8
คืนคนเมา
กี่วันแล้ว ที่ราชวุฒิต้องเดินในโรงเรียนท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมาพร้อมกับเสียงซุบซิบนินทากันหนาหู เพราะมีมือดีปล่อยคลิปที่เขาเข้าบ้านไปกับชายแปลกหน้ากลางดึกกลางดื่น
บ้างก็ว่าเขามีคนคอยเลี้ยงบ้างล่ะ บ้างก็ว่าเมื่อดูจากสภาพเขาน่าจะถูกมอมแล้วแบล็คเมล์ บ้างก็ว่าเขารู้เห็นเป็นใจ ซึ่งแท้จริงเรื่องราวเป็นอย่างไรคงไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขากับคนอีกคนในคลิปนั้น แต่คนอย่างราชวุฒิมีหรือจะสนใจในสายตาและเสียงนกกาเหล่านั้น ในส่วนของผลกระทบที่มีต่อชื่อเสียงของโรงเรียนนั้น เขาได้อธิบายความจริงทุกอย่างไปหมดแล้วในห้องปกครอง อยู่ที่ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเชื่อคำพูดของเด็กผู้ชายอย่างเขาหรือไม่
แม้ภายนอกจะดูเข้มแข็งและไม่แคร์สิ่งที่มากวนจิตใจเหล่านั้นเลยก็ตาม แต่ภายในใจลึกๆ ก็อดไม่ได้ที่จะอ่อนไหวไปกับมัน เขาไม่ได้ห่วงชื่อเสียงตัวเอง แต่สิ่งเดียวที่เขากลัวคือ กลัวว่าธันธเนศจะรังเกียจเขาไปตลอดกาล
หลังโรงเรียนเลิก เด็กหนุ่มนั่งเงียบๆ อยู่ริมทางเดินภายในโรงเรียน ถอนหายใจแล้วหายใจอีก ในหัวมีเรื่องราววุ่นวายเต็มไปหมด ไม่นานนักมืออุ่นของใครบางคนก็สัมผัสเข้าที่ไหล่เขาเบาๆ
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่เป็นถึงคฑากรของโรงเรียนชายล้วนแห่งนี้ หย่อนกายนั่งลงข้างๆ เขา
“ยอห์นอยู่ข้างตี๋เสมอนะ”
เด็กหนุ่มหน้าตาอมทุกข์หันไปมองคนที่เพิ่งมานั่งลงข้างๆ ใบหน้าหวานที่คุ้นเคย
แม้จะดูอ่อนโยนน่าทะนุถนอม แต่ลักษินันท์ไม่ใช่ผู้ชายตุ้งติ้ง และไม่อ่อนแอ ที่เขาได้มาเป็นคฑากรชายของโรงเรียนก็เพราะโดนบังคับและเขาไม่ใช่คนปฏิเสธใครเป็น และที่สำคัญ ลักษินันท์คือนักกีฬาว่ายน้ำที่เก่งกาจที่สุดของโรงเรียนที่สาวๆ ต่างก็ใฝ่ฝันอยากจะได้มาครอบครอง
“วันนี้ไม่ซ้อมเหรอ” ใบหน้าเซื่องซึมเอ่ยถาม
“ซ้อมเสร็จแล้ว ว่าแต่ตี๋เถอะ ทำไมยังนั่งอยู่ตรงนี้ โรงเรียนก็เลิกนานแล้วนะ”
“ก็ไม่รู้จะไปไหน”
“คาราเต้ไง”
“เราไม่มีอารมณ์ซ้อมอ่ะ ยังไง
เขาก็ไม่มาอยู่ดี”
ลักษินันท์รู้ดีว่าราชวุฒิมีใครอยู่ในใจอยู่แล้วที่ไม่ใช่
เขา คนที่นั่งอยู่ตรงนี้
ลักษินันท์ข่มบางอย่างไว้ในใจ ก่อนจะเอ่ยถามบางอย่างออกมาเสียงเบา “เขาที่ตี๋พูดถึงคือพี่คนที่อยู่ใน...” เด็กหนุ่มหน้าใสพยายามจะไม่พูดถึงสิ่งที่กำลังทำให้อีกฝ่ายมีปัญหาอยู่ในตอนนี้ “...ช่างมันเถอะ”
