"ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3  (อ่าน 27404 ครั้ง)

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
"ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 8 (4-1-2016)
«ตอบ #30 เมื่อ04-01-2016 08:07:13 »

บทที่ 8
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
วันนี้จะน่าเบื่อเหมือนวันก่อน ๆ ไหมนะ เมื่อไหร่ชีวิตจะมีอะไรน่าตื่นเต้นเสียที จะได้รู้สึกว่าอยากมีชีวิตอยู่หน่อย
Like – Comment – Share

          “คุณโอ๊ต มีฝรั่งมาค่ะ”
          พัดชาโผล่หน้าเข้ามาบอกข้าวโอ๊ตในห้อง
          เมื่อมีแขกที่เป็นคนต่างชาติมาที่ออฟฟิศในตอนเช้าและออกัสยังไม่มาทำงาน แม่บ้านประจำออฟฟิศก็จะวิ่งมาบอกเขาแทน
          ข้าวโอ๊ตลุกออกจากห้องโดยไม่อิดเอื้อน ไม่ทำหน้าเซ็งเมื่อต้องทำงานแทนคนอื่น ชายหนุ่มกำลังอารมณ์ดีเพราะเมื่อสักครู่นี้คาริน่าโทรศัพท์มาลาป่วย เท่ากับว่าวันนี้เขาจะได้พักหูหนึ่งวัน ไม่ต้องผจญกับเสียงตะโกนของยายเจ๊ประจำออฟฟิศ
          แขกที่มาตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาเข้างานยืนหันหลังอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์รีเซปชั่น เป็นผู้ชายรูปร่างสูงน่าจะเกินหนึ่งร้อยแปดสิบเซ็นติเมตร กำลังสนใจอ่านประกาศที่ติดอยู่บนกระดานข่าวที่ผนัง
          “Guten Morgen. Was kann ich für Sie tun?“
          เมื่อได้ยินเสียงทักทายอย่างสุภาพของข้าวโอ๊ต เด็กหนุ่มคนนั้นก็หันมาและส่งยิ้มให้
          ข้าวโอ๊ตรู้สึกว่าหัวใจของเขากระตุกเพราะรอยยิ้มนั้น
          “สวัสดีครับ ผมชื่อคาร์ล โฟลลันด์ เป็นนักศึกษาที่จะมาฝึกงานที่นี่ครับ”
          เด็กหนุ่มแนะนำตัว พร้อมกับยื่นมือให้ ข้าวโอ๊ตยื่นมือไปจับด้วย แต่ท่าทางเงอะงะเล็กน้อย เพราะคิดไม่ถึงว่านักศึกษาฝึกงานที่ทุกคนกำลังรออยู่จะหน้าตาดีขนาดนี้
          คาร์ลเป็นเด็กหนุ่มอายุราวยี่สิบต้น ๆ ใบหน้าของเขาค่อนข้างยาว หน้าเข้มคล้ายพวกสเปน ผมสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ ผิวค่อนข้างคล้ำซึ่งดูแล้วน่าจะเพราะออกกำลังกายหรือไม่ก็เป็นคนที่ชอบอยู่กลางแจ้ง เด็กหนุ่มนักศึกษาฝึกงานคนใหม่นี้ท่าทางจะเป็นคนที่อารมณ์ดีมากด้วยเพราะเขายิ้มอีกแล้ว ยิ้มกว้างจนแทบจะเห็นฟันครบทุกซี่เมื่อเห็นข้าวโอ๊ตจ้องเขาตาโต
          ข้าวโอ๊ตรู้สึกตัวจากรอยยิ้มครั้งหลังนี้เอง เขารีบดึงมือกลับทันที
          “อ้อ ครับ งั้นเชิญทางนี้เลย” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับเดินนำเขามาที่ห้องทำงานเล็ก ๆ ซึ่งเป็นห้องแรกทางด้านขวามือ อยู่เยื้อง ๆ กับห้องทำงานของทีโมน
          ข้าวโอ๊ตเปิดไฟในห้อง แล้วหันมาบอกว่า
          “นี่ห้องทำงานของคุณ คุณนั่งรอในห้องนี้ไปก่อนนะครับ ทีโมน รองผู้อำนวยการคนที่จะต้องสอนงานคุณยังไม่มาทำงานเลย”
          คาร์ลพยักหน้ารับพร้อมกับมองสำรวจไปทั่วห้องทำงานที่เป็นห้องทึบ ไม่มีหน้าต่าง มีแต่ช่องกระจกที่มองลอดออกไปเห็นเคาน์เตอร์รีเซปชั่นด้านหน้าและห้องครัวด้านหลัง
          “ห้องครัวอยู่ตรงนั้น ถ้าคุณอยากจะดื่มน้ำหรือกาแฟก็เชิญนะครับ ตามสบาย”
          “ขอบคุณมากครับ” คาร์ลยิ้มให้เขาอีก แล้วถามต่อว่า
          “คุณชื่ออะไรครับ”
          ข้าวโอ๊ตเดินเหมือนเท้าไม่ติดพื้นกลับห้องทำงานของตัวเอง นี่เป็นครั้งแรกในรอบกี่ปีกันนะที่เขารู้สึกว่าหัวใจมันเต้นแรงกว่าที่เคย ออฟฟิศที่มีเด็กหนุ่มหน้าตาดีเข้ามาทำงานนี่มันให้บรรยากาศที่แตกต่างจริง ๆ นั่นแหละ
          และไม่เฉพาะแต่เขาที่ตื่นเต้น ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มหน้าตาดีจะทำให้คนอื่น ๆ ในออฟฟิศตื่นเต้นเช่นกัน ออกัสถึงกับโทรศัพท์เรียกข้าวโอ๊ตให้ออกมาหาที่โต๊ะเพื่อที่จะคุยเรื่องนี้โดยเฉพาะทีเดียว
          “หล่อว่ะ อยากรู้ว่าใครเลือกมา ฉันจะได้ไปกราบขอบพระคุณ”
          ข้าวโอ๊ตฟังแล้วหัวเราะชอบใจ สนองตอบทันทีว่า
          “เนอะ หน้าตาดีเชียว กระดูกอ่อนกรุบกรอบ แลดูน่ากิน”
          “กินเลย น้องเขาอยู่สองเดือนแค่นั้น ต้องรีบนะ เดี๋ยวไม่ทัน” ออกัสได้ทีรีบยุ แต่ข้าวโอ๊ตกลับส่ายหน้า
          “ไม่ดีกว่า กลัวเด็กตกใจ ให้น้องเขาได้ไปเจอสิ่งดี ๆ ในชีวิตเถอะ”
          “ก็เป็นเสียแบบนี้ ไม่ยอมจีบใครสักที แล้วจะมีแฟนได้ยังไงล่ะ” ออกัสพูดด้วยความขัดอกขัดใจ
          “ถึงจีบไปก็ไม่มีประโยชน์นี่ น้องเขาคงไม่เอาแฟนที่มีออปชั่นพ่อพ่วงมาด้วยอย่างเราหรอก”
          “ก็ไม่ต้องจริงจังก็ได้ คุยเล่นสนุก ๆ แก้เหงาไง ดีจะตาย นายเองก็พูดภาษาเยอรมันได้ พูดจาภาษาเดียวกันน่าจะสนิทกันได้เร็วนะ”
          “รู้สึกจะเชียร์ออกนอกหน้าเหลือเกินนะ”
          “ก็อยากให้เพื่อนหายเหงา” ออกัสรีบพูดทันที ก่อนจะกระแซะถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่า
          “ตกลงจีบใช่ไหม”
          ข้าวโอ๊ตได้แต่ยิ้ม ไม่ยอมปฏิเสธหรือว่าตอบรับให้เข้าตัว
          ระหว่างนั้น ญาดาเดินออกจากห้องของตัวเองมาสมทบด้วยอีกคน หล่อนเห็นเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องทั้งสองคนอยู่กันพร้อมหน้าจึงได้โอกาสพูดเรื่องงานที่บริษัทกำลังจะจัด ออกัสให้รายชื่อโรงแรมที่เหมาะสำหรับการจัดงานแก่หล่อนมาแล้วและเมื่อหล่อนส่งต่อให้ทีโมน รองผู้อำนวยการก็มีประกาศิตให้หล่อนไปดูสถานที่กับเขาทันที หญิงสาวไม่อยากไปกับชายหนุ่มสองต่อสองจึงมาชวนข้าวโอ๊ตและออกัสให้ไปด้วยกัน
          ออกัสไม่มีปัญหา แต่ข้าวโอ๊ตยังเป็นกังวล
          “คาริน่าจะยอมเหรอ รายนั้นยิ่งไม่ชอบให้ใครออกไปข้างนอกออฟฟิศโดยไม่จำเป็นอยู่ด้วย ถ้าพรุ่งนี้เราหายไปกันหมด ไม่มีใครอยู่รับโทรศัพท์ แม่ปรี๊ดแตกแน่นอน”
          สำหรับบริษัทอื่น ชายหนุ่มไม่รู้ แต่ออฟฟิศของเขาประหลาด พนักงานในออฟฟิศไม่ได้รับอนุญาตให้ไปติดต่องานที่ไหนโดยไม่จำเป็น คาริน่าจะเดือดร้อนเอามาก ๆ หากไม่มีใครอยู่ในออฟฟิศและไม่มีใครอยู่คอยรับโทรศัพท์ จะมีก็แต่ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการเท่านั้นที่ไปไหน ๆ ได้ตามชอบใจ ออกัสเคยออกปากด้วยความหงุดหงิดว่า คาริน่านึกว่างานทุกอย่างสามารถทำผ่านอีเมลหรือโทรศัพท์ได้หรืออย่างไรถึงไม่ให้พนักงานออกไปเห็นแสงเดือนแสงตะวันบ้าง แต่ข้าวโอ๊ตรู้ดีว่าเพราะหญิงสาวรายนั้นกลัวว่าจะต้องเสียค่าเดินทางให้พนักงานมากกว่า เพราะตามกฎของบริษัท พนักงานสามารถเบิกค่าเดินทางหรือค่าน้ำมันรถได้ หากออกไปทำงานให้บริษัท
          “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง พี่จัดการเอง” ญาดาให้คำรับรอง ในฐานะที่หญิงสาวเป็นพนักงานอาวุโส คาริน่าจึงยังพอจะเกรงใจหล่อนอยู่บ้าง แม้กระทั่งในเวลาที่ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ไปพักร้อนหนึ่งเดือนและคาริน่าแผ่อำนาจคับออฟฟิศอยู่อย่างตอนนี้ก็ตาม ถ้าหล่อนยืนยันจะเอาข้าวโอ๊ตกับออกัสไปด้วยให้ได้ในวันพรุ่งนี้ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร หรือถ้าจะมี หล่อนก็จะชนให้ดู
          “พรุ่งนี้ก็ให้มิคกี้มานั่งแทนออกัส เราไปแค่ครึ่งเช้าเท่านั้น กลับมาไม่เกินบ่ายโมง ไม่น่าจะมีอะไร” หญิงสาวกะการณ์
          “พอดูโรงแรมครบทั้งสามที่ เราก็ปล่อยทีโมนกลับมาก่อน ส่วนพวกเราก็ไปกินข้าวเที่ยงกันที่ร้านอาหารอิตาเลียนที่โรงแรมริมน้ำ ดีไหมครับ เซลส์โรงแรมเขาให้บัตรลดมา ผมดูรีวิวแล้ว น่าสนใจมากเลย” ออกัสเสนอ
          “ฟังดูดีเหมือนกันนะ” ข้าวโอ๊ตเองก็สนใจ ชายหนุ่มเบื่ออาหารจากร้านตามสั่งจะแย่อยู่แล้ว หลัง ๆ นี่เขาเอาปิ่นโตมาเองก็พอจะช่วยให้หายเบื่อไปได้ แต่ชายหนุ่มไม่ใช่คนที่ทำอาหารเก่งมากนัก บางทีเขาก็รู้สึกว่าการทำอาหารแล้วกินคนเดียวมันเสียเวลาเกินไป
          “ถ้าพรุ่งนี้กำจัดทีโมนไปได้ เราก็ไปกินกัน” ญาดาไม่มีอะไรขัดข้อง
          วงสนทนาชะงักไปนิดเมื่อคาร์ลเดินออกมาจากห้องทำงานของเขา เด็กฝึกงานคนใหม่ของบริษัทเห็นเพื่อนร่วมงานยืนเกาะกลุ่มคุยกันอยู่ก็ยิ้มให้อย่างสดใสก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องครัว ข้าวโอ๊ตมองตามโดยอัตโนมัติและก็ไม่รอดสายตาของออกัส ชายหนุ่มสะกิดญาดาทันที ฝ่ายหลังก็เอ่ยลอย ๆ ว่า
          “เด็กคนนี้หน้าตาดีนะ นิสัยก็น่าจะดีด้วย ตอนโดนใช้งานก็ไม่ชักสีหน้า ยิ้มตลอดเลย”
          “ขนาดพี่หญ้ายังชม แสดงว่าของจริง อย่างนี้นายช้าไม่ได้แล้วนะ เราเห็น คนอื่นก็ต้องเห็นเหมือนกัน เดี๋ยวก็มีคนมาคว้าไปหรอก” ออกัสได้ทีรีบยุส่งมาอีกครั้ง แต่ข้าวโอ๊ตก็ยังแค่ยิ้มเฉย เพราะญาดารวมกลุ่มอยู่ด้วย ชายหนุ่มสงวนท่าทีเมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงสาวรุ่นพี่ เขาเรียนรู้มาหลายครั้งแล้วว่า ถึงแม้ญาดาจะมีทีท่าเข้าข้างน้อง ๆ ในออฟฟิศ แต่หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริง ๆ หญิงสาวก็ไม่เคยปกป้องใครได้เลย
          “ใครจะคว้าไปล่ะ” ข้าวโอ๊ตแกล้งถาม “นายเหรอ”
          “ก็ถ้านายไม่สน มันก็น่าลองไม่ใช่เหรอ” ออกัสพูดหน้าตาเฉยเช่นกัน
          หนุ่มน้อยที่กลายเป็นหัวข้อสนทนาเดินออกมาจากครัวพร้อมถ้วยกาแฟในมืออย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว แล้วเมื่อทุกคนหันมามองเขา เด็กหนุ่มก็ยิ้มให้อีกครั้ง
          “ชอบดื่มกาแฟเหรอคาร์ล” ออกัสถาม ถ้าเขาจำไม่ผิด กาแฟถ้วยนี้เป็นถ้วยที่สามของวันแล้ว
          “ใช่แล้วครับ” เด็กหนุ่มรุ่นน้องพยักหน้ารับ และด้วยความเป็นคนช่างคุยอยู่เป็นทุน คาร์ลจึงหยุดยืนรวมกลุ่มอยู่ด้วยทันที
          “เมื่อวานผมได้ลองดื่มกาแฟเย็นรถเข็นด้วยนะ ตกใจมากเลยตอนที่เห็นคนขายใส่นมข้นหวานลงไปด้วย ผมไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน แต่พอลองดูมันก็อร่อยดีนะครับ ถึงจะหวานไปสักหน่อยก็เถอะ”
          “ถ้าชอบกาแฟอย่างนี้ก็เหมาะเลย คุณโอ๊ตรู้จักร้านกาแฟเยอะแยะ ให้พาไปชิมสิ”
          ข้าวโอ๊ตหันขวับไปมองหน้าออกัสทันที ฝ่ายหลังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างน่าเตะมาก ในขณะที่คาร์ลหันมามองเขาอย่างคาดหวัง
          “จริงเหรอครับ อย่างนี้ผมคงต้องขอรบกวนสักหน่อยแล้วล่ะ”
          คล้อยหลังนักศึกษาฝึกงานคนใหม่ ออกัสก็ขยิบตาให้ข้าวโอ๊ต
          “ได้โอกาสแล้วนะ”
          “เล่นอะไรของนายเนี่ย ตกใจหมด แล้วเราไปรู้จักร้านกาแฟเยอะแยะตั้งแต่เมื่อไหร่ จำได้ว่าเกิดมาก็ไม่เคยชอบดื่มกาแฟสักที”
          ถึงเสียงจะดุ แต่ในใจของข้าวโอ๊ตกลับรู้สึกดีใจอยู่นิด ๆ ออกัสก็พอจะเดาออกเพราะคนอย่างเพื่อนร่วมงานของเขาคนนี้ไม่ใช่คนอ่านยากอะไรเลย ชายหนุ่มจึงถือโอกาสกระทุ้งอีกสักนิด
           “ของอย่างนี้มันเปลี่ยนแปลงกันด้าย” เขาแกล้งลากเสียงยาวล้อเลียนเพื่อน “ตกลงไปเย็นนี้เลยไหมจะได้ไม่เสียเวลา ปกตินายก็ไม่มีนัดตอนเย็นอยู่แล้วนี่”
          “นัดน่ะไม่มีก็จริง แต่ร้านกาแฟดี ๆ นี่ไม่เคยมีอยู่ในเซลสมองสักร้าน ต้องขอหาข้อมูลก่อน นายก็ดันไปอ้างอะไรบ้า ๆ”
          “เดี๋ยวเราช่วยหาอีกแรง เอาที่บรรยากาศดี ๆ เลยเนอะ กาแฟจะได้ยิ่งอร่อยขึ้น” ออกัสยังแซวไม่ยอมหยุด ส่วนญาดาที่ฟังอยู่เงียบ ๆ มาตั้งแต่ต้นเห็นว่าเรื่องที่คุยกันชักจะไปไกลขึ้นทุกทีจึงดึงกลับมาที่เรื่องเดิมด้วยการย้ำกับชายหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนว่า
          “ตกลงพรุ่งนี้เราจะไปกันทั้งสามคนนะ ให้มิคกี้นั่งแทนออกัสครึ่งวัน เดี๋ยวพี่จะเป็นคนบอกมิคกี้เอง อ้อ เรื่องที่เราจะไปกันทั้งหมด อย่าเพิ่งบอกใคร ห้ามบอกทีโมนด้วย เดี๋ยวมันโยกโย้ ตกลงตามนี้นะ”
          ทั้งสองคนไม่มีอะไรขัดข้องและทีโมนก็ไม่รู้เรื่องจนกระทั่งถึงเวลาที่จะไปดูสถานที่กันในวันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มไม่พอใจเลยเมื่อรู้ว่าข้าวโอ๊ตและออกัสจะไปด้วย มีคนไปกันหลายคนขนาดนี้เขาจะหยอดจีบใครก็ทำไม่ได้ถนัดและไม่ต้องพูดถึงแผนที่เขาวางไว้ว่าจะตะล่อมญาดาขึ้นไปดูห้องสวีทของโรงแรมเลย พังหมดตั้งแต่ยังไม่ทันจะได้เริ่ม
          ญาดาแอบอมยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าของทีโมน สายตาของหล่อนมองเลยไปที่เสื้อเชิ้ตลายตารางที่มีรอยยับย่นและเนกไทลายทางที่สุดแสนจะไม่มีรสนิยมของชายหนุ่ม มุมปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มสะใจก็เปลี่ยนเป็นความสมเพช คนบางคนนี่ก็มั่นใจไร้สติจริง ๆ
          “เราไปกันเลยดีกว่านะ ข้าวโอ๊ตกับออกัสนั่งข้างหลังกับทีโมน พี่ขอนั่งข้างหน้ากับพี่รุง”
          หญิงสาวพูดจบก็เปิดประตูรถเข้าไปนั่งข้างคนขับทันทีโดยที่ไม่รอให้ใครมีโอกาสได้ทัดทาน

         

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
"ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 8 (4-1-2016)
«ตอบ #31 เมื่อ04-01-2016 08:08:26 »

           ผลของการไปสำรวจสถานที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดกันอีกครั้งในตอนพักกลางวันวันถัดมาเมื่อทุกคนรับประทานอาหารกลางวันกันอยู่ในครัว ความจริงก็ถกกันแล้วตั้งแต่เมื่อวานหลังกลับมาถึงออฟฟิศในตอนเกือบบ่ายโมง แต่เวลาพักเหลือน้อยและคาริน่าก็ยังเดินมาเมียงมองเมื่อเห็นพนักงานคนไทยแทบจะทุกคนจับกลุ่มคุยกันอยู่ที่โต๊ะของออกัส วงสนทนาจึงแตกกระจายและเพิ่งมีโอกาสมาคุยกันใหม่ในวันนี้เอง
          “ผมไม่เห็นด้วยเลยที่จะเลือกโรงแรมอินเตอร์” ออกัสเป็นคนเริ่มต้น น้ำเสียงบอกชัดว่าไม่สบอารมณ์
          “โรงแรมริมน้ำกับโรงแรมการ์เดนส์วิวดูดีกว่าเยอะมาก ยิ่งริมน้ำนะ ห้องสัมมนาก็สวย เมนูอาหารกับขนมคอฟฟี่เบรกก็ดูดีมาก”
          “เราก็ชอบริมน้ำนะ เมนูอาหารปรับเปลี่ยนได้ แถมมีแซลมอนรมควันให้ด้วย มันเลิศตรงนี้แหละ งานก่อน ๆ ต้องทนกินแต่อาหารเยอรมันตามสั่ง ไส้กรอก กูลาช มันฝรั่ง คเนอเดล หนักท้องทั้งนั้น ไม่มีทางเลือกด้วย น่าเบื่อจะแย่ ถ้าเลือกที่นี่ยังขอให้เขาจัดเมนูแซลมอน สแกลลอป หรือหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์แทรกเข้าไปให้ได้ แต่หัวละตั้งพันแปด แพงกว่าอีกสองโรงแรม ให้ตายเขาก็ไม่เลือก” ข้าวโอ๊ตพูดด้วยความเสียดาย แต่ในน้ำเสียงก็มีแววปลงตก เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เป็นแบบนี้
          “อินเตอร์กับการ์เดนส์วิวหัวละเท่าไหร่ครับ” มิคกี้ถาม
          “พอ ๆ กัน อินเตอร์แพงกว่านิดนึง พันห้า ส่วนการ์เดนส์วิวพันสี่” ข้าวโอ๊ตหันมาตอบ
          “งั้นทำไมไม่เลือกการ์เดนส์วิวล่ะครับ ถูกกว่าอีกนี่” มิคกี้สงสัย
          “ผู้จัดการโรงแรมอินเตอร์เป็นคนเยอรมัน” ออกัสไขข้อสงสัย และมิคกี้ก็มีสีหน้าเข้าใจขึ้นมาในทันที ออฟฟิศนี้เน้นประหยัดเป็นอันดับแรกก็จริง แต่ชาตินิยมก็ต้องมาคู่กัน เห็นได้ชัดจากเรื่องจัดงานต่าง ๆ นี่แหละ ออฟฟิศต้องเลือกโรงแรมที่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเยอรมนีก่อน แม้ว่าจะบริการแย่หรือมีข้อตำหนิก็จะถูกมองข้ามไปจนหมด
          “แล้วพนันได้เลยว่านายเราต้องอาศัยความเป็นคนชาติเดียวกันนี่แหละไปบีบให้เขาลดราคาให้ อาจจะให้ได้ที่หัวละพันสามด้วยซ้ำ เห็นทีโมนพูด ๆ อยู่ แต่ถึงได้ลดราคาจริง ไอ้โรงแรมนี้น่ะขออะไรเพิ่มก็คิดราคาหมดเลยนะ ช่อดอกไม้ติดหน้าอกแขกวีไอพีหรือแจกันดอกไม้เล็ก ๆ ที่จะวางบนโต๊ะลงทะเบียน คิดเพิ่มหมดถ้าจะให้โรงแรมจัดให้ แถมเซลส์โรงแรมยังเป็นคุณป้าแก่ ๆ พูดจาไม่ดีอีก บอกตรง ๆ ว่าไม่อยากทำงานด้วยเลย”
          “เราก็ไม่ชอบคุณป้าเซลส์คนนั้นเหมือนกัน ท่าทางไม่แคร์ลูกค้าเลย ถ้าต้องทำงานด้วยกันสงสัยจะลำบากแน่ แค่เราถามรายละเอียดมากหน่อยก็ทำหน้าเหมือนคนท้องผูกแล้ว”
          ข้าวโอ๊ตเห็นด้วยกับออกัสเต็มที่ ชายหนุ่มมีหน้าที่เป็นตัวสำรองของออกัส ถ้ารายนั้นหยุดงาน เขาต้องทำงานแทน และแค่นึกว่าจะต้องประสานงานกับเซลส์ลักษณะอย่างนั้นทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่มีความสามารถในการ “เหวี่ยง” และ “จิก” เท่ากับออกัสแล้ว ชายหนุ่มก็เห็นแต่ทางแย่
         “พี่ก็ไม่ชอบที่นี่ ห้องสัมมนาเล็กและไม่สวยเลย พรมก็ดูเก่า ๆ ลายสีน้ำตาลกับสีทอง ม่านบนเวทีสีม่วงบานเย็นเข้ม ๆ มันดูไม่เข้ากันเลย ถ้าเราเอาป้ายสโลแกนสีแดงของบริษัทไปตั้งบนเวที แล้วไหนจะต้องมีธงเยอรมันสีดำแดงทองติดที่เวทีอีก พี่ว่ามันคงยิ่งดูไม่จืดแน่”
          ทุกคนคิดตามคำพูดของญาดาแล้วมีสีหน้าประหวั่นพรั่นพรึงไปตาม ๆ กัน สุดท้ายออกัสก็โอดครวญว่า
          “พี่หญ้า เราเปลี่ยนที่ไม่ได้เหรอ เอาที่โรงแรมริมน้ำดีกว่า เงินที่จ่ายก็เงินบริษัทลูกค้า ไม่ใช่เงินเราสักหน่อย ไม่รู้จะงกไปไหน แทนที่จะจัดให้มันดี ๆ สักหน่อย”
          “พี่ว่ายาก ดูทีโมนจะติดใจโรงแรมอินเตอร์มาก แถมถ้าเราชาร์จลูกค้าได้ราคาถูก มันก็เป็นผลดีกับบริษัท นายกับคาริน่าก็คงเลือกที่นี่แหละ ไม่สนใจหรอกว่าเซลส์โรงแรมจะแย่หรือการตกแต่งห้องสัมมนาจะเห่ยขนาดไหน”
          “ทีโมนดูไม่ออกจริง ๆ เหรอว่าห้องมันจัดได้ไม่เข้าท่าแค่ไหน” ข้าวโอ๊ตถามอย่างไม่เข้าใจจริง ๆ
          “เธอก็ดูมันแต่งตัวสิโอ๊ต คนที่รสนิยมแย่มันก็มักมองอะไรเห่ย ๆ ว่าดีนั่นแหละ” ญาดาตอบทันควัน คำพูดแสบสันต์ของหล่อนทำเอาออกัสแทบสำลักข้าวที่กำลังจะกลืนลงคอ มิคกี้ทำหน้าประหลาด ส่วนข้าวโอ๊ตขำพรืดออกมาทันที แล้วตอบรับว่า
          “จริงด้วยพี่ วันนี้ใส่เนกไทลายทาง เสื้อเชิ้ตลายตาราง โคตรเห่ยเลย แถมเสื้องี้ยับยู่ยี่อย่างกับไม่ได้รีด โชคดีนะยังมีเสื้อสูทใส่ทับ ไม่งั้นคงดูแย่กว่านี้เยอะเลย”
          “วันนี้ยังดีนะ วันก่อนใส่เสื้อสีส้มแปร๋นมาเลย เนกไทลายเปรอะ ๆ เห็นแล้วขัดลูกตาชะมัด แต่หมอนั่นมันคงคิดว่าหล่อมาก คือจริง ๆ เขาเป็นคนหน้าตาดีมากเลยนะ แต่คนหล่อก็ไม่ใช่จะแต่งตัวได้ทุกแนวเสียเมื่อไหร่ ใช่ไหม ไอ้เสื้อสีสด ๆ แบบนั้นน่ะมันไม่ไหวจริง ๆ นะ” ออกัสพูดบ้าง
          “โดนคุณคาริน่าเตือนไปแล้วค่ะ เรื่องเสื้อ”
          ถึงตอนนี้ พัดชารีบกระโจนเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยอย่างกระตือรือร้นหลังจากที่ตอนแรกได้แต่นั่งฟังเงียบ ๆ เพราะไม่รู้เรื่องที่คุยกันก่อนหน้านี้
          “พักหลัง ๆ นี่ไม่ค่อยได้ใส่เสื้อสีสด ๆ แล้วค่ะ เห็นใส่แต่เสื้อสีอ่อน ว่าแต่คุณทีโมนนี่แกเป็นคนไม่ค่อยเรียบร้อยเลยนะคะ พี่เคยถามเรื่องเสื้อยับ แกบอกว่าแม่บ้านไม่รีดให้ แกก็เลยใส่มาทั้งที่ยับ ๆ อย่างนั้นแหละค่ะ”
           เมื่อได้พูด แม่บ้านประจำออฟฟิศที่เคยอึดอัดพอดูกับพฤติกรรมบางอย่างของรองผู้อำนวยการก็เลยถือโอกาสระบายความในใจออกมา
          “ยังเรื่องถ้วยกาแฟเรื่องจานชามอีก พี่เข้าไปทำความสะอาดห้องแกทีไรเห็นวางกองสุม ไอ้เราทนไม่ไหวก็ต้องเก็บออกมา แล้วนี่ค่ะ เรื่องนี้ด้วย พี่บอกไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง แกไม่เคยเชื่อเลย”
          พัดชาเดินไปเปิดตู้เย็น แล้วชี้ให้ดูกล่องนมสดพาสเจอร์ไรซ์สองกล่องที่มีหลอดปักอยู่ทั้งสองกล่อง นมกล่องพวกนี้เป็นของส่วนกลางของออฟฟิศเอาไว้ใส่กาแฟเท่านั้น พัดชาจะไปซื้อมาทีละหลาย ๆ โหล แกะพลาสติกออกแล้ววางซ้อนกันไว้บนเคาน์เตอร์ในครัว ใครที่ต้องการนมใส่กาแฟก็หยิบกล่องนมสดมาจากกอง ใช้กรรไกรที่มักจะวางอยู่บนกองกล่องนมตัดหูกล่องออก นมที่เหลือก็เก็บใส่ตู้เย็นไว้ให้คนอื่นต่อได้อีก
          “ปกติเราก็ใช้กรรไกรตัดใช่ไหมคะ แต่แกไม่ยอมใช้ เอาหลอดปักเลย แล้วก็พยายามจะเททั้งที่มีหลอดปักอยู่ใส่ลงไปในถ้วยกาแฟ นมมันก็หกสิคะ พี่ก็ต้องมาคอยเช็ดให้ พอบอกให้ใช้กรรไกร แกก็ไม่ยอม แถมยังประชดพี่ จะเอามือบิดหูกล่องให้ขาดให้ได้ ดูสิคะ ดื้ออะไรอย่างนี้ก็ไม่รู้”
          “โห เสียดายความหล่อเป็นบ้าเลย” ออกัสฟังแล้วก็โคลงศีรษะ
          “นิสัยไม่ดี เอาหลอดปักอย่างนี้ใครจะมากินต่อก็ไม่สะดวกใจแล้ว” พูดแกมบ่นจบ ญาดาก็สั่งพัดชาและทุกคนด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า
          “พี่ห้ามเลยนะ นมกล่องพวกนี้ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ ไม่ต้องไปยุ่ง ใครอยากได้นมใส่กาแฟก็เปิดกล่องใหม่เลย แล้วถ้าคาริน่าหรือใครมาถามก็ให้บอกว่าเป็นของที่ทีโมนกินเหลือไว้ พวกเราไม่กินต่อ”
          ไม่มีใครขัดแย้งญาดา ข้าวโอ๊ตฟังเงียบ ๆ โดยที่ไม่ออกความเห็นอะไร เช่นเดียวกับมิคกี้ ญาดากับออกัสยังคุยเรื่องโรงแรมและการจัดงานแนะนำผลิตภัณฑ์ต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะพากันเงียบเมื่อพวกฝรั่งพ่วงด้วยนัตโตะทยอยกันเอาจานอาหารเข้ามาเก็บในครัว
          ข้าวโอ๊ตหลบออกไปอยู่ข้างนอกเพราะในครัวตอนนี้กำลังแออัดมาก ชายหนุ่มเห็นคาร์ลเดินออกมา หนุ่มน้อยนักศึกษาฝึกงานยิ้มให้เขาเหมือนเคยเมื่อเดินผ่านเขากลับเข้าไปในห้องทำงาน ข้าวโอ๊ตชั่งใจอยู่ครู่ ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหาคาร์ลในห้อง
          “ที่เคยคุยกันเรื่องร้านกาแฟน่ะ เย็นนี้ว่างรึเปล่า สนใจจะไปดื่มกาแฟกันสักถ้วยหลังเลิกงานไหมครับ”
          ชวนแล้วก็แทบจะกลั้นใจรอฟังคำตอบ แต่คาร์ลก็ไม่ทำให้ผิดหวังเพราะเขาตกลงในทันที
          “สนใจสิครับ ผมอยากจะไปหาอะไรดื่มหลังเลิกงานอยู่พอดีเลย ร้านอยู่ที่ไหนครับ”
          “เอาไว้คุยกันต่อตอนเลิกงานก็แล้วกันนะ”
          ข้าวโอ๊ตรีบตัดบทเพราะจากหางตา เขาเห็นคนค่อย ๆ ทยอยกันออกมาจากครัว ชายหนุ่มเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะไปเล็กน้อย
          จนถึงตอนนี้เขาก็ยังนึกลังเลอยู่ว่ามันจะดีหรือเปล่านะกับการที่เขาจะสนิทสนมกับคาร์ลตามที่ออกัสยุ แต่ว่าอาการตื่นเต้นแค่เพราะอีกฝ่ายรับปากว่าจะไปดื่มกาแฟด้วยมันทำให้รู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาเกือบสิบปีแล้ว
          บางที... การได้คุยกับเด็กหนุ่มคนนี้มันอาจจะดีจริง ๆ ก็ได้นะ

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
กินเด็กเป็นอมตะ

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 9
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
เรื่องของคนอื่นนี่ช่างสอดรู้กันดีนัก ขนาดระวังแล้วเชียวนะ ยังมิวายมีคนมารู้อีก ถ้าไม่บอกว่าเป็นคนนี่นึกว่าเป็นสับปะรด เห็นมีตาอยู่ทั่วตัว
Like – Comment – Share

          เรื่องโรงแรมที่จัดงานสรุปออกมาเหมือนกับที่ทุกคนกลัว ทีโมนเลือกโรงแรมอินเตอร์ด้วยเหตุผลตามที่คาดเดากันไว้นั่นคือเพราะมีผู้จัดการเป็นคนเยอรมันและทางโรงแรมยอมลดราคาค่าบริการให้ตามที่บริษัทต่อรองไป ชายหนุ่มมีคาริน่าเป็นตัวหนุนและเขาอ้างว่าโทรศัพท์ไปปรึกษาด็อกเตอร์แฮร์มันน์แล้วด้วย เสียงคัดค้านสามเสียงของญาดา ออกัสและข้าวโอ๊ตจึงไร้ผลโดยสิ้นเชิง
          “รับกรรมไปอีกงาน” ออกัสกระซิบบอกข้าวโอ๊ตขณะที่กำลังเขียนอีเมลถึงโรงแรมเรื่องการทำใบเสนอราคาและสัญญาจ้างงาน
          ข้าวโอ๊ตผิดหวังอยู่เหมือนกันที่จะต้องอดกินแซลมอนรมควันกับสแกลลอปหรือหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ แต่เขาก็ยังอารมณ์ดีค้างมาจากเมื่อวานที่ได้ไปดื่มกาแฟกับคาร์ล
          หนุ่มน้อยรุ่นน้องเป็นคนที่ร่าเริงและคุยเก่งมาก เขาออกปากชมร้านกาแฟที่ข้าวโอ๊ตเลือกซึ่งเป็นร้านที่อยู่ไม่ไกลจากออฟฟิศมากนัก แต่ต้องเข้าออกซอยนั้นซอยนี้มากหน่อย เป็นร้านเล็ก ๆ ที่ตกแต่งเอาใจคนรักหนังสือด้วยการบิวด์อินชั้นหนังสือติดเต็มผนังด้านหนึ่ง บนชั้นวางหนังสือที่หน้าปกสวยงามเอาไว้จนเต็ม นอกจากจะเอาไว้ให้ลูกค้าของร้านอ่านแล้ว หนังสือสวย ๆ พวกนี้ยังทำหน้าที่เป็นของตกแต่งร้านได้ด้วย
          ‘คุณโอ๊ตชอบอ่านหนังสือเหรอครับ’ คาร์ลถามหลังจากมองไปรอบ ๆ ร้าน
          ข้าวโอ๊ตพยักหน้ารับ
          ‘ชอบมาก งานอดิเรกก็อ่านหนังสือนี่แหละครับ ผมเรียนจบมาทางสายภาษาน่ะ’
          ‘ผมเรียนกฏหมาย ต้องอ่านหนังสือเยอะเหมือนกัน แต่ผมก็ไม่ได้ชอบอ่านหนังสือเป็นพิเศษนะ ชอบเล่นกีฬามากกว่า พวกกีฬากลางแจ้งทั้งหลายแหล่น่ะ ผมชอบสกีมากที่สุด’
          ‘มิน่าล่ะ ตัวคุณถึงคล้ำ เพราะอย่างนี้นี่เอง’
          ทั้งสองคุยกันอย่างถูกคอ อย่างหนึ่งต้องขอบคุณคาร์ลที่มักเป็นคนคอยเปิดประเด็นการสนทนา ส่วนข้าวโอ๊ตไม่ใช่คนคุยเก่งมากมาแต่ไหนแต่ไร แต่ถ้ามีคนนำ ชายหนุ่มก็สามารถพูดได้เรื่อย ๆ เช่นกัน
          ข้าวโอ๊ตเริ่มรู้สึกว่าเขายังอยากจะคุยกับคาร์ลอีกอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ แต่เพื่อกันข้อครหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้เขาจึงต้องหาข้ออ้างเล็กน้อยด้วยการขอร้องให้คาร์ลช่วยงานแปลนิยายของเขา
          ‘ผมทำงานแปลเป็นงานพิเศษ แปลนิยายภาษาเยอรมันส่งสำนักพิมพ์น่ะ แต่บางครั้งก็มีติดขัดบ้าง ยิ่งพวกศัพท์แสลงหรือภาษาวัยรุ่นยิ่งยาก ถ้ามีเจ้าของภาษามาช่วยอธิบายได้ล่ะก็จะวิเศษมากเลย’
          คาร์ลยินดีช่วยเหลือชายหนุ่มอย่างเต็มที่และนั่นทำให้เขาอารมณ์ดีต่อเนื่องมาจนถึงตอนนี้
          ใกล้เวลาพักกลางวัน มิคกี้เข้ามาหาข้าวโอ๊ตในห้องพร้อมกับคำขอร้องให้ช่วยแปลอีเมลซึ่งชายหนุ่มก็ยินดีทำให้ แต่การแปลอีเมลก็ต้องใช้เวลาเหมือนเดิมเพราะคำศัพท์ทางด้านอุตสาหกรรมที่เขาไม่คุ้นชิน มิคกี้ไม่มีปัญหาอะไรที่จะต้องรอเพราะเขาใช้โอกาสนี้ถามถึงสิ่งที่เขาสงสัย
          “เมื่อวานที่ไปกินกาแฟกับคาร์ล เป็นยังไงบ้างครับ กาแฟอร่อยไหม”
          ข้าวโอ๊ตชะงักมือที่กำลังจะคลิกเมาส์ค้นหาคำศัพท์ที่ต้องการ ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์หันมามองหน้าคนถามในทันที
          “รู้ได้ยังไง”
          “บังเอิญเห็นเข้าพอดีน่ะครับ แต่แหม พี่โอ๊ตนี่ใจร้ายจัง ใจคอจะแอบไปกับคาร์ลสองคนเองเหรอ ไม่ชวนกันบ้างเลย”
          ชายหนุ่มไม่ชอบน้ำเสียงกับคำพูดของมิคกี้แบบนี้เลย มันฟังดูเหมือนกับกำลังเยาะและมีนัยบอกว่า ผมรู้ความลับของคุณนะ ข้าวโอ๊ตรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก มิคกี้พูดชวนให้คิดว่าเขากำลังลักลอบทำอะไรที่ผิดมาก ๆ ประมาณเดียวกับการเป็นชู้นั่นเลย
          “พี่พาคาร์ลไปเลี้ยงกาแฟเพราะเขารับปากจะช่วยงานแปลของพี่เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรหรอก ส่วนกาแฟก็อร่อยดี ถ้านายสนใจ ไว้วันหลังเราค่อยไปกันสักวันก็ได้”
          “จะเอาผมไปเป็นก้างขวางคอ มันจะดีเหรอ”
          ข้าวโอ๊ตนับหนึ่งถึงสิบในใจ ก่อนจะตอบด้วยความอดทนว่า
          “อย่าพูดอะไรแบบนั้นดีกว่า ก้างขวางคออะไร เหลวไหล”
          “ก็พี่กัสบอกว่าพี่โอ๊ตจะจีบคาร์ลนี่นา ไม่ใช่เหรอครับ ผมสนับสนุนสุดตัวเลยนะ คาร์ลดูเป็นเด็กดีน่ารัก หน้าตาก็หล่อด้วย”
          “ออกัสมันก็ชอบพูดเล่นไปอย่างนั้นแหละ จะไปเอาอะไรจริงจังล่ะ ไม่มีใครจีบใครทั้งนั้น”
          “เอ๋ คำพูดของพี่กัสก็ยังเชื่อไม่ได้หรือเนี่ย”
          คำอุทานของมิคกี้มันฟังดูแหม่ง ๆ จนข้าวโอ๊ตขมวดคิ้ว แต่เขาไม่ทันจะได้ตอบอะไรกลับ ทั้งสองคนก็ได้ยินเสียงหัวเราะของออกัสดังเข้ามาในห้อง ครู่ต่อมาก็เป็นเสียงพูดอะไรที่จับใจความไม่ได้ของทีโมน แต่คงเป็นเรื่องที่สนุกสนานไม่น้อยเพราะมีเสียงหัวเราะของออกัสดังประสานขึ้นมาแทบจะในทันที
          มิคกี้มองหน้าเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่
          “นั่นก็เชื่อไม่ได้ด้วยรึเปล่านะ เมื่อวันก่อนยังไม่พอใจกันอยู่เลย วันนี้กลับมาหัวเราะด้วยกันเสียแล้ว”
          นัตโตะโผล่หน้าเข้ามาในห้องในจังหวะนั้น ดูเหมือนว่าเสียงหัวเราะจะดังไปจนถึงห้องของเขาเช่นกัน แล้วชายหนุ่มก็อดรนทนอยู่ในห้องไม่ได้
          “สองคนนั้นเขาสนิทสนมกันจังเลยนะ ทีโมนกลับมาชมไม่ขาดปากว่าคุณกัสแนะนำอะไรดี ๆ ให้เยอะแยะตอนที่ไปดูโรงแรมด้วยกัน พี่โอ๊ตไปกับสองคนนั้นเห็นอะไรผิดหูผิดตารึเปล่าครับ”
          สีหน้าของนัตโตะตอนที่พูดแสดงทั้งความไม่พอใจทั้งความสนใจใคร่รู้ ข้าวโอ๊ตต้องรีบตัดบทเพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด
          “เขาก็คุยกันปกตินั่นแหละ ออกัสคุยกับคนง่ายอยู่แล้ว อย่าสร้างประเด็นขึ้นมาเลยน่ะ”
           จากนั้นเขาก็หันกลับไปคุยเรื่องงานกับมิคกี้แทน โดยที่ไม่สนใจนัตโตะที่ยืนอยู่หน้าห้องของเขาอีก
          “ลูกค้าอยากได้รายชื่อโรงงานที่ผลิตไนลอนน่ะ เน้นที่ไนลอน 6 อยากได้พวกที่ผลิตเส้นใยไนลอนด้วย เอาไว้ใช้สำหรับการผลิตเสื้อผ้าและสิ่งทอ”
          “แล้วไอ้ย่อหน้าที่ยาว ๆ นั่นล่ะครับ” มิคกี้ชี้ไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ไม่หันไปมองคนที่สามในห้องเช่นกัน
          “เขาอธิบายสินค้าของเขาน่ะว่าผลิตอะไร ใช้ไนลอนแบบไหน สารประกอบเป็นอะไร อธิบายมาละเอียดมาก พี่ว่าเราอาจไม่จำเป็นต้องรู้ละเอียดขนาดนั้น แต่เพื่อความแน่ใจก็ลองให้ทีโมนหรือคาร์ลช่วยอ่านด้วยอีกแรงก็แล้วกัน คำศัพท์เฉพาะแบบนี้พี่ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่”
          นัตโตะเห็นว่าไม่มีใครสนใจเขาเลยก็สะบัดหน้าออกจากห้องไป มิคกี้ตามออกไปอีกคนหลังจากที่ได้คำแปลอีเมลที่ต้องการแล้ว เมื่อไม่มีคนนอกอยู่ในห้องของเขา ข้าวโอ๊ตจึงค่อยหายใจโล่งขึ้นมาหน่อย แต่ก็เกิดความกังวลขึ้นมาแทนเมื่อเรื่องที่เขาให้ความสนิทสนมกับคาร์ลเริ่มถูกจับตามองพร้อม ๆ กับความไม่สบอารมณ์เรื่องออกัส
          หมอนั่นพูดเอาเองว่าเขาจะจีบเด็กฝึกงาน แล้วก็เที่ยวเอาไปเล่าต่อจนป่านนี้รู้กันทั้งออฟฟิศแล้วกระมัง ออกัสอาจจะคิดว่าเป็นแค่เรื่องเล่นสนุก แต่มันสร้างความรำคาญใจให้เขา แล้วไหนจะเรื่องทีโมนอีก ปากบอกว่าไม่ชอบ แต่ก็ยังหัวร่อต่อกระซิกกันได้หน้าตาเฉย ข้าวโอ๊ตรู้สึกหงุดหงิดเพราะตัวเองไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ กับคนที่เกลียด ไม่ว่าจะทำอย่างไร เขาก็ฝืนใจยิ้มให้ไม่ลง

         

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
          เมื่อเรื่องส่วนตัวก็เป็นกังวล แถมเรื่องงานก็เริ่มจะน่ารำคาญขึ้นมาอีก วันสองวันนี้ข้าวโอ๊ตก็เลยรู้สึกขวางหูขวางตาทุกอย่างในออฟฟิศอย่างบอกไม่ถูก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เขาคนเดียวที่อารมณ์ไม่คงที่ คนอื่นในออฟฟิศก็ดูจะอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ กันทั้งนั้น และเวลาที่จะบ่นได้ก็คือเวลาพักกลางวันในห้องครัวเหมือนเช่นเคย
          “พี่หญ้าครับ ทำไมเราต้องทำเคสงี่เง่าอย่างหาบริษัทขุดบ่อน้ำให้ลูกค้าด้วยล่ะ” มิคกี้ถามด้วยน้ำเสียงเอาเรื่องเล็กน้อย “ลูกค้าจะสร้างบ้าน อยากขุดบ่อ แต่ให้หาที่เป็นบริษัท ไม่เอาพวกช่างรับเหมา ผมจะไปหาที่ไหนให้ได้ มันไม่ใช่งานสาขาที่ผมรับผิดชอบด้วย ผมไม่อยากทำ”
          “ทีโมนว่ายังไงล่ะ” ญาดาถาม
          “เขาให้ผมทำ” มิคกี้ตอบหน้าบึ้ง
          “งั้นก็ต้องทำ ลองหาพวกบริษัทก่อสร้างดูก็แล้วกัน”
          “งี่เง่ามาก แล้วไม่ยอมถามบริษัทที่รับสร้างบ้านให้ตัวเองด้วยนะครับ แต่กลับมาใช้เราหา แถมยังเรื่องมากไม่ยอมใช้ผู้รับเหมาอีก ลูกค้าแบบนี้นี่โคตรน่ารำคาญเลย”
          “เขาทำสัญญากับเราเป็นรายปี เขาก็หาทางใช้เราจนคุ้มนั่นแหละ เคสบ้าบอเล็กน้อยแค่ไหนก็ส่งมาให้เราหมด แล้วฝรั่งทางนี้ก็บ้าจี้รับทำหมดทุกเรื่อง ไม่มีการปฏิเสธ ความยุ่งยากมันถึงตกมาอยู่ที่เราไงล่ะ”
          “ผมไม่อยากทำเลย” มิคกี้ยังโอดครวญด้วยความเซ็ง
          ญาดาชักเริ่มรำคาญขึ้นมาเมื่อเห็นรุ่นน้องทำท่างอแงเป็นเด็ก หล่อนจึงเอ็ดว่า
          “อย่าบ่นนักเลยน่ะมิคกี้ เคสแบบนี้เจอกันทุกคนนั่นแหละ ข้าวโอ๊ต เล่าไปซิ เคสล่าสุดที่เพิ่งทำเสร็จไปน่ะ”
          ข้าวโอ๊ตไม่นึกว่าเรื่องจะมาถึงตัวเขา แต่เมื่อสายตาของทุกคนหันมามองเขาเป็นตาเดียว มิคกี้ก็มองมาหน้าคว่ำเพราะไม่ชอบใจที่ถูกดุ เขาก็เลยวางช้อนที่กำลังจะตักข้าวลง ก่อนจะเล่าว่า
          “ลูกค้าให้ช่วยหาอีเมลของแผนกบุคคลสายการบินของพม่า ลูกชายเขาจะไปสมัครเป็นนักบิน แต่หาอีเมลไม่เจอในเว็บไซต์สายการบิน ทีโมนให้โทรไปถามที่สายการบิน”
          “เคสป่วยพอกันเลยใช่ไหม ลูกชายจะไปเป็นนักบิน แต่แค่อีเมลบริษัทที่จะไปสมัครงานก็ยังหาเองไม่ได้ ยังงี้เวลาขับเครื่องบินแล้วเจอปัญหาจะแก้ได้รึเปล่าก็ไม่รู้ โชคร้ายขึ้นมามีหวังทำผู้โดยสารตายยกลำ”
          มิคกี้เงียบไปเหมือนยอมจำนนต่อคำพูดของญาดา ข้าวโอ๊ตเจ้าของเคสได้แต่ยักไหล่ ไม่ออกความเห็นอะไร ส่วนออกัสที่นั่งเงียบมาตลอดในตอนแรกก็ทำหน้าเหมือนคนใกล้ตายขึ้นมาเหมือนกันในตอนนี้
           “ที่บ่น ๆ กันมาน่ะไม่มีใครแย่เท่าเราแล้ว”
          ชายหนุ่มพูดขึ้นมา
          “เมื่อเช้ายายเจ๊มาล้งเล้งเราใหญ่เลยเรื่องค่ารถมอเตอร์ไซคล์ เมื่อวานทีโมนมันมีนัดตอนเย็น แต่มันลืมเลยต้องนั่งมอเตอร์ไซคล์รับจ้างไป ค่ารถเป็นร้อยเลย คาริน่าร้องกรี๊ดใหญ่ตอนมันมาเบิกเงินค่าเดินทาง แล้วก็มาด่าเราต่อ หาว่าเราไม่เตือนทีโมนเรื่องนัดหมาย อะไรก็ไม่รู้ เรื่องนัดหมายนี่แต่ก่อนของใครของมัน ดูแลกันเอง ใส่นัดลงไปในปฏิทินกันเอง ตำแหน่งไอ้หมอนั่นคนก่อน ๆ ก็ไม่เคยมีเรื่องลืมนัดอะไรแบบนี้ แล้วนี่จู่ ๆ จะเพิ่มงานมาให้เราอีก เราไม่ใช่เลขาทีโมนมันสักหน่อย เซ็งจริง”
          “ผมว่าพี่กัสไม่เห็นต้องเซ็งเลย ได้เป็นเลขาทีโมนน่าจะดีใจไม่ใช่เหรอ ก็เห็นพวกพี่เข้ากันได้ดีจะตาย คุยกันสนุกสนานออกขนาดนั้น พูดว่าไม่ชอบ ใครจะไปเชื่อ”
          ออกัสร้องเอ๊ะขึ้นมาทันทีเมื่อจู่ ๆ ก็โดนมิคกี้เหน็บเอาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ชายหนุ่มเตรียมจะโต้กลับอยู่แล้ว แต่ต้องหยุดเพราะคาริน่าเดินหน้าหงิกเข้ามาในครัวพร้อมกับทีโมนที่ตีสีหน้าปุเลี่ยน ๆ ห้อยท้ายด้วยนัตโตะที่ทำหน้าหงิกได้ไม่แพ้ใครเช่นกัน
ข้าวโอ๊ตไม่สงสัยว่าทำไมวันนี้สามคนนี้ถึงเลิกรับประทานอาหารเร็วกว่าปกติ เพราะหน้าตาแต่ละคนบ่งบอกชัดออกขนาดนั้น ท่าทางวงอาหารในห้องรับประทานอาหารจะเผ็ดร้อนพอกับในครัวเป็นแน่ แถมนัตโตะยังส่งค้อนตามหลังคาริน่าตอนที่หล่อนเดินลงส้นออกไปจากครัวด้วย ปากก็ขมุบขมิบด่าตามหลังโดยที่ไม่มีเสียง แล้วก็ปักหลักอยู่ในห้องครัว ไม่พยายามไปเจ๊าะแจ๊ะพูดคุยกับฝรั่งคนไหนเหมือนอย่างเคย
          คาร์ลไม่ได้รับประทานอาหารกลางวันกับคนในออฟฟิศวันนี้ เด็กหนุ่มออกไปเดินสำรวจร้านอาหารในบริเวณนี้และหาอะไรกินเรียบร้อยก่อนจะกลับเข้ามา เด็กหนุ่มเจอพัดชายืนคอยลิฟท์อยู่ ในมือถือแก้วน้ำผลไม้ปั่น เขาจึงเข้าไปทักและขึ้นลิฟท์มาพร้อมกับหล่อน
          เด็กหนุ่มนักศึกษาฝึกงานรับรู้ถึงบรรยากาศที่ตึงเครียดทันทีหลังจากโผล่หน้าเข้ามาในห้องครัวแล้วเห็นทุกคนทำหน้าตึงใส่กัน แต่เขาก็ยิ้มสู้เหมือนไม่รู้อะไรทั้งนั้น ชูถุงพลาสติกที่ถือมาพร้อมกับบอกว่า
          “ผมเดินไปถึงตลาดนัดที่ตึกกระจก แม่ค้าแถวนั้นใจดีมากเลย ให้ผมชิมขนมตั้งหลายอย่าง อร่อยมาก ผมก็เลยซื้อมาฝากทุกคนครับ”
          พูดแล้วก็ส่งถุงขนมให้ข้าวโอ๊ต ชายหนุ่มรับเอาไว้โดยอัตโนมัติพร้อมกับรีบเหลือบตามองไปรอบ ๆ แต่ดูเหมือนว่าทุกคนจะกำลังอารมณ์ไม่ดีจนไม่สนใจจะจับผิดเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างที่ข้าวโอ๊ตนึกหวาดระแวงอยู่ เขาจึงค่อยคลายใจ หันไปจัดขนมใส่จาน
          พัดชาเป็นอีกคนที่ยิ้มแจ่มใสใส่ทุกคนในครัวได้ แต่เพราะแม่บ้านประจำออฟฟิศไม่มีความละเอียดอ่อนมากพอที่จะจับความรู้สึกของคนรอบตัวได้ต่างหากทำให้หล่อนยิ้มแย้มได้และชวนทุกคนคุยอย่างกระตือรือร้นในเรื่องที่หล่อนบังเอิญไปรู้มาและกำลังตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
          “เมื่อกี้พี่ไปซื้อน้ำปั่นใต้ตึกให้คุณคาริน่า รู้ไหมคะว่าเด็กที่ร้านบอกพี่ว่ายังไง” หล่อนเข้าใจเปิดเรื่องดึงความสนใจจากทุกคนได้ โดยเฉพาะนัตโตะที่ถามทันทีว่า
          “ยังไงครับพี่พัด”
          “คุณทีโมนค่ะ ทำท่าจะไปจีบเจ้าของร้าน เขาพูดกันให้แซดว่าแกไปซื้อน้ำผลไม้ปั่นแทบทุกเย็น แล้วก็อยู่คุยกันนาน ๆ ด้วยนะคะ”
          “อ๋อ งั้นที่ชอบหายไปนาน ๆ ตอนใกล้เลิกงานช่วงนี้ก็เพราะแบบนี้นี่เองสินะ” ออกัสทำหน้าว่าเข้าใจขึ้นมาทันที ญาดาก็เบะปาก 
          “คงคิดว่าตัวเองหน้าตาดี เห็นผู้หญิงเลยจีบดะไปหมด น่าเกลียดที่สุดพวกผู้ชายแบบนี้”
          “เจ้าของร้านนี่คนไหน” นัตโตะถามพัดชาเสียงแข็ง และทุกคนก็ดูจะสนใจ ข้าวโอ๊ตหันมารอฟังด้วย เช่นเดียวกับมิคกี้ที่เม้มปากแน่น ดวงตาวาววับ
          “คนที่เด็ก ๆ หน้าหวาน ๆ น่ะค่ะ ส่วนใหญ่มาที่ร้านตอนบ่าย ๆ เย็น ๆ คุณทีโมนแกรู้ แกเลยไปตอนเย็นไงคะ” พัดชาตอบ แล้วเมื่อเล่าไปก็ชักติดลม ทุกอย่างที่รู้ก็พรั่งพรูออกมาจากปากจนหมด “เขาว่าคุยกันถูกคอสนุกสนาน ผู้หญิงก็มีท่าทีติดใจฝ่ายเราด้วยนะคะ ได้ยินว่ามีส่วนลดส่วนแถมอะไรให้กันตลอดเลย นี่เด็กในร้านก็มาแย็บ ๆ ถามพี่นะคะว่าคุณทีโมนเป็นยังไง มีแฟนรึยัง ท่าทางจะเอาไปเล่าให้สาวเจ้าของร้านฟังต่อแน่เลยค่ะ”
          “แล้วพี่พัดเล่าให้เขาฟังรึเปล่าว่าทีโมนมันนิสัยเป็นยังไง” ญาดาถาม
          “พี่ไม่กล้าเล่าหรอกค่ะ” แม่บ้านประจำออฟฟิศโบกไม้โบกมือ หน้าตาตกใจ
          “น่าจะเล่าไปให้หมดเลยนะ”
          “แหม พี่ก็ไม่อยากจะพูดมากนะคะ เรื่องของคนอื่น เราไม่ยุ่งดีกว่า จริงไหมคะ นี่พี่ก็เลยตอบไปว่าไม่รู้ ไม่แน่ใจอย่างเดียวเลยค่ะ กลัวคุณทีโมนรู้ แกจะมาว่าเอา”
          ไม่มีใครซักถามอะไรเพิ่มเติมจากพัดชาอีก แต่ละคนแยกย้ายออกจากครัวกลับไปห้องของตัวเอง ขนมของคาร์ลยังไม่มีใครแตะ ยกเว้นข้าวโอ๊ตที่ชิมไปนิดหน่อย ส่วนที่เหลือเขาเก็บใส่เอาไว้ในตู้เย็นและบอกพัดชาเอาไว้เผื่อตอนบ่ายมีคนหิวจะได้เอาออกมากิน ชายหนุ่มอยากขอบคุณคาร์ล แต่ไม่อยากเดินเข้าไปในห้องเด็กฝึกงานให้มันเกิดเป็นประเด็น เขาจึงเลือกโทรศัพท์ไปแทน
          คาร์ลตอบอย่างร่าเริงเมื่อได้รับคำขอบคุณจากข้าวโอ๊ต
          “เรื่องเล็กน้อยเองครับ ไม่ต้องขอบคุณก็ได้ แล้วขนมอร่อยไหมครับ ชอบรึเปล่า”
          “ชอบสิ อร่อยมาก” เขาตอบ “ว่าแต่วันนี้ไปไกลจังนะ เดินไปถึงตึกกระจกเชียว”
          “อยากลองหาร้านอาหารใหม่ ๆ น่ะครับ กินแต่ร้านเดิมที่คุณพัดสั่งมันน่าเบื่อ”
          “ในซอยข้าง ๆ ตึกกระจกมีร้านอร่อยอยู่ร้านหนึ่งนะ ขายพวกพิซซ่า พาสต้า เป็นร้านเล็ก ๆ อยู่บนชั้นสอง ชั้นล่างขายพวกตุ๊กตา ดอกไม้ ของประดับบ้าน คุณน่าจะไปลองดูสักครั้งนะ เผื่อจะชอบ”
          “น่าสนใจมากเลยครับ วันหลังคุณพาผมไปได้ไหม”
          ข้าวโอ๊ตชะงักไปนิด ชายหนุ่มไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดด้วยความรู้สึกอย่างไร แต่คำพูดของคาร์ลมันทำให้เขาใจเต้นขึ้นมาอีกแล้ว
          “เอ้อ...เอาสิ เอาไว้ไปกันสักวัน” ชายหนุ่มรับปาก อึกอักเล็กน้อย แต่ก็พยายามใช้น้ำเสียงที่ปกติที่สุดเมื่อพูดต่อในประโยคถัดมาว่า
          “ผมเลี้ยงคุณเอง”
          “โอ๊ย ไม่ได้หรอกครับ จะให้คุณเลี้ยงได้ยังไง”
          “ก็ตอบแทนที่คุณจะช่วยงานแปลของผมไง นิยายทั้งเล่มเลยนะ ผมต้องรบกวนคุณอีกหลายครั้งเลยล่ะ ผมเกรงใจเหมือนกัน อยากจะตอบแทนอะไรคุณบ้าง”
          “แค่อธิบายนิดหน่อย ไม่ถือเป็นการรบกวนอะไรเลยครับ ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณที่เสียเวลาไป
ไหน ๆ เป็นเพื่อนผม ขอบคุณมากนะครับ”
          ข้าวโอ๊ตวางหูโทรศัพท์พร้อมกับอมยิ้มเอ็นดูความความสุภาพและน่ารักของนักศึกษาฝึกงานหนุ่มน้อย คาร์ลทำให้ความขุ่นมัวที่มีมาตลอดสองสามวันนี้ของเขาคลายลงได้มากจริง ๆ

          ตรงกันข้ามกับข้าวโอ๊ต ใครคนหนึ่งยังคงมีแต่ความขุ่นเคืองใจและก็ยิ่งจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
          ใครคนนั้นรอจนถึงเวลาที่นัดไว้ที่คอนโดมิเนียมของตัวเอง แต่ด้วยความอารมณ์ร้อนจึงนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้ของคอนโด ไม่ขึ้นไปที่ห้อง ต่อเมื่อเห็นทีโมนเดินยิ้มแต้เข้ามาหานั่นแหละ อารมณ์จึงค่อยดีขึ้น หากก็มิวายแสดงความปั้นปึ่ง
          “ทำไมไม่ขึ้นไปรอที่ห้องล่ะครับ มารอตรงนี้ทำไม”
          ทีโมนตรงเข้ามากอดเอาไว้ซึ่งอีกฝ่ายก็บ่ายเบี่ยงพอเป็นพิธี
          “ก็อยากจะให้แน่ใจว่าคุณมาจริง ๆ”
          “โธ่ ผมเคยผิดนัดกับคุณที่ไหนล่ะ”
          “นั่นมันเมื่อก่อน ก่อนที่คุณจะไปติดใจยายเด็กเจ้าของร้านน้ำปั่นนั่น”
          “ติดใจอะไร เอามาจากไหนกัน”
          “เขาพูดกันให้แซดทั้งออฟฟิศ ใคร ๆ ก็รู้ว่าคุณไปที่ร้านนั่นทุกเย็น แม่นั่นก็ท่าทางจะชอบคุณ ถึงกับให้เด็กที่ร้านถามเรื่องของคุณ”
          “ไปกันใหญ่แล้ว ผมไม่ได้ชอบเขาสักหน่อย แค่ชอบน้ำผลไม้ปั่นที่ร้านเขาเท่านั้นเอง กับเจ้าของร้านก็คุยนิดหน่อยตามมารยาท เขาชวนคุยมา จะให้ผมนิ่งมันก็ดูแย่ใช่ไหมล่ะ แต่มันไม่มีอะไรเลย คนเรานี่มันก็พูดไปเรื่อย” ทีโมนปฏิเสธ ก่อนจะจูบอีกฝ่ายหนึ่ง ชายหนุ่มรู้ดีว่าเวลาฝ่ายตรงข้ามงอน เขาควรจะต้องง้ออย่างไร
          “ผมมีคุณคนเดียว ไม่ได้มีใครที่ไหนอีกสักหน่อย อย่าหึงไปเลยนะครับ”
          “จะให้เชื่อเหรอ ใครต่อใครในออฟฟิศอีกตั้งเยอะที่คุณสนิทสนมด้วย”
          “พวกนั้นพยายามตีสนิทกับผม ผมก็จำเป็นต้องคุยดีด้วยเพราะต้องทำงานร่วมกันอีกเยอะ คุณอย่าคิดมากไปเลย มันไม่มีอะไรจริง ๆ อยากให้ผมพิสูจน์ไหมล่ะ”
          ริมฝีปากของทีโมนเลื่อนไปคลอเคลียอยู่ที่ใบหูซึ่งเป็นจุดอ่อนไหวของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันสองมือก็ค่อย ๆ ลูบต่ำลงไปเรื่อย ๆ จากกลางหลังจนถึงสะโพก
          น้ำเสียงของอีกฝ่ายที่เคยเอาเรื่องค่อย ๆ อ่อนลง
          “ทำให้เชื่อให้ได้ล่ะ”
          “แน่นอน จะพิสูจน์ให้ดูทั้งคืนเลย”
          ทั้งสองคนเดินคลอเคลียกันไป ทีโมนให้อีกฝ่ายขึ้นลิฟท์ไปที่ห้องพักก่อนเพราะเขาต้องการจะสูบบุหรี่สักมวน  ปกติชายหนุ่มไม่ใช่คนติดบุหรี่ แต่ก็จะสูบบ้าง เวลาที่ไปเที่ยวหรือต้องการผ่อนคลายอารมณ์ ชายหนุ่มอัดควันเข้าปอดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะทิ้งก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ที่ทางคอนโดจัดให้ลูกบ้านในพื้นที่สูบบุหรี่ ขณะที่กำลังจะเดินกลับมาที่โถงลิฟท์ เขาก็เห็นร่างของใครบางคนที่คุ้นตาเข้า ทีโมนหลบกลับที่เดิมทันที จากจุดที่เขายืนอยู่ สามารถมองเห็นพื้นที่หน้าลิฟท์ได้ แต่คนตรงนั้นจะมองไม่เห็นเขา
          ออกัสยืนอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะอายุมากกว่าหลายปี เขาเคยเห็นแฟนของออกัสตอนที่ฝ่ายนั้นมารับออกัสที่ออฟฟิศ แต่คนนั้นไม่ใช่ผู้ชายคนนี้ และชายหนุ่มไม่คิดว่าคนที่อยู่กับออกัสตอนนี้จะเป็นแค่เพื่อนธรรมดาด้วย เพราะการโอบกอดและจูบกันแบบนั้นคงไม่มีเพื่อนที่ไหนเขาทำกัน ทางเดียวที่คิดได้คือออกัสกำลังนอกใจแฟน
          ทีโมนยิ้มกริ่ม เขาเจอจุดอ่อนของออกัสแล้ว

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 10
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
เรื่องจะเยอะไปไหนก็ไม่รู้ เมื่อไหร่จะหลุดพ้นสักที ไม่อยากเจออะไรแบบนี้อีกแล้ว ถ้าไม่มีรอยยิ้มหวาน ๆ ของผู้ชายคงเป็นบ้าแน่
Like – Comment – Share

          “คุณโอ๊ต มาพบผมที่ห้องด้วย”
          เช้าวันทำงานวันแรกของสัปดาห์ ข้าวโอ๊ตก็เจอคำสั่งวางก้ามของรองผู้อำนวยการทันที ชายหนุ่มรู้สึกเซ็ง แต่เมื่อเป็นคำสั่ง เขาก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
          ในห้องของทีโมน มีออกัสอยู่ด้วยอีกคนทำให้ข้าวโอ๊ตรู้สึกสงสัยเพราะช่วงนี้ก็ไม่ได้มีงานที่ต้องรับผิดชอบพร้อมกันสองคนเสียหน่อย อีเมลที่เขาเพิ่งลงทะเบียนไปก็ไม่มีฉบับไหนที่ใส่สีของเขาและออกัสลงไปด้วยกัน
          “มีอะไรเหรอ” ข้าวโอ๊ตกระซิบถามขณะที่นั่งลงข้างเพื่อน ออกัสส่ายหน้าเป็นทำนองว่าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
          “ผมจะคุยกับคุณเรื่องเคส vacation club”
          ทีโมนมองหน้าข้าวโอ๊ต
          “ผมให้คุณตรวจสถานะของบริษัท แต่คุณบอกว่าบริษัทนี้เป็นบริษัทไม่ได้จดทะเบียน และลูกค้าน่าจะถูกหลอกใช่ไหม”
          ข้าวโอ๊ตพยักหน้ารับ เคสนี้เขารับมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ลูกค้าไปสมัครโปรโมชั่นท่องเที่ยวแบบรายปีของโรงแรมที่มีสาขาทั่วโลกเอาไว้ โฆษณาว่าสามารถจองห้องพักของโรงแรมได้ทุกสาขาทั่วโลก เวลาไหนก็ได้ และจะได้รับราคาพิเศษพร้อมบริการระดับห้าดาว แต่เมื่อลูกค้าแจ้งความจำนงขอจองห้องพัก ก็ไม่สามารถจองได้สักครั้ง ชายหนุ่มเอาชื่อบริษัทที่ลูกค้าให้ไปเช็ค แต่ก็ไม่พบว่ามีการจดทะเบียนบริษัท เขาจึงแจ้งลูกค้าไปตามนั้น
          “แต่ผมให้คุณกัสเช็คอีกรอบ ปรากฎว่ามีการจดทะเบียนบริษัทนะ ทำไมคุณไม่ตรวจดูให้ดีก่อนให้ข้อมูลลูกค้าไป”
          ข้าวโอ๊ตหันไปมองออกัสทันที ก่อนจะรับกระดาษจากทีโมนมาดู
          “นี่มันโรงแรมนี่ แต่ไม่ใช่ชื่อที่ลูกค้าให้มา”
          “โปรโมชั่นของโรงแรม แต่ใช้ชื่อ vacation club เท่ากับเป็นโรงแรมนั่นแหละ นายเลยไม่เจอชื่อ vacation club ในระบบไง โปรโมชั่นน่ะมันไม่ได้หลอกลวงหรอก แต่มันเป็นทริกทางการตลาด เอาไว้ทำยอด ไม่ใช่ของโรงแรมนี้โรงแรมเดียวหรอก ที่อื่นเขาก็ทำกัน ลูกค้าก็มีปัญหาแบบเดียวกันนี้เหมือนกัน ส่วนใหญ่ไม่ได้ห้องที่อยากได้ ต้องไปโวยกับทางโรงแรมเอา”
          ออกัสอธิบาย
          “คุณโอ๊ต คุณทำบริษัทเสียหน้ามากนะที่ให้ข้อมูลแบบนั้นกับลูกค้าไป คราวหลังคุณต้องระวังให้มันมากกว่านี้” ทีโมนสำทับซ้ำ
          ข้าวโอ๊ตรู้สึกแย่พอแล้วที่งานของเขามีปัญหา แต่ทีโมนยังทำร้ายความรู้สึกเขาด้วยการวิพากษ์วิจารณ์เขาต่อหน้าเพื่อนร่วมงานอีก เท่านั้นยังไม่พอชายหนุ่มยังทับถมเขาด้วยการชื่นชมออกัสอย่างออกนอกหน้าว่า
          “คุณเก่งมากคุณกัส ผมจะเอาข้อมูลที่คุณหาไปแจ้งให้ลูกค้าทราบ ส่วนคุณโอ๊ต คราวหลังไปเรียนรู้การทำงานที่ดีและถูกต้องจากคุณกัสด้วย”
          เหมือนโดนตบและลากมากระทืบซ้ำกลางสี่แยกจริง ๆ
          ข้าวโอ๊ตรู้สึกโกรธจนบอกไม่ถูกเมื่อเดินออกมาจากห้องของรองผู้อำนวยการ ทีโมนเอางานของเขาไปให้ออกัสทำโดยที่ไม่บอกเขาเลยสักนิด ส่วนออกัสก็ไม่บอกเขาเหมือนกัน ทำให้เขาต้องมารับความอับอายขายหน้าโดยที่ไม่ทันตั้งตัว
          “โอ๊ต” ออกัสเรียกเขาไว้ ชายหนุ่มหันมามองหน้า สีหน้าของเขาคงบอกความรู้สึกของตัวเองออกมาไม่น้อย ออกัสถึงมีสีหน้าไม่สู้ดีเช่นกัน
          “ทีโมนมันพูดเกินไปหน่อย นายอย่าคิดมากเลยนะ”
          “ไม่ให้คิดมากได้ยังไง เราทำงานพลาดไม่ใช่เหรอ ก็สมควรแล้วล่ะ ขอบใจนายด้วยที่แก้ข้อมูลให้เรา”
          ข้าวโอ๊ตรู้ดีว่าตัวเองกำลังไม่มีเหตุผลและประชดประชัน แต่เขาห้ามความรู้สึกของตัวเองไม่ได้จริง ๆ ชายหนุ่มรู้สึกไม่พอใจทั้งทีโมนและออกัส แต่เขาไม่พอใจตัวเองมากที่สุดที่ทำผิดพลาด
          ชายหนุ่มรู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองผิด แต่เขาก็เป็นเหมือนคนอื่น ๆ ที่ไม่อยากโทษตัวเอง ความไม่พอใจของเขาจึงเอาไปลงที่ออกัสอีกทีหนึ่ง แต่ก็เพราะรู้ว่าตัวเองผิดด้วยนี่แหละ ทำให้ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกแย่กว่าเดิมเพราะถึงเขาโทษออกัส ตัวของเขาเองก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้นแม้แต่นิดเดียว
          ออกัสเข้าใจดีว่าเพื่อนรู้สึกอย่างไร เขาจึงไม่เซ้าซี้อีก ชายหนุ่มตบไหล่ข้าวโอ๊ตเบา ๆ ก่อนจะกลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง ข้าวโอ๊ตก็เดินกลับห้องตัวเองด้วย
          ชายหนุ่มรู้สึกเซ็งอย่างบอกไม่ถูก เขาเปิดไลน์ อยากจะระบายความอัดอั้นตันใจที่มีอยู่ออกมาบ้าง แต่แค่เกริ่นว่า เบื่อที่ทำงานจัง เพื่อนในไลน์ก็ไม่มีใครสนใจเหมือนเดิม พากันคุยเรื่องอื่นกันหมด ทิ้งให้ชายหนุ่มจมอยู่กับอารมณ์ดำมืดที่มันกัดกร่อนจิตใจของเขา
          เสียงโทรศัพท์สายในดังขึ้น ข้าวโอ๊ตรับสายโดยอัตโนมัติ ไม่ทันได้ดูชื่อคนเรียก ดังนั้นเมื่อได้ยินเสียงคาร์ล เขาก็รู้สึกแปลกใจ
          “คุณโอ๊ตว่างไหมครับเย็นนี้ ผมอยากไปกินร้านที่คุณพูดถึงคราวก่อน คุณบอกว่าพิซซ่ากับพาสต้าอร่อยใช่ไหม”
          คำชวนของคาร์ลมาในเวลาที่เขาต้องการที่สุด ชายหนุ่มรู้สึกว่าน้ำตาของเขากำลังจะไหล
          “เที่ยงนี้เลยได้ไหม ผมไม่อยากกินข้าวในออฟฟิศ ออกไปกินข้าวข้างนอกบ้างน่าจะดี คุณจะไปกับผมไหม”
          “ได้สิครับ ผมอยากกินอยู่แล้ว งั้นเที่ยงนี้เลยนะ”
          “พอพักแล้ว ผมจะไปหาคุณที่ห้อง”
          ข้าวโอ๊ตวางหูโทรศัพท์ ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าคาร์ลจะได้ยินเรื่องที่ทีโมนพูดไหม เขาไม่สนใจว่าคำชวนของคาร์ลมันมาในจังหวะที่พอเหมาะพอดีมาก ตอนนี้เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เขาต้องการใครสักคน คนที่เขาจะคุยด้วยได้ ชายหนุ่มจึงไม่สนใจสายตาของคนทั้งออฟฟิศที่มองตามเขากับคาร์ลที่เดินออกไปด้วยกันในตอนพักกลางวัน
          ร้านอาหารที่ข้าวโอ๊ตแนะนำเป็นร้านอาหารเล็ก ๆ มีโต๊ะไม่ถึงสิบโต๊ะ อยู่บนชั้นสองของร้านขายตุ๊กตา ดอกไม้และของประดับบ้านแบบต่าง ๆ ทั้งสองร้านมีเจ้าของเดียวกัน ทำหน้าที่เป็นเชฟเองด้วย ราคาอาจจะค่อนข้างแพงไปสักนิด แต่รสชาติดีทำให้คนที่ทำงานอยู่ในละแวกนี้แวะเวียนมาอุดหนุนไม่ขาดสาย
          “เมนูของร้านมีเฉพาะพิซซ่า” ข้าวโอ๊ตส่งเมนูที่เป็นแผ่นไม้อัดให้คาร์ล แล้วบุ้ยใบ้ไปที่กระดานดำบนผนัง “ส่วนพาสต้ากับอาหารพิเศษประจำวันจะเขียนไว้บนกระดานดำ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ทุกอาทิตย์”
          คาร์ลสั่งพิซซ่าซึ่งมาเสิร์ฟเป็นถาด พิซซ่าแบบอิตาเลียนแป้งบางกรอบ ซอสรสเข้มข้นแบบต้นตำรับถูกปากคนยุโรปอย่างเขา ส่วนข้าวโอ๊ตสั่งสเต็กหมูพอร์กช็อปซอสพริกไทยดำ อาหารพิเศษประจำวัน ชายหนุ่มสั่งมันบดถ้วยใหญ่มาแบ่งกันกินซึ่งก็รสชาติดีเช่นกัน
          ข้าวโอ๊ตไม่เล่าเรื่องที่ทำให้เขาอารมณ์ไม่ดี คาร์ลก็ไม่ถามอะไรเช่นกัน เด็กหนุ่มชวนข้าวโอ๊ตคุยเรื่องงานอดิเรก ข่าวสารทั่วไป สุดท้ายเขาถามเรื่องงานแฟร์ที่ได้ยินว่าจะมีบริษัทเยอรมันเข้าร่วมด้วย
          “หมายถึงงานพลาสติกใช่ไหม ปีนี้ก็จัดที่ไบเทคเหมือนเคย คุณก็คงต้องไปช่วยที่บูธด้วยเหมือนกันนะ” ข้าวโอ๊ตพูด
          “ดีจังเลยนะครับจะได้ออกไปนอกออฟฟิศกันบ้าง” คาร์ลพูดด้วยความคาดหวัง ข้าวโอ๊ตฟังแล้วยิ้มนิด ๆ
          “เป็นอย่างนั้นก็ดีสิ”
          เมื่อเด็กหนุ่มรุ่นน้องมองมาเป็นเชิงถาม เขาจึงเล่าให้ฟังว่า
          “ไปเฝ้าบูธก็เหมือนไปเป็นเด็กรับใช้ให้ตัวแทนบริษัทลูกค้านั่นแหละ เราเป็นนายหน้าให้บริการบริษัทที่ต้องการมาออกบูธโฆษณาบริษัทตัวเองในงานแฟร์พวกนี้แบบครบวงจร ลูกค้าจ่ายเงินให้เรา เราก็เป็นธุระจัดการให้ทุกอย่าง ติดตั้งบูธ จัดพิมพ์แผ่นพับข้อมูลสินค้าอะไรต่าง ๆ ลูกค้าแค่ส่งตัวแทนมาก็พอ นอกนั้นเราดูแลทั้งหมด มีบูธกลางที่มีขนม ของว่าง เครื่องดื่มเอาไว้คอยดูแลตัวแทนบริษัทลูกค้า ก็บูธที่เราจะต้องไปเฝ้านี่แหละ พูดก็พูดเถอะ งานหลัก ๆ คือชงกาแฟ ตัดขนมปัง ตัดชีส ตัดแฮม เสิร์ฟเบียร์กับไวน์ แค่นั้นแหละ”
          “เอ แต่ผมว่าน่าสนุกดีออกนะ ถือว่าเราไปฝึกฝีมือการชงกาแฟไง เผื่ออนาคตคิดอยากเปิดร้านจะได้สบาย เครื่องชงกาแฟที่งานทำลาเต้ได้ไหม ผมว่าเรามาช่วยกันคิดลาเต้อาร์ตดีกว่า เอารูปแปลก ๆ จะได้น่าสนใจ ดีไหมครับ”
          “คุณนี่มองโลกในแง่ดีจังเลยนะ”
          ชายหนุ่มมองรอยยิ้มที่สดใสตรงหน้าด้วยความอิจฉาเล็ก ๆ
          “แต่เสียใจด้วยครับ เครื่องทำกาแฟที่บูธน่ะทำลาเต้ไม่ได้หรอก ทำได้แค่เอสเปรสโซกับอเมริกาโน่”
          ข้าวโอ๊ตดับความฝันของคาร์ลด้วยสีหน้าที่ดีกว่าเมื่อตอนเช้ามาก

          ตอนบ่าย ทีโมนเรียกประชุมเรื่องความคืบหน้าของงานต่าง ๆ ที่ออฟฟิศจะต้องจัด ออกัสรายงานเรื่องสถานที่จัดงานแนะนำผลิตภัณฑ์ของบริษัทเลมอนเซคิวริตี้ที่มีการทำสัญญากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ญาดาจัดทำรายชื่อหน่วยงานราชการที่จะเชิญพร้อมร่างจดหมายเชิญรอให้ทีโมนอนุมัติและลงนาม ข้าวโอ๊ตได้รับมอบหมายให้เป็นฝ่ายรวบรวมและจัดทำรายชื่อผู้เข้าร่วมงานซึ่งเป็นหนึ่งในงานที่ชายหนุ่มไม่อยากทำที่สุดเพราะไม่ใช่แค่ต้องคอยอัพเดตรายชื่อเท่านั้น เขายังต้องคอยรับโทรศัพท์ตอบคำถามเกี่ยวกับงานด้วยซึ่งบางทีก็มีคำถามลึก ๆ ที่ชายหนุ่มไม่รู้และตอบไม่ได้ ต้องโอนสายให้ญาดาเป็นคนคุยแทน บางทีเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมไม่ใส่ชื่อญาดาในใบตอบรับไปตั้งแต่แรก แล้วให้เขาดูแค่เรื่องอัพเดตรายชื่ออย่างเดียว แต่ชายหนุ่มก็ทำได้แค่บ่นในใจเท่านั้นแหละ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ญาดาไม่ทำหรอก โยนมาให้เขาที่แปะป้ายฝ่ายสนับสนุนหรือ “เบ๊” บนหน้าผากตลอด
          เรื่องสุดท้ายที่ประชุมกันคืองานพลาสติก
          ออกัสเป็นคนจัดการเรื่องเอาของต่าง ๆ สำหรับใช้ที่บูธที่ส่งมาจากเยอรมนีออกจากด่านศุลกากร และตอนนี้ของพวกนั้นก็มาถึงที่ออฟฟิศแล้ว เตรียมพร้อมจะถูกขนไปยังสถานที่จัดงานแฟร์ ออฟฟิศสั่งอาหาร ขนม และเครื่องดื่ม รวมทั้งไวน์มาจากเยอรมนีโดยเฉพาะเพราะต้องการใช้ยี่ห้อของชาติตัวเอง ไม่มีนโยบายใช้ยี่ห้อของชาติอื่น
          การจัดคนไปอยู่ที่บูธเป็นเรื่องสุดท้ายที่พูดคุยกันในห้องประชุม ทุกวันจะต้องมีพนักงานสองคนไปอยู่ที่บูธ คาริน่ากับทีโมนจัดตัวตามที่เห็นว่าเหมาะสมโดยที่ไม่ได้ถามความสมัครใจของพนักงานก่อน และมันก็เกิดปัญหา โดยเฉพาะกับข้าวโอ๊ต
งานวันสุดท้ายตรงกับวันเสาร์ ชื่อของเขาถูกใส่ให้ทำงานในวันนั้นกับออกัส
          “ผมทำงานวันเสาร์ไม่ได้ ผมไม่ว่าง ผมขอเปลี่ยนวัน” ข้าวโอ๊ตพูดตามตรง
          “งั้นใครจะทำแทน” คาริน่าขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ แต่ข้าวโอ๊ตไม่สนใจ แถมตอกกลับเบา ๆ ว่า
          “พวกคุณจัดรายชื่อกันเอง น่าจะถามก่อนว่าใครว่างหรือไม่ว่างวันไหนบ้าง”
          “ผมก็ไม่ว่างวันเสาร์เหมือนกัน” ออกัสพูด เสาร์อาทิตย์เป็นวันหยุดของเขา บริษัทไม่มีนโยบายให้โอที ถ้ามาทำงานวันเสาร์อาทิตย์ก็จะได้วันหยุดวันธรรมดาเพิ่มหนึ่งวันเท่านั้น ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นเขาก็ไม่อยากมาทำงาน
          คาริน่าทำหน้าบูดบึ้งเพิ่มเป็นสองเท่า ส่วนทีโมนอยากเอาใจออกัสก็เลยอะลุ่มอล่วยว่า
          “ถ้าคุณกัสไม่ว่างด้วย งั้นก็จัดตารางกันใหม่เลยแล้วกัน ใครอยากทำวันไหนบ้างครับ”
          เมื่อทีโมนพูดอย่างนั้น แม้คาริน่าจะไม่ค่อยเห็นด้วย แต่หล่อนก็ไม่อยากจะหักหน้าเขากลางที่ประชุมจึงทำแต่เพียงส่งค้อนให้ต้นเหตุทั้งสองคนเท่านั้น พึมพำโดยไม่ออกเสียงว่า
          “เรื่องมาก”
          “ผมทำงานวันเสาร์ได้นะครับ เพื่อบริษัท ผมยินดีครับ” นัตโตะเสนอตัวเองทันทีและเขาก็รู้สึกดีใจที่เห็นใบหน้าชื่นชมของทีโมน
          “ขอบคุณมากครับคุณนัต เหลืออีกคนหนึ่ง คุณมิคกี้ คุณมาทำได้ไหมครับ”
          ชายหนุ่มหันมาถามคนที่นั่งข้าง ๆ เขา
          “ได้ครับ ผมไม่มีปัญหา”
          “งั้นก็ลงตัว เท่ากับแลกวันกันเลย คุณกัสกับคุณโอ๊ตก็ตกลงกันว่าใครจะทำวันไหน”
          “นายว่างวันไหน” ออกัสหันไปถามข้าวโอ๊ต ฝ่ายหลังก็ตอบโดยไม่ทันคิดอะไรว่า
          “เราไปได้วันพุธกับวันศุกร์”
          ทุกคนฟังแล้วชะงัก ข้าวโอ๊ตงงอยู่แวบหนึ่งก่อนจะเข้าใจเมื่อก้มลงมองตารางงานใหม่อีกรอบ วันที่เขาเลือกคือวันที่คาร์ลไปทั้งสองวัน ชายหนุ่มไม่ทันคิดจริง ๆ ประกอบกับเรื่องเมื่อกลางวันอีกด้วยแล้ว ไม่แปลกเลยที่ใคร ๆ จะมองเขาด้วยสายตาประหลาด
          ออกัสอมยิ้ม จดวันที่เขาต้องไปทำงานลงในสมุดโน้ตเล่มเล็ก
          “งั้นของเราก็วันอังคารกับวันพฤหัส เป็นอันตกลงตามนี้”
          ข้าวโอ๊ตอยากตบกะโหลกตัวเองที่ไม่ดูตาม้าตาเรือขนาดนี้ จากสายตาของทุกคนที่มองมาด้วยความสงสัยปนล้อเลียน ชายหนุ่มคิดว่าต่อจากนี้ การกระทำทุกอย่างของเขาต้องถูกจับตามองอย่างแน่นอน

       

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
          สถานที่จัดงานพลาสติกอยู่ไม่ไกลจากคอนโดมิเนียมของข้าวโอ๊ตนัก นั่งรถไฟฟ้าบีทีเอสไปเพียงไม่กี่สถานีเท่านั้น ชายหนุ่มจึงไปจากคอนโดเลย ไม่มาที่ออฟฟิศก่อนแล้วค่อยนั่งรถไปกับบำรุงเหมือนคนอื่น ๆ
          ข้าวโอ๊ตไปถึงก่อนเวลาเปิดงานสิบห้านาที ที่บูธยังไม่มีคนมา ชายหนุ่มเคยมีประสบการณ์ทำงานที่บูธอย่างนี้มาหลายครั้ง สมัยเรียนปริญญาตรีและปริญญาโท เขาก็รับงานเฝ้าบูธแบบนี้เป็นงานพิเศษมาตลอด เขาจึงรู้ว่าควรจะทำอะไร
          ชายหนุ่มเปิดไฟที่บูธจนสว่าง ที่บูธมีห้องเก็บของเล็ก ๆ ที่มีตู้เย็นและอ่างล้างจานเล็ก ๆ ติดตั้งเอาไว้พร้อม ของทุกอย่างที่เอาไว้จัดบูธก็ถูกเก็บไว้ข้างในนี้ ชายหนุ่มหยิบธงชาติเยอรมันออกมาตั้งที่เคาน์เตอร์พร้อมกับกล่องช็อกโกแล็ต ขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ ของที่ระลึกติดตราบริษัทจำพวกปากกาลูกลื่น กระดาษโน้ต เข็มกลัด จากนั้นเขาเตรียมเครื่องชงกาแฟ จัดน้ำตาล นม กระดาษทิชชู่ แล้วเอาโบรชัวร์ไปเติมในชั้นหน้าบูธเป็นอันเรียบร้อย
          คาร์ลมาถึงตอนที่ข้าวโอ๊ตกำลังสำรวจของในตู้เย็นและบนชั้นเก็บของเพื่อให้ทราบว่าอะไรเก็บอยู่ที่ไหนบ้าง เด็กหนุ่มหิ้วถุงใส่ขนมปังถุงใหญ่มาด้วย เขาทักทายข้าวโอ๊ตด้วยรอยยิ้มกว้างเหมือนเดิม
          “สวัสดีครับคุณโอ๊ต”
          “สวัสดีครับ” ข้าวโอ๊ตทักตอบ ยื่นมือมารับถุงขนมปังจากมือคาร์ลพลางเปรยว่า
          “นอกจากเป็นบาริสต้า เรายังต้องเป็นเชฟด้วยใช่ไหมเนี่ย”
          คาร์ลหัวเราะ
          “เรียกว่าเป็นมือมีดดีกว่าครับ มา ผมจัดการเอง” คาร์ลอาสา ข้าวโอ๊ตปล่อยให้เด็กหนุ่มหั่นขนมปังเป็นชิ้น ๆ ไป ตัวเองเปิดตู้เย็นหยิบเอาแฮมสองห่อมาเปิดและจัดใส่จาน เตรียมไว้ให้ตัวแทนบริษัทลูกค้ารับประทานกับขนมปังเป็นอาหารเช้า
          “เมื่อวานคุณกัสเล่าว่าลูกค้าขอให้ผสมค็อกเทลให้ด้วยนะ คุณรู้ไหม เอาว็อดก้าขวดเล็กมาให้ขวดหนึ่งให้ผสมน้ำส้มให้”  คาร์ลชวนคุยขณะที่ช่วยกันยกจานขนมปังและแฮมออกมาตั้งที่โต๊ะเล็ก ๆ ด้านนอก
          “มีทั้งไวน์ทั้งเบียร์เต็มตู้เย็นยังจะดื่มค็อกเทลอีกเนี่ยนะ สุดยอดจริงพวกนี้”
          ข้าวโอ๊ตส่ายหน้าอย่างเอือมระอา แต่เขาไม่ได้วิจารณ์อะไรมากกว่านั้นอีกเพราะงานเปิดแล้ว คนเริ่มทยอยกันมา ตัวแทนบริษัทลูกค้าก็แวะเวียนกันเข้ามาขอกาแฟ น้ำผลไม้ และรับประทานขนมปังกับแฮมที่ถูกเตรียมเอาไว้
          งานแฟร์ในลักษณะนี้เปิดโอกาสในการพบปะคู่ค้ารายใหม่ ๆ ได้แสดงผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมชนิดใหม่ในตลาด ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน คนมาชมงานจึงหนาตาเหมือนทุกปีที่จัด แต่ข้าวโอ๊ตกับคาร์ลที่เฝ้าบูธอยู่ด้วยกันไม่ยุ่ง เนื่องจากมีหน้าที่ดูแลตัวแทนบริษัทลูกค้าเท่านั้น ถ้าไม่ต้องเสิร์ฟของกินให้พวกนั้น พวกเขาก็ว่าง เมื่อว่างก็มีเวลาที่จะพูดคุยกัน
          คาร์ลเป็นคนคุยเก่ง คุยได้กับทุกคน แม้แต่คนที่ค่อนข้างเงียบอย่างข้าวโอ๊ตยังยอมเปิดปากมากกว่าครั้งไหน ๆ เมื่อคาร์ลถามว่าเขาเคยไปเยอรมนีไหม ชายหนุ่มก็เล่าให้ฟังเรื่องที่เขาเคยได้ทุนไปเรียนต่อระยะสั้นที่เยอรมนี
          “เป็นมหาวิทยาลัยเล็ก ๆ ทางตะวันตกน่ะ ได้ทุนไปหาข้อมูลทำวิทยานิพนธ์หนึ่งเทอม มหาวิทยาลัยนี้กับมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนเป็นพันธมิตรกัน มีทุนให้นักศึกษาทุกปี เราก็ไปกันแต่ที่นี่แหละ เมืองเล็ก ๆ ไม่มีอะไรเลย แต่ก็สนุกดีครับ จบเทอมแล้วก็ยังไม่อยากกลับเลย”
          “แล้วได้ข้ามไปเที่ยวประเทศอื่น ๆ บ้างไหมครับ อย่างเช็คหรือออสเตรีย”
          “อยู่คนละฟากเลย นักศึกษาธรรมดา เงินไม่ค่อยจะมีหรอกครับตอนนั้น ก็ได้แค่ไปเที่ยวเมืองใกล้ ๆ อ้อ แต่ผมได้ไปอัมสเตอร์ดัมด้วยนะ ผมกับเพื่อนติดรถคนอื่นไป แบบที่เขาเรียกว่า mitfahren น่ะครับ เราก็ช่วยค่าน้ำมันเขา อยู่โน่นก็พักโฮสเทลห้องรวมถูก ๆ กินอยู่แบบประหยัดมาก เอาเงินเก็บไว้เข้าพิพิธภัณฑ์ ล่องเรือ สนุกมากครับ พูดถึงแล้วยังอยากไปแบบนั้นอีกสักครั้งจริง ๆ”
          แวบหนึ่งที่คาร์ลเห็นสายตาของข้าวโอ๊ตทอดมองไปแบบไม่มีจุดหมายและเหมือนจะมีน้ำตารื้นขึ้นมา แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มหันมายิ้มกับเขาและเปลี่ยนเป็นคนถามบ้าง
          “คุณเรียนที่มิวนิกใช่ไหมครับ แล้วเกิดที่นั่นด้วยรึเปล่า”
          “ผมเกิดที่เดรสเดน”
          “เกิดเมืองสวยเสียด้วยนะ ผมเคยเห็นในรูป”
          “คุณคิดจะไปเดรสเดนมั่งไหมล่ะ ถ้าคุณจะไปเยอรมนีอีกครั้ง ผมเป็นไกด์ให้เอง” คาร์ลอาสาด้วยความเต็มใจ เรียกรอยยิ้มจากข้าวโอ๊ตได้อีกครั้ง
          “เหตุผลหนึ่งที่ผมมาสมัครงานที่นี่ก็เพราะหวังว่าบริษัทจะส่งไปเยอรมนีนี่แหละ แต่ห้าปีกว่าแล้วยังไม่มีวี่แววเลย สงสัยผมต้องเสียเงินไปเองแล้วล่ะ”
          ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงละห้อยละเหี่ย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นว่า
          “ผมคงต้องเก็บเงินอีกเยอะ แต่ถ้าถึงตอนนั้น หวังว่าคุณจะยังยอมเป็นไกด์ให้ผมนะ”
          “สัญญาเลยครับ”
          คาร์ลรับคำอย่างหนักแน่น
          “เสาร์อาทิตย์นี้ทำอะไรรึเปล่า” ข้าวโอ๊ตถามหลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง
          “ยังไม่ได้วางแผนเลยครับ อาทิตย์นี้ผมไม่มีแผนไปต่างจังหวัด ก็อาจจะไปไหนสักแห่งในกรุงเทพฯนี่แหละ”
          “ไปดูหนังกันไหม เคยดูหนังไทยรึยัง อาทิตย์นี้มีหนังไทยน่าดูเข้าเรื่องหนึ่ง สนใจไหม”
          “อ้าว ไหนว่าคุณไม่ว่างวันเสาร์อาทิตย์ไงครับ” คาร์ลถามด้วยความแปลกใจ
          “ตอนกลางวันไม่ว่าง ผมมีสอนพิเศษเกือบทั้งวันทั้งเสาร์อาทิตย์ เลิกบ่าย ๆ ถ้าคุณตกลง คงต้องไปดูรอบเย็น คุณโอเครึเปล่า”
          “ได้สิครับ ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว คิดอยากจะดูหนังไทยเหมือนกัน แต่ยังไม่มีโอกาสเลย”
          คาร์ลพูด ก่อนจะมองข้าวโอ๊ตด้วยความทึ่ง
          “แต่คุณนี่เก่งจังนะครับ ขยันมาก นอกจากจะทำงานแปลนิยายแล้ว คุณยังสอนพิเศษด้วย ทำงานทั้งเจ็ดวัน ไม่เหนื่อยแย่รึครับ”
          ข้าวโอ๊ตยิ้มนิด ๆ ให้กับคำชมของเด็กหนุ่มรุ่นน้อง แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่ค่อยสดใสนัก
          “เหนื่อยครับ แต่ออกมาทำงานก็ดีกว่าอยู่ในห้องเฉย ๆ ไม่มีเวลาว่างให้นั่งฟุ้งซ่าน”
          เห็นสายตาสงสัยของคาร์ลที่มองมา ชายหนุ่มก็เลยรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว ไม่อยากจะเอาเรื่องของตัวเองมาบ่นให้คนตรงหน้าฟัง ถ้าแม้แต่คาร์ลยังเมินหน้าหนีเขาเพราะความเบื่อหน่ายเหมือนคนอื่น ๆ ชายหนุ่มจะยิ่งรู้สึกแย่มากกว่านี้
          “ตกลงรอบเย็นวันเสาร์นะครับ ผมจะจองตั๋วให้เอง จะพยายามหาโรงที่มีซับไตเติ้ลภาษาอังกฤษด้วย แต่ถึงไม่มี คุณก็น่าจะดูเข้าใจ เพราะเป็นหนังเบา ๆ เน้นตลก ดูไม่ยากครับ”

