใส่จริตของสาวประเภทสองดังสวนออกมาขัด
          ออกัสพยายามจะข่มใจ แต่เขาก็ทำไม่ได้ดีนัก ตอนที่เล่าเรื่องให้อีกฝ่ายฟัง เสียงของเขาแหลมสูงฟังเหมือนไม่ใช่เสียงของตัวเองเลย
          ปลายสายฟังแล้วนิ่งไปเลย ก่อนตอบเสียงอ่อย ๆ ว่า
          “พี่ไม่รู้ ก็เขารับปากอย่างนั้น แล้วก็ให้เงินดี๊ดี บอกแค่ว่าขอเล่นอย่างว่าแค่นั้น”
          “มันจัดเต็มทั้งกุญแจมือทั้งเชือกทั้งเทียน ผมก็ไม่ว่านะพี่ถ้าตัวผมไม่มีรอยอะไรชัดเจนให้แฟนผมสงสัย แต่นี่มันถ่ายรูป มันร้ายแรงนะพี่”
          ออกัสโวยลั่น นึกขยะแขยงตัวเองเต็มทนเมื่อนึกถึงตอนนั้น ลูกค้ามารับเขาที่ตึกที่เขาทำงาน พอเขาขึ้นรถก็ทั้งจูบทั้งกอด แต่เพราะอีกฝ่ายหน้าตาดี เขาจึงไม่ถึงกับต้องฝืนใจตัวเองมากนัก
          ผู้ชายคนนั้นพาเขามาที่คอนโดที่ไม่ไกลจากตึกมากนัก เมื่อเข้าไปอยู่ในห้องด้วยกันสองคน เขาก็ต้องทำอะไรที่ไม่อยากทำเลย ชายหนุ่มไม่ใช่คนที่มีรสนิยมทางเพศที่โลดโผน ไม่นิยมใช้อุปกรณ์ทุกประเภทที่พวก SM ชอบใช้กัน แต่เพราะตกลงกันเอาไว้ก่อนแล้ว ชายหนุ่มจึงต้องยอมเป็นของเล่นให้อีกฝ่ายจับมัด หยดน้ำตาเทียนใส่ตัว และอะไรอย่างอื่นอีกที่เขาไม่อยากจะนึกถึง แลกกับเงินจำนวนมาก ทั้งทิปอีกไม่น้อย หลังจากจบงานแล้ว
          “ลูกค้าคนนี้พี่จะขึ้นแบล็กลิสต์เอาไว้เลยก็แล้วกัน จะส่งข่าวให้คนอื่น ๆ รู้ด้วย จะได้ไม่ต้องมีใครรับงานมันอีก”
          “แล้ววีดิโอกับรูปถ่ายของผมล่ะพี่” ชายหนุ่มถามด้วยความร้อนรน
          “พี่จะช่วยล็อบบี้ให้อีกแรง ไม่ต้องห่วงนะกัส มันจะไม่หลุดออกไปมากกว่านี้แน่”
          “แต่มันก็หลุดออกมาแล้ว!” ชายหนุ่มตะโกนใส่โทรศัพท์ด้วยความลืมตัว ก่อนจะลดเสียงลงเมื่อสังเกตว่าคนที่เดินผ่านไปผ่านมามองมาที่เขาด้วยความสนใจ
          “กัสก็ลองคุยดูว่าเขาต้องการอะไรแลกกับภาพกับวีดิโอ ทางพี่ก็จะไปเจรจาอีกแรง พี่ว่ามันไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก บางทีเขาอาจจะชอบกัส อยากใช้บริการแต่ไม่อยากจ่ายเงินเยอะ ๆ อีกก็เลยเอารูปภาพมาต่อรอง”
          ปลายสายคิดว่าออกัสได้ภาพมาจากลูกค้าโดยตรงจึงแนะนำไปอย่างนั้น
          ชายหนุ่มกัดฟันแน่นด้วยความโมโห เป้าหมายของอีทีโมนน่ะชัดเจน แต่เขาอยากรู้ว่ารูปมันหลุดไปถึงมือไอ้หมอนั่นได้อย่างไร แล้วจะมีทางไหนไหมที่จะทำลายรูปกับวีดิโอพวกนั้นให้หมด
          “พี่ต้องจัดการเรื่องนี้ให้ผม ต้องเอาภาพกับวีดิโอมาให้ได้ ถ้าพี่ทำไม่ได้ ผมจะบอกเด็กในสังกัดพี่ให้ออกไปอยู่สังกัดอื่นให้หมด จะบอกว่าพี่หักเปอร์เซ็นต์โหดกว่าที่อื่น พี่หมดทางทำมาหากินแน่!”
          ออกัสกดวางสายโทรศัพท์ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้นเหมือนคนหมดแรง ชายหนุ่มอยากจะดึงทึ้งผมบนหัวตัวเองเพื่อระบายอารมณ์ที่สุมแน่นอยู่ในอก แต่เขาก็ทำได้แค่ซบหน้าลงกับฝ่ามือทั้งสองข้างเท่านั้น

           

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
           ข้าวโอ๊ตหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าอพาร์ตเม้นท์ของคาร์ล เด็กหนุ่มเดินตามมาหยุดอยู่ข้าง ๆ
           “ขอบคุณมากนะที่เลี้ยงข้าว” ข้าวโอ๊ตหันมาพูดด้วย คาร์ลก็ยิ้มให้อย่างสดใส
           “ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี”
           มีความเงียบเกิดขึ้นในจังหวะนั้นหลังจากที่ทั้งสองคนบังเอิญเงียบไปพร้อมกัน ก่อนที่ข้าวโอ๊ตจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนว่า
           “งั้น...ผมกลับก่อนนะ”
           “เดี๋ยวก่อนสิครับ” คาร์ลรีบรั้งเอาไว้ทันที “คุณจะไม่อยู่คุยกับผมก่อนเหรอ”
           ข้าวโอ๊ตชะงักไปนิด มองเด็กหนุ่มเหมือนไม่ค่อยแน่ใจนัก
           “นะครับ อยู่กินกาแฟด้วยกันสักแก้ว แล้วค่อยกลับ”
           ข้าวโอ๊ตจำไม่ได้ว่าตัวเองตอบเด็กหนุ่มไปว่าอะไรหรือไม่ได้ตอบก็ไม่รู้ แต่ขาของเขาก้าวตามคาร์ลเข้าไปในลิฟท์และตอนนี้เขาก็อยู่ในห้องของคาร์ลแล้ว
           “รกหน่อยนะครับ ต้องขอโทษด้วย” เด็กหนุ่มออกตัว มือรวบหนังสือนิตยสารที่วางระเกะระกะอยู่บนโซฟาเอามาวางไว้บนโต๊ะกระจกข้างโซฟาที่มีโทรศัพท์วางอยู่ แล้วชี้บอกชายหนุ่ม
           “เรียบร้อยแล้วครับ ตามสบายนะ เดี๋ยวผมไปชงกาแฟให้”
           คาร์ลเดินไปยังส่วนที่กั้นเป็นครัวเล็ก ๆ อยู่ใกล้กับประตูที่เปิดออกไปเป็นระเบียง แล้วจัดแจงเปิดเตาไฟฟ้าเพื่อตั้งน้ำร้อนสำหรับชงกาแฟ
           ระหว่างที่เจ้าของห้องอยู่ในครัว ข้าวโอ๊ตก็มองไปรอบ ๆ ด้วยความสนใจ
           อพาร์ตเม้นท์ห้องนี้เป็นแบบสตูดิโอที่จัดว่ากว้างขวางทีเดียวสำหรับอยู่คนเดียว เตียงใหญ่ขนาดหกฟุตวางชิดผนังด้านหนึ่ง เฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นพร้อมสรรพ มีห้องน้ำและส่วนที่กั้นเป็นครัวเล็ก ๆ แถมยังมีชุดโซฟาและโทรทัศน์ให้ด้วย
           คาร์ลใช้เวลาพักใหญ่ในครัว ก่อนจะยกถ้วยกาแฟมาให้ข้าวโอ๊ต แล้วเดินกลับไปหยิบถ้วยของตัวเองมาพร้อมกับจานใส่ขนมคัพเค้กชิ้นเล็ก ๆ
           “ร้านข้าง ๆ อพาร์ตเม้นท์นี้เองครับ อร่อยมาก ลองชิมดูสิครับ”
           ข้าวโอ๊ตหยิบมาชิ้นหนึ่งตามมารยาท คาร์ลวางจานขนมลงบนตั้งหนังสือนิตยสารที่เขาเอาวางกองไว้บนโต๊ะกระจกก่อนหน้านี้ แล้วนั่งลงบนโซฟาข้างข้าวโอ๊ต โดยทิ้งระยะห่างเล็กน้อย
           “ขนมอร่อยดีนะ”
           ชายหนุ่มรู้สึกว่าเขาพูดอะไรไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไร แต่มันก็เป็นเรื่องที่เขานึกออกในตอนนี้ คาร์ลฟังแล้วยิ้มกว้างเหมือนเดิม ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงอวดนิด ๆ ว่า
           “ใช่ไหมล่ะ ผมบอกแล้ว เรื่องขนมนี่ต้องยกให้ผม เน้นแต่ของอร่อยอยู่แล้วครับ”
           ความร่าเริงของคาร์ลช่วยผ่อนคลายบรรยากาศลงได้ ข้าวโอ๊ตรู้สึกว่าตัวของเขาไม่ค่อยเกร็งแล้ว มือที่ยกกาแฟขึ้นจิบก็ไม่รู้สึกเกะกะเหมือนตอนแรก
           “จริงสิ ผมขอโทษด้วยนะที่ต้องให้คุณดื่มกาแฟ ผมไม่มีชาติดห้องเลย ปกติผมดื่มแต่กาแฟ”
           “ไม่เป็นไรหรอก ผมดื่มกาแฟได้ แต่ถ้าเลือกได้ก็จะเลือกชาก่อนเท่านั้นเอง”
           “กินกาแฟตอนนี้หวังว่าคงไม่ทำให้คุณตาค้างนอนไม่หลับนะ”
           “ไม่ต้องกินกาแฟ ผมก็นอนไม่ค่อยหลับอยู่แล้วล่ะ” ข้าวโอ๊ตตอบอย่างไม่รู้สึกเดือดร้อน ตรงกันข้ามกับคนถามที่ฟังแล้วคิ้วขมวดทันที
           “ถ้าถึงขนาดนอนไม่หลับ แสดงว่าคุณต้องเครียดมากแน่ ๆ ไม่ดีเลยนะครับ สุขภาพจะแย่เอา”
           “ก็ช่วงนี้แหละครับ ก่อนหน้านี้ผมนอนเยอะเกินไปด้วยซ้ำ บางทีนอนจนไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเลย สงสัยจะใช้โควต้านอนหลับหมดไปแล้ว ตอนนี้เลยนอนได้น้อยหน่อย”
           ข้าวโอ๊ตพูดให้เป็นเรื่องตลกไป แต่เด็กหนุ่มกลับไม่รู้สึกขำไปด้วย สายตาของเด็กหนุ่มแสดงความเป็นห่วงอย่างชัดเจนจนข้าวโอ๊ตไม่กล้าสบตาด้วย ตอนนี้ในอกมันรู้สึกร้อนวูบวาบอย่างบอกไม่ถูก
           “ผมเป็นห่วงคุณนะคุณโอ๊ต”
           “เอ้อ...ขอบใจนะคาร์ล แต่มันไม่มีอะไรหรอก ตอนนี้ผมรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว”
           เสียงที่ตอบไปมันดูแปร่งเพี้ยนและสั่นพิกล มือของเขาก็ชักสั่นจนต้องมองหาที่วางถ้วยกาแฟที่ถืออยู่ โต๊ะกระจกอยู่ด้านที่คาร์ลนั่ง แต่เขาไม่ต้องลุกขึ้นเพราะคาร์ลที่จับตามองเขาอยู่ตลอดดึงถ้วยจากมือของเขาไปวางให้และวางถ้วยของตัวเองไปพร้อมกันด้วย ก่อนจะหันกลับมาหา เอื้อมมือมาจับมือของเขาเอาไปกุมไว้
           “คาร์ล...”
           เด็กหนุ่มไม่ตอบรับเสียงเรียกของเขา แต่กลับดันตัวเขาพิงพนักโซฟาและก้มหน้าลงมาหา
           ข้าวโอ๊ตกลั้นหายใจตัวแข็ง ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นตามมาหลังจากนี้ การที่คาร์ลชวนเขาขึ้นมาที่ห้องก็ชัดเจนมากพออยู่แล้ว แต่ในหัวของเขาตอนนี้แทนที่จะว่างเปล่าก็กลับเต็มไปด้วยภาพมากมายหมุนวนต่อเนื่องไม่มีหยุด
           ชายหนุ่มเห็นภาพของฟรองซัวส์ชัดเจน และตอนนั้นก็ไม่ต่างจากตอนนี้
           เพียงแต่ตอนนั้นเขารักฟรองซัวส์เหลือเกิน
           ก่อนที่ริมฝีปากของคาร์ลจะแตะกับริมฝีปากของเขา ข้าวโอ๊ตก็เบือนหน้าหนี มือข้างหนึ่งกำหมัดยันหน้าอกของเด็กหนุ่มไว้
           คาร์ลชะงัก
           “ขอโทษนะคาร์ล ผมทำไม่ได้”
           “ทำไมล่ะครับ”
           ข้าวโอ๊ตถอยออกห่างจากเด็กหนุ่ม กระเถิบมานั่งสุดโซฟาด้านหนึ่ง ขณะที่คาร์ลก็ยึดที่นั่งที่มุมโซฟาอีกด้านหนึ่ง สีหน้าของเด็กหนุ่มดูผิดหวังและไม่เข้าใจ
           “ผมเคยคิดว่าผมจะนอนกับใครก็ได้ที่ผมชอบหรือพอใจ แต่เอาเข้าจริง ผมทำไม่ได้ ผมยังอยากให้มันเป็นเรื่องของความรัก ผมอยากมีอะไรกับคนที่ผมรัก มากกว่าจะแค่ความพอใจชั่วครั้งชั่วคราว ผมต้องการความสัมพันธ์ที่มั่นคง ใครก็ได้ที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น”
           “ซึ่งผมทำให้คุณไม่ได้ คุณชอบผม ผมก็ชอบคุณ แต่มันไม่มีทางเป็นความสัมพันธ์ที่มั่นคงในความหมายนั้น”
           ข้าวโอ๊ตพยักหน้ารับ
           คาร์ลถอนหายใจยาว เด็กหนุ่มเข้าใจความรู้สึกทั้งของตัวเองและของชายหนุ่มตรงหน้าดี ความใกล้ชิดและความถูกตาต้องใจล้วน ๆ ที่ทำให้พวกเขาทั้งสองคนมาจนถึงตรงนี้ แต่ถ้าถามเขาว่ามันจะพัฒนาเป็นความรักได้ไหม เด็กหนุ่มยอมรับตามตรงว่า มันคงเป็นเรื่องยาก
           “คุณอาจจะคิดว่าผมคิดมากเกินไป” ข้าวโอ๊ตพูด
           “ไม่หรอกครับ คุณตัดสินใจแบบนี้ดีแล้วล่ะ มันทำให้ผมมองเห็นอะไรมากขึ้นด้วย”
           เด็กหนุ่มมีสีหน้ารู้สึกผิด
           “ผมไม่ได้ให้เกียรติคุณเลยถึงได้คิดจะทำอะไรแบบนี้ ขอโทษด้วยนะครับคุณโอ๊ต”
           ข้าวโอ๊ตส่ายหน้า ยิ้มให้
           “คุณไม่ต้องขอโทษผมหรอก”
           “ไม่ได้หรอกครับ ผมต้องขอโทษ” คาร์ลนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจสารภาพว่า
           “เพราะผมตั้งใจจะใช้คุณเป็นเครื่องมือทำให้ใครคนหนึ่งออกไปจากชีวิตของผมด้วย”
           “หมายความว่ายังไง”
           “พรุ่งนี้แฟนผมจะมา” คาร์ลบอกข้าวโอ๊ต “ผมห้ามเขาแล้ว แต่เขาดึงดันจะมา เขาสงสัยว่าผมจะมีคนใหม่ ผมก็ตั้งใจทำให้เขาคิดแบบนั้น แล้วถ้าเขารู้ว่าผมมีอะไรกับคุณ เขาก็จะได้เสียใจ และเลิกกับผม”
           “คุณสองคนทะเลาะกันเรื่องอะไร”
           “เขาโกหกผม เขาบอกผมว่าเขาเลิกยุ่งเกี่ยวกับแฟนเก่าของเขาแล้ว แต่ก่อนที่ผมจะมาฝึกงานที่นี่ ผมจับได้ว่าพวกเขายังไปกินข้าวด้วยกันอยู่เลย เขาไม่ยอมรับ แต่ผมรู้ ผมเจ็บ ผมอยากให้เขาเจ็บเหมือนที่ผมรู้สึกบ้าง ผมก็เลยตัดสินใจอะไรบ้า ๆ แบบนั้นลงไป”
           “คนนี้สินะที่คุณบอกว่าทำให้คุณเสียความรู้สึก” ข้าวโอ๊ตเริ่มปะติดปะต่อเรื่องได้
           “เขาบอกว่าเขาลืมแฟนเก่าเขาแล้ว แต่จริง ๆ เขาไม่เคยลืม” คาร์ลเล่าต่อ น้ำเสียงและสีหน้าของเขาเจ็บปวดจนข้าวโอ๊ตอดรู้สึกสงสารไม่ได้ ชายหนุ่มขยับเข้ามาใกล้เด็กหนุ่มรุ่นน้องมากขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือไปจับบ่าของอีกฝ่ายบีบเบา ๆ เป็นการปลอบใจ
           “แฟนคุณน่าสงสารนะ ผมเชื่อว่าเขาเจ็บปวดไม่แพ้คุณหรอก อาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ”
           คาร์ลมองชายหนุ่มด้วยความไม่เข้าใจ ข้าวโอ๊ตจึงอธิบายว่า
           “คนที่อยากจะก้าวไปข้างหน้าเหลือเกินแต่ทำไม่ได้เพราะมีอดีตคอยถ่วงขาเอาไว้อยู่มันไม่น่าสงสารหรอกเหรอครับ อยากจะลืมก็ลืมไม่ได้ มันน่าอึดอัด มันเหมือนหัวใจจะถูกฉีกเป็นสองส่วน จะไปทางไหนก็ไม่ได้สักทาง อาจฟังดูเป็นคนเห็นแก่ตัวก็ได้เหมือนกันนะครับ แต่คนอย่างนี้น่ะมันทั้งน่าสงสาร น่าสมเพช แล้วก็อ่อนแอ”
           “คุณกำลังว่าตัวเองอยู่ด้วยนะ” คาร์ลพูด
           ข้าวโอ๊ตยิ้มขม
           “คุณดูออกสินะ”
           เด็กหนุ่มพยักหน้า
           “หลาย ๆ ครั้งเวลาที่คุณมองผม แต่มันเหมือนคุณไม่ได้มองผมเลย คุณมองเห็นคนอื่นในตัวผม ผมรู้สึกอย่างนั้น”
           “ผมก็ยังไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้เหมือนกัน” ข้าวโอ๊ตพูดสั้น ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องกลับมาพูดเรื่องของคาร์ลที่เขายังพูดค้างเอาไว้ต่อ
           “ผมก็ไม่รู้จักแฟนคุณหรอกนะ แต่ผมคิดว่าเขารักคุณ เขาถึงไม่อยากเสียคุณไป ต้องตามมาจนถึงที่นี่ ผมว่าคุณน่าจะให้โอกาสเขาอีกสักครั้งนะครับ ลองปรับความเข้าใจกันใหม่ คุณเองก็รักเขาไม่ใช่เหรอถึงได้โกรธได้เจ็บปวดกับเรื่องของเขาแบบนี้ ให้โอกาสเขาก็เหมือนให้โอกาสตัวเอง ลองดูอีกครั้งนะครับ”
           “ผมไม่รู้จริง ๆ”
           “ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ คุยกัน ใช้เวลาทบทวนเรื่องราวทั้งหมด แล้วคุณจะได้คำตอบเอง”
           ข้าวโอ๊ตลุกขึ้นยืน คาร์ลลุกตาม เขาก็ทำท่าจะเดินเข้ามาหา แต่พอนึกได้ก็หยุด ลังเล ข้าวโอ๊ตจึงเป็นฝ่ายเดินเข้ามากอดเด็กหนุ่มเสียเอง ตบบ่าเขาเบา ๆ ก่อนจะคลายอ้อมแขนลง แล้วบอกว่า
           “ผมกลับก่อนนะ วันจันทร์เจอกันที่ออฟฟิศครับ”
           “ขอบคุณมากนะครับคุณโอ๊ต ผมจะลองคิดดู”
           คาร์ลเดินมาส่งข้าวโอ๊ตที่ลิฟท์
           เด็กหนุ่มทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็มีท่าทางไม่แน่ใจ หากสุดท้ายก็ตัดสินใจบอกข้าวโอ๊ตว่า
           “ผมอาจจะทำตัวไม่ดีเท่าไหร่ แต่เรื่องที่ผมบอกว่าผมชอบคุณ ผมรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ นะครับ ผมชอบคุณมากจริง ๆ” 
           ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงแต่ยิ้มให้คาร์ลและโบกมือลา แต่เมื่อประตูลิฟท์ปิด มือของเขาก็ตกห้อยลงเหมือนหมดแรง
           เขาคิดว่าตัวเองตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกเสียใจนิดหน่อยอยู่ดี เขามันน่าสมเพชและอ่อนแอจริง ๆ นั่นแหละ จนป่านนี้แล้วก็ยังยึดติดกับเรื่องเดิม ๆ ยังเจ็บปวดกับอดีตที่ผ่านมานานนม
          แล้วก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่ความรักของเขามันจบตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 18
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
กลับเป็นเหมือนเดิม ชีวิตมันน่าเบื่อหน่าย คนรอบตัวก็น่าเบื่อหน่าย ทุกสิ่งทุกอย่างมันน่าเบื่อหน่าย
Like – Comment – Share

          เม็ดนุ่นไม่รู้จะปลอบใจเพื่อนสนิทอย่างไรดี หล่อนรับโทรศัพท์จากข้าวโอ๊ตได้ยินเสียงเพื่อนไม่ค่อยดีนัก หล่อนก็หอบเสื้อผ้ามาค้างด้วย จากสีหน้าของเพื่อนที่เดินลงมารับที่ล็อบบี้ของคอนโด หล่อนอ่านออกเลยว่าเพื่อนกำลังรู้สึกแย่ แต่ก็ยังโชคดีที่ไม่ถึงกับเลวร้ายมาก เพราะข้าวโอ๊ตไม่ได้ลงไปนอนนิ่งที่พื้นห้อง แค่ซึมกระทือไปเท่านั้น
          เมื่อจับเพื่อนมาซักไซ้ไล่เลียงรู้ต้นสายปลายเหตุทั้งหมด หญิงสาวก็ถอนหายใจดังเฮือก
          “แล้วแกคิดว่าน้องคาร์ลสุดหล่อเขาจะคืนดีกับแฟนไหมวะ” หล่อนถาม
          “น่าจะนะ ฉันว่าเขารักกันว่ะ แต่เดี๋ยววันจันทร์ก็รู้” ข้าวโอ๊ตตอบ
          เม็ดนุ่นมองเพื่อนด้วยความสงสาร แต่ก็คิดว่าข้าวโอ๊ตตัดสินใจถูกแล้วเหมือนกัน หล่อนตบบ่าเพื่อนไปอั้กใหญ่ ให้กำลังใจว่า
          “เอาน่ะ! ช่างมันเหอะ! ผู้ชายยังมีอีกเพียบ แกแห้วแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ไปหาหนุ่ม ๆ ใส ๆ ตาตี่ ๆ ที่ญี่ปุ่นกันดีกว่า ที่โน่นน่ะผู้ชายหล่อทุกสามก้าว ฉันรับรอง นี่ ฉันทำแผนเที่ยวเสร็จแล้วด้วย”
          หญิงสาวยัดเยียดไอแพดใส่มือข้าวโอ๊ต
          “เอะอะก็จะชวนไปญี่ปุ่น” ชายหนุ่มบ่น
          “เอ้า ก็อยากให้เพื่อนไปพักผ่อนไง นะ ไปเหอะ ฉันไม่อยากไปคนเดียวแล้ว อยากมีคนไปด้วย”
          “ไว้คิดดูอีกทีก็แล้วกัน” ข้าวโอ๊ตตัดบทอย่างไม่ค่อยสนใจเท่าไร วางไอแพดของเม็ดนุ่นไว้บนโต๊ะ แล้วหันไปสนใจคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปตรงหน้าต่อ เม็ดนุ่นยื่นหน้าเข้ามาดูด้วย เห็นเพื่อนกำลังเตรียมเอกสารสำหรับการสอนพิเศษ หล่อนก็ยิ่งเบาใจ ยังทำงานได้แบบนี้คงไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว
          “โอวัลตินเติมพลังหน่อยนะโอ๊ต ฉันชงให้เอง” เม็ดนุ่นเสนอตัว แล้วเดินอย่างกระฉับกระเฉงเข้าไปยังบริเวณที่เป็นครัวเล็ก ๆ โดยที่ข้าวโอ๊ตห้ามไม่ทัน
         ข้าวโอ๊ตหันซ้ายหันขวา ก่อนคว้ากล่องกระดาษทิชชู่ เดินตามเข้าไปในครัว ทันได้ยินเสียงเพื่อนสนิทของเขาอุทานลั่นพอดีว่า
         “เฮ้ย! มันล้น!”
         เจ้าของห้องส่งกล่องกระดาษทิชชู่ให้โดยไม่ได้พูดอะไร