“เรื่องคลิปนั่น ยอห์นคิดว่าไง เพื่อนยอห์นพูดว่าอะไรกันบ้าง”
“ยอห์นไม่ได้สนใจหรอกยอห์นหรอก แต่ได้ฟังที่เพื่อนของตี๋พูดกันแล้วด้วย เราเชื่อว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นๆ ที่ไม่รู้อะไรเลยพูดกัน”
“อืม แต่ก็แปลกดีนะ ดึกขนาดนั้นไม่น่าจะมีคนเดินผ่านหน้าบ้านเราแล้วด้วยซ้ำ” ราชวุฒิออกความเห็นสีหน้าเรียบเฉย
ผู้ฟังก้มหน้านิ่ง เขารู้ดีว่าคลิปนั่นเป็นฝีมือใคร และเขาก็คิดว่าราชวุฒิน่าจะรู้ดีเช่นกันว่าเป็นฝีมือใคร
“ป่ะ” ร่างสูงลุกขึ้น ยื่นมือมารอคนที่นั่งอยู่
“ตี๋จะไปไหน”
“ไปกินข้าวกัน”
ลักษินันท์เงยมองท่าทีที่ดูอ่อนโยนต่อเขามากขึ้นแบบไม่เคยเป็นมาก่อน จนแทบไม่อยากเชื่อหูเชื่อตาตัวเอง เขายื่นมือมาจับมือหนาที่รออยู่นั้น ก่อนจะลุกขึ้นตามแรงดึง
ตั้งแต่คืนนั้น นี่ก็เป็นเวลานับเดือนแล้วที่ราชวุฒิไม่เจอหน้าธันธเนศเลย ติดต่อก็ไม่ได้ ไปรอพบที่หน้าบริษัทหรือที่โรงเรียนคาราเต้ก็ไม่เคยได้เจอ ราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามหนีหน้าเขาอยู่
“ฮัลโหลธัน วันนี้มึงจะมาซ้อมเปล่าเนี่ย”
“คงไม่ไปอ่ะ เหนื่อยๆ”“ธัน นี่เป็นเดือนแล้วนะเว้ยที่มึงไม่โผล่หน้ามาเลย ไม่ซ้อมไม่เป็นไร แต่มึงเล่นหายไปเลย”
“โทษที ช่วงนี้กูยุ่งๆ”“มึงยุ่งจริงเหรอ แน่ใจว่ามึงไม่ได้กำลังหลบหน้าใครอยู่”
“ไร้สาระน่า กูจะหลบหน้าใคร”“หึ แล้วทำไมมึงไม่รับโทรศัพท์น้องเขา ไปหามึงที่บริษัทก็ไม่เคยเจอ”
“ก็กูบอกแล้วไงว่ากูยุ่งๆ ถ้ามันรอไม่ได้ก็ไม่ต้องรอดิ”คนต้นสายหันไปมองเด็กหนุ่มที่นั่งห้อยขาหน้ามุ่ยอยู่บนโต๊ะวางอุปกรณ์ หลับตาปริบๆ สีหน้าเศร้าสร้อย
“ธัน มึงโกรธอะไรน้องเขา” คนต้นสายเสียงแผ่วลง ก่อนจะเดินห่างออกมา “มีอะไรทำไมไม่พูดกันดีๆ ปกติมึงไม่ใช่คนแบบนี้นี่ มีเหตุผลหน่อย สงสารน้องมัน จะไม่ซ้อมให้น้องมันแล้วก็บอกดีๆ”
ปลายสายยังคงนิ่งเงียบ
“ธัน มึงฟังกูอยู่หรือเปล่า”
เจนจพถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างหมดหนทาง เขาคบกับธันธเนศมานานพอจะรู้ดีว่าอะไรเป็นยังไง นิสัยเพื่อนคนนี้เป็นอย่างไร เขาจำใจกดวาง พ่ายแพ้ต่อความเย็นชาของอีกฝ่ายในที่สุด
ธันธเนศนั่งเงียบๆ อยู่หน้าบาร์แห่งหนึ่งในค่ำคืนที่เงียบงัน แสงไฟสีส้มสาดแสงอ่อนๆ ไปทั่วบริเวณ เสียงเพลงเบาคลอเคล้าอารมณ์ที่กำลังครุกรุ่นอยู่ในใจ
ในช่วงแรกค่ำคืนที่คนบางตา ธันธเนศยกเครื่องดื่มสีทองในแก้วขึ้นกระดกครั้งแล้วครั้งเล่า บุหรี่ราคาแพงถูกดึงออกมาจากตลับของมัน หลังจากที่อยู่ในนั้นมานานแสนนาน ซึ่งผู้เป็นเจ้าของจะถามหามันก็ต่อเมื่อมีเรื่องไม่สบายใจเท่านั้น เช่นเดียวกับเครื่องดื่มย้อมใจเหล่านั้น ที่นานๆ ทีจะได้สัมผัสกับริมฝีปากบางคู่นี้
ไม่นานนักชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเขาสามคนก็เดินเข้ามาในร้าน
หนุ่มร่างท้วมสะกิดเพื่อนที่เดินตามมาติดๆ ซึ่งมัวแต่สนทนากันอย่างออกรสออกชาติจึงไม่ได้เห็นในสิ่งที่เขาเห็น
การสนทนาหยุดลงในแทบจะทันที
“ไอ้ธัน” หนึ่งในนั้นอุทานขึ้นเบาๆ ขณะที่ตายังคงจดจ้องอยู่ที่ชายหน้าบาร์คนนั้น บางอย่างทำให้เขาไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
“เห้ย” มือหนาผลักเข้าที่ไหล่ของคนที่นั่งอยู่เบาๆ เขาหันมามองเพื่อนทั้งสามที่ส่งยิ้มให้เฉกเช่นทุกครั้งที่พบหน้ากัน
“มึงเปลี่ยวอะไร มานั่งแดกเหล้าคนเดียว” เจนจพพูดขึ้นขณะหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ตัวสูงข้างๆ
บุหรี่ที่กำลังหมดลงถูกจี้ลงบนที่เขี่ยบุหรี่ที่วางอยู่ใกล้ๆ
“เปล่า” เขาตอบ
“อย่ามาโกหกพวกกู ธันธเนศที่แสนดี ตอนนี้ทำตัวไม่ต่างกับคนอมทุกข์ที่หันหน้าเข้าหาน้ำเมาเป็นที่พึ่ง” เจนจพประชดประชัน
ใบหน้าเบื่อโลกยังคงไม่มองหน้าเขา
“ไม่เอาน่า พวกกูดีใจนะที่เจอมึงวันนี้ ไม่ได้เที่ยวด้วยกันนานแล้ว ชวนทีไรมึงก็บอกแต่ว่าไม่ว่าง” คนที่นั่งอยู่ข้างๆ เสริม
“เดี๋ยวกูสั่งเหล้า ไปนั่งโต๊ะตรงโน้นกัน กูจองไว้”
“เดี๋ยวกูก็กลับแล้วล่ะ” สีหน้าเรียบเฉยตอบ
“มึงจะทำตัวห่างเหินพวกกูเกินไปแล้วนะ” อณวุฒิเสริมพลางลูบแขนเพื่อนป้อยๆ
“น่านะ สักคืน อยู่ดื่มด้วยกันก่อน มีเรื่องไรไม่สบายใจก็มาระบายให้พวกกูฟังก็ได้นี่หว่า” เจนจพเสริม
สีหน้าซังกะตายผ่อนลมหายใจอย่างเสียไม่ได้ หลังโดนเพื่อนสนิทคะยั้นคะยอ
ในบาร์ที่คนเริ่มหนาตา แสงไฟเริ่มสลัวลงสวนทางกับเสียงเพลงที่ดังและเร้าใจขึ้น
“หายหน้าหายตาไปเลยนะธัน” อากิระ หรือเอก รุ่นพี่หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่น ผู้สืบทอดโรงเรียนสอนคาราเต้ต่อจากผู้เป็นพ่อ และเขายังเป็นเพื่อนกับธันธเนศตั้งแต่วัยเด็กอีกด้วย เช่นเดียวกับเจนจพและอณวุฒิ
“อืม เพิ่งเปลี่ยนงานน่ะ”
“ห๊า!!!”สามเพื่อนหนุ่มประสานเสียงอุทานขึ้นพร้อมกัน อณวุฒิถึงขั้นสำลักน้ำเมาที่กำลังรินเข้าปาก
“นี่มึงยังอยู่โลกเดียวกับกูปะเนี่ยธัน ทำไมอะไรๆ เกิดขึ้นกับชีวิตมึง พวกกูไม่เคยรับรู้เลย” เจนจพเอ่ยถามสีหน้าเป็นห่วง
“ก็อยากให้มันเป็นไปเงียบๆ น่ะ พอดีมีปัญหานิดหน่อย”
“ปัญหาอะไร บอกพวกกูบ้างก็ได้ อย่าเก็บไว้คนเดียว เผื่อพวกกูช่วยได้”
ผู้ฟังก้มหน้ามองต่ำ ก่อนจะผ่อนลมหายใจ
“พี่กล้าตามหากูเจอแล้ว”
“ห๊า!!!!!”การประสานเสียงอุทานดังขึ้นเป็นรอบที่สอง คราวนี้ดังจนโต๊ะข้างๆ ต่างก็หันมามองกันเลิ่กลั่ก
เมื่อรู้ตัวว่ากำลังทำลายบรรยากาศ ทั้งสามได้แต่ก้มตัวลงต่ำเข้าหาผู้เล่าเรื่อง เพื่อที่การสนทนาจะได้เบาลง
“ไอ้สารเลวนั่นน่ะนะ” เจนจพถามขึ้น
“มันยังไม่เลิกราวีมึงอีกเหรอวะ” อณวุฒิเสริม
“อือ... เขาไปดักรอกูที่ทำงาน ทำตัวน่ากลัวขึ้นกว่าเดิมอีก นี่แหละเป็นสาเหตุให้กูต้องเปลี่ยนงานทันที”
“แล้วเมียมันรู้ไหมว่าผัวมันทำตัวแบบนี้”
“ถ้ารู้มันจะเป็นแบบนี้ไหมล่ะ แต่อีกไม่นานคงจะรู้ หูตามันยิ่งกว่าสับปะรด กูเลยต้องรีบเปลี่ยนงานหนี ก่อนจะเลวร้ายไปมากกว่านี้”
“ชีวิตมึงนี่มันจริงๆ เลย เหี้ยสุดๆ” อากิระที่นั่งฟังอยู่นานพูดขึ้น ก่อนจะยกเหล้าในแก้วขึ้นดื่ม
“เออจริง แต่คนที่เหี้ยคือไอ้บ้านั่น ใครพวกกูบอกเด็กดักเล่นแม่งดีไหม” อณวุฒิออกความเห็น
“ช่างแม่งเถอะ พวกมึงอย่าเอามือไปเปื้อนเลือดสกปรกของคนอย่างนั้นเลย อีกอย่างกูไม่อยากให้หลานกูกำพร้าพ่อ”
“แล้วตอนนี้มึงทำงานที่ไหน อะไร ยังไง” เจนจพถาม
“กูทำนิตยสารท่องเที่ยวอยู่น่ะ”
“ดูท่ามึงจะชอบทางวารสารฯเหลือเกินนะ ทิ้งไม่ลงเลย”
“อืม อันที่จริงที่ไหนก็ได้ ที่กูจะอยู่ได้โดยไม่ว่างงาน ระหว่างกูหนีจากคนๆ นั้น”
“เห้ออออ ขวัญเอ๊ยขวัญมา เรื่องนี้รู้แล้วเหยียบเลยนะพี่เอก ไอ้กล้วย เพื่อความปลอดภัยของตัวเพื่อนมึง”
“ได้ เดี๋ยวกูเหยียบให้กระจายเลย” หนุ่มร่างท้วมเย้าหยอก
“กระจายพ่อมึงสิ เดี๋ยวกูโบก” เจนจพพูดพลางออกท่า
เวลาล่วงเลยเที่ยงคืนมานานแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมงฟ้าก็คงสว่าง เมื่อเมาได้ที่ ต่างฝ่ายก็ต่างร่ำลากันเพื่อแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน
“มึงแน่ใจนะธันว่าไม่ให้พวกกูไปส่ง”
“ส่งเหี้ยไร กูไม่ใช่เด็กอนุบาล”
“แต่มึงเมา”
“ไหนใครเมา กูจะเดินตามเส้นขาวนี้ให้ดู” เจ้าของใบหน้าแดงก่ำชี้นิ้วไปยังเส้นขาวบนขอบถนนบริเวณหน้าร้าน
สามหนุ่มยืนมองคนที่มีน้ำเสียงอ้อแอ้บ่งบอกว่าเพื่อนหนุ่มจริงๆ แล้วไม่ได้เก่งเหมือนปาก
“ก็เนี่ย พวกกูเห็นอยู่ว่ามึงเมา”
“ไม่มาววววว”
อากิระส่ายหัว “เดี๋ยวกูไปส่งแม่งเองก็ได้”
“พี่เอกไม่ต้องหรอก เดี๋ยวผมกับไอ้กล้วยไปส่งมันเอง พี่กลับเถอะ กลับไหวใช่ไหม”
“ไหวดิ กูไม่ใช่ไอ้ธันนะ”
“ได้ยินนะว่านินทา ผมบอกแล้วไงว่าไม่ได้เมา”
“เออ มึงไม่เมาก็ไม่เมา” กล้วยเดินตรงไปพยุงร่างที่โงนเงนจะล้มแหลมิล้มแหล่ ขณะเดินเตาะแตะไปตามเส้นขาวบนขอบถนนนั้น
“อ้าวพี่ๆ สวัสดีครับ” หนุ่มร่างสูงที่เพิ่งจะเดินออกมาจากผับที่อยู่ข้างกันกับเพื่อนหนุ่มสาวอีกประมาณหนึ่งกล่าวทักทายพวกเขาพร้อมกับยกมือไหว้ป้อยๆ “บังเอิญจังเลยนะครับ”
“เออๆ ไหว้พระไอ้น้อง ว่าแต่เอ็งจำพวกพี่ได้ด้วยเหรอ” เจนจพทักทายตอบ
“จำได้ดิพี่ โดยเฉพาะ...” สายตาคมหรี่มองร่างบางที่อยู่ภายใต้การควบคุมของอณวุฒิ ผู้เป็นเสาหลักพยุงคนเมาที่อีกไม่นานก็คงเลื้อย “หนักเลย”
“เออ หนัก กูเนี่ยหนัก ไปกันยังวะแจ้” แม้จะตัวหนากว่าธันธเนศเป็นไหนๆ แต่ความไร้กระดูกของเอีกฝ่ายก็ทำให้อณวุฒิเริ่มจะประคับประคองไว้ไม่ไหวเหมือนกัน
“เออๆ ปะๆ” แจ้ทำท่าล้วงหากุญแจรถ
“เดี๋ยวพี่ ให้พี่ธันเขากลับกับผมแล้วกัน ผมเอารถมา แถมห้องอยู่ตรงข้ามกันด้วย จะได้ไม่ลำบากพวกพี่ๆ”
“เห่ย จะดีเหรอ” สามหนุ่มทำท่าลังเล หลังจากที่พอจะรู้ว่าเพื่อนหัวแก้วหัวแหวนของเขาไม่กินเส้นกับอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก
“เอาน่าพี่ ผมกับพี่เขารู้จักกันดีแล้ว เดี๋ยวนี้คุยกันบ่อย พวกพี่ๆ รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”
“แต่เพื่อนพี่เมาแล้วเรื้อนมากเลยนะ น้องจะรับมือไหวเหรอ” เจนจพยังมิวายบ่ายเบี่ยง
“โอยพี่ ผมเจอมาแล้วทุกรูปแบบ เพื่อนผมเวลาเมาก็ไม่ธรรมดาทั้งนั้น ดูอย่าง...” ทุกสายตาหันไปมองยังสาวสวยที่กำลังให้ปุ๋ยต้นไม้อยู่ใกล้ๆ พร้อมกับเพื่อนอีกคนที่คอยลูบหลังให้อย่างสุดความสามารถ
สามหนุ่มรุ่นพี่พยักหน้ารับโงนๆ เมื่อเห็นดังนั้น
“พวกมึง กูกลับแล้วนะ กลับกันดีๆ” ธันวาหันไปร่ำลาเพื่อนๆ ที่ยืนกระจายตัวอยู่บริเวณหน้าร้าน บ้างดูดบุหรี่ บ้างคุยกับคนถูกใจพี่เพิ่งพบในค่ำคืนแห่งความสนุกนี้ บ้างก็บริจาคอาหารเย็นต่อให้ต้นไม้ ให้สุนัขจรจัดแถวๆ นั้น
ร่างของหนุ่มที่อ่อนปวกเปียกเหมือนผักลวกถูกทิ้งลงบนเบาะข้างคนขับโดยสองเพื่อน ก่อนจะประตูจะปิดลง
“ฝากด้วยนะไอ้หนุ่ม ดูเพื่อนพี่ดีๆ นะ ไม่งั้นเรื่องยาว” เพื่อนร่างท้วมของคนเมาสั่ง
“ครับผม”
สายตาเป็นห่วงเป็นใยทั้งสามคู่ยืนมองรถคันดังกล่าวขับออกไปจนลับตา ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าง
รถจอดลงในลานจอดของคอนโดที่ทั้งสองอาศัยอยู่ ธันวาหันไปมองร่างที่นอนสลบเหมือดอยู่ข้างเขา ก่อนจะส่ายหัวอย่างเอ็นดู
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบหน้าธันธเนศหลังจากที่เขาต้องใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการพาเด็กในสังกัดไปเก็บตัวซ้อมก่อนลงแข่งแมตช์ใหญ่ จนกระทั่งพาทีมไปแข่งเทควันโดที่ต่างจังหวัดอยู่นานหลายวัน
ร่างสูงเปิดประตูฝั่งโดยสารออก ก่อนจะยืนเท้าเอวมองร่างที่แน่นิ่งอยู่ตรงหน้า ใบหน้าหล่อเหล่าส่ายหัวก่อนจะยิ้มน้อยๆ ออกมา
เมื่อพยุงร่างที่อ่อนปวกเปียกมาถึงหน้าห้อง เขาก็เพิ่งนึกได้ว่าต้องมีกุญแจห้องของอีกฝ่ายถึงจะเข้าได้ ธันวาตัดสินใจล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงข้างซ้าย ปรากฏว่ามีเพียงโทรศัพท์มือถือ ส่วนข้างขวานั้น ก็ว่างเปล่า จะเหลือก็คงแค่กระเป๋าหลังกางเกงสองข้าง เขากลั้นใจล้วงลงไปข้างแรก กระเป๋าตัง และสุดท้าย...
ว่างเปล่า มันว่างเปล่า!!!
ฉิบหาย!สิ่งเดียวที่เขาพอจะนึกออกก็คงเป็นบรรดาเพื่อนหนุ่มของธันธเนศเท่านั้น เขาหยิบโทรศัพท์ธันธเนศขึ้นมา
แบตฯหมด
แบตฯหมด!!!โธ่เอ๊ย พ่อคู้ณณณณ ถ้าเกิดไปเป็นอะไรขึ้นมาอยู่ที่ไหนคนเดียว อย่างนี้จะมีใครช่วยอะไรได้ไหมเนี่ย“เอาวะ ไม่มีทางเลือกแล้ว” เขาพึมพำ
ร่างสูงประคับประคองคนที่สติชัตดาวน์ไปทางฝั่งประตูของตนเองก่อนจะเปิดเข้าไป
ร่างนุ่มนิ่มถูกวางลงบนที่นอนอย่างเบาแรง
“คืนนี้ก็นอนกับผมไปก่อนแล้วกันนะ”
เจ้าของห้องพูดพลางขยับร่างที่นอนแน่นิ่งให้อยู่ในท่าที่สบายตัว ถุงเท้าทั้งสองข้างถูกถอดออกให้ กระดุมเม็ดบนสุดถูกแกะออกเพื่อคลายความร้อนจากฤทธิ์เหล้าในตัวอีกฝ่าย
เมื่อจัดแจงกับคนเมาเสร็จเรียบร้อย ผู้เป็นเจ้าของห้องก็จัดการตัวเองเพื่อเตรียมตัวนอนเช่นกัน
เครื่องปรับอากาศในห้องเริ่มทำงานมันได้อย่างเต็มที่หลังจากเปิดมาชั่วขณะหนึ่งแล้ว ร่างสูงที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จกับทั้งเนื้อทั้งตัวที่สวมเพียงบ็อกเซอร์ตัวเดียวด้วยความเคยชิน เดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง มองคนที่นอนหายใจแผ่วเบาอยู่บนนั้น ก่อนจะแอบยิ้มออกมาอีกครั้ง
“เวลาหลับก็น่ารักดีเหมือนกันนะ ดูไม่มีพิษสงดี” ร่างสูงพึมพำ
ไฟในห้องดับลงพร้อมกับความมืดที่คืบคลานเข้ามาแทนที่
... ก่อนเหมันต์ ...