ธรฺมรฏฺฐคีตา
สรรคะ ๙ มมังการอหังการ์
รจนา: ทัดจันทร์
๓
“แคว๊ก”
พญาอินทรีย์ทองตัวเต็มวัยกรีดปีกกระพือบิน โฉบไปในอากาศราวเป็นเจ้าของน่านฟ้า ดาริกาเหงนมองนักล่าเจ้าเวหาแหวกห้วงนภาดล ทึ่งในความสามารถของยุวกษัตริยาเกศาสลวยยาว ผู้ทรงคุมบังเหียนควบม้าให้วิ่งไปตามหาดทรายขาวที่ทอดยาว ขนาบด้วยเกลียวคลื่นและปราณทะเล
การเลี้ยงอินทรีย์ให้เป็นนักล่าคู่ใจ ไม่ใช่เรื่องง่าย คนขลาดฤๅเลี้ยงพญานก ยามประคองอินทรีย์ทองตัวโตเต็มวัย หนักถึงสี่สิบชั่ง(๒) เกาะพาหา นอกจากพละแขนอันแข็งแกร่งแล้ว ต้องใช้ความหาญ มิหวาดไหว จ้องลึกเข้าไปในตานกนักล่า หากสั่นสะท้านกริ่งกลัวแม้นเพียงนิด สัตว์นักล่าจะรับรู้ นั่นย่อมหมายถึงอันตรายแก่ผู้ที่ริอ่านกล้าลองดี
จอมสกุนารักอิสระยิ่ง มิอาจถูกกักขังอยู่แต่ในกรง ความไว้เนื้อเชื่อใจจึ่งสำคัญที่สุด โซ่ทองล่ามได้ หากคล้องไว้ตลอดกาลย่อมไม่เป็นผลดี นกจะไม่จงรักผู้เป็นนาย คิดแต่จะโบยบินจากไปอยู่ถ่ายเดียว การเชื่อใจแลให้อิสระ ปฏิบัติต่อกันอย่างผู้ที่เท่าเทียม ผู้ที่จะร่วมทุกข์สุข เป็นตาย ออกล่าด้วยกัน ต้องใช้ใจซื้อใจ สุดท้าย เวลาอันยาวนานที่ใช้ฝึกฝนเลี้ยงดู ด้วยใจ ด้วยพละ ด้วยความกล้า บ่มเพาะความสนิทคุ้นชิน ถักทอสายสัมพันธ์ต่อผู้เป็นนาย
สัตว์นั้นแม้นเป็นเดียรัจฉาน หากมันซื่อสัตย์ยิ่ง ลงว่าใครเป็นนายแห่งมันแล้ว มันจะรักทั้งใจ ทั้งชีวิต
ขุนทอง พญาอินทรีย์ทองเจ้าเวหา จึ่งเป็นขุนศึกนักล่าผู้รู้ใจ เป็นองค์รักษ์ผู้ภัคติต่อเจ้าชายมยุ นายเหนือหัวแห่งมันแต่เพียงผู้เดียว ทั้งใจ...ทั้งชีวิตของมัน...