         ถึงแม้จะมีเม็ดนุ่นมาอยู่เป็นเพื่อนทั้งเสาร์และอาทิตย์จนชีวิตไม่ค่อยเงียบเหงาเท่าไรก็จริง แต่พอถึงเช้าวันจันทร์ ชายหนุ่มก็ไม่อยากจะตื่นมาทำงานเลย แต่เขาก็จำต้องมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
         ‘เสียผู้ชายไปแล้ว อย่าให้ต้องเสียงานไปด้วย!’
         เม็ดนุ่นกรอกหูเขาด้วยประโยคเดิมที่เคยพูดเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ แล้วผลักเขาลงจากเตียง
         ทั้งสองคนแยกย้ายกันที่สถานีรถไฟฟ้า แต่เพราะเขานอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงอยู่นานจนเม็ดนุ่นต้องมาจัดการ ชายหนุ่มจึงไปถึงที่ทำงานสายกว่าปกติ เมื่อเปิดประตูออฟฟิศเข้าไปก็เห็นว่ามาถึงกันหมดแล้วแทบจะทุกคนและหันมามองเขาเป็นตาเดียว แต่ชายหนุ่มไม่สนใจ ปกติเขาไม่เคยมาทำงานสาย วันนี้เป็นวันแรกและเลยเวลาเข้างานไปแค่สิบนาทีเท่านั้น ถ้าใครมันจะมาวีน เขาก็จะวีนกลับ จะด่าไปถึงทีโมนด้วยเพราะหมอนั่นเข้างานสายทุกวัน วันนี้ก็ยังไม่เข้าเลย แต่ก็ไม่มีใครว่าเขา สายตาที่มองมาทางเขาดูเหมือนจะสงสารเสียด้วยซ้ำ
         “มีอะไรรึเปล่าครับ” ข้าวโอ๊ตถามด้วยความสงสัย เมื่อเขาเดินเข้าไปในครัวเพื่อชงชาและทุกคนก็ยังอยู่กันในครัว ไม่มีใครกลับเข้าห้องทำงานทั้งที่เลยเวลางานมาแล้ว
         “เปล่าหรอก ไม่มีอะไร พี่นึกว่าวันนี้โอ๊ตจะหยุดเสียอีก เห็นมาช้ากว่าปกติ” ญาดาพูด
         “ตื่นสายน่ะครับ” ข้าวโอ๊ตบอก
         คนที่อยู่ในครัวมองหน้ากันไปมา ทำท่าเหมือนอยากจะถามอะไร แต่ก็ไม่มีใครยอมเปิดปาก ออกัสมองหน้าข้าวโอ๊ตแวบหนึ่งเหมือนจะสมเพช ก่อนเมินไปไม่สนใจ ทำให้ข้าวโอ๊ตยิ่งสงสัยหนักขึ้น
         พิธีแตกเมื่อนัตโตะเดินเข้ามาในครัวอีกคน เขามองเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ด้วยสายตาสะใจ ก่อนจะเปิดยิ้มน่าเกลียด ถามว่า
         “ยังมาทำงานไหวเหรอครับ ผมนึกว่าพี่จะหัวใจสลายตายไปแล้วเพราะเรื่องคาร์ลมีแฟน แหม จะหลอกเด็กสักหน่อย แต่ดันถูกเด็กหลอกเข้าให้ เป็นผมนะ เอาปี๊บคลุมหัวมาทำงานแล้ว อายเขาน่ะพี่ ให้ท่าแทบตาย ผู้ชายเขาไม่เอา”
         “นัตโตะ! หยุดเลยนะ ถ้าจะมาป่วนกันแบบนี้ล่ะก็ กลับห้องไปทำงานเลย ไป!” ญาดาไล่
         นัตโตะเบะปาก แต่เขาได้พูดในสิ่งที่อยากพูดแล้วก็เลยยอมเดินออกไปแต่โดยดี ไม่ดันทุรังจะอยู่ต่อ
         “โอ๊ต ไม่เป็นไรนะ” ญาดาถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นชายหนุ่มยืนอึ้งด้วยความคาดไม่ถึง
         ข้าวโอ๊ตถอนหายใจ เขาไม่โกรธนัตโตะหรอก แค่แปลกใจที่เรื่องของคาร์ลรู้ถึงหูทุกคนเร็วขนาดนี้
         “คาร์ลบอกเหรอครับ”
         “พี่ถามคุณคาร์ลเองค่ะ” พัดชายกมือบอก “ถามว่าเสาร์อาทิตย์ทำอะไร คุณคาร์ลเล่าว่าแฟนมาเยี่ยมค่ะ ไปเที่ยวกับแฟนมา”
         “แล้วพี่พัดก็เล่าต่อให้ทุกคนในออฟฟิศฟัง” ข้าวโอ๊ตต่อประโยคให้ พัดชาหัวเราะแหะ ๆ ที่โดนรู้ทัน
         “พี่โอ๊ตรู้ใช่ไหมครับ” มิคกี้ถามด้วยความเกรงใจ แต่แววตาก็แสดงความอยากรู้จนปิดไม่มิดเหมือนกัน
         “รู้สิ วันก่อนไปกินข้าวกัน คาร์ลเขาก็เล่าว่าแฟนจะมาเยี่ยม ยังถามอยู่เลยว่าจะพาแฟนไปไหนดี พี่ก็เชียร์ให้พาไปดินเนอร์ริมแม่น้ำไม่ก็ไปดริ๊งค์ที่บาร์เก๋ ๆ แต่ยังไม่ได้ถามเลยว่าตกลงพาไปที่ไหน”
         ข้าวโอ๊ตแต่งเรื่องนิดหน่อย เพื่อแสดงว่าเขารู้เรื่องและไม่สนใจเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ชายหนุ่มก็รู้ว่ามันไม่ได้ผลหรอก เพราะคนเราชอบมองแต่จุดที่อยากจะมอง ไม่สนใจความจริงใด ๆ เพื่อนร่วมงานของเขาก็เหมือนกัน ทุกคนอยากจะเชื่อว่าเขาอกหัก สายตาของทุกคนจึงยังมองชายหนุ่มด้วยความสงสาร เห็นอกเห็นใจ และสมเพชอยู่ดี หากคนพวกนี้ก็ยังไว้หน้าเขาอยู่บ้างจึงไม่ได้พูดอะไรแรง ๆ เหมือนนัตโตะหรือหาคำพูดมาปลอบใจเขา แต่เปลี่ยนไปแสดงความสนใจเรื่องแฟนของคาร์ลแทน
          “อยากเห็นแฟนคาร์ลจัง อยากรู้ว่าหน้าตาดีเหมือนคาร์ลรึเปล่า” มิคกี้รำพึง
          “คนหน้าตาดีมักมีแฟนหน้าตาแย่นะ พี่เห็นมาหลายคู่แล้ว” ญาดาว่า “แต่หน้าตาแย่ก็ยังดีกว่ารสนิยมแย่ คนไม่หล่อแต่งตัวดียังดูดีได้ แต่คนหน้าดีแล้วแต่งตัวเห่ยนี่มันพาลทำให้ดูแย่ไปหมด”
          มิคกี้หัวเราะคิกเพราะรู้ดีว่าญาดาตั้งใจเหน็บใคร แถมคนที่โดนเหน็บก็เปิดประตูออฟฟิศเดินเข้ามาด้วยท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราว แถมยังใส่เสื้อยับ เนกไทสีฉูดฉาดลายเปรอะ ๆ เหมือนเดิม ยิ่งทำให้ดูน่าขำ
          “นั่นน่ะ เอาเป็นแฟน เอาไหมล่ะ” ญาดาพยักพเยิดไปทางคนที่เพิ่งเดินผ่านไป
          มิคกี้ส่ายหน้าหวือ
          “ไม่เอาดีกว่าครับ ผมเคยคิดว่าทีโมนเขาอาจจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้นะพี่ แต่ยิ่งอยู่ยิ่งแต่งตัวแย่ขึ้นทุกวัน วันก่อนนี่เสื้อฮาวายลายต้นมะพร้าว เห่ยมาก ไม่รู้ไปขุดมาจากไหน มันดูแย่มาก”
          “ใช่ ๆ เสื้อตัวนั้นนี่สุด ๆ แล้วอะ ไม่มีใครเตือนเขาเหรอว่ามันแย่เข้าขั้นหายนะแล้ว”
          ข้าวโอ๊ตฟังญาดาคุยกับมิคกี้เงียบ ๆ โดยไม่ออกความเห็น แม้จะรู้สึกว่ามีอะไรสะดุดหูอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ทันจะได้ขบคิดต่อ เพราะครู่ต่อมาทีโมนก็เดินเข้ามาในครัว วงสนทนาจึงแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อข้าวโอ๊ตกลับเข้ามานั่งในห้องทำงาน เห็นอีเมลสีเขียวเรียงกันเป็นพรืดให้ต้องลงทะเบียน เขาก็ลืมสิ่งที่อยู่ในหัวไปอย่างรวดเร็ว

           ตั้งแต่ตกเป็นหัวข้อสนทนาตั้งแต่เช้า ข้าวโอ๊ตก็ยังไม่มีโอกาสได้คุยกับคาร์ลเลย มีแค่ส่งยิ้มให้กันตอนที่ต่างฝ่ายต่างเดินผ่านห้องของกันและกันเท่านั้น จนกระทั่งในตอนบ่าย เมื่องานประจำวันซาลงและไม่มีงานใหม่เข้ามาให้ต้องทำ คาร์ลก็โผล่หน้าเข้ามาในห้องทำงานของข้าวโอ๊ต
           “นั่งสิคาร์ล มีอะไรรึเปล่าครับ”
           ข้าวโอ๊ตชี้ไปที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเขาเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นเด็กหนุ่ม
           เขาไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องระวังตัวอีกแล้วเมื่อเรื่องมันเปลี่ยนแปลงออกมาในรูปนี้ ส่วนใครจะมองเขาน่าสงสารหรือน่าสมเพชก็คงช่วยไม่ได้ ตอนนี้เขาคิดว่าการปฏิบัติตัวต่อคาร์ลให้เป็นปกติน่าจะดีที่สุด
           “คืนดีกันได้แล้วใช่ไหม” ข้าวโอ๊ตถามยิ้ม ๆ
           เด็กหนุ่มมีท่าทีเขิน ๆ แต่ก็พยักหน้ารับ
           “ก็คุยกันแล้วครับ”
           “แล้วฟาแฟนไปไหนมา ได้ยินเล่าให้พี่พัดฟัง รายนั้นก็เอามาขยายต่อฟุ้งทั้งออฟฟิศ”
           “ตอนกลางวันไม่ได้ไปไหนเป็นพิเศษครับ พาไปเดินเล่นดูของที่ห้างแถวสยาม แต่ตอนกลางคืนพาไปนั่งที่รุฟท็อปบาร์ที่โรงแรม”
           คาร์ลเอ่ยชื่อบาร์ชื่อดังบนชั้นดาดฟ้าโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลจากออฟฟิศมากนัก เป็นบาร์ที่จัดว่าบรรยากาศดีที่สุดที่หนึ่งในกรุงเทพฯ
           “ว้าว วิวสวยสุด ๆ เลยนะที่นั่น ดีจัง แฟนคงชอบมากเลยใช่ไหม”
           แต่คาร์ลกลับทำหน้าเจ้าเล่ห์ อมยิ้มนิด ๆ
           เมื่อข้าวโอ๊ตเลิกคิ้วเป็นเชิงถามด้วยความสงสัย เด็กหนุ่มจึงเฉลยว่า
           “ก็น่าจะชอบมากเลยล่ะมั้งครับ แฟนผมเขากลัวความสูง”
           “อ้าว” ข้าวโอ๊ตอุทาน ก่อนจะหัวเราะชอบใจ คาร์ลก็เลยพลอยหัวเราะตามไปด้วย
           “คุณนี่ใจร้ายจังเลยนะ เขาอุตส่าห์ตามมาหาถึงที่นี่ กลับไปแกล้งเขาแบบนั้น” ชายหนุ่มบ่น
           “ช่วยไม่ได้” เด็กหนุ่มยักไหล่
           “คงกลัวน่าดู ไม่น่าไปแกล้งเขาเลย” ข้าวโอ๊ตยังบ่นต่อ
           คาร์ลนึกถึงหน้าของคนรักของเขาเมื่อรู้ว่าเขาพาไปที่ไหน หมอนั่นหน้าถอดสีเมื่อเท้าเหยียบชั้นดาดฟ้าของโรงแรม แล้วก็ยิ่งหน้าซีดลงเรื่อย ๆ เมื่อโดนเขาดึงมือให้เดินตามไปนั่งที่โต๊ะที่ชิดริมรั้วกั้นที่สุด
           “แต่เขาเดินมาหาผมนะ” เด็กหนุ่มเล่า
           ข้าวโอ๊ตนิ่งฟังอย่างสนใจ เขาเห็นความสุขฉายอยู่ในดวงตาของคาร์ล
           “เขานั่งอยู่ที่โต๊ะ พยายามจะอธิบาย ตอนแรกผมไม่อยากฟัง ลุกหนีไปยืนเกาะรั้วกั้น รั้วกั้นใส ๆ เพื่อให้มองลงไปเห็นวิวด้านล่าง ผมคิดว่าเขาคงไม่กล้าเดินเข้ามา แต่เขาก็เดินมาหาผม”
          เด็กหนุ่มแทบไม่อยากจะเชื่อเมื่อเห็นคนรักของเขาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินตรงมาหา สีหน้าของหมอนั่นยังซีดเผือดอยู่ เหงื่อแตกพลั่ก ขาก็สั่น เดินแต่ละก้าวก็ช้ามาก แต่หมอนั่นก็เดินเข้ามาถึงตัวเขาในที่สุด
          “ยินดีด้วยนะคาร์ล” ข้าวโอ๊ตพูด ไม่ต้องฟังมากกว่านี้เขาก็รับรู้ได้ว่าเรื่องของเด็กหนุ่มจบลงด้วยดีแล้วในที่สุด
          “ขอบคุณมากครับ”
          “คราวนี้ก็พาแฟนไปเที่ยวแบบดี ๆ ได้สักทีนะ อย่าไปแกล้งเขาอีกล่ะ”
          คาร์ลหัวเราะ ก่อนจะบอกว่า
          “ผมอยากชวนคุณไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อ แฟนผมเขาก็อยากเจอคุณนะครับ คุณจะว่ายังไง”
          “ชวนผมเนี่ยนะ รู้ไหมว่าคนทั้งออฟฟิศเขานินทาผมว่าอกหักจากคุณ แล้วคุณยังจะชวนผมไปกินข้าวกับแฟนคุณอีก เชื่อเลย คุณนี่ใจร้ายจริง ๆ”
         ข้าวโอ๊ตแกล้งพูด ซึ่งคาร์ลก็รู้ แต่เขาฟังแล้วก็ยังทำหน้ายุ่งอยู่ดี แย้งว่า
         “ผมต่างหากที่อกหักจากคุณ”
         ข้าวโอ๊ตไม่ว่าอะไร เพียงแต่ยิ้มอ่อน ๆ ให้ แล้วเมื่อเด็กหนุ่มถามซ้ำ เขาก็ตอบตกลง
         “ไม่มีปัญหาหรอก คุณกับแฟนบอกวันมาแล้วกัน ผมว่างตลอดอยู่แล้ว” ข้าวโอ๊ตหยุดไปครู่ก่อนจะถามเมื่อนึกอะไรอย่างหนึ่งขึ้นมาได้ว่า
         “จริงสิ ผมชวนเพื่อนไปด้วยอีกคนได้ไหม เม็ดนุ่นมันเคยบ่นอยากเจอคุณ คราวนี้จะได้เจอสมใจอยากสักที มีมันไปด้วยคนหนึ่งรับรองไม่เงียบเหงา แต่อาจต้องระวังตัวกันนิดหนึ่งนะครับเพราะมันซุ่มซ่าม”
         “ได้สิครับ เม็ดนุ่นคนนี้เพื่อนสนิทของคุณที่เคยพูดถึงใช่ไหมครับ”
         ตกลงกันได้เรียบร้อยแล้ว คาร์ลก็เดินออกไปจากห้องของข้าวโอ๊ต ตั้งใจจะเดินไปหาออกัสเพื่อขอคำแนะนำเรื่องร้านอาหารเพราะฝ่ายนั้นทำหน้าที่ออแกไนเซอร์ประจำบริษัท รู้จักโรงแรมและร้านอาหารชั้นดีมากมาย แต่ออกัสไม่ได้อยู่ที่โต๊ะ เด็กหนุ่มจึงเปลี่ยนใจเดินกลับเข้าห้องทำงานของตัวเอง แต่ครู่เดียว ออกัสก็เปิดประตูออฟฟิศเข้ามา คาร์ลจึงเดินออกมาหา
         “คุณกัส ผมมีเรื่องอยากจะถาม... เอ๊ะ คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ”
         เด็กหนุ่มถามเมื่อสังเกตเห็นอีกฝ่ายสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก
         “ผมไม่เป็นไรหรอกครับ รู้สึกไม่สบายนิดหน่อย เดี๋ยวกินยาก็หายแล้ว”
         ออกัสฝืนยิ้มให้
         จังหวะนั้น ทีโมนเปิดประตูออฟฟิศเข้ามาอีกคน แต่สีหน้าของชายหนุ่มผ่องใสเหมือนคนที่กำลังอิ่มเอมใจอย่างเอกอุ คาร์ลเห็นออกัสส่งสายตาไม่เป็นมิตรไปให้เมื่อชายหนุ่มเดินผ่านโต๊ะของเขากลับเข้าไปในห้อง แต่ก็รีบปรับสีหน้าและแววตาให้เป็นปกติทันทีเมื่อรู้ตัวว่าเด็กหนุ่มกำลังมองอยู่
         “มีอะไรจะถามผมใช่ไหม”
         “อ้อ ครับ ผมจะถามคุณเรื่องร้านอาหารน่ะ คุณกัสมีร้านอาหารญี่ปุ่นดี ๆ แนะนำผมสักแห่งไหมครับ”

          ทันทีที่คาร์ลกลับเข้าห้องของตัวเองไปหลังจากที่ได้ข้อมูลที่ต้องการแล้ว ออกัสก็หุบยิ้มทันที สีหน้าระรื่นตอนที่คุยเล่นกับเด็กหนุ่มระหว่างหาข้อมูลร้านอาหารก็หายไปพร้อมกัน
          ตอนนี้ชายหนุ่มมีแต่ความรู้สึกขุ่นเคือง ความหวาดกลัว และความเครียด
          เขาตกลงกับทีโมนไม่ได้ และที่แย่ยิ่งกว่านั้น เขาถูกข่มขู่รุนแรงยิ่งขึ้น
          ผู้ชายที่ถ่ายภาพเขาและอัดวีดิโอเก็บไว้กลายเป็นลูกค้าของบริษัท เขาเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าเยอรมัน เคยพาคนจากบริษัทคู่ค้าจากเยอรมนีมาเยี่ยมด็อกเตอร์แฮร์มันน์ที่นี่ แต่ตอนนั้นออกัสลาพักร้อนพอดี ข้าวโอ๊ตเป็นคนรับรอง เขาถึงไม่รู้จัก และแน่นอนว่าผู้ชายคนนั้นรู้จักกับทีโมน
          เรื่องทุกอย่างกระจ่างแจ้ง เขาติดกับดักไอ้คนโรคจิตนั่นเต็ม ๆ
          ในมือของมันมีทั้งภาพทั้งคลิปวีดิโอ แถมมันยังข่มขู่เขาว่าถ้าไม่ยอม นอกจากเรื่องจะรู้ถึงหูของแฟนเขาแล้ว เรื่องที่เขานอนกับลูกค้าของบริษัทจะต้องถึงหูด็อกเตอร์แฮร์มันน์และสำนักงานใหญ่ด้วย แล้วเขาจะถูกไล่ออกโทษฐานทำให้บริษัทเสื่อมเสียชื่อเสียง
          เขารู้ดีว่าถ้ายอมก็จะต้องเป็นลูกไก่ในกำมือของไอ้ทีโมนไปตลอด แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกแล้ว
          พรุ่งนี้มันนัดเขาไปเจอที่บาร์ของโรงแรม
          ตอนนี้ไอ้บ้านั่นก็คงกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่เป็นแน่ เขาเกลียดมันเหลือเกิน

           ทีโมนกำลังรู้สึกอย่างที่ออกัสคิดจริง ๆ แต่เขามีเรื่องยุ่งยากนิดหน่อยที่ต้องเคลียร์ให้จบก่อน
           ชายหนุ่มกำลังเบื่อคู่ขาของเขาเหลือทน นับวันฝ่ายนั้นก็ยิ่งขี้หึงและเรียกร้องจากเขาหนักขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งที่ตกลงกันไว้แล้วแท้ ๆ ว่าจะคบกันเล่น ๆ สนุก ๆ ตอนนั้นที่เขาตกลงก็เพราะแบบนี้ ควงกันแบบไม่มีอะไรผูกมัด ไม่เปิดเผย แต่ตอนนี้กลับทำเหมือนเป็นเจ้าเข้าเจ้าของตัวเขา
           จู้จี้จุกจิกเรื่องการแต่งตัว จับผิดเขาเรื่องควงคนอื่น หวาดระแวงหนักข้อขึ้นทุกวันว่าเขากำลังนอกใจ
           แรก ๆ เขาก็ตามง้องอนเพราะยังชอบอีกฝ่ายอยู่มาก เรื่องบนเตียงก็เข้ากันได้อย่างวิเศษ ทำให้เขามองข้ามนิสัยน่ารำคาญหลาย ๆ อย่างของคู่ขาของเขาไปได้ เพียงแต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
           ชายหนุ่มมีของเล่นชิ้นใหม่ น่าสนใจมาก ๆ เสียด้วย
           เพราะฉะนั้นก็ได้เวลาโละของเล่นชิ้นเก่าเสียที
           พูดไม่ทันขาดคำคู่ขาของเขาก็ส่งข้อความมาหา ทีโมนเปิดออกอ่าน
           ‘เย็นนี้เราเจอกันที่คอนโดอีกนะ’
           ‘ผมไม่ว่าง’
           อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพิมพ์ข้อความตอบกลับมาใหม่
           ‘งั้นพรุ่งนี้ก็ได้ ที่คอนโด เวลาเดิม’
           ‘พรุ่งนี้ผมก็ไม่ว่าง’
           ‘อะไรกัน ไม่ว่าง ไม่ว่าง คุณยุ่งอะไรจนไม่มีเวลาขนาดนั้น บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ไปนัดเจอคนอื่นใช่ไหมถึงได้ปฏิเสธกันแบบนี้’
           ทีโมนถอนหายใจดังเฮือกเมื่ออ่านข้อความที่ถูกส่งมาเป็นชุด
           ‘ผมจะนัดเจอใครมันก็เรื่องของผมนะ ไหนเราเคยคุยกันแล้วนี่ว่าคบกันเล่น ๆ ไม่ผูกมัด ไม่บอกใคร ผมจะไปควงใครที่ไหน ผมก็ย่อมมีสิทธิ์ทำได้ คุณเองยังมีคนอื่นเลย ผมไม่เห็นจะเดือดร้อน’
           ‘แต่คุณไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้’
           ‘ผมมีสิทธิ์ทำทุกอย่างที่ผมต้องการ ส่วนคุณ ถ้าไม่พอใจผม คุณจะเลิกก็ได้ แต่ถ้าคุณไม่อยากเลิก เราก็ยังมาเจอกันได้อีก’
           ‘ไอ้คนนั้นมันเป็นใคร คุณนัดเจอกับใคร’
           ‘ผมไม่จำเป็นต้องบอกคุณ’
           ‘คิดดีแล้วใช่ไหมที่จะบอกเลิกกันอย่างนี้’
           ‘ผมไม่ได้บอกเลิกกับคุณนะ เรายังมาเจอกันได้’
           ‘เจอกันได้? ในขณะเดียวกับที่คุณนัดเจอคนอื่นด้วยยังงั้นเหรอ ถ้าจะให้ใช้ของร่วมกับคนอื่นน่ะ ฝันไปเถอะ คุณต้องไปเลิกกับมันก่อน’
           ‘พอเถอะ คุณพูดจาไม่รู้เรื่องแล้ว เอาเป็นว่าผมอยากทำอะไรก็เรื่องของผม ไม่เกี่ยวกับคุณ’
           ‘แล้วคุณจะต้องเสียใจที่บอกเลิกกันอย่างนี้ ทั้งคุณทั้งมัน จำเอาไว้นะ หักหลังกันแบบนี้ก็ไม่มีวันอยู่ร่วมโลกกันได้อีก’
           ทีโมนบล็อกเบอร์ของอีกฝ่ายทันทีเพื่อไม่ให้มีข้อความเข้ามากวนใจเขาได้อีก แล้วก็ลบเบอร์โทรศัพท์รวมทั้งประวัติการแช็ตออกไปจนหมด ไหน ๆ จะโละทิ้งแล้วก็ทิ้งมันเสียให้หมด หลังจากนี้ก็เตรียมตัวต้อนรับของใหม่
           ชายหนุ่มเปิดคลิปวีดิโอที่เปิดให้ออกัสดูเมื่อสักครู่นี้ขึ้นมาดูใหม่
           ภาพคมชัดระดับเอชดี เจ้าตัวเห็นเข้ายังอึ้งไปเลย
           แต่แหม ออกัสนี่เซ็กซี่เป็นบ้า ยิ่งเวลาถูกมัดแล้วร้องครวญครางแบบนี้นี่ยิ่งเร้าอารมณ์เข้าไปใหญ่ เขาอดใจให้ถึงพรุ่งนี้แทบไม่ไหวแล้ว ของเล่นที่เตรียมเอาไว้เล่นกับออกัสก็มีพร้อม น่าตื่นเต้นจริง ๆ
           ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกอย่างนี้มานานแล้ว
           เขานี่ช่างโชคดีจริง ๆ ที่มีช่องให้เล่นงานออกัสได้พอดิบพอดี

           แค้นใจจนแทบกระอักเพื่อรู้ว่าเบอร์โทรศัพท์โดนทีโมนบล็อก
           ทำแบบนี้มันหักหลังกันชัด ๆ
           คิดจะเขี่ยทิ้งไปหาคนใหม่งั้นเหรอ อย่าหวังเลยว่าจะทำแบบนั้นได้
           มันไม่มีวันเกิดขึ้น
           ใครหน้าไหนก็อย่าได้คิดแย่งไปเลย ถ้าจะต้องผิดหวัง ก็ผิดหวังมันให้หมดทุกคนนี่แหละ
           อาฆาตเอาไว้แล้ว หัวก็เริ่มคิดวางแผน

           

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
            ข้าวโอ๊ตเพิ่งรู้ว่าคาร์ลเป็นคนใจร้อนมากก็ตอนที่เด็กหนุ่มเดินมาบอกเขาในตอนใกล้เลิกงานในวันเดียวกันนั้นหลังจากที่เกริ่นเรื่องไปกินข้าวไว้ก่อนแล้วในตอนบ่ายว่าเลือกร้านอาหารได้แล้วและอยากจะนัดเขากับเพื่อนในวันพรุ่งนี้เลย ชายหนุ่มฟังแล้วงง ๆ ตามไม่ทัน แต่เขาก็พยักหน้ารับ
            ‘เพื่อนคุณเขาจะโอเคไหมครับ’ คาร์ลนึกได้
            ข้าวโอ๊ตทำหน้าไม่แน่ใจ แต่ก็บอกว่า
            ‘น่าจะว่างนะครับ ยิ่งถ้าเป็นเรื่องกิน เม็ดนุ่นไม่น่าจะพลาด แล้วรายนั้นเป็นฟรีแลนซ์ เรื่องเวลายืดหยุ่นได้เยอะ’ เขาบอก ก่อนจะถามว่า
            ‘ตกลงคุณเลือกร้านไหนครับ’
            แต่เมื่อฟังชื่อร้านที่คาร์ลขอให้ออกัสช่วยแนะนำให้ ข้าวโอ๊ตก็ส่ายหน้า
            ‘ผมว่าถ้าเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น คุณเลือกร้านที่เป็นบุฟเฟ่ต์ดีกว่าครับ ทั้งผมทั้งเม็ดนุ่นน่ะสายแข็งด้านการกินซาชิมิ ถ้ากินร้านธรรมดามันรู้สึกไม่คุ้ม’
            ‘เอ เอางั้นเหรอครับ’ คาร์ลไม่ขัดข้องเพราะเขาตั้งใจเลือกร้านอาหารที่ข้าวโอ๊ตชอบอยู่แล้ว และเขาก็เคยรู้ว่าชายหนุ่มชอบอาหารญี่ปุ่น แต่ตอนที่เขาไปปรึกษาออกัส เขาไม่ได้บอกว่าจะไปกับใคร ออกัสนึกว่าเขาจะไปกับแฟนก็เลยเลือกร้านที่ไม่ใช่บุฟเฟ่ต์ให้
            เมื่อต้องเปลี่ยนร้าน เด็กหนุ่มก็เลือกไม่ถูก เขาก็เลยยกหน้าที่ให้ข้าวโอ๊ตเป็นคนตัดสินใจ ข้าวโอ๊ตเลือกร้านประจำของตัวเองและนัดเจอกับทุกคนที่ร้านในวันรุ่งขึ้นหลังเลิกงาน
            เม็ดนุ่นรออยู่แล้วที่ร้านตามเวลานัด และหลังจากนั้นไม่นานคาร์ลที่ไปรับคนรักของเขาที่อพาร์ตเม้นท์ก่อนก็ตามมา
            มิตช์ คนรักของคาร์ลไม่ต่างจากภาพที่ข้าวโอ๊ตเคยคิดเอาไว้ เขาเป็นผู้ชายตัวบางที่เตี้ยกว่าคาร์ลเล็กน้อย ผมสีทรายตัดสั้นหวีเสยอย่างเรียบร้อย หน้าตาของเขาไม่จัดว่าหล่อเหลาสะดุดตา แต่ก็ดูดี โดยเฉพาะเวลายิ้ม ใบหน้าของเขาจะดูนุ่มนวลลง สำหรับข้าวโอ๊ตแล้ว ถ้าให้เปรียบเทียบกับตัวการ์ตูนญี่ปุ่น มิตช์จะเหมือนพวกลูกคุณหนู ประธานนักเรียนอะไรเทือกนั้น ในขณะที่คาร์ลเป็นนักกีฬาหรือพวกเด็กเกเรหลังห้อง แต่เมื่อยืนด้วยกันแล้วกลับเข้าคู่กันเป็นอย่างดี
            “งานดีว่ะแก ทั้งสองคนเลย” เม็ดนุ่นเอาศอกกระทุ้งเพื่อน ความหมายของคำพูดนั้นคือทั้งคาร์ลและมิตช์หน้าตาดีชวนกรี๊ดทั้งคู่
            “หุบปากนะแก” ข้าวโอ๊ตรีบกระซิบปราม ก่อนจะยกมือขึ้นโบกทักเด็กหนุ่มทั้งสองคน
            “ขอโทษครับ มาสายไปหน่อย” คาร์ลออกตัว ก่อนจะแนะนำคนรักของเขาให้ทุกคนรู้จัก ข้าวโอ๊ตก็แนะนำเม็ดนุ่น แล้วทั้งหมดก็เดินเข้าไปในร้าน
            ข้าวโอ๊ตกับเม็ดนุ่นแสดงความเป็นสายแข็งในเรื่องการกินซาชิมิให้เห็นเป็นที่ประจักษ์หลังจากสั่งแต่ปลาดิบจานแล้วจานเล่าจนฝรั่งสองคนที่มาจากประเทศที่ถนัดกินแต่มันฝรั่งมองอย่างทึ่ง ๆ เม็ดนุ่นที่เป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดีสนิทกับคนง่ายอยู่แล้วก็เลยพูดจ้อ ชวนคุยให้บรรยากาศบนโต๊ะไม่เงียบเหงาอย่างที่ข้าวโอ๊ตเคยบอกไว้ หล่อนพูดถึงเรื่องแผนการไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วย ลงท้ายด้วยการบ่นเพื่อนว่าไม่ยอมตกปากรับคำไปเที่ยวกับหล่อนเสียที
             “ทำไมไม่ไปล่ะครับ” คาร์ลถาม ตัวเขาชอบเที่ยวอยู่แล้ว ญี่ปุ่นก็เป็นประเทศหนึ่งที่น่าสนใจ
             “มันเป็นทริปปีใหม่น่ะครับ ปกติผมกลับบ้านที่ต่างจังหวัดตอนปีใหม่ทุกปี” ข้าวโอ๊ตตอบ
             “กลับบ้านทุกปีก็บ่นทุกปีเหมือนกัน ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมแกไม่เปลี่ยนบรรยากาศเสียบ้าง ไปเที่ยวให้มันสนุก หัวสมองผ่อนคลายน่าจะดีกว่า” เม็ดนุ่นขัดขึ้น แล้วก็โดนข้าวโอ๊ตถลึงตาใส่เป็นการปรามทันทีเหมือนกันเหตุที่พูดจาอะไรเรื่อยเจื้อยจนคาร์ลกับมิตช์มองมาด้วยความสงสัย
             “แล้วพวกคุณมีแผนไปเที่ยวปีใหม่กันรึเปล่าครับ” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องด้วยการถามเด็กหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคน
             มิตช์มองหน้าคาร์ลเป็นเชิงหารือ ฝ่ายหลังก็นิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนจะตอบว่า
            “ก็คิดว่าจะไปเที่ยวเหมือนกันครับ แต่ยังไม่ได้คิดเลยว่าจะไปไหนดี”
            “มาเอเชียอีกครั้งไหมละคะ ญี่ปุ่น เกาหลีนี่ก็น่าเที่ยวนะ หรือลุย ๆ หน่อยก็ไปอินเดียเลย” เม็ดนุ่นเสนอ
            “อินเดียคงไม่ไหวครับ สารภาพว่าไม่ใช่คนที่ชอบเที่ยวแบบลุย ๆ หรือสมบุกสมบันเท่าไหร่ ถ้าจะมาเอเชียก็คงเป็นพวกญี่ปุ่นเกาหลีมากกว่าครับ หรือนายว่ายังไง” ประโยคท้ายมิตช์หันมาขอความเห็นจากคนรัก
            “นายเลือกเลย ฉันได้ทั้งนั้นแหละ” คาร์ลตามใจ แล้วเขาก็เสริมต่อเมื่อนึกได้ว่า “พูดถึงเกาหลี คุณกัสเขาก็จะไปเกาหลีช่วงปีใหม่เหมือนกัน ถ้าจำไม่ผิด เดี๋ยวฉันลองถามข้อมูลจากคุณกัสให้ ถ้านายสนใจ”
            ข้าวโอ๊ตมองเด็กหนุ่มสองคนคุยปรึกษาหารือกันกระจุ๋งกระจิ๋งแล้วก็อยากจะถอนหายใจออกมาให้ดังที่สุด อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองคิดผิดหรือเปล่าเนี่ยที่ตอบตกลงมากินข้าวกับสองคนนี้
            เม็ดนุ่นเองก็อมยิ้มเมื่อเห็นความน่ารักของทั้งคู่ หล่อนเหล่มองเพื่อน เห็นข้าวโอ๊ตทำหน้าละห้อยก็นึกขำจนอดแซวไม่ได้ว่า
            “เสียดายไหมแก”
            “เก็บปากไว้กินแซลมอนเหอะ อย่าพูดมาก กินให้ครีบงอกเลยนะ” ข้าวโอ๊ตคีบชิ้นปลาแซลมอนยัดใส่ปากเพื่อน เม็ดนุ่นไม่ทันตั้งตัวถึงกับสำลัก ไอขลุกขลัก ทำให้คาร์ลกับมิตช์หันมามองด้วยความตกใจ
            “รีบกินน่ะเลยสำลัก ไม่ต้องไปสนใจหรอก เพื่อนผมมันก็งี้แหละ ซุ่มซ่าม โก๊ะ บ้า” ข้าวโอ๊ตพูดหน้าตาเฉย
            มิตช์มองเม็ดนุ่นที่ยังไอหน้าดำหน้าแดงด้วยความเป็นห่วง แล้วก็คอยดูแลหยิบทิชชู่กับเลื่อนแก้วน้ำส่งให้ ในขณะที่ข้าวโอ๊ตหันมาคุยกับคาร์ลต่อ
            “เออใช่ ว่าจะถามหลายหนแล้ว คุณโอ๊ต คุณได้คุยกับคุณกัสบ้างรึยังครับ” เด็กหนุ่มถาม
            “ยังเลยครับ” ข้าวโอ๊ตทำหน้ายุ่ง “ไม่ได้จังหวะสักที ถามทำไมเหรอครับ”
            “ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองรึเปล่านะ แต่ผมว่าหมู่นี้คุณกัสดูแปลก ๆ อย่างเมื่อวานก็ทำหน้าประหลาดตอนทีโมนเดินผ่าน เอ สองคนนี้เขาไม่ถูกกันรึเปล่าครับ”
            “ผมบอกไม่ถูกหรอก เพราะมีหลายครั้งที่ผมก็ไม่อยากเชื่อสิ่งที่ผมเห็นเหมือนกัน”
            คำตอบของข้าวโอ๊ตอาจจะไม่ค่อยตรงคำถามนักแต่คาร์ลก็พอจะเข้าใจจากการที่ทำงานในออฟฟิศนี้มานานพอสมควร
           “แล้วทำไมจู่ ๆ คุณถึงถามผมเรื่องนี้ล่ะ มีอะไรรึเปล่าครับ”
           “แค่สงสัยน่ะครับ เมื่อวานก็หายออกไปข้างนอกออฟฟิศพร้อมกันสองคน แต่คุณกัสกลับมาก่อน แป๊บเดียวทีโมนก็ตามกลับเข้ามา ท่าทางพิกลกันทั้งคู่”
           “ถ้าหายไปพร้อมกันทั้งคู่แบบนี้มันคงไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงหรอกครับ” ข้าวโอ๊ตพูด ใจของเขาตอนนี้ยังมีอคติต่อออกัสอยู่ เขาจึงคิดไปในทางที่เป็นการดูถูกฝ่ายนั้น แต่ก็แค่พูดเป็นนัย ๆ เพราะเขารู้ว่ามันไม่เหมาะที่จะพูดออกมาตรง ๆ
           คาร์ลรับรู้ความนัยนั้น เขาไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไร แต่เขาก็ไม่ค้าน เพราะเขาเองก็ไม่รู้จักออกัสดีนัก และจะว่าไปเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับเขาเลยด้วยซ้ำ
           ในตอนนั้นเม็ดนุ่นคลายอาการสำลักแล้ว หญิงสาวจึงแก้แค้นด้วยการแย่งกุ้งเทมปุระที่ข้าวโอ๊ตกำลังจะเอาเข้าปากไปกิน  ชายหนุ่มอุทานด้วยความตกใจ แล้วเขาก็เปิดศึกแย่งของกินกับเพื่อนในทันใด
           เสียงเอะอะโวยวายเหมือนเด็กแย่งของเล่นกันของทั้งสองคนทำให้คาร์ลอดหัวเราะไม่ได้ และเขาก็พลอยนึกสนุก ร่วมมือกับข้าวโอ๊ตหรือบางครั้งก็เม็ดนุ่นแกล้งคนอื่น ๆ ในโต๊ะ และในที่สุดเขาก็ไม่ได้นึกถึงเรื่องของทีโมน ออกัส หรือคนอื่นในออฟฟิศอีกเลย

           ตรงกันข้ามกับความสนุกสนานของพวกข้าวโอ๊ต ออกัสกำลังรู้สึกเหมือนตกนรก
           ชายหนุ่มยอมมาหาทีโมนที่บาร์ของโรงแรมตามที่นัดเอาไว้ เขายังต้องกัดฟันทนนั่งดื่มเป็นเพื่อนแล้วให้ไอ้โรคจิตมันกอดจูบลูบคลำ แลกกับการที่มันจะไม่แฉเขา
           พอเริ่มจะมึน ๆ ทีโมนก็โอบเอวเขาพาขึ้นไปบนห้องพักที่เปิดเตรียมเอาไว้แล้ว
           ออกัสจมอยู่กับความเกลียดชังของตัวเอง เขาไม่ได้สังเกตสิ่งรอบตัวจึงไม่รู้ว่าเขากับทีโมนตกอยู่ใต้สายตาของใครบางคน
           ใครคนนั้นมองทั้งคู่ด้วยสายตาโกรธเกรี้ยวและมุ่งร้าย
           ในเมื่อพวกมันสองคนรวมหัวกันทรยศหักหลัง พวกมันก็จะต้องได้รับโทษอย่างสาสมเช่นกัน
           ในหัวใจของใครคนนั้นมีสิ่งหนึ่งกำลังเคลื่อนไหว มันกางเล็บคมกริบฉีกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของมัน ตะกุยตะกายดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากที่ที่มันอยู่ อุ้งเท้าหน้าสองข้างขุดลึกเข้าไป ลึกเข้าไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็หลุดออกจากสิ่งที่กักขังมันอยู่
           ปากที่เต็มไปด้วยฟันแหลมคมของมันอ้ากว้างส่งเสียงคำรามกึกก้อง ปีกที่เป็นพืดหนังสยายกว้าง แล้วมันก็โผบินออกไป

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ข้าวโอ๊ตสู้ๆนะ ขอบคุณคนเขียนนะคะมาต่อทุกวันเลย น่ารักกก :mew1:  :L2:
ปล. สมน้ำหน้าอิกัส :laugh:

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
เป็นนิยายที่ดีมาก แต่ชื่อเรื่อง ผมว่าไม่เหมาะสม

คนอ่านที่อยากอ่านฆาตรกรรม เปิดมาไม่เจอฆาตรกรรมซักที ก็จะเลิกอ่าน.

ส่วนคนอ่านที่ขี้กลัว ก็จะไม่เปิดอ่านตั้งแต่แรก.

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 19
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
เคยภาวนาให้ชีวิตที่น่าเบื่อมีสีสัน ขอให้มีเรื่องน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นบ้าง จะได้รู้สึกอยากมีชีวิตอยู่ต่อ แต่มันไม่ใช่แบบนี้ เรื่องนี้มันไม่ควรจะเกิดขึ้นเลยจริง ๆ
Like – Comment – Share

          ข้าวโอ๊ตเข้าออฟฟิศตามเวลาปกติ คือเป็นคนที่สองรองจากคาริน่า หลังจากทักทายกันแบบแกน ๆ ตามมารยาทเหมือนทุกครั้ง ชายหนุ่มก็เดินเข้าห้องทำงาน เปิดคอมพิวเตอร์ และเข้าไปชงชาในครัว คาริน่าเสียบปลั๊กเครื่องชงกาแฟและกระติกน้ำร้อนเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว ชายหนุ่มชงชาเสร็จก็เปิดตู้เย็น หยิบกล่องนมสดที่เปิดอยู่มาเทผสมในชาของตัวเอง แล้วเก็บนมกล่องที่เหลือไว้ที่เดิม ใกล้กับกล่องที่ทีโมนใช้หลอดเจาะและไม่มีใครแตะต้อง
          อีกครู่ใหญ่ ออฟฟิศก็เริ่มคึกคัก พัดชาเข้ามาพร้อมกับญาดาและมิคกี้ นัตโตะตามมาหลังจากนั้นไม่นาน แล้วทุกคนก็มารวมตัวกันอยู่ในครัว พัดชาจัดถาดน้ำชาของผู้อำนวยการเตรียมเอาไว้แล้วนั่งรับประทานอาหารเช้าที่ซื้อติดมือเข้ามา
          ญาดาชงกาแฟเป็นคนแรก ต่อด้วยนัตโตะ ชายหนุ่มหยิบกล่องนมในตู้เย็นมาเทใส่ถ้วยของตัวเอง แล้วส่งต่อให้ญาดาเมื่ออีกฝ่ายร้องขอ ก่อนที่นมกล่องนั้นจะถูกใส่กลับเข้าไปในตู้เย็นอีกครั้ง
          มิคกี้เข้ามาในครัวเป็นคนสุดท้าย ใส่เสื้อกันหนาวสีน้ำตาลอ่อนที่มักจะใส่ประจำตอนอยู่ในออฟฟิศ ชายหนุ่มเห็นทุกคนมีถ้วยชากับกาแฟอยู่ในมือกันหมดก็เดินไปเปิดตู้หยิบเอาถ้วยของตัวเองมาชงกาแฟบ้าง แล้ววางถ้วยกาแฟลงบนเคานท์เตอร์ครัว ก่อนจะเบียดตัวผ่านคนอื่น ๆ มาที่ตู้เย็น ชายหนุ่มหันหลังให้คนอื่น ๆ สำรวจของที่อยู่ในตู้เย็น แล้วก็หยิบกล่องนมสดที่ญาดาใส่ไว้เมื่อสักครู่นี้ออกมา เดินกลับไปที่เขาตั้งถ้วยกาแฟไว้
          นัตโตะกำลังเล่าเรื่องที่เขาไปเที่ยวทะเลกับครอบครัวของแฟนให้พัดชาฟังด้วยเสียงที่ดังเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนอื่น ๆ ด้วย เรื่องนี้เล่ามาตั้งแต่วันจันทร์แล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนเรื่องคุยเสียที เจอใครก็ยังพยายามจะเล่าถึงความสวยงามของพูลวิลล่าของโรงแรมที่แม่ของแฟนจองให้อยู่ทุกครั้ง จนกระทั่งตอนนี้แม้แต่พัดชาที่เป็นคนเดียวที่ยังยอมทนฟังก็เริ่มจะเบือนหน้าหนีแล้วด้วยความเบื่อหน่าย
          มิคกี้เทนมในกล่องใส่ลงในถ้วยของเขาจนหมด แล้วค่อย ๆ หย่อนกล่องนมทิ้งในถังขยะ ก่อนจะหยิบกรรไกรที่วางอยู่บนกองกล่องนมมาถือเอาไว้ในมือและตัดหูกล่องเปิดนมกล่องใหม่เทใส่ลงไปในถ้วยของเขาอีก
          คาร์ลเดินเข้ามาในครัวเป็นคนต่อไป เขาทักทายทุกคนด้วยความสุภาพ ก่อนจะเปิดตู้หยิบถ้วยมาชงกาแฟ
          “นมหน่อยไหมคาร์ล”
          มิคกี้ยื่นกล่องนมสดมาให้ เด็กหนุ่มไม่อยากกินเท่าไร แต่เกรงใจจึงพยักหน้ารับ มิคกี้เทนมสดใส่ลงไปในถ้วยกาแฟให้คาร์ล
          “พอแล้วครับคุณมิคกี้” คาร์ลรีบบอกเมื่ออีกฝ่ายเทนมพรวดลงมาจนกาแฟเกือบจะล้นถ้วย
          “ขอโทษที มือมันกระตุกนิดหน่อย” มิคกี้รีบขอโทษ ข้าวโอ๊ตได้ยินเสียงคาร์ลก็เลยหันไปมอง เห็นคาร์ลเดินออกไปพร้อมกับถ้วยกาแฟและมิคกี้เอากล่องนมเข้าไปเก็บไว้ในตู้เย็น มือของชายหนุ่มยังถือกรรไกรไว้
          พร้อม ๆ กับที่เด็กหนุ่มนักศึกษาฝึกงานเดินออกไปจากครัว ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ก็เปิดประตูออฟฟิศเข้ามา
          “นายมาแล้ว พี่เผ่นก่อนนะ” ญาดาพูด แล้วรีบเดินออกไปจากครัว
          “ผมไปด้วยครับ”
          ข้าวโอ๊ตเผ่นตาม รวมทั้งนัตโตะ พัดชาที่ถือถาดน้ำชาของนาย และมิคกี้ที่รั้งท้ายเพราะเอากรรไกรไปใส่ไว้ในลิ้นชักริมสุดที่พัดชาเอาไว้เก็บถุงพลาสติกใช้แล้วและถุงขยะ
          ทุกคนเข้าประจำที่ในห้องทำงานของตัวเอง พัดชาเดินเข้าไปในห้องของด็อกเตอร์แฮร์มันน์พร้อมถาดน้ำชา แล้วเดินกลับออกมา กำลังจะเดินกลับไปที่ห้องครัว แต่โดนนัตโตะรั้งตัวเอาไว้เสียก่อน เพราะตอนที่ทุกคนออกมาจากห้องครัวนั้น เขายังเล่าเรื่องของเขาไม่จบ พัดชาฟังจนมึน ก่อนที่นัตโตะจะอนุญาตให้หล่อนกลับออกมาอีกครั้ง
          เดินผ่านห้องของมิคกี้ เจ้าของห้องก็เรียกหล่อนเอาไว้อีก
          “นัตเล่าอะไรให้พี่พัดฟังครับ เห็นคุยกันอยู่นานเชียว”
          “ก็เล่าเรื่องที่ไปเที่ยวทะเลไงคะ หูย ...”
          ดูเหมือนว่าคำถามของมิคกี้จะไปกระทบต่อมอยากระบายของพัดชาเข้า แต่พอขยับปากจะเล่า เจ้าของห้องก็กลับตัดบทเอาดื้อ ๆ ว่า
          “ผมแค่ถามดู ไม่ได้อยากฟัง ขอบคุณมากนะครับ”
          แม่บ้านประจำออฟฟิศหน้าจ๋อยลงทันที เดินออกมาจากห้องของมิคกี้ หล่อนเห็นออกัสนั่งอยู่ที่โต๊ะของตัวเองพร้อมกับถ้วยกาแฟในมือ ก็ทักด้วยความแปลกใจว่า
          “อ้าว คุณกัส สวัสดีค่ะ มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ พี่ไม่ทันเห็น”
          ออกัสไม่ทักตอบ แต่ทำหน้าบึ้ง ผิดกับรองผู้อำนวยการที่เดินออกมาจากครัวในจังหวะนั้น เขาถือถ้วยกาแฟในมือเช่นกัน ทีโมนสีหน้าสดใส พอเห็นพัดชาก็ทักทายอย่างดี ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องของตัวเองไป
          แม่บ้านประจำออฟฟิศอดพูดไม่ได้ว่า
          “ช่วงนี้คุณทีโมนอารมณ์ดีนะคะ ตั้งแต่ต้นอาทิตย์ที่กลับจากทะเลก็ทำหน้ามีความสุขเหมือนคนถูกหวย ไม่รู้มีอะไรดี ๆ รึเปล่านะคะ คุณกัสว่าไหม”
         “มันจะทำหน้ามีความสุขหรือถูกหวยก็เรื่องของมันเหอะพี่พัด อย่าเที่ยวอยากรู้เรื่องของคนอื่นนักเลย มันทุเรศ มีงานอะไรพี่ก็ไปทำดีกว่า”
          “อ้าว คุณกัส ทำไมพูดอย่างนี้ละคะ พี่ก็แค่อยากรู้เฉย ๆ ไม่เห็นต้องว่ากันเลย”
          พัดชาทำหน้างอน ออกัสก็ไม่ง้อ ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบด้วยท่าทางอารมณ์ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด แม่บ้านประจำออฟฟิศไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงให้ถูกด่าเอาอีกจึงขยับจะเดินเข้าครัว ในจังหวะนี้เอง หล่อนก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ จากห้องของทีโมนที่อยู่ติดกับห้องครัว
          ตึง! โครม!
          พัดชาเดินออกมาจากห้องครัว พร้อม ๆ กับที่ออกัสลุกขึ้นจากเก้าอี้
          “เสียงอะไรคะคุณกัส ดังจากห้องของคุณทีโมน”
          “มันทำอะไรตกรึเปล่า พี่เข้าไปดูมันหน่อยก็แล้วกัน”
          ออกัสสั่งห้วน ๆ พัดชาจึงเดินเข้าไปในห้องของรองผู้อำนวยการตามคำสั่ง
          “คุณทีโมนคะ” หญิงสาวร้องเรียก รู้สึกแปลก ๆ ที่เห็นเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานล้มตะแคง ถ้วยกาแฟล้มอยู่บนโต๊ะ กาแฟหกรดโต๊ะและเอกสารที่วางกองอยู่บริเวณนั้น บนพื้นห้องมีถ้วยกาแฟใบเก่าที่ยังไม่ได้ล้างหล่นกลิ้งอยู่ พัดชาเดินเข้าไปชะโงกดูหลังโต๊ะทำงาน ภาพที่เห็นทำให้หล่อนกรีดร้องสุดเสียง

          วันนั้นทั้งวันเต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวาย
          ตำรวจกับรถพยาบาลถูกเรียกมาอย่างรวดเร็ว แต่ดูจากตัวแข็งทื่อของทีโมนที่อยู่ในเปลพยาบาลแล้ว ทุกคนก็คิดเหมือนกันหมดว่า มันน่าจะสายไปแล้ว
          ตำรวจเข้าไปสำรวจสถานที่เกิดเหตุคือในห้องของทีโมนและเดินสำรวจรอบออฟฟิศ พนักงานทุกคนถูกเรียกให้มารวมตัวกันที่ห้องประชุม ข้าวโอ๊ตรู้สึกกลัว ตกใจ และเป็นกังวล แต่ชายหนุ่มรู้สึกดีขึ้นไม่น้อยเมื่อเห็นหน้าหมวดน้องจั๊มป์
          เขากับนวัชไม่ได้ทักทายกันเพราะอีกฝ่ายอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ นวัชทำเหมือนกับว่าไม่รู้จักเขา ข้าวโอ๊ตก็เลยต้องพลอยนิ่งไปด้วย เพราะเขาก็นึกรู้เหมือนกันว่ามันอาจจะดูไม่ค่อยดีที่นายตำรวจผู้รับผิดชอบคดีจะรู้จักสนิทสนมกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในคดี หรือจะว่าไป อย่างเขาตอนนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยด้วยซ้ำ
          ทีโมนไม่ได้ป่วยหรือตายโดยธรรมชาติ แต่เขาถูกฆาตกรรม ตำรวจแจ้งทุกคนว่าอย่างนั้น มียาพิษอยู่ในกาแฟที่ทีโมนดื่มในตอนเช้าวันนี้ และทุกคนในออฟฟิศมีสิทธิ์ที่จะเป็นคนวางยา
          จบคำแถลงของตำรวจ ทุกคนในออฟฟิศก็มองกันและกันด้วยสายตาที่เคลือบแคลงและไม่เป็นมิตร
          ตำรวจขอสอบปากคำทุกคน โดยเชิญด็อกเตอร์แฮร์มันน์เป็นคนแรก
          คนที่เหลือในห้องขยับตัวอย่างอึดอัด แล้วคาริน่าก็ตะโกนออกมาเป็นคนแรก
          “ใครมันทำเรื่องแบบนี้! จู่ ๆ ก็ฆ่าคนตายในออฟฟิศ บ้าไปแล้ว! ฉันไม่น่าถูกย้ายมาประจำประเทศบ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างนี้เลย รู้อย่างนี้ขอไปลงที่อื่นดีกว่า ที่ที่มันศิวิไลซ์กว่านี้!”
          “น่าจะคิดได้อย่างนี้ตั้งแต่แรกนะ พวกเราจะได้ไม่ต้องทนผู้หญิงขี้เหวี่ยงขี้วีนมาเป็นปี ๆ ให้เสียสุขภาพจิต” ญาดาโต้ ทำเอาคาริน่าเต้นผางด้วยความโมโห
          “เธอพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”
          “ก็หมายความตามที่ได้ยินนั่นแหละ ไม่รู้ตัวเลยรึไงว่าตัวเองนิสัยแย่แค่ไหน ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนรำคาญมากขนาดไหน ยังจะทะนงตัวคิดว่าตัวเองดีวิเศษอยู่ได้ ฟังแล้วคลื่นไส้”
          ข้าวโอ๊ตและทุกคนที่เคยผจญฤทธิ์ของคาริน่ามาฟังแล้วตบมือกันเกรียวกราว บทพี่ใหญ่ในออฟฟิศจะเอาจริงขึ้นมานี่ก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว หรือจะเรียกว่าดีมากดีกว่าเพราะคาริน่าถึงกับกรี๊ดลั่น ชี้มือกราดใส่คนไทยทุกคน
          “พวกแก จะต้องเป็นพวกแกแน่ที่เป็นคนฆ่าทีโมน!”
          “ตำรวจเขายังไม่สรุปเลย อย่าเพิ่งกล่าวหาใครลอย ๆ ได้ไหม คาริน่า ตัวคุณเองก็มีสิทธิ์เป็นคนร้ายได้เหมือนกัน ไม่เฉพาะแค่พวกเราคนไทยเท่านั้นหรอก” ข้าวโอ๊ตตำหนิ
          สุดจะทนสำหรับคาริน่า หล่อนตวาดแว้ดทันที
          “อย่ามากล่าวหาฉันนะ ไอ้พวกผิดเพศ!”
          ข้าวโอ๊ตเลือดขึ้นหน้าทันที ตวาดมาเขาก็ตวาดกลับ
          “ผิดเพศก็ยังดีกว่าผู้หญิงบ้าผู้ชาย! นึกว่าคนอื่นเขาไม่รู้เหรอว่าเธออยากจับทีโมนตัวสั่น แต่ผู้ชายเขาไม่เอาด้วยเพราะเธอมันน่าเกลียดทั้งนิสัยทั้งหน้าตา ความจริง เธออาจจะเป็นฆาตกรก็ได้ เพราะแค้นที่เขาไม่เอาไงล่ะ”
          คาริน่าโกรธจนลุกขึ้นจะพุ่งข้ามโต๊ะไปตบหน้าข้าวโอ๊ต แต่บำรุงกับพัดชาช่วยกันยึดแขนเอาไว้คนละข้างเสียก่อน คาร์ลนี่นั่งใกล้ข้าวโอ๊ตก็รีบจับไหล่ข้าวโอ๊ตรั้งเอาไว้เช่นกันเมื่อเห็นชายหนุ่มขยับตัว และนั่นทำให้นัตโตะมองอย่างหมั่นไส้จนต้องพูดออกมาว่า
          “อย่าว่าคนอื่นเลย พี่โอ๊ตเองก็อาจจะเป็นฆาตกรก็ได้”
          “หมายความว่ายังไง” ข้าวโอ๊ตหันขวับมาทันที
          “ใครเขาก็รู้กันทั้งออฟฟิศว่าพี่เกลียดทีโมนยังกับอะไร พี่น่ะโดนทีโมนเล่นงานทั้งเรื่องงาน เรื่องปิ่นโต เรื่องของคาร์ลที่ถึงกับจะออกจดหมายตักเตือนความประพฤติอย่างเป็นทางการ แถมยังมีเรื่องทุนอบรมที่มิวนิกอีก ทำงานมาก็นาน แต่ไม่มีใครเห็นหัว พี่อาจจะแค้น เอาไปลงกับทีโมนเพื่อสร้างความวุ่นวายก็ได้ ใครจะไปรู้” นัตโตะพูดด้วยความสะใจ
          “ถ้าจะมีใครสักคนต้องการสร้างเรื่องวุ่นวายล่ะก็มันน่าจะเป็นนายมากกว่า” ข้าวโอ๊ตโต้ “เที่ยวได้สอดรู้สอดเห็น พูดยุแยงทำให้คนอื่นเขาทะเลาะกัน ที่ออฟฟิศมันวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะนายนี่แหละ ไม่ใช่คนอื่นหรอก”
          “แต่พี่โอ๊ตก็ไม่พอใจเรื่องทุนอบรมจริง ๆ นะครับ วันงานเลมอน ผมได้ยินนะ พี่ขอร้องให้พี่หญ้าไปพูดกับฝรั่งให้อีกครั้ง แต่พี่หญ้าไม่ยอม พี่ก็โกรธมาก จริงไหมครับพี่หญ้าพี่กัส”
         มิคกี้พูดขึ้นมานิ่ม ๆ แต่ทำให้ทุกคนหันไปมองข้าวโอ๊ตเป็นตาเดียว
         “มันก็ใช่อยู่หรอก แต่เรื่องแค่นี้ไม่น่าถึงกับจะต้องฆ่าแกงกัน” ญาดาขมวดคิ้ว หล่อนหันไปหาออกัส ชายหนุ่มก็พยักหน้า
         “ไม่พอใจอะไรก็พูดกันตรง ๆ ไม่ใช่เอาไปพูดลับหลัง หรือเก็บเอาไว้พูดเพื่อโจมตีคนอื่น พี่ก็เห็นด้วยกับพี่หญ้าว่าเรื่องแค่นี้มันไม่น่าจะต้องฆ่ากันให้ตาย”
         สายตาของออกัสที่มองมิคกี้ขณะที่พูดทำให้มิคกี้รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที ออกัสจงใจพูดกระทบกระเทียบเปรียบเปรยเขาด้วยแน่ ๆ ชายหนุ่มจึงเหยียดยิ้มน่าเกลียดออกมา
         “งั้นต้องแค่ไหนถึงจะฆ่ากันได้ ต้องถึงขนาดพี่กัสรึเปล่า ต่อหน้าก็ทำเป็นไม่ชอบ แต่เอาเข้าจริงก็แอบไปกินกันลับหลัง ไอ้ที่ไปลูบคลำกันที่บันไดหนีไฟเมื่อเช้าก่อนเข้าออฟฟิศน่ะอย่านึกว่าไม่มีใครรู้เห็น ยังมีที่อื่นอีกไหมก็ไม่รู้ หรือที่ชอบมาสายกันบ่อย ๆ ก็เพราะแบบนี้”
         ออกัสฟังแล้วหน้าซีด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหน้าแดงด้วยความโกรธ เมื่อทุกคนในออฟฟิศมองเขาเป็นตาเดียวด้วยสายตาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ โดยเฉพาะญาดากับข้าวโอ๊ตที่มองด้วยสายตาผิดหวังและเสื่อมศรัทธาเนื่องจากรู้กันดีว่าออกัสมีแฟนอยู่แล้ว
         “อย่าพูดอะไรบ้า ๆ นะมิคกี้!”
         “ไม่บ้า ไม่เชื่อก็ไปเอากล้องวงจรปิดมาดูสิ ผมว่าพี่กัสนั่นแหละที่เป็นฆาตกร พี่มีแฟนอยู่แล้ว พี่ไม่อยากให้ใครรู้เรื่องพี่มีอะไรกับทีโมน แต่ทีโมนอาจจะอยากให้คนอื่นรู้ ทุกคนก็เห็นว่าเขาชอบพี่ พี่ไม่พอใจก็เลยฆ่าเขาตายเพื่อปิดปาก ไม่ให้ความลับรั่วไหล”
          เมื่อถึงตอนนี้ข้าวโอ๊ตกับคาร์ลหันมามองหน้ากัน และมันไม่พ้นสายตาของมิคกี้ ชายหนุ่มถามทันทีว่า
          “พี่โอ๊ตกับคาร์ลมองหน้ากันอย่างนั้นแสดงว่ารู้อะไร ๆ อยู่ใช่ไหม ไหน ๆ เรื่องมันก็มาขนาดนี้แล้ว รู้อะไรก็พูดออกมาเลยดีกว่าน่ะ รู้อะไร คาร์ล นายเห็นอะไร!”
          คาร์ลไม่แน่ใจว่าเขาสมควรจะพูดดีหรือไม่ ข้าวโอ๊ตมองหน้ามิคกี้ด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อเพราะมิคกี้ตอนนี้เหมือนไม่ใช่คนเดิมที่เขาเคยรู้จัก ตอนที่มิคกี้สั่งคาร์ลด้วยเสียงแข็งกร้าว ชายหนุ่มรุ่นน้องดูเหมือนกับเป็นอีกคนหนึ่ง
          ความรู้สึกแปลก ๆ ที่เขามีต่อมิคกี้ มันคืออย่างนี้นี่เอง มิคกี้ไม่ใช่คนสุภาพเหมือนที่แสดงออกต่อหน้าทุกคนแน่ ๆ
          “พูดมาเถอะคาร์ล” ญาดาสั่ง เด็กหนุ่มนักศึกษาฝึกงานจึงยอมพูด
          “ผมไม่ได้เห็นอะไรหรอกครับ แค่เห็นคุณกัสกับทีโมนออกไปข้างนอกออฟฟิศในเวลาเดียวกันค่อนข้างบ่อย กลับมาพร้อมกัน ไม่ก็เร็วช้ากว่ากันนิดหน่อย เช้านี้เข้ามาพร้อม ๆ กันครับ ห้องผมอยู่ด้านหน้า มีช่องกระจกมองเห็นด้านหน้าออฟฟิศพอดี”
          “เห็นไหมล่ะ! แค่นี้ก็ชัดเจนแล้ว” มิคกี้ยิ้มอย่างสมใจ
          “อย่ามาพูดมั่ว ๆ นะ!” ออกัสโกรธจนตัวสั่น ยิ่งเข้าทางมิคกี้ ชายหนุ่มได้ทีเยาะเอาว่า
          “ร้อนตัวเหรอครับ คนทำผิดก็แบบนี้แหละ”
          “ฉันไม่ได้เป็นฆาตกร! ฉันไม่ได้ฆ่าใคร!”
          เสียงถกเถียงกันดังลั่นของทุกคนในออฟฟิศดังออกไปนอกห้องประชุมจนตำรวจที่สอบปากคำด็อกเตอร์แฮร์มันน์เสร็จเรียบร้อยแล้วตัดสินใจที่จะแยกทุกคนกลับเข้าไปในห้องของตัวเองโดยให้มีตำรวจคอยเฝ้าทุกคนเอาไว้ และจะสอบปากคำพนักงานในห้องทีละคน
          หลังจบการสอบปากคำและการเก็บหลักฐาน ตำรวจก็ปิดห้องของทีโมน สั่งห้ามไม่ให้ใครเข้าไปในห้องนั้นทั้งนั้น แต่อนุญาตให้บริษัทดำเนินการต่อไปได้ พนักงานก็ยังทำงานกันต่อไปได้ตามปกติ แต่ไม่มีใครมีแก่ใจจะทำงานกันอีกแล้ว สายตาของคนในออฟฟิศที่มองกันและกันมีแต่ความหวาดระแวงสงสัย บรรยากาศในออฟฟิศตึงเครียดจนใกล้ระเบิด สุดท้ายด็อกเตอร์แฮร์มันน์ต้องประกาศปิดออฟฟิศในวันนี้
           ข้าวโอ๊ตก็ไม่อยากอยู่ในออฟฟิศต่อเหมือนกัน เขากลับบ้านเลย ก่อนจะโทรศัพท์หาเม็ดนุ่นและรอคอยเวลาค่ำนี้อย่างใจจดใจจ่อ เพราะก่อนที่ตำรวจจะกลับไป นวัชแอบมากระซิบบอกเขาว่า คืนนี้จะมาคุยด้วย

           

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
           เม็ดนุ่นเป็นคนลงมารับนวัชที่ล็อบบี้ของคอนโดและพาขึ้นมาที่ห้องของข้าวโอ๊ต เจ้าของห้องนั่งรอหน้าเครียดอยู่แล้ว เมื่อเห็นหน้าและรับไหว้รุ่นน้อง ชายหนุ่มก็ถามทันที
           “รู้รึยังครับน้องจั๊มป์ว่าใครเป็นฆ่าทีโมน”
           “แหม ผมไม่ควรเปิดเผยรายละเอียดของคดีนะครับพี่...โอ๊ย ทุบหลังผมทำไมเนี่ยพี่นุ่น”
ประโยคสุดท้ายเขาหันไปโวยรุ่นพี่สมัยมัธยมต้น เพราะฝ่ายนั้นกำหมัดทุบหลังเขาชนิดไม่มีการออมแรงกันเลย เม็ดนุ่นด่าเอาว่า
          “อย่ามาลีลามาก ไอ้น้องจั๊มป์ ไม่คิดจะเปิดเผยรายละเอียดคดี แต่มาถึงที่นี่เลยนะ”
          “ผมก็อยากมาสอบถามพี่โอ๊ตเพิ่มเติมไงครับ”
          “ถามมา ถามไป แลกกัน” เม็ดนุ่นยื่นข้อเสนอ นวัชบ่นทันที
          “ยิว”
          “พอ ๆ นุ่น อย่าทำให้น้องจั๊มป์ลำบากใจสิ” ข้าวโอ๊ตปรามเพื่อนเมื่อเห็นว่าหล่อนทำท่าจะชักใบให้เรือเสีย ก่อนจะหันมายังนายตำรวจที่ตอนนี้ออกเวรแล้ว ไม่ได้แต่งเครื่องแบบเหมือนเมื่อตอนกลางวัน
          “น้องจั๊มป์จะถามอะไรพี่ ถามมาเลยครับ”
          “ก็ไม่ได้จะถามอะไรเป็นพิเศษหรอกครับ อยากมาคุยกับพี่โอ๊ตมากกว่า เผื่อยังมีอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่นึกออกเพิ่มเติมจากตอนสอบปากคำที่พี่โอ๊ตยังไม่ได้บอกตำรวจ หรืออะไรแปลก ๆ ในออฟฟิศ”
          “พี่ก็บอกตำรวจไปหมดแล้วนะ” ข้าวโอ๊ตคิดหนัก แล้วก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าซ้ำอีกครั้ง
          “พี่เข้าออฟฟิศตอนสักแปดโมงสี่สิบหรือสี่สิบห้านี่แหละ ปกติพี่เข้าออฟฟิศเป็นคนที่สอง คนแรกเป็นคาริน่า รายนั้นมาเช้ามาก พี่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่กี่โมง เขาจะเปิดไฟรอบออฟฟิศ เสียบปลั๊กพวกเครื่องชงกาแฟ กระติกน้ำร้อนเตรียมเอาไว้ คนที่สามที่เข้าออฟฟิศจะเป็นพี่หญ้า พี่ญาดาน่ะ ถัดมาก็พวกพี่พัด นัตโตะ มิคกี้ สามคนนี้แล้วแต่วัน ใครมาก่อนมาหลัง ระบุไม่ได้ชัดเจน ด็อกเตอร์แฮร์มันน์กับคาร์ลเข้าออฟฟิศไล่เลี่ยกันคือประมาณเก้าโมงเช้า คือเวลาเริ่มงานเลย แต่ส่วนใหญ่คาร์ลมาก่อนนิดหน่อยนะ พอด็อกเตอร์แฮร์มันน์มาพวกเราก็จะกลับเข้าห้องทำงาน”
          “ทีโมนล่ะครับ ปกติมากี่โมง”
          “รายนั้นมาสาย เหมือนออกัส รายนั้นก็มาสายบ่อย แต่เข้าออฟฟิศก่อนทีโมน ทีโมนไม่เคยมาหลังจากเก้าโมงครึ่ง”
          “แล้วปกติตอนเช้าพวกพี่จะมารวมตัวกันในครัวใช่ไหมครับ”
          “ใช่ครับ ก็ชงชาชงกาแฟกินกันปกติ บางคนก็กินข้าวเช้า เช้านี้ก็ไม่มีอะไรผิดปกตินะครับ ทุกคนอยู่ด้วยกันในครัว ยกเว้นออกัสที่ยังไม่เข้าออฟฟิศ คาริน่าอยู่ในห้อง คาร์ลมาก่อนด็อกเตอร์แฮร์มันน์แป๊บนึง เข้ามาชงกาแฟ แล้วก็ออกไป พอด็อกเตอร์แฮร์มันน์มาทุกคนก็กลับห้อง หลังเก้าโมงออกัสกับทีโมนถึงเข้ามาในออฟฟิศ คาร์ล เด็กฝึกงานน่ะครับ บอกว่าออกัสเข้ามาก่อนครู่หนึ่ง ทีโมนถึงเข้ามา แต่เขาบอกว่าไม่มีใครเข้าไปในห้องของทีโมนเลยนะครับ ยกเว้นเจ้าตัว ห้องของเขาอยู่เยื้องกับห้องของทีโมน ถ้ามีคนเดินผ่าน เขาต้องเห็น”
          “แม่บ้านก็บอกแบบเดียวกัน แกบอกว่าเอาถาดน้ำชาไปให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์หลังเก้าโมงนิดหน่อย พอออกมาก็ถูกเรียกเข้าไปในห้องของนัตโตะ ตอนนั้นแกบอกว่ายังไม่เห็นออกัสกับทีโมน พอแกออกจากห้องนัตโตะก็เข้าไปในห้องของมิคกี้ แต่อยู่แค่แป๊บเดียว กลับออกมาก็เห็นออกัสนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว แล้วแกก็เห็นทีโมนออกมาจากครัว กลับเข้าไปในห้อง แกยังยืนคุยอยู่กับออกัสที่โต๊ะของฝ่ายนั้น ไม่มีใครเข้าไปในห้องของทีโมนแน่ ๆ” นวัชพูด
          “ไม่ต้องเข้าห้องก็ฆ่าคนได้นะฉันว่า ไหนบอกว่ามียาพิษอยู่ในกาแฟไง ใครบางคนอาจจะแอบใส่ยาเอาไว้ในกาแฟโดยที่หมอนั่นไม่รู้ พอกินเข้าไปก็...แหงก” เม็ดนุ่นเดา แต่ข้าวโอ๊ตส่ายหน้า
          “ไม่มีทาง กาแฟที่กินกันน่ะเป็นของออฟฟิศ ของส่วนกลางที่ให้ทุกคนกินได้ เครื่องชงกาแฟก็มีอยู่เครื่องเดียว ใช้กันทั้งออฟฟิศ ตอนเช้าทุกคนก็กินกาแฟกัน อ้อ ฉันไม่ได้กินนะ ฉันกินชา แต่ก็ไม่เห็นใครมีพิรุธอะไร ไม่มีใครเติมเมล็ดกาแฟลงไปในเครื่องด้วย”
         “ฟังแล้วคนที่อยู่ในครัวในตอนเช้าไม่น่าจะลงมือได้ พอออกจากครัวกันไปก็ไม่มีใครกลับเข้ามาในครัวอีกหรือเข้าห้องของคนตายด้วย ก็เหลือคนเดียวที่ไม่มีใครเห็นว่าทำอะไรบ้างในเช้าวันนี้ก็คือออกัส เขาอาจแอบเปลี่ยนเมล็ดกาแฟหรือไม่ก็เคลือบยาพิษไว้ที่ถ้วยกาแฟของเหยื่อ”
         เม็ดนุ่นตาโต ยิ่งเดาก็ยิ่งมัน นวัชฟังแล้วหัวเราะก๊าก
         “โห พี่นุ่น อ่านนิยายอ่านการ์ตูนนักสืบมากไปแล้ว เพ้อเจ้อ เคลือบยาพิษไว้ที่ถ้วยอะไรกัน ไม่มีหรอกครับ”
         “เคลือบยาพิษที่ถ้วยคงไม่ได้หรอก ทีโมนไม่มีถ้วยประจำตัว คนอื่น ๆ ก็เหมือนกัน ใช้ถ้วยของออฟฟิศที่อยู่ในตู้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าใครจะใช้ถ้วยใบไหน ส่วนเรื่องเปลี่ยนเมล็ดกาแฟนี่...”
         ข้าวโอ๊ตไม่กล้าเดา หันไปมองหน้านายตำรวจที่อยู่ในห้อง นวัชส่ายหน้า
         “ไม่มียาพิษปะปนอยู่ในเครื่องชงกาแฟครับ เมล็ดกาแฟในห่อที่ยังไม่ได้เปิดก็เอาไปตรวจแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติเหมือนกัน”
         “โอ๊ย งั้นตกลงมันยังไงกันแน่” เม็ดนุ่นบ่น ก่อนจะหันขวับไปจ้องนวัชเขม็ง แล้วคว้าคออีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
         “ว่าไงไอ้น้องจั๊มป์ บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ เอาให้เคลียร์ อยากรู้ทนไม่ไหวแล้วเว้ย หรือถ้าแกกลัวเรื่องเสียรูปคดีก็ให้โอ๊ตมันอุดหูไว้ ฉันเป็นคนนอก ฉันรู้ได้ บอกมา!”
         “เฮ้ย ปล่อยก่อนพี่ โอเค ผมบอกแล้ว ๆ”
         นวัชร้องลั่น เม็ดนุ่นจึงยอมปล่อย
         “ถ้าใครรู้ว่าผมมาคุยกับพวกพี่มีหวังผมโดนสอบสวนแน่” นายตำรวจยังบ่นพึม
         “มาถึงขั้นนี้แล้วอย่าบ่น รีบ ๆ บอกมา” เม็ดนุ่นเร่ง
         “ก็เห็นว่าเป็นพวกพี่หรอกนะเนี่ย” นวัชว่า ก่อนที่เขาจะยอมพูด หลังจากที่โยกโย้อยู่นานพอสมควร
         “ยาพิษอยู่ในนมสดครับ กล่องที่อยู่ในตู้เย็น เหยื่อผสมนมสดลงไปในกาแฟ พอกินเข้าไปก็เลยเสียชีวิต”
         “เป็นไปไม่ได้” ข้าวโอ๊ตอุทาน สีหน้าผิดคาด
         “ทำไมครับ” นวัชถามด้วยความสนใจ
         “ก็นมเป็นของออฟฟิศเหมือนกัน เมื่อเช้าทุกคนก็กิน พี่ยังกินเลย กินเหลือก็ใส่ตู้เย็นเอาไว้ คนอื่นก็มากินต่อ ถ้าใส่ยาพิษไว้ในนม ทุกคนก็มีสิทธิ์โดนยาพิษสิ”
         “กินกันทุกคนเลยใช่ไหมครับ พี่โอ๊ตลองเล่าให้ละเอียดหน่อยได้ไหม”
         “ก็เมื่อเช้าพี่กินชาใส่นม นมกล่องที่เหลือที่แช่เอาไว้ในตู้เย็นน่ะ พอคนอื่น ๆ มากันก็เอานมกล่องนั้นมากินจนหมด แล้วก็เปิดกล่องใหม่ รู้สึกจะเป็นมิคกี้นะที่เป็นคนเปิด แต่เขาก็เทนมกล่องนั้นให้คาร์ลด้วย ก่อนจะเอาเก็บใส่ตู้เย็นเอาไว้”
         “พี่คิดว่ามิคกี้ไม่น่าจะใส่ยาพิษได้ใช่ไหมครับ” นวัชถามอย่างระมัดระวัง
         “พี่ว่าอย่างนั้นนะครับ ตามสายตาพี่เขาไม่น่ามีจังหวะใส่ได้เลย”
         นวัชนิ่งครุ่นคิด ก่อนจะถามต่อว่า
         “ผมขอถามพี่อีกครั้งนะครับ ใครน่าสงสัยที่สุด หรือพี่สงสัยใครที่สุดครับ”
         “พี่ไม่แน่ใจนะน้องจั๊มป์” ข้าวโอ๊ตทำหน้ายุ่ง “คนเกลียดทีโมนก็เยอะ คนที่ชอบเขาอยากได้เขาก็เยอะ แล้วยังมีคนที่พี่ไม่แน่ใจว่าคิดยังไงอีก พี่น่ะอยู่ในจำพวกเกลียด แต่ก็เรื่องงานเท่านั้นแหละ ขัดแย้งกันธรรมดา พี่ด่ามันทุกวัน อยากให้มันย้ายไปเร็ว ๆ แต่ก็ไม่ถึงขนาดอยากให้มันตาย แล้วพี่ก็ไม่คิดว่าจะมีใครฆ่ามันด้วย”
         “คนที่พี่ไม่แน่ใจว่าคิดยังไงกับทีโมนนี่มีใครบ้างครับ”
         “ก็มีออกัส” ข้าวโอ๊ตตอบ “ต่อหน้าพวกเราก็ด่าทีโมนอยู่หรอกนะ แต่พอลับหลังได้ยินว่าไปมีอะไรกัน มิคกี้น่ะประกาศออกลั่นออฟฟิศว่าเห็นสองคนนี้ไปทำอะไรกันที่บันไดหนีไฟตอนเช้า ท้าให้เอากล้องวงจรปิดมาดูเลย พี่ก็คิดว่าน่าจะจริงนะ คาร์ลก็เคยคุยกับพี่ว่าสองคนนี้ท่าทางมีอะไรแปลก ๆ เหมือนกัน”
         “ออกัสอะไรนี่ชักน่าสงสัยเหมือนกันนะ เช้านี้ก็ไม่มีใครเห็นว่าเขาทำอะไรในครัวใช่ไหมล่ะ เขาอาจเป็นคนวางยาก็ได้นะ” เม็ดนุ่นออกความเห็นบ้างหลังจากเป็นฝ่ายนิ่งฟังมานาน
         “ตอนนี้ใครเป็นผู้ต้องสงสัยที่สุดครับน้องจั๊มป์ พอจะบอกได้ไหม” ข้าวโอ๊ตถาม
         “ก็ยังไม่ได้เจาะจงใครเป็นพิเศษครับ เพียงแต่เราพบอะไรน่าสนใจในโทรศัพท์มือถือของทีโมน”
         “อะไร” ข้าวโอ๊ตกับเม็ดนุ่นถามพร้อมกัน
         “รูปแอบถ่ายของออกัสครับ แต่น่าแปลกที่ไม่มีรูประหว่างทีโมนกับออกัสเลย เป็นรูปของออกัสกับคนอื่นทั้งหมด มีทั้งวีดิโอทั้งภาพนิ่ง”
         “เอ๋ นอกจากทีโมนแล้ว ออกัสยังมีคนอื่นอีกเหรอครับเนี่ย” ข้าวโอ๊ตรู้สึกตกใจมาก พร้อมกันนั้นก็นึกสงสารต้น แฟนหนุ่มของออกัสด้วย
         “เรากำลังตรวจสอบเรื่องนี้อยู่ครับ ตามที่ทางตำรวจคิด เรื่องชู้สาวน่าจะเป็นประเด็นหลักสำหรับการฆาตกรรมครั้งนี้”
ข้าวโอ๊ตรู้สึกเหนื่อยและตอนนี้เขาก็รู้สึกปวดศีรษะเพิ่มขึ้นมาด้วย เพราะตั้งแต่เกิดเรื่อง ชายหนุ่มยังไม่หยุดคิด เขาคิดวนเวียนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คิดว่าใครน่าจะมีโอกาสเป็นคนทำมากที่สุด ใครที่มีความแค้นจนคิดจะฆ่าคนตายได้ แต่เขาก็คิดไม่ตก ไม่รู้จริง ๆ ว่าใครเป็นฆาตกร
         “พี่โอ๊ตครับ ถ้าพี่คิดอะไรออกอีก โทรหาผมได้ทุกเวลานะครับ”
         นวัชจดเบอร์โทรศัพท์ของเขายื่นส่งให้ เพราะถึงจะรู้จักกัน แต่ก็ยังไม่เคยแลกเบอร์โทรศัพท์กันเอาไว้ ข้าวโอ๊ตก็ไม่เคยมีเรื่องอะไรให้ต้องติดต่อกับรุ่นน้องของเพื่อนคนนี้มาก่อนด้วย
         “ขอบคุณนะ แล้วถ้ามีอะไร พี่จะรีบติดต่อไปทันที” ข้าวโอ๊ตรับกระดาษจดเบอร์โทรศัพท์มาและบันทึกเบอร์ของนวัชลงไปในโทรศัพท์ของเขาทันที
         “แล้วเรื่องวันนี้ช่วยเก็บเป็นความลับด้วยนะครับ อย่าเพิ่งคุยกับใครหรือบอกใครว่ารู้จักกับผมนะครับ”
         นวัชย้ำอีกครั้ง ข้าวโอ๊ตพยักหน้า และเม็ดนุ่นก็รีบรับรองมาอีกคนหนึ่งอย่างแข็งขัน
         “พี่เฝ้ามันเอง รับรองว่าจะไม่ให้มันคุยกับใครเลย ไม่ต้องกังวลนะน้องจั๊มป์”
         “พี่นุ่นรับรอง ทำไมผมรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจยังไงไม่รู้” นวัชพึมพำ ก่อนที่เขาจะกลับไป
         เม็ดนุ่นเป็นคนลงไปส่งรุ่นน้อง เมื่อกลับขึ้นมาอีกครั้ง ข้าวโอ๊ตก็ยังมีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไรนัก หญิงสาวจึงตรงเข้าไปตบไหล่เพื่อนเบา ๆ เพื่อเป็นการปลอบใจ
         “อย่าคิดอะไรมากน่ะโอ๊ต เดี๋ยวตำรวจเขาก็หาตัวฆาตกรได้”
         “ฉันรู้สึกไม่สบายใจเลย ฉันเคยคิดนะว่าชีวิตมันโคตรน่าเบื่อ อยากให้มีอะไรน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นบ้าง แต่เอาเข้าจริงก็กลับเป็นเรื่องแบบนี้เสียได้ ไม่ควรเลยจริง ๆ ฉันน่ะเกลียดอีทีโมนมากนะ แต่เห็นมันตายยังงี้แล้วรู้สึกไม่ดีเลย ไม่ดีมาก ๆ”
         “มันคงเป็นเวรกรรมน่ะ กรรมของใครก็ของคนนั้น ไอ้หมอนั่นมันคงไปทำอะไรใครเขาไว้”
         เม็ดนุ่นนั่งลงข้าง ๆ เพื่อนที่โซฟา เอื้อมมือมาโอบข้าวโอ๊ตเอาไว้ ฝ่ายหลังก็ซบศีรษะลงกับไหล่ของหล่อนเหมือนคนหมดแรงและอยากหาที่ยึดเหนี่ยว
         “โชคดีที่พรุ่งนี้หยุดเสาร์อาทิตย์พอดี ฉันไม่อยากไปทำงานเลย ตอนนี้ที่ออฟฟิศแย่มาก ทุกคนมองกันเหมือนเป็นศัตรู ฉันเองก็เหมือนกัน มองหน้าใครก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่าเขาจะเป็นฆาตกรรึเปล่า ฉันเหนื่อยว่ะ เครียดด้วย”
         “เครียดก็พักก่อน” เม็ดนุ่นลูบหลังเพื่อน “อาทิตย์นี้แกก็ไม่ต้องไปสอนพิเศษด้วย ออกไปกินข้าวข้างนอกกันดีกว่า เปลี่ยนบรรยากาศบ้างเนอะ”
         ข้าวโอ๊ตยังไม่ทันได้ตอบก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเสียก่อน ชายหนุ่มไม่อยากจะรับเลย แต่เป็นเบอร์ที่บ้านจึงจำต้องกดรับ เสียงของเขาระโหยเมื่อทักทายว่า
         “สวัสดีครับ”
         ปลายสายเงียบไปอึดใจ ก่อนที่เสียงของพ่อของเขาจะตอบกลับมาว่า
         “นี่พ่อเองนะ”
         “ครับพ่อ มีอะไรรึเปล่าครับ”
         “เอ้อ...ก็ไม่มีอะไรมากหรอก” ปลายสายอึกอักเหมือนไม่รู้จะพูดอย่างไรดียิ่งทำให้ข้าวโอ๊ตรู้สึกแย่หนักยิ่งขึ้น เขาอยากวางหู แต่ก็รู้ว่าทำไม่ได้จึงต้องอดทนต่อไป
         “แม่เขากำลังหาอัลบั้มรูปของโอ๊ต รูปตอนเด็ก ๆ น่ะ นี่รื้อทั่วทั้งบ้านแล้วแต่หาไม่เจอ เจอแต่อัลบั้มของข้าวฟ่าง แม่เขาบ่นใหญ่ กลัวทำอัลบั้มหาย พ่อรำคาญก็เลยโทรมาถามโอ๊ต เผื่อจะเห็นบ้าง แม่เขาจะได้เลิกตีโพยตีพายเสียที”
         “อัลบั้มอยู่ที่โอ๊ต โอ๊ตคิดว่าโอ๊ตเก็บเอาไว้เองน่าจะดีกว่า ที่บ้านน่ะเก็บแต่ของข้าวฟ่างไว้ก็พอแล้วล่ะครับ”
คำตอบของข้าวโอ๊ตทำให้พ่อชะงัก แล้วก็เงียบไปอีกครั้ง ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะตัดบทไปเลยว่า
         “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เอาแค่นี้นะครับ โอ๊ตจะเข้านอนแล้ว”
         ชายหนุ่มกดวางหู แล้วโยนโทรศัพท์ไปไว้บนโต๊ะข้างโซฟา เขารอดูว่าที่บ้านจะโทรศัพท์มาอีกหรือเปล่า แต่ผ่านไปพักใหญ่แล้วก็ไม่มี สีหน้าของชายหนุ่มจึงไม่สู้ดีเอาเสียเลย
         “พูดแบบนี้มันดูเย็นชาไปหน่อยไหมวะแก” เม็ดนุ่นอดพูดไม่ได้
         “โทรมายังไม่ถามสักคำเลยว่าฉันเป็นยังไงบ้าง ไม่มีใครสนหรอกว่าฉันจะพูดอะไรหรือจะรู้สึกยังไง ช่างมันเหอะ อย่าไปสนใจเลย”
          ข้าวโอ๊ตทำท่าไม่สนใจ เม็ดนุ่นไม่เห็นด้วย แต่ไม่อยากจะทำให้เพื่อนเครียดไปมากกว่าเดิมจึงกลับมาถามเรื่องที่ยังคุยค้างเอาไว้
         “แล้วตกลงพรุ่งนี้เอาไง ไปหาอะไรกินข้างนอกกันนะ จะได้แวะช็อปปิ้งด้วย ฉันอยากได้เสื้อกันหนาวตัวใหม่แบบฮีธเทค ของแบรนด์ญี่ปุ่นน่ะ พับแล้วเล็กดีด้วย ไม่เปลืองที่ในกระเป๋า”
         “เอาสิ ฉันยังไงก็ได้อยู่แล้ว”
         “แกชวนคาร์ลกับมิตช์ไปด้วยสิ สองคนนั้นคุยสนุกดี ฉันชอบ”
         “ชวนสองคนนั้นไปด้วยเนี่ยนะ ไหนแกรับปากน้องจั๊มป์ไว้ดิบดีว่าจะไม่ให้ฉันพูดกับใคร แล้วนี่อะไร แป๊บเดียวผิดสัญญาเสียแล้ว” ข้าวโอ๊ตขมวดคิ้ว แต่เม็ดนุ่นก็ยังดิ้นไปได้ว่า
         “ก็ชวนกินข้าวเดินเที่ยวเฉย ๆ ไม่ได้ชวนมาคุยเรื่องคดีสักหน่อย แกก็อย่าไปบอกเขาเรื่องน้องจั๊มป์ก็ไม่มีปัญหาแล้ว”
         ข้าวโอ๊ตยอมตามใจกดโทรศัพท์หาคาร์ล ฝ่ายนั้นเงียบไปปรึกษากับคนรักอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบตกลง หลังจากนัดแนะเวลาและสถานที่กันเสร็จสรรพ ชายหนุ่มก็กดวางหูโทรศัพท์ หันมาบอกเพื่อนว่า
          “เรียบร้อย ไปได้”
          เม็ดนุ่นร้องเย้ ก่อนจะหลุดปากบอกความจริงออกมาชนิดไม่เกรงใจเจ้าของห้องที่มาอาศัยเขาอยู่ว่า
          “พรุ่งนี้จะได้ควงหนุ่มน้อยหน้าตาดีสองคน มีความสุขจริงโว้ย ดีกว่าควงหนุ่มหน้าเก่า ๆ น่าเบื่อ”
          แต่พอพูดจบ หล่อนก็ต้องรีบวิ่งหลบสารพัดข้าวของที่เจ้าของห้องปาใส่กันให้จ้าละหวั่น

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 20
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
คิดไม่ถึงจริง ๆ
Like – Comment – Share

          นัดรับประทานอาหารครั้งนี้ไม่ใช่อาหารญี่ปุ่นเหมือนครั้งที่แล้ว เม็ดนุ่นที่อยากควงหนุ่มน้อยสองคนเหลือเกินให้คาร์ลกับมิตช์เป็นคนเลือกร้านอาหารและทั้งคู่ก็เลือกร้านอาหารอิตาเลียนในห้างใหญ่ที่มีสาขาของร้านเสื้อผ้าแบรนด์ญี่ปุ่นที่เม็ดนุ่นตั้งใจจะไปซื้อเสื้อกันหนาว
          หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เม็ดนุ่นที่สนิทกับมิตช์ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ควงแขนกันไปเลือกเสื้อกันหนาวขนเป็ดตัวพอง ๆ ที่มีสีให้เลือกเป็นสิบ ๆ สีแขวนเรียงกันเป็นตับอยู่ที่ราว หญิงสาวติดใจเสื้อผ้าของแบรนด์นี้เพราะคุณภาพดีและราคาไม่แพงจนเกินไป
          ผิดกับเพื่อนสนิท ข้าวโอ๊ตกลับรู้สึกเฉย ๆ กับเสื้อผ้าแบรนด์นี้ เสื้อผ้าผู้ชายที่เป็นสีพื้น ๆ ก็พอใช้ได้อยู่หรอก แต่เสื้อผ้าผู้หญิงนี่ไม่ไหว บางคอลเล็กชั่นออกแบบมาโดยใช้ลายตาหมากรุก ลายจุดหรือลายดอกไม้ซึ่งมันดูเชยในความคิดของเขา ชายหนุ่มเคยวิจารณ์เม็ดนุ่นอย่างตรงไปตรงมาตอนที่อีกฝ่ายเลือกเสื้อเชิ้ตลายดอกไม้ตัวหนึ่งขึ้นมาทาบตัวให้ดู
           ‘แกดูอย่างกับเป็นคุณป้าญี่ปุ่น นี่ถ้าแกใส่เสื้อตัวนี้แล้วขี่จักรยานหิ้วตะกร้าจ่ายตลาดนี่คือเหมือนเป๊ะเลยล่ะ’
           ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกกระตือรือร้นเหมือนเพื่อนสนิทเท่าไรนักและอาจจะเพราะมีเรื่องให้ต้องคิดอยู่เต็มหัวด้วยก็ได้ แต่เขาก็อดที่จะเดินดูเสื้อผ้าในร้านที่มีอยู่มากมายไม่ได้เช่นกัน
           คาร์ลเดินอยู่กับเขา เด็กหนุ่มเห็นคนรักของตัวเองอยู่กับเม็ดนุ่นแล้ว เขาจึงมาเดินเป็นเพื่อนข้าวโอ๊ตที่วันนี้เอาแต่นิ่งเงียบฟังคนอื่นคุยกันอย่างเดียว
           “เราไปดูเสื้อผ้าผู้ชายด้านโน้นกันไหมครับคุณโอ๊ต” คาร์ลชวน
           “เอาสิ” ชายหนุ่มไม่ปฏิเสธ
           “ผมอยากจะได้เสื้อเชิ้ตใหม่กับยีนสักตัว” เด็กหนุ่มบอกเขา ขณะที่เดินเลือกดูเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายที่แขวนอยู่ที่ราว แบรนด์นี้เพิ่งออกคอลเล็กชั่นเสื้อเชิ้ตใหม่เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาเห็นในใบปลิวก็รู้สึกว่าสวยดี แต่พอเห็นของจริง เขาก็คิดเหมือนเดิมว่ามันดูเชยและสีไม่ค่อยสวยเท่า
           “คุณว่าสีพื้นหรือลายตารางดีครับ” คาร์ลหยิบเสื้อเชิ้ตจากราวมาสองตัวชูให้เขาดู
           “ถามผม ผมก็ต้องตอบสีพื้น เพราะว่าผมไม่ค่อยชอบเสื้อผ้าที่มีลวดลายเท่าไหร่ คุณเลือกที่คุณชอบดีกว่า เพราะคุณเป็นคนใส่ ใส่แบบที่ชอบจะได้มีความมั่นใจไงครับ”
           “แต่ถ้าใส่ของที่ไม่เข้ากับตัวมันจะกลายเป็นพวกมั่นใจไร้สติเอานะครับ” คาร์ลแย้ง ก่อนจะพูดต่อโดยที่ไม่ได้คิดมากว่า
           “ดูอย่างทีโมนสิ อย่าหาว่าผมนินทาคนตายเลย รายนั้นชอบใส่อะไรที่ไม่เข้ากับตัวเอง แล้วก็มั่นใจเอามาก ๆ ว่ามันเข้ากับตัวเอง มันดูดีมาก ซึ่งจริง ๆ แล้วมันไม่ใช่”
           “รายนั้นยกให้คนหนึ่งเถอะ แฟชั่นเขาสุดยอดที่สุดแล้ว แต่ก่อนนี่ใส่เสื้อเชิ้ตสีสด ๆ สารพัดสีสัน เนกไทลายดอกไม้ดอกไร่สีฉูดฉาดอะไรมีหมด แต่ที่เด็ดสุด มติเป็นเอกฉันท์ ต้องเสื้อฮาวายลายต้นมะพร้าว อันนี้เห่ยจริงอะไรจริง ไม่รู้ใส่มาได้ไง”
           “นั่นสิครับ ไม่รู้ว่าไปซื้อมาเพื่อทริปนั้นเลยรึเปล่า ผมไม่เคยเห็นเขาใส่มาก่อนเลย เพิ่งเห็นใส่ก็วันนั้นแหละ”
           “ใช่ ไม่เคยเห็นใส่... เดี๋ยวก่อน” ข้าวโอ๊ตขมวดคิ้ว ทำท่าเหมือนสะดุดใจอะไรบางอย่าง
           “ทีโมนไม่เคยใส่เสื้อตัวนั้นมาก่อน คนที่ไม่ได้อยู่ในวันนั้นก็ไม่น่าจะรู้สิ แต่ทำไม...”
           “มีอะไรรึเปล่าครับ ใครไม่อยู่ ใครไม่รู้อะไร” คาร์ลตามไม่ทัน
           ข้าวโอ๊ตไม่ได้ใส่ใจจะตอบคำถามของเด็กหนุ่ม หัวสมองของเขาทำงานหนัก พยายามคิดถึงเรื่องในวันนั้น ก่อนจะเบิกตาโพลง อุทานออกมาด้วยความลืมตัวว่า
           “หมอนั่นไม่น่าจะรู้! ใช่แล้ว!”
           คาร์ลยิ่งงงหนักเมื่อจู่ ๆ ข้าวโอ๊ตก็อุทานออกมาเป็นภาษาไทยที่เขาฟังไม่รู้เรื่องแล้วก็พุ่งตัวไปหาเพื่อนสนิทที่เดินเข้ามาหากับมิตช์
           เม็ดนุ่นถือตะกร้าใส่เสื้อกันหนาวมาด้วย แต่ยังไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไร ข้าวโอ๊ตก็ตรงเข้ามาดึงตะกร้าออกจากมือเพื่อนเอาวางไว้บนพื้นแล้วฉุดมือให้ตามเขามา ขณะที่มิตช์กับคาร์ลมองตามด้วยความแปลกใจแกมงงงัน
           “โอ๊ต! แกเป็นอะไรวะเนี่ย จะลากฉันไปไหน ฉันยังไม่ได้ซื้อเสื้อเลยนะ” เม็ดนุ่นโวยวาย พยายามขืนตัวไว้ แต่สู้แรงของอีกฝ่ายไม่ได้
           “เรื่องเสื้อช่างมันก่อน แต่ฉันมีเรื่องจะพูดกับน้องจั๊มป์ เดี๋ยวนี้เลย!”
           ข้าวโอ๊ตหันมาบอกหน้าเครียด

            แม้ว่าจะได้หยุดงานไปสองวันเต็ม แต่ทุกคนในออฟฟิศก็รู้สึกเหมือนกันหมด คือไม่อยากจะมาทำงานเลย เมื่อก่อนนั้นบรรยากาศในออฟฟิศก็ถือว่าแย่มากอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ต้องเรียกว่าเข้าขั้นหายนะ ทุกคนแทบไม่มีใครมองหน้ากันเพราะกลัวว่าจะจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาสงสัยและไม่ไว้วางใจเข้า แล้วก็คงจะได้ถกเถียงด่าทอกันอีก
            ข้าวโอ๊ตก็ไม่มองหน้าใครเหมือนกัน เขากลัวว่าตัวเองจะเผลอมองใครบางคนด้วยแววตาไม่ปกติ แล้วจะทำให้ใครคนนั้นเอะใจเสียเปล่า ๆ
            ตอนนี้ไม่มีวงสนทนาในครัวตอนเช้าอีกแล้ว ทุกคนที่เปิดประตูเข้ามาในออฟฟิศต่างเดินก้มหน้าก้มตาเข้าไปในห้องของตัวเอง ไม่มีการทักทายกันและกัน แล้วทุกคนก็นั่งรับประทานกาแฟ ชา และอาหารเช้าที่ต่างซื้อติดมือเข้ามาอยู่ในห้องของตัวเองนั่นเอง กาแฟหรืออาหารของออฟฟิศที่อยู่ในห้องครัวไม่มีใครกล้าแตะต้องอีกต่อไป ข้าวโอ๊ตก็ซื้อเครื่องดื่มและอาหารของตัวเองมาเหมือนกัน ตอนที่เดินผ่านห้องของทีโมนที่ปิดตาย มีเทปสีเหลืองกั้นเป็นเขตห้ามเข้าเอาไว้ เขาก็อดที่จะรู้สึกใจหายไม่ได้
การทำงานในวันนั้นเริ่มต้นอย่างแกน ๆ คาริน่าและญาดาต้องเป็นคนเข้าไปรับบรีฟงานจากด็อกเตอร์แฮร์มันน์แทนทีโมน ซึ่งทั้งสองสาวก็มองกันด้วยสายตาเป็นอริอย่างชัดเจน
            ข้าวโอ๊ตนั่งอยู่ในห้องของตัวเอง รอให้อีเมลถูกใส่สัญลักษณ์สี แล้วเขาก็เริ่มต้นทำงาน แต่ใจของเขาไม่สงบนัก มันเต้นแรงขึ้นทุกครั้งที่เข็มวินาทีกระดิก
            นัตโตะเดินผ่านห้องของเขา เพื่อนร่วมงานรุ่นน้องยังทำแบบเดิมคือไม่ว่าจะเดินผ่านห้องใครเป็นต้องหันมามองด้วยความสนใจว่าเจ้าของห้องทำอะไรอยู่ แล้วชายหนุ่มก็สบตากับข้าวโอ๊ต ในดวงตาหลังแว่นของนัตโตะปรากฏความสงสัยเมื่อเห็นท่าทางกระวนกระวายของข้าวโอ๊ต แต่เขาก็รู้ดีว่าถึงถามไปก็คงไม่ได้รับคำตอบดี ๆ แน่ ชายหนุ่มจึงเดินผ่านไป
           คนถัดมาที่เดินผ่านห้องของเขาคือญาดากับมิคกี้ สองคนนี้เดินคุยกันมาจึงไม่ได้สนใจข้าวโอ๊ตที่มองออกมา ญาดาแต่งตัวสวยเฉี่ยวเหมือนเดิม เดรสแขนกุดสีดำ ดูเหมือนว่าหล่อนจะต้องการไว้ทุกข์ให้ทีโมน มิคกี้ก็ใส่ชุดขาวดำเหมือนกัน เชิ้ตขาว เนกไทสีดำ กางเกงสแล็กสีดำ ใส่เสื้อหนาวที่มีกระเป๋าด้านหน้าตัวที่เขาเอาไว้ใส่อยู่ในออฟฟิศ
           บรรยากาศในออฟฟิศถึงแม้จะเลวร้ายขนาดไหน แต่ก็ยังเป็นบรรยากาศของออฟฟิศคนทำงานเหมือนเดิม วันนี้เริ่มต้นเหมือนเดิมและทุกคนก็คิดว่าคงจะจบลงเหมือนเดิมด้วย
           มีแต่ข้าวโอ๊ตคนเดียวที่รู้ว่ามันจะไม่เหมือนเดิม
           เสียงประตูออฟฟิศเปิดทำให้ข้าวโอ๊ตสะดุ้งทั้งตัว ชายหนุ่มรีบลุกออกมาจากห้องทำงานทันที เห็นตำรวจชุดที่ทำคดีของทีโมนยืนอยู่บริเวณหน้าออฟฟิศ ส่วนผู้หมวดน้องจั๊มป์กำลังคุยกับออกัสอยู่
           “ตำรวจมาทำไมครับ หรือได้เบาะแสอะไรเรื่องของทีโมนแล้ว” คาร์ลเห็นข้าวโอ๊ตเดินมาก็เลยเดินออกมาสมทบด้วย
           ข้าวโอ๊ตหันไปยิ้มเครียดกับเด็กหนุ่ม
           “ผมก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”
           นวัชเห็นข้าวโอ๊ตกับคาร์ลก็โบกมือให้ ท่าทางเหมือนคนที่รู้จักกันมาก่อนทำให้ออกัสหลุดอุทานออกมาเบา ๆ ก่อนจะถามว่า
           “เอ๊ะ นี่รู้จักกันเหรอครับ”
           ผู้หมวดหนุ่มไม่ตอบคำถาม แต่พูดกับข้าวโอ๊ตว่า
           “ทุกอย่างชัดเจนแล้วนะครับ ขอบคุณสำหรับความร่วมมือครับคุณโอ๊ต”
           “งั้นก็หมายความว่ารู้ว่าใครเป็นฆาตกรแล้วใช่ไหมครับ” ข้าวโอ๊ตถามด้วยสีหน้าโล่งอก
           นวัชพยักหน้าในขณะที่ออกัสร้องเอ๊ะอีกรอบ นายตำรวจจึงหันมาบอกชายหนุ่มว่า
           “คุณออกัสช่วยไปบอกด็อกเตอร์แฮร์มันน์ด้วยนะครับว่าผมขอใช้ห้องประชุม ส่วนคุณโอ๊ตกับน้องฝรั่งคนนี้ช่วยพาทุกคนเข้าห้องประชุมด้วยครับ”

            พนักงานทุกคนที่ถูกต้อนเข้าไปนั่งในห้องประชุมมองหน้ากันและกันด้วยความกระสับกระส่าย นวัชนั่งลงที่หัวโต๊ะตรงที่ที่เคยเป็นของด็อกเตอร์แฮร์มันน์ ส่วนเจ้าของที่เดิมเลื่อนไปนั่งทางด้านขวามือของนายตำรวจ ข้างเขาเป็นญาดาที่ถูกขอให้เป็นล่าม ถัดมาคือคาริน่าที่มีนัตโตะประกบข้างเป็นล่ามให้ ติดกับนัตโตะเป็นคาร์ลและข้าวโอ๊ต อีกด้านหนึ่งใกล้กับนวัชคือออกัส ถัดมาคือมิคกี้ บำรุง และพัดชาตามลำดับ เก้าอี้ที่เหลือคือนายตำรวจอีกคนหนึ่งที่จะคอยบันทึกทุกอย่างลงในคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปตรงหน้า ส่วนนายตำรวจที่เหลือที่มาด้วยกันกระจายกันยืนรอบห้อง
            “ที่ผมเรียกทุกท่านมารวมกันในวันนี้เพราะผมมีความคืบหน้าของคดีจะแจ้งให้ทราบครับ”
           นวัชเริ่มพูด
           ปฏิกิริยาของคนในห้องเหมือน ๆ กันคือมองเขาเป็นตาเดียวด้วยความสนใจและอยากรู้ แต่มีอยู่คนเดียวที่ขยับตัวด้วยความอึดอัด มิคกี้รู้สึกว่าอากาศในห้องประชุมตอนนี้ร้อนอบอ้าวขึ้นอย่างบอกไม่ถูกจนเขาทนไม่ไหว ต้องถอดเสื้อกันหนาวที่ใส่อยู่ออกและเอาวางไว้บนตัก
            “อย่างที่ทุกท่านทราบนะครับ คุณทีโมนเสียชีวิตจากยาพิษที่อยู่ในกาแฟ ทางเราได้ตรวจสอบแล้วพบว่ายาพิษนั้นผสมอยู่กับนมสดที่ถูกแช่เอาไว้ในตู้เย็น เมื่อผู้ตายเทนมที่มียาพิษลงไปในกาแฟที่ต้องดื่มเป็นประจำทุกเช้าก็เลยเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตครับ”
            “แต่นมเป็นของส่วนกลางที่ให้ทุกคนกินนะครับ จะเจาะจงให้ทีโมนกินคนเดียวได้ยังไง”
            ออกัสตั้งคำถามเหมือนกับที่ข้าวโอ๊ตเคยสงสัย
            “ยาพิษอยู่ในกล่องนมสดที่ถูกเปิดด้วยการใช้หลอดเจาะครับ เป็นกล่องเดียวที่อยู่ในตู้เย็น”
            เสียงพึมพำวิพากษ์วิจารณ์ดังแซดขึ้นทันที นวัชอธิบายต่อว่า
            “ผมทราบมาว่าปกติแล้วนมสดจะถูกเปิดด้วยการใช้กรรไกรตัดหูกล่อง เพื่อให้สะดวกในการเทนมใส่เครื่องดื่ม มีเพียงผู้ตายคนเดียวที่มักง่ายเอาหลอดเจาะ นมสดเจาะหลอดเทไม่สะดวกก็เลยมีการสั่งห้ามไม่ให้ใครใช้นมสดที่มีการเจาะด้วยหลอดแบบนั้นใช่ไหมครับ”
           “ใช่ค่ะ ฉันเป็นคนสั่งทุกคนเอง” ญาดาพูด
           “ปกติแล้วถ้าในตู้เย็นมีนมสดอยู่สองกล่องคือกล่องที่เจาะด้วยหลอดกับกล่องที่ตัดหู ผู้ตายก็จะเลือกกล่องที่ตัดหูเพราะเทง่ายกว่า แต่ถ้าในวันเกิดเหตุมีนมแค่กล่องเดียวในตู้เย็น ผู้ตายก็คงเลือกกล่องนั้นเพราะนิสัยขี้เกียจ ไม่อยากเปิดนมกล่องใหม่ หรือถ้าคิดจะเปิด แต่หากรรไกรไม่เจอเพราะมันไม่ได้อยู่บนกองกล่องนมเหมือนทุกที ผู้ตายก็คงขี้เกียจหา แล้วก็ไม่อยากจะเปิดกล่องใหม่ให้เสียเวลาด้วย ยังไงผู้ตายก็ต้องเลือกนมกล่องนั้น คนร้ายคิดแบบนั้น และก็เป็นจริงครับ นมสดกล่องที่เปิดหูกล่องถูกใช้หมดไป เหลือแค่กล่องที่เจาะด้วยหลอดที่คนร้ายทำให้แน่ใจว่าเหลือกล่องนั้นอยู่แค่กล่องเดียวในตู้เย็น และผู้ตายก็ขี้เกียจเปิดนมกล่องใหม่จริง ๆ ก็เลยใช้นมกล่องที่มียาพิษ หรือถึงผู้ตายไม่ใช้นมกล่องนั้นวันนี้ ก็มีหวังจะใช้ในวันอื่น แล้วก็ไม่มีใครในออฟฟิศที่จะโดนพิษด้วยในเมื่อมีการสั่งห้ามใช้นมกล่องเจาะหลอดเอาไว้แล้ว ทุกคนในออฟฟิศไม่ค่อยชอบผู้ตายใช่ไหมครับ จึงทำให้ไม่มีใครแตะต้องนมกล่องเจาะหลอดอยู่แล้ว”
            “แล้ววางยายังไงครับ ตอนนั้นไม่เห็นมีใครน่าสงสัยเลยนะ” นัตโตะเป็นฝ่ายถามบ้าง วันนั้นเขาเองก็อยู่ในครัวเหมือนกัน ทุกคนทำตัวปกติ ไม่เห็นใครมีพิรุธสักคนเดียว
            “สลับหลอดครับ” นิวัชพูด เรียกเสียงพึมพำจากคนทั้งห้องได้อีกครั้ง
            “คนร้ายเอาหลอดที่มียาพิษบรรจุอยู่ สลับกับหลอดของนมกล่องนั้น แต่ถ้าเอาหลอดที่สลับมาได้ทิ้งที่ถังขยะในครัวก็จะน่าสงสัย คนร้ายก็เลยต้องเก็บหลอดไว้กับตัว เพื่อหาจังหวะทิ้งที่หลัง หรือเอาทิ้งถังขยะในห้องก็คงไม่มีคนสงสัย ยิ่งถ้ามีกล่องนมหรือน้ำผลไม้ที่ดื่มหมดแล้วด้วย ก็คงไม่มีใครคาดคิด แต่คนร้ายลืมนึกไปว่าหลอดอันนั้นเปื้อนนม เมื่อถูกเก็บเข้ากระเป๋ากางเกงหรือไม่ก็กระเป๋าเสื้อ คราบนมก็ติดอยู่ที่ด้านในของกระเป๋าด้วย”
            นวัชกวาดตามองทุกคนและมาหยุดอยู่ที่มิคกี้ซึ่งตอนนี้มีสีหน้าค่อนข้างซีด สองมือที่จับเสื้อกันหนาวอยู่บนตักขยับยุกยิก สายตาของชายหนุ่มหลุบต่ำลงและเอาแต่มองเสื้อกันหนาวบนตักของตัวเองด้วยความกังขา นายตำรวจหนุ่มจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินเข้าไปหา
            “ผมขอดูเสื้อกันหนาวของคุณหน่อยได้ไหมครับคุณมิคกี้”
            มิคกี้เชิดหน้าขึ้น กัดริมฝีปากแน่น แต่ไม่ยอมส่งเสื้อกันหนาวให้ และตอนนี้ทุกคนหันมามองชายหนุ่มเป็นตาเดียว
นวัชไม่รอคำอนุญาต แต่ดึงเสื้อหนาวไปจากมือของมิคกี้เลย ชายหนุ่มร้องลั่น
            “จะทำอะไรน่ะ! เอาคืนมานะ!”
            นายตำรวจคนหนึ่งเข้ามาจับตัวมิคกี้กดเอาไว้ไม่ให้เขาลุกขึ้นจากที่ได้ ส่วนนวัชก็ปลิ้นด้านในกระเป๋าออกมาดู มีคราบแห้ง ๆ ติดอยู่ด้านในจริงอย่างที่เดาเอาไว้
            “คุณเอาหลอดใส่กระเป๋าเสื้อหนาวแทนที่จะใส่กระเป๋ากางเกงเพราะกลัวคนจะเห็น กระเป๋าเสื้อหนาวอยู่ด้านหน้า แค่คุณหันหลัง คนอื่นก็มองไม่เห็นแล้ว คุณลืมคิดไปว่าเสื้อหนาวของคุณสีน้ำตาลอ่อน นมที่ตกค้างอยู่ในหลอดสามารถทิ้งคราบเปื้อนเอาไว้ได้ เสื้อหนาวตัวนี้คุณใส่อยู่แต่ในออฟฟิศและยังไม่ถึงเวลาที่จะเอากลับไปซักทำความสะอาด คราบนมจึงยังไม่หายไปไหน”
            “แค่คราบเปื้อนแค่นี้จะมากล่าวหากันอย่างนี้ไม่ได้นะ!”
            มิคกี้ตวาด หน้าตาที่เคยยิ้มแย้มเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด น้ำเสียงที่ใช้ก็แข็งกระด้าง ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะเปลี่ยนจากมิคกี้ที่ทุกคนในออฟฟิศรู้จักเป็นอีกคนหนึ่งไปแล้ว
            “เรื่องนมและคราบเปื้อนทำให้เราสงสัยคุณ แต่ที่ทำให้เรามั่นใจคือเรื่องนี้ครับ”
            นวัชรับซองเอกสารจากมือของตำรวจคนหนึ่ง หยิบเอากระดาษสองสามใบออกจากซองมาวางลงตรงหน้าของมิคกี้และเมื่อชายหนุ่มเห็นข้อความบนกระดาษเหล่านั้นก็อึ้งไปทันที
            “คุณใช้ให้เพื่อนสนิทติดต่อซื้อสารเคมีที่เป็นพิษทางอินเตอร์เน็ต เดี๋ยวนี้ของทุกอย่างมีขายบนอินเตอร์เน็ต ถ้ามีเงิน ถ้ารู้แหล่ง สารเคมีนิดหน่อยก็ขอซื้อมาได้ เพื่อนของคุณไม่รู้ว่าคุณจะเอามันไปทำอะไร พอรู้เขาก็กลัวมาก เมื่อตำรวจติดต่อไป เขาก็เลยสารภาพออกมาจนหมด และนี่ก็คืออีเมลที่เขาติดต่อกับผู้ขายและข้อความทางไลน์ที่เขาติดต่อกับคุณ”
           นายตำรวจหนุ่มยังดึงภาพหลายภาพที่สั่งพิมพ์ออกมาจากกล้องวงจรปิดโยนลงตรงหน้าของชายหนุ่ม
           “คุณมีความสัมพันธ์กับผู้ตาย พวกคุณมีการนัดเจอกันที่คอนโดที่เป็นชื่อของคุณอยู่บ่อย ๆ ล่าสุดพวกคุณนัดเจอกันที่รีสอร์ทบนเกาะ พวกคุณไปถึงคนละเวลา คุณเป็นคนเช็คอิน ผู้ตายตามไปทีหลัง ที่รีสอร์ทไม่มีกล้องวงจรปิด แต่บังเอิญพนักงานที่รีสอร์ทแอบถ่ายรูปพวกคุณสองคนเอาไว้เพราะรู้สึกชอบใจหน้าตาที่หล่อเหลาของพวกคุณทั้งคู่”
           รูปใบสุดท้ายถูกวางลงบนกองรูปถ่าย เป็นภาพของคนสองคนกำลังโอบเอวกันและกัน ภาพแอบถ่ายด้วยกล้องจากโทรศัพท์ไม่ชัดมากนัก แต่ดูออกว่าคนในภาพเป็นใคร
           ออกัสชะโงกหน้าไปมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองมิคกี้ด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ หวาดหวั่น รวมถึงรังเกียจ และนั่นทำให้มิคกี้รู้สึกทนไม่ได้อย่างรุนแรง ชายหนุ่มขยำรูปภาพและกระดาษเอกสารบนโต๊ะขว้างใส่หน้าออกัสเป็นพัลวัน
           “โอ๊ย! ทำอะไรของนายวะ!” ออกัสร้องลั่น ยกมือขึ้นปิดป้องใบหน้าโดยอัตโนมัติ
           “แกไม่มีสิทธิ์มองฉันอย่างนี้!” มิคกี้ตะโกนใส่อีกฝ่ายเสียงดัง ทำท่าจะโผเข้าไปชกหน้าหรือทำร้ายออกัสเสียด้วยซ้ำแต่ถูกนายตำรวจที่ยืนคุมเชิงอยู่ด้านหลังล็อคตัวเอาไว้เสียก่อน
          “แล้วจะให้มองยังไง!” ออกัสตวาดกลับด้วยอารมณ์โมโหไม่แพ้กัน “ไอ้คนตีสองหน้า! เที่ยวได้ว่าคนอื่นเขาไปทั่ว ตีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ลับหลังก็แอบไปกกผู้ชายเหมือนกัน แถมยังเลวด้วยที่ฆ่าคนทั้งคนได้ลงคอ”
          “ก็ถ้าแกไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับของของฉัน ฉันก็ไม่ต้องทำอย่างนี้หรอก คนที่เลวน่ะคือแกต่างหาก แกให้ท่าเขา ไปนอนกับเขา ทั้งที่ตัวเองก็มีแฟนอยู่แล้ว แกมันน่ารังเกียจที่สุด! แกใช้ให้ทีโมนเลิกติดต่อกับฉัน บล็อกเบอร์ของฉัน เพื่อที่แกจะได้ครอบครองเขาเอาไว้คนเดียวใช่ไหมล่ะ เลว! พวกแกสองคนทรยศหักหลังฉัน!”
           ถึงแขนสองข้างจะถูกพันธนาการเอาไว้ แต่ปากของมิคกี้ยังก่นด่าออกัสไม่หยุด ชายหนุ่มโกรธจนหน้าดำหน้าแดง ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาบูดเบี้ยว ฤทธิ์ของโทสะบังตาจนไม่นึกว่าสิ่งที่พูดออกไปเท่ากับเป็นการยอมรับกลาย ๆ ในเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด
           “ไอ้ทีโมนมันแบล็กเมล์ฉันต่างหาก ฉันถึงต้องยอมทำ ทรยศหักหลังบ้าบออะไร คนที่ซวยน่ะมันฉันเว้ย ถูกดึงเข้าไปยุ่งกับเรื่องผัวเมียตีกันแท้ ๆ ไอ้คนเจ้าชู้อย่างนั้นมันคงได้นายจนเบื่อ อยากจะเขี่ยทิ้งมากกว่า ก็เลยเอาฉันมาอ้าง ระยำจริง” ออกัสโต้กลับอย่างเหลืออด
           นอกจากสองคนที่กำลังโต้เถียงกันอย่างเผ็ดร้อนแล้ว คนอื่น ๆ ในห้องต่างจับตามองด้วยสายตาและความรู้สึกที่แตกต่างกันไป ทั้งคาดไม่ถึง ไม่อยากเชื่อ โกรธเคือง สมเพช เกลียดชัง และสะใจ
           นัตโตะเป็นคนเดียวในตอนนี้ที่แสดงความรู้สึกออกมาแบบเปิดเผย ชายหนุ่มแสยะยิ้ม อุทานลอย ๆ ว่า
           “เอาอีก! สนุกจัง!”
           ออกัสกับมิคกี้หันขวับมาทันที และก็เป็นฝ่ายหลังที่มองมาด้วยสายตาชิงชังอย่างไม่ต้องปิดบังอีกต่อไป มิคกี้คงจะชี้หน้านัตโตะด้วยแล้วถ้ามือของเขาเป็นอิสระ แต่เมื่อทำไม่ได้ เขาก็ได้แต่อาฆาตเอาไว้ว่า
           “แกก็อีกคน ไอ้คนชั้นต่ำ นิสัยอย่างนี้ระวังจะไม่ตายดี”
           “ชั้นต่ำเหรอ แล้วอย่างนายสูงแค่ไหนกันเชียว ฉันโคตรสะใจเลยว่ะที่เห็นไอ้คนหัวสูงหน้าเชิดอย่างนายสะดุดความอวดดีของตัวเองหน้าคะมำเหมือนตอนนี้ ขอให้นายมีความสุขอยู่ในตะรางนะคุณหนูมิคกี้”
           “คนอย่างฉันไม่มีวันติดคุก” มิคกี้คำรามลอดไรฟัน เส้นเลือดที่ขมับของเขาปูดโปนอย่างน่ากลัว แต่แววตาของเขาวูบไหวด้วยความหวาดหวั่นเมื่อพูดประโยคนี้เช่นกัน และอุปทานทำให้รู้สึกว่าคนทุกคนในห้องมองเขาด้วยสายตาที่สะใจเหมือนที่นัตโตะมอง หูของเขาก็ได้ยินเสียงเยาะเย้ยถากถางจากทุกคน
           ‘แกต้องติดคุก’ ยายคาริน่าลอยหน้าลอยตาใส่เขา
           ‘ไอ้ฆาตกร’ ญาดาพูดเสียงหยัน
           ‘เน่าตายในคุกซะเถอะ’ ข้าวโอ๊ตเบะปาก
           ยังไม่พอ แม้แต่พัดชากับบำรุงก็ยังดูถูกเขาด้วยการถอยหนีเขาอย่างเดียดฉันท์
           มิคกี้ไม่เคยลิ้มรสความรู้สึกแบบนี้มาก่อน เขาไม่เคยถูกเกลียดชัง ไม่เคยถูกรังเกียจ ทุกคนต่างรักเขา ยอมเขา ไม่มีใครกล้าขัดใจเขา
           “ไม่มีทาง! ฉันไม่มีวันติดคุก! แล้วพวกแกทุกคนจะต้องเสียใจที่ทำกับฉันอย่างนี้!” ชายหนุ่มตะโกนเอะอะอย่างคนที่ไม่สามารถคุมสติได้อยู่ เขาพยายามดิ้นรนให้พ้นจากความควบคุม แต่ตอนนี้ตำรวจเพิ่มจากหนึ่งเป็นสอง ทำให้เขาไม่สามารถหลุดเป็นอิสระได้
           นวัชเห็นท่าไม่ดีจึงออกคำสั่งให้ลูกน้องของเขาพาตัวมิคกี้ไปสอบสวนต่อที่โรงพัก ระหว่างที่มิคกี้ถูกพาตัวออกไป ชายหนุ่มยังดิ้นรนด่าทอทุกคนไม่หยุด แต่คนเดียวที่เขาไม่ด่าว่าคือตัวเอง ชายหนุ่มคนนั้นเชื่อเหลือเกินว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของเขา คนอื่นต่างหากที่ทำให้เรื่องเกิดขึ้นและต้องจบลงแบบนี้
           คาร์ลมองตามด้วยสายตาแขยงแกมหวาดหวั่น ความหึงหวงและโทสะของคนคนหนึ่งนี่น่ากลัวเหลือเกิน เด็กหนุ่มเอนตัวไปกระซิบกับข้าวโอ๊ตที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ว่า
           “คุณมิคกี้เปลี่ยนไปถึงขนาดนี้ คิดไม่ถึงเลยนะครับ น่ากลัวมาก”
           ข้าวโอ๊ตถอนหายใจเบา ๆ ตอบว่า
           “หรือไม่ก็ไม่ได้เปลี่ยนไป แต่เพิ่งแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาต่างหาก และผมเห็นด้วยกับคุณ มันน่ากลัวจริง ๆ”
           ชายหนุ่มตอบคาร์ลไปแค่นั้น แต่ในใจของเขามีอะไรมากมายกว่านั้นมาก

           

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
            เม็ดนุ่นเปิดประตูเข้ามาในห้องพักของข้าวโอ๊ตพร้อมกับถุงใส่อาหารเต็มสองมือที่ซื้อมาเพื่อเป็นอาหารเย็น หญิงสาวมาค้างเป็นเพื่อนชายหนุ่มตั้งแต่เกิดเรื่อง เขาจึงให้กุญแจสำรองกับคีย์การ์ดสำรองแก่หล่อนไว้ หล่อนจึงไม่ต้องโทรศัพท์เรียกให้เจ้าของห้องลงไปรับที่ล็อบบี้เหมือนทุกครั้ง
            ตอนนี้เจ้าของห้องกำลังนอนอยู่ที่พื้นห้อง แต่ไม่ได้นอนนิ่ง ๆ ชายหนุ่มกำลังกลิ้ง เขากลิ้งจากผนังห้องด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง ห้องในคอนโดมิเนียมไม่ได้กว้างขวางอะไรนัก ข้าวโอ๊ตกลิ้งตัวไม่กี่ทีก็ไปถึงผนังอีกด้านหนึ่ง แล้วเขาก็กลิ้งตัวกลับทางเดิม กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่อย่างนั้น ไม่สนใจเสียงประตูเปิด ไม่หันมามองด้วย
           เม็ดนุ่นเอาถุงทั้งหมดที่หิ้วมาไปวางไว้ที่เคาน์เตอร์ครัว แล้วเดินมาหา
           “โอ๊ต แกทำอะไรของแกอยู่น่ะ” หล่อนส่งเสียงถาม
           ข้าวโอ๊ตหยุดกลิ้ง ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นมานั่ง ตอบเรียบ ๆ ว่า
           “ฉันกำลังคิด”
           “คิดเรื่องอะไร แล้วทำไมต้องลงไปนอนกลิ้งอย่างนั้น” หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งประจันหน้าด้วย
           “หลายเรื่อง” ข้าวโอ๊ตยกมือขึ้นลูบหน้า ท่าทางของเขาดูเหนื่อย คิ้วก็ขมวดมุ่นเหมือนคนที่กำลังใช้ความคิดอย่างหนักจริง ๆ
           “เรื่องอะไรบ้างล่ะ แกเล่าให้ฉันฟังบ้างได้ไหม”
           “ก็เรื่องวันนี้ เรื่องมิคกี้ เรื่องที่ออฟฟิศ คิดวนไปวนมา มันหยุดคิดไม่ได้จริง ๆ” ข้าวโอ๊ตตอบ ก่อนจะนิ่งไปเหมือนกำลังคิดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้อาจจะเพราะกำลังคิดว่าจะถ่ายทอดสิ่งที่กำลังคิดอยู่ให้เพื่อนฟังอย่างไรดี เม็ดนุ่นก็นิ่ง ไม่เร่งรัด ให้เวลาเพื่อนอย่างเต็มที่ และในที่สุด ข้าวโอ๊ตก็พูดขึ้นอีกครั้ง
           “วันนี้ฉันเห็นมิคกี้กลายเป็นสัตว์ประหลาด เขาน่ากลัว สายตาของเขามีแต่ความโกรธความเกลียดชัง ถ้าสายตาของเขาเป็นเขี้ยวเล็บ เนื้อตัวของพวกเราก็คงเต็มไปแผลขบขย้ำจนเลือดสาด เขาตะโกนด่าว่าทุกคน แล้วถ้าคำพูดของเขาเป็นไฟ พวกเราก็คงถูกเผาไหม้เกรียมกันหมด”
           ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย
           “ฉันกลัว เพราะในหัวใจของฉันก็มีตัวอะไรอยู่เหมือนกัน ทุกครั้งที่ฉันรู้สึกเกลียดชัง รู้สึกโกรธ รู้สึกเศร้าเสียใจ หรือรู้สึกสิ้นหวัง มันก็จะขยับตัว หัวใจของฉันก็จะเจ็บปวดทุกครั้ง เหมือนกับว่ามันกำลังฉีกทึ้งหัวใจของฉันอยู่ แล้วถ้าปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไป สักวันหนึ่งมันก็จะออกมาจากหัวใจของฉัน แล้วฉันก็จะกลายเป็นอย่างมิคกี้”
           เม็ดนุ่นฟังแล้วรู้สึกใจหาย รีบขยับตัวมานั่งข้างเพื่อนทันที หล่อนโอบแขนรอบบ่าของเขา ปลอบว่า
           “แกไม่มีวันเป็นอย่างนั้นหรอกโอ๊ต เชื่อฉันสิ แกควบคุมมันได้”
           “ถึงควบคุมได้ ถึงมันไม่ได้ออกไปจากหัวใจของฉัน แต่หัวใจของฉันก็เป็นแผลเหวอะหวะไปหมดแล้วเพราะมันตื่นขึ้นมา”
           “ถ้างั้นก็ทำให้สัตว์ประหลาดในหัวใจของแกหลับต่อไปสิ ลดละอารมณ์ที่ไม่ดีทั้งหลาย ปล่อยวาง อย่าไปคิดอะไรให้มากมายจนกลายเป็นทำร้ายตัวเอง อย่ายึดติด แกต้องหัดช่างมันเสียบ้าง เรื่องบางเรื่องคิดไปก็ไม่มีประโยชน์ ช่างมัน ช่างมัน ช่างมัน บอกตัวเองเข้าไป แกต้องพยายามนะ เปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่ใช่เพื่อคนอื่น แต่เพื่อตัวของแกเอง”
           “ฉันเหนื่อยจัง นุ่น เหนื่อยจริง ๆ นะ สับสนกับหลาย ๆ อย่างด้วยตอนนี้ ฉันคิดซ้ำไปซ้ำมาว่าทุกอย่างที่เคยทำที่เคยรู้สึก มันผิดมาตั้งแต่ต้นแล้วรึเปล่า ตั้งแต่ที่ฉันเข้าทำงานที่นี่ ฉันมีแต่ความรู้สึกไม่ดี ฉันเกลียดคนอื่น ฉันมองทุกอย่างในแง่ร้าย มีแต่ความเบื่อหน่าย ชิงชัง ไม่ชอบ แต่ฉันลืมคิดไปว่าตัวฉันเองก็ไม่ได้ดีเด่อะไรเลย ทำงานไม่เก่งแต่ก็ไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่ เวลามีปัญหาก็ไม่ได้สู้ เอาแต่เงียบ แล้วก็มาหงุดหงิดคิดมากอยู่คนเดียว โทษแต่ว่าโลกมันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”
           “แกเริ่มจะคิดมากอีกแล้วนะ แล้วก็อย่าโทษตัวเองสิว่าเป็นความผิดของแกอยู่ฝ่ายเดียว ออฟฟิศแกมันป่วง คนก็ป่วงพอกัน ถึงแกพยายามให้ตายก็เปลี่ยนแปลงอะไรได้ยาก ของอย่างนี้มันต้องทำหลายฝ่ายพร้อมกันไม่ใช่เหรอ”
           “แต่อย่างน้อยฉันก็จะได้ไม่รู้สึกแย่เหมือนตอนนี้ ฉันจะพูดได้ว่าได้พยายามทำทุกอย่างเต็มที่แล้ว เท่าที่ตัวของฉันจะทำได้ แล้วก็ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปอย่างที่มันจะเป็น เหมือนที่แกบอก ช่างมัน”
           “ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มต้นใหม่สิ เป็นข้าวโอ๊ตคนใหม่อย่างที่แกอยากจะเป็น ใช้ชีวิตอย่างที่แกจะไม่กลับมาเสียใจทีหลังอีก อดีตก็ช่างหัวมันไป แก้ไขอะไรไม่ได้ แค่เอามาเป็นบทเรียน เป็นเครื่องเตือนใจเท่านั้นก็พอ แล้วไม่เฉพาะเรื่องงานหรอกนะ เรื่องความรักก็ด้วย ฉันน่ะดีใจจะตายที่แกไปเดตกับคาร์ล อย่างน้อยแกก็ได้พยายาม ได้ลองทำดู ไม่เอาแต่ปิดกั้นตัวเองเหมือนที่ผ่านมา ถึงมันจะไม่สำเร็จก็เหอะ แต่ครั้งหน้า กับคนใหม่ในสถานการณ์ที่แตกต่าง มันอาจจะสำเร็จก็ได้”
          “พูดไปแล้ว มันก็พังทั้งสองเรื่องเลยนะตอนนี้ ชีวิตฉันน่ะ” ข้าวโอ๊ตหัวเราะเสียงขื่น เม็ดนุ่นกระชับอ้อมแขนของตัวเองให้แน่นเข้าอีก ชายหนุ่มก็เลยซบศีรษะลงกับไหล่หล่อน
          “พังก็สร้างมันขึ้นมาใหม่ อย่างที่บอกแหละ เราเริ่มใหม่ได้เสมอ แต่ถ้าแกยังไม่พร้อมก็พักไปก่อน แล้วค่อยกลับไปทำงานใหม่ก็ได้”
          “ฉันต้องพักแน่ ๆ อยากจะรักษาฟื้นฟูไอ้ที่มันเหวอะหวะอยู่ข้างในนี้ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมก่อน” ชายหนุ่มแตะมือลงที่หน้าอกข้างซ้ายตรงตำแหน่งของหัวใจ
          “แต่ฉันคงไม่กลับไปทำงานที่เดิมแล้ว ความรู้สึกของฉันที่มีต่อออฟฟิศ ต่อคนในออฟฟิศมันเกินกว่าที่จะเยียวยาแล้ว กลับไปก็ทำงานไม่ได้ ฉันเห็นตัวตนที่น่าเกลียดของคนพวกนั้น พวกเขาก็เห็นตัวตนของฉัน ถึงจะยังพูดคุยกันได้ แต่ไม่มีวันสนิทใจ”
          “ไปที่อื่นก็เหมือนเดิม คนป่วง ๆ มันมีอยู่ทุกที่”
          “ก็อาจจะใช่ แต่ฉันมีประสบการณ์แล้วและฉันจะพยายามทำสิ่งที่ฉันทำได้ให้ดีที่สุด จากนั้นก็...ช่างหัวมัน”
          “ดีมาก” เม็ดนุ่นชม หล่อนรู้สึกดีใจจริง ๆ ที่ข้าวโอ๊ตคิดได้แบบนี้ ถึงแม้เรื่องที่เกิดขึ้นมันจะร้ายแรงสักแค่ไหน แต่ผลลัพธ์ของมันก็ไม่เลวร้ายจนเกินไปนัก อย่างน้อยมันก็ทำให้เพื่อนของหล่อนมีความคิดอะไรใหม่ ๆ ความคิดที่พร้อมจะเสี่ยงและเปลี่ยนแปลง
           “เอาล่ะ จบเรื่องนี้กันดีกว่า แกหิวรึยัง ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่กลางวันใช่ไหม ฉันรู้ว่าแกยังไม่ได้กินข้าวแน่ ฉันเลยไปซื้อกับข้าวร้านอร่อยมาเยอะแยะเลย กินเลยนะ”
           ข้าวโอ๊ตพยักหน้ารับ หญิงสาวเลยกระโดดลุกขึ้นอย่างไม่รอช้า
           เสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้นในจังหวะนั้น หญิงสาวหันมาโบกมือให้เพื่อนนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ต้องลุกขึ้น แล้วเดินไปที่ประตู นึกสงสัยอยู่นิดหน่อยว่าใครกันที่สามารถเดินมาถึงที่ห้องได้เลย ทั้ง ๆ ที่ปกติแล้ว เวลามีใครมาหา ถ้าไม่มีคีย์การ์ดก็ไม่สามารถเปิดประตูกระจกตรงล็อบบี้เข้ามาที่ลิฟท์ได้ เจ้าของห้องจะต้องเป็นคนลงไปรับและพาขึ้นมา แต่หล่อนก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เดาว่าอาจจะเป็นคนที่อยู่ในคอนโดเดียวกันและมีธุระกับข้าวโอ๊ต
           เม็ดนุ่นเปิดประตูโดยลืมมองที่ตาแมวก่อน เมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าห้อง หล่อนก็ตาโตด้วยความคิดไม่ถึงจนหลุดอุทานออกมาเสียงดังว่า
           “เฮ้ย! คุณพ่อ!”


           

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 21
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
คงถึงเวลาพักรักษาหัวใจและทบทวนอะไร ๆ สักที ที่ผ่านมามันผิดมาตลอด มันผิดจริง ๆ
Like – Comment – Share

           เม็ดนุ่นยิ้มแหยหลังจากเผลอหลุดปากอุทานอย่างไม่สมกับเป็นผู้หญิงสักเท่าไรหลังจากที่เปิดประตูไปเจอพ่อของข้าวโอ๊ตยืนอยู่ หล่อนรีบยกมือไหว้ชายวัยกลางคน
           “สวัสดีค่ะคุณพ่อ”
           พ่อของข้าวโอ๊ตยกมือรับไหว้เพื่อนของลูกชาย เขารู้จักเม็ดนุ่นดีจนไม่นึกถือสาความห้าวห่ามหรือกิริยาเอะอะมะเทิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ของหล่อน บางครั้งเขายังนึกอยากให้ลูกชายกับเพื่อนคนนี้สลับนิสัยบางอย่างกันเลยด้วยซ้ำ
          “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะหนู”
          “คุณพ่อมาถึงเมื่อไหร่คะ” เม็ดนุ่นกุลีกุจอเข้าไปช่วยลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่วางอยู่บนพื้นข้างตัวพ่อของเพื่อนและเบี่ยงตัวหลบทางให้เขาเดินเข้ามาในห้อง
          “มาถึงเมื่อตอนเช้า พ่อไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล เสร็จแล้วก็มาที่นี่”
          ข้าวโอ๊ตชะเง้อมองตั้งแต่ได้ยินเสียงเม็ดนุ่นอุทานด้วยความแปลกใจ เขาเองก็แปลกใจเหมือนกันที่เห็นพ่อของเขายืนอยู่ที่ประตูพร้อมกระเป๋าเดินทาง ปกติแล้ว ไม่ว่าจะพ่อหรือแม่ของเขามาตรวจสุขภาพที่กรุงเทพฯ ก็จะมาแบบเช้าไปเย็นกลับ ขึ้นเครื่องบินเที่ยวเช้า ตรวจสุขภาพช่วงบ่าย และกลับด้วยเที่ยวบินในตอนค่ำ พ่อกับแม่ไม่เคยโทรศัพท์บอกเขาเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ
          “พ่อ สวัสดีครับ” เขายกมือไหว้ รับกระเป๋าเดินทางใบเล็กจากมือเพื่อนมาวางแอบไว้ที่ริมผนังข้างตู้ใส่รองเท้าก่อน
          “พ่อมาแวะที่นี่ แล้วจะไปสนามบินทันไฟลท์หัวค่ำเหรอครับ”
          “พ่อไม่ได้กลับวันนี้หรอก ตั้งใจจะค้างสักคืน แล้วกลับพรุ่งนี้ตอนเช้า”
          เม็ดนุ่นมองหน้าสองคนพ่อลูกสลับกัน ก่อนจะถามว่า
          “คุณพ่อกินข้าวเย็นรึยังคะ”
          “ยังเลยหนู ตรวจเสร็จก็ตรงมาที่นี่เลย”
          หญิงสาวได้โอกาส หยิบกระเป๋าสตางค์ กุญแจบ้านและโทรศัพท์มือถือของข้าวโอ๊ตที่มักจะวางอยู่ในถาดบนตู้รองเท้ามายัดใส่มือเพื่อนแล้วดันไปที่ประตู ปากก็บอกว่า
          “โอ๊ตพาคุณพ่อไปกินข้าวข้างนอกดีกว่า ไปที่ห้างใกล้ ๆ นี่ก็ได้ นั่งสองแถวไปนิดเดียว”
          “อ้าว แต่ว่า... แล้วอาหารที่แกซื้อมาล่ะ”
          “เดี๋ยวฉันจัดการเอง แกพาคุณพ่อไปเถอะ ฉันจะได้เก็บของกลับด้วยเลย ทิ้งห้องมาหลายวันแล้ว เสื้อผ้าที่ทิ้งไว้ในตะกร้าก็ยังไม่ได้ซัก ป่านนี้เน่าแล้วมั้ง”
          “พ่อกินข้าวที่ห้องก็ได้”
          เมื่อเห็นว่าเรื่องชักจะยุ่งยาก พ่อของข้าวโอ๊ตจึงแย้งขึ้นมา แต่เม็ดนุ่นรีบหันมาบอกเขาว่า
          “ไม่ดีหรอกค่ะ ให้โอ๊ตพาคุณพ่อไปกินอะไรอร่อย ๆ ดีกว่าค่ะ ของที่หนูซื้อมามันอาหารตามสั่งธรรมดาแถว ๆ นี้ มันไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ แค่พอกินกันตายได้”
          หล่อนเปิดประตูห้องให้พ่อของข้าวโอ๊ตออกไปก่อนและเอามือดันหลังเพื่อนสนิทให้เดินตามออกไป ก่อนจะยกมือไหว้พ่อของเพื่อนอีกครั้ง
          “หนูลาคุณพ่อเลยนะคะ ทานข้าวให้อร่อย คุยกันดี ๆ แล้วพรุ่งนี้เดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัยด้วยนะคะ”
          ประตูห้องปิดลงทันทีหลังจากที่เม็ดนุ่นพูดจบ
          ข้าวโอ๊ตยังงง ๆ ตั้งตัวไม่ทัน ขณะที่พ่อของเขานิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไรออกมา คล้ายกับจะรอการตัดสินใจของเขา ชายหนุ่มจึงบอกเก้อ ๆ ว่า
          “เอ้อ... งั้นไปกันเถอะครับ”
          ชายหนุ่มพาพ่อลงลิฟท์มาที่ชั้นล่างและเดินไปที่จุดรอรถสองแถวที่อยู่เลยคอนโดออกไปไม่ไกลมาก ตอนแรกเขาจะเรียกแท็กซี่ แต่แถวนี้ค่อนข้างหารถได้ยาก เขาจึงเปลี่ยนใจใช้บริการรถสองแถวอย่างที่เม็ดนุ่นบอก นั่งไปเพียงแค่ไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงห้างสรรพสินค้าที่ใกล้ที่สุด
          ระหว่างทางทั้งสองคนไม่ได้คุยอะไรกัน พ่อของเขาได้นั่ง ส่วนข้าวโอ๊ตต้องยืน ภายในรถสองแถวค่อนข้างแออัด เมื่อรถจอดหน้าห้าง ชายหนุ่มจึงค่อนข้างโล่งใจ เขาลงจากรถไปก่อน แล้วคอยดูให้พ่อของเขาลงจากรถอย่างปลอดภัย เพราะรถสองแถวมีประวัติที่จัดว่าแย่เทียบเท่ารถเมล์ทีเดียว คนขับรถขับเร็วและกระชากจนถ้าผู้โดยสารจับราวไม่มั่นแล้วล่ะก็มีหวังกระเด็นตกรถได้แน่นอน
          “กินอะไรดีครับ” ข้าวโอ๊ตถามเมื่อเดินเข้ามาในอาคารขนาดใหญ่ที่ปรับอากาศจนเย็นผิดกับความอบอ้าวด้านนอกและขึ้นลิฟท์มายังชั้นที่รวมร้านอาหารไว้มากมาย
          “อะไรก็ได้ โอ๊ตเลือกก็แล้วกัน”
          “พ่อเลือกเถอะครับ อย่าให้โอ๊ตเลือกเลย เดี๋ยวจะไม่ถูกใจเปล่า ๆ”
          ชายหนุ่มไม่ได้อยากจะพูดแบบนี้เลยสักนิด แต่เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมทุกครั้งที่เขาพูดกับพ่อหรือแม่ เขามักจะใช้คำพูดรวมทั้งน้ำเสียงที่มีการประชดประชันแฝงอยู่โดยที่ไม่รู้ตัว
          พ่อของเขาคงจะรู้อยู่เหมือนกัน ดวงตาของชายวัยกลางคนวูบไหวขึ้นตามอารมณ์ที่อยู่ข้างใน เขามองไปรอบตัว ก่อนจะชี้ไปที่ร้านหนึ่ง
          “ร้านนั้นก็ได้มั้ง น่าจะดีนะ”
          ข้าวโอ๊ตมองตามก่อนจะนิ่งไป
          พ่อของเขาเลือกร้านบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ชอบอาหารญี่ปุ่นสักเท่าไร เขายังจำได้ ตอนที่ข้าวฟ่างกับครอบครัวพาพ่อกับแม่ขึ้นมาเที่ยวกรุงเทพฯและมาเยี่ยมเขาเมื่อนานมาแล้ว พี่ชายพาทุกคนไปรับประทานอาหารญี่ปุ่น คนสูงอายุไม่สามารถทำใจกินปลาดิบ ๆ ได้ จึงสั่งเป็นอาหารชุด เน้นปลาย่าง แต่ก็บ่นนิดหน่อยว่ารสค่อนข้างอ่อน ไม่ค่อยถูกปากเท่าอาหารไทยจำพวกน้ำพริกหรือแกงเผ็ดที่กินอยู่เป็นประจำ
          วันนี้คนที่ไม่กินปลาดิบ ไม่ชอบอาหารญี่ปุ่น กลับชี้นิ้วเลือกร้านอาหารญี่ปุ่นเสียอย่างนั้น
          ชายหนุ่มยิ้มอ่อน ๆ แต่ในดวงตาของเขามีน้ำตารื้น
          “ร้านนี้ไม่ดีหรอกครับ เป็นแฟรนไชส์ คุณภาพวัตถุดิบเลยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เราไปกินร้านอื่นดีกว่า”
          “อ้าวเหรอ งั้นกินร้านไหนดีล่ะ”
          “ตามโอ๊ตมาครับพ่อ”
          ชายหนุ่มเดินนำพ่อของเขาไปอีกทางหนึ่ง ร้านที่ชายหนุ่มเลือกไม่ใช่ร้านอาหารญี่ปุ่น แต่เป็นร้านอาหารเกาหลีชื่อดังที่มีไก่ทอดเป็นของขึ้นชื่อ ปกติร้านนี้คนเต็มตลอด แต่ทั้งสองคนโชคดีที่ยังมีโต๊ะเหลือสำหรับสองที่จึงไม่ต้องรอคิว
          ข้าวโอ๊ตเลือกสั่งไก่ทอดรสเผ็ด หมูผัดซอสรสเข้มที่กินโดยการใช้ใบผักห่อ และซุปกิมจิที่มีเต้าหู้และผัก รสชาติอาหารเกาหลีที่เข้มข้นถูกใจพ่อของเขามากกว่าอาหารญี่ปุ่น เพราะเมื่ออาหารมาเสิร์ฟและพ่อได้ชิมหมูกับไก่ทอด สีหน้าของพ่อแสดงว่าพอใจ
          “อร่อยไหมครับ”
          “อร่อย พ่อไม่คิดว่าพวกอาหารเกาหลีญี่ปุ่นอะไรนี่จะรสชาติดีเหมือนกันนะ ไก่นี่เผ็ดนิด ๆ หนังกรอบ รสดีทีเดียว ถ้าแม่เขาได้ชิม เขาต้องชอบแน่ ๆ”
          “ถ้าชอบ คราวหลังพ่อก็พาแม่มาสิครับ ตอนตรวจสุขภาพคราวหน้าก็ได้ หลังตรวจเสร็จก็มากิน แล้วเลือกไฟลท์กลับให้ดึกหน่อย”
          “ดึกนัก แม่เขาคงไม่ค่อยชอบ อาจจะต้องมาค้าง” พ่อมีสีหน้าไม่ค่อยแน่ใจ และสีหน้าแบบนี้ก็มักทำให้ลูกชายเข้าใจผิดเสมอมา ครั้งนี้ก็เหมือนกัน
          “ถ้าพ่อกับแม่ไม่สะดวกค้างที่ห้องโอ๊ต โอ๊ตเปิดโรงแรมให้ก็ได้นะครับ ใกล้ ๆ นี่ก็มีโรงแรม เชนของเมืองนอก คุณภาพก็น่าจะดีอยู่ ไม่ต้องห่วง”
          “มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ไม่ใช่พ่อกับแม่ไม่สะดวก”
          “งั้นทำไมละครับ คีย์การ์ดก็มี เดี๋ยวโอ๊ตทำกุญแจสำรองให้เลยก็ได้ อยากค้างเมื่อไหร่ก็มา”
          ข้าวโอ๊ตหยุดไปนิดเมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของพ่อ และมันก็ยิ่งทำให้เขาเข้าใจผิดไปอีก
          “หรือที่พ่อไม่อยากมา เพราะกลัวว่ามาแล้วอาจจะเจอใครอยู่ที่ห้องโอ๊ต ใครที่ไม่ใช่เม็ดนุ่น ตอนที่เห็นคนเปิดประตูให้คือเม็ดนุ่น พ่อคงโล่งใจใช่ไหมครับ ถ้าเป็นอย่างนั้น พ่อไม่ต้องกังวลหรอกครับ โอ๊ตไม่มีใคร และคงจะไม่มีใครไปตลอดด้วย”
          ชายกลางคนถอนหายใจ เขาเป็นคนไม่พูดมาก พูดไม่เก่ง ต่างจากภรรยาที่เป็นครูบาอาจารย์ คนเป็นทหารชินกับการสั่งการสั้น ๆ ง่าย ๆ จึงไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี แต่เขาก็พยายาม เหมือนกับตอนที่ตัดสินใจมาหาลูกชายคนเล็กที่คอนโดมิเนียม
          “พ่อโล่งใจที่เห็นโอ๊ตมีเพื่อน มีคนอยู่ด้วย ไม่ได้อยู่คนเดียว จะเป็นนุ่นหรือเป็นคนอื่น พ่อไม่ได้คิด แล้วพ่อก็โล่งใจด้วยที่เห็นโอ๊ตสบายดี พ่อนึกว่าโอ๊ตอาจจะป่วยหรือไม่สบาย ตอนที่รับโทรศัพท์พ่อ น้ำเสียงโอ๊ตไม่ดี”
         “พ่อมาดูโอ๊ตเหรอ” ชายหนุ่มคาดไม่ถึง
         “จะมาตั้งแต่วันเสาร์แล้ว แต่ไฟลท์เสาร์อาทิตย์เต็มหมด แล้วไหน ๆ วันจันทร์ก็มาตรวจสุขภาพอยู่แล้วก็เลยรอมาทีเดียว เลื่อนไฟลท์ขากลับเอาก็พอได้”
         พ่อของเขาอธิบายเรียบ ๆ หน้าก็เรียบนิ่ง ดวงตาเท่านั้นที่แสดงความรู้สึกภายในออกมาให้เห็น และเขาก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่แทบไม่ต่างจากเดิมว่า
         “พ่อกับแม่เป็นห่วงโอ๊ต”
         ถึงตอนนี้น้ำตาของข้าวโอ๊ตที่พยายามสะกดกลั้นไว้ก็ไหลออกมา ชายหนุ่มไม่ได้ร้องไห้ แค่ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มเงียบ ๆ
         พ่อก็ไม่ได้พูดอะไรเหมือนกัน ถ้าเป็นครอบครัวอื่นอาจจะมีการโอบกอดหรือปลอบโยน แต่เขาไม่เคยแสดงความรักทางกายกับลูกชายคนไหน ไม่เคยโอบกอด และเขาก็ไม่คิดจะทำเอาตอนนี้ด้วย แต่เขานั่งอยู่กับลูกและเขาก็จะทำแบบนี้ตลอดไป
ในที่สุดข้าวโอ๊ตก็หยิบกระดาษทิชชู่บนโต๊ะมาเช็ดน้ำตาหลังจากที่ปล่อยให้มันไหลพรากมาพักใหญ่ แล้วชายหนุ่มก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้พ่อของเขาฟัง
         เรื่องการฆาตกรรมทีโมนไม่ได้ออกข่าว พ่อของเขาก็เลยไม่รู้เรื่อง ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ขอร้องให้ตำรวจช่วยปิดข่าวเพราะเกรงจะกระทบชื่อเสียงของบริษัทถ้าคนอื่นรู้ว่าพนักงานฆ่ากันตายเพราะเรื่องชู้สาว แถมผู้ร้ายกับคนตายยังเป็นเพศเดียวกันอีก และโชคดีที่นวัชสามารถปิดคดีนี้ได้อย่างรวดเร็ว เรื่องนี้จึงสามารถปิดเป็นความลับเอาไว้ได้
         พ่อฟังเรื่องจนจบ เขาไม่ได้สนใจเรื่องของทีโมนหรือมิคกี้นัก แต่เขาสนใจความรู้สึกของลูกชาย ข้าวโอ๊ตเล่าหมดทุกเรื่อง รวมทั้งความรู้สึกของเขาที่มีต่อเหตุการณ์นี้
         “ผมคิดว่าผมจะลาออกจากงาน ผมรู้สึกว่าตัวเองอาจจะไม่เหมาะกับงานออฟฟิศ แต่ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าตัวผมอยากจะทำอะไรหลังจากนี้ แต่ถ้าผมจะกลับมาทำงานออฟฟิศหรือหางานใหม่ ผมก็อยากจะเริ่มต้นด้วยหัวใจที่ดีกว่านี้ครับ”
         “ทำตามที่คิดนั่นแหละ พ่อจะบอกแม่เขาเอง”
         “พ่อไม่ว่าอะไรเหรอครับที่โอ๊ตจะลาออก แถมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต่อไปชีวิตจะเป็นยังไง จะหางานได้ไหม”
         “ชีวิตเป็นของโอ๊ต ใครจะตัดสินใจแทนได้ ทุกเรื่องนั่นแหละ ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ พ่อกับแม่อาจจะไม่ชอบใจ ไม่เห็นด้วยเพราะเป็นห่วง แต่ที่สุดแล้ว ชีวิตก็เป็นของโอ๊ต ถ้าโอ๊ตเลือกแล้ว ทุกคนก็ยอมรับ เราอาจจะไม่เคยพูดกันให้ชัด ๆ คิดว่าโอ๊ตจะเข้าใจ แต่พูดก็ดีกว่าใช่ไหม”
          ข้าวโอ๊ตพยักหน้ารับ
          “ถ้าคิดจะลาออกก็ไปจัดการให้เรียบร้อย แล้วพักผ่อนสักพัก เรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกที เอาให้อารมณ์เราปกติก่อน”
          “พ่อครับ” ข้าวโอ๊ตเรียก
          “หือม์?”
          “เรื่องที่โอ๊ตไม่ได้ชอบผู้หญิง พ่อรับไม่ได้ใช่ไหม”
          นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขามองลูกชายอย่างเต็มตา นับตั้งแต่วันที่เขารู้เรื่อง แต่ก็เป็นครั้งแรกด้วยที่ข้าวโอ๊ตถามเขาตรง ๆ แบบนี้
          “พ่อยอมรับไม่ได้ แต่พ่อเข้าใจ”
          คำตอบที่ได้รับอาจจะไม่ใช่อย่างที่หวัง แต่น่าประหลาดที่ข้าวโอ๊ตกลับรู้สึกมีความสุข
          “อย่างที่พ่อบอก ชีวิตเป็นของโอ๊ต ไม่ว่าโอ๊ตจะตัดสินใจทำหรือไม่ทำอะไร พ่อกับแม่ก็พร้อมที่จะเข้าใจ เพราะเราเชื่อมั่นในตัวลูก โอ๊ตเป็นลูกชายที่ดีของพ่อกับแม่มาตลอด ความสุขของลูก แม้เป็นสิ่งที่พ่อกับแม่ยอมรับได้ยาก แต่เราก็เข้าใจและจะยินดีด้วยเสมอ จำไว้เถอะ โอ๊ตมีพ่อกับแม่ มีพี่ชาย มีครอบครัว”
          “งั้นถ้าโอ๊ตพาผู้ชายเข้าบ้าน พ่อกับแม่ก็จะไม่ว่าอะไรใช่ไหมครับ”
          “ถ้าไม่โทรมาบอกให้เตรียมใจไว้ก่อน ก็อาจจะช็อก”
          ข้าวโอ๊ตหัวเราะชอบใจ น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เขารีบยกกระดาษทิชชู่ขึ้นซับ
          “งั้นโอ๊ตจะบอกพ่อกับแม่แต่เนิ่น ๆ จะได้มีเวลาทำใจกัน แต่โอ๊ตว่าคงอีกนาน พ่อเย็นใจได้เลย ดีไม่ดีโอ๊ตอาจจะขึ้นคานเหมือนนุ่น หาใครไม่ได้ หรือคิดอีกที ตอนอายุสักห้าสิบ โอ๊ตอาจขอนุ่นแต่งงานก็ได้ ไหน ๆ ก็โสดกันทั้งคู่อยู่แล้ว”
          พ่อของเขายิ้มอ่อน ๆ แต่ไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไร เพราะรู้ว่าลูกชายไม่ได้ต้องการคำตอบ
           “พูดถึงนุ่นก็นึกได้ พ่อครับ ถ้าปีนี้โอ๊ตไม่กลับบ้านตอนปีใหม่ แม่จะบ่นมากไหม”
           “บ่นคิดถึงคงมีอยู่แล้ว โอ๊ตจะไปไหนล่ะ”
           “นุ่นมันชวนไปญี่ปุ่น ชวนอยู่ทุกวี่ทุกวันทุกครั้งที่เจอ โอ๊ตรำคาญ โอ๊ตเลยว่าจะตกลง มันจะได้เลิกเซ้าซี้เสียที”
           “ก็ไปสิ โทรไปบอกแม่เขาสักหน่อย เผื่อเขาจะฝากซื้ออะไร แล้วจะไปกันกี่วัน”
           “ตัวตั้งตัวตีบอกว่าสองอาทิตย์ครับ”
           “ตามโควต้าฟรีวีซ่าพอดีเป๊ะเลยสินะ” ถึงจะไม่ใช่คนชอบเที่ยว แต่เขาก็รับรู้ข่าวสาร อาจจะมากกว่าลูกชายด้วยซ้ำเพราะอ่านหนังสือพิมพ์และดูข่าวทุกวัน ส่วนข้าวโอ๊ตที่เน้นแต่เรื่องบันเทิง ตอนนี้แสดงความตื่นเต้นกับทริปที่เพิ่งตัดสินใจและพูดคุยกับพ่อเกี่ยวกับสิ่งที่เขาอยากไปทำที่ญี่ปุ่นด้วยจิตใจที่ผ่อนคลายมากขึ้น
           เมื่อเดินออกมาจากร้านอาหารด้วยกันหลังจากนั้น ข้าวโอ๊ตมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า เขาเดินอยู่ข้าง ๆ พ่อ ไม่ได้พยายามเร่งฝีเท้าเดินนำหรือผ่อนฝีเท้าเดินตามหลังเหมือนที่เคยทำ พูดคุยเรื่องไร้สาระไปได้เรื่อย ๆ ในขณะที่พ่อของเขาเอาแต่นิ่งฟังอย่างเดียว และเมื่อเขาเรียกรถแท็กซี่ได้ที่หน้าห้าง ชายหนุ่มก็เปิดประตูรถด้านหลังและช่วยจับแขนประคองให้ขณะที่พ่อของเขาก้าวเข้าไปนั่งข้างใน

         

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
          การลาออกอย่างกะทันหันของข้าวโอ๊ตไม่ได้ทำให้คนในออฟฟิศตกอกตกใจกันสักเท่าไร อาจจะเพราะทุกคนมีความคิดเดียวกันอยู่ในหัว เพียงแต่ข้าวโอ๊ตตัดสินใจทำก่อนคนอื่นเท่านั้น ชายหนุ่มยื่นใบลาออกหลังจากตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว และถึงแม้ว่าจะยังไม่ถึงวันสิ้นเดือน เขาก็ไม่สนใจ เขาไม่อยากจะรออีกต่อไป
          ตามกฎของบริษัท ผู้ที่ต้องการลาออกจะต้องยื่นใบลาออกล่วงหน้าหนึ่งเดือน แต่เพราะเขาไม่อยากจะทำงานที่นี่อีกต่อไปแม้แต่วันเดียว เขาจึงยื่นใบลาออกให้คาริน่าพร้อมกับบอกว่า
          “จะหักเงินเดือนผมหรืออะไรก็ได้สำหรับวันทำงานที่เหลือ ผมไม่มีปัญหา ขอแค่อนุมัติใบลาออกของผมก็พอ”
          ชายหนุ่มรู้สึกสะใจนิด ๆ ที่ได้พูดประโยคนี้เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาอยากจะพูดมานานเหลือเกิน เมื่อได้พูดเข้าจริง ๆ เขาก็ยิ่งรู้สึกดีเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า แต่คาริน่าคงไม่รู้สึกดีนัก ตั้งแต่เกิดเรื่องทีโมน หญิงสาวก็ยิ่งรู้สึกติดลบกับพนักงานคนไทยของออฟฟิศมากขึ้นตามนิสัยไม่แยกแยะของหล่อน เจ๊ใหญ่ประจำออฟฟิศเอาแต่ทำหน้าบึ้งหน้างอ รอยยิ้มแทบจะไม่มีอยู่บนใบหน้าอีกแล้ว เมื่อหล่อนรับใบลาออกพร้อมกับเงื่อนไขของข้าวโอ๊ต หญิงสาวก็ยังทำหน้าบึ้งอยู่เหมือนปกติ บอกเสียงห้วนว่า
           “ฉันต้องไปคุยกับด็อกเตอร์แฮร์มันน์ก่อน แล้วจะบอกคุณอีกที”
           ข้าวโอ๊ตกลับมาที่ห้องทำงานของเขาและเริ่มเก็บของ มั่นใจว่ายังไงเขาก็ได้ไปวันนี้แน่ ๆ และมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ไม่สนใจเรื่องกฎยื่นใบลาออกล่วงหน้าหนึ่งเดือน ถ้าข้าวโอ๊ตอยากลาออกวันนี้ เขาก็ไม่มีอะไรขัดข้อง ส่วนคาริน่า เมื่อผู้อำนวยการอนุมัติ หล่อนก็ไม่คัดค้าน และถึงจะไม่ชอบหน้าพนักงานคนไทยในออฟฟิศมากแค่ไหน หล่อนก็ยังมีความยุติธรรมอยู่บ้าง ข้าวโอ๊ตไม่ถูกหักเงินเดือนเพราะคาริน่าเอาวันหยุดที่ข้าวโอ๊ตยังไม่ได้ใช้มาหักลบกับวันทำงานที่เหลือ เมื่อหักลบแล้ว วันหยุดยังมีเหลืออยู่อีกหลายวัน หล่อนก็คิดเป็นเงินคืนกลับมาให้ข้าวโอ๊ตอีก ถือเป็นน้ำใจส่งท้ายการทำงาน แต่หล่อนก็ฝืนใจทำให้ได้แค่นั้น เพราะเมื่อการลาออกของข้าวโอ๊ตได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการแล้ว ญาดาเข้าไปหาด็อกเตอร์แฮร์มันน์เพื่อจะพูดถึงการจัดปาร์ตี้อำลาให้ข้าวโอ๊ต หญิงสาวคิดถึงแค่การสั่งอาหารหรือขนมมากินด้วยกันเพื่อเป็นการเลี้ยงส่งเท่านั้น ไม่ใช่ปาร์ตี้จริง ๆ มีดอกไม้หรือของขวัญเหมือนที่จัดให้พนักงานคนก่อน ๆ เพราะสถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่เอื้ออำนวยให้จัดงานแบบนั้นสักเท่าไร แต่ด็อกเตอร์แฮร์มันน์กลับเฉย ไม่สนใจ ทำเหมือนเขาไม่ได้ยินเรื่องที่ญาดาถาม คาริน่าก็เฉยเหมือนกัน ญาดาเห็นอย่างนั้นก็ไม่เซ้าซี้อะไรอีก แต่ตัดสินใจส่งเงินของตัวเองให้ออกัสสั่งเค้กกับเครื่องดื่มมากินกันในตอนเลิกงาน
           “เขาไม่จัด เราจัดกันเองก็ได้ ไหน ๆ ก็เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว” ญาดาบอก และออกัสก็ตั้งใจเลือกร้านเค้กที่รสชาติอร่อยที่สุด นอกจากเค้ก เขายังสั่งขนมมาอีกหลายอย่างใส่กล่องห่อของขวัญอย่างดีเพื่อให้ข้าวโอ๊ตด้วย
           ก่อนถึงเวลาเลิกงานเล็กน้อย พัดชากับบำรุงช่วยกันจัดขนมเค้กและขนมอื่น ๆ ที่ออกัสสั่งใส่จานวางบนโต๊ะในห้องรับประทานอาหาร เมื่อถึงเวลาเลิกงาน คนในออฟฟิศก็มารวมกันในห้อง
           ญาดา ออกัส ข้าวโอ๊ตถือถ้วยใส่ชาและกาแฟของตัวเองเข้ามา คาร์ลรู้เรื่องปาร์ตี้ก็โทรศัพท์ไปชวนคนรักของเขามาด้วย มิตช์มาถึงตรงเวลาเลิกงานห้าโมงครึ่งพอดี ชายหนุ่มซื้อดอกไม้ช่อหนึ่งติดมือมาด้วยนำมาให้ข้าวโอ๊ตเป็นของขวัญจากเขาและคาร์ล
           งานปาร์ตี้เล็ก ๆ นี้ญาดาไม่ได้บอกคาริน่ากับด็อกเตอร์แฮร์มันน์ เพราะถือว่าปรึกษาแล้วแต่ทั้งสองคนกลับทำท่าไม่สนใจเองและงานจัดกันในตอนเลิกงาน ไม่มีใครสามารถว่าอะไรได้ทั้งนั้น ซึ่งทั้งสองคนก็ไม่ได้ว่าอะไรจริง ๆ แต่คงเสียหน้าไม่น้อย เพราะทำหน้าไม่ค่อยดีนักเมื่อเห็นความวุ่นวายในออฟฟิศ ทั้งสองคนปิดประตูอยู่ด้วยกันในห้องของผู้อำนวยการ ไม่ออกมาร่วมงาน แต่ก็ไม่ยอมกลับบ้านด้วย ข้าวโอ๊ตนึกเดาได้เลยว่าที่คาริน่ายังอยู่ก็เพราะอยากจะเข้าไปสำรวจในห้องทำงานของเขาเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ทำทรัพย์สินของออฟฟิศหักพังเสียหาย
           ส่วนนัตโตะ รายนั้นไม่ได้อยู่ร่วมงานด้วย เพราะไม่มีใครเชิญ ข้าวโอ๊ตยอมรับว่าตัวเองเป็นคนใจร้าย แต่เขาทำใจเชิญนัตโตะไม่ได้จริง ๆ ชายหนุ่มรุ่นน้องรายนั้นสร้างความเดือดร้อนให้เขาและคนอื่น ๆ ในออฟฟิศมาตลอด ล่าสุดก็เรื่องของออกัส นัตโตะไม่ได้เข้าไปในห้องรับประทานอาหาร แต่เขาก็ไม่ยอมกลับบ้านเหมือนกัน ยังคงนั่งอยู่ในห้องทำงานของตัวเองและคอยเงี่ยหูจับตาดูสถานการณ์อยู่เงียบ ๆ
           เมื่อทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าในห้องหมดแล้ว ข้าวโอ๊ตก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก้มศีรษะให้ทุกคน ก่อนจะพูดว่า
           “ขอบคุณสำหรับปาร์ตี้อำลานะครับ แล้วก็ต้องขอบคุณทุก ๆ คนสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาด้วยครับ มันอาจจะมีเรื่องมากมายในหลายวันที่ผ่านมา แต่ผมก็รู้สึกดีใจที่ได้ทำงานที่นี่ ได้รู้จักพวกคุณทุกคน”
           ทุกคนปรบมือให้เขา
           ข้าวโอ๊ตหันมาที่ญาดาผู้เป็นพี่ใหญ่ของทุกคน ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
           “พี่หญ้าครับ ผมอาจจะเคยคิดหรือทำอะไรที่ไม่ดี ไม่เคารพพี่ ผมต้องขอโทษสำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมาด้วยครับ หวังว่าพี่จะยกโทษให้ผม”
           ญาดารับไหว้เขา พูดว่า
           “พี่ไม่เคยโกรธเคืองอะไรโอ๊ตเลย พี่ก็ต้องขอโทษเหมือนกันสำหรับหลายเรื่องที่พี่ตัดสินใจไปแล้วแต่มันอาจจะทำให้โอ๊ตไม่พอใจ” หล่อนยิ้มให้เขาอย่างมีเมตตา แล้วพูดต่อว่า
           “หลังจากนี้ก็ติดต่อหาพี่บ้างนะ อัพเดตบ้าง ไปทำอะไรอยู่ที่ไหน หรือถ้ามีอะไรอยากให้พี่ช่วยก็บอกมาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”
           “ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มยกมือไหว้ญาดาอีกครั้ง ก่อนจะหันไปหาออกัส ยื่นมือข้ามโต๊ะไปให้
           “เราขอโทษนายด้วย สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเคยทำไม่ดีไว้กับนาย”
           “เราก็ต้องขอโทษเหมือนกันที่เคยพูดจาไม่ดีกับนาย”
           ออกัสยื่นมือไปจับด้วย แล้วยิ้มให้กันอย่างเข้าใจ หลังจากนั้นชายหนุ่มหันไปหาคาร์ลกับมิตช์ ส่งมือให้คาร์ลก่อน
           “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างครับ และสำหรับคาร์ล ต้องขอบคุณเป็นพิเศษ เพราะความช่วยเหลือของคุณ ตอนนี้ผมแปลนิยายเรื่องนั้นเสร็จแล้ว ส่งไปให้บรรณาธิการแล้วด้วยครับ มีกำหนดจะตีพิมพ์ในอีกสองเดือนข้างหน้า ถ้าเสร็จเรียบร้อยเมื่อไหร่ ผมจะส่งไปให้คุณเล่มหนึ่งเป็นของที่ระลึก”
           “ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณมากกว่า คุณทำให้ช่วงเวลาที่ผมฝึกงานที่นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีมาก และคุณยังให้คำแนะนำที่มีค่ากับผม ทำให้ผมมีความสุขอย่างทุกวันนี้ ขอบคุณมากนะครับ”
          ข้าวโอ๊ตยิ้มอ่อน ๆ ให้ ก่อนที่เขาจะถูกเด็กหนุ่มฝึกงานดึงเข้าไปสวมกอด ชายหนุ่มตบหลังคาร์ลเบา ๆ ก่อนจะดึงตัวออก แล้วส่งมือให้มิตช์
          “ขอบคุณสำหรับดอกไม้นะครับมิตช์ สวยมาก ๆ เลย และขอบคุณที่มาร่วมงานวันนี้ด้วย วันที่พวกคุณกลับเยอรมนี ผมคงไม่ได้ไปส่ง ก็ขออวยพรให้ตรงนี้เลยก็แล้วกัน ขอให้เดินทางปลอดภัยและมีความสุขมาก ๆ ด้วยกันทั้งสองคน”
          “ขอบคุณมากครับ” มิตช์ตอบอย่างสุภาพ แล้วทั้งสองคนก็สวมกอดกัน
          จากนั้นข้าวโอ๊ตหันไปขอบคุณพัดชากับบำรุงเป็นคนสุดท้าย แล้วทั้งหมดก็เริ่มต้นกินขนมและสนทนากัน สำหรับข้าวโอ๊ต บรรยากาศในตอนนี้ใกล้เคียงกับตอนที่เขาเข้ามาทำงานใหม่ ๆ แต่ชายหนุ่มก็ต้องยอมรับเช่นกันว่า ถึงจะคล้าย แต่ก็ไม่เหมือนกับสมัยก่อนเสียทีเดียว อย่างน้อยก็มีคนสองคนในห้องนี้ที่ไม่มีความสุขเหมือนเมื่อก่อน
          “พี่หญ้าครับ ที่บ้านเขายังโกรธเรื่องแฟนพี่หญ้าอยู่รึเปล่า”
          ชายหนุ่มถามญาดา เขาเคยรู้มาว่าครอบครัวของหล่อนรู้เรื่องที่หล่อนมีแฟนเป็นผู้หญิงแล้วและต่อต้านอย่างรุนแรงขนาดที่บังคับให้ญาดาต้องเลิกกับแฟน แต่หญิงสาวก็ดื้อรั้นและหล่อนก็ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากน้องสาวของหล่อนเอง
          “โกรธชนิดไม่มองหน้าเลยแหละโอ๊ตเอ๊ย หม่าม้าพี่ด่าทั้งวันทั้งคืน ขนาดพี่หนีเข้าห้องปิดประตู แกยังตามมาเคาะประตูด่าต่อเลย คิดดู เธอน่ะโชคดีแล้วนะที่ครอบครัวเข้าใจ ไม่หัวเก่าอย่างครอบครัวพี่”
          ข้าวโอ๊ตยิ้มให้หล่อนด้วยความเห็นใจ ญาดาคงต้องสู้อีกมาก ทั้งกับครอบครัว ทั้งกับที่ออฟฟิศนี่ แต่เขาก็เชื่อมั่นว่าหล่อนสามารถผ่านมันไปได้แน่ ๆ
          อีกคนที่มีความทุกข์อยู่ในดวงตา คือ ออกัส
          “นายล่ะ กัส คืนดีกับพี่ต้นได้แล้วรึยัง”
          “ยังเลย งานนี้พี่ต้นโกรธจริง ๆ เราไม่เคยเห็นเขาโกรธมากขนาดนี้มาก่อนเลย ง้อยังไงก็ไม่ได้ผล พี่ต้นกลับไปอยู่กับพ่อกับแม่ชั่วคราว เราไปที่บ้านนั้นทีไร เจอแต่สายตาพิฆาต”
          ออกัสเล่าพร้อมกับถอนหายใจดังเฮือก คนในออฟฟิศไม่มีใครรู้เรื่องที่เขาขายตัว ชายหนุ่มปิดปากสนิทในเรื่องนี้ เพราะเขารู้ว่าไม่มีใครรับได้แน่ ๆ ทุกคนจึงแค่รับรู้ว่าเขานอกใจคนรักและทีโมนบังเอิญไปรู้เรื่องเข้าจึงนำเรื่องนี้มาแบล็กเมล์ให้ออกัสต้องยอมมีสัมพันธ์ด้วย ข้าวโอ๊ตก็รู้แค่นี้เหมือนกัน ชายหนุ่มไม่เคยเห็นรูปในโทรศัพท์มือถือของทีโมนและนวัชก็ไม่เปิดเผยเรื่องที่ออกัสเล่าระหว่างการสอบปากคำให้ใครรู้ด้วย แต่ถึงจะไม่มีใครรู้ความลับสุดยอดของเขา แต่แค่เรื่องนอกใจ เขาก็ประสบปัญหามากมายแล้ว นัตโตะบอกเรื่องของเขาให้ต้นรู้ คนรักของเขาโกรธมาก ประกาศว่าจะเลิกกับเขาและหอบข้าวของออกจากบ้านที่อยู่ร่วมกันไป
          พูดถึงเรื่องนี้ ชายหนุ่มก็นึกโมโหขึ้นมาทุกครั้ง ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นความผิดของเขา แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องของคนอื่นที่จะเอาไปป่าวประกาศ โดยเฉพาะเอาไปฟ้องคนรักของเขา
          “เพราะนัตโตะแท้ ๆ ปากสว่างไม่เข้าเรื่อง ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้าน ทำคนอื่นเขาเดือดร้อนไปหมด”
          “คนที่ผิดคือพี่กัสต่างหาก อย่ามาโทษผมนะ”
          เสียงของนัตโตะสอดขึ้นทันทีที่ออกัสพูดจบ แล้วคนพูดก็เดินหน้างอเข้ามาในห้อง ท่าทางไม่พอใจมากที่ออกัสนินทาเขา ข้าวโอ๊ตอดคิดไม่ได้ว่าชายหนุ่มรุ่นน้องช่างบังเอิญได้ยินถูกจังหวะพอดี จนเหมือนกับว่านัตโตะยืนแอบฟังอยู่นอกห้องตลอดเวลา
           “พี่กัสนอกใจพี่ต้น พี่กัสเป็นคนผิด ผมบอกพี่ต้นเพราะไม่อยากให้พี่ต้นโง่ ถูกแฟนสวมเขาให้แต่กลับไม่รู้เรื่องอะไร ทำตัวเองก็อย่ามาว่าคนอื่น”
           “แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของฉัน ไม่ใช่เรื่องของนายแม้แต่นิดเดียว ทำตัวช่างสอดช่างแส่ ยื่นจมูกยุ่งเรื่องชาวบ้านเขาไปทั่ว แถวบ้านฉันเขาเรียกว่าคนขี้เสื...”
           ออกัสพูดยังไม่ทันจบประโยค ญาดาก็ปรามเสียงดุขึ้นก่อนว่า
           “หยุด! หยุดทั้งสองคน! เกิดเรื่องขนาดนี้แล้วยังคิดอะไรกันไม่ได้รึไง ที่เกิดเรื่องทีโมนกับมิคกี้นี่ก็เพราะทะเลาะกันอย่างนี้ไม่ใช่เรอะ!”
           ข้าวโอ๊ตถอนหายใจเบา ๆ ในออฟฟิศตอนนี้ไม่มีใครอยากพูดถึงเรื่องทีโมนกับมิคกี้อีก ดูเหมือนใคร ๆ ก็อยากจะลืม ๆ มันไปให้ได้โดยเร็ว ชายหนุ่มเองก็เหมือนกัน แม้ว่าเขาจะรู้จากนวัชว่าตอนนี้มิคกี้กำลังดิ้นรนสู้คดีอย่างเต็มที่ก็ตาม แต่เขาก็ไม่ปริปากเล่าให้ใครฟัง
           “นัตโตะ อย่ามาป่วนได้ไหม นี่งานเลี้ยงให้พี่โอ๊ตเขานะ เกรงใจเขาบ้าง”
           “ผมไม่เกรงใจ พวกพี่เคยเห็นหัวผมที่ไหนกัน และไหน ๆ พี่ก็จะไปแล้วนะพี่โอ๊ต ผมขอให้พี่โชคดีแล้วกัน ได้งานที่ไม่ใช่ขี้ข้าให้คนอื่นจิกใช้ ได้ผู้ชายที่มันดีกว่าเด็กฝึกงานกระจอก ๆ ผมอวยพรให้แล้วนะ พี่ก็อย่าตาต่ำให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยอีกล่ะ”
           “นัตโตะ! ออกไป!” ญาดากับออกัสประสานเสียงไล่พร้อมกัน ข้าวโอ๊ตไม่พูดอะไรเพราะเห็นว่าทั้งเพื่อนทั้งพี่ออกตัวให้อยู่แล้ว ชายหนุ่มไม่นึกเคืองนัตโตะด้วยที่พูดกับเขาอย่างนี้ เพราะเขามีบทเรียนมากเกินพอ
           แค่ลมปาก ถ้าไม่ใส่ใจมันก็จบ ไม่เก็บมาคิด มันก็ทำร้ายอะไรเขาไม่ได้ และชายหนุ่มรู้ดี นัตโตะไม่มีความสุขหรอกที่เป็นแบบนี้ ในเมื่อใคร ๆ ก็เมินหนี และถ้าเจ้าตัวไม่รู้ตัวเอง ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ใครก็ช่วยอะไรไม่ได้
           งานเลี้ยงอำลาดำเนินต่อไปอีกไม่นานก็ถึงเวลาต้องเลิกรา ทุกคนช่วยพัดชาเก็บล้างจานชามจนเรียบร้อยก่อนจะออกจากออฟฟิศมาด้วยกันและร่ำลากันอีกครั้งที่สถานีรถไฟฟ้า ข้าวโอ๊ตไม่ได้กลับไปที่ห้องของตัวเองในคืนนี้ ชายหนุ่มนัดกับเม็ดนุ่นเพื่อนสนิทคุยเรื่องแผนเที่ยวญี่ปุ่นที่คอนโดของฝ่ายนั้น
          ข้าวโอ๊ตยิ้มให้เพื่อนที่เคยทำงานร่วมกัน เพื่อนที่เขารู้จักแต่ก็เหมือนไม่รู้จักในเวลาเดียวกัน เพื่อนที่เขาชอบแต่ก็เกลียดด้วย เพื่อนที่ทำให้เขาได้ประสบการณ์ทั้งดีและไม่ดี เพื่อนที่ทำให้เขาคิดอะไรได้มากมาย แล้วก็โบกมือลาทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
"ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
«ตอบ #75 เมื่อ12-01-2016 16:53:58 »

บทส่งท้าย

           เวลาผ่านไปรวดเร็ว ยิ่งในตอนที่มีหลายสิ่งหลายอย่างให้ทำ เวลาก็เหมือนจะเดินเร็วขึ้นอย่างน่าประหลาด ข้าวโอ๊ตก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน ชายหนุ่มคิดว่าเขาเพิ่งจะลาออกจากงานได้สักอาทิตย์เดียวเท่านั้น ทั้งที่จริงมันผ่านไปเกือบจะสองเดือนแล้ว และตอนนี้ก็ถึงวันที่เขาจะต้องเดินทางไปญี่ปุ่น
           ข้าวโอ๊ตนั่งอยู่ที่เกต รอเวลาขึ้นเครื่อง ข้างตัวเขาคือเม็ดนุ่นที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการอ่านโปรแกรมท่องเที่ยวที่ทำเองเหมือนกับต้องการจะจำให้ได้ขึ้นใจ ชายหนุ่มปล่อยให้เพื่อนอ่านไป ตัวเขาจำแค่คร่าว ๆ ว่าจะไปเมืองไหนบ้าง พักที่ไหน กี่วัน เพื่อเอาไว้ตอบคำถามตำรวจตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร เรื่องอื่น ๆ เขายกให้เม็ดนุ่นจัดการในฐานะคนจัดทริปและไกด์กิตติมศักดิ์ ส่วนเขาขอทำตัวเป็นลูกทัวร์ที่ดีและว่าง่าย
           เวลารอขึ้นเครื่องค่อนข้างนาน และเขาก็อ่านหนังสือที่ติดกระเป๋ามาจนเบื่อ ชายหนุ่มจึงเอนศีรษะพิงไหล่เพื่อนและหลับตาลงเพื่อจะพักสายตา
           รอบตัวของชายหนุ่มมีเสียงดังจอแจ แต่เมื่อไม่ใส่ใจ เสียงก็ไม่ดังเข้าหู และเขาก็รู้สึกถึงความเงียบ มันเงียบจนทำให้เขาเผลอคิดอะไรที่ไม่ได้คิดมาหลายเดือนแล้ว
           ชายหนุ่มนึกถึงคาร์ล ญาดา ออกัส นัตโตะ คาริน่า ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ ทีโมนและมิคกี้ ตั้งแต่ลาออกจากงาน เขาไม่ได้ติดต่อกับใครอีก นอกจากคาร์ลที่ส่งอีเมลคุยกันนาน ๆ ครั้ง แต่ข่าวคราวของแต่ละคนก็ยังเข้าหูเขาอยู่บ้างจากเฟซบุ๊กและกระดานข่าวของโปรแกรมไลน์
           เรื่องราวของคนพวกนี้ผ่านตาเขาและเขาก็ปล่อยให้มันผ่านเลยไปอย่างรวดเร็ว
           ข้าวโอ๊ตยกมือขึ้นแตะที่หัวใจ
           อะไรบางอย่างที่อยู่ข้างในนั้นมันก็ยังเคลื่อนไหวอยู่ แต่เป็นแค่ความเคลื่อนไหวที่แผ่วเบา ถ้าไม่สังเกตก็ไม่รู้สึก
           ชายหนุ่มลุกขึ้นจากท่าที่เอียงศีรษะพิงไหล่เพื่อนมานั่งตัวตรง หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อแจ็กเกตกันหนาว เขาพิมพ์ข้อความช้า ๆ ก่อนจะกดโพสต์ลงไปบนหน้ากระดานเฟซบุ๊กของเขา

What’s on your mind?
Oatmeal
Samut Prakan

“...ในใจของคนมีสัตว์ประหลาดอยู่
จะว่ามันเป็นสัตว์เลี้ยงก็ไม่ผิด
ปกติเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้มันจะนอนหลับ แต่มันก็พร้อมจะตื่นขึ้นมาทันทีเมื่อมีอะไรไปปลุกมันขึ้นมา
แล้วเมื่อมันตื่น มันก็จะหงุดหงิด อาละวาดฟาดหัวฟาดหาง อ้าปากร้องคำรามเสียงสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน และกัดกินทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวมัน ยิ่งถ้ามันถูกเจ้าของให้อาหาร มันก็จะยิ่งเพิ่มเขี้ยวเล็บ สยายปีกบินออกไปจากหัวใจและพ่นไฟทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเห็นจนราพณาสูร
แต่ถึงแม้มันจะไม่ได้อาหาร ไม่ได้บินออกจากหัวใจไปที่ไหน หากแค่มันตื่นขึ้นมาเท่านั้น ข้างในหัวใจก็ถูกมันฉีกทึ้งกัดกินจนเหวอะหวะอยู่ดี และการที่จะทำให้มันกลับไปนอนหลับอีกครั้ง เพื่อให้เราได้ซ่อมแซมหัวใจให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย...”
Like – Comment – Share

           มีเสียงเคลื่อนไหวเกิดขึ้นรอบตัว คนข้างตัวของเขาก็ขยับเช่นกัน เม็ดนุ่นเก็บกระดาษโปรแกรมปึกใหญ่ใส่กลับลงไปในกระเป๋าเป้ แล้วยกขึ้นสะพายหลัง มือข้างหนึ่งกอดเสื้อกันหนาวตัวหนาที่ซื้อมาเพื่อลุยอากาศหนาวช่วงปีใหม่ของญี่ปุ่นโดยเฉพาะ หล่อนหันมาบอกเขาว่า
           “ไปกันเถอะโอ๊ต ได้เวลาแล้ว”
           ข้าวโอ๊ตพยักหน้า และก่อนที่เขาจะเก็บโทรศัพท์มือถือ ชายหนุ่มกดโพสต์อีกครั้ง

Oatmeal
Samut Prakan
ไปหาอะไรใหม่ ๆ ให้ชีวิต – is going to Tokyo from here: Suvarnabhumi Airport, Bangkok
Like – Comment – Share



                                                                        - The End -
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-01-2016 23:59:17 โดย Mettnoon »

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
"ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
«ตอบ #76 เมื่อ12-01-2016 16:58:47 »


สำหรับ "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" ก็จบลงตรงนี้นะคะ
เป็นเรื่องแรกที่เขียนโดยมีรายละเอียดมากมาย มันคงไม่สมบูรณ์และยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ยังไงต้องขออภัยสำหรับความผิดพลาดไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

ขอบคุณสำหรับทุก ๆ ความเห็น

สุดท้ายนี้ขอให้ผู้อ่านทุกคนรักษาตัวเองดี ๆ
ไม่ตกเป็นเหยื่อฆาตกรรม ทั้งจากสัตว์ประหลาดในใจของตัวเองและสัตว์ประหลาดจากใจของคนอื่นนะคะ

ด้วยความปรารถนาดี
Mettnoon
12-1-2016

ออฟไลน์ momoko35

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
«ตอบ #77 เมื่อ12-01-2016 17:14:04 »

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ  :mew4:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
«ตอบ #78 เมื่อ12-01-2016 19:38:53 »

นิยายเรื่องนี้แหวกแนวจากทุกเรื่องในเล้าเลยจริงๆ
ตอนแรกเราเข้ามาเพราะคิดว่าจะเป็นอนวสืบสวนอะไรประมานนั้น
แต่พออ่านๆ ไปแล้วแบบ นี่มันตีแผ่ชีวิตมนุษย์ทำงานชัดๆ
คือเขียนได้ดีมาก แบบ อ่านไปก็แบบ เออ จริง สังคมมันไม่สวยงาม
ทุกคนมีปัญหา แต่ก็มีมุมที่ต้องปั้นหน้าเข้าหากัน
ตอนอ่านก็ยังสงสัยว่า เอ้ะรึฆาตกรรมในที่นี้หมายถึงแบบตายทั้งเป็น เล่นคำอะไรแบบนั้น
เพราะไม่มีใครตายจริงๆ แต่พอมาตอนเกือบๆ สุดท้าย หวยไปออกที่ทีโมนจ้าา
เราเดาๆ ว่านางน่าจะกิ้กกับคนในออฟฟิต ไม่มิกกี้ก็นัตโตะ เพราะมีตอนที่คุยกับหญ้าแล้วกิ้กนางส่งข้อความมา
แต่อิทีโมนนี่ก็น่าขยะแขยงจริงๆ แต่ก็ไม่ถึงกับควรตาย
ตอนแรกนึกว่าถ้าจะมีคนตายจริงๆ นี่เราเสนอนัตโต๊ะ นะ 55555
แล้วพอมีคนตายปุ้บ เรื่องเดินไปเร็วมาก คือจบปึ้งเลย เราก็แบบ ขออีกนิดดิ่
มาแจกความสดใสทิ้งท้ายหน่อยได้มั้ย ฮ่าๆๆๆ

ขอบคุณสำหรับนิยายเรื่องนี้นะค๊าา
เป็นเรื่องที่ให้แง่คิดได้ดีจริงๆ

ออฟไลน์ nekodollzz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
«ตอบ #79 เมื่อ12-01-2016 20:48:24 »

โห ชอบมาก อ่านรวดเดียวเลยค่ะ
ถึงจะบอกว่ารวดเดียว แต่แรกๆอ่านข้ามๆค่ะ
นึกว่าจะมาแนวสยองขวัญ พออ่านไปสักพักเริ่มรู้แนวละ
แต่ก็ยังอ่านข้ามอยู่ดี เพราะรับความรู้สึกกดดันไม่ไหวอ่ะ
ช่วงนี้นิยายแนวนี้อ่านไม่ไหวจริงๆ มันเหมือนระเบิดเวลาอ่ะ
พอระเบิดเวลาระเบิดตู้มเท่านั้นแหละ เลยอ่านเก็บรายละเอียดใหญ่เลย
เพราะจุดประสงค์ที่เข้ามาอ่าน คือ คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นแนวสืบสวนนั่นแหละนะ
สนุก และให้ข้อคิดดีค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
« ตอบ #79 เมื่อ: 12-01-2016 20:48:24 »





ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
«ตอบ #80 เมื่อ12-01-2016 21:56:24 »

ขอบคุณครับนิยายดีมากๆๆ แต่ยังคงคิดว่าชื่อเรื่องไม่นำพาเท่าไหร่นะครับ

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
«ตอบ #81 เมื่อ12-01-2016 22:08:35 »

เป็นนิยายอีกเรื่องที่ดีมากในความคิดเรา การใช้ภาษา การเขียน การสะกด การบอกเล่า ดีมากๆ ตั้งแต่เริ่มอ่านก็มักจะติดตามเรื่อย ๆ เข้าเวปมาก็จะมองหาเรื่องนี้ในลำดับต้นๆ ก่อนเสมอ ขอสารภาพว่าคาดเดาไว้ว่ามิคกี้นี่แหละกิ๊กขี้หึงของอีตาทีโมนที่มันง้องอนกันอยู่ ถ้าการฆาตกรรมในชื่อเรื่องจะมีคนตายจริง ก็อีตานี่แหละ น่ารังเกียจกว่าใครเพื่อน เหมือนเข้าไปอยู่กลางออฟฟิตเลยจริงๆ (เคยทำงานออฟฟิตมาช่วงเวลาหนึ่งเลยอินจัด แล้วมันมีจริงๆ นะคนประเภทนั้นประเภทนี้ในออฟฟิต) แต่ถ้าไม่มีใครตายก็นี่แหละบรรยากาศการทำงานนี่แหละการฆาตรกรรมชัดๆ เหมือนพิษที่ฆ่าให้ตายช้าๆ เลย แต่ก็มีคนตายจริงๆ ด้วย (ซะงั้น)

คุณผู้แต่งแต่งได้ดีมากๆ มากจริงๆ ในระดับที่อ่านนิยายออนไลน์ ชื่นชมจากใจ

ขออนุญาตเสนอแนะเรื่องคำบางคำ เช่น เสื้อหนาว ถ้าผู้แต่งใช้ว่าเสื้อกันหนาวจะดีกว่ามากเลยค่ะในความคิดเราเพราะเสื้อหนาวใส่แล้วคงเย็นดีนะไม่ได้ให้ความอบอุ่นเหมือนกับคำว่ากันหนาว อีกคำที่สะดุด คือ ราพนาสูร มันต้องเขียนแบบนี้รึเปล่านะ ราพณาสูร

(การดู CSI ทำให้การสืบสวนชัดเจนขึ้น ฮ่า ฮ่า ฮ่า)

ออฟไลน์ Rabbitongrass

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
«ตอบ #82 เมื่อ12-01-2016 23:02:58 »

เสียใจด้วยคะ นัตโตะน้องไม่ใช่เดอะเฟซ ... อ้าวคนละนัตโตะหรอขอโทษที #ผิด

สรุปก็ฆาตกรรมกันจริงๆตามที่ชื่อเรื่องสัญญาจริงๆด้วย เเล้วก็ตายด้วยความหึงหวง ไม่ใช่ความเครียดหรือออฟฟิศซินโดรม
ตอนเเรกก็นึกไม่ถึงว่ามิกกี้คือกิ๊กของทีโมน เเค่นึกถึงว่าคุณกิ๊กเเกมีสายดี(เเบบว่าสนิทกับใครซักคนในออฟฟิศ)

ขอบคุณคนเขียนที่เอาผลงานที่น่าสนใจมาให้อ่านนะครับ ทั้งตีเเผ่ชีวิตนักเรียน(ญี่ปุ่น)เเลกเปลี่ยน เเละชีวิตพนักงานออฟฟิซ

ต้องซูฮกสกิลการเสี้ยมของตัวป่วงอย่างนัตโตะนะสามารถสร้างความเเตกเเยกให้ทุกคนในออฟฟิศได้

ปล.เรื่องต่อไปมาเฉลยเเฟนของข้าวโอ็ตได้ใหมหละ???

ออฟไลน์ anata9

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
«ตอบ #83 เมื่อ12-01-2016 23:36:43 »

ชอบครับ นิยายแนวนี้ แตกต่างจากนิยายอื่น ๆ ที่เล้าจริง ๆ

สิ่งที่ชอบอีกเรื่อง คือ การนำเสนอช่วงแรก เป็นมุมมองของพนักงานแต่ละคนว่าคิดเห็นอย่างไร ซึ่งยอมรับว่าผู้แต่งผูกเรื่องได้ดีจริง ๆ

ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ นะครับ

ออฟไลน์ PaePT

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
«ตอบ #84 เมื่อ13-01-2016 00:47:18 »

ชอบมาก !!!!  o13

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
«ตอบ #85 เมื่อ16-01-2016 14:32:37 »

สนุกมากค่ะ ขอบคุณ :pig4:

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
«ตอบ #86 เมื่อ16-01-2016 20:58:19 »

เป็นเรื่องที่หลากหลายอารมณ์ในการอ่านมาก สุดยอดจริงๆค่ะ ขอบคุณนะคะที่แต่งเรื่องนี้มาอย่างดี :mew1:

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
«ตอบ #87 เมื่อ16-01-2016 21:33:56 »

เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งนะ เก็บกดดี  :ling2:
ขอบคุณนะคะ

ออฟไลน์ bebe

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 672
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-5
Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
«ตอบ #88 เมื่อ28-01-2016 04:30:25 »

เรื่องนี้ดีมาก เรียล พีคมาก ทุกคนเป็นสีเทา 
ไม่มีใครดีสุดและร้ายสุด ชอบมากกก

ออฟไลน์ Youi_chin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 166
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
«ตอบ #89 เมื่อ29-01-2016 04:46:50 »

ชอบบบ  o13

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด