พบรัก ▪×วันที่10×▪
บรรยากาศยามเที่ยงที่ร้อนระอุจากดวงอาทิตย์ไม่ได้ทำให้นักศึกษาจบใหม่อย่างผมรู้สึกร้อนเท่าตอนที่ได้เห็นใบหน้าของประธานหนุ่มของบริษัทศิริวัฒนิวงศ์เลยสักนิด ความร้อนที่กำลังปะทุอยู่ในอกนั่นไม่ใช่ทั้งความโกรธและความหงุดหงิดเพราะประธานยังหนุ่มที่ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่บอกความจริง แต่เป็นความโกรธและหงุดหงิดที่ตัวเองดูพึ่งพาไม่ได้ถึงขนาดพี่ใบไผ่ต้องยอมมาช่วยถึงขนาดนี้
การกระทำของพี่ใบไผ่เหมือนจะบอกกลายๆ ว่าถ้าไม่ใช่บริษัทของพี่เขา ต่อให้ไปสมัครที่ไหนก็ไม่มีทางได้งาน ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกสมเพชตัวเองที่ทำอะไรเองไม่ได้ ต้องคอยแต่ให้อีกฝ่ายช่วยเหลือตลอด
ยิ่งนับวัน สิ่งที่เหมือนเป็นตะกอนขุ่นๆ อยู่ภายในหัวใจก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นทีน้อย และมันเริ่มเด่นชัดขึ้นเมื่อได้ยินคำว่าคนพิเศษออกมาจากปากของพี่ใบไผ่
สำหรับผมพี่ใบไผ่เป็นคนพิเศษ...เป็นมานานแล้วด้วย
ผมไม่ใช่เด็กๆ ที่เพิ่งหัดชอบใครแล้วจะไม่รู้ใจของตัวเอง ผมรู้ตัวดีว่ากำลังคิดเกินเลยกับเจ้าของบ้านมากขึ้นทุกวันๆ ตั้งแต่ที่ได้เจอกันในวันแรกดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองที่มักจะทอประกายแห่งความสุขจะเปลี่ยนเป็นเศร้าและออดอ้อนทันทีเมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการ หลายๆ คนอาจไม่ชอบความเอาแต่ใจแบบนั้น แต่สำหรับผมกลับไม่ได้มองว่ามันคือความเอาแต่ใจเพราะพี่ใบไผ่บอกเองว่าทำแบบนั้นแค่กับผมเท่านั้น
พี่ใบไผ่จะอ้อนแค่กับผม...กับผมคนเดียว
ได้ยินแบบนั้นหัวใจก็เต้นแรงราวกับจะหลุดออกมาจากอกด้วยความดีใจ ความรู้สึกในตอนนี้มันเกินคำว่าชอบแต่ก็ต้องระงับมันเอาไว้ ถึงจะรู้ว่าได้เป็นคนพิเศษ แต่ก็ไม่รู้ว่าพิเศษแบบไหน และผมก็ไม่กล้าที่จะคิดเข้าข้างตัวเอง
ระยะห่างของเราอาจแคบลงจนแทบไม่เหลือช่องว่าง แต่ในเรื่องของฐานะมันยังกว้างมากและกว้างขึ้นไปอีกเมื่อได้รู้ความจริงว่าพี่ใบไผ่เป็นถึงประธานของบริษัทศิริวัฒนิวงศ์ที่ผมมาสัมภาษณ์ในวันนี้
“ต้นว่าน!” พี่ใบไผ่ตะโกนเรียกชื่อผมดังลั่นหน้าบริษัทตัวเองอย่างไม่อายพนักงานโดยรอบ
“อย่าตามผมมานะ!” ผมตะโกนกลับไปโดยไม่หันไปมอง เพราะถ้าหันไปก็รู้เลยว่าตัวเองต้องหยุดรอตามที่อีกฝ่ายบอกแน่ๆ พี่ใบไผ่เป็นคนที่มีเสน่ห์ดึงดูดมาก โดยเฉพาะกับผมเสน่ห์นั่นมันดูจะมีมากเป็นพิเศษ
“ฟังพี่ก่อนสิต้นว่าน!” คนวิ่งตามมายังคงตะโกนต่อแต่ผมก็ไม่หยุดก้าวขา
ตอนนี้ยังไม่อยากเจอหน้า
ยังไม่อยากพูดคุย
ยังไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น
ขออยู่คนเดียวสักพักเมื่อสงบสติได้ผมจะไปหาพี่เองเพราะงั้น...
“กลับไปเถอะพี่ใบไผ่”
หมับ!
“พี่จะไม่กลับไปไหนทั้งนั้นถ้ายังคุยกับเราไม่รู้เรื่อง” อีกฝ่ายอาศัยจังหวะที่ผมชะลอความเร็ววิ่งเข้ามาคว้าแขนผมไปกอดไว้แน่น ราวกับจะไม่ยอมให้ผมหนีไปไหนได้อีก
“พะ...พี่ ปล่อยก่อน เดี๋ยวคนอื่นจะมองพี่ไม่ดีนะ” ผมพยายามดึงแขนที่ถูกกอดไว้ออกก่อนที่จะมีพนักงานเห็นแล้วเอาไปพูดให้พี่ใบไผ่เสียหาย
ภาพที่ท่านประธานบริษัทใหญ่โตวิ่งมากอดแขนคนธรรมดาแบบนี้ มันดูไม่ดีเอาซะเลย
“ก็ให้มองไปสิ พี่จะไม่ปล่อยจนกว่าต้นว่านจะยอมคุยกับพี่” คนตรงหน้ายังคงดื้อรั้นเหมือนอย่างทุกครั้งที่เป็น
“พี่ใบไผ่...”
“ให้พี่ได้อธิบายสิ่งที่เรากำลังเข้าใจผิดอยู่เถอะนะ พี่ไม่ได้...”
“ผมยอมแล้วๆ เราไปหาที่อื่นคุยกันเถอะ” สุดท้ายผมก็ต้องพูดแทรกก่อนที่พนักงานคนอื่นจะเข้ามามุงมากไปกว่านี้
“ได้ ไปที่ห้องทำงานพี่ก็ได้”
“ครับ ปล่อยผมด้วยพี่ใบไผ่” เป็นอีกครั้งที่ผมพยายามชักแขนออกจากการกอดนั้น
“ถ้าพี่ปล่อย เราจะไม่หนีใช่ไหม” ดูเหมือนพี่ใบไผ่จะระแวงอยู่ไม่น้อยเลยไม่ยอมปล่อยแขนง่ายๆ
“ไม่หนีครับ” ทำเหมือนผมเป็นเด็กงั้นแหละ
“พูดแล้วนะ”
“ครับ ปล่อยผมได้แล้ว” ทันทีที่แรงจากแขนถูกผ่อนลง ผมก็รีบยกแขนขึ้นแล้วเดินกลับเข้าไปในบริษัท่ามกลางสายตาของพนักงานที่มองมาอย่างงงๆ
ห้องทำงานที่พี่ใบไผ่พาไปอยู่ชั้น 8 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดของตึกนี้ ภายในห้องถูกตกแต่งด้วยเครื่องเรือนแบบเรียบหรูหราเหมาะสำหรับนั่งทำงานเอกสารและต้อนรับแขก ผมเดินไปนั่งที่โซฟาสีน้ำเงินตรงข้ามกับเจ้าของห้องนี้
“ต้นว่านโกรธพี่ใช่ไหม” พี่ใบไผ่นั่งก้มหน้าพึมพำอยู่แบบนั้นทำเอาผมรู้สึกไม่ดีเลย
“ใช่ ผมโกรธพี่” แต่โกรธตัวเองมากกว่าที่ทำให้พี่ต้องมาลำบากช่วยเหลือกันอยู่ตลอด ถ้ายังเอาแต่พึ่งพาพี่ แล้วเมื่อไหร่ผมจะโตสักทีล่ะ
ผมอยากทำงานและโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่คู่ควรจะอยู่ข้างๆ พี่
“พี่อยากอธิบาย...”
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมเข้าใจถึงความใจดีและความเป็นห่วงของพี่ดี พี่ช่วยให้ผมได้งานและอยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างมั่นคง ทั้งที่ผมควรขอบคุณที่พี่ช่วยแต่ผมกลับรู้สึกแย่ที่ไม่สามารถคว้ามันมาได้ด้วยตัวเอง ถึงแบบนั้น...”
“พอแล้วต้นว่าน หยุดพูดแค่นั้นแหละ”
“แต่...” ผมยังมีเรื่องที่อยากบอกอยู่อีกนี่
“เรากำลังเข้าใจผิดอยู่จริงๆ ด้วย”
“เข้าใจผิด?” ตรงไหนกันที่ผมเข้าใจผิด
“จริงอยู่ที่พี่เป็นเจ้าของบริษัทและเป็นคนที่เปิดรับเลขา พี่เป็นคนบอกให้เรามาสมัครโดยไม่บอกความจริงเรื่องนี้ พี่ผิด...พี่ต้องขอโทษด้วย แต่เรื่องที่ต้นว่านผ่านการสัมภาษณ์มันไม่ใช่ฝีมือพี่แน่นอน ถ้าเรายังไม่เชื่อก็ไปถามจิราที่เป็นคนสัมภาษณ์ได้เลย” คนตรงหน้าอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พี่ใบไผ่...” ที่พี่พูดนี่หมายความว่า...
“พี่ไม่เคยใช้อำนาจของตัวเองเพื่อช่วยเราหรอก เพราะพี่รู้ดีว่าต้นว่านมีความสามารถมากพอที่จะมาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้โดยที่พี่ไม่จำเป็นต้องยื่นมือไปช่วยสักนิด อย่าเข้าพี่ผิดแบบนั้นสิ”
“พี่...งั้นพี่บอกผมได้ไหมว่าทำไมถึงบอกให้ผมมาสมัครที่บริษัทนี้?” ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ต้องการจะช่วยผม
“พี่ต้องการเรานะต้นว่าน...”
“พี่...”
“พี่ต้องการมากกว่าบริษัทอื่นที่ไม่รู้ถึงความสามารถจริงๆ ของเราอีก แล้วก็...”
“แล้วก็?”
“พี่อยากให้ต้นว่านอยู่ข้างๆพี่” น้ำเสียงที่พูดประโยคนี้ดูเขินอายเล็กน้อย แต่นั่นก็ทำให้ผมยิ้มออก
ความรู้สึกเมื่อมีคนต้องการตัวเรานั้นมันดีจนไม่รู้จะอธิบายมันออกมายังไง รู้แค่ว่าอยากจะคว้าตัวคนตรงหน้ามากอดแน่นๆ ซะเดี๋ยวนี้เลย
“ขอบคุณครับ”
ขอบคุณที่พี่ต้องการผม
“เราจะตกลงทำงานกับพี่ใช่ไหม” คนตรงหน้าถามต่อ ดวงตาคู่สวยที่จ้องมาสั่นระริกเหมือนกำลังลุ้นคำตอบที่ผมจะบอก
“แน่นอนครับ”
โอกาสดีๆ ที่จะได้ทั้งงานและได้อยู่ใกล้ชิดกับพี่ใบไผ่มีไม่มาก ทว่าผมก็สามารถคว้ามันมาได้สำเร็จ ผมไม่ได้เชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดทั้งหมดเพราะอย่างน้อยๆ ในช่วงสัมภาษณ์ตัวต่อตัวกับเจ้าของบริษัทพี่เขาก็ต้องเจอคนที่ดีกว่าหรือถูกใจกว่าบ้างแน่ ถึงอย่างนั้นพี่ใบไผ่ก็ยังเลือกผม
แบบนี้จะไม่เรียกว่าถูกช่วยได้ยังไงล่ะจริงไหม?
วันต่อมาผมตั้งนาฬิกาปลุกรีบตื่นตั้งแต่เช้าตั้งใจจะไปทำงานเร็วๆ ถือว่าเอาฤกษ์เอาชัยในการเข้าทำงานวันแรก ทว่าก่อนจะออกจากบ้านกลับมีสายโทรศัพท์เข้า ไม่ต้องดูหน้าจอก็รู้ว่าเป็นพี่ใบไผ่แน่เพราะโทรศัพท์เครื่องนี้เมมเบอร์ไว้ยังไม่ถึงสิบคนเลย หลังจากรับสายก็ได้รู้ว่าอีกฝ่ายอยากให้ผมไปที่บ้านของเขาก่อน แม้จะงงๆ ไปบ้างแต่ก็ตอบรับไป
ตั้งแต่ลูกสุนัขสายพันธุ์หายากอายุเกินสามเดือนผมก็เลิกนอนค้างที่บ้านของพี่ใบไผ่ อย่างหนึ่งอาจเพราะไม่จำเป็นต้องดูลูกสุนัขเหล่านั้นแบบใกล้ชิดแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็เพราะผมพยายามจะไม่เข้าใกล้เจ้าของบ้านมากเกินไป ยิ่งอยู่ใกล้เหมือนความรู้สึกที่ปกปิดไว้มันยิ่งจะระเบิดออกมา แต่แม้จะไม่ได้นอนค้างผมก็ยังต้องมาให้อาหารเช้า-เย็นอยู่ทุกวัน มีช่วงหลังๆ มานี้ที่พี่ใบไผ่เริ่มให้อาหารเม็ดในมื้อเช้าเองได้แล้ว ผมจึงไปแค่ช่วงเย็น
“ต้นว่าน” เสียงของพี่ใบไผ่ดังขึ้นก่อนจะเห็นตัวซะอีก
“พี่ใบไผ่?” ตอนแรกผมก็ยังงงๆ แต่พอมองไปที่เจ้าของบ้าน ผมก็เข้าใจได้ในทันที
เสื้อคอกลมสีฟ้าอ่อนไร้ลวดลายตอนนี้กลับมีรอยประทับสีดำเกิดขึ้นไปทั่วตัว ไม่เพียงแค่เสื้อเท่านั้นแต่กางเกงขาสามส่วนสีเนื้อก็เต็มไปด้วยร่องรอยของโคลนสีดำเปรอะเปื้อนไปหมด
“พวกมะนาวกระโดดใส่พี่”
“อ่า...ผมรู้แล้วครับ” สภาพของเสื้อผ้าเป็นหลักฐานอย่างชัดเจนเลยล่ะ
จะว่าไปช่วงเวลาประมาณตี 4 มีฝนตกลงมาค่อนข้างหนักเลยทำให้สนามหญ้ากลายเป็นแอ่งโคลน พวกสุนัขไม่ว่าสายพันธุ์ไหนก็ชอบเล่นน้ำกันทั้งนั้น และสายพันธุ์เชคโกสโลวัคเกี้ยน วูล์ฟด็อกเองก็เป็นอีกสายพันธ์หนึ่งที่ชอบเล่นน้ำมาก และพวกมันคงจะอยากบอกเจ้าของว่ารู้สึกดีแค่ไหนด้วยการมอบตราประทับไว้บนเสื้อผ้า
“ทำยังไงดีล่ะเนี่ย” พี่ใบไผ่เริ่มทำหน้ากังวล
“เอาเสื้อผ้าไปแช่น้ำก่อนซักจะช่วยได้นะครับ” ผมเสนอ ก่อนจะค่อยๆ เปิดประตูรั้วเหล็กด้านหน้าเข้าไปในตัวบ้าน
“พี่ไม่ได้ห่วงเรื่องเสื้อผ้าหรอก”
“งั้นเรื่องอะไรล่ะครับ” ผมถามกลับ
“ก็...”
บรู๊ววว~
ไม่ถึงสองวินาทีหลังจากเปิดประตู เสียงของมะนาวก็หอนดังลั่นพร้อมกับเจ้าของเสียงที่วิ่งตรงมาด้วยสภาพเนื้อตัวที่หาคำว่าสะอาดไม่เจอ ถัดไปด้านหลังของมะนาวที่วิ่งมาก็มีลูกสุนัขทั้งสามตัว ต้นสน ราตรี และดอกโมกวิ่งตามมาในสภาพที่เขรอะไม่ต่างกัน
“นั่งลงเดี๋ยวนี้!” ผมรีบสั่งเจ้าสี่ขาตรงหน้าเสียงเข้ม ถ้าพวกมันกระโดดใส่ผมพร้อมกันเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวใหม่ที่พึ่งซื้อต้องกลายเป็นเสื้อสีดำในพริบตาแน่
“นี่แหละที่พี่ห่วง เราช่วยอาบน้ำพวกมะนาวหน่อยได้ไหม” พี่ใบไผ่หันมาถามด้วยใบหน้าเหนื่อยๆ
“ได้สิครับ แต่ต้องเป็นตอนเย็นนะครับ”
“ทำไมต้องตอนเย็นด้วย”
“พี่คงไม่ลืมนะว่าวันนี้ผมต้องไปทำงานวันแรกน่ะ” จะให้ไปสายตั้งแต่วันแรกได้ยังไงกัน
“อ้อ...ใช่ๆ พี่ไม่ลืมหรอก แต่เราไม่ต้องไปที่บริษัทหรอกนะ”
“ฮะ?” คำพูดของคนตรงหน้าทำเอาผมถึงกับขมวดคิ้วแน่น
ไม่ให้ไปบริษัทแล้วจะทำงานยังไงกัน
“เราเป็นเลขาส่วนตัวพี่ เพราะงั้นสิ่งที่ต้องทำคือการช่วยพี่จัดการงานเอกสารทั้งหมดที่เลขาคนอื่นๆ ส่งมา”
“เพื่อจะทำแบบนั้นได้ ผมก็ต้องไปที่บริษัทสิ”
“ไม่ต้องหรอก พวกเอกสารจะถูกส่งมาทางระบบเครือข่ายของบริษัท เราใช้โน้ตบุ๊กของพี่ที่วางอยู่จัดการเรื่องงานที่ส่งมาได้เลย อีกอย่างพี่ไม่ค่อยชอบเข้าบริษัทเท่าไร ดังนั้นคนที่เป็นเลขาส่วนตัวพี่ก็ต้องทำงานนอกสถานที่แบบนี้แหละ”
“แต่แบบนั้นมันไม่แฟร์กับพนักงานคนอื่นๆ นะครับ” ผมค้านเสียงแข็ง
ก็มันจริงไหมล่ะ การที่พนักงานคนอื่นต้องมาทำงานตั้งแต่ 8 โมงเช้ายัน 5 โมงเย็น แต่ผมกลับได้มานั่งทำงานสบายๆ ที่บ้านของพี่ใบไผ่เท่านั้น
“ไม่แฟร์? ถึงจะทำงานที่นี่แต่บอกเลยว่าเหมือนทำที่บริษัททุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเวลาเข้างานที่ต้องมาก่อน 8 โมง หรือกลับได้ตอน 4 โมงครึ่ง การทำงานก็เรียกว่าหนักกว่าพนักงานคนอื่น เพราะเอกสารที่ถูกส่งมา เราต้องเป็นคนสรุปให้พี่ฟังพร้อมวิเคราะห์มาด้วยว่าควรจะจัดการตามเอกสารที่ว่ามาไหมก่อนจะเอามาให้พี่เซ็น พูดแบบนี้แล้วจะบอกว่าไม่แฟร์อีกไหม” อีกฝ่ายอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจังแถมกอดอกทำหน้านิ่งราวกับจะบอกว่าต่อให้ทำงานที่นี่ก็ไม่ได้สบายอย่างที่ผมคิด
“พี่ห้ามใจดีกับผมนะ” นี่เป็นคำขอเพียงอย่างเดียวก่อนเริ่มงาน การที่รู้จักตัวตนของพี่ใบไผ่ดีนั้นทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายใจดีมากแค่ไหน ผมกลัวว่าถ้าเกิดผมทำอะไรพลาดไป พี่ใบไผ่ก็จะปล่อยผ่านเพราะเห็นแก่ที่เรารู้จักกัน
“พี่แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้นะต้นว่าน ในเวลาทำงานพี่เป็นเจ้านายที่จะตำหนิทุกอย่างหากเราทำพลาด แต่ถ้าอยู่นอกเวลางานพี่จะเป็นพี่ใบไผ่ของต้นว่านเหมือนเดิม” คำพูดพร้อมรอยยิ้มกว้างที่ส่งมาทำให้คนฟังต้องกำมือแน่นเพื่อข่มอารมณ์ที่อยากจะคว้าตัวพี่เขามากอดไว้แน่นๆ
ครั้งแรกที่ได้กอดกันมันรู้สึกดีมากจนไม่อยากจะปล่อยคนในอ้อมกอดให้หลุดไป
อยากจะผูกขาดคนคนนี้ไว้แต่เพียงผู้เดียว
แค่ได้กอด ความรู้สึกบ้าๆ พวกนี้ก็กรูเข้ามาจนน่าโมโห เพราะรู้ว่าในตอนนี้ตัวเองไม่มีสิทธิ์อะไรที่ทำแบบนั้นได้ สิ่งที่ทำได้คือต้องเติบโตขึ้นเพื่อเป็นคนที่คู่ควรให้เร็วที่สุดเท่านั้น
“ผมจะทำให้ดีที่สุด” จะไม่ให้พี่ต้องผิดหวังที่เลือกรับผมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท
“ดีมาก มีคำสั่งและงานแรกให้เริ่มทำเดี๋ยวนี้ ได้ไหม”
“ได้สิครับ” ผมรีบตอบ งานแรกที่ต้องทำคงไม่พ้นการเปิดไฟล์งานเอกสารมาอ่าน ทำความเข้าใจ และสรุปก่อนนำมาให้พี่ใบไผ่ ถึงจะยังกังวลแต่ผมก็พร้อมที่จะทำแล้ว
“ดี ไปเปลี่ยนชุดซะ ในห้องที่เรานอนยังมีเสื้อผ้าอยู่พี่เห็น เอาเสื้อสีมืดๆ หน่อยนะ”
“พี่ใบไผ่...” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงอ่อยเพราะคาดการณ์ได้ว่าพี่ใบไผ่ต้องการให้ทำอะไร
“เปลี่ยนเสร็จแล้วก็ช่วยอาบน้ำพวกตัวแสบทั้งสี่ตัวด้วยนะ” พูดจบอีกฝ่ายก็ส่งรอยยิ้มกว้างมาให้
“พี่...นี่มันไม่ใช่งานของบริษัท” เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด
“ไม่ใช่แล้วเราทำให้ไม่ได้เหรอ” น้ำเสียงเศร้าๆ มันมาอีกแล้ว
“แต่มันอยู่ในเวลางาน ถ้างานพี่ไม่เสร็จขึ้นมาล่ะ”
ไม่ได้นะ จะหลงกลไม่ได้
“เรามาทำแค่งาน คงไม่อยากดูแลพวกมะนาวอีกแล้วสินะ” คนแสนงอนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นยิ่งทำให้ใบหน้าดูเศร้ามากขึ้นไปอีก
“ไม่ใช่นะครับ ผมแค่เห็นว่ามันอยู่ในเวลางาน”
“เริ่มงานช้าไปชั่วโมงนึงคงไม่เป็นไรหรอก เราคงไม่อยากให้พื้นบ้านที่เพิ่งถูไปเละเทะหรอกเนอะ ช่วยอาบน้ำพวกมะนาวหน่อยนะ...นะครับต้นว่าน” เมื่อน้ำเสียงเศร้าๆ ผ่านไป น้ำเสียงออดอ้อนก็ดังขึ้นมาแทน เท่านั้นดูเหมือนจะยังไม่พอใจพี่ใบไผ่จึงได้เอื้อมมือมาจับแขนผมไว้ ก่อนจะเขย่าไปมาเบาๆ
“...ได้ครับ” ถ้าจะอ้อนขนาดนี้ใครจะไปใจแข็งได้กัน
เสียงอ้อนๆ นี่มีพลังทำลายมากกว่าคำสั่งอีก
“เยี่ยมเลย งั้นพี่จะเป็นคนทำมื้อเช้าแทนนะ”
“พี่ทำอาหารเป็นด้วยเหรอครับ?” ผมไม่ค่อยอยากเชื่อนักว่าอีกฝ่ายจะทำอาหารเป็น
“เป็นสิ ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อกันเลยนะ” พี่ใบไผ่พูดเมื่อเห็นสีหน้าผมที่แสดงออกไป
“เปล่าสักหน่อย” ก็แค่ไม่แน่ใจ
ตั้งแต่รู้จักกันมา ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่คนตรงหน้าจะเข้าครัวทำอะไรกินเอง อีกอย่างบุคลิกแบบพี่ใบไผ่ไม่เหมาะกับการยืนอยู่หน้าครัว เขาเหมาะกับนั่งอยู่หัวโต๊ะรออาหารมาเสิร์ฟถึงที่มากกว่าจะมาทำเอง
“พี่อยู่คนเดียวมานาน เรื่องการทำอาหารก็ต้องหัดกันบ้างจะให้กินแต่ร้านก็ไม่ไหวหรอก คอยดูฝีมือพี่นะ...อร่อยมากบอกเลย” พอพูดจบอีกฝ่ายก็หันหลังเปิดประตูเข้าไปในบ้าน ทิ้งผมไว้กับสุนัขทั้งสี่ตัวที่ยังคงนั่งลงตามคำสั่ง
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จผมก็ไม่รอช้ารีบจัดการอาบน้ำสุนัขทั้งสี่ทีละตัวโดยเริ่มจากตัวเล็กทั้งสาม เมื่ออาบตัวแรกเสร็จก็จัดการเป่าขนจนแห้ง ก่อนจะปล่อยให้เข้าไปอยู่ในบ้านและเริ่มอาบตัวต่อไป จนถึงตัวสุดท้ายซึ่งก็คือมะนาว
“เฮ้อ...” ผมพาร่างอันเหนื่อยล้าจากการอาบน้ำให้สุนักทั้งสี่ตัวมานั่งทรุดฮวบที่ตรงโซฟาสีน้ำตาล
ไม่คิดเลยว่าจะเหนื่อยขนาดนี้
นี่ขนาดพวกลูกๆ ยังไม่โตเต็มที่นะเนี่ย ถ้าโตเต็มที่แล้วผมไม่อยากคิดสภาพเลย
มะนาวที่พอเห็นผมเรียกก็คิดว่าจะเล่นด้วยเลยวิ่งตรงมาพร้อมกระโจมใส่เต็มแรงขนาดบอกให้หยุดก็ยังไม่ทัน โชคดีผมใส่เสื้อสีเข้มเลยไม่มีปัญหาตอนถูกเท้าดำๆ พวกนั้นประทับตราไปทั่ว แต่กว่าจะอาบเสร็จก็เรียกได้ว่าผมเหนื่อยกว่าตอนทำงานพิเศษทั้งวันซะอีก
“อาบเสร็จแล้วเหรอ” พี่ใบไผ่โผล่หน้ามามองโดยที่สวมผ้ากันเปื้อนสีขาวสะอาดไว้
“ครับ...ขอผมพักสักแป๊บนะครับ” ผมบอกไปตามตรง แทบขยับร่างกายไม่ไหวแล้ว
“ได้สิ อาหารต้องรออีกสักพักอยู่แล้ว เรางีบไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวเสร็จแล้วพี่ปลุก”
“...ครับ” ผมไม่ขัดสิ่งที่เจ้าของบ้านเสนอ เพียงแค่เอนตัวไปพิงโซฟาด้านหลังสติที่เหลืออยู่น้อยนิดก็ลอยหายไปอย่างรวดเร็ว ส่วนสุนัขทั้งสี่ตัวที่สะอาดสะอ้านก็นอนเรียงอยู่บริเวณปลายเท้าผมเกือบทั้งหมด มีเพียงต้นสนที่เหมือนจะเดินตามหลังพี่ใบไผ่ไป
“...ต้นว่าน เสร็จแล้วนะ” เสียงตะโกนที่ได้ยินลางๆ ทำให้ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“ครับ จะไปเดี๋ยวนี้”
ผมหยุดชะงักเมื่อได้กลิ่นหอมๆ ที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนลอยคลุ้งอยู่เต็มอากาศ ไม่รอช้าผมรีบลุกขึ้นเดินไปตามกลิ่นนั้นไปจนถึงห้องครัวและห้องอาหารที่อยู่ติดๆ กัน บนโต๊ะไม้สีน้ำตาลอ่อนเต็มไปด้วยอาหารหลายอย่างที่ไม่เคยเห็น
“พี่ทำเป็นแค่อาหารฝรั่งน่ะ รสชาติอาจอ่อนไปสำหรับคนไทยแต่ไม่ต้องห่วงพี่เพิ่มรสชาติให้เข้มข้นขึ้นแล้ว” พี่ใบไผ่อธิบายพร้อมกับวางจานที่มีขนมปังแผ่นใหญ่สองแผ่นมาให้
“นี่พี่ทำเองหมดจริงๆ เหรอ” ไม่ใช่จะดูถูกนะ แต่มันน่าจะใช้เวลาทำประมาณครึ่งวันไม่ใช่แค่ไม่กี่ชั่วโมงแบบนี้
“แน่นอนสิ นั่งๆ เรามากินกันดีกว่า พี่แนะนำอันนี้เลยเนื้อวัวผัดซอสกินคู่กับมันบดอบชีสอร่อยสุดๆ” พี่ใบไผ่แนะนำจบก็แสดงตัวอย่างให้ดูโดยการตักอาหารทั้งสองอย่างไปวางบนขนมปังแผ่นหนาก่อนจะยกขึ้นกัดเข้าปากคำโต
ใบหน้าฟินๆ ของพี่ใบไผ่ทำให้ผมลองทำตามดู
“อื้มม~ อร่อย...” เพียงคำแรกที่กินเข้าไปก็รู้สึกเหมือนรสชาติทุกอย่างมารวมกันอย่างลงตัว ...อร่อยสุดๆ
“บอกแล้วว่าอร่อย สูตรนี้แม่พี่สอนให้ตอนเด็กๆ เลยนะ กินเสร็จแล้วลองซุปผักโขมนี่ด้วยสิ” ใบหน้าที่ยิ้มแย้มเต็มไปด้วยความสุขเมื่อถูกชมแสดงออกมาอย่างชัดเจน ก่อนที่พี่ใบไผ่จะเลื่อนชามซุปมาตรงหน้า
มื้อเช้าของพวกเราผ่านไปอย่างเชื่องช้า กว่าจะจัดการอาหารตรงหน้าหมดก็ปาไปเกือบเที่ยงแล้ว หลังจากนั้นผมก็ได้เริ่มงานเลขาอย่างจริงจังโดยเริ่มจากการอ่านเอกสารที่ถูกส่งมาทางระบบของบริษัทพร้อมทั้งสรุปย่อยและวิเคราะห์ตามที่พี่ใบไผ่ต้องการ
การทำงานวันแรกสูบพลังงานผมไปจนแทบไม่เหลือ และเป็นอย่างที่พี่ใบไผ่พูดว่าเรื่องงานอยู่ส่วนเรื่องงาน เพราะแค่ผมสรุปผิดไปนิดเดียว แววตาที่มักจะทอประกายสดใสจะหรี่ลงอย่างน่ากลัวและจริงจังมากจนผมต้องตั้งสติแล้วทำงานให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
การเป็นเลขาของพี่ใบไผ่มีข้อดีคือใกล้บ้าน แต่ข้อเสียคือมีหลายงานที่ต้องไปประชุมและจัดการที่บริษัทโดยตรงทว่าเจ้าของบริษัทคนนี้ก็ดันไม่ชอบเข้าบริษัทสุดๆ ทุกครั้งที่มีการประชุมก็มักจะให้ผมเข้าไปแทนแล้วสรุปรายงานการประชุมมาให้ทีหลัง เห็นบอกว่าพอมีผมมาเป็นเลขาก็ไม่จำเป็นต้องไปเข้าประชุมด้วยตัวเองอีกต่อไปแล้ว
พี่ใบไผ่เชื่อใจผมมากเกินไปจริงๆ
และถึงผมจะไม่อยากไปขนาดไหนแต่พอถูกดวงตาคู่สวยกับน้ำเสียงนุ่มๆ นั้นออดอ้อนมา ผมก็ได้แต่กรอกตาขึ้นฟ้าแล้วยอมตามใจแต่โดยดี ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่สามารถต่อกรกับมันได้จริงๆ
ทว่าวันนี้ผมจะไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นอีกแล้ว...
“วันนี้พี่ต้องไปประชุมตอนบ่ายโมงนะครับ เลิกทำอาหารได้แล้ว” ผมวางท่ายืนเท้าเอวบ่นคนที่ยืนต้มอะไรบางอย่างในหม้อมานานกว่า 3 ชั่วโมงแล้ว ตั้งแต่วันที่ชมว่าอาหารของพี่ใบไผ่อร่อย ผมก็ได้ชิมฝีมือระดับสุดยอดนั้นอีกเรื่อยๆ
“ประชุมอีกแล้ว ไม่เอาๆ เราไปเถอะพี่จะอยู่เคี่ยวสตูให้ได้ที่ก่อน” ท่าทางที่ไม่แยแสการประชุมใหญ่นั้นทำให้ผมยกมือขึ้นเสยผมตัวเองอย่างเหนื่อยใจ
“พี่ใบไผ่”
“อย่าทำเสียงแข็งแบบนั้นสิ”
“พี่ก็อย่าดื้อสิ ครั้งนี้เป็นการประชุมเรื่องสำคัญนะ”
“เรื่องสำคัญ? โอ๊ะ...เดือนนี้มัน เดี๋ยวพี่ขอไปแต่งตัวก่อน ฝากดูหม้อหน่อยนะ”
การที่พี่ใบไผ่ยอมง่ายๆ ควรจะทำให้ดีใจแต่ทำไมผมกลับรู้สึกแปลกๆ แทนล่ะ
พี่ใบไผ่ยอมง่ายแบบนี้มันต้องมีอะไรแน่ๆ
เดือนนี้เหรอ?
“ไปกันเถอะต้นว่าน”
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จพวกเราก็ตรงไปยังบริษัทในช่วงเที่ยง ซึ่งก็ไปถึงก่อนเวลาประชุมสักพักใหญ่ การประชุมในวันนี้เป็นการสรุปผลกำไรและยอดส่งสินค้าทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในครึ่งปีที่ผ่านมา รวมทั้งมีการเสนอนโยบายใหม่ๆ ด้วย
“...การประชุมเป็นอันจบเท่านี้ เปรม” พอจบการประชุมเจ้าของบริษัทก็หันไปเรียกคนที่เป็นหนึ่งในเลขาของตัวเอง
คุณเปรมฤดีหรือที่เธอให้ผมเรียกว่าพี่เปรม เป็นหัวหน้าฝ่ายต่างประเทศที่มีความสามารถในระดับสูงแต่พอเป็นเรื่องของจาตุรงค์หรือคุณรง หัวหน้าฝ่ายขนส่ง เธอก็มักจะใส่อารมณ์จนเกินจริงทุกครั้งไป ไม่รู้ว่าทะเลาะอะไรกัน
“มีอะไรเหรอคะบอส”
“เจมส์ติดต่อมาหรือยัง” ชื่อของคนที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเรียกให้เลขาหมาดๆ อย่างผมหันไปมองหน้าท่านประธานอย่างงงๆ
เจมส์? ชื่อเหมือนคนต่างชาติเลย
“อ้อ...คุณเจมส์ กลาส สินะคะ เพิ่งจะติดต่อมาวันนี้เองค่ะ เห็นว่าเชิญบอสไปร่วมงานเหมือนเดิมนะค่ะ”
“วันไหนล่ะ”
“งานมีอาทิตย์หน้าค่ะ บอสจะไปไหมคะ” พี่เปรมถามด้วยรอยยิ้ม
“ไปสิ ตอบตกลงไปให้หน่อยละกัน”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” พี่เปรมตอบกลับทันที
“ดีมาก งั้นอาทิตย์หน้าผมจะไม่เข้าบริษัทสักสามสี่วันนะ”
“พูดเหมือนท่านประธานมาทำงานทุกวันเลยนะครับ” คำพูดของคุณรงทำเอาคนทั้งห้องพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน ไม่เว้นแม้แต่เด็กใหม่อย่างผม
คนที่มาบริษัทแค่อาทิตย์ละครั้งก็ทำหน้าจะเป็นจะตายขนาดนั้น ไม่ต้องมาบอกว่าอาทิตย์หน้าไม่เข้าบริษัทเลย...
เอ๊ะ...เดี๋ยวนะ
นี่หรือว่า…
(มีต่อค่ะ)