เจ้าขุนทองโผบินกลางนโภมณฑล เหนืออาชาสีน้ำตาลเข้มที่มยุควบห้อไปบนหาดทราย ดาริกาจำเป็นต้องเกาะบั้นพระองค์ยุวขัตติยาผู้พี่ เนื่องจากอัศวะพ่วงพีย่ำกีบเหยียบผืนทรายฟุ้งกรรจาย วิ่งไปด้วยความเร็วเต็มเหยียดสุดกำลัง ก่อนม้าลักษณะดีจะค่อยลดความเร็วและหยุดลงเมื่อถึงบริเวณการท่า... สาคเรศจอดพักเภตราสินค้าแห่งนคราผู้ถือครองตรานักษัตรที่สิบเอ็ด ปีจอ
เจ้าชายกฤษฎีบางเหวี่ยงพระองค์ลงจากอานอาชาด้วยความชำนาญ มยุยื่นหัตถาให้น้องน้อยเกาะ ประคองวรองค์ลงจากหลังอัสดร ขนนกยูงทัดเกล้าเกศาพลิ้วไสวในลมทะเล ระริกเช่นรอยระรื่นในแววตาภารดาผู้ชอบพากนิษฐ์น้องขึ้นหลังม้า ควบเล่นไปด้วยกัน
เจ้าชายฉลองภูษาเฉดมรกต ผายพาหาทรงปลอกหนัง เบี่ยงยื่นไปทางสะพานไม้เบื้องหน้า ขุนทองกระพือปีกโฉบร่อน เกี่ยวกรงเล็บ เกาะลงเหนือปลอกหนังกวางที่สวมติดแขนผู้เป็นนาย ดรรชนีมยุชี้ไปเบื้องบุรพาตน สะพานไม้ทอดยาวจากฝั่งยื่นลึกลงไปในทะเลแทบสุดสายตา...
“ถึงแล้วดาริ ท่าเทียบเภตราของเรา”
นางนวลระงมร้องเหนือป่าเสากระโดง... เสากระโดงเรือสลุบเรือกำปั่นนับร้อย ทอดสมอรายเรียงตลอดสองฟากของสะพานไม้ขนาดใหญ่ กว้าง ท่าเภตราแห่งตักโกลาแน่นขนัดไปด้วยเรือใหญ่ หุบใบ บรรทุกสินค้าเต็มลำ เตรียมออกเดินทาง เพราะการมาเยือนของมรสุมลมตะเภาที่เริ่มในเดือนอัศวยุชมาศ(๓) เป็นสัญญาณสิ้นสุดฤดูกาลค้าขายของวาณิชชากรอินเดีย เปอร์เซีย มัวร์ และอาหรับ ลมอุตราจะทำให้คลื่นโหมแรง วายุกระหน่ำ เรือสลุบกำปั่นมิอาจทอดสมออยู่ได้ พ่อค้าทางฝั่งตะวันตกจึงใช้มรสุมนี้ แล่นใบ กลับบ้าน สิ้นสุดฤดูกาลค้าขายอันยาวนานตลอดหกเดือน
หาก... จุดสิ้นสุดของสิ่งหนึ่ง คือจุดเริ่มต้นของอีกสิ่งเสมอ
ลมตะเภาคือคำขานลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ พัดให้เรือสลุบเรือกำปั่นจากไป แต่จะนำเรือสำเภาเข้ามา อีกหกเดือนนับจากนี้ ท่าเรือของนครท่าทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฝั่งตะวันออก ณ เมืองแห่งจ้าวสิบสองนักษัตร จะต้อนรับการมาของพ่อค้าแดนต้าซ่ง กรุงจีน สำเภาจีนจะกางผ้าแดงเต็มใบ นำผ้าไหม ถ้วยโถชามไห สินค้าของมีค่าจากโพ้นทะเล มาทำการค้าขาย เรือเภา(๔)จะจอดเทียบท่า แน่นขนัดมิต่างฤดูกาลแห่งเรือสลุบกำปั่นที่กำลังจะพ้นผ่านไป
อดีตร้อยเอกแห่งกองพันทหารสารวัตรเบิกตาโต สิ่งที่ประจักษ์ตรงหน้าคือท่าเรือโบราณ จุดแวะพัก ค้าขาย ขนถ่ายสินค้า อันเลื่องชื่อที่สุดบนคาบสมุทรทะเลใต้ด้านปรัศจิมทิศแห่งสุวัณณทวีป สิ่งที่เห็นมิอาจหาได้จากเอกสารเล่มไหน ภาพที่ประจักษ์ด้วยสายตา เกินบรรยาย
“เป็นท่าเรือที่...ใหญ่...มากเลยยุ” ดาริกาตะลึงลาน “ไม่คิดว่าท่าเรือโบราณจะใหญ่ รองรับเรือมากมายขนาดนี้ อันที่จริง ไม่คิดว่าจะมีเรือมากขนาดนี้ด้วยซ้ำ” คนสมัยใหม่ที่ไม่เคยรู้ถึงความสามารถของคนยุคเก่า มิอาจปกปิดความประหลาดใจ ลึกในนั้น คือความชมชื่นและความภาคภูมิ...
“ต้องใหญ่สิ ตักโกลาทำการค้ากับวาณิชชากรหลายชนชาติ ดาริ... เราเป็นจ้าวท่ามาช้านาน จากบุราณกาลถึงยามนี้... นับเป็นเวลาร่วมหนึ่งพันห้าร้อยปี การท่าแห่งเราฤๅมิพรั่งพร้อม เรารับสินค้าแลเงินตราอันหลั่งไหลมาจากทุกแดนด้าว หลายชั่วคนที่บรรพบุรุษแห่งเราได้สร้างการท่าและขยายเขตการค้าจนยิ่งใหญ่ สร้างนาคร บ้านเรือน การทำกิน สร้างความมั่งคั่งให้ท้องพระคลังแลราษฏร ชนแห่งเราจึงเป็นสุข อิ่มใจ อิ่มท้อง... นามแห่งตักโกลาถูกขานมานับพันปี ต่อไป จะยังถูกคนขานฤๅไม่... พี่ไม่รู้... แต่จงภูมิใจเถอะดาริ เพราะจากกาลก่อนตราบ ณ เวลานี้ กษณะนี้ การท่าแห่งตักโกลามิเคยเป็นสองรองต่อผู้ใด”
ภาพเรือสินค้าขนาดใหญ่ทอดสมอจอดขนาบท่า เรียงรายยาวสุดสายตา ธงหลากสีปักประดับด้วยหลายตราสัญลักษณ์ โบกไสวเหนือเสาเรือ ล้วนดูละลานตา การใช้คำ ป่าเสากระโดง จึงคงมิผิดนัก
กะลาลีลูกเรือแต่งกายด้วยเสื้อผ้าต่างแบบหลากสีสัน บ่งบอกชาติพันธุ์อันแตกต่างหลากหลาย พวกเขาเหล่านั้นกำลังขนถ่ายสินค้าอย่างขะมักเขม้น นายกะลาสีบางส่วนจับกลุ่มดื่มเหล้า เมาสุรา เคล้านารีเสียให้เต็มอิ่ม ก่อนที่วันพรุ่งเรือของตนจะออกจากท่า อีกนานหลายแรมเดือนทีเดียวที่เท้าจะได้สัมผัสฝั่ง ที่มือจะได้สัมผัสนวลเนื้อนาง... เสียงร้องเพลงของคนเมากลุ่มเล็กนั้นแว่วเบา ปะปนกับเสียงนางนวลร่ำระงมและสำเนียงหลากภาษาของคนที่กำลังตะโกนสั่งงาน ทำงาน หาบแบกของ ล้างเรือเตรียมเดินทาง พ่อค้า ลูกเรือ กลาบาต ผู้คุมดูแลท่า เดินขวักไขว่ในเส้นทางแห่งชีวิตและจุดมุ่งหมายแห่งตน
ท่าเรือแห่งนี้กำลังหายใจ ขับคีตะสำเนียงราวมีชีวิต สำแดงความยิ่งใหญ่
สมคำมมังการอหังการ์ ของราชบุตรตักโกลา... เมืองท่าอันรุ่งเรือง
มยุไม่ได้ตรัสเกินจริงเลยสักนิด หนึ่งในเมืองนักษัตรเจ้าท่า ซึ่งเจริญอารยะ ทำการค้ามากว่าหนึ่งพันห้าร้อยปี แสดงแสนยานุภาพอวดอ้างสักดาให้ทุกจักษุทัศน์ สายตา ประจักษ์เห็น ในความยิ่งใหญ่พรั่งพร้อมของการท่า ดาริกาขนลุกยามเหงนมองเรือสลุบเปอร์เซียร์ โบกธงพื้นแดงปักลายขาวรูปดาวห้าแฉกกลางจันทร์เสี้ยว เหนือยอดเสาสูงชะลูด มิใช่เพียงหนึ่ง หากทอดสมอ รายเรียงเป็นแพปิดน่านน้ำ รายได้จากภาษีและการค้าที่สั่งสมมา หากเงินตราเปรียบดังอำนาจ แทบมิต้องคิดตักโกลามีความสำคัญปานใด
“นั่นเขามุงดูอะไรกันเหรอยุ”
เกือบสุดปลายสะพาน ผู้คนจับกลุ่มเนืองแน่น หากดาริกาจำไม่ผิดชายร่างสูงที่ถือดาบหลายนาย ปะปนในกลุ่มคนปลายท่า คือพลพยุหะในปกครองขององค์สมเด็จพระยุพราชหริสสา ผู้เป็นเชษฐภารดาของรัชทายาทตักโกลาทั้งสองพระองค์
“ที่มุงดูน่ะฤๅ” มยุยิ้มเหยียด พร้องพากย์ถ้อยพาจนาด้วยสุรเสียงเรียบเย็น “มันคือจุดเริ่มต้นของสํคฺราม ดาริ”
เจ้าชายพระองค์รองสะบัดพาหา ปล่อยปักษาจงอยงุ้ม สยายปีกถลาบินกลางนภากาศ มยุไขว้หัตถาไว้เบื้องปฤษฎางค์เหยียดตรง แล้วทรงทอดพระบาทดำเนินนำกนิษฐาไปบนสะพานไม้ที่ยื่นลึกสู่ห้วงมหรรณพสีคราม ครั้นใกล้จุดเกิดเหตุ กลิ่นไหม้ผสมกลิ่นของอะไรบางอย่างที่ดาริกาคุ้นเคย โชยเข้าจมูก ก่อนสายตาจะเห็นซากเรือสินค้าหลายลำ ไหม้ดำ จ่อมจมลงใต้ทะเล พื้นสะพานบางส่วนชำรุดกระจัดกระจาย ปลายสะพานขาดหายไปในมหาสมุทร แผ่นกระดานมีรอยไหม้ลอยอยู่เต็มน่านน้ำ
เหล่าคนมุงสนทนากันด้วยภาษามลายู อันเป็นภาษากลางที่ใช้สื่อสารแห่งชลมารคการค้า สนนสายไหมข้ามทะเลของดินแดนแถบนี้ ดาริกามักคุ้นและพอพูดได้บ้างเพราะงานที่ต้องรับผิดชอบในเขตจังหวัดชายแดน หากคำที่ได้ยินกลับโบราณ ฟังรู้แต่ไม่เข้าใจ พอตั้งใจจะฟัง เสียงพูดอื้ออึงก็เงียบหายไป นายทหารช่วยกันผู้คนให้หลบพ้นทาง ยามเจ้าชายมยุ ขัตติยะราชกุมารทรงดำเนิน
“นี่เรือโดนเผาไปทั้งแถบเลยเหรอ” ดาริกาหยุดอยู่หลังเชษฐา มองทหารและกะลาสีในเรือเล็ก ช่วยกันกอบกู้ซากเรือ บางส่วนค้นหาสินค้าที่ยังพอจะจำหน่ายได้ นายทหารอีกพวกกำลังซ่อมแซมต่อสะพานที่ขาดจากกันให้กลับมาเหมือนใหม่
“นายกลาบาตอยู่โยงเฝ้ายามเล่าว่า ดวงไฟสว่างวาบพร้อมเสียงดังสนั่น เหตุให้ตะพานขาดออกจากกัน จากนั้นไฟจึงลุกท่วมผืนน้ำ ลามไหม้จมหายไปหลายลำเรือ”
“ดวงไฟ เสียงดัง?”
“อืม”
“ระเบิดน่ะเหรอ”
มยุเลิกขนงเมื่อสดับคำที่ไม่เข้าใจ “ระเบิดที่ว่าคือสิ่งใด”
“ก็... “
ดาริกายังไม่ทันได้อธิบาย สุรเสียงทรงอำนาจเสียงหนึ่งกลับดังขึ้นก่อน ตามด้วยการปรากฏพระองค์ของสมเด็จพระยุพราชหริสสา ที่มีนายทหารและบรรดาช่างหลวงติดตามเป็นขบวน
“มยุ ว่าความฏีกาวินิจฉัยเภรีเรียบร้อยแล้วฤๅ” ปุรุษาฉวีนวล ทรงสังวาลนิลฬกาล ตรัสถามพระอนุชา ขณะทรงคลี่ม้วนกระดาษที่ได้รับจากข้าราชบริพาน
“พระเจ้าค่ะ เสร็จแล้วจึงรีบมา พี่ใหญ่เล่า ทางนี้เป็นอย่างไร”
“เช่นที่เห็น ตะพานพังไปทั้งแถบ เรือสินค้าเสียหายและจมทะเลไปอีกหลายลำ นายเวรมันว่าลูกไฟลุกฮือเท่าภูเขา เป็นไปได้เยียใด” ยุพราชหนุ่มมิทรงเชื่อคำให้การณ์ของนายกลาบาตรคลุ้งกลิ่นสุรา
“เป็นไปได้ถ้าใช้ระเบิด” ดาริกาพูดออกมาอย่างเหม่อลอย ขณะกวาดนัยน์ตากลมใสสังเกตเกลียวคลื่น เห็นคราบบางอย่างเคลือบเหนือผิวน้ำ “แต่สมัยนี้มีระเบิดใช้กันแล้วหรือ อ้อ ถ้าคนก่อเหตุเคยเดินทางไปเมืองจีนล่ะก็... ไม่แน่”
“เจ้าเป็นใคร” เมื่อหริสสาเงยพระพักตร์จากม้วนกระดาษ บันทึกหมายกำหนดการต่อเติมและสร้างขยายท่าเรือให้ใหญ่ขึ้นกว่าเก่า องค์ยุพราชทอดพระเนตรเห็นเด็กหนุ่มตัวเล็กบาง นุ่งหยักรั้ง พันโพกผ้าคาดศิระ สวมเสื้อแขนกระบอกตัวยาว ยืนอยู่หลังมยุ กำลังพูดราวจมอยู่ในภวังค์แห่งการวินิจฉัยของตน “ระเบิดกระไรของเจ้า หันหน้ามาซิ”
“ระเบิดก็คือลูกไฟดวงใหญ่อย่างที่นายเวรว่า พอเปลวไฟระเบิดออกไปโดนน้ำมันดิบที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ไฟเจอน้ำมัน เพลิงเก๊าะลุกลามทั่วทั้งผืนน้ำ เรือเลยไหม้เป็นตอตะโก ประเด็นคือผู้ก่อเหตุต้องรอบรู้ เตรียมการมาดีมาก การสั่งสมดินปืนที่ยังไม่มีการใช้อย่างแพร่หลายคงต้องเคยเดินทางไปถึงเมืองจีน เห็นพลุ และฉุกคิดขึ้นได้ว่าดินปืนทำให้เกิดแรงดันมหาศาล และการกักตุนน้ำมันดิบเทลงเคลือบทะเลใช้เงินไม่น้อย แต่ที่ดูจากเรือที่ไหม้ไปทั้งแถบ คนร้ายต้องร่ำรวยมากทั้งดินปืนและน้ำมัน ปริมาณที่ใช้ไม่น้อยเลย” ร้อยเอกหนุ่มในร่างเจ้าหญิงน้อยที่ปลอมพระองค์เป็นเด็กผู้ชายอีกที อรรถาธิบายไปตามสัญชาตญาณของสารวัตรทหาร พลางหันกลับไปทางเจ้าชายผู้เป็นขุนต้นศึก องค์แม่ทัพแห่งตักโกลา
“ดาริ ?!” สมเด็จพระยุพราชหลากพระทัย มิใช่เพราะสิ่งที่น้องยาอธิบาย หากด้วยรูปลักษณ์ที่ไม่ผิดเด็กผู้ชาย แถมยังหนีจากเขตพระราชฐานมาตากลมกรำแดด ดาริกาประชวนง่ายใครก็รู้ แถมยังหนีเที่ยวด้วยเจ้ามยุจอมซน ดูเอาเถอะ น่าปวดกะบาลฤๅไม่
ไม่นับการที่ขัตติยะนารีฝ่ายในทั้งหลาย ยามเสด็จไปไหนมาไหน จะต้องแต่งขบวนเอิกเกริกมีจ่าโขลนคุ้มกัน สตรีของพระราชา มิว่าจะเป็นอัครมเหสี บุตรี สนม นางห้าม บุรุษคนใดจะชายตาลำเลืองแลแตะต้องมิได้ แต่นี่ถึงกับปลอมพระองค์เสด็จหนีเที่ยวนอกเขตพระราชมณเฑียร
“พี่จะฟ้องท่านแม่ว่าอย่างไรดี เจ้าด้วยมยุ พาน้องหนีเที่ยว จับไข้ขึ้นมาจะว่าเยี่ยงไร”
“โถ่พี่ใหญ่ อย่าทูลฟ้องสมเด็จแม่เชียว แค่นี้ก็ทรงบ่นจนหูชาจะแย่” เจ้าชายผู้ทรงเอาแต่หทัย เป็นไม้เบื่อไม้เมากับพระมารดาผู้เข้มงวด กระนั้น ยังไม่มีใครสามารถจัดการกับมยุได้สักที อย่างดีทำได้แค่บ่นเท่านั้นแม้แต่พระบิดาก็เถอะ
“เจ้าน่ะตัวก่อเรื่อง” หริสสากอดอุระ ดุน้องชาย
“พี่ชายใหญ่คะ... อย่าว่ายุเลย น้องเป็นคนรบเร้าให้พามาเอง” คำพูดบางอย่างคล่องปากเนื่องด้วยความทรงจำของเจ้าหญิงน้อย หากความรู้สึกกระดากเกื้อเขินเป็นของผู้กองดาริกา ผู้เพิ่งจะเคย คะ ขา กับพี่ชายใหญ่ เป็นครั้งแรกนับแต่ฟื้นขึ้นมาจากการต้องพิษผ้า
“น้องน่ะฤๅขอให้มยุพามา บอกว่าเจ้าตัวซนมันยุน้อง พี่ยังจะเชื่อง่ายกว่า”
“พี่ใหญ่นี่กระไร ลำเอียง ใครจะไปยุดาริหนีเที่ยว เพียงงานฎีกาวินิจฉัยเภรีก็แทบมิมีเวลาแล้ว”
พี่ชายคนโตวัยยี่สิบห้าแทบมิอยากเชื่อสายตาตัวเอง ในยามบ้านเมืองเกิดเหตุด่วนคับขัน เจ้าชายจอมซนกลับเอาการเอางาน เจ้าหญิงผู้เก็บเร้นพระองค์กลับออกนอกพระราชฐาน เสด็จหนีเยือนเยี่ยมถึงการท่า หริสสาไม่รู้ว่าควรดีใจ เสียใจ หรือประหลาดใจ และหรือ ทำทั้งสามประการพร้อมกันดี
“พี่ชายใหญ่ค่ะ อยู่แต่ข้างในมันน่าเบื่อ แถมคุณข้าหลวงตามแจทุกฝีก้าว น้องอึดอัด”
“แล้วออกมาต้องแดดเยี่ยงนี้ น้องจะมิป่วยฤๅ”
“น้องหายแล้ว... จริง ๆ นะ” ดาริกาทำตาซื่อมองหน้าหริสสาอย่างที่ทำกับมยุเพื่อให้พาออกมาเที่ยวเล่น หากแววตากลมใสกลับไม่เป็นผลกับพี่ชายคนโต
“ไม่รู้ล่ะ รีบกลับก่อนที่แดดจะนายไปกว่านี้”
คนที่เคยเป็นลูกคนเดียวมาโดยตลอด วางตัวไม่ถูกเมื่อถูกพี่ชายดุเช่นกัน “กลับแล้วก็ได้...”
ภายใต้พยับแดดจัดจ้าสาดลงเหนือห้วงมหรรณพสีคราม ดาริกามองซากปรักหักพังจากเหตุลอบทำลายเรือสินค้าเป็นครั้งสุดท้าย มยุเอ่ยไว้ว่าเหตุนี้จะเป็นฉนวนจุดไฟสงคราม แม้ยังมิอาจเข้าใจสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดออกมาทั้งหมด แต่ภาพความเสียหายที่ปรากฏ ย่อมยืนยันได้ว่าพฤติการณ์เช่นนี้มิใช่การก่อเหตุลอบทำลายเรือธรรมดา หากเป็นการประกาศซึ่งสงคราม ที่ผ่านการเตรียมการทางความคิดและทุนทรัพย์อย่างมาก ดังสังเกตได้จากคราบน้ำมันดิบที่ลอยล่องเต็มทะเล
“เดี๋ยว! นั่นมัน...” ดาริกาหรี่ตา ยกมือป้องแดด พยายามเพ่งมองให้ชัด “พี่ใหญ่ ยุ ช่วยมันก่อน ช่วยมันก่อนน้องถึงจะกลับ!”
ท่ามกลางห้วงแดดและเวิ้งน้ำ สัตว์สี่ขาตัวนั้นเปียกปอนและหนาวสั่น มันใช้สองขาหน้าเกาะกระดานไม้ที่มีรอยไหม้ไปกว่าครึ่ง ลอยเคว้างคว้างแทบจมลงไปในทะเล คลื่นสูงสีครามจัด สาดซัด ทำให้มันลอยห่างจากชายฝั่ง ไม้กระดานแผ่นน้อยไม่อาจรองรับทั้งเกลียวคลื่นขนาดยักษ์และสัตว์เคราะห์ร้าย สั่นเทิ้มเหน็บหนาว ใช้คอยใช้สองขาเกี่ยวเกาะตะเกียกตะกาย ไปพร้อมๆกันได้ มันพยายามยื้อชีวิตตัวเองอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันความตายก็คืบคลานเข้ามาใกล้ทุกวินาที หากไม่ช่วย มันคงจมหายตกตายกลางทะเล
************
เชิงอรรถ
(๒) มาตราชั่งน้ำหนักจีนโบราณ ๑ ชั่ง เท่ากับ ๕๐๐ กรัม, อินทรีย์ทองตัวโตเต็มวัยจะมีน้ำหนักถึงยี่สิบกิโลกรัม
(๓) นามเดือนจันทรคติฮินดู อัสสยุชมาส (ปาลี) อัศวยุชมาส (สํสฺกฤต) คือช่วงประมาณเดือนกันยายน - ตุลาคม
(๔) เรือเภา หรือ เรือตะเภา เป็นคำพื้นถิ่นที่ใช้เรียก เรือสำเภา, เช่นเดียวกับที่คนพื้นถิ่นเรียกลมสรสุมตะวันออกเฉียงเหนือว่า ลมตะเภา เพราะเป็นฤดูที่เรือสำเภาจะต้องเดินทางมาทุกปี