          การไปดูหนังวันเสาร์สำหรับหลายคนอาจเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับคนบางคนมันเป็นความหวังอันยิ่งใหญ่ นัตโตะรู้สึกอย่างนั้นเมื่อเขาได้รับข้อความชวนไปดูหนังจากทีโมน
          ในที่สุด!
          นัตโตะดีใจจนแทบอยากจะกระโดดเมื่ออ่านข้อความที่ทีโมนส่งมาให้เขาเมื่อตอนใกล้เที่ยงคืนของวันศุกร์
          ‘พรุ่งนี้ออกบูธวันสุดท้ายแล้ว เพื่อเป็นการขอบคุณที่คุณเสียสละมาทำงานวันเสาร์ ผมอยากชวนคุณไปดูหนังหลังจากจบงานแล้ว รบกวนตอบผมด้วยนะครับ ถ้าคุณไปได้ ผมจะได้จองตั๋วเตรียมไว้’
          นี่มันออกเดตชัด ๆ!
          นัตโตะกดส่งข้อความตอบรับคำชวนอย่างไม่มีการลังเล และทีโมนก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็วเหมือนกับรออยู่แล้ว
          ‘ผมดีใจมากที่คุณตอบรับคำชวนของผม แต่เรื่องนี้อย่าเอาไปบอกใครนะครับ ให้เป็นความลับระหว่างเราสองคน’
          นัตโตะแทบจะลงไปนอนดิ้นตายเพราะประโยคนี้ วันของเขามาถึงจนได้ วันที่เขามีตัวตนในสายตาของรองผู้อำนวยการสุดหล่อ ชายหนุ่มไม่สงสัยเรื่องที่เขาขอไม่ให้บอกใคร ทีโมนคงเป็นห่วงเขา ก็ที่ออฟฟิศมียายแก่คาริน่าที่หวงทีโมนยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ ถ้ายายนั่นรู้ เขาก็อาจจะกลายเป็นเป้าให้โดนจิกกัดกลั่นแกล้ง วันนี้คาริน่าจะเข้ามาที่งานด้วยเพราะเป็นวันสุดท้าย หล่อนต้องมาคอยกำกับดูแลการเก็บบูธ ของใช้ อาหารและเครื่องดื่มที่เหลือจะถูกเก็บกลับออฟฟิศทั้งหมด คาริน่าต้องมาด้วยตัวเองเพราะหล่อนไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น กลัวคนงานจะแอบขโมยของกลับบ้าน แต่เขาเคยได้ยินข้าวโอ๊ตกระซิบกับออกัสว่า คาริน่ากลัวพนักงานแอบยักยอกของกลับด้วยนั่นแหละถึงต้องมาควบคุมอย่างใกล้ชิด
          พูดถึงข้าวโอ๊ต นัตโตะก็อดนึกสมเพชไม่ได้ นี่คงหาใครไม่ได้แล้วจริง ๆ ถึงคิดจะเคลมนักศึกษาฝึกงานที่อายุห่างจากตัวเองกว่าสิบปี ตาต่ำที่สุด ถึงคาร์ลจะหน้าตาดี แต่มีภาษีสู้ทีโมนไม่ได้เลยสักนิด ไม่รู้หมอนั่นคิดอย่างไรถึงหน้ามืดตามัวได้ขนาดนั้น แต่ก็อย่างว่าแหละ คนที่ไม่ฉลาดก็มักจะมองอะไรง่าย ๆ
          นัตโตะชอบความรู้สึกที่เหนือกว่าอย่างตอนนี้จริง ๆ
          ยิ่งเมื่อมองคาริน่าหน้าเหวี่ยงที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว หรือมิคกี้ที่ชอบดูถูกเขา มันรู้สึกมีความสุขแบบสุด ๆ ไปเลย
          “ท่าทางอารมณ์ดีนะวันนี้ มีเรื่องดี ๆ อะไรเหรอ”
          มิคกี้อาศัยจังหวะที่บูธไม่มีคนถามนัตโตะที่เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาตั้งแต่เช้าอย่างน่าขนลุก
          “ก็นิดหน่อย”
         นัตโตะแกล้งอุบเพื่อให้อีกฝ่ายแสดงความอยากรู้มาก ๆ แต่มิคกี้ก็รู้ทัน เขารู้นิสัยของนัตโตะที่ชอบเรียกร้องความสนใจเป็นอย่างดีและลองทำท่าทางแบบนี้ ถึงเขาบอกว่าไม่อยากรู้ แต่นัตโตะก็อยากจะเล่าจนตัวสั่นอยู่ดี
          “ดีจังเลย เราสิ เมื่อวานทะเลาะกับแฟนนิดหน่อย นัดวันนี้ก็เลยต้องยกเลิก เฮ้อ นึกว่าจะได้ไปกินอะไรอร่อย ๆ หลังจากที่ต้องยืนจนเมื่อยขา อดเสียแล้ว”
          ปกตินัตโตะเป็นคนที่อยากรู้เรื่องของชาวบ้านมากที่สุดคนหนึ่ง แต่ตอนนี้เขาอยู่ในอารมณ์ที่อยากอวดเรื่องของตัวเองมากกว่าและยิ่งอีกฝ่ายเปิดจังหวะให้เหมือนรู้ขนาดนี้ นัตโตะก็อดที่จะ “ขยาย” เรื่องของเขาออกมาเพื่อข่มอีกฝ่ายไม่ได้
          “แย่จังเลยเนอะ เรากับแฟนไม่ค่อยทะเลาะอะไรกันหรอก เขายอมเราตลอดแหละ วันนี้เขาก็ชวนเราไปดูหนัง แล้วก็คงไปทานข้าวกันต่อ”
          “น่าอิจฉาจัง”
          “นายก็น่าจะหาแฟนที่เอาใจนายมากกว่านี้นะ ทำไมไปยอมอยู่ได้ เลิกเลยสิ แล้วก็หาคนใหม่ที่น่ารักแบบของเรา อย่างนายหาไม่ยากอยู่แล้วนี่ ใช่ไหมล่ะ”
          มิคกี้กัดฟันด้วยความไม่ชอบใจน้ำเสียงและคำพูดเยาะเย้ยของนัตโตะ แต่ที่เขายังยอมอดทนอยู่นี่เพราะสะดุดใจในท่าทีมั่นใจเอามาก ๆ ของอีกฝ่าย นัตโตะไม่มีแฟน เขารู้ดี โดนแหย่นิดหน่อยก็มักจะหลุดออกมาเป็นนัยว่ากำลังโกหก แต่วันนี้นัตโตะทำท่าเหมือนคนที่กำลังมีไพ่เหนือกว่าใครต่อใคร
          หรือว่าจะมีผู้ชายหน้ามืดมาหลงรักหมอนี่เข้าแล้วจริง ๆ
          ความอยากรู้ของมิคกี้พุ่งขึ้นสูงภายใต้ใบหน้าที่บังคับให้สงบนิ่ง

          นัตโตะนัดกับทีโมนไว้ที่โรงหนัง เมื่อเสร็จงานและคาริน่ายอมปล่อยทุกคนกลับ ชายหนุ่มก็ไม่รีรอที่จะอยู่ต่อ รีบพุ่งออกจากงาน ขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอสกลับเข้ามาในเมืองทันที
          ทีโมนเลือกโรงหนังในห้างสรรพสินค้าแถมสยามเพราะใกล้คอนโดมิเนียมของเขา ชายหนุ่มรออยู่ที่หน้าโรงหนังไม่นาน นัตโตะก็กระหืดกระหอบมาถึง
          “ขอโทษนะครับ มาสายไปหน่อย งานเลิกช้ากว่าที่คิดไว้ ผมอยู่ช่วยคาริน่าเก็บของด้วยเลยยิ่งช้า”
          เขาออกตัวพร้อมกับพูดเอาดีเข้าตัวไปพร้อมกัน ความจริงเขาไม่ได้อยู่ช่วยคาริน่าหรอก งานเลิกปุ๊บเขาก็ออกมาเลย แต่ถึงเขาอยู่ ยายเจ๊ประจำออฟฟิศก็ไม่ให้เขาแตะต้องอะไรทั้งนั้นแหละ
          “ไม่เป็นไรครับ ผมก็เพิ่งมาเหมือนกัน”
          คำพูดของทีโมนทำให้คนฟังปลาบปลื้ม ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายด้วยความชื่นชมแม้ว่าตอนแรกเขาออกจะตกใจอยู่สักนิดกับการแต่งตัวของคู่เดตของเขา
          แฟชั่นของทีโมนนี่ยิ่งกว่าตัวพ่อบนรันเวย์หรือบนพรมแดงที่เขาเก็บรูปมาเขียนวิจารณ์การแต่งตัวลงในเว็บบอร์ดเสียอีก แจ็กเกตสีเหลืองแปร๋น เสื้อตัวในแบบซีทรูผ่าอกลึก กางเกงสีขาวดำลายม้าลายพับขากางเกงขึ้นมาเล็กน้อย รองเท้าสีแดงเข้ม ใส่หมวกแก๊ปแบบฮิปฮอป
          นัตโตะได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ แต่ถ้าถามว่าเขาจะให้คะแนนเท่าไหร่ ชายหนุ่มก็ให้เต็มสิบอยู่ดีเพราะหน้าตาหล่อเหลาของทีโมนปิดหูปิดตาเขาหมด
          “ยังเหลือเวลาอีกเยอะก่อนจะถึงรอบหนัง เราไปหาอะไรดื่มกันสักนิดไหม ชั้นนี้มีร้านกาแฟ”
          ทีโมนชวนและนัตโตะก็ไม่ขัดข้อง ทั้งสองคนเดินไปที่ร้านกาแฟยี่ห้อดังที่มีคนเยอะตลอดเวลา แต่ก็ยังพอหาโต๊ะว่างได้ สั่งกาแฟกันคนละแก้ว แล้วทีโมนก็เริ่มชวนคุยเรื่อยเปื่อยก่อนจะวกเข้าสู่เรื่องที่เขาต้องการรู้
          “คุณกัสนี่เขายังคบกับแฟนอยู่ใช่ไหมครับ คนที่เคยมารับที่ออฟฟิศบ่อย ๆ ที่ผมยาวแล้วมัดไว้ข้างหลัง”
          “พี่ต้นใช่ไหมครับ ก็ยังคบกันอยู่นะครับ คุณถามทำไมเหรอ”
          “เปล่าหรอกครับ แค่ไม่ค่อยได้เห็นมารับคุณกัสแล้วเลยสงสัยนิดหน่อย”
          “พี่กัสเขาไม่เลิกกับพี่ต้นง่าย ๆ หรอกครับ สองคนนั้นอยู่ด้วยกันแล้ว ช่วยกันสร้างครอบครัว ผ่อนบ้านผ่อนรถเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนั้น ถ้ากฎหมายเมืองไทยให้เพศเดียวกันแต่งงานกันได้เมื่อไหร่ สองคนนั้นควงแขนเข้าประตูวิวาห์ก่อนเพื่อนแน่ครับ เขารักกันจะตาย”
           นัตโตะพูดยาวและตีกันออกัสไปในตัว ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าทีโมนสนใจออกัส แต่ติดตรงที่อีกฝ่ายมีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วก็เลยทำอะไรไม่ได้มากเท่าไร เขาต้องพยายามตอกย้ำให้ทีโมนเห็นว่าควรจะเลิกยุ่งกับออกัสได้แล้ว
           “โฮ่ รักกันมากขนาดนั้นเชียวนะครับ”
           ทีโมนยกกาแฟขึ้นดื่มเลยทำให้นัตโตะไม่ทันได้สังเกตเห็นรอยยิ้มพึงพอใจของอีกฝ่ายที่ได้ข้อมูลที่ตัวเองต้องการ เขาตั้งหน้าตั้งตาเล่าเรื่องของออกัสกับต้นที่เขารู้ให้ทีโมนฟังต่อ
          “ปีใหม่ก็วางแผนจะไปเที่ยวกันด้วยครับ พี่กัสเล่าเสียฟุ้งทั้งออฟฟิศว่าแฟนจะพาไปเที่ยวเกาหลี ตื่นเต้นยกใหญ่ ขนซื้อเสื้อผ้าข้าวของเตรียมตัวไปเที่ยวเต็มที่เลยล่ะครับ พวกผมงี้ยังแซวว่ารักกันมานานก็ยังหวานกันไม่เปลี่ยน พี่กัสหน้าแดงเลยล่ะครับ คู่นี้น่ารักจริง ๆ”
          “คุณกัสนี่เขาชอบช็อปปิ้งนะ”
          “โอ๊ย เรียกว่าบ้าดีกว่าครับ ว่างเมื่อไหร่ก็เห็นเข้าแต่เว็บขายของออนไลน์ บัตรเครดิตกี่ใบ ๆ วงเงินเต็มหมด แต่เห็นว่าแฟนรวย จะซื้อสักเท่าไรก็ไม่มีปัญหา”
           นัตโตะยิ่งเล่ายิ่งมันในอารมณ์ ผสมกับความอิจฉาริษยาที่ตัวเองไม่สามารถทำอย่างเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ได้ พูดไปเขาก็เลยใส่สีตีไข่แถมลงไปด้วยและหยิบยกข้อเสียของออกัสขึ้นมาจิกกัด
           “แต่มีแฟนบ้าช็อปยังงี้พี่ต้นคงลำบากอยู่บ้างเหมือนกันแหละครับ ที่ไม่มารับนี่คงเพราะมัวแต่ทำงานหาเงินมาให้แฟนช็อปปิ้ง ผมว่านะ อย่างพี่กัสน่ะ ใครได้เป็นแฟนมีแต่จะลำบาก ถ้าจะหาแฟนสักคน ผมคิดว่าเอาที่นิสัยดี มีน้ำใจ ขยันทำงาน ไม่ใช้เงินฟุ่มเฟือยดีกว่าตั้งเยอะ คุณว่าจริงไหมครับ”
          ทีโมนเออออไปกับนัตโตะแบบส่ง ๆ โดยไม่ได้สนใจมากนัก ที่เขาชวนชายหนุ่มออกมาดูหนังนี่ก็เพราะอยากจะชวนคุยเพื่อสืบเรื่องราวของออกัสโดยเฉพาะ และนัตโตะก็ให้ข้อมูลอะไรดี ๆ แก่เขาหลายอย่าง มันมากพอที่จะทำให้เขาปะติดปะต่อเรื่องได้ราง ๆ
          แล้วเมื่อถึงเวลาที่เขามั่นใจล่ะก็ ออกัสไม่พ้นมือของเขาแน่นอน
          แม้ว่าทีโมนจะค่อนข้างฝืนใจอยู่บ้างที่ต้องเดินกับผู้ชายหน้าตาไม่ดี แต่ผลลัพธ์มันก็คุ้ม แล้วยังได้ของแถมอีก เมื่อนัตโตะสะกิดให้เขาดูคนสองคนที่กำลังจะเดินผ่านพนักงานตรวจตั๋ว
          “เอ๊ะ คาร์ลกับคุณโอ๊ตนี่” เขาอุทานเบา ๆ ด้วยความแปลกใจ
          นัตโตะฉีกยิ้มน่าเกลียดออกมาขณะที่จงใจพูดว่า
          “สองคนนั่นมาดูหนังด้วยกัน งั้นที่คุณโอ๊ตบอกว่าไม่ว่างมาทำงานให้บริษัทก็เพราะนัดดูหนังกับคาร์ลนี่เอง อย่างนี้มันใช้ไม่ได้เลยนะครับ”
          “นั่นสิ อย่างนี้คงต้องตักเตือนกันสักหน่อยแล้ว”
          “วันก่อนสองคนนั่นก็ออกไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน ผมว่าปล่อยเอาไว้มันจะยิ่งไปกันใหญ่นะครับ พนักงานสนิทสนมกันเกินงามแบบนี้ มันไม่ดีเลย ออฟฟิศเราไม่ควรจะมีเรื่องชู้สาวแบบนี้”
          นัตโตะใส่ไฟเข้าไปอีกและมันเป็นสิ่งที่ทีโมนอยากทำอยู่แล้ว
          ชายหนุ่มตั้งใจว่าจะต้องจัดการเรื่องนี้ให้ได้เพื่อแสดงให้เห็นบทบาทที่เหนือกว่า โดยเฉพาะกับคนที่ตั้งตัวเป็นกบฏและไม่ยอมรับเขาอยู่ในทีอย่างข้าวโอ๊ต
          ทีโมนมุ่งมั่นจะแสดงความมีอำนาจของเขาโดยที่ไม่สนใจว่าตัวเขาเองก็กำลังทำเรื่องแบบเดียวกันอยู่เช่นกัน

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 11
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
ปวดหัวโดยรู้สาเหตุ (อิโมติค่อนรูปหน้าบึ้ง) ไม่อยากไปทำงานเลย ไม่อยากเจอพวกพูดจากลับกลอก พลิกดำเป็นขาวหน้าตาเฉย พวกว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง
Like – Comment – Share

          หลังเสร็จจากงานแฟร์ก็มีประชุมพนักงานอีกครั้งเพื่อประเมินผล งานพลาสติกที่เพิ่งจบลงไปก็เช่นกัน แต่ครั้งนี้พิเศษตรงที่วันประชุมตรงกับวันเกิดของพัดชาด้วยจึงตกลงกันว่าหลังประชุมจะกินเค้กฉลองวันเกิดให้แม่บ้านประจำออฟฟิศกัน
          ออกัสเป็นคนเลือกร้านเค้ก เมื่อก่อนคาริน่าอนุญาตให้ใช้เงินของออฟฟิศซื้อเค้กวันเกิดเลี้ยงทุกคนในออฟฟิศได้ แต่หล่อนมักจะใช้ให้บำรุงไปซื้อเค้กจากร้านอาหารที่เป็นร้านโปรดของด็อกเตอร์แฮร์มันน์ซึ่งมักจะมีเค้กอยู่แค่สองสามอย่าง รสชาติแค่พอรับประทานได้ มีที่รสชาติดีหน่อยก็เค้กช็อกโกแล็ตที่เข้มข้นแต่ค่อนข้างจะหวานอยู่สักนิดสำหรับคนไทย แต่ถูกปากด็อกเตอร์แฮร์มันน์เป็นอย่างมาก บำรุงก็เลยซื้อมาแต่เค้กช็อกโกแล็ตที่ว่านี้ พนักงานที่ออฟฟิศกินบ่อยเข้าก็เบื่อ กี่งานก็กินแต่แบบเดิม ๆ ออกัสเคยเสี่ยงเปลี่ยนร้านอยู่ครั้งหนึ่งโดยที่พนักงานคนไทยทุกคนให้ความเห็นชอบอย่างพร้อมเพรียงกัน จากเค้กช็อกโกแล็ตแบบเดิม ๆ ทุกคนจึงได้กินชูครีมแบบญี่ปุ่นรสชาเขียวที่ไม่หวานมากนัก คนไทยกินแล้วติดใจ แต่ฝรั่งทำหน้าเบ้ และการเปลี่ยนร้านก็ไม่เคยได้รับการอนุมัติอีกเลย หลังจากนั้นเมื่อถึงวันเกิดของใครคนใดคนหนึ่ง แล้วคาริน่าเดินมาถามว่าจะกินเค้กไหม เจ้าของวันเกิดมักจะส่ายหน้า และเมื่อเป็นอย่างนี้บ่อยครั้งเข้า หญิงสาวก็ถือเป็นข้ออ้างไม่ใช้เงินของออฟฟิศซื้อเค้กวันเกิดอีก แต่การฉลองวันเกิดของพนักงานในออฟฟิศก็ยังมีอยู่โดยการเรี่ยไรเงินกันเอง เมื่อไม่ต้องพึ่งเงินของออฟฟิศ ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจของคาริน่า ร้านเค้กจึงเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ แล้วแต่ว่าอยากจะกินเค้กของร้านไหน
          หลังจากเลือกเค้กกันได้ ออกัสก็ส่งรายการให้บำรุงไปซื้อ แล้วเมื่อเค้กมาถึง ทีโมนก็เรียกประชุม
          การประเมินผลไม่มีอะไรมากมาย เนื่องจากไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นระหว่างงาน การดำเนินงานเป็นไปอย่างเรียบร้อย แถมแบบประเมินที่ให้ลูกค้ากรอกเมื่อสรุปผลออกมาแล้วก็มีแต่คำชม ไม่มีคำติ ดังนั้นการสรุปงานจึงทำได้อย่างรวดเร็ว
          หลังเสร็จเรื่องงาน พัดชากับบำรุงช่วยกันยกเค้กมาเสิร์ฟและรับประทานร่วมกันในห้องประชุม ในเวลาแบบนี้ ถ้าด็อกเตอร์แฮร์มันน์อยู่ เขาจะเป็นคนควบคุมการสนทนา คือไม่เปิดโอกาสให้ใครได้พูด แต่จะเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้เองด้วยเสียงอันดังฟังชัดของเขา ครั้งนี้มีแต่ทีโมน ในห้องประชุมจึงไม่ได้มีแค่เสียงเดียว แต่มีเสียงพูดคุยดังประสานกันหลายเสียง ทุกคนรับประทานเค้กกันไปพูดคุยกันไปเรื่อย ๆ
           ข้าวโอ๊ตนั่งข้างคาร์ล จากที่ได้ไปดูหนังด้วยกันทำให้ทั้งสองสนิทสนมกันมากขึ้นและข้าวโอ๊ตยังต้องรบกวนให้เด็กหนุ่มช่วยเรื่องงานแปลด้วย เรื่องที่ต้องพูดกันจึงมีมากมาย คาร์ลได้อ่านต้นฉบับหนังสือนิยายที่ข้าวโอ๊ตจะต้องแปลแล้วและรู้สึกติดใจในความสนุก ดังนั้นทั้งสองคนจึงพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องนิยายกันด้วย
           ภาพที่ทั้งสองคนคุยกันอยู่ในสายตาของทีโมนและเขาก็รู้สึกขัดตาเป็นอย่างมาก
           “ทุกคนคงจะทราบกันดีใช่ไหมครับว่าด็อกเตอร์แฮร์มันน์ไม่ชอบให้มีเรื่องชู้สาวในออฟฟิศ”
           เหมือนหย่อนระเบิดลงกลางวง ทุกคนเงียบเสียงลงทันทีและสายตาหลายคู่ก็เบนมาที่ข้าวโอ๊ตกับคาร์ลจนทำให้ข้าวโอ๊ตรู้สึกอึดอัด
          “ผมก็ไม่ทราบหรอกนะครับว่าเรื่องมันเป็นยังไง แต่ผมได้ยินมาว่าช่วงนี้พนักงานของเราหลายคนใกล้ชิดกันจนน่าสงสัยว่าอาจจะมีอะไรเกินเลยรึเปล่า ผมขอไม่พูดถึงใครเป็นพิเศษก็แล้วกันเพราะมันก็ยังไม่มีหลักฐานอะไรที่แน่ชัด แต่ก็อยากขอเตือนให้เลิกพฤติกรรมแบบนั้นเสีย ไม่งั้นผมคงต้องเรียนให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ทราบ”
          ถึงชายหนุ่มจะออกตัวว่าเป็นการเตือนแบบรวม ๆ ไม่ได้หมายถึงใครคนใดคนหนึ่ง แต่การที่เขาจ้องเขม็งมาที่ข้าวโอ๊ตกับคาร์ลก็เป็นการบอกอย่างชัดเจนที่สุดว่าเขาหมายถึงใคร
          ข้าวโอ๊ตหน้าร้อนผ่าวด้วยความโกรธและเกลียดชัง ยิ่งเห็นนัตโตะมองมาด้วยสายตาเยาะ ๆ คาริน่าเองก็แสดงสีหน้าตำหนิออกมาอย่างชัดเจน ส่วนคนอื่น ๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมามากเท่ากับสองคนแรก แต่ก็พากันนิ่งเฉยไปหมด
ชายหนุ่มมองออกัสซึ่งเป็นคนที่ยุเขาเรื่องคาร์ลมากที่สุด แต่ออกัสก็ไม่สบตากับเขา ญาดาที่แม้ไม่ได้สนับสนุน แต่ก็ไม่เคยตักเตือนหรือห้ามปรามก็วางหน้าไม่รับรู้เช่นกัน สุดท้ายเขามองหน้าคาร์ลซึ่งก็หันมาสบตาเขาเข้าพอดี สายตาของคาร์ลแสดงความยุ่งยากใจ
          ความรู้สึกของเขาดิ่งวูบลงเหวอีกครั้ง มันเหมือนเขาต้องอยู่ตัวคนเดียวอีกครั้ง ไม่มีใครยืนเคียงข้างเขา ไม่มีใครอยู่กับเขา ไม่มีใครเลยจริง ๆ
          ไม่มีใครพูดอะไรกับข้าวโอ๊ต ดูเหมือนว่าในเมื่อทีโมนไม่ได้เอ่ยชื่อใครออกมา ทุกคนก็พร้อมใจกันทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น หรืออาจจะเพราะแต่ละคนมีชนักปักหลังอยู่เหมือนกันก็ได้ ถ้าเริ่มต้นชี้นิ้วเข้าใส่ใครก็อาจจะถูกตอกกลับมาหน้าหงายจึงไม่มีใครกล้าเสี่ยง แต่ลับหลังก็คงซุบซิบกันแน่นอน เขามั่นใจ
          ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกอ้างว้างมากขึ้น
          แต่เขาก็ยังโชคดีอยู่บ้าง ก่อนที่เขาจะรู้สึกแย่จนกู่ไม่กลับ ข้อความจากเพื่อนสนิทก็มาถึงพอดี
          สเตตัสของเขาในเฟซบุ๊กที่แทบไม่มีใครสนใจเริ่มมีคนกดถูกใจ บางสเตตัสมีการแสดงความเห็นตอบกลับ แม้จะเป็นคนเพียงคนเดียว แต่เขาก็รู้สึกดีใจอย่างที่สุด
          “เย็นนี้แกว่างไหม นุ่น ไปหาข้าวเย็นกินกันเถอะ ฉันอยากกินซาชิมิเต็มปากเต็มคำ ฉันไม่ไหวแล้ว!”
          ข้าวโอ๊ตกดโทรศัพท์หาเพื่อนสนิททันที เม็ดนุ่นใช้เฟซบุ๊กแบบนี้แสดงว่ากลับมาจากไปเที่ยวแล้วและหล่อนก็เป็นคนเดียวที่ว่างออกมาเจอเขาได้ตลอดไม่ว่าเขาจะนัดกะทันหันขนาดไหนก็ตาม
          ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ปลายสายตกปากรับคำอย่างง่ายดาย
          “เอาสิ งั้นไปร้านอาหารญี่ปุ่นแบบบุฟเฟต์แถวที่ทำงานแกที่เราเคยไปกินกันคราวที่แล้วก็แล้วกันนะ ซุปมิโสะร้านนั้นอร่อยดี ใส่หอยตัวเล็ก ๆ ด้วย ฉันชอบ”
          “ร้านไหนก็ได้แก ฉันไม่ไหวแล้ว ฉันอยากกินปลาดิบ!”
          เม็ดนุ่นหัวเราะเบา ๆ เมื่อได้ยินเสียงแว้ด ๆ ของเพื่อน ปกติข้าวโอ๊ตเป็นคนเงียบ ๆ แต่ลงโวยวายผิดวิสัยขนาดนี้ก็มีอยู่อารมณ์เดียวคือกำลังจิตตกและต้องการใครสักคนที่จะพูดคุยด้วยได้
           นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าวโอ๊ตเป็นอย่างนี้และทุกครั้งหล่อนก็จะอยู่กับเขา
          “เออ งั้นเลิกงานเมื่อไหร่รีบออกมาเลยนะ มากินกันให้เหงือกงอก ครีบงอก ขากลับก็ว่ายน้ำกลับกันเลย”
          วางสายจากเม็ดนุ่น ข้าวโอ๊ตรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยและก็ทำให้เขาสามารถอดทนจนถึงเวลาเลิกงานได้

           ร้านอาหารญี่ปุ่นที่เป็นสถานที่นัดหมายอยู่ใกล้กับออฟฟิศของข้าวโอ๊ตเพียงแค่เดินสิบนาทีก็ถึง เป็นสาขาที่เพิ่งเปิดใหม่ แต่มาตรฐานไม่ต่างจากร้านเดิมที่บริเวณถนนสีลม เจ้าของร้านเป็นคนญี่ปุ่น รสชาติอาหารจึงเป็นแบบต้นตำรับและตอนเย็นมีบริการบุฟเฟต์ ราคาต่อหัวค่อนข้างสูง แต่คุณภาพอาหารดี เดินทางสะดวก ร้านนี้จึงเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ เมื่ออยากจะรับประทานอาหารญี่ปุ่นขึ้นมา และเขาก็นึกอยากกินอยู่บ่อย ๆ เสียด้วย อาหารญี่ปุ่นเป็นอาหารที่เขาชอบที่สุด โดยเฉพาะเวลาที่เครียดแบบในตอนนี้
          เม็ดนุ่นยังมาไม่ถึง ข้าวโอ๊ตจึงเข้ามารอในร้านก่อน ชายหนุ่มเลือกนั่งในห้องส่วนตัวซึ่งต้องเพิ่มเงินอีกจำนวนหนึ่ง แต่เพื่อความเป็นส่วนตัวและเขาไม่อยากให้เสียงของเขาเวลาบ่นดังรบกวนคนอื่น เขาจึงไม่ลังเลเลยที่จะเลือกนั่งในห้อง
          ระหว่างรอ ข้าวโอ๊ตดูเมนูและสั่งอาหารเตรียมเอาไว้ ซาชิมิต้องสั่งเซ็ตใหญ่ เน้นที่แซลมอนกับปลาหมึกยักษ์เพราะทั้งเขาและหล่อนเป็นสายแข็งในการกินปลาดิบด้วยกันทั้งคู่ จากนั้นสั่งของกินเล่นเพิ่มอีกสองสามอย่างกับไม่ลืมซุปมิโสะของเม็ดนุ่น
          เพื่อนสนิทของเขามาถึงที่ร้านในเวลาเดียวกับที่อาหารที่สั่งเริ่มทยอยมาเสิร์ฟ
          เม็ดนุ่นเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ตัดผมซอยสั้น ทำสีทองสว่างทั้งหัว หล่อนยิ้มร่าโบกมือให้เขา แต่เมื่อถอดรองเท้าก้าวขึ้นบนยกพื้นจะเข้ามาในห้อง เพื่อนของเขาก็สะดุดจนศีรษะแทบคะมำ แต่ยังโชคดีที่ประคองตัวเอาไว้ได้
          ข้าวโอ๊ตส่ายหน้า
          “โรคซุ่มซ่ามของแกนี่แก้ไม่เคยหายจริง ๆ”
          “แก้ทำไม ผู้หญิงซุ่มซ่ามน่ารักจะตาย” เม็ดนุ่นลอยหน้าลอยตาพูด มือรับเมนูมาจากเพื่อน แต่เอาวางลงข้างตัวแทน เพราะอาหารที่วางพร้อมอยู่บนโต๊ะก็ดูจะเพียงพอแล้ว
          “นี่ของฝากจากหลวงพระบาง ไปเดินตลาดมืดมา เห็นแล้วนึกถึงแก น่ารักไหม”
          ข้าวโอ๊ตยิ้มชอบใจเมื่อแกะถุงกระดาษแล้วเจอตุ๊กตาทำจากผ้าปะติดหน้าตาตลก ตาสองข้างนูนพองออกมา
          “น่ารักดี ขอบใจนะที่อุตส่าห์นึกถึงฉัน” ชายหนุ่มพูด
          “แกล่ะ มีเรื่องอะไร ตั้งสเตตัสได้น่ากลัวมาก ที่ทำงานมันกดดันนักรึไง”
          ข้าวโอ๊ตถอนหายใจดังเฮือกก่อนจะพรั่งพรูเรื่องทั้งหมดออกมาให้เพื่อนฟัง ชายหนุ่มเล่า เล่า เล่า ยิ่งเล่าเสียงของเขาก็ยิ่งดังเพราะความเก็บกดเหมือนกับได้ระเบิดออกมา เม็ดนุ่นต้องคอยปรามให้เขาลดเสียงลง แต่มันก็กลับมาดังอีกอยู่ตลอด
          “วันนี้เลยแก อีทีโมนพูดกลางห้องประชุมเรื่องห้ามมีเรื่องชู้สาวในออฟฟิศ มันไม่ได้เอ่ยชื่อนะ แต่มองหน้าฉัน คือมันหมายถึงฉันกับคาร์ลเว้ย ฟังแล้วโมโหมาก อยากจะเอาส้อมจิ้มเค้กจิ้มหน้ามันสักที พูดออกมาไม่ได้ดูตัวเองเลย ตัวมันเองก็จ้องจะงาบออกัสกับพี่หญ้า ไม่ได้ตาบอดนะจะได้ไม่เห็น ยายคาริน่ากับนัตโตะก็อีก อยากจะกินอีทีโมนจนตัวสั่น แต่กลับมองฉันด้วยสายตาตำหนิติเตียน ทำไมคนเรามันถึงเลวได้ขนาดนี้วะ ฉันไม่เข้าใจ”
          สีหน้าของข้าวโอ๊ตเจ็บปวดแต่ก็บิดเบี้ยวจากการระบายความเกลียดชังที่อยู่ในใจออกมา
          “กลายเป็นว่าฉันเหมือนเป็นคนเลว ทำเรื่องเสื่อมเสียในออฟฟิศ คิดจะเคลมเด็กฝึกงาน”
          “แต่แกก็จีบน้องเขานะ”
          “คาร์ลเป็นเด็กน่ารัก พูดเก่ง ร่าเริงสดใส อยู่ใกล้เขาแล้วรู้สึกมีชีวิตชีวา ฉันชอบน้องเขานะแก รู้สึกดีที่ได้คุยกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน มันทำให้ฉันหายเหงา แต่เรื่องจะจีบหรือเป็นแฟน มันไม่ถึงขนาดนั้นหรอก มันเป็นไปไม่ได้ คาร์ลอยู่ที่นี่แค่สองเดือน มันไม่มีทางเลย ก็เหมือนกับเมื่อก่อนนั่นแหละ”
          “เรื่องมันก็ตั้งสิบปีแล้วนะ นี่แกยังไม่ลืมอีกเหรอ”
          “เรียกเข็ดจะดีกว่าว่ะ เรื่องความรักทางไกล เรื่องมีแฟนเด็กกว่า สุดท้ายมันก็ลงอีหรอบเดิม คือฉันต้องเจ็บเหมือนเดิม แล้วคาร์ลน่ะ อายุน้อยกว่าฉันตั้งเป็นสิบปี เขาไม่เอาแฟนอายุเท่าพ่ออย่างฉันหรอก”
          “พูดเสียโอเวอร์” เม็ดนุ่นส่ายหน้าอย่างระอา “มันไม่เกี่ยวกับอายุสักหน่อย แกคิดมากเกินไปอีกแล้วนะ ถ้ารักกันจริง ๆ น่ะ เรื่องอายุหรือระยะทาง มันก็ไม่ใช่อุปสรรค ฉันเล่าให้แกฟังแล้วนี่เรื่องตอนฉันไปญี่ปุ่นเมื่อตอนเดือนเมษายนน่ะ”
          “เพื่อนใหม่ที่เจอที่เกสต์เฮาส์ที่คานาซาว่าน่ะเหรอ” ข้าวโอ๊ตทบทวนความทรงจำ เม็ดนุ่นไปเที่ยวบ่อยมาก เดินทางไปโน่นมานี่ไม่มีหยุด หล่อนเขียนบล็อกบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางของหล่อน เขาชอบเข้าไปอ่าน เรื่องของหล่อนระหว่างเดินทางมีมากมาย เขาเองก็จำได้ไม่หมดทุกเรื่อง
          “ใช่แล้ว อัตสึโตะกับมานูเอล ชินจิ มายะ ยูเลี่ยน เด็กพวกนั้นอายุเท่า ๆ กับคาร์ลของแกนี่แหละ แต่พวกเขาก็จริงจังกับความรัก จริงใจกับคนที่พวกเขารัก อย่างคู่ของมานูเอลกับอัตสึโตะ นี่ก็จะได้มาอยู่ด้วยกันที่ญี่ปุ่นแล้ว ฉันยังเชื่อในความรักนะแก ถึงแม้ว่าขาฉันจะเกี่ยวคานอยู่ข้างหนึ่งแล้วก็เถอะ ถ้าเจอคนที่รักเราจริง ความรักมันก็ไม่จบลงง่าย ๆ เหมือนในอดีตหรอก ตอนนั้นพวกเราแค่โชคร้าย เจอคนที่มันไม่ดี อย่างอีฟรองซัวส์ของแก หรือแฟนเก่าฉัน เราก็เลยต้องเจ็บ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะจบแบบเจ็บ ๆ ทุกครั้งนี่ ครั้งนี้แกอาจจะโชคดีก็ได้ใครจะรู้ คาร์ลอาจจะชอบแกก็ได้ แกต้องมั่นใจในตัวแกเองมากกว่านี้นะ อย่าเอาแต่คิดว่าตัวเองไม่ดีพอ ไม่มีค่า ไม่มีใครรักสิ”
           “ฉันเพิ่งโดนด่าไปเองนะ”
           “ก็ช่างมันสิวะ” เม็ดนุ่นสวนคำค้านของเพื่อนทันควัน “เรื่องนี้เป็นเรื่องของแกกับคาร์ลสองคน ไอ้เรื่องห้ามจีบกันในออฟฟิศเนี่ยก็แค่อยากป้องกันไม่ให้เรื่องส่วนตัวกระทบกับงานเท่านั้นแหละ แต่ถ้าแกไม่ทำให้งานเสีย ไม่ทำให้ออฟฟิศปั่นป่วน ไม่ทำอะไรประเจิดประเจ้อน่าเกลียด แกจะสนิทกับใครจะรักกับใครมันก็เรื่องของแกไหมล่ะ หัดช่าง ๆ มันบ้างเหอะ ทำอะไรให้ตัวเองมีความสุขบ้าง มันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรสักหน่อย เออ ว่าแต่คาร์ลเถอะ แกคิดว่าน้องเขาชอบแกไหมล่ะ แล้วตอนที่โดนว่าในห้องประชุม น้องเขาว่าไงบ้าง”
           “ฉันไม่รู้ว่าคาร์ลคิดยังไง เขาดีกับฉัน แล้วเราก็สนิทกันระดับหนึ่ง แต่เรื่องชอบหรือไม่ชอบ ฉันไม่รู้จริง ๆ”
           ถึงตอนนี้ ข้าวโอ๊ตนึกถึงสีหน้าและสายตาของคาร์ลขึ้นมา เขาอยากจะคิดว่าตัวเองดูผิดไป แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสีหน้าและแววตาของคาร์ลแสดงความยุ่งยากลำบากใจออกมา
           “ส่วนเรื่องในห้องประชุม เรายังไม่มีโอกาสได้คุยกันเลย”
           “งั้นก็รอคุยก่อนค่อยว่ากัน” เม็ดนุ่นสรุป “แกน่ะเครียดมากเกินไปแล้ว ทั้งเรื่องงาน แล้วยังจะเรื่องผู้ชายอีก คิดมากเกินไปมันไม่ดีหรอกนะ จะป่วยเอาได้ เห็นแกแบบนี้แล้วฉันกลัวแกจะเป็นโรคซึมเศร้า หรือว่าฉันจะพาแกไปหมอดี ลองคุยกับจิตแพทย์ดูไหม เผื่อแกจะรู้สึกดีขึ้น ไม่คิดมากแบบนี้”
          “ฉันก็ไม่อยากจะคิดหรอกนะ นุ่น แต่มันห้ามไม่ได้ ในหัวของฉันมีแต่อะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด ถ้าเปรียบเหมือนสีก็มีแต่สีดำ มีแต่ความมืดมน ความสิ้นหวัง ฉันไม่อยากคิด แต่มันก็คิด บางทีรู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด หัวใจจะฉีกขาด มันทรมาน”
          เม็ดนุ่นเห็นท่าทางเป็นทุกข์ของเพื่อนแล้วรู้สึกสงสารมาก ข้าวโอ๊ตก้มหน้าลงจนศีรษะแทบจรดโต๊ะ สองมือจิกผมบนศีรษะจนน่ากลัวจะหลุดติดมือออกมา เสียงของเขาก็สั่นเทิ้ม
          หญิงสาวอยากปลอบใจเพื่อนให้คลายความทุกข์ลงบ้าง หล่อนคิดจะไปนั่งข้าง ๆ เขา ไปกอดปลอบเพื่อน แต่พอลุกอย่างใจคิด มือของหล่อนก็ไปปัดถ้วยชาบนโต๊ะหกกระจาย น้ำชาร้อน ๆ กระเด็นไปโดนแขนของข้าวโอ๊ตจนเขาสะดุ้ง อุทานว่า
          “อุ๊ย!”
          เสียงของเขาประสานเป็นเสียงเดียวกับเม็ดนุ่นที่ร้องด้วยความตกใจว่า
           “เฮ้ย!”
           ข้าวโอ๊ตพลิกแขนตัวเองขึ้นดูโดยอัตโนมัติ รู้สึกแสบเล็กน้อย เม็ดนุ่นลนลานควานหาขวดน้ำเปล่าที่คิดว่ามีติดอยู่ในกระเป๋าถือเพราะอยากจะเอามาล้างแขนให้เพื่อนเพราะกลัวแขนจะพอง แต่หาไม่เจอ หล่อนก็เลยใช้ชาเขียวเย็นของข้าวโอ๊ตเองนั่นแหละหยอดลงไปบนบริเวณที่โดนชาร้อนลวก แต่เผลอหนักมือไปหน่อย น้ำชาก็เลยถูกเทพรวดลงไปจนนองทั้งแขนและบนโต๊ะ ข้าวโอ๊ตกะพริบตาปริบ ๆ มองความเละเทะบนโต๊ะ ก่อนจะหันไปสบตากับคนต้นเหตุ
            เม็ดนุ่นทำหน้าแหย
            “ฉันขอโทษ”
            “ไม่เป็นไร เดี๋ยวเรียกพนักงานมาเช็ดโต๊ะ ส่วนแก อยู่เฉย ๆ นะ ห้ามขยับเขยื้อนเด็ดขาด”
            ข้าวโอ๊ตรีบพูด แล้วลุกออกไปนอกห้อง ไปเรียกพนักงานมาเช็ดโต๊ะและเก็บจานอาหารบางจานที่กินเหลืออยู่แต่ตอนนี้อาหารที่เหลือจมน้ำชาไปหมดจนกินไม่ได้แล้ว
            หลังจากพนักงานออกไปจากห้องแล้ว ข้าวโอ๊ตก็มองเพื่อนที่นั่งทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ตรงกันข้ามกับเขาด้วยสายตาขบขัน
           “โรคซุ่มซ่ามแกนี่เลเวลอัพขึ้นรวดเร็วมากว่ะ จากตอนแรกที่เป็นอันตรายต่อตัวเอง ตอนนี้เป็นอันตรายต่อคนอื่นด้วยแล้วนะ”
           “ฉันไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย” เม็ดนุ่นแก้ตัว ก่อนจะทักว่า
           “แกไม่ทำหน้าเศร้าแล้วนี่”
           “โดนชาร้อนไปขนาดนั้น แกยังจะให้ฉันเศร้าอยู่ได้อีกเหรอ” ข้าวโอ๊ตว่า น้ำชาเพิ่งเทออกมาจากกา ควันยังขึ้นฉุย โดนเข้าไปถึงกับสะดุ้งเฮือก ลืมไอ้ที่กำลังเครียด ๆ หรือว้าวุ่นใจอยู่ไปเลย
           แล้วชายหนุ่มก็ยิ้มกว้างขึ้นอีกนิด
           “ถ้าฉันเป็นโรคซึมเศร้าจริง ๆ ฉันว่าฉันไม่ต้องไปหาหมอหรือกินยาหรอก แค่อยู่กับแกก็พอแล้วมั้ง ฉันคงตื่นตัวมากพอ เพราะต้องคอยหลบลูกหลงจากความซุ่มซ่ามของแก”
           “ปากจัด” เม็ดนุ่นทำปากขมุบขมิบด่าเพื่อน
           “แต่คิดอีกทีก็คงยาก แกมันชอบแทด ๆ ไปโน่นมานี่ ไม่เคยหยุด หายไปทีหนึ่งเป็นอาทิตย์ ๆ ถามจริง มันสนุกนักรึไง ไอ้ชีวิตแบบนี้”
           “สนุกสิ ไม่ต้องนั่งอยู่แต่ในออฟฟิศ ทำงานซ้ำซากจำเจไปวัน ๆ เหมือนเมื่อก่อน ทำงานอิสระมันเลือกได้ อันไหนไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ สบายใจดี” เม็ดนุ่นตอบ ก่อนจะมองหน้าเพื่อนและพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมากขึ้น
          “แล้วแกล่ะ โอ๊ต ตั้งแต่เริ่มทำงานที่นี่ ฉันไม่เห็นว่าแกจะมีความสุขเลย หน้าหมองลงทุกวัน ๆ เหมือนกับคนโดนของ ถ้างานกับคนที่นี่มันทำให้แกทุกข์ขนาดนี้ ทำไมไม่ลาออก แล้วหางานใหม่ ทำงานอิสระแบบฉันก็ได้ เป็นนักแปลไงแก ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ แกจะได้มีความสุขสักที”
         “งานมันไม่ได้หากันง่าย ๆ นะนุ่น งานอิสระมันก็ดี แต่มันไม่มั่นคง ฉันยังต้องผ่อนคอนโดอีกเป็นสิบปี วันไหนเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาอีกล่ะ ลาออกมันเสี่ยงเกินไป งานแปลก็ไม่ได้มีเข้ามาบ่อย ๆ เดือนไหนไม่มีงานก็ลำบากแน่ ๆ จะเอาเงินที่ไหนผ่อนคอนโด แล้วฉันก็ไม่อยากรบกวนที่บ้านด้วย”
          “งั้นแกจะอดทนทำงานที่นี่ต่อให้จิตใจของแกมันแย่ลงทุกวัน ๆ อย่างนี้น่ะเหรอ ฟังฉันนะแก ฉันก็มีภาระผ่อนคอนโดผ่อนรถเหมือนแกเหมือนกัน แต่ฉันก็อยากจะทำในสิ่งที่ตัวเองชอบด้วย อยากจะใช้ชีวิตที่ไม่ต้องรู้สึกเสียดายทีหลัง เพราะฉะนั้น บางทีเราก็ต้องสู้ ต้องกล้าที่จะเสี่ยง ทำอะไรใหม่ ๆ บ้าง”
           เม็ดนุ่นเอื้อมมือไปกุมมือของเพื่อนเอาไว้
          “โอ๊ต โลกนี้มันกว้างใหญ่มากนะ แกอยู่ในออฟฟิศแคบ ๆ ทำงานเดิม ๆ แกจะไม่มีวันรู้เลยว่าแกทำอะไรได้บ้าง และในโลกนี้มันยังมีงานให้ทำอีกมากมายขนาดไหน งานแกตอนนี้อาจจะมีรายได้ดีก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่างานใหม่จะรายได้ดีไม่เท่าสักหน่อย”
          ข้าวโอ๊ตนิ่งเงียบ ท่าทางเหมือนกับคนที่คิดไม่ตก เม็ดนุ่นก็ไม่อยากจะกดดันเพื่อนให้มากขึ้นไปอีก หล่อนบีบมือเพื่อนที่กุมอยู่
          “เอาเถอะ ลองคิดดูก็แล้วกัน แต่ระหว่างที่คิด ไปเที่ยวกันก่อนไหมล่ะ แกทำแต่งาน แทบไม่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตาที่ไหนเลยถึงได้เครียด ปีใหม่นี้ไปญี่ปุ่นกับฉันเถอะ ไปเต็มโควต้าฟรีวีซ่าเลย สองอาทิตย์ ฉันจะไปโตเกียวอีกรอบ แล้วก็ไปแช่ออนเซ็นดูภูเขาไฟฟูจิ อยากไปชิสึโอกะด้วย แล้วก็ว่าจะข้ามไปคานาซาว่าอีกสักรอบ แวะเที่ยวชิราคาวะโกะกับทาเทยาม่า แล้วค่อยขึ้นเครื่องบินกลับที่นาโงย่า มันต้องสนุกแน่นอน ไปนะ”
          “ไม่รู้สิ มันตั้งสองอาทิตย์” ข้าวโอ๊ตลังเล
          “ไปเถอะ ฉันจะได้แนะนำให้แกรู้จักกับพวกอัตสึโตะด้วย เด็กพวกนั้นน่ารักกันทุกคน”
          “หล่อรึเปล่า ถ้าหล่อฉันอาจจะสนใจก็ได้”
          “เรียกว่าดีงามมากเลยดีกว่า โดยเฉพาะอัตสึโตะ หล่อเหมือนนักเตะทีมชาติญี่ปุ่นเบอร์สองที่เป็นกองหลังที่ดัง ๆ น่ะ คนอื่น ๆ ก็หน้าตาดีนะ เออใช่ ยังไม่เคยเอารูปให้แกดูเลยนี่”
          ข้าวโอ๊ตรับโทรศัพท์มือถือจากเพื่อนมาดู หน้าจอแสดงภาพหมู่ของคนห้าหกคนถ่ายบนสะพานหน้าปราสาทแบบญี่ปุ่นสีขาวและต้นซากุระออกดอกสีชมพูหวาน เพื่อนของเขาตัวเตี้ยสุดยืนยิ้มแฉ่งอยู่ตรงกลาง ทางขวามือเป็นผู้ชายหน้าตาน่ารักที่คงเป็นอัตสึโตะเพราะมีหนุ่มเยอรมันผมทองกอดบ่าอยู่อย่างสนิทสนมและอีกข้างมีหนุ่มญี่ปุ่นหน้าตาดียืนชิดติดแนบแน่นอย่างไม่ยอมน้อยหน้า หน้าของเขาดูบึ้ง ๆ แต่ก็ดูดีไปอีกแบบ
          “หล่อใช่ไหมล่ะ หน้าตาดีกว่าพวกนักร้องดาราหรือบรรดาหนุ่ม ๆ โมเดลหนัง GV ในคอลเลคชั่นของแกเสียอีกนา น้องโช น้องนางิ หนูฮิคารุให้หลบไปเลย นี่สิ! คนตัวเป็น ๆ จับต้องได้ ดีกว่าเห็น ๆ”
          “แกจะชวนฉันไปเที่ยวหรือชวนไปหาคู่กันแน่”
          “สองอย่างเลยก็ด้าย” เม็ดนุ่นยักคิ้วให้ด้วยท่าทางกวน ๆ “อยากให้เพื่อนมีผู้ชายข้างกายเสียที”
          “ไปกันใหญ่ละ พอเหอะ เลิกพูดเล่นได้แล้ว”
          ข้าวโอ๊ตตัดบทพร้อมกับส่งโทรศัพท์คืนให้ เม็ดนุ่นรับมา แต่ก็ยังอดแถมท้ายอีกนิดไม่ได้ว่า
          “ฉันพูดจริง ๆ นะ ถ้าแกไปเที่ยว แล้วมันจะทำให้แกได้ปลดปล่อยอะไร ๆ ที่มันผูกรัดตัวกับหัวใจแกอยู่ทำให้แกลังเล ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือความรัก ฉันก็จะสนับสนุนแกทุกวิถีทาง ออกค่าเครื่องบินให้ยังได้เลยเอ้า!”
          ชายหนุ่มทำหูทวนลม คีบปลาดิบในจานเข้าปากทำเป็นไม่สนใจสิ่งที่เพื่อนพูด แต่ข้าวโอ๊ตยอมรับว่า ตอนนี้เขารู้สึกดีขึ้นกว่าตอนที่เดินเข้ามาในร้านมากทีเดียว

ออฟไลน์ Alice111

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
ชอบภาษาที่เขียนมากเลยค่ะมันไหลลื่นมากอ่านแล้วไม่มีสะดุดเลยค่ะ เหมือนอ่านหนังสือนิยายจริงๆ ลุ้นข้าวโอ๊ตอยู่ตลอดเวลา อ่านแล้วเห็นภาพงานในออฟฟิต มีทั้งคนที่เราอยากร่วมงานด้วยและไม่อยากร่วมงานด้วย มันเป็นเรื่องปกติมันมีทุกทีทั่วไปเลยจริงๆ 

  :L2: :L2: :L2: ให้คนแต่งค่ะ  o13 o13 o13

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
เพื่อนน่ารักนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
นานๆ ที จะเห็นนิยายที่เก็บรายละเอียด และบรรยายได้ดีงามทุกตัวอักษรอย่างนี้
ตบมือรัวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 12
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
ให้ชีวิตมันมีอะไรดีขึ้นสักนิดเถอะ แค่นิดเดียวก็ยังดี ให้เราได้มีความหวังบ้าง
Like – Comment – Share

          บรรยากาศในออฟฟิศยังคงไม่ดีขึ้น ตั้งแต่ทีโมนประกาศปรามเรื่องความสนิทสนมแบบเกินเลยระหว่างพนักงานด้วยกันในห้องประชุมเมื่อวันนั้น
          ข้าวโอ๊ตนิ่งขรึมลงและเขายังไม่ได้คุยกับคาร์ลจนแล้วจนรอด
          ระหว่างชายหนุ่มกับออกัสก็มีช่องว่างเกิดขึ้นเพราะเรื่องงานตรวจสอบบริษัททำให้เขาไม่ค่อยได้ออกไปเกาะโต๊ะคุยกับออกัสเหมือนที่เคยทำเป็นประจำ
          ออกัสเองก็รู้สึกถึงความห่างเหินที่เกิดขึ้น แต่เขาบอกตัวเองว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่าตัวเองจะต้องเป็นฝ่ายไปปรับความเข้าใจกับเพื่อนก่อน แม้ว่าการที่คิดอย่างนี้จะทำให้เขาต้องสูญเสียพันธมิตรไปคนหนึ่งและทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าลำบากใจก็ตามที
          ญาดาลาพักร้อนหนึ่งวันเพื่อจัดการธุระทางบ้าน ตรงกับวันที่ทางโรงแรมอินเตอร์เชิญไปชิมอาหารตามรายการที่บริษัทเลือกเอาไว้สำหรับงานสัมมนาแนะนำผลิตภัณฑ์ ทีโมนถือโอกาสนี้ออกคำสั่งให้ออกัสไปกับเขาแค่สองคนทันที ไม่ต้องให้ข้าวโอ๊ตไปด้วย ออกัสพยายามจะค้าน แต่เมื่อไม่มีทั้งญาดาและข้าวโอ๊ตเป็นตัวหนุน หนึ่งเสียงของเขาก็ไม่อาจคัดค้านการตัดสินใจของรองผู้อำนวยการได้ ชายหนุ่มจึงต้องไปกับทีโมนอย่างไม่มีทางเลือก
          “ผมดีใจนะที่เราได้อยู่กันแค่สองคน ไม่ต้องมีคนอื่นมาด้วย”
          ทีโมนแกล้งโน้มตัวไปกระซิบใกล้หูออกัส เมื่ออยู่ในรถด้วยกัน แต่เขาก็ยังสงวนท่าทีอยู่ ไม่รุกเป้าหมายของเขามากกว่านี้เพราะในรถยังมีบำรุงอยู่อีกคนหนึ่ง
          ออกัสขยับตัวหนีทันที สีหน้าของเขาไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
          “คุณเพิ่งพูดเรื่องความสนิทสนมระหว่างพนักงานอยู่หยก ๆ แต่ตอนนี้คุณกำลังทำเสียเองนะ”
          “ผมก็ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อยนี่นา ผมแค่พูดกับคุณเฉย ๆ คิดมากไปรึเปล่า คุณกัส”
          เมื่ออีกฝ่ายยืนกระต่ายขาเดียวอย่างนั้น ออกัสก็โต้เถียงอะไรไม่ออก ได้แต่พยายามระงับอารมณ์และอยู่ห่างจากทีโมนเท่าที่จะทำได้จนกระทั่งบำรุงขับรถมาถึงจุดหมายปลายทาง
          เซลส์โรงแรมที่ออกัสไม่ถูกชะตาด้วยเป็นคนมาต้อนรับและเชิญทั้งสองคนไปที่ห้องอาหาร
          ระหว่างที่เดินไปด้วยกัน ป้าเซลส์ที่ออกัสแอบนึกเรียกอยู่ในใจประกบติดทีโมน พยายามชวนคุยและแนะนำโรงแรมด้วยความกระตือรือร้น แต่ไม่ได้ใส่ใจออกัสมากนัก
          ถ้าเป็นครั้งที่แล้ว ชายหนุ่มคงไม่สบอารมณ์ แต่ตอนนี้เขานึกอยากจะกราบขอบคุณป้าเซลส์แนบอกที่ช่วยดึงทีโมนไปห่าง ๆ เขาได้
          การชิมอาหารใช้เวลาไม่นาน เมนูอาหารที่เลือกเป็นอย่างที่ออกัสกับคนอื่น ๆ เดากันเอาไว้ นั่นคือเน้นอาหารเยอรมันเป็นหลัก อาหารก็เป็นชนิดเดิม ๆ คือ กูลาชเนื้อ หมูชุบเกล็ดขนมปังทอดหรือชนิตเซล สลัดไส้กรอกและชีส สลัดมันฝรั่ง รวมทั้งไส้กรอกและแฮมชนิดต่าง ๆ
          ชายหนุ่มตักชิมนิด ๆ หน่อย ๆ เพราะอาหารเยอรมันส่วนใหญ่มีรสเค็มและติดจะเลี่ยน ไม่ถูกปากเขาเท่าไรนัก และอาหารของโรงแรมนี้จะว่าไปก็รสชาติธรรมดา ๆ ไม่ถึงกับชิมแล้วต้องร้องว้าว
          “เป็นยังไงบ้างคุณกัส ใช้ได้ไหมครับ” ทีโมนหันมาถามความเห็นของเขา
          “ก็ไม่เลวนะครับ บางอย่างติดจะเค็มไปนิด อย่างกูลาช แต่รวม ๆ ก็ใช้ได้”
          ออกัสยั้งปากยั้งคำเอาไว้ไม่ให้วิจารณ์ไปตามใจคิดเพราะเห็นแก่ความดีที่ป้าเซลส์ทำให้เขาโดยไม่รู้ตัว ทีโมนก็ไม่มีปัญหากับอาหาร เขาแสดงความพอใจเมื่อเชฟใหญ่ออกมารับฟังคำติชมเรื่องอาหารด้วยตัวเองและทุกอย่างก็ตกลงกันได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร
          ออกัสคิดว่าเสร็จจากตรงนี้แล้วก็จะได้กลับออฟฟิศกันเลย แต่ชายหนุ่มคิดผิด
          ป้าเซลส์ส่งคีย์การ์ดห้องพักให้ทีโมนและเดินมาส่งถึงที่ลิฟท์ หล่อนยิ้มแย้มบอกทีโมนว่า
          “ห้องพักของเราถึงจะเป็น standard type แต่ก็หรูหราเท่ากับห้องแบบ deluxe ของโรงแรมอื่น วิวก็ดีด้วยค่ะ เห็นวิวกรุงเทพฯ ในมุมกว้าง คุณต้องชอบแน่ ๆ ค่ะ แล้วถ้าคุณตกลง ดิฉันจะประสานงานกับทางแผนกจองห้องให้กันห้องที่ดีที่สุดเพื่อแขกของคุณค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
          “ขอบคุณมากครับ ยังไงขอผมขึ้นไปดูก่อนนะครับ แล้วตัดสินใจยังไงจะรีบแจ้งทางโรงแรมครับ”
          ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในลิฟท์ ออกัสแม้ว่าจะงงและไม่รู้เรื่องว่าวันนี้จะต้องดูห้องพักด้วยก็จำต้องก้าวเข้าไปในลิฟท์เพราะสายตาสองคู่กดดันเขา แต่เมื่อเขาเห็นป้าเซลส์แค่กดลิฟท์ให้ ไม่มีทีท่าว่าจะขึ้นไปด้วย เขาก็ถามด้วยความแปลกใจว่า
          “อ้าว ไม่ไปด้วยกันหรือครับ”
          “ทางเราอยากให้ลูกค้ามีเวลาชมห้องและปรึกษากันได้ตามสบายค่ะ ยังไงถ้าชมห้องเสร็จเรียบร้อยแล้วโทรศัพท์หาดิฉันหรือจะคืนกุญแจที่ฟร้อนท์เลยก็ได้นะคะ”
          พูดจบ หล่อนก็กดปิดประตูลิฟท์ เล่นเอาออกัสงงเพราะไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน แต่เมื่อเห็นหน้าสมอกสมใจของทีโมนแล้ว ชายหนุ่มก็รู้ทันทีว่าเขาตกหลุมพรางของหมอนี่เข้าเสียแล้ว
          “ถ้าคุณจะไปดูห้องก็เชิญคุณไปดูคนเดียวก็แล้วกัน ผมขอไปรอที่ล็อบบี้” ออกัสรีบบอกทันทีและทำท่าจะกดหยุดลิฟท์ แต่ก็ต้องชะงักมือเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดว่า
          “คุณไม่อยากไปดูเหรอว่าห้องที่นี่สวยสู้ห้องของคอนโดได้รึเปล่า”
          “หมายความว่ายังไง”
          “เราไปคุยกันในห้องดีกว่า”
          ออกัสกัดฟันแน่น ทีโมนพูดเหมือนรู้อะไรสักอย่างและจากสายตาของหมอนั่น มันไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
          เมื่อลิฟท์เปิด ทีโมนเดินออกมาก่อน เขาหันหลังกลับมามองออกัสที่ยังยืนนิ่งอยู่ในลิฟท์ ทั้งสองคนยืนมองหน้ากันนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ แล้วในที่สุด ออกัสก็จำใจเดินออกมาจากลิฟท์อย่างไม่มีทางเลือก
          ทีโมนใช้คีย์การ์ดเปิดประตูห้องพัก ห้องที่เซลส์โรงแรมเลือกให้พวกเขาชมอยู่บนชั้นที่ยี่สิบ ตกแต่งได้อย่างหรูหราสมกับที่โฆษณาเอาไว้ กระจกหน้าต่างกว้างทำให้ห้องสว่างไสวและเห็นวิวอาคารบ้านเรือนได้อย่างชัดเจน ทีโมนเดินสำรวจไปรอบห้องด้วยความพอใจ ก่อนจะไปหยุดยืนตรงหน้าต่าง มองวิวด้านนอกด้วยความชื่นชม
           “ห้องสวย วิวก็สวย มาดูสิครับคุณกัส” ทีโมนหันมากวักมือเรียกเขา แต่ออกัสยังยึดพื้นที่บริเวณประตูห้องอย่างเหนียวแน่น ไม่ยอมเดินมาหาตามที่อีกฝ่ายเรียกและชายหนุ่มก็ไม่มีอารมณ์จะชื่นชมความสวยงามของห้องพักหรือวิวทิวทัศน์ใด ๆ ด้วยในตอนนี้
          “คุณอยากพูดอะไรกับผมก็พูดมาเลยดีกว่า”
          “ใจร้อนจัง” ทีโมนยั่ว ก่อนจะผละจากหน้าต่างเดินมานั่งลงบนเตียง
          “งั้นเรามานั่งคุยกันดีกว่าครับ ยืนอยู่อย่างนั้นเมื่อยแย่” เขาตบพื้นเตียงข้างตัว ออกัสชักสีหน้าทันที
          “ผมไม่เมื่อย คุณพูดมาเลยเถอะ”
          ทีโมนยักไหล่ แต่ก็ยอมทำตาม และเขาก็เริ่มต้นอย่างไม่มีการอ้อมค้อมด้วยการบอกว่า
          “ผมเห็นคุณที่คอนโด กำลังจะขึ้นลิฟท์ไปที่ห้องพัก คุณมากับผู้ชายคนหนึ่งที่ผมแน่ใจว่าไม่ใช่แฟนของคุณอย่างแน่นอน”
          “นั่นเพื่อนผม วันนั้นผมไปเยี่ยมเพื่อน” ออกัสแก้ตัว แต่เขารู้สึกว่าลำคอของเขาแห้งผากพิกล น้ำลายที่กลืนลงไปก็บาดคอจนเสียงที่เปล่งออกมาแหบแห้งผิดไปจากเดิม
          “เอ เพื่อนคนนี้ท่าทางจะสนิทสนมกันมากนะครับ ขนาดที่ว่าคุณทั้งกอดทั้งจูบเขา เพื่อนนี่เขาทำกันอย่างนี้เองนะ”
          ออกัสเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นภาพในโทรศัพท์ที่ทีโมนชูให้ดู ในภาพนั้น คนสองคนกำลังจูบกันอย่างดูดดื่ม คนหนึ่งในสองคือเขาอย่างแน่นอน แต่เขาไม่รู้ตัวเลยว่าถูกถ่ายภาพเอาไว้ตั้งแต่ตอนไหน
           “เห็นหน้าชัดเจนขนาดนี้ ถ้าผมเอาภาพนี้ไปให้แฟนคุณดู มันจะเป็นยังไงนะ ได้ยินว่าแฟนคุณรักคุณมากเสียด้วย เขาคงเสียใจพิลึกที่เห็นแฟนคนดีกอดจูบกับผู้ชายคนอื่นแบบนี้ คุณว่าไหม”
           “คุณต้องการอะไร แลกกับภาพนั่น”
          ทีโมนไม่ตอบ เขาลุกจากเตียงที่นั่งอยู่เดินเข้ามาหาออกัสอย่างเงียบ ๆ ท่าทางของเขาไม่เชิงว่าคุกคามแต่ออกัสก็ถอยจนหลังติดประตูและเมื่อทีโมนใช้สองมือเท้าประตู เขาก็ถูกขังอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายอย่างไม่เต็มใจ
          “คุณก็น่าจะรู้ว่าผมต้องการอะไรจากคุณ” ทีโมนกลืนน้ำลายลงคอ สายตาโลมเลียมองคนที่อยู่ในอ้อมแขนอย่างไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป “ยอมทำตามใจผม แล้วผมจะลบรูปนี้ทิ้ง แต่ถ้าคุณไม่ยอม ผมจะส่งรูปนี้ให้แฟนคุณดู”
          พูดจบเขาก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ เป้าหมายคือริมฝีปากของออกัส แต่ก่อนที่ริมฝีปากจะประกบกัน ออกัสก็ผลักทีโมนเต็มแรงจนเขาเซเกือบจะล้มและออกัสก็เป็นอิสระในที่สุด
          “สกปรกที่สุด” ชายหนุ่มด่าด้วยความรังเกียจ แต่ทีโมนก็ไม่แคร์
          “ถ้าคุณยอมผมตั้งแต่แรก ผมก็คงไม่ต้องทำอะไรแบบนี้หรอก ว่ายังไงล่ะคุณกัส”
          “ผมไม่มีวันทำเรื่องบ้า ๆ แบบนั้นแน่” ออกัสพูดเสียงแข็ง แต่แววตาของเขาหวั่นไหว
          “อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธสิ ผมจะให้เวลาคุณคิดอีกสักหน่อยก็ได้ คิดให้ดี ๆ แต่ก็อย่าคิดนานนักล่ะ ไม่งั้นผมอาจจะเปลี่ยนใจ ส่งรูปนี้ไปให้แฟนคุณดูเล่นก็ได้”
          ออกัสทนอยู่ในห้องไม่ไหวอีกต่อไป ชายหนุ่มเปิดประตูห้องแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

           ระหว่างที่ออกัสไม่อยู่ในออฟฟิศ ข้าวโอ๊ตต้องมานั่งที่เคาน์เตอร์รีเซปชั่นแทน และทุกครั้งที่เขานั่งตรงนี้เขาก็จะยุ่งตลอด ทั้งรับโทรศัพท์ ทั้งงานของออกัสและงานของเขาเอง แต่เมื่อเขาได้นั่งข้างหน้าออฟฟิศอย่างวันนี้ เขาก็มีโอกาสได้คุยกับคาร์ล
เด็กหนุ่มอาศัยจังหวะที่ข้าวโอ๊ตว่างเดินออกมาหาที่โต๊ะ สีหน้าของเขาไม่ค่อยสดใสเท่าไรนัก ดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่ข้าวโอ๊ตคนเดียวที่คิดไม่ตกกับเรื่องที่เกิดขึ้น
          “ผมอยากขอโทษเรื่องที่ทำให้คุณถูกตำหนิในห้องประชุม”
          “คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษสักหน่อย คุณไม่ได้ทำอะไรผิดนะ”
          ข้าวโอ๊ตรีบพูด ชายหนุ่มเคยกังวลว่าคาร์ลจะคิดอย่างไร ตอนนี้เขาก็ยังกังวลอยู่ เพราะท่าทางของเด็กหนุ่มรุ่นน้องไม่สบายใจเลย เขาไม่รู้ว่าที่คาร์ลไม่สบายใจเป็นเพราะเสียใจที่ดันมาสนิทกับเขาจนเกิดเรื่องหรือเปล่า ถ้าไม่ได้คุยกันตั้งแต่แรก มันจะดีกว่านี้หรือไม่
           “ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ผมไม่คิดว่าการที่เราจะสนิทสนมกับใครสักคนเป็นเรื่องผิดหรือเรื่องที่ไม่ถูกต้อง”
          “คุณคิดอย่างนี้จริง ๆ เหรอ” ข้าวโอ๊ตรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้างเมื่อได้ยินแบบนี้
          “ครับ ผมคิดอย่างนี้จริง ๆ” เด็กหนุ่มยืนยัน “เราสองคนก็ไม่ได้ทำอะไรไม่เหมาะสม แค่ไปกินข้าว ไปดูหนังกันธรรมดา ผมน่ะคิดนะว่าทำไมคนในออฟฟิศเราดูห่างเหินกันพิกล ไม่มีการชวนกันไปกินข้าวหลังเลิกงาน ไม่มีการชวนไปเที่ยวไหน ๆ ผมว่ามันแปลก แต่ตอนนี้ผมรู้แล้ว คงเพราะเรื่องนี้เอง ทำให้ต้องระวังตัวกัน”
           “แล้วในเมื่อคุณรู้ว่ามันเป็นอย่างนี้ คุณจะเลิกคุยกับผมไหม”
           ข้าวโอ๊ตตัดสินใจถาม
          “ทำไมผมต้องเลิกคุยกับคุณด้วยล่ะ” คาร์ลขมวดคิ้วทันที “ผมน่ะดีใจจะตายที่คุณยอมเป็นเพื่อนกับเด็กฝึกงานอย่างผม ตอนที่ไปกินข้าวหรือไปดูหนังก็สนุกมาก ๆ ผมมีความทรงจำที่ดีในการมาฝึกงานคราวนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะคุณเลยนะ”
           คาร์ลพูดตามที่ใจคิด แต่เขารู้สึกไม่แน่ใจเล็กน้อยเมื่อพูดประโยคต่อไป
           “แต่ถ้าคุณลำบากใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่อยากคุยกับผมแล้ว ผมก็เข้าใจนะครับ”
           ข้าวโอ๊ตยิ้มออกแล้วในตอนนี้ นี่เท่ากับว่าต่างฝ่ายต่างกังวลในเรื่องเดียวกันและก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่อยากคุยกับตัวเองอีกอย่างนั้นสินะ
          “ถ้างั้น เราก็คุยกันเหมือนเดิม ตกลงนะ” ชายหนุ่มสรุป
          คาร์ลยิ้มเหมือนกันเมื่อเห็นข้าวโอ๊ตยิ้ม แล้วเมื่อได้ยินข้าวโอ๊ตพูด เขาก็ผงกศีรษะรับอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเด็กหนุ่มเหมือนคนที่ยกภูเขาออกจากอกได้สำเร็จ
          “ถ้ามันไม่ทำให้คุณโอ๊ตเดือดร้อน ผมก็ยินดีครับ”
          “ไม่มีเรื่องคุณ ผมก็เดือดร้อนตลอดเวลาด้วยเรื่องอื่นอยู่ดีนั่นแหละ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
           คำพูดของข้าวโอ๊ตอาจจะฟังดูแปลก แต่คาร์ลพอจะเข้าใจว่าชายหนุ่มหมายความว่าอย่างไร เขาทำงานที่นี่ได้พักหนึ่งแล้วก็พอจะดูอะไร ๆ ในออฟฟิศออกอยู่บ้าง เด็กหนุ่มตัดสินใจว่าเขาไม่อยากจะทำลายบรรยากาศที่จะเริ่มจะดีด้วยเรื่องที่ชวนไม่สบายใจ เขาจึงเปลี่ยนเรื่องด้วยการถามว่า
           “แล้วนี่คุณกำลังจะทำอะไรครับ”
          คาร์ลมองไปที่ห่อกระดาษหลายห่อบนโต๊ะ นอกจากนั้นยังมีกล่องใส่ปากกาอีกหลายกล่อง บนพื้นก็มีแฟ้มเปล่าสำหรับใส่เอกสารกองอยู่ด้วย
          “กำลังจะจัดเอกสารให้ผู้เข้าร่วมงานแนะนำผลิตภัณฑ์ของเลมอนเซคิวริตี้น่ะ จริงสิ คุณว่างไหมล่ะ ช่วยขนของพวกนี้ไปไว้บนโต๊ะในห้องอาหารหน่อยสิ ผมจะสั่งพิมพ์เอกสารที่ต้องใช้ แล้วจะได้ลงมือจัดแฟ้ม”
          คาร์ลทำตามที่เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ร้องขออย่างไม่อิดเอื้อน ข้าวโอ๊ตคลิกเม้าส์สั่งพิมพ์เอกสารตามจำนวนที่ต้องการ แล้วเดินไปเปิดตู้เอกสารที่อยู่ติดกับห้องทำงานของคาร์ลซึ่งเอาไว้เก็บวารสารของบริษัทที่จัดพิมพ์โดยสำนักงานใหญ่ที่เยอรมนี แผ่นพับเกี่ยวกับธุรกิจด้านต่าง ๆ ของเยอรมนี หนังสือแนะนำประเทศเยอรมนี รวมทั้งของที่ระลึกต่าง ๆ ที่ประทับตราโลโก้ของบริษัท
          ญาดาเคยสั่งให้หาทางระบายพวกวารสารและแผ่นพับรวมทั้งโบรชัวร์ต่าง ๆ ออกไปเสียบ้าง ข้าวโอ๊ตจึงคิดจะเอาไปใช้ในงานของเลมอนเซคิวริตี้ แต่เอกสารที่มีอยู่ค่อนข้างเก่า ไม่ทันสมัยแล้ว ชายหนุ่มเลือกอยู่ครู่จึงได้หนังสือแนะนำประเทศเยอรมันเล่มเล็กและแผ่นพับที่แนะนำธุรกิจด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศของเยอรมันที่ยังไม่เก่าจนเกินไปมาจำนวนหนึ่ง
          มิคกี้เดินมาเห็นเข้าพอดี ชายหนุ่มจึงเสนอตัวช่วยยกหนังสือและแผ่นพับเข้าไปในห้องรับประทานอาหาร ข้าวโอ๊ตก็ไม่ว่าอะไร แบ่งบางส่วนให้รุ่นน้องไปแต่โดยดี
          “นี่กำลังจะเริ่มจัดแฟ้มเอกสารกันแล้วรึครับเนี่ย” มิคกี้พูดเมื่อเห็นของที่กองอยู่บนโต๊ะ
          “ใช่แล้วล่ะ จัดเสียให้เสร็จวันนี้เลย พี่หญ้าสั่งเอาไว้” ข้าวโอ๊ตตอบ พร้อมกับหยิบปึกเอกสารที่สั่งพิมพ์เอาไว้จากเครื่องปริ้นเตอร์ที่อยู่ในห้องเดียวกันมาตั้งรวมไว้ด้วยกัน
          “ผมช่วยนะ” มิคกี้อาสา ข้าวโอ๊ตก็พยักหน้ารับอย่างไม่เกี่ยงงอน
          “เอาสิ จะได้เสร็จเร็ว ๆ”
          ข้าวโอ๊ตเรียงเอกสาร หนังสือ แผ่นพับ และของอย่างอื่นที่จะใส่ในแฟ้มไว้ตามลำดับเพื่อให้คาร์ลกับมิคกี้หยิบใส่แฟ้มได้อย่างสะดวก
           มิคกี้ทำงานไปก็แอบสังเกตคาร์ลกับข้าวโอ๊ตไปด้วย เมื่อเห็นบรรยากาศระหว่างทั้งสองคนเหมือนจะกลับมาดีอีกครั้ง ชายหนุ่มก็อดที่จะถามไม่ได้ว่า
          “สองคนนี้คืนดีกันแล้วเหรอครับ ก่อนหน้านี้ยังดูตึง ๆ กันอยู่เลย”
           คาร์ลไม่รู้ว่ามิคกี้กำลังพูดถึงเขาอยู่เพราะอีกฝ่ายพูดด้วยภาษาไทย เด็กหนุ่มจึงทำงานของตัวเองต่อไปโดยที่ไม่ได้สนใจนัก ผิดกับข้าวโอ๊ตที่ได้ยินเต็มสองหู
         “พี่กับเขาไม่ได้โกรธเคืองอะไรกันนะถึงจะต้องมาคืนดีกัน แต่จริง ๆ นายอย่าใช้คำนี้ดีกว่า ฟังดูมันเหมือนแฟนทะเลาะกัน ฟังไม่ค่อยเข้าหูเลย”
          มิคกี้เคืองที่ถูกติง แต่เขาก็ยังยิ้มได้พร้อมกับถามกลับด้วยเสียงและหน้าตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์สุดชีวิตว่า
           “อ้าว ไม่ใช่แฟนกันหรอกเหรอครับ”
           “ไม่ใช่ เป็นเพื่อนกันธรรมดา”
         มิคกี้ยิ้มเหมือนรู้เท่าทัน แต่ในเมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธเสียงแข็งขนาดนั้น เขาก็ไม่อยากจะหาเรื่องใส่ตัวโดยไม่จำเป็นจึงทำงานต่อไปเงียบ ๆ โดยไม่ได้พยายามจะแซวหรือกระเซ้าเย้าแหย่เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่อีก แต่ข้าวโอ๊ตก็ไม่ได้พัก หมดมิคกี้ไปคนก็ยังเหลือนัตโตะที่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวแว่ว ๆ ข้างนอกห้องทำให้ทนอยู่ในห้องไม่ได้ต้องเดินออกมาดูว่ามีใครทำอะไรอยู่ เมื่อเห็นคนในออฟฟิศรวมตัวกันอยู่ในห้องรับประทานอาหาร เขาก็เข้ามาร่วมด้วยอย่างไม่ลังเล
          “ให้ผมช่วยด้วยคนนะครับ” ชายหนุ่มเสนอตัวทันที “ทำกันอยู่สองคนกับคาร์ลเมื่อไหร่จะเสร็จละครับ”
           นัตโตะแกล้งลืมมิคกี้ที่ยืนอยู่ในห้องอีกคนอย่างหน้าตาเฉย ข้าวโอ๊ตกลอกตาอย่างเอือมระอา
           “อยากทำก็ทำ”
           “พี่กัสนี่ก็เหลือเกิน ตัวเองไปกินอาหารอร่อย ๆ กับทีโมน แต่กลับทิ้งพี่โอ๊ตให้ทำงานแบบนี้ ไม่ยุติธรรมเลยนะครับ”
           ข้าวโอ๊ตพยายามไม่สนใจคำพูดแบบยุให้รำตำให้รั่วของเพื่อนร่วมงานรุ่นน้อง และเขาก็คงจะทำได้ถ้าอีกฝ่ายไม่ตบท้ายด้วยการวกกลับมาเรื่องของเขากับคาร์ลอีก
          “แต่จริง ๆ อาจจะดีก็ได้ ผมก็ลืมคิดไป พี่โอ๊ตจะได้อยู่กับคาร์ลสองคน ไม่ต้องมีใครมาคอยตำหนิ จริงไหมครับ”
          “พี่ไม่เห็นว่าจะได้อยู่กันสองคนตรงไหน นายก็อยู่ มิคกี้ก็อยู่ คาริน่าก็อยู่ คนอยู่กันเต็มออฟฟิศ แล้วก็เลิกพูดอะไรแบบนี้สักที ถ้าไม่เกรงใจพี่ ก็เกรงใจคาร์ลบ้าง เขาไม่รู้เรื่องอะไร มาฝึกงานแค่เดี๋ยวเดียว ให้เขาเห็นแต่ด้านดี ๆ ของออฟฟิศเราเถอะ อย่าให้เขาต้องเห็นคนในออฟฟิศทะเลาะจิกกัดกันอุตลุตเลย มันน่าเกลียด”
          มิคกี้หลุดหัวเราะพรืดออกมาอย่างขบขัน นัตโตะหน้าบึ้งด้วยความไม่พอใจ ส่วนคาร์ลตีหน้าเฉย เขาเข้าใจทุกคำที่นัตโตะพูดเพราะชายหนุ่มใช้ภาษาอังกฤษเพื่อหวังให้เขารู้เรื่องด้วย เขาไม่ชอบคำพูดในลักษณะนี้เหมือนกันและมีความรู้สึกว่านัตโตะพยายามจะหาเรื่องข้าวโอ๊ต เมื่อฝ่ายหลังโต้กลับเอาบ้าง เขาก็รู้สึกว่าสาสมดีแล้ว แต่ก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมาเพราะกลัวว่าจะเสียมารยาท
          “แหม ผมก็แค่แซวเล่น ทำเป็นซีเรียสไปได้ โอเคครับ ถ้าพี่ไม่พอใจ ผมไม่พูดก็ได้”
          “นัตเขาไม่ได้ตั้งใจหรอกครับพี่โอ๊ต ช่วงนี้เขากำลังแฮปปี้อินเลิฟก็เลยมองว่าทุกคนรอบตัวกำลังมีความรักไปหมด จริงไหมนัต เมื่อวันเสาร์วันสุดท้ายของงานพลาสติกแฟนมารับไปดูหนังด้วยกันไม่ใช่เหรอ เออ แล้วเป็นไงมั่ง ไม่เห็นเล่าให้ฟังเลย ดูหนังกับแฟนสนุกแค่ไหน” มิคกี้เพิ่งมีโอกาสได้พูดบ้าง
          “สนุกมากเลย หนังก็สนุก พอหนังจบแฟนเราก็พาเราไปกินข้าว อาหารฝรั่งเศสด้วยนะ บรรยากาศดีมากเลย เป็นดินเนอร์ใต้แสงเทียนที่ยอดเยี่ยมที่สุด เรายังติดใจอยู่เลย คุย ๆ กันไว้ว่าครั้งหน้าจะไปกินร้านนี้อีก”
          ข้าวโอ๊ตฟังแล้วทำหน้าไม่อยากจะเชื่อเพราะเขาก็รู้เหมือนที่คนอื่นรู้นั่นแหละว่านัตโตะไม่มีแฟน แล้วจู่ ๆ มีคนไปดินเนอร์ด้วยแบบนี้ มันเรื่องจริงหรือราคาคุยกันแน่ ส่วนคาร์ลฟังแล้วทำหน้าประหลาด ก่อนจะถามด้วยความสงสัยว่า
          “เอ แฟนคุณนัตนี่คือคุณทีโมนเหรอครับ วันนั้นผมเห็นคุณสองคนออกมาจากโรงหนังด้วยกันตอนหนังเลิก”
          “เอ๊ะ คุณไม่เห็นบอกผมเรื่องนี้เลย” ข้าวโอ๊ตหันไปถามคาร์ล
          “บอกไม่ทันครับ บังเอิญเห็นพอดี กำลังจะสะกิดบอกคุณ แต่หันไปมองอีกทีก็เดินหายไปแล้ว ผมก็เลยไม่ได้บอก คิดว่าไม่มีอะไร”
          “ตกลงว่ายังไง นัตโตะ นายเป็นแฟนกับทีโมนงั้นเหรอ”
         ข้าวโอ๊ตได้ทีหันมาเป็นฝ่ายคาดคั้นบ้าง มิคกี้ก็มองเขม็งมาอีกคนด้วยความสงสัยและอยากรู้
          นัตโตะอึกอัก นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะกลายเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเอาบ้าง ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาอาจจะยืดอกยอมรับเพื่อสร้างความอิจฉาริษยาให้เหล่าคนที่สนใจในตัวรองผู้อำนวยการรูปหล่อ แต่ตอนนี้มีประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ของคนในออฟฟิศอยู่ เขาเองก็เป็นคนหนึ่งที่ออกตัวตำหนิเรื่องของข้าวโอ๊ตและคาร์ลเพื่อเอาหน้าต่อคาริน่าและทีโมน ถ้าเขายอมรับหรือแสดงตัวว่าคิดอะไรเกินเลยต่อทีโมนแล้วล่ะก็ เขาต้องกลายเป็นคนที่ถูกตำหนิแทนข้าวโอ๊ตอย่างแน่นอน
          “ผมไม่ได้เป็นแฟนกับทีโมนสักหน่อย อย่าพูดมั่ว ๆ นะ”
          “แล้วทำไมนายไปดูหนังกับเขาล่ะ” มิคกี้ถามอย่างเอาเรื่อง
          “ไม่ได้ดูกับทีโมน เราไปกับแฟนเรา บังเอิญเจอทีโมนพอดีก็เลยชวนดูด้วยกันแค่นั้นแหละ ไม่มีอะไรสักหน่อย ดูจบก็แยกย้ายกันไป คาร์ลก็คงเห็นตอนนั้นพอดี นี่ ทีหลังถ้าเห็นอะไรที่ตัวเองไม่แน่ใจแบบนี้ก็อย่าเอาไปเที่ยวพูดอีก ดูซิเนี่ย ทุกคนเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด”
          ตอนท้ายนัตโตะหันมาโวยวายเอากับคาร์ลเป็นการกลบเกลื่อน ท่าทางของเขาเหมือนคนโดนรุมรังแกและกำลังเจ็บช้ำอย่างแสนสาหัส คาร์ลขยับจะโต้ แต่ข้าวโอ๊ตดึงแขนเขาเอาไว้ก่อนเป็นเชิงปราม ชายหนุ่มจึงหยุด มิคกี้เองก็ไม่ได้พูดอะไร แต่มองด้วยสายตาที่รู้เท่าทัน
          “เอาเถอะ เข้าใจผิดก็เข้าใจผิด แล้วพี่ก็หวังว่านายจะบอกตัวเองเหมือนที่บอกคาร์ลเหมือนกัน เรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรเอาไปเที่ยวพูดต่อเพราะมันทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน”
          นัตโตะไม่อาจทนอยู่ในห้องที่มีแต่สายตารู้ทันและสมเพชได้อีก เขาทิ้งความคิดที่จะช่วยจัดเอกสาร หันหลังเดินปึงปังออกไปจากห้องด้วยอารมณ์หงุดหงิดและไม่พอใจเต็มที่ทันที
          มิคกี้มองตามไปก่อนจะเปรยว่า
          “ทีโมนไปดูหนังกับนัตโตะนี่นะ เขาคิดอะไรของเขาอยู่กันแน่”
          ไม่มีคำตอบรับใด ๆ จากคนที่เหลือในห้อง ข้าวโอ๊ตไม่แสดงความเห็นเพราะแค่นี้ก็เห็นไส้เห็นพุงอีกฝ่ายมากพอแล้ว คาร์ลก็ไม่พูดอะไรเหมือนกัน มิคกี้จึงพลอยเงียบตามทุกคนไปด้วย

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
          ออกัสกับทีโมนกลับมาตอนเที่ยงกว่า ๆ สีหน้าของทีโมนสดใส มาถึงเขาก็พูดถึงโรงแรมและเมนูอาหารที่โรงแรมจัดให้ชิมด้วยความชื่นชมกับคนในออฟฟิศ ต่างจากออกัสที่หน้าบึ้งราวหน้ามือเป็นหลังมือ ชายหนุ่มไม่รับประทานอาหารกลางวันเพราะกินมาแล้วจากที่โรงแรม แต่ก็ยังเข้ามานั่งในครัว เอาผลไม้ที่ซื้อใส่ตู้เย็นไว้มานั่งกิน
          มิคกี้กับข้าวโอ๊ตมองด้วยความสงสัย ไปกันสองคน คนหนึ่งกลับมาอารมณ์ดียิ้มกริ่มตาเยิ้มประหนึ่งสูบกัญชาเข้าไปทั้งบ้อง แต่อีกคนกลับทำหน้าบูดบึ้งเหมือนโรงแรมแกล้งเอาอาหารเน่าเสียมาให้กิน
           “นายเป็นอะไร กัส อารมณ์ไม่ดีเรื่องอะไร หรืออาหารโรงแรมมันแย่”
           ข้าวโอ๊ตถามด้วยความสงสัย ลืมเรื่องที่เคยเคืองออกัสไปชั่วคราว
          “นั่นสิครับ เห็นทีโมนคุยออกลั่นว่าอาหารดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไหงพี่กัสทำหน้าเซ็งขนาดนี้ แปลกจัง”
          มิคกี้ก็รู้สึกเหมือนกัน
          “อาหารก็ไม่ได้ดีมากขนาดนั้นหรอก เค็ม ๆ เลี่ยน ๆ ตามประสาอาหารเยอรมันนั่นแหละ แต่ก็ไม่แย่เท่าไหร่ พอใช้ได้”
           “แล้วทำไมอารมณ์ไม่ดี” ข้าวโอ๊ตถาม
          “ก็...” ออกัสอึกอักตอบไม่ถูก จะพูดได้อย่างไรว่าเขาถูกรองผู้อำนวยการข่มขู่ เรื่องนี้เท่านั้นที่เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ให้ใครรู้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด
           “หงุดหงิดยายป้าเซลส์นิดหน่อยน่ะ ไม่มีอะไรหรอก ป้าพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง ถามอะไรนิดหน่อยก็หน้าหงิก ติอาหารก็ไม่ได้ เรากังวลว่าเวลาทำงานด้วยกันจะต้องทะเลาะกันแน่ ๆ เลย”
          “เปลี่ยนเซลส์ไม่ได้เหรอ” ข้าวโอ๊ตเชื่อคำบ่ายเบี่ยงของออกัสสนิทใจและแสดงความเป็นห่วงออกมา
          การยักไหล่ของออกัสคือคำตอบ
           ทีโมนไม่รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนกัน วงอาหารในห้องรับประทานอาหารจึงเลิกด้วยความไวแสง คาริน่ากับคาร์ลเอาจานอาหารมาเก็บในห้องครัวและเดินออกไปอย่างไม่อ้อยอิ่ง แต่นัตโตะที่เดินตามทั้งสองคนมายังคงไม่ออกจากครัว
ชายหนุ่มอาจจะพลาดเรื่องไปดูหนังกับทีโมน แต่เขามีข่าวล่าสุดที่เพิ่งรู้จากคาริน่าเมื่อสักครู่นี้
           “สำนักงานใหญ่กำลังจะจัดฝึกอบรมล่ะ อาทิตย์หนึ่งที่มิวนิก กำลังพิจารณากันอยู่ว่าครั้งนี้ใครจะได้ไป”
           ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที นาน ๆ ทีสำนักงานใหญ่จะจัดฝึกอบรมอะไรแบบนี้เสียที ออฟฟิศนี้มีแค่ญาดาคนเดียวที่เคยได้ไป ออกัสที่อยู่มานานกว่าคนอื่น ๆ ก็ยังไม่เคยได้ไปเลยสักครั้ง
           “เอาแค่คนเดียวเท่านั้นเหรอ” มิคกี้ถาม
           “สองคน แต่คาริน่าบอกว่า ด็อกเตอร์แฮร์มันน์จะให้พนักงานที่เวียดนามไปด้วยคนหนึ่ง เท่ากับว่าเหลือว่างที่หนึ่งให้ออฟฟิศเรา” นัตโตะตอบ
          “อะไร ๆ ก็ให้ออฟฟิศที่เวียดนามมีเอี่ยวตลอด” ข้าวโอ๊ตเผลอพูดออกมาด้วยความเซ็ง เป็นที่รู้กันว่าออฟฟิศสาขาที่ฮานอยเป็นออฟฟิศลูกรัก พนักงานที่นั่นมีคนเดียว เป็นผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับญาดา แต่เป็นคนที่ไม่เถียงไม่หือไม่อือแถมยังเอาอกเอาใจด็อกเตอร์แฮร์มันน์และทีโมนอย่างออกนอกหน้า ไม่กระด้างกระเดื่องเหมือนคนในออฟฟิศที่กรุงเทพฯ
         “ยายเลอ วานไปเยอรมนีสามสี่รอบแล้ว รอบที่พี่หญ้าได้ไป ยายนั่นก็ไป พี่หญ้ากลับมาบ่นอุบ ยายนั่นมันโคตรจุ้นจ้าน เจ้ากี้เจ้าการ เตือนโน่นเตือนนี่เหมือนเราเป็นเด็กสามขวบ แถมยังเสนอหน้ากับฝรั่งตลอดเวลา อยู่ในห้องอบรมนี่ก็ยกมือถามยกมือตอบไม่หยุด พยายามอวดว่าตัวเองรู้ภาษาเยอรมัน” ออกัสเล่า
          ข้าวโอ๊ตเองก็จำได้ ญาดาเล่าว่าการอบรมจัดเป็นภาษาเยอรมัน แต่มีพนักงานจากบางออฟฟิศที่พูดภาษาเยอรมันไม่ได้ ญาดาก็เป็นหนึ่งในนั้น ทางผู้จัดก็จัดกิจกรรมพิเศษให้ บางกิจกรรมที่ไม่มีการแปลเป็นภาษาอังกฤษคนกลุ่มนี้ก็จะพลาดไป
          ปกติการอบรมมีเป้าหมายให้คนที่เป็นพนักงานการตลาดได้รับความรู้เรื่องธุรกิจเพิ่มเติม ตำแหน่งของข้าวโอ๊ตแทบไม่เกี่ยวข้อง แต่ออกัสเคยบอกว่ามันอยู่ที่ว่าทางด็อกเตอร์แฮร์มันน์ คาริน่าและทีโมนจะเขียนแนะนำไปอย่างไร ถึงไม่ใช่ตำแหน่งฝ่ายการตลาด แต่ถ้าทางนี้อยากจะส่งไปมันก็ไม่มีปัญหา แล้วการอบรมจัดเป็นภาษาเยอรมัน ในออฟฟิศมีข้าวโอ๊ตคนเดียวที่พูดภาษาเยอรมันได้ ดังนั้นเขาก็มีความหวังที่จะได้ไป
           “ครั้งนี้ใครจะได้ไปนะ” ออกัสพึมพำ
           ข้าวโอ๊ตมองไปรอบ ๆ
           สายตาของทุกคนบอกชัดว่าอยากไป อาจจะไม่ใช่เพราะเหตุผลเดียวกัน แต่เป้าหมายของทุกคนในตอนนี้เป็นสิ่งเดียวกันอย่างแน่นอน

           ทีโมนกำลังเจอเรื่องยุ่งยากอย่างไม่คาดคิด
           เมื่อตอนกลางวันเขายังกระหยิ่มยิ้มย่องที่มีโอกาสไล่ต้อนออกัสจนมุม แต่พอตอนกลางคืน เจอคนที่นั่งรอหน้าบึ้งอยู่บนเตียงในคอนโดมิเนียมที่ชอบมาหาความสุขด้วยกันบ่อย ๆ เขาก็รู้สึกยุ่งยากใจขึ้นมาทันที
          คนบางคนนี่ขี้หึงขี้หวงอย่างเหลือเชื่อจริง ๆ ทั้งที่ตกลงกันแล้วว่าไม่ได้เป็นคนรักกันจริงจังสักหน่อย
          “เป็นอะไรครับ ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ โกรธอะไรใครมา”
          ถึงจะเบื่ออยู่บ้าง แต่เขาก็ยังเข้ามาคลอเคลียเอาอกเอาใจอยู่ดี เนื่องจากติดใจรสรักที่อีกฝ่ายปรนเปรอให้เขา ชายหนุ่มยังไม่อยากตีตัวออกห่างในตอนนี้จึงจำต้องอดทนความหึงหวงของอีกฝ่ายต่อไปอีกหน่อย
          “โกรธคุณ”
          เสียงที่ตอบแข็งและห้วนตามอารมณ์
          “เอ ผมทำอะไรให้คุณโกรธเหรอ ผมว่าไม่มีนะ”
          ทีโมนพรมจูบไปตามซอกคอของคู่ขาของเขา แต่อีกฝ่ายเบี่ยงตัวหนี
          “คุณไปดูหนังกับนัตโตะทำไม นี่ตกลงคุณจะเอาไอ้หน้าจืดนั่นจริง ๆ งั้นเหรอ”
          “โธ่ ไม่มีอะไรเลย แค่ไปดูหนังเท่านั้นเอง เขาตื๊อผมมาก ผมรำคาญก็เลยไปด้วยเพื่อตัดรำคาญแค่นั้นเอง” ทีโมนแก้ตัว เขารู้ว่ามันฟังดูไม่เข้าท่า แต่เขามั่นใจว่าอย่างไรเสีย อีกฝ่ายก็เชื่ออยู่ดี ก็หลงเขาหัวปักหัวปำขนาดนั้นนี่นา
         อีกฝ่ายส่งค้อน แต่ก็มีท่าทีอ่อนลงเมื่อทีโมนรุกหนักขึ้นเรื่อย ๆ
         “หลายครั้งแล้วนะ ครั้งที่แล้วก็ยายเจ้าของร้านน้ำปั่น ครั้งนี้ก็ไอ้แว่นหน้าจืด ครั้งต่อไปจะเป็นใคร”
         “ไม่เอาน่า อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ คุณก็รู้ว่าผมมีคุณคนเดียว อย่างพวกนั้นก็แค่เล่น ๆ สนุก ๆ อยากเสนอมา ผมก็สนองไป นิดหน่อย ไม่จริงจังอะไร คุณอย่าคิดมากเลยนะ นะครับ”
          เสียงอ่อน ๆ ออดอ้อนของทีโมนทำให้คนฟังยอมพยักหน้ารับอย่างเสียมิได้ ทีโมนเป็นผู้ชายเจ้าชู้ เรื่องนี้ไม่มีใครปฏิเสธได้ การกระทำทุกอย่างบอกชัดเจนอยู่ในตัว แล้วทำไมยังเชื่อคำโกหกหลอกลวงไม่เข้าท่านั่นอีก
           ก็ไม่ได้เชื่อหรอก ไม่ได้โง่สักหน่อย เพียงแต่ทีโมนยังให้ความสุขได้อยู่และความขัดเคืองก็อยากจะไปลงกับคนอื่นมากกว่า
           “ถ้าไม่อยากให้คิดมากก็อย่าทำอีก ถ้าหมดความอดทนเมื่อไหร่ก็ไม่รับประกันนะว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น”
           ทีโมนไม่สนใจคำขู่ คิดว่าอีกฝ่ายก็พูดไปเพราะอารมณ์หึงหวงแง่งอนและอยากจะให้เขาง้อ เขาก็ง้อด้วยการเอนตัวอีกฝ่ายลงไปบนเตียง
           คิดง่าย ๆ เหมือนทุกครั้งว่าเซ็กซ์จะจัดการทุกอย่างได้

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 13
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
หรือจะไม่มีที่ไหนที่เป็นที่ของเราจริง ๆ ได้แต่ถามตัวเองว่าทำอะไรผิด ทำไมเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ เราทำสิ่งที่ผิดงั้นเหรอ
Like – Comment – Share

          บางครั้งข้าวโอ๊ตก็ถามตัวเองว่าเขาทำเวรทำกรรมอะไรเอาไว้กับออฟฟิศนี้นักหนา
          เรื่องของคาร์ลเพิ่งพ้นไปไม่เท่าไรก็มีเรื่องใหม่เข้ามาทันที แล้วคนในออฟฟิศนี้ก็ขยันหาเป้าโจมตีกันเหลือเกิน บางอย่างที่ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องก็ยังกลายเป็นเรื่องขึ้นมาจนได้ แถมยังใหญ่โตจนทำให้ชายหนุ่มอ้าปากค้างด้วยความคาดไม่ถึง
          ข้าวโอ๊ตไม่ได้ออกไปรับประทานอาหารกลางวันข้างนอกกับคาร์ลอีก แต่หลังเลิกงานเป็นเวลาของเขา แม้ว่าทุกคนจะมองเวลาที่เขาเดินออกไปจากออฟฟิศพร้อมกับนักศึกษาฝึกงานในบางวัน ชายหนุ่มก็พยายามไม่สนใจ แล้วเมื่อมีใครมาถาม เขาก็บอกว่าคาร์ลกำลังช่วยเขาเรื่องงานแปล คนในออฟฟิศจะเชื่อหรือไม่เขาไม่รู้ แต่ถ้ามีคนอุตริสะกดรอยตามพวกเขาจริง ๆ ก็จะเห็นเขากับคาร์ลนั่งทำงานอยู่ด้วยกันในร้านกาแฟอย่างที่เขาพูด และในออฟฟิศเขาก็พูดคุยกับคาร์ลเหมือนคุยกับคนอื่น ๆ ไม่มีช่องให้เล่นงานกันได้อีก
          พัดชากลับมาทำงานหลังจากลางานหนึ่งวันพาสามีที่ป่วยไปหาหมอ เมื่อเข้ามาในครัวเจอจานชามใส่อาหารกลางวันของคนในออฟฟิศที่ยังไม่ได้ล้างกองสุมอยู่บนถาดบนเคาน์เตอร์ครัว แม่บ้านตัวกลมประจำออฟฟิศก็เบ้หน้า นอกจากจานอาหารกลางวัน ยังมีจานเล็กจานน้อยใส่ขนม แก้วน้ำ ถ้วยกาแฟอีกหลายใบ
          หน้าที่ล้างจานเป็นของแม่บ้าน ถ้าหล่อนลางานติดต่อกันหลายวัน พนักงานในออฟฟิศจะล้างจานกันเอง แต่ถ้าลาเพียงวันเดียวอย่างเมื่อวาน หล่อนก็จะเจอกองจานชามที่ไม่ได้ล้างแบบนี้รออยู่ งานล้างจานไม่ใช่งานที่น่าพิสมัยนัก พัดชาเองก็ไม่อยากทำเลยแม้แต่นิดเดียว แต่หล่อนก็ต้องทำ
          คาริน่าเดินเข้ามาในครัวขณะที่พัดชากำลังเอาจานสกปรกใส่ลงไปในถังพลาสติกเตรียมเอาไปล้าง เจ้าแม่ประจำออฟฟิศเดินตรวจตราของในครัว ขมวดคิ้วเมื่อเห็นกาแฟ นม น้ำเปล่าพร่องไปเยอะกว่าที่คิดมาก หล่อนเปิดตู้หยิบขวดน้ำยาล้างจานขึ้นมาดู เห็นเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งขวดก็ถามพัดชาด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า
          “ทำไมใช้น้ำยาล้างจานเปลืองขนาดนี้ เพิ่งซื้อไม่นานนี้เองนะ จะหมดอีกแล้วเหรอ”
          พัดชาฟังพอเข้าใจ แต่หล่อนตอบได้ไม่คล่อง ต้องใช้ภาษาใบ้ช่วยด้วย
          “จานเยอะค่ะคุณ” หล่อนชี้จานชามในถังพลาสติก ชี้แก้วน้ำ พลอยชี้มาที่ปิ่นโตอาหารของข้าวโอ๊ตที่วางอยู่มุมหนึ่งบนเคาน์เตอร์ในครัวด้วย
          “ล้างทุกอย่างเลยค่ะ ปวดหัวจริง ๆ”
          หล่อนทำหน้าระอาใจ แถมยังทำท่าทางปวดศีรษะขนาดหนักและนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความเพลียจัด เป็นการบอกให้อีกฝ่ายทราบว่าหล่อนต้องล้างจานเยอะและมันเหนื่อยมากขนาดไหน
          คาริน่าชี้ไปที่ปิ่นโต ถามว่า
          “ของใคร”
          “ของคุณโอ๊ตค่ะ เอามากินทุกวันเลยค่ะ”
          “แล้วต้องล้างนี่ให้เขาด้วยเหรอ”
          พัดชาพยักหน้า หล่อนยังทำท่าปวดศีรษะอยู่ เพราะต้องการจะย้ำว่าหล่อนเหนื่อยมากจริง ๆ
          คาริน่าไม่พูดอะไรกับพัดชาอีก แต่เดินลงส้นเข้าไปในห้องของทีโมนและเปิดฉากบ่นว่า
          “ออฟฟิศเราใช้ของเปลืองมาก คุณรู้ไหม เมื่อกี้ฉันเข้าไปดูในครัว กาแฟ นม น้ำเปล่า ทิชชู่ น้ำยาล้างจาน ทุกอย่างกำลังจะหมด ทั้งที่เพิ่งซื้อแท้ ๆ ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้นะ”
          “แล้วจะให้ทำยังไงล่ะครับ” ทีโมนถาม คนอย่างเขาไม่เคยสนใจเรื่องจุกจิกอย่างนี้และออกจะรำคาญอยู่ไม่น้อยเมื่อคาริน่าเอาเรื่องนี้มาพูดกับเขา
          “ฉันอยากให้คุณสั่งให้ทุกคนประหยัด กาแฟกินวันละถ้วย น้ำเปล่าคนละขวด อยากกินมากกว่านี้ให้ซื้อส่วนตัวมากินกันเอง เรื่องจานอาหารก็เหมือนกัน ใช้มากกันเหลือเกิน เปลืองน้ำยาล้างจาน คุณพัดเขาก็ล้างไม่ไหว ต่อไปนี้ให้คุณพัดล้างแต่จานชามใส่อาหารกลางวัน ส่วนจานใส่ขนมตอนเช้าตอนบ่ายที่กิน ๆ กันน่ะให้ล้างกันเอง แก้วน้ำก็ล้างเอง ซื้อน้ำยาล้างจานมากันเองด้วย”
          “ขนาดนั้นมันจะดีเหรอครับ” ทีโมนทำหน้าปั้นยาก ตัวเขาเองติดกาแฟ กินวันละไม่เคยน้อยกว่าสี่ห้าถ้วย น้ำเปล่าอีกวันละสองขวดเป็นอย่างต่ำ เรื่องล้างจานก็อีก ชายหนุ่มติดความสบายจนไม่อยากจะเห็นด้วยกับคาริน่าในเรื่องนี้เลย แต่สีหน้าเจ้าแม่ประจำออฟฟิศเอาเรื่องมากจนเขานึกแขยง
          “ต้องขนาดนี้แหละ คนพวกนี้อ่อนข้อให้มากไม่ได้หรอก อ่อนให้หน่อยก็ลามปาม คุณเรียกคุณหญ้ามาสั่งตามที่ฉันบอกก็แล้วกัน ให้คุณหญ้าไปบอกทุกคนต่อ”
          “แล้วผมล่ะ ผมก็ต้องถูกจำกัดของใช้พวกนี้เหมือนกันเหรอ” ชายหนุ่มถามเสียงอ่อน ดวงตาของเขาออดอ้อน คาริน่าแกล้งทำเป็นค้อน แต่น้ำเสียงของหล่อนอ่อนลงมาก
          “อย่ามาแกล้งถามเลยน่ะ ฉันจะห้ามคุณได้ยังไง คุณกับราล์ฟทำได้ตามปกติ กฎใหม่นี้เฉพาะพนักงานในออฟฟิศเท่านั้นแหละ”
          “ค่อยโล่งอกหน่อย ขอบคุณมากครับ” ทีโมนพูดเสียงใส
          ก่อนที่คาริน่าจะเดินออกไปจากห้อง หล่อนไม่ลืมที่จะพูดถึงประเด็นสำคัญ
          “คุณอย่าลืมเรียกคุณโอ๊ตมาเตือนด้วยเรื่องเอาปิ่นโตมากิน เขาบังคับให้คุณพัดล้างปิ่นโตให้เขา ฉันยอมรับไม่ได้นะ เขาทำไม่สุภาพกับคุณพัด สมควรจะต้องโดนเตือนอย่างจริงจังสักที แล้วก็ไม่ให้เอาปิ่นโตมาอีก”
          “คุณโอ๊ตนี่หลายเรื่องแล้วนะ ผมจะพูดกับราล์ฟตอนเขากลับมา ให้ทำจดหมายเตือนคุณโอ๊ตเรื่องนี้ก็แล้วกัน”
          ทีโมนให้สัญญาและคาริน่าก็ยิ้มรับด้วยความพอใจ

          ทุกคนทำหน้าประหลาดเมื่อรู้เรื่องมาตรการรัดเข็มขัดของออฟฟิศ ญาดาเองก็ไม่ชอบใจเช่นกัน หล่อนลาพักร้อนหลายวันไปเป็นกันชนให้น้องสาวที่พาว่าที่สามีกลับมาบ้าน แม่ของหล่อนล้งเล้งใหญ่ไม่เห็นด้วยเรื่องลูกสาวจะแต่งงานแล้วไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง น้องชายสองคนก็มีความคิดเหมือนกับแม่ อยากให้น้องสาวลาออกแล้วมาช่วยกันทำงานอยู่ในกงสีดีกว่า แต่น้องสาวหล่อนก็ดื้อ ยื่นคำขาดว่าถ้าไม่พอใจกันก็จะไม่กลับมาจัดงานแต่งงานแบบจีนที่บ้าน จะจัดงานแต่งงานแบบญี่ปุ่นอย่างเดียวที่โอกินาว่าแทน ญาดาเห็นใจน้องสาว แต่ก็ต้องวางตัวเป็นกลางเพราะน้องสาวเป็นตัวชนอยู่คนหนึ่งแล้ว ถ้าหล่อนแสดงตัวเข้าข้างน้องสาวอีก แม่ของหล่อนก็จะยิ่งคร่ำครวญหนักขึ้น
          ปัญหาทางบ้านก็ยังแก้ไม่ตก มาทำงานก็เจอปัญหาอีก แถมเป็นปัญหาที่หล่อนเห็นว่างี่เง่าที่สุด หล่อนค้านแล้ว แต่ทีโมนก็ไม่ฟัง คาริน่าก็ยืนยันหนักแน่นให้ทุกคนทำตามที่หล่อนพูด หญิงสาวผู้เปรียบเสมือนหัวหน้าในหมู่คนไทยก็จำต้องเอาความมาบอกต่อกับน้อง ๆ ในออฟฟิศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
          “นี่ออฟฟิศเรากำลังจะเจ๊งแล้วรึไงถึงได้มีเรื่องอะไรแบบนี้ออกมา น้ำเปล่านี่เรื่องพื้นฐานเลยนะ มาห้ามไม่ให้กินเกินหนึ่งขวด บ้าไปแล้ว” มิคกี้บ่นอย่างดุเดือด “ของเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้มันจะประหยัดให้ออฟฟิศได้สักเท่าไหร่กันเชียว”
          “เขาบอกว่ามันหมดเร็วกว่าที่ควรจะเป็น สงสัยว่าพวกเราใช้กันเปลือง” ญาดาพูดตามที่ได้ยินทีโมนบอกมา
          “ไม่พูดออกมาเลยล่ะว่าพวกเขาสงสัยว่าพวกเราจะเอากระดาษทิชชู่เอาน้ำเปล่ากลับบ้าน”
          เมื่อออกัสพูดจบ คนฟังก็ทำหน้าประหลาดออกมาอีกครั้งอย่างพร้อมเพรียงกัน
          “เอากลับบ้าน คิดได้ไง” มิคกี้อุทานด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ เขายังรู้สึกเหมือนโดนหมิ่นประมาทอีกด้วย นี่คนที่คิดอย่างนี้คงไม่รู้ใช่ไหมว่าบ้านเขารวยแค่ไหน ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องอะไรทุเรศทุรังอย่างขโมยน้ำเปล่าขโมยกระดาษทิชชู่กลับบ้านเลย
          “เรื่องของใช้ในออฟฟิศนี่เอาแน่เอานอนไม่ได้หรอกว่าจะหมดวันนั้นวันนี้เป๊ะ ๆ ทำได้แค่คาดเดาเอาแบบคร่าว ๆ แค่นั้นเพราะสถานการณ์แต่ละอาทิตย์ก็ไม่เหมือนกัน อาทิตย์ไหนแขกมาเยอะ ของมันก็หมดเร็ว พวกเราเองกินใช้แต่ละอาทิตย์ก็ไม่เท่ากัน มันก็มีมากน้อยแตกต่างกันไป แต่รายนั้นเขาไม่คิดอย่างนี้น่ะสิ ของหมดเร็วขึ้นไม่กี่วันนี่อยู่ไม่สุขแล้ว กลัวว่าจะมีใครโกงออฟฟิศท่าเดียวนั่นแหละ” ญาดาบุ้ยใบ้ออกไปนอกห้องครัวที่ทุกคนกำลังชุมนุมกันอยู่ ตั้งใจจะบอกเป็นนัย ๆ ว่า “รายนั้น” ที่ว่าหมายถึงใคร
           “แล้วเราจะเอายังไงครับ จะต้องทำตามนี้จริง ๆ น่ะเหรอครับ” มิคกี้หันมาถาม
          “ก็คงต้องทำ พี่ค้านแล้ว พวกเขาไม่ยอมฟังกันเลยนี่ เราก็ต้องประหยัดอย่างที่เขาว่า แล้วก็ซื้อกาแฟซื้อน้ำเปล่ามากินกันเอง อ้อ น้ำยาล้างจานด้วยนะ อย่าลืม”
          เรื่องการล้างจานนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ถูกยกขึ้นมาถกกันอย่างเมามัน ยิ่งตอนนี้พัดชาไม่อยู่ในครัวเพราะถูกใช้ให้ไปซื้อน้ำผลไม้ปั่นที่ร้านข้างล่างตึก การวิพากษ์วิจารณ์จึงเป็นไปอย่างเผ็ดร้อน ทุกคนเชื่อว่าพัดชาต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ไม่รู้ว่าหล่อนไปฟ้องคาริน่าอีท่าไหนเท่านั้นแหละ เจ้าแม่ประจำออฟฟิศถึงได้มีบัญชาออกมาอย่างนั้น
          “พี่พัดน่ะไม่เบาหรอกนะ” ญาดาที่อยู่มานานที่สุดและรู้จักพัดชามานานกว่าทุกคนพูด “เห็นจานต้องล้างมากหน่อยก็คงไม่พอใจนั่นแหละ แล้วก็คงเอาไปพูดกับคาริน่าถึงได้เกิดเรื่องขึ้นมา”
          “แต่แกเป็นแม่บ้านนะครับพี่หญ้า แล้วออฟฟิศเราก็เล็กแค่นี้เอง จานชามก็ไม่ได้เยอะอะไรมากสักหน่อย เราก็ใช่จะกินขนมกันทุกเช้าทุกบ่าย เอาจริง ๆ เวลาใครซื้อผลไม้ซื้อขนมอะไรมาก็หยิบกินกันจากในกล่องในถุง นาน ๆ ทีหรอกจะจัดใส่จาน ถ้ามีจานต้องล้างเพิ่มบ้างมันก็ไม่น่าจะเยอะจนล้างไม่ไหว” มิคกี้พูดด้วยความไม่พอใจ หากจะต้องล้างจานเองขึ้นมา ชายหนุ่มจะเป็นคนที่เดือดร้อนที่สุด เพราะตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยต้องล้างจานเอง ที่บ้านมีเด็กรับใช้เป็นคนทำให้ มาทำงานก็มีแม่บ้านประจำออฟฟิศ แล้วทำไมเขาต้องมาล้างจานเองเอาตอนนี้
          “เรื่องของเรื่องคือแกขี้เกียจทำงาน ออฟฟิศเล็กแค่นี้ งานไม่ได้มาก หนักหน่อยก็เรื่องล้างจาน แต่แกก็ยังไม่อยากจะทำงานอยู่ดี”
          ญาดาสรุปอย่างตรงจุด
          “ทำคนเดือดร้อนกันไปทั้งออฟฟิศ” ออกัสส่ายหน้าอย่างระอา ก่อนจะหันไปมองข้าวโอ๊ตที่รับประทานอาหารจากปิ่นโตของตัวเองอย่างเงียบ ๆ ชายหนุ่มไม่ได้เข้าร่วมวงวิจารณ์ด้วยเพราะตอนนี้เขากำลังมึน
          ข้าวโอ๊ตถูกเรียกเข้าไปพบทีโมนต่อจากญาดาและเขาก็ถูกตั้งข้อหาอย่างไม่ทันให้ได้ตั้งตัว
เป็นข้อหาที่แปลกประหลาดและงี่เง่าที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมา แต่ทีโมนก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังมากจนเขาชักเริ่มไม่เข้าใจโลกใบนี้อีกต่อไป
           ทีโมนบอกว่าข้าวโอ๊ตมีความผิดฐานเลือกปฏิบัติ เนื่องจากเขาแสดงความไม่สุภาพต่อพัดชาที่เป็นแม่บ้านโดยการบังคับให้ล้างทำความสะอาดปิ่นโตใส่อาหารกลางวันซึ่งเป็นของส่วนตัว ความผิดของข้าวโอ๊ตในครั้งนี้เทียบเท่ากับการเหยียดผิวหรือเหยียดเชื้อชาติในสังคมตะวันตก และเขาจำเป็นต้องรายงานเรื่องนี้ให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ทราบเพื่อออกจดหมายเตือนความประพฤติอย่างเป็นทางการ
          ข้าวโอ๊ตฟังแล้วอ้าปากค้าง
          ‘ผมเนี่ยนะไม่สุภาพกับคุณพัด’
          ชายหนุ่มทวนคำด้วยสีหน้าเหวอ ๆ
          ‘มันแค่ปิ่นโตอาหารกลางวันเถาเล็ก ๆ มีสามชั้น และอาหารที่ผมเอามาผมก็แบ่งให้คุณพัดกินด้วยตลอด นี่คือผมไม่สุภาพ นี่คือผมเหยียดคุณพัด นี่คือผมจะได้รับจดหมายเตือนความประพฤติ’
          ทีโมนทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่ข้าวโอ๊ตแย้ง เขายังยืนยันว่า
          ‘ผมจะเรียนเรื่องนี้ให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ทราบ แล้วเราจะมีการพูดเรื่องนี้กันอีกครั้ง คุณออกไปได้แล้ว’
          ข้าวโอ๊ตเดินออกจากห้องของทีโมนด้วยความมึนงง เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในอฟฟิศนี้กันแน่ แค่เอาปิ่นโตอาหารกลางวันมากินและให้แม่บ้านล้างแค่นี้นี่นะถึงกับโดนข้อหาระดับเดียวกับการเหยียดเชื้อชาติ
          โลกนี้มันเป็นอะไรไปแล้ว
          แต่เอ...หรือเขาต่างหากที่เป็นคนผิดปกติ ที่อื่นคงไม่มีใครเอาปิ่นโตมากินและให้แม่บ้านล้างให้ ทีโมนถึงกล้าตั้งข้อหาเขาใหญ่โตขนาดนั้น
          ข้าวโอ๊ตทั้งมึนทั้งเบลอจนไม่ได้ยินเสียงเรียกของออกัส
          “เหม่ออะไรโอ๊ต ไม่เห็นพูดอะไรบ้างเลย นายไม่เดือดร้อนเหรอเรื่องที่โดนจำกัดสิทธิในออฟฟิศเนี่ย”
           ญาดาเองก็หันมามองเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องด้วยความสงสัย
          “ทีโมนเรียกโอ๊ตเข้าไปหาเรื่องอะไร พี่เห็นมันทำหน้าซีเรียสเชียว”
          “เขาห้ามผมเอาปิ่นโตอาหารกลางวันมากินครับ เขาบอกว่าผมบังคับพี่พัดให้ล้างปิ่นโตให้ เป็นการกระทำที่ไม่สุภาพมาก ความผิดเหมือนกับการเหยียดเชื้อชาติ เขาจะบอกด็อกเตอร์แฮร์มันน์ และผมจะได้จดหมายตักเตือนความประพฤติอย่างเป็นทางการ”
          ออกัสหลุดปากอุทานคำหยาบคายออกมา ญาดากับมิคกี้ฟังแล้วอ้าปากค้างเหมือนกับที่ข้าวโอ๊ตเคยทำ พี่ใหญ่ประจำออฟฟิศแทบอยากจะเอามือกุมขมับ
          “นี่มันบ้าไปแล้ว เรื่องแค่นี้นี่นะ”
           แล้วหล่อนก็ให้สัญญากับชายหนุ่มว่า
          “ถ้าด็อกเตอร์แฮร์มันน์จะทำจริง ๆ พี่จะเบรกให้เอง เรื่องนี้มันเกินไปแล้ว ใช้ตรรกะอะไรคิดวะเนี่ย”
          “นี่พี่พัดเป็นคนฟ้องอีกรึเปล่าครับว่าพี่โอ๊ตบังคับพี่พัดให้ล้างปิ่นโต” มิคกี้ตั้งข้อสงสัยขึ้นมา
          “พี่ไม่เคยบังคับพี่พัดนะ พี่กินข้าวจากปิ่นโต พี่พัดก็ล้างปิ่นโตให้พี่แทนจานอาหารเหมือนที่ทำให้ทุกคน ก็ทำอย่างนี้มาตลอด ความจริงถ้าพี่พัดเขาไม่อยากทำ เขาบอกพี่ก็ได้ แต่เขาไม่เคยบอก” ข้าวโอ๊ตพูด
          “เอาเถอะ เดี๋ยวพี่คุยกับพี่พัดเอง” ญาดาตัดบทพร้อม ๆ กับที่ประตูออฟฟิศถูกผลักเปิดเข้ามา พัดชาเดินยิ้มแย้มเข้ามาในออฟฟิศ ไม่รู้ตัวว่ากำลังตกเป็นหัวข้อสนทนา หล่อนเอาแก้วน้ำผลไม้ปั่นเข้าไปให้ทีโมนในห้องรับประทานอาหาร ก่อนจะรี่เข้ามาในครัว ท่าทางของหล่อนตื่นเต้น
         “เจ้าของร้านน้ำปั่นข้างล่างตึกกำลังจะขายร้านแล้วนะคะ เด็กที่ร้านบอกว่าขาดทุน แถมยังมีเรื่องข่าวลือไม่ดีอีกด้วยค่ะ เห็นว่าในเน็ตหรืออะไรนี่แหละค่ะ เขาพูดกันว่าคนมากินแล้วไม่ชอบใจ เอาไปด่าว่าเสีย ๆ หาย ๆ จนไม่มีใครกล้ามากิน แถมเขายังว่ากันว่าเจ้าของร้านเนี่ยแกเป็นพวกชอบแย่งแฟนชาวบ้านด้วยนะคะ จริงไม่จริงไม่รู้ แต่โอ๊ย เขาพูดให้แซดกันไปทั้งตึกเลยค่ะตอนนี้”
         ไม่มีใครสนใจเรื่องที่พัดชาเล่า มีเพียงญาดาที่สั่งแม่บ้านประจำออฟฟิศสั้น ๆ ว่า
          “วันนี้พี่พัดว่างเมื่อไหร่เข้าไปหาหญ้าที่ห้องด้วยนะคะ”
          ข้าวโอ๊ตไม่รู้ว่าญาดาพูดอะไรกับพัดชาบ้าง แต่บ่ายวันนั้นพัดชาก็เดินหน้าหมองเข้ามาหาเขาในห้องทำงาน หล่อนขอโทษขอโพยเขาที่ทำให้เดือดร้อน แต่นั่งยันนอนยันว่า
          “พี่ไม่ได้พูดอะไรกับคุณคาริน่าหรือคุณทีโมนทั้งนั้นนะคะ สาบานได้ค่ะ คุณคาริน่าถามพี่ว่าน้ำยาล้างจานไปไหนหมด พี่ก็ว่าเอาไปล้างจาน ชี้จานชามในถังให้เขาดูค่ะ แค่นั้นจริง ๆ นะคะ”
          “พี่พัดไม่ได้บอกว่าผมบังคับพี่ให้ล้างปิ่นโตให้ใช่ไหมครับ”
          “พี่ไม่ได้พูดเลยค่ะ”
          ข้าวโอ๊ตไม่ดีใจเลยสักนิดที่พัดชาเข้ามาขอโทษเขา เขารู้สึกไม่สบายใจมากกว่าที่เห็นพัดชาทำอย่างนี้ ก็ถ้าเผื่อคาริน่าหรือใครเดินเข้ามาเห็นว่าพัดชาอยู่ในห้องเขา เรื่องมันอาจจะถูกบิดเบือนกลายเป็นว่าเขากำลังข่มขู่พัดชาอยู่ก็ได้ ชายหนุ่มจึงตัดบทเพื่อให้พัดชารีบออกจากห้องของเขาไป
          “งั้นถ้าด็อกเตอร์แฮร์มันน์เรียกสอบสวนเรื่องนี้ พี่พัดก็พูดไปตามความจริงก็แล้วกันครับ เรื่องมันเป็นยังไงก็พูดไปตามนั้น”
          “คุณโอ๊ตไม่โกรธพี่ใช่ไหมคะ”
          “ถ้าพี่พัดยืนยันว่าที่พูดมาเป็นความจริง ผมจะโกรธพี่ได้ยังไงกันครับ” ข้าวโอ๊ตตอบเสียงเรียบ

         

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
           เมื่อกลับมาถึงคอนโดของตัวเองในตอนเย็นวันนั้น ข้าวโอ๊ตเปิดคอมพิวเตอร์แช็ตกับเม็ดนุ่นในไลน์อย่างไม่รอช้า เพื่อนสนิทของเขารับฟังเรื่องทั้งหมดโดยไม่ขัดหรือซักถามอะไร และหล่อนไม่มีความคิดเห็นอื่นใดต่อเรื่องนี้นอกเหนือไปจากอิโมติค่อนรูปหน้าคนตกใจจนตาเบิกโพลงที่ส่งมาให้หลังจากฟังเรื่องทุกอย่างจนจบ
          ขณะที่คุยกับเม็ดนุ่น ชายหนุ่มก็ได้รับข้อความจากคาร์ลด้วย
          ‘วันนี้เกิดอะไรขึ้นที่ออฟฟิศรึเปล่าครับ ดูทุกคนท่าทางอารมณ์ไม่ดี ตอนเย็นคุณก็รีบร้อนออกไป’
          ‘คาริน่ากับทีโมนไม่ได้บอกคุณเหรอ’ ชายหนุ่มพิมพ์กลับไป
          ‘ไม่ครับ ไม่มีใครบอกอะไรผมเลย’
          ‘….’
          ข้าวโอ๊ตลังเลว่าควรจะเล่าให้เด็กหนุ่มฟังดีไหม เรื่องมันงี่เง่ามาก แต่เขาอยากคุยกับคาร์ลอยู่แล้วและอีกใจก็อยากจะรู้ด้วยว่าคนชาตินี้ตรรกะผิดเพี้ยนเหมือนกันหมดหรือไม่ เขาจึงตกลงใจว่าจะเล่า
          ข้อความแช็ตจากอีกหน้าต่างหนึ่งเด้งขึ้นมาระหว่างที่เขากำลังใคร่ครวญ เม็ดนุ่นเห็นเขาหายไปนานก็เลยส่งข้อความมาทัก
          ‘ทำไมเงียบไปเลยล่ะ’
          ‘ขอโทษที ฉันคุยกับคาร์ลอยู่’
          อิโมติค่อนรูปหัวใจถูกส่งตอบมาทันที แล้วเม็ดนุ่นก็ออฟไลน์ออกจากโปรแกรมไปเลย เป็นการแสดงจุดยืนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เม็ดนุ่นพร้อมสนับสนุนเพื่อนในเรื่องผู้ชายอย่างเต็มที่ ข้าวโอ๊ตจึงมีสมาธิแช็ตกับคาร์ลได้ ไม่ต้องแบ่งภาคเปิดสองสามหน้าต่างเหมือนเดิมอีก
          ชายหนุ่มเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในออฟฟิศวันนี้ให้เด็กหนุ่มฟังและเขาก็รู้สึกดีใจที่คาร์ลเลือกที่จะอยู่ข้างเขา
          ‘ผมไม่เห็นว่าคุณจะไม่สุภาพกับใครในออฟฟิศเลย’ เด็กหนุ่มพิมพ์ข้อความส่งมา
          ‘คุณว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระไหม หรือคนประเทศคุณเขาซีเรียสกับเรื่องแบบนี้กันจริง ๆ เอาล่ะสมมติว่าผมบังคับพี่พัดล้างจานจริง ๆ นะ’
          คาร์ลหายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาอย่างระมัดระวัง
          ‘ผมว่ามันก็ไม่ผิดนะ ตำแหน่งของคุณสูงกว่าคุณพัด แล้วคุณพัดก็มีหน้าที่ล้างจานอยู่แล้ว คุณก็น่าจะสั่งคุณพัดได้’
          คาร์ลพิมพ์ไม่เร็วอย่างที่เคยเพราะต้องเลือกคำพูดที่จะใช้ เขาเห็นใจข้าวโอ๊ต แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องวิจารณ์คาริน่าและทีโมน
          “แต่ที่สองคนนั้นซีเรียส ผมว่าเขาคงมองในมุมว่าคุณพัดก็เป็นพนักงานคนหนึ่งในออฟฟิศเหมือนกับทุกคน การจะใช้งานอะไรคุณพัดก็ควรจะเกรงใจกันบ้างน่ะครับ ไม่งั้นทุกคนรุมใช้งานคุณพัดกันหมด คุณพัดก็คงแย่พอดี’
          ข้าวโอ๊ตคันปากอยากจะพูดเหลือเกินว่าไม่มีใครกล้าใช้งานพัดชาหรอก ทั้งออฟฟิศมีแค่คาริน่ากับทีโมนนั่นแหละที่จิกใช้พัดชาทำโน่นทำนี่ ให้เดินไปซื้ออาหารกลางวันที่ซูเปอร์มาร์เก็ตบ้าง ซื้อน้ำผลไม้ปั่นบ้าง หรือทำความสะอาดห้องทำงานของตัวเองเวลาที่มันสกปรกมาก ๆ บ้าง พนักงานคนไทยไม่เคยมีใครทำแบบนี้ได้ แม้แต่ญาดาก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็เลือกที่จะไม่พูดออกมา เขาเองก็ไม่อยากทำให้เรื่องมันไปกันใหญ่และการวิพากษ์วิจารณ์หรือนินทาคนในออฟฟิศให้เด็กฝึกงานฟังก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีด้วย
          ‘คุณพัดคงไม่มีวันแย่หรอก ผมชิงแย่ก่อนเสียแล้วนี่ เจอจดหมายตักเตือนจากผู้อำนวยการกันเลยทีเดียว’
          ข้าวโอ๊ตแกล้งทำให้มันเป็นประโยคติดตลก แต่คาร์ลก็ยังมองออก
          ‘ไม่หรอกครับ อย่าเพิ่งคิดมาก ผมว่าด็อกเตอร์แฮร์มันน์คงเรียกพวกคุณมาสอบถามก่อน ถ้ารู้ว่าเป็นการเข้าใจผิด สื่อสารกันผิดพลาดระหว่างคุณพัดกับคาริน่าและทีโมน คุณไม่ได้เป็นคนทำ คุณพัดก็ไม่ได้พูด เรื่องมันก็คงจบครับ’
          ‘ผมก็หวังให้เป็นอย่างนั้น’
          ชายหนุ่มไม่ได้ตั้งความหวังเอาไว้มากนักหรอก ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ยิ่งถูกจูงจมูกง่ายกว่าทีโมนอีกประสาคนแก่ ถูกคาริน่าเป่าหูเข้าหน่อยก็คงไม่แคล้วรีบยัดจดหมายเตือนใส่มือเขาแทบไม่ทัน แต่เขาก็ไม่ได้พิมพ์ข้อความไปอย่างใจคิด คาร์ลก็คงไม่อยากจะถกประเด็นที่ชวนไม่สบายใจต่อไป ทั้งสองคนก็เลยเปลี่ยนเรื่องคุยและคุยกันเพลินจนข้าวโอ๊ตรับโทรศัพท์ไม่ทัน
          ชื่อที่หน้าจอขึ้นว่า “Mutter”
          ถ้าเป็นคนอื่นโทรศัพท์มา เขาคงไม่สนใจ แต่สายจากแม่และคนอื่นในครอบครัว เขาไม่สามารถเพิกเฉยได้ ชายหนุ่มจึงต้องจบการสนทนากับคาร์ลและรีบกดโทรศัพท์กลับไปหาแม่ของเขา
          “โอ๊ต เป็นยังไงบ้างลูก”
          แม่ทักเขาด้วยประโยคเดิมเหมือนทุกครั้งและเขาก็ตอบเหมือนเดิมว่า
          “เรื่อย ๆ ครับแม่”
          ชายหนุ่มไม่สนิทกับครอบครัวตัวเองมากนัก นาน ๆ ครั้งแม่จะโทรศัพท์มาไต่ถามสารทุกข์สุขดิบหรือเขาจะโทรศัพท์กลับบ้านบ้าง ส่วนคนอื่น ๆ ในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือพี่ข้าวฟ่างจะโทรศัพท์มาหาก็เฉพาะตอนที่มีธุระเท่านั้น อาจจะยกเว้นพี่สะใภ้ของเขาคนหนึ่งที่ติดต่อมาบ่อยกว่าทุกคน แต่ก็แค่ส่งภาพและวีดิโอของหลาน ๆ มาให้เขาดูทางโปรแกรมไลน์เท่านั้น
          “แม่มีอะไรรึเปล่าครับ”
          “เปล่าลูก แม่โทรมาคุยด้วยเฉย ๆ ไม่ได้มีธุระอะไร” แม่ของเขาตอบ “ใกล้จะปีใหม่แล้ว โอ๊ตกลับบ้านใช่ไหมลูก ไม่เปลี่ยนใจไปเที่ยวที่ไหนนะ”
          “กลับครับ”
          “แล้วจะพาใครกลับมาด้วยไหมลูก”
          นี่ก็เป็นคำถามที่แม่ถามเขาแทบทุกครั้งที่ใกล้จะถึงวันหยุดเทศกาลและเขาจะต้องกลับมาเยี่ยมบ้าน ถึงแม้ว่าครอบครัวเขาพอทำใจยอมรับสิ่งที่เขาเป็นได้ แต่เรื่องที่เขาจะมีคนรักเป็นตัวเป็นตนดูจะยังเป็นเรื่องที่เกินกว่าครอบครัวเขาจะรับไหว แม่ของเขาถึงต้องคอยถามคำถามนี้อยู่ตลอด
          “ถ้าจะพาใครกลับไปก็คงเป็นนุ่นน่ะครับแม่”
         ข้าวโอ๊ตได้ยินเสียงถอนหายใจเบา ๆ ของแม่ ฟังดูแล้วอีกฝ่ายน่าจะโล่งใจที่ปีนี้ไม่ต้องเจอกับสถานการณ์ที่อึดอัด เสียงของแม่ในประโยคถัดมาจึงฟังไม่แปร่งอย่างประโยคที่แล้ว
          “แล้วน้องนุ่นจะมาไหม แม่จะได้เตรียมทำความสะอาดห้องพักเอาไว้ให้”
          “ปีนี้คงไม่ได้แล้วล่ะครับ นุ่นมีแผนจะไปเที่ยวปีใหม่ที่ญี่ปุ่น เห็นว่าจะไปแช่ออนเซ็นดูภูเขาไฟฟูจิ”
          “เที่ยวอีกแล้ว เที่ยวเก่งจังเลยนะเพื่อนโอ๊ตเนี่ย” แม่ของเขาพูดเหมือนจะว่า แต่น้ำเสียงของหล่อนแสดงความเอ็นดูคนที่พูดถึงอยู่มาก เม็ดนุ่นเป็นเพื่อนสนิทของลูกชายหล่อน เที่ยวเล่นกินนอนอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่มัธยมปลาย หล่อนเห็นเม็ดนุ่นมาเป็นสิบปี เอ็นดูไม่ต่างจากลูกคนหนึ่ง
          “แล้วน้องนุ่นไปเที่ยวกับใคร โอ๊ตรู้รึเปล่า”
          “ไปคนเดียวตามเคยแหละครับ รายนั้นลุยเดี่ยวได้สบาย ไม่สนใจใครอยู่แล้ว”
          “ความจริงโอ๊ตกับน้องนุ่นก็สนิทกัน ทำไมโอ๊ตไม่ลองมอง...”
          แม่ของเขาหยุดพูด แต่ข้าวโอ๊ตก็รู้ว่าแม่จะพูดว่าอะไร เรื่องนี้ก็เคยคุยกันมาไม่รู้กี่รอบแล้ว แม่ของเขายังเชื่อว่าสักวันหนึ่งลูกชายจะหายเป็นเกย์ แล้วเมื่อมีโอกาสก็เลยพยายามชงเขากับเม็ดนุ่นอยู่ตลอด ถึงจะรู้ว่าไม่มีวันเป็นไปได้ แต่แม่ก็ไม่หมดความพยายาม
          ส่วนเขาน่ะหรือ ขนลุกทุกครั้งที่ได้ยินแม่พูดเรื่องนี้ เขากับเม็ดนุ่นเนี่ยนะ ฟ้าจะได้ผ่าตายปะไร
          ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
          “พ่อกับพี่ฟ่างสบายดีไหมครับ หลาน ๆ ด้วยเป็นยังไงกันบ้าง”
          “สบายดีกันทุกคน น้องหม่อนวิ่งซนทั้งวัน น้องไหมเลี้ยงยากหน่อย ร้องไห้บ่อย แต่ก็กินเก่ง อ้วนขาวเชียว เหมือนตาฟ่างตอนเด็ก ๆ ไม่มีผิด” เมื่อพูดถึงหลานชายและหลานสาว น้ำเสียงของแม่ฟังดูมีความสุขอย่างมาก
          “คุณพ่อไปวิ่งที่สนามกีฬาทุกวันเลยนะตอนเย็น ๆ บางวันแม่ก็ไปเป็นเพื่อนคุณพ่อ คุณพ่อเขาบ่นถึงโอ๊ตนะว่าถ้าโอ๊ตกลับมาบ้านจะพาไปวิ่งด้วยกัน โอ๊ตไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย”
          “คิดถึงนี่คืออยากให้ทำโน่นทำนี่” ข้าวโอ๊ตอดพูดไม่ได้ แต่อีกฝ่ายไม่รู้ความรู้สึกของลูกชายจึงพูดต่อไปเรื่อย ๆ จากเรื่องของครอบครัวตัวเองก็เลยไปถึงเรื่องของคนรู้จักรอบตัว
          “เมื่อวานน้าแป๋วมาหาแม่ที่บ้าน โอ๊ตจำน้าแป๋วเพื่อนแม่ที่โรงเรียนได้ใช่ไหม น้าเขามาชวนแม่กับคุณพ่อไปทำบุญเปิดร้านอาหารของลูกชายคนโต ลูกชายเขาน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับโอ๊ตนะถ้าแม่จำไม่ผิด”
          “เป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนครับ อ่อนกว่าโอ๊ตสองปี”
          “นั่นแหละ ๆ ร้านอาหารเขาอยู่ริมทะเล เห็นว่าเปิดเสียใหญ่โต”
          “แล้วน้าแป๋วแข็งแรงดีนะครับ” ชายหนุ่มถามเหมือนต้องการจะต่อบทสนทนามากกว่าจะอยากรู้จริง ๆ
          “ร่างกายแข็งแรงดี แต่น้าเขาไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่หรอกลูก ถึงลูกชายคนโตจะเปิดร้าน แต่ลูกชายคนเล็กกลับทำเรื่อง น้าเขาเล่าให้แม่กับคุณพ่อฟังว่าที่บ้านเขาน่ะพ่อกับลูกชายคนเล็กทะเลาะกันใหญ่โต พ่อเขาจับได้ว่าลูกชายคนเล็กแต่งหญิงเป็นกะเทย นี่ได้ยินว่าไล่ลูกออกจากบ้านไปแล้ว ใครห้ามไม่ฟัง น้าแป๋วเสียใจไม่รู้จะทำยังไง นั่นก็ผัวนี่ก็ลูก วุ่นวายกันไปหมด”
          “เป็นกะเทย แต่งตัวเป็นผู้หญิง ชอบผู้ชาย ไม่ใช่อาชญากรรมนะครับ ทำไมต้องทำร้ายกันขนาดนั้น”
          ข้าวโอ๊ตทนไม่ไหว ลืมตัวเถียงแทนออกมา
          “ถ้าแม้แต่ครอบครัวยังไม่ยืนอยู่ข้างเขา แล้วจะมีที่ไหนเป็นที่สำหรับเขาอีก”
          “โอ๊ต...” แม่ของเขาพูดไม่ออก ตอนที่เล่าก็ไม่ได้คิดว่าจะกลายเป็นแบบนี้ หล่อนรู้ทันทีว่าลูกชายรู้สึกอย่างไร แต่เรื่องบางเรื่องหล่อนก็เข้าข้างลูกตะพึดตะพือไม่ได้ แม้ว่าอาจจะต้องละเลยความรู้สึกของลูกอยู่บ้าง หล่อนก็ต้องทำให้ลูกเห็นแง่มุมที่แตกต่าง 
          “ลูกพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูกนะโอ๊ต ลองคิดถึงหัวจิตหัวใจของคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ดูบ้าง จะมีใครที่ยอมรับได้อย่างหน้าชื่นตาบานบ้างเมื่อเห็นลูกตัวเองเป็นแบบนั้น พ่อแม่ทุกคนก็ย่อมอยากเห็นลูกมีความสุขแบบคนปกติกันทั้งนั้นแหละ”
           “แม่พูดแบบนี้ แม่คิดว่าโอ๊ตผิดปกติด้วยใช่ไหม”
          “ไม่ใช่นะโอ๊ต แม่แค่อยากให้ลูกคิดด้านอื่นบ้าง”
          “พอเถอะครับ ในเมื่อเรามองกันคนละมุม แม่คิดอย่างหนึ่ง โอ๊ตคิดอีกอย่างหนึ่ง พูดกันยังไงก็คงไม่มีวันเข้าใจ” ชายหนุ่มตัดบทด้วยความรู้สึกเจ็บปวดน้อยใจอยู่ไม่น้อยและแม้ว่าแม่จะพยายามพูดอะไรต่ออีกหลายประโยค ชายหนุ่มก็ไม่มีกะจิตกะใจจะคุยต่ออีกแล้ว ข้าวโอ๊ตกดวางสาย ก่อนจะล้มตัวลงนอนแผ่บนพื้นห้องที่แข็งกระด้าง
          เวลาที่รู้สึกเสียใจเขามักจะนอนบนพื้นท่านี้
          ชายหนุ่มนึกถึงหลาย ๆ เรื่องในอดีต
          ตอนเขาเป็นเด็ก เขารักและชื่นชมข้าวฟ่างมาก แต่ความชื่นชมมันกลายเป็นความอิจฉาในเวลาต่อมา คิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะเป็นเวลาเดียวกับที่เขารู้ตัวว่าเขาชอบเพศเดียวกัน ข้าวโอ๊ตบอกใครเรื่องนี้ไม่ได้ พ่อกับแม่คงไม่สามารถยอมรับได้แน่ ๆ ครอบครัวของเขาเลี้ยงดูลูกชายสองคนอย่างมีระเบียบและเต็มไปด้วยหลักการ เขากับพี่ชายประพฤติตัวเรียบร้อย ไม่เคยเกกมะเหรกเกเร ไม่เคยเดินออกนอกกรอบของคำว่าเด็กดี แต่ข้าวโอ๊ตรู้สึกว่าตัวของเขาสะสมความเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
          เขากดดันตัวเอง ดำเนินชีวิตด้วยความหวาดระแวง กลัวว่าสักวันจะมีคนรู้ความลับของเขาแล้วเขาจะไม่สามารถเป็นเด็กดีอย่างที่พ่อกับแม่ต้องการได้อีกต่อไป เขาไม่อยากให้พ่อกับแม่ผิดหวังในตัวเขา มือของชายหนุ่มเหมือนถือระเบิดเวลาเอาไว้ ตอนนี้เองที่เขารู้สึกอิจฉาข้าวฟ่างจับใจ พี่ชายของเขาเป็นเด็กดี นิสัยดีเรียนเก่ง เป็นลูกที่สร้างแต่ความชื่นใจให้พ่อแม่ และที่สำคัญ ข้าวฟ่างไม่มีความลับที่บอกใครไม่ได้อย่างเขา
          ข้าวโอ๊ตอยากเป็นข้าวฟ่าง เขาไม่อยากเป็นอย่างตอนนี้ แต่เขาปฏิเสธตัวตนของตัวเองไม่ได้
          ความเครียดและความกดดันของข้าวโอ๊ตคลายลงเมื่อเขาเข้ามาเรียนมัธยมปลายในกรุงเทพฯ ชายหนุ่มไม่ต้องอยู่ในสายตาใครต่อใครเหมือนตอนอยู่ที่บ้านที่ต่างจังหวัด เขามีอิสระมากขึ้น มีเพื่อนดี ๆ ที่ยอมรับเขา เขาจึงเป็นตัวของตัวเองได้มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถึงจะมีชีวิตเป็นของตัวเองมากขึ้นแล้ว ชายหนุ่มก็ยังไม่เคยมีแฟนกับเขาเลยสักคนเดียว เพราะภายในใจลึก ๆ แล้ว เขายังรู้สึกว่าตัวเองทำผิดต่อครอบครัว ถ้าเขามีแฟน มันก็ยิ่งตอกย้ำความผิดนั้น ข้าวโอ๊ตจึงลังเลที่จะรักใครสักคนและทุ่มความรู้สึกไปกับผู้ชายที่จับต้องไม่ได้ อย่างผู้ชายในหนังสือ ดารานักร้อง นักกีฬา หรือนักแสดงหนังผู้ใหญ่แทน แต่ในขณะที่ผลักไสความรัก เขาก็กลับโหยหามันอย่างมากมายในเวลาเดียวกัน
          ข้าวโอ๊ตได้เห็นพิษสงของความรักกับตาตัวเองเพราะเม็ดนุ่น หล่อนเป็นเพื่อนสนิทของเขาตั้งแต่ตอนอยู่มัธยมปลาย เข้ามหาวิทยาลัยก็เรียนคณะเดียวกัน สาขาวิชาเดียวกัน จบปริญญาตรีก็เรียนต่อปริญญาโทสาขาเดียวกันอีก เม็ดนุ่นได้ทุนไปเก็บข้อมูลทำวิทยานิพนธ์ที่เยอรมนีตอนเทอมที่สี่ หล่อนไปอยู่ที่นั่นห้าเดือน ชีวิตเป็นสุขสนุกสนาน วีดิโอคอลคุยกันแต่ละที แม่เพื่อนตัวดีของเขามีแต่รอยยิ้มกว้างชนิดปากจะฉีกถึงรูหู เม็ดนุ่นพบรักกับหนุ่มเยอรมันคนหนึ่งที่โน่น ความรักกำลังไปได้สวย หญิงสาวกลับเมืองไทยตอนต้นเดือนมีนาคม แต่พอถึงเดือนพฤษภาคม แฟนหนุ่มที่รักกันนักหนาบอกเลิกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เม็ดนุ่นช็อก ข้าวโอ๊ตต้องหอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่เป็นเพื่อนหล่อนที่อพาร์ตเม้นท์เพราะกลัวเพื่อนจะคิดสั้น
          เม็ดนุ่นไม่ได้คิดอยากจะฆ่าตัวตายอย่างที่เขานึกกลัว แต่หล่อนทำตัวประหลาด
          หญิงสาวยังอ่านหนังสือทำวิทยานิพนธ์อยู่ตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือหล่อนร้องไห้ตลอดเวลา บางครั้งแค่น้ำตาไหลเงียบ ๆ แต่บางครั้งก็ร้องไห้โฮ ๆ สะอึกสะอื้นฟูมฟายเสียงดัง หนังสือกับเอกสารต่าง ๆ ของหล่อนเปียกน้ำตาจนพองแล้วพองอีก ผ่านช่วงร้องไห้ หล่อนก็ทำตัวเป็นผู้หญิงแรง ๆ ย้อมผมสีจัด ๆ แต่งตัวเปรี้ยวซ่า วางท่ามาดมั่นไม่สนศีรษะใครทั้งนั้น เหล้าเบียร์ที่ดื่มอยู่แล้วก็ดื่มมากขึ้น แถมปาร์ตี้หนักข้อขึ้นทุกวัน แล้วก็เริ่มสูบบุหรี่
          ข้าวโอ๊ตด่าเพื่อนทุกวัน เขาไม่ชอบใจเลยที่เม็ดนุ่นทำตัวประชดชีวิตแบบนี้ เรื่องสูบบุหรี่ก็อีก สูบเป็นเสียที่ไหน ทำได้แค่พ่นควันเล่น ๆ พออยากจะอัดควันขึ้นมาก็สำลักกระอักกระไอ น้ำหูน้ำตาไหล บางวันมีแถมมาสคาร่าไหลเลอะเทอะจนเหมือนผีแพนด้า ชายหนุ่มด่าเพื่อนว่างี่เง่า สูบไม่เป็นยังริจะสูบ ด่าทุกวัน ๆ เข้าเม็ดนุ่นก็ดูเหมือนจะสำนึกได้ หล่อนค่อย ๆ หยุดพฤติกรรมประหลาดลงทีละอย่าง
          ชายหนุ่มรู้สึกโล่งอกที่เห็นเพื่อนอาการดีขึ้น และในเทอมที่หกเขาก็ได้รับทุนเดียวกับเม็ดนุ่นไปเยอรมนี
          เรื่องที่เกิดกับเพื่อนสนิททำให้เขากลัวไม่น้อย ความรักที่ไม่สมหวังมันทำให้คนเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนั้นทีเดียว เขาตั้งใจว่าเขาจะไม่ไปตกหลุมรักใครที่โน่น แต่เอาเข้าจริง เขาก็ห้ามใจตัวเองไม่อยู่เมื่อได้เจอกับหนุ่มฝรั่งเศสผู้ที่มีรอยยิ้มสดใส
          ฟรองซัวส์เป็นนักศึกษาทุนอิราสมุสมุนดุส มาเรียนแลกเปลี่ยนระดับปริญญาตรีที่เยอรมนี อายุน้อยกว่าเขาสองสามปี อยู่หอพักเดียวกัน เจอกันทุกวัน เด็กหนุ่มรุ่นน้องคนนี้ไม่ใช่คนหน้าตาดีสะดุดตานักหรอก ออกจะดูเฮี้ยว ๆ ด้วยซ้ำ ผมหยักศกสีดำยาวประบ่า คาดผ้าคาดผมจนเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว แต่เขาเป็นคนที่ร่าเริง พูดเก่ง สนิทกับคนง่ายและยิ้มสวยมาก ฟรองซัวส์คุยกับข้าวโอ๊ตเหมือนคนที่รู้จักกันมานาน เขาช่างคุยช่างยั่วแหย่ให้เพื่อนรุ่นพี่ที่เงียบขรึมยิ้มได้ ไม่ทันรู้ตัว ทั้งสองคนก็เป็นแฟนกันแล้ว ฟรองซัวส์ทำให้ข้าวโอ๊ตได้เจอประสบการณ์ใหม่ ๆ ของการมีความรัก ความสุขที่ได้อยู่กับใครคนหนึ่งทุกวันและความอบอุ่นใกล้ชิดแบบที่ครอบครัวของเขาไม่เคยมีให้
          ความรักครั้งแรกของเขาสวยงามและฟรองซัวส์ทำให้เขามั่นใจว่ามันจะคงอยู่ไปนานแสนนาน ข้าวโอ๊ตจึงคิดทำเรื่องที่ตัวเองไม่เคยคิดจะทำมาก่อน นั่นคือ บอกที่บ้านให้ทราบเรื่องความลับของเขา ชายหนุ่มคิดว่าถ้าพ่อแม่และพี่ชายไม่มีใครเข้าใจเขา เขาก็ยังมีฟรองซัวส์
          ครอบครัวของเขารับเรื่องนี้ได้ดีกว่าที่ชายหนุ่มคิด ไม่มีการฟูมฟายน้ำตาหรือด่าทอต่อว่า พ่อของเขานิ่งอย่างน่ากลัว ส่วนแม่พูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่แค่ประโยคเดียวว่า เขาจะไม่มีทางเลิกเป็นเกย์อย่างนั้นหรือ ส่วนพี่ชายของเขาเป็นคนเดียวที่ไม่แสดงความแปลกใจมากนัก ดูเหมือนข้าวฟ่างจะระแคะระคายเรื่องนี้อยู่บ้างแล้ว แต่เพราะข้าวโอ๊ตไม่เคยแสดงออกอย่างเปิดเผยหรือทำตัวออกนอกลู่นอกทาง เขาจึงไม่แน่ใจ หากเมื่อรู้ความจริง ข้าวฟ่างก็ไม่ได้แสดงอาการรังเกียจรังงอนน้องชายแต่อย่างใด เพียงแต่สายตาที่มองน้องชายมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป สายตาของพ่อกับแม่ก็ด้วย ภายนอกทุกคนดูเหมือนจะทำใจยอมรับเรื่องที่ข้าวโอ๊ตเป็นเกย์ได้ แต่ข้าวโอ๊ตสัมผัสได้จากบรรยากาศที่น่าอึดอัดภายในบ้าน เขาก็รู้ว่าครอบครัวของเขายอมรับเรื่องนี้ไม่ได้จริง ๆ หรอก
          ข้าวโอ๊ตเสียใจ แต่เขาทำเป็นไม่สนใจ เขามีชีวิตของเขาที่กรุงเทพฯ และเขาก็มีฟรองซัวส์ ชายหนุ่มยังไม่ได้บอกเรื่องคนรักของเขาให้ที่บ้านรู้ ตั้งใจว่าเมื่อฟรองซัวส์มาหาเขาที่เมืองไทย เขาก็จะพาไปพบกับครอบครัวที่ต่างจังหวัด พร้อมกับบอกให้รับรู้ถึงแผนการที่เขาจะไปอยู่กับคนรักของเขาที่เยอรมนี แต่ข้าวโอ๊ตก็ไม่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจไว้เพราะฟรองซัวส์บอกเลิกกับเขาก่อน และคราวนี้เป็นเม็ดนุ่นบ้างที่หอบผ้าหอบผ่อนมาอยู่เป็นเพื่อนเขาที่อพาร์ตเม้นท์
          อาการของเขาหนักกว่าเพื่อนมาก เพราะเขาทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความรักครั้งนี้ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกับโลกถล่มทลายและตัวเขาก็โดนทับแบนจนติดดิน ข้าวโอ๊ตนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่บนพื้นกระเบื้องแข็ง ๆ ในห้องพักของอพาร์ตเม้นท์เป็นวัน ๆ ไม่อยากจะลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริงหรือเรื่องใด ๆ อีกต่อไป เม็ดนุ่นไม่ยอมเห็นเพื่อนเอาแต่ทำตัวซึมกระทือ หล่อนลากเพื่อนออกจากห้อง ไม่ยอมให้เขาจมอยู่กับตัวเองหรือหมกตัวอยู่แต่ในห้อง แม้ว่าจะไม่ค่อยได้รับความร่วมมือเท่าไร แต่หล่อนก็ไม่ยอมแพ้
          คนสองคนที่มีประสบการณ์คล้าย ๆ กันอยู่ด้วยกัน ประคับประคองกันไป และเวลาก็ช่วยให้ทุกสิ่งทุกอย่างค่อย ๆ ดีขึ้น เม็ดนุ่นเลิกทำตัวประหลาด แต่ยังไม่เลิกทำผมสีทองสว่าง หล่อนบอกว่ามันทำให้หน้าหล่อนดูเด็กลงและสดใสขึ้น ส่วนข้าวโอ๊ตก็หายซึมและยอมออกจากห้อง แต่เขายิ่งปิดตัวเองมากขึ้นและไม่คิดจะเชื่ออีกต่อไปว่าคนอย่างเขาดีพอที่จะมีความรักเหมือนคนอื่น
          เขาไม่มีครอบครัว เขาไม่มีความรัก ข้างตัวของเขาว่างเปล่า และตอนนี้เขาก็ยังจะไม่มีที่ยืนในออฟฟิศอีก
          ชายหนุ่มกลับมานอนนิ่งบนพื้นห้องแข็ง ๆ อีกครั้ง กับความรู้สึกที่สับสนและเจ็บปวด
          หรือในโลกใบนี้มันจะไม่มีที่สำหรับเขาจริง ๆ

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
หรือ ฆาตกรรมในออฟฟิส จริงๆ แล้วคือ Office sindrome ที่ทำให้คนเราค่อยๆตายไปอย่างช้าๆ.... ออฟฟิสนี้เรียกได้ว่าฉิบหายมาก เหนื่อยกับคนมากกว่างานซะอีกนะเนี่ย

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เห็นด้วยกับเม้นบนเลยอ่ะ

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
 มันเป็นนิยายที่สามารถตีแผ่ปัญหาสังคมออกมาได้อย่างละเอียดลึกซึ้งจริงๆ

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
ตั้งแต่ระดับหัวหน้ายันแม่บ้าน เฮ้อออ นี่มันคดีฆาตกรรมชัดๆ  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Rabbitongrass

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ไม่ต้องไปถึงออฟฟิศซินโดรม ความเครียดนี่เเหละตัวดี โชคดีเป็นของคาริน่าที่ไม่เจอคนที่มีความอดทนต่ำ ไม่งั้นโดน9มม.เป่ากกหู+ได้ออกข่าวขึ้นหน้าหนึ่งของ"หนังสือพิมพ์ตายรัด" ส่วนทีโมนดีนะที่กิ๊กของเฮียเเกยังติดใจในลีลาอยู่ไม่งั้นคงได้กลับบ้านเก่าพร้อมกะคาริน่าเเน่ (โดนตามมาฆ่าคาออฟฟิศ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ชอบเรื่องนี้มาก อ่านละคิดภาพตามฉากๆออกเลย อ่านละรู้สึกแค้นแทนข้าวโอ๊ตมาก ในขณะเดียวกันก็สงสาร อึดอัด เห็นใจนาง ความรู้สึกเหมือนมันไม่มีที่ของเรามันแย่มาก ขอบคุณคนเขียนค่ะ เขียนดีมากเลย

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 14
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
สิ่งที่เราทำไม่ใช่เรื่องผิด แต่ทำไมเหมือนกำลังทำสิ่งที่ผิดอยู่เลยล่ะ
Like – Comment – Share

          ระหว่างที่ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ยังไม่กลับมาทำงานเป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัด บรรยากาศในออฟฟิศอึมครึมเหมือนกับเวลาที่กำลังจะเกิดพายุใหญ่
          พนักงานคนไทยไม่มีใครพอใจมาตรการประหยัดของคาริน่า หลังจากถกกันขนานใหญ่อีกครั้งก็มีการตกลงกันอย่างเงียบ ๆ ในที่สุดว่าให้ใช้ของในออฟฟิศเหมือนที่เคยทำ ไม่ต้องรัดเข็มขัด
          ‘เรากินใช้ปกติของเรา ของหมดก็ปล่อยให้มันหมดไป ของพวกนี้ควรจะเป็นสวัสดิการที่เราควรได้ ถ้าเขามีปัญหานักพี่จะออกแรงค้านอีกครั้ง จะพูดกับด็อกเตอร์แฮร์มันน์โดยตรงเลยคราวนี้’ ญาดาประกาศ ‘เขาตัดอะไรทุกอย่างไปมากแล้ว ปีนี้ก็จะไม่มีกินเลี้ยงฉลองคริสต์มาสด้วย รู้รึเปล่า’
          บริษัทสัญชาติฝรั่งมีวันหยุดคริสต์มาสและมักจะจัดงานเลี้ยงฉลองคริสต์มาสและปีใหม่ให้พนักงาน ออฟฟิศนี้ก็มี ต้นเดือนธันวาคมของทุกปี คนทั้งออฟฟิศจะไปกินบุฟเฟ่ต์อาหารเย็นที่โรงแรมด้วยกัน ผู้อำนวยการจะมีของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ หนึ่งชิ้นให้พนักงานเล่นเกมลักกี้ดรอหาผู้โชคดีหนึ่งคน ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลือจะได้รางวัลปลอบใจเป็นช็อกโกแล็ตรูปนิโคเลาส์ นักบุญซึ่งเปรียบได้กับซานตาคลอสของชาวอเมริกัน แต่เมื่อถึงยุคของด็อกเตอร์แฮร์มันน์และคาริน่า บุฟเฟ่ต์อาหารเย็นยังคงมีอยู่ แต่เลือกที่ราคาถูกหรือมีโปรโมชั่นประเภทมาสามจ่ายสองเป็นหลัก และไม่มีของขวัญกับช็อกโกแล็ต พอมาปีนี้ ไม่มีแม้กระทั่งบุฟเฟ่ต์ไปด้วย
          ‘อะไรเนี่ย โหดเกินไปแล้ว ผมรอคริสต์มาสดินเนอร์มาทั้งปีเลยนะ ทำงานหนักมาตลอดก็อยากจะกินอาหารอร่อย ๆ เป็นรางวัลชีวิตบ้าง แต่ก็จะตัดเสียอย่างนั้น โอ๊ย’
          ออกัสครางฮือด้วยความเซ็งจับจิต
          ‘เงินเดือนก็ขึ้นหลักร้อย โบนัสก็มีบ้างไม่มีบ้าง แรงจูงใจหรือรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการทำงานก็ตัดไม่มีเหลือ แล้วใครจะไปมีกำลังใจทำงานไปได้ตลอด’ ญาดาบ่น แล้วหันมามองข้าวโอ๊ตที่นั่งฟังเงียบ ๆ มาตลอด
          ‘เรื่องของโอ๊ตก็อีก’
          คำเตือนเรื่องปิ่นโตและจดหมายตักเตือนความประพฤติเป็นชนวนเหตุหนึ่งที่ทำให้ญาดาอยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป พนักงานคนอื่น ๆ ในออฟฟิศก็เห็นพ้องต้องกันว่าเรื่องนี้คาริน่ากับทีโมนทำเกินไป และหากด็อกเตอร์แฮร์มันน์กลับมาจากพักร้อนเมื่อไรและมีการสอบสวนเรื่องนี้ คนไทยทุกคนจะช่วยกันแก้ต่างให้ข้าวโอ๊ต
          แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนสามัคคีกันดี แต่คนไทยในออฟฟิศตอนนี้ก็ยังมีเรื่องให้ต้องดูท่าทีของกันและกันอยู่เหมือนกัน
          ญาดาบอกกับทุกคนหลังจากคุยเบื้องต้นกับคาริน่าและทีโมนว่าทุนสำหรับการไปอบรมที่มิวนิกจะมีให้สองทุนสำหรับสองคน หนึ่งในนั้นเป็นที่แน่นอนแล้วว่าคือเลอ วานจากออฟฟิศสาขาที่เวียดนาม ส่วนอีกคนหนึ่งจะพิจารณาจากพนักงานที่ออฟฟิศกรุงเทพฯ แต่จะเป็นใครนั้นต้องรอประชุมกับด็อกเตอร์แฮร์มันน์ก่อน
          ข้าวโอ๊ตอยากได้ทุนไปอบรมครั้งนี้มาก เพราะมันจะทำให้เขาได้มีโอกาสออกจากออฟฟิศ ออกจากความจำเจเดิม ๆ แม้จะแค่ชั่วคราวก็ตาม แถมเขายังสามารถลางานต่อเพื่อท่องเที่ยวในเยอรมนีได้อีกด้วย ชายหนุ่มหวังว่าเขาจะมีโอกาสได้รับการพิจารณา แม้ว่ามันจะยากมากเพราะช่วงนี้เขามีเรื่องเยอะมากก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็ยังอยากจะลองวัดดวงดูสักครั้ง
          เมื่อมีเรื่องทุนอบรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแบบนี้ ชายหนุ่มจึงระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ เขาเลิกเอาปิ่นโตอาหารกลางวันมากินเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา ไม่พยายามเถียงกับใครให้โดนเขม่น ทำตัว “โลว์โปรไฟล์” ที่สุดเท่าที่จะทำได้ เรื่องของคาร์ลก็เหมือนกัน เขาไม่คุยกับเด็กหนุ่มในออฟฟิศถ้าไม่จำเป็น แต่ยังส่งข้อความคุยกันและนัดเวลาเจอกันตอนเย็นเพื่อทำงานแปลหรือกินข้าวแทนที่จะเดินออกไปจากออฟฟิศด้วยกันให้เป็นจุดสังเกต
          ข้าวโอ๊ตรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลักลอบเป็นชู้กับสามีชาวบ้านอยู่ก็ไม่ปาน โดยเฉพาะในวันนี้ เมื่อเขาเจอกล่องขนมบราวนี่วางอยู่บนเก้าอี้ในจุดที่มองจากข้างนอกเข้ามาแล้วจะไม่เห็น คาร์ลคงแอบเอามาวางไว้ให้พร้อมกับข้อความให้กำลังใจเนื่องจากพรุ่งนี้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์จะกลับมาทำงานแล้ว เรื่องจดหมายเตือนความประพฤติก็น่าจะจบเสียที เขาส่งข้อความไปขอบคุณคาร์ลและเมื่อเดินผ่านห้องก็ยิ้มให้ด้วยแต่ก็ต้องรีบหุบยิ้มทันทีแล้วแกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเหลือบเห็นคาริน่าเดินออกมาจากห้อง คาร์ลเองก็ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้เช่นกัน

          เรื่องจดหมายตักเตือนความประพฤติของข้าวโอ๊ตจบลงดีกว่าที่คาดเอาไว้
          ด็อกเตอร์แฮร์มันน์เริ่มงานวันแรกหลังจากกลับมาจากพักร้อนด้วยการเรียกทีโมนกับคาริน่าเข้าไปพบ ทั้งสามคนปิดประตูห้องคุยกันอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะเรียกญาดาเข้าไปอีกคน
          พนักงานที่เหลือไม่เป็นอันทำอะไร มิคกี้กับนัตโตะออกจากห้องมาเกาะกลุ่มกันอยู่ที่เคาน์เตอร์รีเซปชั่นของออกัส ข้าวโอ๊ตยังนั่งอยู่ในห้องของตัวเอง ไม่ยอมออกมาร่วมวงวิพากษ์วิจารณ์กับคนอื่น แต่ใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำ คิดแต่ว่าเมื่อไรจะมีชื่อของเขาเข้าไปเกี่ยว
          ญาดาไม่ได้ออกมาจากห้องประชุมจนกระทั่งสิบเอ็ดโมงครึ่ง หล่อนออกมาคนเดียว แต่ฝรั่งคนอื่นยังประชุมกันต่อ หญิงสาวเรียกรวมพลน้อง ๆ ในห้องครัวทันที รวมทั้งนัตโตะด้วย พัดชาก็เลยจัดอาหารกลางวันให้รับประทานกันก่อนเวลา
          “เขาว่ายังไงครับพี่” ข้าวโอ๊ตถามเป็นคนแรกด้วยความกังวล
          “เรื่องเยอะมาก” ญาดาเกริ่น ก่อนจะเล่าผลการประชุมให้ทุกคนฟัง หล่อนเริ่มจากเรื่องของข้าวโอ๊ตก่อน
          “ด็อกเตอร์แฮร์มันน์จะไม่ออกจดหมายเตือนข้าวโอ๊ตนะ เขาบอกว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดที่ว่าข้าวโอ๊ตไม่สุภาพกับพี่พัด แต่ต่อไปนี้ห้ามเอาปิ่นโตมากินที่ทำงานอีกและเขาฝากพี่มาเตือนข้าวโอ๊ตด้วยเรื่องความสุภาพ เขาอยากให้โอ๊ตใช้คำพูดกับน้ำเสียงที่สุภาพกับคนในออฟฟิศ ให้ยิ้ม ห้ามทำหน้าบึ้งตึง”
         “ที่เปลี่ยนใจเพราะคาริน่าคงนกรู้ว่าพวกเราเตรียมจะชนแน่ ๆ” ออกัสเปรย ก่อนจะปรายตาไปทางนัตโตะและพัดชา เขามั่นใจว่า “นก” ที่ “ปูด” เรื่องต่าง ๆ เข้าหูคาริน่าก็คงไม่พ้นคนใดคนหนึ่งในสองคนนี้หรอก
         ส่วนข้าวโอ๊ตคนที่ถูกเตือนฟังแล้วทำหน้าประหลาด ปกติเขาไม่ใช่คนหน้าเป็น ยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนคาร์ลหรือเหมือนคนอื่น ๆ อยู่แล้ว วางหน้าเฉยก็อาจจะดูว่าหน้าบึ้ง ทั้งที่ในใจไม่ได้คิดอะไร แล้วนี่ถึงกับจะต้องให้เขาฝืนธรรมชาติกันเลยทีเดียวอย่างนั้นหรือ
          “ให้พูดสุภาพ แม้แต่เวลาที่เราโดนเหวี่ยงใส่งั้นเหรอครับ ผมว่านะเขาควรจะเอาคำเตือนนี้ไปเตือนคาริน่าก่อนคนอื่นเลย ให้เขาเลิกโวยวาย เลิกเหวี่ยง เลิกวีน เลิกจิกกัดคนอื่นเสียที ผมคงจะทำงานด้วยสีหน้ายิ้มแย้มได้หรอกถ้าเป็นอย่างนั้น” ข้าวโอ๊ตอดปากวิจารณ์ไม่ได้จริง ๆ
          “งี่เง่าว่ะ ใครจะรู้สึกยังไงก็เรื่องของเขารึเปล่า ตราบใดที่ยังทำงานได้ ถ้าเราเป็นนาย เราไม่สนใจหรอกเรื่องแค่นี้ จะยิ้มหรือไม่ยิ้ม ขอแต่ให้งานมันเดินก็พอ” ออกัสพูดบ้าง
          “เรื่องล้างจานก็ตามที่คาริน่าบอก เขาให้พี่พัดล้างเฉพาะจานชามอาหารกลางวัน แก้วน้ำหนึ่งใบ ส่วนเกินให้ล้างกันเอง ซื้อน้ำยาล้างจานกันมาเองด้วย น้ำเปล่ากับกาแฟไม่จำกัดการดื่มแล้ว แต่เขาขอให้ช่วยกันประหยัด ๆ หน่อย”
         “ผมไม่ล้างจาน” มิคกี้ประกาศด้วยสีหน้าบึ้งตึง เขาเป็นคนที่ใช้จานเปลืองที่สุดในออฟฟิศเพราะไม่ว่าจะซื้อขนม ผลไม้ หรือของกินอะไรมา เขาต้องถ่ายของใส่จานก่อนถึงจะลงมือกินได้ ไม่เหมือนกับคนอื่นที่กินจากกล่องได้เลยไม่มีปัญหา เพราะว่าที่บ้านของเขาทำกันแบบนี้ น้านีจะจัดขนมจัดอาหารอย่างดีใส่จานให้รับประทานบนโต๊ะอาหารอย่างเรียบร้อย รับประทานเสร็จก็มีเด็กคนงานมาเก็บไปล้างทำความสะอาดโดยที่ชายหนุ่มไม่เคยต้องลงมือทำอะไรเอง
         “แต่ถ้าเขามีมติออกมาแบบนี้ งั้นผมจะเอาจานชามส่วนเกินกลับไปให้คนงานที่บ้านล้างแล้วค่อยเอากลับมาคืนออฟฟิศ”
         “พี่ว่าอย่าดีกว่า ทำอย่างนั้นเดี๋ยวเจ๊เขาคิดว่านายขโมยจานชามของออฟฟิศกลับบ้านนะ” ข้าวโอ๊ตรีบเตือน ชายหนุ่มมีประสบการณ์ใกล้เคียงกันนี้มาแล้ว แต่เป็นถุงกระดาษขนาดหนาพิมพ์ตราบริษัทที่มีเก็บอยู่ในตู้พร้อมกับของใช้หรือของที่ระลึกอื่น ๆ ที่มีตราบริษัทเหมือนกัน ของในตู้นี้พนักงานหยิบได้โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตถ้าเอาไปเพื่อให้เป็นของขวัญหรือของที่ระลึกแก่แขกของบริษัท นาน ๆ ครั้งคาริน่าก็จะมาตรวจดูสักทีว่าอะไรพร่องไปเท่าไรแล้ว วันที่เกิดเรื่อง ญาดากับออกัสเอาหนังสือพิมพ์หลายฉบับที่ลงข่าวเกี่ยวกับคอนเสิร์ตของวงร็อคญี่ปุ่นที่เขาชอบมาให้ ข้าวโอ๊ตดีใจรีบตัดข่าวเก็บใส่แฟ้มพลาสติกเอาไว้ แต่เขาไม่มีถุงหรือกระเป๋าที่จะใส่กลับบ้าน จะถือแฟ้มอย่างเดียวก็ไม่สะดวก เขาจึงไปหยิบเอาถุงกระดาษมาหนึ่งใบจากในตู้ ถุงของออฟฟิศยาว กระดาษแข็งเนื้อดี ไม่ต้องกลัวว่าใส่แฟ้มที่เขาทะนุถนอมลงไปแล้วมันจะงอหรือพับ แต่พอเขาจะเดินออกจากออฟฟิศกลับบ้าน คาริน่าก็เห็นเข้าพอดีและโวยวายว่าเขาจะยักยอกของออฟฟิศกลับบ้าน ชายหนุ่มต้องอธิบายว่าเขาขอยืมใส่ของกลับไปก่อน แล้วพรุ่งนี้จะเอากลับมาคืน
          มิคกี้คิดตามหน้ายุ่ง ขณะที่นัตโตะเผลอยิ้มเหยียด ๆ ออกมา ก่อนจะพูดลอย ๆ ว่า
          “คุณหนูมิคกี้คงต้องหัดกินขนมจากถุงจากกล่องแล้วล่ะคราวนี้”
          “ผมเอาจานชามมาจากบ้านเองก็ได้ ไม่ได้อยากใช้เหมือนกันจานชามถูก ๆ พื้น ๆ ของออฟฟิศแบบนี้”
          ญาดาไม่สนใจคำพูดห้วน ๆ ด้วยอารมณ์ของมิคกี้ เพราะเรื่องต่อไปที่จะพูดถึงนี้เป็นเรื่องที่หญิงสาวฟังแล้วก็ทำหน้าบึ้งอารมณ์เสียไม่ต่างจากมิคกี้ในตอนนี้เหมือนกัน
         “นายบอกพี่ด้วยว่าเขาอยากให้พวกเราไปกินข้าวกลางวันกับพวกเขาในห้องอาหาร”
          เหมือนญาดาหย่อนระเบิดตูมลงกลางวง คนฟังพากันตกใจทันที
          “ทำไมล่ะพี่” ออกัสระล่ำระลักถาม หน้าตาของเขาเหมือนเห็นผี
          “เขาบอกว่าเพื่อความสัมพันธ์อันดีในออฟฟิศ ตอนนี้ออฟฟิศเราเหมือนแยกเป็นสองกลุ่ม ฝรั่งกับคนไทย เขาอยากให้ทุกคนสนิทสนมกัน ถ้าเราไม่ทำตาม เขาจะลดเวลาพักกลางวันลงเหลือครึ่งชั่วโมง เพราะตอนนี้เราทำงานไม่ครบแปดชั่วโมงตามในสัญญาจ้างงาน เราทำกันแค่วันละเจ็ดชั่วโมงครึ่งเท่านั้น แต่ถ้ายอมกินข้าวกลางวันในห้องอาหารกับพวกเขาก็จะให้พักหนึ่งชั่วโมงเหมือนเดิม”
          “บ้าไปแล้ว” ออกัสเอามือกุมขมับ เขารู้สึกปวดหัวหนักมาก
          “เราเข้างานเก้าโมงเช้า เลิกห้าโมงครึ่ง ก็เจ็ดชั่วโมงครึ่งจริง ๆ” ข้าวโอ๊ตนับนิ้ว “จะหักจากเวลาพักกลางวันก็เข้าใจได้ แต่ทำไมกินข้าวกลางวันกับฝรั่งแล้วไม่เป็นไร พักได้เต็มชั่วโมงเหมือนเดิม”
          “นายบอกว่ากินข้าวกับพวกเขา ได้คุยกันเรื่องงาน เท่ากับเป็นเวลาทำงานเหมือนกัน”
          “นี่มันตรรกะอะไรวะ” ออกัสรู้สึกปวดหัวหนักขึ้นกว่าเดิม “ผมไม่เอานะ ให้คุยแต่เรื่องงานตลอดเวลา เป็นบ้าตายกันพอดี แล้วเข้าไปกินข้างในก็ได้ยินแต่เสียงนายพูด น่าปวดหัว จะคุยอะไรก็ลำบากใจ พวกนั้นไม่มีทางอินเวลาเราคุยกันเรื่องช้อปปิ้ง ผู้ชาย ฟิตเนส ดารานักร้อง”
           “นายบอกว่าพวกเราพูดภาษาไทยกันได้ จะคุยอะไรกันก็ได้” ญาดาพูด
           “แล้วมันถือเป็นเวลางานยังไง” ออกัสยิ่งปวดหัว “ผมไม่เอา ไม่อยากเห็นหน้าอีพวกฝรั่ง มันเซ็ง จะพาลกินข้าวไม่ลง ผมขอกินข้าวเที่ยงในครัวตามเดิม”
           “ผมก็ไม่เอาเหมือนกัน ผมยอมพักครึ่งชั่วโมง หรือเลิกหกโมงเย็นก็ได้ ผมขอมีเวลาที่สบายใจในออฟฟิศบ้างเถอะ” ข้าวโอ๊ตพูดมาอีกคน
          “ผมก็อยากกินในครัวมากกว่าครับ ถึงเขาจะบอกให้เราคุยเรื่องอะไรกันก็ได้ แต่เอาเข้าจริง เราก็ต้องฟังเขาพูดอยู่ดี เมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้เราถึงต้องเข้ามากินในครัวกัน” มิคกี้ก็มีความเห็นเหมือนเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ทุกคน นัตโตะก็ไม่มีอะไรคัดค้าน แต่เหตุผลของเขาต่างออกไป ชายหนุ่มไม่อยากให้มีใครเสนอหน้าเข้าไปรับประทานอาหารกลางวันในห้องเพื่อไปแย่งซีนเขา ชายหนุ่มพอใจที่เป็นคนเดียวในออฟฟิศที่ได้พูดคุยออกความคิดเห็นเรื่องราวต่าง ๆ กับฝรั่งที่ถือว่าเป็นฝ่ายบริหารและเขามักจะได้ข้อมูลวงในก่อนคนอื่นตลอด ข้อมูลพวกนี้ทำให้ทุกคนในออฟฟิศสนใจเขา ตัวเขาก็พองโตเพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญคนหนึ่งเช่นกัน
          “เรื่องนี้ผมไม่ออกความเห็นแล้วกันครับ แต่พวกพี่ไม่เข้าไปกินข้าวในห้องก็ดีแล้วล่ะ เมื่อวานคาริน่าโมโหแม่บ้านว่าทำเตาไฟฟ้าที่ห้องเป็นรอย บ่นตั้งแต่นั่งกินข้าวยันกินข้าวเสร็จเลยว่าแม่บ้านไทยทำงานชุ่ยมาก พูดภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ อยากได้แม่บ้านฟิลิปปินส์หรือชาติอะไรก็ได้ที่พูดภาษาอังกฤษเก่งกว่าคนไทย”
          ถึงจะรู้ว่านัตโตะเล่นใหญ่เกินจริงเหมือนเคยแต่ตอนนี้ไม่มีใครแสดงความกังขา ทุกคนฟังแล้วแขยงกันทั่วหน้า เสียงแปดหลอดของด็อกเตอร์แฮร์มันน์ เสียงบ่นของคาริน่า เสียงอ่อน ๆ ออดอ่อยหงุงหงิงของทีโมน แค่คิดก็เซ็งขนาดหนักแล้ว
          “งั้นก็ตกลงตามนั้น พักกลางวันครึ่งชั่วโมง กินข้าวในครัวเหมือนเดิม” ญาดาสรุป
          “แล้วพี่ขอห้ามเลยนะ เรื่องที่เราพูดกันตอนนี้ คำวิจารณ์อะไรต่าง ๆ ก็ขอให้มันอยู่แค่ในนี้ อย่าเอาไปเล่าให้ฝรั่งหรือให้ใครฟังต่อ พี่ไม่อยากให้ในออฟฟิศมันมีปัญหาอีก แค่เรื่องที่มีอยู่นี่ก็มากพอแล้ว เข้าใจนะ”
          พี่ใหญ่ในออฟฟิศกวาดตามองรุ่นน้องในออฟฟิศแบบเรียงตัว ก่อนจะหยุดอยู่ที่นัตโตะเหมือนต้องการบอกเป็นนัยว่าหมายถึงตัวเขาเป็นพิเศษทำเอาชายหนุ่มหน้าบึ้งงอด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าตอบโต้
          “แล้วเรื่องทุนไปอบรมล่ะครับ เขาบอกรึยังว่าเลือกใคร” ออกัสถามถึงสิ่งที่อยากรู้
          “แค่พิจารณาดูคร่าว ๆ ว่าใครเข้าข่ายจะได้ไปบ้างเท่านั้นแหละ แต่ยังไม่ได้ตัดสิน” ญาดาตอบ สายตาที่หล่อนมองข้าวโอ๊ตมีแววเห็นใจเล็กน้อย เมื่อพูดต่อว่า
          “คนที่เขาเลือกเอาไว้ก็มีมิคกี้ นัตโตะ แล้วก็ออกัส”
          “แล้วผมล่ะครับ” ข้าวโอ๊ตถามทันที
          “เขาอยากให้พนักงานการตลาดไปเพราะปีนี้มีอบรมเรื่องธุรกิจเยอะเป็นพิเศษ ให้การตลาดไปจะมีประโยชน์มากกว่า ส่วนออกัสทำงานมานานกว่าทุกคนจึงได้รับการพิจารณาด้วย”
          “ส่วนผม ไม่ใช่ทั้งการตลาด ไม่ใช่ทั้งคนที่ทำงานมานานพอ ก็เลยไม่อยู่ในสายตาสินะ”
          “อย่าพูดอย่างนั้นสิโอ๊ต เอาไว้รอลุ้นคราวหน้าก็ได้” ญาดาปลอบ แต่หล่อนก็รู้เหมือนกับที่ข้าวโอ๊ตรู้นั่นแหละว่าโอกาสแบบนี้กว่าจะมีมาอีกครั้งมันใช้เวลานานมากแค่ไหน หล่อนเองทำงานมาสิบกว่าปียังได้ไปแค่ครั้งเดียวเท่านั้นเอง
          ข้าวโอ๊ตนิ่งเงียบด้วยความผิดหวังขณะที่ผู้ท้าชิงทั้งสามมองหน้ากันและกันอย่างท้าทาย
          “เรามาคุยเรื่องงานแนะนำผลิตภัณฑ์ของเลมอนดีกว่า” ญาดาเปลี่ยนเรื่อง “อาทิตย์หน้าก็จะถึงงานแล้ว พี่จะขอแบ่งหน้าที่เลย จะได้เตรียมตัวกันเอาไว้”
          เนื่องจากงานนี้เป็นงานใหญ่ของบริษัท หญิงสาวจึงบอกกับด็อกเตอร์แฮร์มันน์ว่าจะขอใช้สตาฟทั้งหมดไปทำงานนี้ หล่อนกำหนดให้ออกัสกับข้าวโอ๊ตประสานงานกับโรงแรมในวันงานและดูแลเรื่องการลงทะเบียนของแขกที่เชิญมาในงาน รายชื่อแขก ป้ายชื่อ และแฟ้มเอกสารที่จะแจกแขกในงานข้าวโอ๊ตจัดเตรียมไว้หมดแล้ว
           มิคกี้เป็นพิธีกรดำเนินรายการคู่กับทีโมนบนเวที ส่วนนัตโตะจะเป็นล่ามคอยแปลคำพูดของแขกในงานและคอยดูแลความเรียบร้อยอยู่ด้านล่างร่วมกับญาดา นัตโตะฟังแล้วไม่ค่อยชอบใจนัก เขาอยากโดดเด่นอยู่บนเวทีเคียงคู่กับทีโมนมากกว่าและเขาก็ไม่รีรอที่จะขอเปลี่ยนหน้าที่ทันที
          “ตำแหน่งพิธีกรต้องใช้คนที่พูดเก่ง ๆ ไม่ใช่เหรอครับ ผมพูดเก่งกว่ามิคกี้ ผมน่าจะได้เป็นพิธีกรสิ”
          “นั่นก็จริง แต่มิคกี้เป็นคนพูดดี มาดดี ให้เขาอยู่บนเวทีเหมาะสมที่สุดแล้ว ส่วนเธอพูดเก่ง มีความคล่องแคล่ว พี่ก็ให้แสตนบายอยู่ข้างล่าง ดูแลแขก แปลคำถามหรือความเห็นของแขกให้ฝรั่งฟัง คอยแก้ปัญหา พี่เลือกคนที่เหมาะสมกับงานนะนัตโตะ งานเธอถึงจะไม่เด่น แต่ก็สำคัญ” ญาดาชี้แจง แต่นัตโตะก็ยังไม่พอใจเท่าไรนัก มิคกี้ยังนิ่งสงวนท่าทีอยู่เพราะเขารู้ว่าลองนัตโตะสวมบทตัวร้ายไปแล้วก็น่าจะมีใครสักคนออกมาปกป้องเขา และไม่ผิดไปจากที่คิดจริง ๆ
          ออกัสฟังแล้วรำคาญจึงเสนอว่า
          “ถ้าไม่อยากอยู่ในห้องจัดงาน นายมาทำหน้าที่ประสานงานด้านนอกแทนพี่เอาไหมล่ะ แล้วสักสิบโมงพอแขกเข้าห้องประชุม งานเริ่มแล้ว นายก็กลับออฟฟิศได้เลย สบาย ๆ ไม่ต้องเหนื่อยด้วย”
          “ไม่เอาหรอก ผมอยู่ในห้องจัดงานก็ได้” นัตโตะตอบหน้าบูด
          “พี่กัสจะไม่อยู่จนเลิกงานเหรอครับ” มิคกี้สงสัย
          “อยากอยู่ แต่ปกติงานแบบนี้ พี่กับโอ๊ตอยู่แค่ช่วงแรกเท่านั้นแหละ เสร็จงานตอนเช้าต้องกลับมาเฝ้าออฟฟิศ ไม่มีใครรับโทรศัพท์ ไม่มีใครลงทะเบียนอีเมลไปวันหนึ่ง ออฟฟิศจะแตกเอา” ออกัสตอบตามประสบการณ์ที่ผ่านมา ข้าวโอ๊ตก็เสริมว่า
          “ที่สำคัญกว่าคือประหยัดค่าบุฟเฟ่ต์ไปได้สองหัว”
          มิคกี้เพิ่งเข้ามาทำงาน ยังไม่เคยได้เข้าร่วมงานที่ออฟฟิศจัดในลักษณะแบบนี้ พอได้ยินเข้าแบบนี้ก็มีสีหน้าแปลก ๆ แต่เขาไม่ตกใจหรือแปลกใจมากมายนักเพราะมาตรการรัดเข็มขัดของออฟฟิศก็เพิ่งเจอกับตัวมาสด ๆ ร้อน ๆ
          แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งที่ผ่านมา ญาดาบอกทั้งสองคนว่า
          “พี่บอกคาริน่าแล้ว กัสกับโอ๊ตจะอยู่จนเลิกงาน เราเตรียมงานหนักกันมานาน ทุกคนเหนื่อยกันทั้งนั้น ใจคอจะไม่ให้อยู่กินข้าวดี ๆ สักมื้อมันเกินไป ที่ออฟฟิศก็ให้คาริน่านั่นแหละเฝ้า ให้คาร์ลรับโทรศัพท์ไป แค่วันเดียวเท่านั้นเอง”
           “คาริน่ายอมเหรอครับ” ข้าวโอ๊ตถาม
          “ไม่ยอม แต่ไม่ต้องสนใจ ถึงวันงานพี่จัดการเอง” ญาดาตัดสินใจ

         

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
          หมดเวลาพักกลางวัน ทุกคนแยกย้ายกันกลับห้อง ข้าวโอ๊ตเดินกลับมานั่งหน้าคอมพิวเตอร์อีกครั้งด้วยความเสียใจและน้อยใจจนบอกไม่ถูก ในครัวเมื่อสักครู่นี้เขาอาจจะแค่ตัดพ้อและไม่ได้แสดงท่าทางอะไรออกมามากประสาคนนิ่งเงียบเก็บความรู้สึก แต่ความจริงแล้ว เขารู้สึกอะไรมากมายและมันเหมือนกับมีอะไรสักอย่างกำลังกรีดแทงหัวใจของเขาอยู่
          ทำไมเขาเป็นคนเดียวที่ไม่ได้แม้แต่จะถูกพิจารณาให้เป็นตัวเลือกรับทุนอบรม ด้วยตำแหน่งงานแล้วเขานับเป็นเบ๊ประจำออฟฟิศ คอยช่วยเหลือสนับสนุนงานของทุกคน แต่กลับเป็นตำแหน่งที่ถูกตัดทิ้งไปเป็นตำแหน่งแรก
          มันไม่ยุติธรรมเลย แล้วอย่างนี้เขาจะทำงานหนักไปเพื่ออะไร ยอมอดทนอยู่ทุกวันนี้ไปเพื่ออะไร
          ชายหนุ่มรู้ดีว่ามันไม่ดีเลยที่คิดแบบนี้ แต่เพราะความน้อยใจทำให้เขาคิดอะไรไปไกลมาก
          เสียงข้อความเข้าดังขึ้น ข้าวโอ๊ตหยิบโทรศัพท์มาดูก็พบว่าคาร์ลส่งข้อความมาหาเขา
          ‘เป็นยังไงบ้างครับ ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ว่ายังไงบ้าง เขาจะให้จดหมายเตือนคุณไหม’
          ‘ไม่ให้ครับ’
          ข้าวโอ๊ตนั่งนึกอยู่ครู่ว่าคาร์ลพูดถึงเรื่องอะไร เพราะตอนนี้ในหัวของเขามีแต่เรื่องที่เขาไม่ได้เป็นตัวเลือกรับทุน เมื่อนึกออกเขาก็ส่งข้อความตอบกลับไปสั้น ๆ
          ‘โอ๊ย ดีใจด้วยครับ แต่เอ๊ะ แล้วคุณจะต้องไปคุยกับด็อกเตอร์แฮร์มันน์อีกครั้งไหมครับ’
          ‘ไม่ต้องครับ’
          ‘งั้นเหรอครับ เอ แต่ผมว่าน่าจะเรียกไปคุยกันสักหน่อยนะครับจะได้เคลียร์กันให้แน่ ไม่มีอะไรค้างคาใจกันอีกต่อไป ด็อกเตอร์แฮร์มันน์จะได้ทราบความรู้สึกของคุณด้วย เรื่องที่โดนกล่าวหาค่อนข้างจะแรงพอสมควร’
           ‘ครับ’
          คาร์ลเงียบไปครู่หนึ่ง บนหน้าจอโทรศัพท์ของข้าวโอ๊ตปรากฏสัญลักษณ์จุดสามจุดที่แสดงว่าคู่แช็ตกำลังพิมพ์ข้อความ แต่แป๊บเดียวมันก็หายไป แล้วก็ปรากฏขึ้นมาใหม่ แล้วก็หายไปอีก เหมือนอีกฝ่ายไม่แน่ใจว่าควรจะส่งข้อความที่เขียนไว้ดีไหม ข้าวโอ๊ตสังเกตเห็น แต่เขาไม่ได้คิดอะไรเพราะสมองของเขาตอนนี้ก็มีเรื่องมากพออยู่แล้ว เมื่อเห็นเด็กหนุ่มไม่ส่งข้อความมา เขาก็ละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์โดยไม่มีคำร่ำลาหรือแม้แต่อิโมติค่อนน่ารักเหมือนที่เคยส่งให้
          บ่ายหน่อย เด็กหนุ่มนักศึกษาฝึกงานถูกเรียกเข้าพบผู้อำนวยการออฟฟิศ เขาเดินผ่านห้องของข้าวโอ๊ต เห็นเจ้าของห้องนั่งหน้าเครียด หันหน้าเข้าหาผนังที่มีกระดาษโน้ตรวมทั้งรูปภาพจากหนังและโปสการ์ดหลายแผ่นติดอยู่ ชายหนุ่มนั่งนิ่งและไม่รู้ว่าเขาเดินผ่านไป
          แม้ว่าจะถูกเตือนผ่านทางญาดามาก็จริง แต่ข้าวโอ๊ตก็ยังทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ดีเมื่อด็อกเตอร์แฮร์มันน์หรือทีโมนใช้งานเขา แต่ทั้งสองคนก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องปิ่นโตหรือจดหมายเตือนความประพฤติต่อหน้าเขาเลย มีเพียงเอางานมาให้แล้วก็ออกไปจากห้องของเขาเลยในทันทีเท่านั้น ข้าวโอ๊ตก็ไม่สนใจ ชายหนุ่มไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น แม้แต่จะยิ้ม
          “คุณโอ๊ตครับ”
          เสียงเรียกของคาร์ลหยุดเขาเอาไว้หน้าลิฟท์ ข้าวโอ๊ตหันมามองและมองเลยไปเห็นญาดา มิคกี้ นัตโตะที่กำลังจะเปิดประตูออฟฟิศตามออกมา วันนี้ชายหนุ่มกลับเร็วกว่าปกติ เรียกว่าพอห้าโมงครึ่ง เข็มยาวแตะเลขหกปุ๊บ เขาก็เดินออกจากออฟฟิศทันที ไม่ได้ร่ำลาใครด้วย จึงออกมาเร็วกว่าคนอื่นที่ต้องเดินเข้าไปลาด็อกเตอร์แฮร์มันน์ก่อน
          ชายหนุ่มไม่อยากให้ใครเห็นเขาคุยกับคาร์ลจึงดึงมืออีกฝ่ายให้เดินตามเข้าไปในห้องแพนทรี่ของชั้นซึ่งเป็นห้องครัวเล็ก ๆ มีอ่างล้างจาน โต๊ะและเก้าอี้ ให้พนักงานของบริษัทที่เช่าพื้นที่ในชั้นมาใช้ร่วมกันได้
          เมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพัง ปลอดจากสายตาอยากรู้อยากเห็นแกมจับผิดของคนอื่น ๆ แล้ว ข้าวโอ๊ตก็ปล่อยมือของคาร์ล แต่เด็กหนุ่มกลับเป็นคนจับมือของเขาเอาไว้แทน
          “วันนี้คุณเป็นอะไรไป ผมเห็นคุณท่าทางแปลก ๆ ผิดไปจากปกติ”
          คาร์ลถาม
          “เอ้อ...” ข้าวโอ๊ตตอบไม่ถูก เขามองมือของตัวเองที่อยู่ในมือของคาร์ลด้วยสีหน้าที่แสดงความแปลกใจปนขัดเขิน คุยกันมาเป็นเดือนแล้วก็จริง แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะใกล้ชิดกันขนาดนี้ คาร์ลไม่เคยแสดงออกกับเขาเกินกว่าความเป็นเพื่อน เขาเองถึงจะชอบคาร์ลไม่น้อย แต่ก็ยังสงวนท่าทีอยู่ นี่จึงเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ระยะห่างระหว่างพวกเขาหดแคบลง
          “ผมเห็นคุณหน้าเครียดทั้งบ่าย ผมส่งข้อความมา คุณก็ตอบเหมือนเสียไม่ได้ เกิดอะไรขึ้นครับ เรื่องจดหมายเตือนก็น่าจะเคลียร์ได้แล้วไม่ใช่เหรอ”
          “ไม่มีอะไรหรอกคาร์ล ผมคิดมากเรื่องอื่นน่ะ นิดหน่อย” ข้าวโอ๊ตดึงมือตัวเองออกด้วยความกระดาก คาร์ลก็ไม่ได้คัดค้าน สายตาของเด็กหนุ่มที่มองเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่แสดงความเป็นห่วง
          “เรื่องอะไรครับ บอกผมได้ไหม ผมยินดีรับฟังนะ”
          “ขอบคุณครับ แต่มันไม่มีอะไรหรอก แค่เรื่องผิดหวังนิดหน่อย เดี๋ยวผมก็ทำใจได้”
          ข้าวโอ๊ตปด เขารู้ว่ามันไม่ใช่แค่เดี๋ยวเดียวหรอก แต่เรื่องนี้มันคงจะเป็นเรื่องที่กัดกินใจเขาต่อไปอีกนานเลยทีเดียว
          คาร์ลไม่เซ้าซี้ต่อ เมื่ออีกฝ่ายบอกอย่างนั้น เขาก็เชื่อ แม้ว่าดูจากหน้าหมอง ๆ ของข้าวโอ๊ตแล้วเขาคิดว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้นก็ตาม
          “วันอาทิตย์นี้คุณเลิกสอนกี่โมง” เด็กหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง
          “วันอาทิตย์นี้ไม่มีสอน คลาสถูกแคนเซิล” ข้าวโอ๊ตพูดไม่หมด ความจริงเขาโทรศัพท์ไปขอยกเลิกคลาสวันเสาร์กับวันอาทิตย์นี้กับทางโรงเรียนสอนพิเศษเองเพราะเขาไม่มีสมาธิจะเตรียมสอนและไม่มีอารมณ์จะไปทำงานด้วย
          เขาอยากจะพักเต็มทีแล้ว
          “ไปตลาดน้ำกับผมไหม” คาร์ลชวน
          ข้าวโอ๊ตลังเล นึกดีใจที่ได้รับคำชวน แต่อารมณ์ของเขาในตอนนี้ไม่ค่อยคงที่ ถ้าไปเที่ยวทั้งที่อยู่ในสภาพแบบนี้ มันอาจจะทำให้คาร์ลไม่สนุกไปด้วย เขาคงจะต้องไปเดินทำหน้าแบกโลกแน่ แล้วทุกอย่างมันก็จะยิ่งแย่
          “วันอาทิตย์เจอกันที่คิวรถตู้ตอนสิบโมงเช้านะครับ”
          คาร์ลรวบรัด เห็นท่าของอีกฝ่ายแล้ว ถ้าเขาไม่ทำแบบนี้ เห็นทีวันนี้คงจะไม่ได้รับคำตอบแน่ และเด็กหนุ่มก็ไม่รอให้ข้าวโอ๊ตคัดค้าน เขาเอื้อมมือมาบีบมือข้าวโอ๊ตอีกครั้งเป็นการย้ำ แล้วเดินออกไปจากห้องแพนทรี่อย่างรวดเร็ว
          ข้าวโอ๊ตทำอะไรไม่ถูก ประสบการณ์ที่เคยผ่านมากับเรื่องแบบนี้มันก็ดูรางเลือนจนเขาหาวิธีรับมือไม่ถูกและใจจริงเขาก็ไม่อยากส่งข้อความหรือโทรศัพท์ไปปฏิเสธคำชวนของคาร์ลเช่นกัน มันอาจจะดีก็ได้นะถ้าเขาจะมีเรื่องอื่นอยู่ในสมองถ่วงดุลกับเรื่องทุนอบรมบ้าง
          คิดตกแล้ว ชายหนุ่มก็ทำท่าจะเดินออกจากห้องแพนทรี่บ้าง แต่เขานึกได้ว่าเมื่อสักครู่คาร์ลเพิ่งเดินออกไป แล้วถ้าใครมาเห็นเข้าก็อาจจะเป็นเรื่องเป็นราวอีก ข้าวโอ๊ตจึงรออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะโผล่หน้าออกไปมองนอกห้องด้วยความระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าปลอดคนก็ค่อย ๆ เดินออกไปกดลิฟท์

          ในออฟฟิศ นอกจากฝรั่งและพัดชาที่กำลังทำความสะอาดรอบเย็นอยู่ ก็ยังมีออกัสอีกคนหนึ่งที่ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะของตัวเอง ความจริงชายหนุ่มไม่มีงานให้ต้องอยู่เย็น แต่เขายังกลับไม่ได้
          เพื่อนร่วมงานคนอื่นทยอยออกจากออฟฟิศกันไปหมด เริ่มจากข้าวโอ๊ตที่เดินดุ่ม ๆ ออกไปโดยที่ไม่ได้เอ่ยลาเขาอย่างที่ทำเป็นประจำ ตามมาด้วยญาดา มิคกี้ นัตโตะ คนหลังนี่มองเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างชัดเจน
          “ทำไมยังไม่กลับอีกครับพี่กัส หรือว่ารอใคร”
          คำถามของเขาทำให้ญาดาและมิคกี้ที่กำลังจะเปิดประตูออฟฟิศพลอยหันมามองไปด้วย
          “รอพี่ต้น วันนี้จะออกไปกินข้าวกัน”
          “แล้วทำไมไม่ลงไปรอข้างล่างล่ะครับ เดี๋ยวคาริน่าก็ว่าเอาหรอก” นัตโตะสงสัย
          เจ้าแม่ประจำออฟฟิศไม่ชอบให้พนักงานคนไหนกลับช้าหรืออยู่เย็นจนเกินไปถ้าไม่ได้ทำงานเพราะมันเปลืองไฟและทรัพยากรของออฟฟิศ แล้วนี่ถ้ารู้ว่าออกัสยังไม่กลับบ้าน แต่นั่งตากแอร์รอแฟนมารับ คาริน่าคงวีนแน่ แหม นึกแล้วก็อยากอยู่ต่อรอดูเหตุการณ์อยู่เหมือนกันนะเนี่ย
         “พี่ต้นมาตอนเกือบ ๆ หกโมง พี่ค่อยออกไปพร้อมพี่พัด”
         ออกัสตอบ แต่หางเสียงเริ่มห้วนเพราะรำคาญการซักฟอกของนัตโตะ ญาดาจึงยื่นมือเข้ามาช่วยด้วยการบอกว่า
         “กลับได้แล้วนัตโตะ ออกัสเขาอยากกลับตอนไหนก็เรื่องของเขาสิ”
         นัตโตะไม่กล้าชนกับญาดาจึงยอมหยุดซักถามและเดินตามคนอื่น ๆ ออกจากออฟฟิศไป
         ออกัสค่อยโล่งอก ชายหนุ่มพูดไม่จริงเรื่องต้น แฟนของเขาไม่ได้มารับเขาวันนี้หรอก แต่เป็นคนอื่น แล้วไม่รู้ว่าไปรู้มาจากไหนว่าเขาทำงานอยู่ที่นี่และยืนยันว่าจะมารับที่ตึก ชายหนุ่มขัดใจไม่ได้เพราะอีกฝ่ายเป็นลูกค้า คนที่รับงานให้เขาขอร้องว่าให้ตามใจลูกค้าคนนี้เป็นพิเศษแลกกับเงินก้อนพิเศษนอกเหนือจากค่าตัว เงินก้อนที่ชายหนุ่มฟังข้อเสนอแล้วตาโตเพราะมันมากพอจะเป็นค่าช็อปปิ้งที่เขาคำนวนไว้สำหรับทริปปีใหม่ที่เกาหลีได้
         “อ้าว คุณกัส ยังไม่กลับอีกเหรอครับ หรือว่ารอผมอยู่”
         มาอีกคนแล้ว
         ออกัสกลอกตาด้วยความเอือมระอา ทีโมนเดินออกมาจากห้องของผู้อำนวยการและเมื่อเห็นเขาก็ตรงรี่เข้ามาหา หน้าตาเจ้าเล่ห์และรอยยิ้มน่าเกลียดขณะที่มองเขาทำให้เขาขนลุก ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายจงใจเดินเข้ามาจนใกล้ ชายหนุ่มก็ยิ่งอยากถอยห่าง
          “ผมรอแฟนผม” ออกัสตอบห้วน ๆ
          “รอแฟนแน่เหรอครับ” ทีโมนมองด้วยสายตารู้ทัน แถมยังแกล้งดักคอหวังให้อีกฝ่ายแสดงพิรุธแต่ก็ไม่ได้ผลเท่าไรเพราะออกัสไม่หลุดอะไรออกมาให้จับได้ มีแต่มองมาด้วยสายตาที่เหมือนอยากจะสาปแช่งเขา แต่ทีโมนก็ไม่สนใจ เรื่องที่เขาสนใจมีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นแหละ
          “แล้วเรื่องของผม คุณเอากลับไปคิดดูรึยังครับ เร็ว ๆ หน่อยก็ดีนะ เพราะผมอาจจะเปลี่ยนใจแล้วบอกแฟนคุณวันนี้เลยก็ได้”
          “คุณกำลังแบล็กเมล์ผมอยู่นะ” ดวงตาของออกัสลุกวาบด้วยความไม่พอใจ
          “ใช้คำน่ากลัวจัง แบล็กเมล์อะไรกัน ผมน่ะก็แค่อยากตกลงกับคุณ...ดี ๆ”
         ทีโมนแกล้งเว้นวรรค มือของเขาเอื้อมไปจับปอยผมของออกัสมาพันเล่นกับนิ้วก่อนจะดึงจนชายหนุ่มรู้สึกว่าศีรษะของเขากระตุก
          ออกัสยิ่งรู้สึกโมโห ทีโมนทำเหมือนต้องการจะบอกว่าเขาเอาจริงและออกัสจะต้องเจ็บปวดถ้าไม่ยอมตกลงตามข้อเสนอ
          “อุ๊ย ทำอะไรกันอยู่คะ ยังไม่กลับกันอีกเหรอ”
          เสียงของพัดชาดังขึ้นขัดจังหวะของทั้งสองคน แม่บ้านประจำออฟฟิศลากเครื่องดูดฝุ่นออกมาจากห้องรับประทานอาหารและเมื่อเห็นว่าทีโมนยืนชิดออกัสอยู่ที่โต๊ะของฝ่ายหลัง หล่อนก็เดินแกมวิ่งตัวกระเพื่อมเข้ามาหาด้วยความสนใจ
          ทีโมนผละถอยออกห่างจากออกัสทันที แต่ท่าทางไม่ได้เดือดร้อนนักที่โดนเห็น ผิดกับออกัสที่หน้าตาบึ้งตึงด้วยความไม่พอใจ
          “ผมจะกลับแล้วครับพี่พัด” ชายหนุ่มบอก แม้จะยังไม่ถึงเวลานัด แต่เขาก็คงอยู่ข้างในออฟฟิศต่อไม่ได้อีกแล้ว ทีโมนคงจะตามตอแยเขาไม่เลิก แล้วไหนยังจะคาริน่าอีก ถ้าออกมาเจอก็คงบ่นเรื่องสิ้นเปลือง ดูแล้วมีแต่เรื่องชวนให้ปวดหู ลงไปรอข้างล่าง ถึงแม้จะไม่มีที่ให้นั่งเพราะร้านกาแฟกับน้ำปั่นปิดไปแล้ว แต่ยืนรอจนเมื่อยเท้าก็ยังดีกว่าต้องมาทนฟังเรื่องไร้สาระให้เมื่อยหู ออกัสคว้ากระเป๋าถือ แต่ทีโมนยังเอาตัวมายืนขวางเขาไว้ แถมยังยื่นหน้าเข้ามาจนใกล้โดยไม่สนใจพัดชาที่ยืนมองตาโตอยู่ไม่ห่าง
          “ผมให้เวลาคุณจนถึงงานเลมอนนะ แล้วผมจะมาเอาคำตอบ”
          ออกัสเอากระเป๋าถือดันอกทีโมนให้ถอยหลบทาง แล้วเดินกระแทกเท้าออกจากออฟฟิศไปอย่างรวดเร็ว
          ชายหนุ่มเดินไปรอที่ลานจอดรถสำหรับคนมาจอดรับส่งคนในตึก เขารออยู่พักใหญ่จนเห็นรถยนต์สีและเลขทะเบียนตรงกับที่นัดไว้แล่นเข้ามา ออกัสก้าวขึ้นไปนั่งคู่กับคนขับรถที่เป็นผู้ชายอายุราวสี่สิบปลาย ๆ หน้าตาจัดว่าดูดี ใส่เสื้อเชิ้ตและเนกไทเหมือนกันกับเขา
          “คุณนี่หน้าตาดีกว่าในรูปถ่ายอีกนะ” ลูกค้าของเขาพิศมองหน้าออกัสด้วยสายตาแสดงความพอใจ แต่มันกลับทำให้ออกัสรู้สึกกระอักกระอ่วน
          “เอ้อ...ผมว่าเราไปกันเถอะครับ”
          ชายหนุ่มไม่อยากจะอยู่ที่นี่นาน ๆ เขากลัวว่าใครจะมาเห็นเข้า ถึงแม้ว่ารถจะติดฟิล์มกันแสงไว้ชั้นหนึ่งแล้ว แต่เขาก็ยังไม่วางใจอยู่ดี
          “รีบขนาดนั้นเลยเหรอ” อีกฝ่ายฟังแล้วเข้าใจไปอีกอย่างก็เลยหัวเราะออกมาเบา ๆ และเกิดอารมณ์อยากแกล้งหนุ่มน้อยหน้าตาดีคนนี้เล่นจึงไม่ยอมออกรถ แต่กลับดึงตัวออกัสเข้ามาใกล้
          “คุณจะทำอะไร”
          “ก็เห็นคุณรีบร้อน ผมก็เลยอยากทำให้คุณสงบลงหน่อยไง”
          ออกัสกัดริมฝีปากแน่น แต่ก็ต้องคลายออกเมื่ออีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาหา คนคนนี้เป็นลูกค้า ถ้าขัดใจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ คำพูดของคนรับงานให้เขาก้องอยู่ในหัว
          ออกัสหลับตา ปล่อยให้ลูกค้าของเขาทำอะไรไปตามใจชอบ แต่ใจของเขานั้นเป็นตรงกันข้าม   
          หัวใจของเขาเต้นถี่รัวด้วยความโกรธและเกลียดชัง ข้างในนั้นมันเหมือนมีอะไรสักอย่างที่แหลมคมคอยทิ่มแทงกรีดทึ้งให้เขาเจ็บปวดทุกครั้งที่เขารู้สึกพลุ่งพล่าน
          ชายหนุ่มไม่โทษตัวเอง แต่เขาทุ่มเทความรู้สึกเกลียดชังทั้งหมดไปที่ทีโมน ถ้าไอ้หมอนั่นไม่ข่มขู่เขา เขาก็คงไม่ต้องเป็นแบบนี้

ออฟไลน์ anata9

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สไตล์การเขียนเหมือนอ่านนิยายแปล การดำเนินเรื่องก็ไล่ไปทีละส่วน ไม่สับสนดีครับ รอดูว่าใครจะเป็นเหยื่อในนิยายนี้

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 15
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
กี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้นะ ที่เกิดความคิดว่า “ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เราจะ..”. เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดกับอดีตอีก
Like – Comment – Share

          คาร์ลเลือกไปตลาดน้ำอัมพวาเพราะไม่ไกลจากกรุงเทพฯนัก เด็กหนุ่มเปิดหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตซึ่งมีอยู่มากมายเพราะตลาดน้ำถือเป็นที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องมากัน ข้าวโอ๊ตเองก็เคยมาหลายครั้ง ทั้งมาเที่ยวกันเองหรือพาเพื่อนฝรั่งซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพื่อนเม็ดนุ่นมาเที่ยว แต่ชายหนุ่มไม่มีปัญหาที่จะต้องมากับคาร์ลอีกครั้ง
          ทั้งสองคนมาถึงในตอนใกล้เที่ยง อากาศยังค่อนข้างร้อน แม้จะใกล้ปลายปีแล้วก็ตาม แต่ก็ยังพอมีลมคลองเย็น ๆ พัดให้รู้สึกสดชื่นอยู่บ้าง คาร์ลมองไปรอบ ๆ ตัวด้วยความสนใจ
          “ที่นี่สวยจังเลย สวยกว่าที่เห็นในรูปอีก” เด็กหนุ่มบอกเขา
          ข้าวโอ๊ตเห็นด้วย เขาชอบน้ำ ชอบคลอง และบ้านเรือนห้องแถวไม้ริมน้ำที่สร้างอยู่ติด ๆ กันก็มีเสน่ห์ ยิ่งถ้านั่งเรือไปตามคลอง เห็นสวน เห็นท่าน้ำ เห็นระเบียงที่อยู่ติดริมน้ำเขาก็ยิ่งชอบและอดรู้สึกอิจฉาเจ้าของขึ้นมาไม่ได้ บางทีเขาก็นึกอยากมีบ้านริมน้ำบ้างเหมือนกัน แต่เม็ดนุ่นก็จะขัดโดยบอกว่าบ้านริมน้ำมันรักษาดูแลยาก ถ้าเมื่อไรอยากนอนเล่นริมแม่น้ำให้มาเที่ยวเอาเป็นครั้งคราวดีกว่า
          ชายหนุ่มคิดอะไรเพลินจนไม่ได้ยินเสียงเรียกของคาร์ล เด็กหนุ่มเข้ามาจับไหล่เขาเขย่า ข้าวโอ๊ตถึงรู้สึกตัว
          “คิดอะไรอีกแล้วครับ” คาร์ลทักพร้อมกับยิ้มสดใส “เอางี้ ถ้าอยากคิดล่ะก็ คุณช่วยผมคิดดีกว่าว่าเราจะกินอะไรดี ผมหิวแล้วล่ะ”
          “เอางั้นเหรอ เอ... อะไรดีล่ะ”
          ข้าวโอ๊ตเบี่ยงตัวไปด้านข้างเพื่อจะมองหาร้านอาหารและเพื่อให้หลุดจากมือสองข้างของคาร์ลที่จับไหล่เขาด้วย เด็กหนุ่มตัวสูงและหนากว่าเขา พอยืนอยู่ด้วยกันท่านี้แล้วมันทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ จนต้องรีบเลี่ยงออกจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัดนี้โดยเร็ว
          ที่อัมพวามีบริการเรือรับจ้างพาเที่ยวตามคลองและไหว้พระห้าวัดหรือเก้าวัดในตอนกลางวัน ส่วนในตอนกลางคืนจะเป็นการพาชมหิ่งห้อย ระหว่างที่คาร์ลกับข้าวโอ๊ตเดินดูร้านอาหาร คนขับเรือหลายคนก็เข้ามาล้อมพยายามจะชักชวนให้ใช้บริการของเขา คาร์ลมีทีท่าสนใจ เขาหันมาปรึกษาข้าวโอ๊ต
          “เรือจะพาเราไปไหนบ้างครับ”
          “ชมบ้านเรือนริมคลองครับ ไปวัด ไปไหว้พระ แล้วก็มีพาเข้าไปชมสวนผลไม้ ถ้าไปตามโปรแกรมที่เขาจัดไว้ก็จะเหมือนชะโงกทัวร์หน่อย คือเวลาจะจำกัด แต่ถ้าจะเหมาหรือเปลี่ยนโปรแกรมก็จะต้องตกลงราคากันใหม่”
          “ผมอยากนั่งเรือ” คาร์ลร่ำร้อง และท่าทางเหมือนเด็ก ๆ ของเขามันกระแทกใจของข้าวโอ๊ตไม่น้อย
          ถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกจะต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่เมื่อทำท่าทางแบบนี้ คาร์ลกลับทำให้ชายหนุ่มนึกถึงฟรองซัวส์ แฟนเก่าของเขา รายนั้นชอบทำตัวเป็นเด็กและชอบยิ้มสดใสปะเหลาะเขาเวลาที่ต้องการอะไรสักอย่าง รอยยิ้มสดใสไม่ต่างกับยิ้มกว้าง ๆ ของคาร์ลในตอนนี้
          “คุณโอ๊ต ได้ไหมครับ”
          “ก็...เอาสิ” ชายหนุ่มไม่ขัดข้อง เขาต้องพยายามไม่นึกถึงใครในอดีตที่มันผ่านไปนานแสนนานแล้ว
          เด็กหนุ่มร้องเย้ แล้วขอกระดาษโปรแกรมนั่งเรือที่มีเขียนเป็นภาษาอังกฤษกำกับไว้ด้วยจากคนขับเรือมาดูพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาขอความเห็นจากข้าวโอ๊ตเป็นระยะ
          เนื่องจากเวลามีไม่มาก ทั้งสองคนเลยเห็นพ้องกันว่าจะเลือกชมเฉพาะจุดที่อยากไปดีกว่าและถ้าเลือกเที่ยวน้อยที่ก็จะได้อยู่แต่ละที่นานขึ้นด้วย ไม่ต้องรีบร้อน คาร์ลบอกสถานที่ที่เขาอยากไปและข้าวโอ๊ตเป็นคนเจรจากับคนขับเรือจนได้โปรแกรมและราคาที่พอใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย แถมคนขับเรือยังมีบริการพิเศษแนะนำอาหารเที่ยงให้โดยเป็นธุระเรียกเรือแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวมาเทียบท่าเพื่อให้ทั้งสองคนได้ซื้อรับประทาน
          คาร์ลดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษที่เห็นเรือพายลำเล็กแต่อัดแน่นไปด้วยภาชนะใส่เครื่องปรุงต่าง ๆ และหม้อลวกก๋วยเตี๋ยว เขาฟังแม่ค้าพูดไม่รู้เรื่องเลยสักคำ แต่ก็ยิ้มตลอดและพยายามจะใช้ภาษาไทยงู ๆ ปลา ๆ ที่เรียนรู้ตอนอยู่ที่นี่สื่อสารกับแม่ค้าให้ได้โดยที่ไม่ยอมให้ข้าวโอ๊ตช่วย ในที่สุดเขาก็ได้ของที่ต้องการ เด็กหนุ่มยิ้มแฉ่ง มือถือชามก๋วยเตี๋ยวอวดให้ข้าวโอ๊ตดู
          “เก่งนี่” ข้าวโอ๊ตชม รอยยิ้มที่กว้างอยู่แล้วของคาร์ลยิ่งสยายออก ดวงตาของเด็กหนุ่มยิบหยีจนแทบจะเห็นเป็นเส้นตรง
          ข้าวโอ๊ตสั่งอาหารของตัวเองบ้างและนั่งกินอยู่ด้วยกันกับคาร์ลบนขั้นบันไดที่ท่าน้ำนั่นเอง
          หมดจากก๋วยเตี๋ยว เด็กหนุ่มยังติดลมซื้อผัดไทยจากเรืออีกลำมานั่งกินต่อ ท่าทางเอร็ดอร่อยมากจนข้าวโอ๊ตเผลอมองเพลิน
          “ชิมไหมครับ อร่อยนะ”
          คาร์ลคีบเส้นส่งให้ แทนที่จะยื่นกระทงผัดไทยมาให้เขาคีบเอง ข้าวโอ๊ตลังเล แต่คาร์ลคะยั้นคะยอมาอีก ท่าทางของเด็กหนุ่มเป็นธรรมชาติไม่เก้อกระดากเหมือนกับที่ข้าวโอ๊ตรู้สึกอยู่ตอนนี้สักนิด เขาก็เลยต้องพยายามไม่คิดอะไรฟุ้งซ่านไปด้วยเหมือนกัน
          ข้าวโอ๊ตจับมือของคาร์ลที่ถือตะเกียบอยู่ส่งเส้นผัดไทยเข้าปากตัวเอง
          “อร่อยใช่ไหมครับ” คาร์ลยิ้มอีกเมื่อถามแล้วชายหนุ่มพยักหน้ารับ
          หลังจากอิ่มอาหารกลางวันก็ถึงเวลาไปลงเรือ ข้าวโอ๊ตซื้อหมวกแก็ปให้ตัวเองและให้คาร์ลด้วยเพื่อกันแดดที่ยิ่งใกล้บ่ายก็ยิ่งแผดจ้า ตอนที่ออกจากบ้านเขาลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิท
          เรือหางยาวนำเที่ยวพาทั้งสองคนเลาะเรื่อยไปตามคลอง ช่วงเที่ยงใกล้บ่ายแบบนี้ชุมชนริมคลองยังคงเงียบ เรือชาวบ้านก็ยังไม่ออกมามากนักนอกจากเป็นเรือขายอาหารและเรือนำเที่ยว
          “ตลาดน้ำอัมพวาเป็นตลาดเย็น” คนขับเรือที่เป็นผู้ชายวัยกลางคนร่างผอมแกร่งบอกและข้าวโอ๊ตแปลให้คาร์ลฟังอีกต่อหนึ่ง
          “เดี๋ยวตอนบ่าย ๆ เย็น ๆ นะ เรือออกมาเต็ม คนเยอะมาก”
          “ผมอยากเห็นจัง” คาร์ลพูดด้วยแววตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
          เด็กหนุ่มมองบ้านเรือนสองฝั่งคลองซึ่งเป็นเรือนไม้หลังคามุงสังกะสีด้วยความสนใจ บ้านแต่ละหลังมีกระถางดอกไม้สวย ๆ แขวนห้อยไว้ที่ชายคาและมีบันไดทอดลงมายังคลอง ถึงแม้บรรยากาศจะไม่คึกคัก แต่ก็ยังดูมีชีวิตชีวา
          ข้าวโอ๊ตที่เคยมาหลายครั้งแล้วไม่ได้ตื่นเต้นมากเท่าคาร์ล เขานั่งนิ่งรับลมคลองเย็น ๆ และคอยตอบคำถามของคาร์ลหรือแปลคำพูดของคนขับเรือที่มักมีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับอัมพวามาเล่าให้ผู้โดยสารของตัวเองฟัง
          เรือพาเริ่มด้วยการไปไหว้พระปิดทองที่วัดเพื่อให้เริ่มต้นการเดินทางด้วยความเป็นสิริมงคล คาร์ลตามข้าวโอ๊ตขึ้นจากเรือเดินเข้าไปในวัดที่มีนักท่องเที่ยวเดินกันอยู่หนาตา เด็กหนุ่มเคยเข้ามาเที่ยวในวัดของชาวพุทธบ้างแล้ว พอจะรู้ว่าต้องทำอย่างไรบ้างจึงไม่มีท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ เท่าไรนัก เขารับดอกไม้ธูปเทียนจากข้าวโอ๊ตและนั่งคุกเข่าลงข้างกันเพื่อไหว้พระและอธิษฐานขอพร
          คาร์ลแค่ไหว้เพื่อแสดงความเคารพเท่านั้นแต่เขาไม่ได้อธิษฐานอะไร เด็กหนุ่มจึงลืมตาขึ้นมาก่อน เขาหันไปมองคนข้างตัวที่ยังคงหลับตาอยู่ เสี้ยวหน้าด้านข้างของข้าวโอ๊ตอยู่ใกล้แค่มือเอื้อม ผิวของคนเอเชียเนียนละเอียด สีผิวคล้ำนิด ๆ จนแทบเหมือนสีน้ำผึ้งนั่นก็สวย ในขณะที่คนยุโรปอย่างเขาอาบแดดอย่างไรสีผิวก็ยังไม่สวยได้เท่านี้
          เขาอยากสัมผัสใบหน้านี้เหลือเกิน อยากรู้ว่าจะนุ่มลื่นมือเหมือนอย่างที่เห็นหรือไม่ แต่ที่ยิ่งกว่านั้น เขาอยากจะลูบรอยย่นที่หว่างคิ้วให้มันหายไปจากใบหน้าของข้าวโอ๊ตเสียที
          “คาร์ล”
          ข้าวโอ๊ตเรียกอย่างงง ๆ เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นเด็กหนุ่มมองเขานิ่ง
          “มีอะไรเหรอ”
          “ผมแค่สงสัยว่าคุณอธิษฐานว่าอะไร เห็นขออยู่นานมาก..ก” เด็กหนุ่มแกล้งลากเสียงยาวล้อ แล้วมันก็ได้ผลเมื่อสีหน้าเคร่งแกมงงของชายหนุ่มคลายลงกลายเป็นอมพะนำ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มนิด ๆ
          “ไม่บอก”
          “อ้าว” เด็กหนุ่มร้องอย่างผิดหวัง แต่ไม่มากนัก เพราะตอนนี้รอยย่นระหว่างคิ้วของอีกฝ่ายหายไปแล้ว
          ข้าวโอ๊ตลุกไปปิดทองที่องค์พระประธานองค์ใหญ่ แล้วรีบออกมาเพื่อให้คนอื่นได้เข้าไปบ้าง คาร์ลเดินตามออกมา แต่หน้ายู่ยี่เล็กน้อย ข้าวโอ๊ตเห็นแล้วนึกขำ เพราะมีเศษทองคำเปลวที่ร่วงจากองค์พระติดอยู่ตามแขนและหน้าของเด็กหนุ่ม
          “ปัดไม่ค่อยออกเลยครับ” เด็กหนุ่มอุทธรณ์
          “ไม่ต้องปัด ปล่อยไว้แบบนี้แหละ เท่ดีออก” ข้าวโอ๊ตบอก
          “จริงเหรอ” คาร์ลไม่ค่อยแน่ใจ ก็ดูหน้าของคนพูดสิ พยายามกลั้นยิ้มอย่างสุดชีวิตขนาดนั้น
          ข้าวโอ๊ตรีบพยักหน้ารับรอง แต่ตอนที่เดินกลับไปที่เรือด้วยกัน คนขับเรือก็แซว
          “ทองติดเต็มหน้าเลยนะพ่อหนุ่ม ดี ได้บุญเยอะดี”
          คาร์ลทำหน้าเหรอหรา แต่พอจะเข้าใจจากที่คนแซวทำมือทำไม้ว่าที่หน้าเขามีอะไรติดอยู่ เด็กหนุ่มหันมาโวยกับข้าวโอ๊ตทันที
          “คุณว่ามันเท่จริง ๆ เหรอ ทำไมคนขับเรือเขาหัวเราะขนาดนั้นล่ะครับ”
          “ก็เท่จริง ๆ เพียงแต่ทองติดหน้าคุณเยอะไปนิด... นิดเดียว”
          ข้าวโอ๊ตรีบบอก แต่เด็กหนุ่มไม่เชื่อแล้ว เขาพยายามปัดเศษทองออกจากหน้า ข้าวโอ๊ตจะเข้ามาช่วย แต่เด็กหนุ่มหันหน้าหนี
          “ไม่เอา”
          “อย่างอนสิ มา หันหน้ามา เดี๋ยวผมช่วยเช็ดให้”
          ข้าวโอ๊ตดึงตัวคาร์ลให้หันมาและปัดเศษทองออกจากหน้าให้
          “เอาล่ะ เรียบร้อย”
          “แน่ใจนะ” เด็กหนุ่มถามย้ำ ข้าวโอ๊ตจึงจับตัวเด็กหนุ่มหันไปหาคนขับเรือให้ช่วยยืนยันอีกแรง เมื่อเห็นเครื่องหมายโอเค คาร์ลก็ยอมก้าวลงไปในเรือ
          ความเครียดในใจของข้าวโอ๊ตมลายหายไปได้มากทีเดียวเมื่อได้ออกมาเที่ยว มีเพื่อนคุยชี้ชวนให้ดูโน่นดูนี่ หรือบางครั้งก็เถียงกันบ้าง หากก็ยังมีเงาวูบวาบของอดีตโผล่ขึ้นมาทุกครั้งที่เขามองหน้าคาร์ล
          คาร์ลตอนนี้อายุพอ ๆ กับฟรองซัวส์ในตอนนั้น และรอยยิ้มก็ช่างละม้ายคล้ายคลึงกันจนบางครั้งชายหนุ่มก็นึกไม่อยากมองหน้าคาร์ลเลย มันทำให้เขาหายใจสะดุด แต่คาร์ลก็ช่างร่าเริงเหลือเกิน คอยกวักมือเรียกเขาอยู่ตลอดเวลา
          “คุณโอ๊ต นี่มันข้ามได้จริง ๆ เหรอ”
          คาร์ลมองสะพานข้ามท้องร่องที่เป็นลำไม้สองลำวางพาดสองฝั่งอย่างไม่ค่อยแน่ใจ เด็กหนุ่มอยากเข้ามาเที่ยวในสวน คนขับเรือจึงพามาแวะที่สวนของชาวบ้าน แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีผลไม้ให้เก็บแล้วก็ตาม ลิ้นจี่ที่เป็นผลไม้ขึ้นชื่อก็ยังไม่ถึงฤดู แต่ถึงไม่มีผลไม้ให้เก็บ เด็กหนุ่มก็ยังสนุก นอกจากจะได้เห็นต้นลิ้นจี่กับตาตัวเองหลังจากที่เคยแต่เห็นผลของมันในกระป๋อง ในสวนก็ยังมีของที่น่าสนใจอีกเยอะ
          “ได้สิ เวลาเดินก็กางแขนออกนิดหนึ่ง ช่วยทรงตัว” ข้าวโอ๊ตแนะนำ และเด็กหนุ่มก็ข้ามไปอีกฟากได้สำเร็จ
          คาร์ลติดใจมาก ทดลองข้ามไปข้ามกลับอีกหลายครั้ง แล้วเดินมาหาข้าวโอ๊ตที่ยืนหลบร่มรออยู่ใต้ต้นไม้
          “สนุกจัง”
          “ที่บ้านคุณก็มีสวนมีฟาร์มไม่ใช่เหรอ ทำไมดูตื่นเต้นจัง”
          “ที่โน่นทำฟาร์มทำสวนกันแบบใช้เครื่องจักรเครื่องทุ่นแรง ไม่ค่อยมีของใช้แบบภูมิปัญญาชาวบ้านอย่างนี้หรอกครับ ผมว่าแบบสวนนี้ดีกว่าเยอะเลย มีเสน่ห์มาก ๆ”
          เด็กหนุ่มพูด นอกจากเครื่องมือเครื่องใช้ชาวสวนแปลกตาแล้ว อัธยาศัยและน้ำใจไมตรีของชาวบ้านก็ยังเป็นเสน่ห์ที่เด็กหนุ่มหมายถึง แม้จะไม่มีลิ้นจี่ แต่เจ้าของสวนก็มีผลไม้ของสวนอย่างอื่นมาให้เด็กหนุ่มได้ชิมทั้งกล้วย ส้มเขียวหวาน และผลไม้ลูกเล็ก ๆ ที่เขาไม่รู้จักชื่อ เมื่อลองชิมดูมีรสฝาดนิด ๆ แต่ชุ่มคอ
          ความร่าเริงสดใสของเด็กหนุ่มทำให้ใครเห็นก็อดเอ็นดูไม่ได้ ตอนจะกลับเจ้าของสวนถึงกับยกส้มเขียวหวานให้เขาถุงใหญ่เพื่อไปกินในเรือ เด็กหนุ่มขอบคุณด้วยภาษาไทยเพี้ยน ๆ ยิ่งเรียกรอยยิ้มจากคนฟังได้มากขึ้นอีก
          ข้าวโอ๊ตก็อดยิ้มไม่ได้เช่นกัน
          ไม่ว่าเขาหรือใครต่อใครดูเหมือนจะคล้อยตามเสน่ห์ของคาร์ลกันหมด

         

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
          คนขับพาเรือออกจากคลองมายังแม่น้ำแม่กลองตรงไปยังอุทยานร.2 ข้าวโอ๊ตเลือกให้มาที่นี่ก่อนและค่อยไปตบท้ายที่วัดบางกุ้งก่อนจะกลับไปที่ตลาดน้ำ
          ที่อุทยานมีเรือนไทยและศิลปวัตถุสมัยต้นรัตนโกสินทร์ให้เดินชมรวมทั้งประวัติของอัมพวาและวิถีชีวิตลุ่มแม่น้ำแม่กลอง ข้าวโอ๊ตเห็นคาร์ลสนใจเรียนรู้เรื่องความเป็นไทยจึงคิดว่าเขาไม่น่าจะเบื่อพิพิธภัณฑ์เหมือนที่เด็กวัยนี้มักจะเป็น แต่ถึงเบื่อ ชายหนุ่มก็ดูไม่รู้เพราะคาร์ลยังมีรอยยิ้มอยู่ในหน้าตลอดเวลาและขยันซักถามเรื่องโน้นเรื่องนี้ไม่ขาดปาก ข้าวโอ๊ตไม่เคยเรียนไกด์ แต่เขาก็สามารถดำน้ำเล่านิทานเรื่องไกรทองหรือแม้แต่รามเกียรติ์ได้เมื่อพาคาร์ลไปดูหัวโขน
          “ผมดูไม่ออกเลย หน้าไหนคือยักษ์ หน้าไหนคือลิง มันก็ดูเหมือน ๆ กันไปหมด” คาร์ลจ้องหัวโขนที่ถูกเก็บเอาไว้อย่างดีในตู้กระจก
          “ยักษ์จะมีเขี้ยวไง” ข้าวโอ๊ตชี้ให้ดู แต่คาร์ลกลับมองหน้าข้าวโอ๊ตแทน
          “เหมือนคุณเลย คุณก็มีเขี้ยว แสดงว่าคุณก็เป็นยักษ์”
          “งั้นคุณก็เป็นลิง เพราะลิงจะอยู่ไม่นิ่ง ส่วนคุณก็ alert ตลอดเวลา”
          ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ ด้วยความชอบใจ
          ข้าวโอ๊ตชี้ให้ดูหัวโขนอีกอันในตู้ซึ่งแตกต่างจากหัวโขนอื่น ๆ เป็นหัวโขนของพญายักษ์ทศกัณฐ์ ชายหนุ่มพูดติดตลกว่า
          “ถ้าผมเป็นยักษ์ นี่ก็คือกษัตริย์ของผม ทศกัณฐ์ มีสิบหน้า ยี่สิบมือ คุณเห็นหัวยักษ์เล็ก ๆ นั่นไหม ลองนับดูซิว่ามีกี่หัว พนันกันไหมว่าคุณหาหัวที่สิบไม่เจอ”
          คาร์ลยอมรับคำท้า แต่ไม่ว่าเขาจะนับอย่างไร ชายหนุ่มก็นับได้เพียงเก้าหัวเท่านั้น เขาจ้องจนหน้าแทบจะติดกระจกอยู่รอมร่อ แต่ก็หาหัวที่สิบไม่เจอสักที เขาหันมาหาข้าวโอ๊ตที่อมยิ้มด้วยความเหนือกว่า
          “ไม่เจอใช่ไหม”
          เด็กหนุ่มส่ายหน้า บ่นว่า
          “คุณจำผิดแน่ ๆ จริง ๆ อาจมีแค่เก้าหัวก็ได้นะครับ”
          “หาไม่เจอก็แสดงว่าแพ้”
          “งั้นคุณบอกผมได้ไหมว่าหัวที่สิบอยู่ไหน”
          “ก็นี่ไง” ข้าวโอ๊ตชี้ที่หน้าของตัวเอง “หน้าของคนใส่หัวโขนคือหน้าที่สิบ หัวโขนของทศกัณฐ์จึงทำหน้าไว้แค่เก้าเท่านั้น” แล้วก็ชี้ไปที่หน้าเด็กหนุ่ม ย้ำว่า “คุณแพ้”
          “โธ่ เล่นอย่างนี้เลยเหรอ ไม่ยุติธรรมเลย ใครจะไปรู้ล่ะ”
          ข้าวโอ๊ตหัวเราะ แต่ไม่ยอมรับฟังคำอุทธรณ์ใด ๆ จากเด็กหนุ่ม
          กลับมาที่เรือ ข้าวโอ๊ตส่งน้ำอัดลมกระป๋องและน้ำเปล่าที่ซื้อติดมือมาให้คนขับเรือ ก่อนจะก้าวกลับลงไปนั่งในเรือ คาร์ลตามลงมา และเรือก็พาทั้งคู่ไปที่วัดบางกุ้งซึ่งมีค่ายทหารเก่าและโบสถ์ที่มีต้นไม้ขึ้นปกคลุม ถือเป็นจุดท่องเที่ยวที่ต้องไม่พลาดในการมาเยี่ยมชมอัมพวา
          คาร์ลมองด้วยความทึ่งเมื่อเห็นโบสถ์เก่าหลังเล็กถูกปกคลุมไปด้วยไม้ถึงสี่ชนิดคือต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นไกรและต้นกร่าง ข้างในโบสถ์มีพระพุทธรูปให้ผู้คนเข้าไปกราบไหว้ เด็กหนุ่มก้าวเข้าไปด้านในพร้อม ๆ กับข้าวโอ๊ต อากาศข้างในค่อนข้างชื้น ทำให้ทั้งสองคนไม่ได้อ้อยอิ่งอยู่นาน ไหว้พระประธานในโบสถ์เสร็จก็เดินออกมา จากนั้นคาร์ลก็พุ่งเข้าหาสวนสัตว์ของวัด
          “โอ้โห มีนกยูงด้วย”
          นกสีน้ำเงินแสนสวยที่สามารถรำแพนหางได้กรายเข้ามาอวดโฉม นอกจากนกยูงก็ยังมีสัตว์แปลก ๆ อย่างค่าง หมูป่าและกวาง ข้าวโอ๊ตไม่รู้ว่ามันผิดกฎหมายหรือไม่ที่มีสัตว์ป่าอยู่ในวัดแบบนี้ แต่คิดว่าคงมีเหตุให้ยกเว้นได้ถ้าคิดว่าที่นี่คือสวนสัตว์
          “นกกระจอกเทศก็มี คุณโอ๊ต มาดูสิ” คาร์ลกวักมือเรียก
          เด็กหนุ่มดูแปลกใจมากที่เห็นสวนสัตว์อยู่ในวัด เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปหลายรูป แล้วเมื่อหันมาเจอข้าวโอ๊ต เขาก็ยิ้มให้ เดินเข้ามาหา
          “ถ่ายรูปด้วยกันครับ”
          ศีรษะของคาร์ลเอนเข้ามาชิดกับศีรษะของข้าวโอ๊ต ก่อนที่คาร์ลจะกดชัตเตอร์ หัวใจของข้าวโอ๊ตเต้นผิดจังหวะขึ้นมาอีกเมื่อคาร์ลชักจะเขยิบเข้ามาใกล้เขามากขึ้นทุกที
          ชายหนุ่มถอยห่างออกมานิดหนึ่ง ชวนว่า
          “หลังวัดมีวังมัจฉา ไปให้อาหารปลากันไหม”
          คาร์ลรับปากอย่างว่าง่าย เดินตามข้าวโอ๊ตไปที่ท่าน้ำของวัดซึ่งสร้างอย่างใหญ่โต มีโต๊ะกับเก้าอี้ให้นั่งชมวิวแม่น้ำแม่กลอง เด็กหนุ่มสูดอากาศสดชื่นเข้าปอด ตอนนี้บ่ายคล้อยแล้ว แดดเริ่มหาย แต่ท้องฟ้ายังสดใส มองข้ามไปอีกฝั่งแม่น้ำเห็นบ้านไม้ของชาวบ้านและทิวต้นมะพร้าวสีเข้ม เป็นวิวที่สวยงามมาก
          เด็กหนุ่มหันหาข้าวโอ๊ต เห็นอีกฝ่ายซื้ออาหารมาโยนให้ปลากินอย่างสนุกสนาน ปลาตัวโต ๆ แย่งกันโผล่ขึ้นฮุบอาหาร พวกมันสะบัดตัวไปมาจนทำให้น้ำกระฉอกและบางส่วนก็กระเด็นขึ้นมาโดนคนที่ให้อาหารอยู่ที่ท่า ข้าวโอ๊ตไม่เดือดร้อน กลับสนุกด้วยซ้ำ ชายหนุ่มโยนอาหารให้จนหมดถุง ยิ่งเห็นปลาเยอะ ๆ เขาก็ยิ่งชอบ ยิ้มออกมาอย่างเต็มที่
          “คุณยิ้มสวยกว่าผมอีกนะคุณโอ๊ต ผมดีใจที่เห็นคุณยิ้มออกเสียที”
          ข้าวโอ๊ตแทบสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงของคาร์ลข้างตัว เด็กหนุ่มมายืนอยู่ข้าง ๆ ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ในมือถือถุงอาหารปลาที่ไปซื้อเพิ่มมา เขาส่งถุงหนึ่งให้ข้าวโอ๊ต
          “เอ้อ...ขอบคุณนะ” ชายหนุ่มรับถุงอาหารมา
          “หายเครียดแล้วนะครับ” คาร์ลถาม มือโยนอาหารลงไปให้ปลาในน้ำบ้าง
          “คุณคิดว่าผมเครียดเหรอ” ข้าวโอ๊ตย้อนถาม โยนอาหารลงไปให้ปลาต่อ
          “ก็ท่าทางของคุณบอกอย่างนั้น ผมไม่รู้ว่าคุณเครียดเรื่องอะไร เรื่องจดหมายเตือนก็จบไปแล้ว แต่คุณก็ยังเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจอยู่ ผมไม่อยากให้คุณเครียดเลยนะ เวลาเราเครียดน่ะมักจะเห็นปัญหาใหญ่กว่าเดิมหลายเท่าจนเราคิดว่าแก้ไม่ได้ ทั้งที่จริงมันอาจจะไม่ใหญ่โตขนาดนั้นก็ได้”
           “ผมไม่ได้อยากจะเครียดหรอกนะ แต่บางทีมันก็หยุดคิดไม่ได้” ข้าวโอ๊ตยอมรับ “ผมมีเรื่องให้คิดเยอะมากช่วงนี้ ทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องงาน คุณก็คงเห็น ที่ออฟฟิศอย่างกับสนามรบ รู้ไหม ผมอิจฉาคุณมากเลยนะที่คุณยิ้มได้ตลอดไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน ขนาดบรรยากาศที่ออฟฟิศตึงเครียดขนาดนั้น คุณก็ยังยิ้ม”
          “มันอาจช่วยแก้ไขปัญหาไม่ได้ แต่มันทำให้บรรยากาศดีขึ้นได้ครับ บรรยากาศดี คนก็อารมณ์ดีขึ้น แล้วก็จะหาทางแก้ปัญหาได้เอง คุณลองทำดูสิครับ แค่ยิ้ม มันไม่ยากเลย”
          ข้าวโอ๊ตไม่แน่ใจ คาร์ลกระตุ้นอีก
          “ยิ้มหน่อยสิครับ ผมจะนับหนึ่ง สอง สามก็แล้วกัน เอาละนะ...หนึ่ง สอง”
          ริมฝีปากของข้าวโอ๊ตกระตุก แล้วเมื่อคาร์ลนับถึงสาม ชายหนุ่มก็ยิ้มออกมาได้ในที่สุด
          “ต้องอย่างนี้สิครับ เอ้า นี่รางวัล ผมให้อาหารปลาคุณอีกถุงหนึ่งเลย”
          คราวนี้จากยิ้ม ข้าวโอ๊ตยังหัวเราะออกมาได้ด้วย และเป็นครั้งแรกในวันนี้ที่ชายหนุ่มรู้สึกมีความสุขจริง ๆ

          ตลาดน้ำยามเย็นเริ่มคึกคักแล้วเมื่อคนขับเรือพาข้าวโอ๊ตกับคาร์ลกลับมาส่ง เรือขายของมากมายจอดอยู่ที่ท่าน้ำ ส่วนใหญ่เป็นเรือขายอาหารซึ่งมีทั้งก๋วยเตี๋ยว ผัดไทย ขนม และอาหารทะเลสด ๆ เผา นักท่องเที่ยวจะซื้อและนั่งกินกันอยู่ที่ขั้นบันไดท่าน้ำเลย
          คาร์ลกับข้าวโอ๊ตเดินเบียดกับนักท่องเที่ยวชมร้านค้าที่เป็นเรือนแถวไม้ริมคลองอัมพวา ของที่ระลึกจำพวกเสื้อยืดสกรีนชื่ออัมพวาและกางเกงเลดูเหมือนจะเป็นที่นิยมเพราะมีคนมุงซื้อกันมากมาย นอกจากนั้นก็ยังมีขนมและอาหารท้องถิ่นขายมากมายให้เลือกซื้อเลือกชิมจนลานตา
          ข้าวโอ๊ตมองคนมากมายทั้งบนทางเดินและบนสะพานข้ามคลองด้วยสายตาเซ็ง ๆ ตรงกันข้ามกับดวงตาเป็นประกายสนุกสนานของคาร์ล แล้วเมื่อเด็กหนุ่มหันมาเห็นเข้า เขาก็ร้องทันที
          “ยิ้มสิครับ!”
          “โอเค โอเค ยิ้มแล้วครับ”
          ชายหนุ่มยอมแพ้ ดูเหมือนว่าคาร์ลจะยึดเอาการทำให้ข้าวโอ๊ตยิ้มได้เป็นหน้าที่ของเขาไปแล้ว และถ้าข้าวโอ๊ตไม่ยอมยิ้มหรือลืมตัวทำหน้าเครียดขึ้นมาอีก เขาก็จะกระตุ้นอย่างนี้ และข้าวโอ๊ตก็จะยอมแพ้ ยิ้มออกมาในที่สุด
          “คุณนี่เป็นนักศึกษาฝึกงานที่แย่ที่สุดเลยรู้รึเปล่า ข่มขู่รุ่นพี่ในที่ทำงานปาว ๆ ใครที่ไหนเขาทำกัน”
          “ก็รุ่นพี่ดื้อไม่ยอมเชื่อฟัง ผมก็ต้องทำอย่างนี้แหละ ถ้าไม่อยากให้ขู่ก็อย่าดื้อสิ”
          คาร์ลโต้กลับอย่างไม่ยอม ก่อนจะดึงมือข้าวโอ๊ตให้เดินตามมา
          “ผมหิวแล้วล่ะ เราไปซื้ออะไรกินที่ท่าน้ำฝั่งโน้นก่อนแล้วค่อยกลับนะครับ”
          ข้าวโอ๊ตไม่ขัดคำชวนของคาร์ล แต่เขายังคงไม่สามารถทำตัวให้เป็นธรรมชาติได้ ยิ่งเวลาที่มือของเขาอยู่ในมือของคาร์ลแบบนี้ เด็กหนุ่มทำเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่จะจับมือใครสักคนจูง หรือตอนที่นั่งอยู่ที่ขั้นบันไดท่าน้ำด้วยกันชนิดเข่าเบียดเข่า เด็กหนุ่มก็กินอาหารจานเดียวกับเขา
          ความใกล้ชิดในตอนนี้ทำให้ข้าวโอ๊ตต้องคิดว่าตัวเขาเองรู้สึกอย่างไรกันแน่
          แต่ที่แน่ ๆ หัวใจของเขายังเจ็บอยู่ทุกครั้งที่ภาพของฟรองซัวส์ปรากฎซ้อนทับกับภาพของคาร์ลที่อยู่ต่อหน้าเขา
          อะไรก็ตามที่อยู่ภายในหัวใจของเขามันกำลังเคลื่อนไหว ดิ้นรนแถกไถไปมาจนเขารู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจของเขากำลังมีเลือดไหลซิบ

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
โอ้ยยยย ประเด็นภาพซ้อน เพิ่มมาอีก หน่วงดีแท้

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 16
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
ถึงจะบอกให้ยิ้ม แต่มันทำไม่ได้ง่าย ๆ หรอกนะ ยิ่งเวลาที่ใจมันขุ่นมัวแบบนี้
Like – Comment – Share

          ทริปสั้น ๆ วันอาทิตย์ให้พลังแก่ข้าวโอ๊ตมากพอที่ชายหนุ่มจะมาทำงานวันจันทร์ได้ด้วยหน้าตาที่ไม่ยู่ยี่เหมือนทุกครั้งและพร้อมที่จะสู้งานหนักในวันนี้เพราะพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันงานสัมมนาแนะนำผลิตภัณฑ์ของบริษัทเลมอนเซคิวริตี้แล้ว
          ช่วงเช้า ทุกคนเริ่มต้นด้วยงานประจำของตัวเอง ด็อกเตอร์แฮร์มันน์แผดเสียงคับออฟฟิศเรียกคาริน่ากับทีโมนเข้าห้องเพื่อบรีฟงานประจำวัน เขาเรียกคาร์ลด้วย ตอนที่เดินผ่านห้องทำงานของข้าวโอ๊ต เด็กหนุ่มก็ชะโงกหน้าเข้ามาพร้อมกับทำมือทำไม้บอกให้ชายหนุ่มยิ้ม
          ข้าวโอ๊ตส่ายหน้า ชี้ไปที่คาร์ล แล้วชี้ที่ปากตัวเอง จากนั้นชี้ไปทางห้องของผู้อำนวยการ เพื่อจะบอกว่า
          ‘ผมไม่ต้องใช้ยิ้มหรอก คุณนั่นแหละต้องยิ้ม เวลาเดินเข้าห้องนั้น’
          คาร์ลหัวเราะแบบไม่มีเสียง แล้วผลุบหายไป
          ข้าวโอ๊ตกลับมาทำงานลงทะเบียนอีเมลเข้าระบบอันแสนจะน่าเบื่อต่อไป แต่ตอนนี้เขามีรอยยิ้มน้อย ๆ ติดแต้มอยู่ที่ใบหน้า
          ญาดาถูกเรียกเข้าไปในห้องของผู้อำนวยการเป็นรายต่อไป เมื่อหล่อนออกมา หล่อนก็บอกทุกคนตามห้องว่าด็อกเตอร์แฮร์มันน์จะเรียกประชุมทั้งออฟฟิศในตอนบ่ายสองโมง
          หลังจากงานประจำวันช่วงเช้าจบลง ข้าวโอ๊ตก็เช็คไฟล์รายชื่อผู้เข้าร่วมงานเพื่ออัพเดตเป็นครั้งสุดท้าย ถึงแม้ว่าจะกำหนดวันสิ้นสุดการลงทะเบียนเอาไว้ แต่ก็ยังมีคนส่งรายชื่อเข้ามาล่าช้ากว่ากำหนดอยู่ตลอด เขาต้องคอยอัพเดตรายชื่อลงในไฟล์และรายชื่อสำหรับโต๊ะลงทะเบียน รวมทั้งทำป้ายชื่อ
          นอกจากรายชื่อผู้เข้าร่วมงาน ชายหนุ่มรับผิดชอบดูแลแฟ้มเอกสารที่จะแจกแขกในงาน รวมทั้งของที่ระลึกเล็ก ๆ น้อย ๆ จำพวกเข็มกลัดติดเสื้อกับสายคล้องบัตรปักชื่อบริษัทซึ่งคาริน่ายอมให้เอาไปแจกแขกในงานได้ แต่เอาไปกี่อัน แจกแขกกี่อัน เหลือกี่อัน หล่อนให้เขาเช็คให้ละเอียดที่สุดและรายงานหล่อนตอนเสร็จงานแล้วด้วย
          ข้าวโอ๊ตจัดของทุกอย่างลงกล่องแพ็คเรียบร้อยและขนมาไว้ที่หลังเคาน์เตอร์รีเซปชั่นของออกัสเพื่อรอให้บำรุงมาขนเอาไปไว้ในรถของบริษัทอีกต่อหนึ่ง
          ทำงานเสร็จก็ถึงเวลารับประทานอาหารกลางวันพอดี พักกินข้าวครึ่งชั่วโมงเริ่มขึ้นได้สองสามวันแล้ว วันแรกเลยที่เริ่มมาตรการนี้ ข้าวโอ๊ตรับรู้ได้ถึงบรรยากาศมาคุระหว่างคนไทยกับฝรั่ง เพราะการที่พนักงานคนไทยเลือกพักครึ่งชั่วโมงแทนที่จะเข้าไปกินข้าวกับฝรั่งในห้องอาหารก็เหมือนเป็นการบอกกลาย ๆ ว่า “ฉันไม่อยากเสวนากับพวกแก”
          ฝรั่งก็ดูจะเครียดกันเพราะนึกว่าคนไทยต้องยอม แต่พอครบครึ่งชั่วโมงปุ๊บ พนักงานคนไทยแยกย้ายกันกลับห้องอย่างพร้อมเพรียง ฝ่ายที่ยังนั่งรับประทานอาหารอยู่ในห้องอาหารจึงรู้สึกแปลก ๆ และก็พลอยกลับห้องเร็วไปด้วย
          วันนี้ก็พักครึ่งชั่วโมงกันตามเคย ข้าวโอ๊ตไม่ชอบนักหรอกเพราะต้องกินให้เร็วกว่าเดิม แต่เขาไม่มีทางเลือกเพราะเขาไม่อยากเข้าไปนั่งอึดอัดในห้องรับประทานอาหาร คนอื่น ๆ ก็กินกันอย่างเงียบ ๆ ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมากนัก มีพูดกันนิดหน่อยเรื่องงานเลมอนในวันพรุ่งนี้ แล้วเมื่อครบครึ่งชั่วโมงก็กลับห้อง เตรียมตัวประชุมในตอนบ่าย
          ถึงเวลาประชุมตอนบ่ายสองโมง ข้าวโอ๊ตหยิบสมุดโน้ตกับปากกา ชายหนุ่มไม่ค่อยอยากมาช้าเพราะจะเลือกที่นั่งไม่ได้ เขาจึงมักมาถึงเป็นคนแรก ๆ แล้วก็เลือกที่นั่งห่างจากประธานการประชุมที่นั่งอยู่หัวโต๊ะให้มากที่สุด แต่ถึงนั่งห่างออกมาแบบนี้ เสียงของผู้อำนวยการก็ดังชัดเจนจนแทบจะต้องเอามือปิดหูอยู่แล้ว
          คนอื่น ๆ ทยอยกันเข้ามาในห้อง คาร์ลเลือกนั่งลงข้างเขา ชายหนุ่มอยากจะยิ้ม แต่เขาไม่รู้ว่าจะมีใครจ้องมองอยู่หรือเปล่าจึงตีหน้าเฉย ๆ เปิดสมุดโน้ตเตรียมจดรายละเอียดการประชุม
          การประชุมเตรียมงานไม่มีอะไรมาก แค่กำหนดเวลาที่ทุกคนต้องไปถึงที่งาน หน้าที่ที่แต่ละคนต้องทำในวันนั้นซึ่งญาดาบอกเอาไว้ก่อนแล้ว และถามถึงความพร้อมในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรที่เป็นปัญหา ทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมสรรพหมดแล้ว จะมีก็แต่ออกัสที่แสดงความเป็นกังวลเรื่องโรงแรมเล็กน้อยเท่านั้นเพราะเขามีปัญหากับการสื่อสารกับเซลส์โรงแรมรุ่นป้าอย่างที่เคยบ่นให้ทุกคนฟังครั้งแล้วครั้งเล่า
          นอกจากออกัส คาริน่าเป็นอีกคนที่มีปัญหา ยิ่งเมื่อญาดาบอกว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากหล่อนในวันงาน คาริน่าก็รู้สึกไม่พอใจเท่าไร แต่ด้วยหน้าที่ของฝ่ายการเงินและฝ่ายบุคคลซึ่งเป็นงานที่อยู่ในออฟฟิศ หญิงสาวก็ไม่จำเป็นต้องไปในวันงานอยู่แล้ว หล่อนจึงค้านได้ไม่เต็มเสียงนัก แม้ว่าจะอยากออกไปจากออฟฟิศไปเจอแขกของบริษัทที่มาจากเยอรมนีก็ตาม แล้วเมื่อหล่อนไม่ได้ไป คนอื่นก็ต้องไม่ได้ไปเป็นเพื่อนหล่อนบ้าง
          “ทำไมคุณโอ๊ตกับคุณกัสไปทั้งสองคน ให้ใครคนหนึ่งไปก็พอ อีกคนอยู่ที่ออฟฟิศ ไม่งั้นใครจะรับโทรศัพท์”
          ข้าวโอ๊ตมองข้ามโต๊ะไปสบตากับออกัสทันทีเมื่อคาริน่าเริ่มเรื่อง ออกัสหันไปหาญาดาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พี่ใหญ่ของคนไทยในออฟฟิศจึงออกโรงโต้ว่า
          “คุณกัสต้องไปประสานงานกับโรงแรมเผื่อมีปัญหาอะไรระหว่างงาน คุณโอ๊ตต้องอยู่ที่โต๊ะลงทะเบียน ทั้งสองคนต้องไป”
          “แต่งานประสานงานคุณหญ้าทำก็ได้นี่ ลงทะเบียนก็ใช้คนเดียวก็พอ” คาริน่าไม่ยอม
          “ออกัสเขาเป็นคนติดต่อประสานงานตั้งแต่ต้น เขามีคอนแท็ค ติดต่อแก้ปัญหาอะไรรวดเร็วกว่า ส่วนฉันต้องรับรองแขกและจะคอยช่วยที่โต๊ะลงทะเบียนด้วย แขกมากันเยอะ แล้วยังจะคนที่ไม่ได้ลงทะเบียนมาอีก ข้าวโอ๊ตคนเดียวทำไม่ทันหรอก แล้วไม่ต้องพูดถึงมิคกี้กับนัตโตะ สองคนนั้นต้องเตรียมสคริปท์พิธีกร เตรียมสมาธิในการแปล พวกเขาไม่ต้องมาช่วยที่โต๊ะลงทะเบียน”
          “งั้นใครจะรับโทรศัพท์”
          “ก็ให้คาร์ลช่วยตรงนี้ แค่ครึ่งวันเช้า ไม่น่าจะมีปัญหา”
          “จะไม่มีปัญหาได้ยังไง ถ้ามีคนไทยโทรศัพท์มาก็พูดกันไม่รู้เรื่อง” คาริน่าเริ่มเสียงดัง และญาดาก็เร่งระดับเสียงให้เท่ากันทันที
          “ถ้าอย่างนั้นก็ให้อัดเสียงเครื่องตอบรับโทรศัพท์เอาไว้ ถือว่าออฟฟิศปิดครึ่งวันเช้า เขาจะได้โทรศัพท์มาใหม่ช่วงบ่าย ฉันต้องการให้คุณโอ๊ตกับคุณกัสไปทั้งสองคน”
          “ถ้าไปทั้งสองคนก็ต้องรีบกลับ สักสิบโมงครึ่งงานลงทะเบียนก็น่าจะเสร็จแล้ว คุณโอ๊ตคุณกัสไม่จำเป็นต้องอยู่ถึงงานเลิกก็ได้”
          “เราไม่รู้ว่างานมันจะมีปัญหาอะไรรึเปล่า ถ้ากลับกันมาก่อนก็เท่ากับขาดคนช่วยงานไปเลย ฉันไม่เห็นด้วย คุณโอ๊ตกับคุณกัส รวมทั้งคุณบำรุงด้วย ให้อยู่ช่วยที่โรงแรมจนกระทั่งจบงาน ฉันขอยืนยันตามนั้น”
          ญาดาพูดแล้วหันไปมองด็อกเตอร์แฮร์มันน์ที่นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ คาริน่าก็หันไปจ้องเขาเขม็งเหมือนกัน
          พนักงานคนอื่นไม่มีใครพูดอะไรออกมา ทุกคนมองคาริน่าสลับกับญาดาระหว่างที่ทั้งคู่ถกเถียงกันและตอนนี้สายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่ผู้อำนวยการเป็นตาเดียวด้วยความลุ้นระทึกว่าศึกครั้งนี้ใครจะเป็นผู้ชนะ
          ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ขยับเนกไทด้วยความรู้สึกอึดอัด เขาไม่ค่อยชอบการเผชิญหน้า ไม่อยากจะต้องเป็นคนตัดสินข้อพิพาทเรื่องอะไรแบบนี้ แต่เมื่อทั้งออฟฟิศมองเขาแบบนี้ เขาก็จำเป็นต้องทำ
          “ให้ไปทั้งสองคนนั่นแหละ จบงานค่อยกลับ”
          คำตัดสินออกมาแล้ว ญาดาเป็นผู้ชนะ
          ข้าวโอ๊ตเองก็โล่งอก เพราะเขาไม่อยากกลับมาออฟฟิศก่อนงานเลิกเลย นาน ๆ จะได้ออกไปหายใจบ้าง เขาก็อยากจะฉวยโอกาสดี ๆ นั้นเอาไว้และใช้ให้เต็มที่ที่สุด
          คาริน่าไม่พอใจคำตัดสินสักเท่าไร เมื่อเลิกประชุม หล่อนก็เดินเข้าห้องของผู้อำนวยการทันที คงจะหวังให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์เปลี่ยนใจ แต่ญาดาประกาศว่า
          “ถึงเปลี่ยนใจก็ช่าง วันงานอยู่ที่โรงแรมกันจนงานเลิกนั่นแหละ ใครจะทำอะไรได้”
          ข้าวโอ๊ตไม่ค่อยเห็นญาดามีท่าทีแข็งกร้าวกับฝรั่งอย่างนี้มานานแล้วในระยะหลังจนเขาถึงกับเคยคิดว่าญาดาดีแต่พูดว่าจะสู้จะออกหน้า แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ทำเพราะกังวลกับตำแหน่งของตัวเองอยู่เหมือนกัน งานนี้ลุกขึ้นมาปกป้องลูกน้องได้นี่นับว่าน่าแปลกใจพอดู เมื่อเขาอดไม่อยู่มาเปรยกับออกัส รายนั้นก็บอกว่า
           “ทนไม่ไหวมั้ง เก็บกดจากที่บ้านไง พูดอะไรไม่มีใครฟังเลยเอามาระเบิดที่ที่ทำงาน”
           “เรื่องอะไรล่ะ” ข้าวโอ๊ตถาม
           “เรื่องน้องสาวจะแต่งงานไง ยังตกลงกันไม่ได้เลย ได้ยินพี่หญ้าเล่าว่าน้องสาวประกาศแตกหักกับครอบครัวแล้ว จะย้ายไปอยู่กับสามีที่โอกินาว่า ไม่กลับมาเมืองไทยอีก ทางบ้านพี่หญ้า คุณแม่งี้ระเบิดลงเลยจ้า ทั้งน้องสาวทั้งพี่หญ้าโดนกันไปหมด แล้วบ้านนั้นโอ๋ลูกชายไง ไม่อยากให้ลูกสาวออกจากบ้านเพราะกลัวไม่มีคนช่วยงานลูกชาย มันเลยเป็นเรื่องไง พี่หญ้าก็พูดอะไรมากไม่ได้ ไม่มีใครฟัง นางเลยเก็บกด แล้วยังมีอีกเรื่องหนึ่ง...”
           ออกัสลดเสียงลงเป็นกระซิบกระซาบ
           “ที่บ้านเกิดรู้เรื่องคนที่พี่หญ้าไปกิ๊กกั๊กด้วยเข้า คราวนี้ยิ่งกว่าระเบิดปรมาณูลงซะอีก บ้านแทบระเบิด”
           “พี่หญ้ามีแฟนด้วยเหรอ” ข้าวโอ๊ตงง “ก็ไหนว่าไม่อยากแต่งงาน”
           “กับคนนี้ก็คงไม่ได้แต่งงานหรอก เพราะกิ๊กพี่หญ้าเป็นผู้หญิง”
           ข้าวโอ๊ตตาเหลือก ถามย้ำว่า
           “จริงน่ะ”
           ออกัสพยักหน้ายืนยัน เขาหันมองซ้ายขวา เห็นว่าพนักงานทุกคนยังคงอยู่ในห้อง ไม่มีใครเดินออกมา ก็เลยเล่าต่อว่า
           “เราเห็นกับตาเลย วันนั้นแวะไปฟิตเนสที่พี่หญ้าเคยชวนไปเล่นน่ะ จำได้ไหม กะจะไปสมัครเผื่อเจอหนุ่มหล่อกล้ามใหญ่สักคน แต่กลับเจอพี่หญ้ากอดกับหญิงสาวนางหนึ่ง ดูทรงแล้วเป็นเทรนเนอร์ในฟิตเนสนั่นแหละ หูย เรางี้ขนลุกซู่ อินเนอร์แรงทะลุกระจก ฟันธงว่าไม่ใช่เพื่อนธรรมดาชัวร์”
           “พี่หญ้ามีแฟนเป็นผู้หญิงนี่นะ” ข้าวโอ๊ตไม่อยากจะเชื่อ
           “ก็ผู้ชายรอบตัวมันเลว กวาดตามองไปสิ น้องชายเป็นเทวดา คอยโขกสับเรา มาที่ทำงานก็เจอตาแก่หัวเหม่งหูเบา เด็กเมื่อวานซืนอวดดีจอมเจ้าชู้ แล้วก็เกย์เต็มออฟฟิศ” ออกัสชี้ที่ตัวเอง แต่ไม่มีท่าทีเดือดร้อนกับความจริงข้อนี้ “ยังมีความคิดบวกอยู่ได้ก็แปลกแล้ว เป็นเราเราก็เลือกผู้หญิงเหอะ”
          “ออฟฟิศนี้ก็มีผู้หญิง” ข้าวโอ๊ตเปรย แต่ออกัสรีบโบกมือ
          “คนเดียว แล้วนางก็สู้กันได้ไง ถือว่ายังอยู่ในความควบคุมเลยไม่ได้รู้สึกติดลบเหมือนพวกผู้ชาย”
          ข้าวโอ๊ตเดินกลับไปที่ห้องทำงานของตัวเองด้วยความมึนงง ออฟฟิศนี้มีเรื่องให้แปลกใจไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อนเลยสิน่า ชายหนุ่มหวังว่าพรุ่งนี้หรือวันอื่น ๆ จะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาอีกนะ

          ชายหนุ่มน่าจะรู้นะว่าคำภาวนาของเขามักไม่ได้ผล
          ทันทีที่ข้าวโอ๊ตมาถึงที่ห้องจัดงานของโรงแรมอินเตอร์ใกล้สถานีรถไฟฟ้า เขาก็เห็นออกัสกำลังโวยวายกับพนักงานของโรงแรมเรื่องที่ยังจัดสถานที่ไม่เรียบร้อยและไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้
          “ผมสั่งจัดโต๊ะและเก้าอี้สำหรับแปดสิบคนนะ แล้วนี่อะไร มีจัดเอาไว้แค่ห้าสิบกว่าที่เท่านั้น”
          พนักงานที่เป็นสาวน้อยวัยน่าจะเพิ่งจบมหาวิทยาลัยมาหมาด ๆ หน้าเสีย แต่ก็รีบรับปากจะจัดให้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเขาก็เห็นคนของโรงแรมช่วยกันขนเก้าอี้กับโต๊ะมาเพิ่มและก็ช่วยกันผูกริบบิ้นที่โต๊ะกับเก้าอี้กันในห้องสัมมนากันให้โกลาหล
          “ป้าเซลส์ลาพักร้อน แล้วก็ส่งเด็กไม่รู้ประสีประสามารับหน้าเราแทน ใช้ไม่ได้เลย”
          ออกัสโมโหมากจนเส้นเลือดที่ขมับปูดโปน เอามาบ่นกับข้าวโอ๊ตที่กำลังจัดโต๊ะลงทะเบียนอยู่ซึ่งก็มีปัญหาไม่แพ้กันเนื่องจากทางโรงแรมไม่เตรียมอะไรให้เลยสักอย่าง ที่รองเขียนพร้อมปากกาก็ไม่มี แจกันดอกไม้ขนาดเล็กที่สั่งเอาไว้ก็ไม่จัดให้ โถใส่นามบัตรก็ไม่มี ชายหนุ่มต้องเรียกให้พนักงานไปหามาให้ พนักงานที่ยุ่งอยู่แล้วชักสีหน้าเล็กน้อย แต่ก็ยอมทำตาม หากก็ช้าจนชายหนุ่มต้องวีนเหมือนกันเพราะใกล้เริ่มงานแล้วแต่อะไรก็ยังไม่เสร็จสักอย่าง
          “กัส โรงแรมไม่ได้เตรียมดอกไม้ติดหน้าอกแขกพิเศษเอาไว้ให้ ไม่มีพานของขวัญด้วย นายแจ้งโรงแรมไปรึเปล่า”
          ชายหนุ่มรายงานปัญหาต่อไปที่พบ ทำเอาออกัสกุมขมับ
          “เราแจ้งไปหมดแล้วว่าจะเอาอะไรบ้าง นี่ในห้องสัมมนาก็ยังไม่เรียบร้อยเลยนะ ดอกไม้ที่จะตั้งที่โพเดียมก็ไม่มี เครื่องโปรเจ็คเตอร์ก็ยังไม่ได้เช็ค แบ็กดรอปกับตัวหนังสือก็สีเพี้ยนไปจากที่ตกลงกันไว้ โว้ย อยากจะบ้า โดนลูกค้าด่าแน่”
          “อีกยี่สิบนาทีจะถึงเวลาลงทะเบียนแล้ว ทำไงดี” ข้าวโอ๊ตดูนาฬิกา
          “ให้พี่รุงนั่งมอเตอร์ไซลค์ไปซื้อดอกไม้ติดเสื้อที่ร้านแถว ๆ นี้ก็แล้วกัน ขอพานจากที่ร้านมาด้วยเลย แล้วค่อยเอาไปคืน เผื่อที่โรงแรมจัดให้ไม่ทัน” ออกัสตัดสินใจ “แบ็กดรอปช่างหัวมัน แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ดอกไม้ที่โพเดียมถ้าโรงแรมไม่จัดให้ก็เอาธงเยอรมันที่โต๊ะลงทะเบียนไปวางไว้อันหนึ่งก็แล้วกัน โว้ย เดี๋ยวจบงานนี้ฉันจะส่งจดหมายคอมเพลน คอยดู”
          คาดโทษเอาไว้เสร็จสรรพ ชายหนุ่มก็เดินเข้าไปต่อตีกับพนักงานโรงแรมต่อ ข้าวโอ๊ตจัดโต๊ะลงทะเบียนต่อจนเสร็จ บนโต๊ะพร้อมไปด้วยป้ายชื่อ ของที่ระลึก รวมทั้งตั้งแฟ้มเอกสารสำหรับแขกไว้ทางด้านข้าง
          ญาดามาพร้อม ๆ กับมิคกี้และนัตโตะก่อนเริ่มงานประมาณสิบนาที เมื่อรู้ว่ามีปัญหาเกิดขึ้นก็ไม่ค่อยพอใจเหมือนกัน แต่หล่อนไม่โทษโรงแรม กลับส่งค้อนไปให้ทีโมนกับด็อกเตอร์แฮร์มันน์ที่เดินมาด้วยกันหลังจากพวกหล่อนไม่กี่นาที
          “บอกแล้วว่าให้เลือกโรงแรมอื่นก็ยังจะเลือกโรงแรมนี้ แล้วเป็นยังไงล่ะ มีปัญหาขึ้นมาไม่เคยช่วยได้ มีแต่พวกเราวิ่งกันขาขวิด”
          หญิงสาวบ่นเสียงดัง กะว่าให้เข้าหูทั้งสองคน แต่ปฏิกิริยาของทั้งผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการเป็นอย่างที่หล่อนคาดคิดเอาไว้ นั่นคือนิ่ง ทำเหมือนไม่ได้ยิน รอเปิดงานอย่างเดียว
          “พี่หญ้า แขกทยอยมาแล้วครับ แต่ห้องยังไม่เรียบร้อยเลย” ข้าวโอ๊ตที่ยืนอยู่ที่โต๊ะลงทะเบียนกระซิบ
          “แขกลงชื่อเสร็จให้เชิญไปกินกาแฟก่อนเลย เดี๋ยวพี่ไปดูแลตรงนั้นเอง”
          “กาแฟก็ยังจัดไม่เสร็จครับ ออกมาหลังเวลาที่เราตกลงกับโรงแรมไว้ ออกัสโวยไปแล้วเมื่อกี้”
          “เวรกรรม ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ไปลุยอีกคน โอ๊ตดูแลตรงนี้ ถ้าไม่ไหว เอานัตโตะหรือมิคกี้มาช่วยแก้ขัดไปก่อน”
          ญาดาสั่ง แล้วเดินฉับ ๆ ไปทันที ข้าวโอ๊ตหันมาทักทายแขกและเชื้อเชิญให้ลงทะเบียนพร้อมกับขอนามบัตรของแต่ละคนเก็บไว้เพื่อเป็นข้อมูลผู้ติดต่อ
          งานนี้เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัย แขกที่เชิญจึงมาจากแวดวงของทหาร ตำรวจและเจ้าหน้าที่ของรัฐ บางกลุ่มมาด้วยชุดลำลองธรรมดา แต่บางกลุ่มก็ใส่เครื่องแบบเต็มยศ ชายหนุ่มไม่รู้จักใครที่เป็นแขกเพราะหน้าที่ของเขาไม่ต้องติดต่อกับใครหรือหน่วยงานไหนโดยตรง เขาจึงไม่รู้ว่าใครเป็นแขกพิเศษบ้าง และเอาเข้าจริง เขาก็จำหน้าใครไม่ได้เลยด้วย เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาหารายชื่อและหาป้ายชื่อส่งให้แขกให้เร็วที่สุดโดยไม่ให้แขกต้องรอ ปากก็พูดซ้ำ ๆ ว่า
          “ลงทะเบียนเสร็จแล้วเชิญรับกาแฟหรือชาที่ด้านโน้นก่อนนะครับ เชิญครับ”
          ไม่มีใครมาช่วยเขาที่โต๊ะ นัตโตะกับมิคกี้เข้าไปในห้องจัดงานกันแล้ว อ้างว่าต้องไปเตรียมตัวและเช็คไมโครโฟน ชายหนุ่มจึงหัวปั่น หยิบของที่ระลึก หยิบแฟ้ม หยิบป้ายชื่อมือเป็นระวิง แทบไม่ได้สังเกตว่ามีใครมาที่โต๊ะบ้างเพราะมัวแต่ก้มหน้าจนกระทั่งมีเสียงทักว่า
          “สวัสดีครับพี่โอ๊ต”
          ข้าวโอ๊ตเงยหน้าเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเอง
          “อ้าว น้องจั๊มป์ มาได้ไงครับเนี่ย”
          ร้อยตำรวจโทนวัชทำหน้าประหลาด ก่อนขอร้องเสียงอ่อยว่า
          “โห พี่ หน้าผมออกจะมาดแมนขนาดนี้ เรียกน้องจั๊มป์ จบเลยอะ ช่วยเรียกหมวดเฉย ๆ หรือเรียกไอ้จั๊มป์ไปเลยก็ได้ครับ”
          “ขอโทษที พี่ก็ติดเรียกตามพี่นุ่น ต้องหมวดจั๊มป์สิเนอะ”
          ข้าวโอ๊ตหัวเราะเบา ๆ มองหน้ารุ่นน้องคนรู้จักของเม็ดนุ่น นวัชมาจากจังหวัดเดียวกับเพื่อนของเขา อยู่โรงเรียนเดียวกัน ก่อนจะแยกกันตอนมัธยมปลาย เม็ดนุ่นเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมปลายที่ถือว่าเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ ส่วนนวัชเข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหาร ทั้งสองคนเจอกันอีกครั้งที่งานแข่งกีฬาระหว่างสองโรงเรียนที่จัดขึ้นทุกปีเป็นประเพณี แล้วเม็ดนุ่นก็แนะนำให้เขารู้จักรุ่นน้องของหล่อนในงานนั้น
          นวัชเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ หน้าตาคมเข้มชนิดเป็นพระเอกหนังพีเรียดประเภทรักชาติกู้แผ่นดินได้ แต่เม็ดนุ่นเรียกน้องจั๊มป์จนติดปากโดยไม่สนใจว่าเจ้าตัวจะโอดครวญอย่างไร
          “แล้วนี่มางานนี้ได้ยังไงครับเนี่ย ตอนนี้ทำงานอยู่หน่วยไหน”
          ข้าวโอ๊ตถาม มือเตรียมคุ้ยกระดาษรายชื่อสำหรับลงทะเบียน
          “ผมกำลังจะย้ายมาประจำท้องที่แถวออฟฟิศพี่โอ๊ตแล้วครับ ส่วนงานนี้ผมมาแทนเพื่อนน่ะ เพื่อนผมมันติดธุระพอดี แต่มันเกรงใจคุณหญ้า กลัวหัวหน้าด่าด้วยเลยขอร้องให้ผมมาฟังแทน ผมก็ว่างพอดี เห็นชื่อบริษัทมันคุ้น ๆ ว่าเป็นบริษัทพี่ คิดว่าน่าจะได้เจอพี่โอ๊ตเลยรับปาก”
          “งั้นเซ็นชื่อแทนเพื่อนไปเลยก็แล้วกันนะ”
          ข้าวโอ๊ตส่งกระดาษพร้อมปากกาให้ จากนั้นหยิบแฟ้มกับป้ายชื่อพร้อมของที่ระลึกส่งให้เป็นลำดับต่อไป ชายหนุ่มยังอยากคุยกับนวัชต่อเพราะไม่ได้เจอกันมานานแล้ว แต่มีแขกมาอีกกลุ่มใหญ่ เขาจึงได้แค่บอกกับรุ่นน้องว่า
          “ดีใจที่ได้เจอนะครับน้องจั๊มป์ ไว้เราค่อยคุยกันอีกทีนะ พี่ขอทำงานก่อน”
          “เรียกน้องจั๊มป์อีกแล้วอะพี่”
          ข้าวโอ๊ตยกมือขอโทษขอโพยรุ่นน้อง ก่อนจะหันไปหาแขกกลุ่มใหม่ที่เพิ่งเดินเข้ามาที่โต๊ะลงทะเบียน แล้วเมื่อเขาจัดการเสร็จเรียบร้อย หันมาอีกทีก็ไม่เจอนวัชแล้ว แต่เจอออกัสแทน ชายหนุ่มนั่งหน้าหงิกอยู่ที่เก้าอี้ตัวข้าง ๆ เมื่อเห็นเพื่อนมองมา เขาก็บ่นทันที
          “โรงแรมนี้เตรียมขึ้นแบล็คลิสต์ได้เลย จบงานนี้เจอจดหมายคอมเพลนแน่ ถ้านายกับทีโมนไม่เขียน เราจะเขียนเอง”
          “ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเหรอ” ข้าวโอ๊ตถามเรียบ ๆ เขามัวแต่ยุ่งกับงานลงทะเบียน ไม่มีเวลาสนใจเรื่องอื่นเลย
          “เรียบร้อยแล้ว พี่หญ้าไปร่วมด้วยช่วยโวยอีกคน ห้องเสร็จทันเวลาพอดี แขกรอชากับกาแฟไม่นานเท่าไหร่ อุปกรณ์อะไรก็เช็คเรียบร้อยไม่มีปัญหา พี่รุงซื้อดอกไม้กับพานมาแล้วด้วย พี่หญ้าเอาไปติดให้นาย ทีโมนกับแขกผู้ใหญ่แล้ว”
          ข้าวโอ๊ตดูนาฬิกาอีกครั้ง ตอนนี้เกือบหมดเวลาลงทะเบียนแล้ว แต่แขกก็ยังทยอยกันมาไม่ขาดระยะ
          “แขกมากันเกือบครบตามที่ลงทะเบียนไว้เลย มีมาเพิ่มด้วย แต่รวม ๆ แล้วก็น่าจะได้ที่แปดสิบคนนะ” ชายหนุ่มบอกเพื่อนหลังจากที่ลงทะเบียนแขกกลุ่มล่าสุดไปแล้วและยังไม่มีใครมาเพิ่มอีก
          “พอหมดเวลาลงทะเบียนแล้ว นายนับจำนวนแขกจากรายชื่อให้เราที เราจะให้พนักงานนับหัวแขกที่อยู่ในห้องด้วย จะได้บอกทางห้องอาหาร แต่เราการันตีไว้ที่หนึ่งร้อยคนแล้ว รวมพวกเรากับตัวแทนบริษัทของลูกค้าก็น่าจะไม่เกินนั้น”
          ออกัสบอก ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง
          “ว่าแต่ตะกี้คุยกับพ่อหนุ่มรูปหล่อกล้ามใหญ่ที่ไหนน่ะ เห็นแวบ ๆ ท่าทางสนิทสนม นายนี่ก็ไม่เบาเหมือนกันนา เห็นเงียบ ๆ แบบนี้” ชายหนุ่มกระแซะถาม
          “นั่นน้อง รุ่นน้องที่โรงเรียน เป็นตำรวจ ไม่ต้องมองแบบนั้นหรอก เมียน้องเขาท้องอยู่ สักแปดเดือนได้แล้วมั้ง ไม่นานก็คลอดออกมาเรียกเราว่าลุงแล้ว”
          ข้าวโอ๊ตดักคอ ทำเอาออกัสร้องว้าด้วยความเสียดาย แต่ก่อนจะลุกไปก็ยังทิ้งท้ายแบบแสบ ๆ ว่า
          “เมียท้องนี่แหละดี ผัวกำลังเปลี่ยวจิต เราก็เสียบแทนซะเลยไง หล่อ ๆ อย่างนี้โคตรเข้าตา”
          “ไอ้บ้า”
          ข้าวโอ๊ตพยายามไม่สนใจอารมณ์ขันแบบบ้า ๆ บอ ๆ ของเพื่อน เมื่อหมดเวลาลงทะเบียน ชายหนุ่มก็นับจำนวนแขกจากรายชื่อไปบอกออกัส จากนั้นก็เริ่มเคลียร์โต๊ะลงทะเบียน ของที่ไม่ใช้แล้วเก็บลงกล่องแพ็คอย่างเรียบร้อยเตรียมให้บำรุงขนกลับ ส่วนรายชื่อเก็บเอาไว้ที่ตัวเพราะต้องใช้ในการทำสรุปงานหลังจากกลับไปถึงออฟฟิศ
         

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
          งานเริ่มหลังเวลาที่ระบุไว้ในโปรแกรมไปราว ๆ สิบห้านาที นับว่ายังอยู่ในระดับที่พอรับได้ เมื่องานในห้องจัดงานเริ่มต้น ข้าวโอ๊ตก็ว่าง ชายหนุ่มเดินไปหยิบชาที่มุมกาแฟมานั่งดื่มอยู่คนเดียวที่โต๊ะลงทะเบียนนั่นเอง หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ออกัสที่ไปจัดการเรื่องอาหารว่างและอาหารกลางวันจนเสร็จเรียบร้อยก็ตามมานั่งด้วยกัน
          “ข้างในเป็นยังไงบ้าง เรามัวแต่อยู่ข้างนอก ไม่ได้เข้าไปดูเลย” ข้าวโอ๊ตได้โอกาสถาม
          “น่าจะเรียบร้อยดีนะ ไม่งั้นพี่หญ้าออกมาบ่นแล้ว มิคกี้วันนี้ดูดีเชียว พูดจาคล่อง จับคู่กับทีโมนก็เหมาะดี ส่วนนัตโตะ...” ออกัสเบะปากนิดหนึ่ง “มองสองคนบนเวทีเขม็งเชียว ท่าทางจะอิจฉา อยากขึ้นไปอยู่บนนั้นบ้าง”
          ข้าวโอ๊ตไม่อยากวิจารณ์เรื่องนัตโตะ เขามองเลยไปที่ประตูห้องจัดงานที่เปิดออกในตอนนั้น แล้วร่างเล็กสมส่วนของญาดาก็เดินออกมา
          “พี่หญ้า เป็นยังไงบ้างครับ” เขาถาม
          “ก็ดูดีอยู่นะ นายพูดเปิดงานจบไปแล้ว พูดนานมาก ตอนพี่ออกมา พรีเซ็นเทชั่นแนะนำบริษัทกำลังจะจบ ตอนนี้ลูกค้ากำลังเตรียมตัวจะนำเสนอผลิตภัณฑ์รักษาความปลอดภัยที่จะขาย เห็นที่หลังเวที ใส่ชุดดำแบบหน่วยสวาท ท่าทางจะเล่นละครเวที”
          ข้าวโอ๊ตกับออกัสฟังแล้วทำหน้าประหลาด ฝ่ายหลังพึมพำว่า
          “มิน่า ให้ล็อกเวลาห้องจัดงานให้ชั่วโมงหนึ่งเมื่อวานนี้ เอาไว้ซ้อมละครนี่เอง”
          “เหนื่อยชะมัด โชคดีนะเนี่ยที่ลูกค้าดูเข้าใจอะไรง่าย ไม่คอมเพลนอะไรมากตอนเจอว่าโรงแรมจัดอะไรให้ไม่เรียบร้อยสักอย่าง” ญาดาว่า
          “ตอนนี้ไม่คอมเพลน พอกลับประเทศไปแล้ว อาจจะส่งจดหมายคอมเพลนเข้าสำนักงานใหญ่ไปเลยก็ได้นะครับ”
          ข้าวโอ๊ตไม่อยากไว้ใจ เพราะเคยมีเคสแบบนี้มาแล้ว ด็อกเตอร์แฮร์มันน์บ่นเสียงดังออฟฟิศจะแตกอยู่หลายวันทีเดียว
          “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ตัวใครตัวมัน” ญาดาว่า ก่อนจะลุกไปที่มุมกาแฟเพื่อหาเครื่องดื่มให้ตัวเองบ้าง
          เมื่อเหลือกันอยู่ที่โต๊ะสองคน ข้าวโอ๊ตกับออกัสก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก เพราะอันที่จริง ทั้งสองคนก็มีเรื่องที่กินใจกันอยู่ ถึงแม้ว่าจะพูดกันแล้วในช่วงหลัง แต่ส่วนใหญ่ก็เรื่องงานหรือสอบถามเรื่องที่อยากรู้ เมื่ออยู่กันตามลำพังในบางครั้ง บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนก็กลับมาน่าอึดอัดอีกครั้ง
          ออกัสไม่ใช่คนที่นิ่งเงียบได้อย่างข้าวโอ๊ต หลายครั้งที่เขาอยากจะเคลียร์ แต่ก็มักมีเหตุมาขัดอยู่ได้ตลอด ครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อเขาขยับจะพูด โทรศัพท์ของข้าวโอ๊ตก็ดังขึ้นเสียก่อน ชายหนุ่มปล่อยให้ข้าวโอ๊ตรับ เขาสังเกตเห็นเพื่อนมีสีหน้ายุ่ง ๆ
          “ใครโทรมา ที่ออฟฟิศเหรอ” ออกัสถาม เพราะได้ยินเพื่อนคุยเป็นภาษาเยอรมัน
          ข้าวโอ๊ตพยักหน้า
          “คาริน่า โทรมาถามว่าเสร็จงานรึยัง สั่งให้เรากับนายรีบกลับด้วย แต่เราบอกว่าขอถามพี่หญ้าก่อนว่ายังมีงานอีกไหม ถ้ามีก็จะต้องอยู่ต่อ”
          “โอ๊ย แม่นี่กัดไม่เลิกเลยจริง ๆ พูดจาไม่รู้เรื่อง” ออกัสร้อง แล้วเมื่อญาดาเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมถ้วยกาแฟในมือ เขาก็จัดแจงฟ้องทันที ญาดาฟังแล้วทำหน้าเซ็ง ก่อนจะสั่งเสียงเฉียบขาดว่า
          “ไม่ต้องสนใจ โทรมาอีกก็ไม่ต้องรับ ถ้ายายเจ๊ถามก็บอกว่ายุ่ง ไม่มีเวลารับโทรศัพท์สายที่ไม่สำคัญ เอาตามนี้แหละ”
          ออกัสไม่มีปัญหา ส่วนข้าวโอ๊ตมองญาดาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปนิดหน่อย ดูญาดาตอนนี้เป็นพี่ใหญ่ที่พึ่งได้ขึ้นมาทันที และเมื่อเป็นอย่างนี้ เขาก็สามารถอ้างชื่อญาดาได้ ถ้าคาริน่าจะเอาเรื่องเขา อย่างน้อย เขาก็ไม่โดนระเบิดลงข้อหากระด้างกระเดื่องอยู่คนเดียวเหมือนที่ผ่านมา
          ข้าวโอ๊ตยังมีเรื่องที่อยู่ในใจ ชายหนุ่มใคร่ครวญอยู่หลายครั้งว่าจะพูดดีไหม คิดแล้วคิดอีก ใจเอนเอียงไปในทางไม่อยากจะพูด แต่เมื่อได้เห็นญาดาแบบนี้ เขาก็ตัดสินใจจะพูด อย่างน้อยเขาก็อยากจะลองดูสักครั้งหนึ่ง
          “พี่หญ้าครับ เรื่องทุนไปอบรมที่มิวนิกน่ะ ผมอยากขอให้พี่พิจารณาผมด้วยอีกคนหนึ่ง”
          ญาดาหันมามอง เช่นเดียวกับออกัส แล้วฝ่ายแรกก็ขมวดคิ้ว ตอบว่า
          “แต่ฝรั่งเขาตกลงกันแล้วนะโอ๊ต พี่ว่าน่าจะยาก”
          “พี่หญ้าช่วยพูดให้ผมสักครั้งไม่ได้เหรอครับ อย่างน้อยก็ช่วยพิจารณาให้ผมเป็นแคนดิเดตด้วยอีกคน จะได้หรือไม่ได้ทุนก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่นี่ผมไม่ได้เป็นแม้แต่แคนดิเดต มีผมคนเดียวถูกตัดออกไปเลย บอกตรง ๆ ว่าผมไม่ชอบใจเลยจริง ๆ ผมก็ทำงานในออฟฟิศนี้เหมือนกันนะครับ”
          “พี่เข้าใจนะโอ๊ต แต่เธอก็ต้องเข้าใจด้วยว่างานของเธอคือแอดมิน เป็นฝ่ายสนับสนุน เป็นแบ็กออฟฟิศ งานนี้เขาจะเอาการตลาด เธอถึงไม่ได้รับเลือก”
          “แต่ออกัสก็ยังได้เป็นแคนดิเดตเลยนะครับ งานของเขาก็แบ็กออฟฟิศเหมือนกัน”
          ข้าวโอ๊ตอ้าง
          “กัสทำงานมานานกว่าทุกคน”
          “แต่งานของเขาก็ไม่ใช่งานของการตลาด เขาเหมือนกับผม แสดงว่าถ้าทางเราอยากจะส่งใครไปก็ส่งไปได้ พี่หญ้าครับ ผมทำงานที่นี่มาห้าปีกว่า นานไม่เท่าออกัสก็จริง แต่ก็นานเหมือนกัน ผมควรจะได้รับการพิจารณาบ้าง”
          “พี่พูดเรื่องนี้แล้วเหมือนกันนะโอ๊ต แต่ฝรั่งมันไม่ฟังเลย พี่ก็ไม่รู้จะทำยังไงดีเหมือนกัน อำนาจตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่พี่ เธอก็รู้”
          “ลองอีกครั้งได้ไหมครับ” ข้าวโอ๊ตขอร้อง “ผมรู้ว่าถึงผมพูดเอง พวกนั้นก็ไม่ฟัง ผมไม่ใช่คนโปรด ไม่ใช่คนที่อยู่ในสายตาใคร แต่ผมก็ทำงาน โอเค มันอาจไม่ดีนัก ผมไม่ใช่คนเก่ง ผมทำงานผิดพลาด อย่างเรื่อง vacation club นั่น ผมก็เสียใจ ไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้นอีก แต่เขาก็ไม่ให้โอกาสผมได้แก้ตัว ผมถึงต้องขอร้องพี่ พวกฝรั่งยังฟังพี่”
          ญาดามีสีหน้ายุ่งยากใจ ออกัสก็ไม่สบายใจเพราะมีเขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
          “เราเห็นด้วยกับพี่หญ้านะโอ๊ต พูดไปก็ไม่ฟังกันหรอก ยิ่งหลังจากเราไม่ยอมเข้าไปกินข้าวด้วย ไหนจะดื้อไม่ยอมกลับออฟฟิศอีก พูดไปก็เสียเวลา เสียอารมณ์เปล่าด้วย”
          เขาพยายามจะช่วยพูด แต่ดูเหมือนจะเป็นการราดน้ำมันเข้ากองไฟมากกว่า เพราะข้าวโอ๊ตทำหน้าเครียดใส่เขาทันที
          “นายพูดได้เพราะนายได้เป็นแคนดิเดตไปแล้ว นายไม่เข้าใจหรอกว่าเรารู้สึกยังไง นายจะพูดยังไงก็ได้ นายทำงานเก่ง อีทีโมนมันยังชมนายข่มทับเรา ด็อกเตอร์แฮร์มันน์กับอีเจ๊ก็ไม่กล้าล้งเล้งใส่นายมากเพราะต้องพึ่งนายเรื่องจิปาถะมากกว่าใครในออฟฟิศ อยากจะได้อะไรคุณกัสหาให้ได้ทุกอย่าง ไม่มีใครกล้าทำอะไรนาย นายหยุดงานไปไหน ทิ้งงานให้เราทำต่อ แล้วก็เป็นเราที่ต้องรองรับอารมณ์อีพวกนั้น เราไม่เคยบ่น แต่พอถึงตอนนี้ เรากลับเป็นคนเดียวที่โดนตัดทิ้งไป มันควรแล้วเหรอ”
          ข้าวโอ๊ตไม่รู้ตัวว่าเสียงของตัวเองดังขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเขากำลังระบายสิ่งที่สั่งสมอยู่ข้างในออกมา อันที่จริงเขาอยากจะระเบิดมันออกมาเลยด้วยซ้ำ ให้สมกับที่อัดอั้นตันใจมานาน
          ออกัสฟังแล้วไม่พอใจที่ถูกกล่าวหาและเสียงของเขาก็ดังไม่แพ้กัน
          “แล้วการที่เราทำงานเก่งมันเป็นความผิดเรางั้นเหรอ นายทำงานไม่ดี นายก็สมควรพิจารณาตัวเอง ไม่ใช่เอามาลงที่คนอื่น แล้วนายกล้าพูดได้ยังไงว่าไม่มีใครทำอะไรเราได้ นายไม่รู้อะไรแท้ ๆ ไม่รู้อะไรเลย!”
          ชายหนุ่มกัดริมฝีปากแน่นเมื่อนึกถึงคำขู่ของทีโมน ที่เขาเหวี่ยงวีนโรงแรมจะแตกไม่ใช่เพราะเรื่องโรงแรมทำงานไม่เรียบร้อยอย่างเดียวหรอก แต่เขาทำเพื่อระบายความเครียดเรื่องที่โดนข่มขู่ด้วยต่างหาก อีทีโมนมันจะเอาคำตอบวันนี้แล้ว แต่เขายังไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้เลย
          เขาอึดอัดอกแทบจะระเบิดอยู่แล้ว มีใครรู้บ้าง!
          ข้าวโอ๊ตกับออกัสจ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
          ญาดาตบโต๊ะอย่างแรงจนถ้วยกาแฟบนโต๊ะสั่น
          “พอได้แล้วทั้งสองคน!” หล่อนตวาด “จะมาเถียงกันให้ได้อะไรขึ้นมา เรื่องไม่เป็นเรื่องทั้งนั้น” แล้วหล่อนก็หันไปพูดกับข้าวโอ๊ตอย่างหนักแน่นว่า
          “พี่เข้าใจว่าเธอหวังเรื่องนี้เหมือนคนอื่น แต่พี่พูดให้ไม่ได้ ประเด็นนี้เขาตกลงกันได้เรียบร้อยแล้ว ถึงพี่พูด พวกเขาก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจ ดังนั้นเรื่องนี้ขอให้จบนะโอ๊ต รอเอาไว้ครั้งหน้า มันยังมีมาอีก ถ้ามีหัวข้อที่เข้ากับงานของเธอ เธอก็อาจจะได้ไป”
          ข้าวโอ๊ตอยากจะกรีดร้อง สุดท้ายก็แค่นี้ กับคำว่า “อาจจะ” มันเลื่อนลอยจับต้องไม่ได้ยิ่งกว่าหมอกควัน ชายหนุ่มรู้สึกว่าในหัวใจของเขามีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอีกครั้ง คราวนี้มันแตกต่างออกไปจากเดิม มันขยับตัวอย่างรวดเร็ว พุ่งชนตรงโน้นตรงนี้ไม่ยอมหยุด และกัดฉีกข้างในหัวใจของเขาจนเหวอะหวะ
          ถึงตอนนี้ ชายหนุ่มไม่มีรอยยิ้มอีกแล้ว
          ประตูห้องจัดงานเปิดออกราวกับรู้จังหวะ มิคกี้เดินออกมาด้วยท่าทางที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ชายหนุ่มไม่รู้สึกถึงบรรยากาศอันน่าอึดอัดรอบตัว เขาเปิดยิ้มไร้เดียงสาทักทายทุกคน
          “มาอยู่ที่นี่กันเองเหรอครับ”
          “ไม่ต้องอยู่ข้างในเหรอมิคกี้” ญาดาถาม
          “ทีโมนให้ผมพักได้ครับ ตอนนี้เขากำลังแสดงละครแนะนำผลิตภัณฑ์กันอยู่ จบจากนี่ก็พักคอฟฟี่เบรกแล้ว เขาว่าเขาดูแลคนเดียวได้”
          มิคกี้ตอบ ก่อนจะบ่นว่า
          “เหนื่อยจัง ยืนตลอดเลย งานพิธีกรนี่ไม่ง่ายจริง ๆ โชคดีนะที่วันศุกร์ผมหยุด จะได้พักสามวัน ค่อยสบายหน่อย”
          “จะไปไหนล่ะ” ญาดาถามเพื่อต่อบทสนทนา แต่ไม่ได้สนใจใคร่รู้จริงจังนัก
          “ทะเลครับ ผมภาวนาให้ฝนไม่ตก จะได้เล่นน้ำทะเลบ้าง ไม่งั้นก็ได้อยู่แต่ในโรงแรมแน่ ๆ”
          มิคกี้เล่า ก่อนจะเป็นฝ่ายถามบ้างว่า
          “แล้วพวกพี่ ๆ ล่ะครับ เสาร์อาทิตย์จะไปเที่ยวไหนกันรึเปล่า”
          ข้าวโอ๊ตไม่มีอารมณ์อยากจะพูดจาเจ๊าะแจ๊ะกับใครในตอนนี้ เขาหันหน้าหนีอย่างจงใจ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเพื่อกันไม่ให้ใครมายุ่งกับเขา ออกัสก็ลุกขึ้นยืนหน้าบึ้ง บอกห้วน ๆ ว่า
          “ผมจะไปดูว่าเขาเตรียมคอฟฟี่เบรกเรียบร้อยรึเปล่า ขนมออกมาหมดแล้วรึยัง”
          พูดจบก็เดินฉับ ๆ ไปโดยไม่มองหน้าใคร มิคกี้มองคนโน้นคนนี้ที แล้วหันมามองหน้าญาดาด้วยความไม่เข้าใจ หญิงสาวถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม ก่อนจะตัดบทว่า
          “เอาไว้ค่อยคุยกันเถอะ พี่จะเข้าไปในห้องจัดงาน มิคกี้เข้าไปกับพี่ไหม หรือจะนั่งพักอยู่ตรงนี้ก็ได้ ตามใจ”

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เห้ออออออ ใกล้ถึงจุดแตกหักแล้วรึเปล่านะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด